เช็คให้ชัวร์ ที่ Cofact

ข่าวลวงอันตราย อย่าเชื่อ หยุดแชร์

5 ข่าวปลอม เรื่องวัคซีนโควิด ป่วนทั้งไทย-เทศ

ระวัง SMS ปลอม

โดนัลด์ ทรัมป์ เขียนจดหมายถึง โจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนใหม่ว่า “Joe, You Know I Won”

สรุปข้อมูลใน Cofact.org 13 พ.ค. 63

‘โรคระบาด-ข่าวปลอม-การเมืองแบ่งขั้ว’ เรื่องเล่าต่างแดนว่าด้วยงาน‘คนทำสื่อ’ยุคโควิด

ปี 2563 ที่ผ่านมาและล่วงเลยมาถึงปี 2564 ในปัจจุบันที่โลกเผชิญสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 สื่อมวลชนต้องทำงานภายใต้แรงกดดันทั้งการเป็นกลุ่มเสี่ยงได้รับเชื้อเพราะต้องรายงานข่าวจากสถานที่ต่างๆ ที่ถูกระบุว่าเป็นจุดเสี่ยง การต้องรับมือข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่ไหลบ่าเข้ามาจำนวนมากในยุคดิจิทัลที่ใครๆ ก็นำเสนอเนื้อหาใดๆ ก็ได้ เพื่อกลั่นกรองว่าข้อมูลใดจริง-เท็จ รวมถึงการทำหน้าที่ภายใต้บรรยากาศความขัดแย้งทางการเมืองที่สังคมแตกแยกเป็น 2 ขั้วหรือหลายขั้ว และโรคระบาดก็กลายเป็นอีกประเด็นร้อนที่แต่ละฝ่ายหยิบยกมาโจมตีกัน

เมื่อวันที่ 3 พ.ค. 2564 ที่ผ่านมา ภาคีโคแฟค (COFACT) ประเทศไทย ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และภาคีเครือข่ายอีกหลายองค์กร จัดงานวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก ประจำปี 2564 หรือ World Press Freedom Day 2021 : Digital Thinkers Forum เวทีนักคิดดิจิทัลครั้งที่ 15 ว่าด้วยเรื่อง Information as A Public Good ซึ่งวันที่ 3 พฤษภาคมของทุกปี องค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) กำหนดให้เป็นวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก 

หนึ่งในกิจกรรมวันดังกล่าวคืองานเสวนา (ออนไลน์) เรื่อง “How should media report on Covid-19 Vaccines without fear or favor?” มีวิทยากรหลายท่านมาบอกเล่าเรื่องราวการทำงานของสื่อในต่างประเทศในสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 อาทิ

สเตฟาน เดลโฟร์ (Stephane Delfour) หัวหน้าสำนักข่าว AFP ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า สิ่งที่สำนักข่าว AFP ทำคือการรายงานข่าวจากสถานที่จริง ในขณะเดียวกัน การนำเสนอข่าวก็ต้องมาจากการสัมภาษณ์แหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ และต้องสามารถอธิบายกับประชาชนได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

อย่างในประเด็นวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ต้องมีการถามและตอบคำถาม เช่น วัคซีนมีความปลอดภัยหรือไม่ วัคซีนชนิดใดมีประสิทธิภาพดีที่สุด วัคซีนแต่ละชนิดต้องฉีดกี่ครั้ง เพราะเหตุใดจึงมีความล่าช้าในหลายประเทศหรือหลายๆ สถานการณ์ มีการพูดคุยกับทั้งแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้อง รวมถึงบุคคลต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ อีกทั้งพยายามสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนให้มากที่สุด 

และแม้การนำเสนอข่าวต้องรายงานตามข้อเท็จจริง แต่ก็ต้องนำเสนอมุมมองด้วยเช่นกัน เช่น ข่าวที่นำเสนอนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร เพราะเหตุใดจึงเลือกนำเสนอเรื่องนี้ หรือรู้สึกว่าข้อมูลนี้มีความสำคัญ อย่างไรก็ตาม การทำงานของสื่อต้องตั้งอยู่บนความโปร่งใสด้วยเพื่อสร้างความไว้วางใจต่อประชาชน ท่ามกลางข้อมูลมากมายต้องทำให้เห็นว่าเนื้อหาของสำนักข่าวนั้นเชื่อถือได้ 

เดลโฟร์ เล่าต่อไปถึงสถานการณ์การฉีดวัคซีนโควิด-19 ในหลายประเทศ เช่น ฝรั่งเศส มีผลสำรวจพบประชาชนร้อยละ 60 ไม่อยากฉีดวัคซีน เหตุผลสำคัญคือวัคซีนโควิด-19 ถูกผลิตขึ้นมาอย่างรวดเร็วมาก จึงมีคำถามเกี่ยวกับความปลอดภัยและประโยชน์ที่ได้รับจากการฉีดวัคซีน หรือที่ เมียนมา มีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารกันว่าใครไม่ฉีดวัคซีนจะโดนประณามทางออนไลน์ ขณะเดียวกัน พื้นที่ออนไลน์ก็มีการแพร่กระจายข่าวลือต่างๆ มากมาย จึงเป็นความท้าทายของสำนักข่าว AFP ที่จะเข้าถึงผู้รับสารกลุ่มใหม่ๆ เพื่อนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง 

“เรามีบริการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่มีทั้งหมดอยู่ประมาณ 80 ประเทศ ผู้สื่อข่าวทุกคนของ AFP ก็มีหน้าที่อุทิศตนในการตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วย ที่มีการดำเนินงานในจุดนี้ทั้งหมด 16 ภาษา และประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน เราก็มีการตรวจสอบข้อความที่เป็นคำกล่าวอ้างที่ไม่เป็นจริงต่างๆ ในภาษาไทยด้วยเช่นกัน ตัวโรคระบาดนี้มันเกิดขึ้นพร้อมๆ กับโรคระบาดทางข้อมูลข่าวสาร หลายๆ ข่าวหรือหลายๆ ผู้นำเสนอก็มีอิทธิพลอย่างมากเลยในโลกออนไลน์ อย่างเช่นกลุ่มที่เป็นผู้ต่อต้านการฉีดวัคซีน ก็มีอิทธิพลอย่างมากเช่นกัน เราจะเห็นว่ามีจำนวนคนที่เข้ามาชม Content (เนื้อหา) ของเขาเยอะขึ้นมากๆ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา” เดลโฟร์ กล่าว

หัวหน้าสำนักข่าว AFP ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวอีกว่า ในรอบปีที่ผ่านมาถือเป็นการท้าทายในการปรับตัวของทีมงานที่มีอยู่ทั่วโลก โดยมีผู้สื่อข่าวที่เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ทำหน้าที่ฝ่ายเทคนิคช่วยเหลือฝ่ายอื่นๆ เผื่อให้เข้าใจหัวข้อข่าวที่ต้องการนำเสนอ เพราะโควิด-19 ไม่ใช่เพียงหัวข้อทางวิทยาศาสตร์อย่างเดียว แต่ยังมีนัยทางการเมืองและสังคม ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของทุกคน 

ผู้สื่อข่าวจึงควรรายงานข่าวโควิด-19 ในมุมอื่นๆ ได้ด้วย เช่น การเปลี่ยนรูปแบบการทำงานมาเป็นการทำงานที่บ้าน (Work from Home) หรือการไม่ได้ไปโรงเรียน เป็นต้น การรายงานข่าวโควิด-19 จึงไม่อาจใช้เพียงมุมมองทางวิทยาศาสตร์หรือสุขภาพ สาธารณสุขเป็นเรื่องสำคัญแต่ก็มีนัยทางสังคมด้วย ซึ่งจะส่งผลต่อชีวิตของทุกคนไปอีกหลายปี และแม้เรามีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางคอยช่วย แต่คนอื่นๆ เขาก็มีมุมมองอื่นๆ ในการนำเสนอข่าวเช่นกัน

ขณะที่ อิกา นิงชาส (Ika Ningtyas) เลขาธิการสมาคมพันธมิตรนักข่าวอิสระ (The Alliance of Independent Journalists AJI) ประเทศอินโดนีเซีย เล่าว่า อินโดนีเซียมีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตเป็นจำนวนมาก และยิ่งเพิ่มขึ้นและใช้เวลานานขึ้นในสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่การใช้โดยขาดตวามรู้เท่าทันก็นำไปสู่ปัญหาการบิดเบือนข้อมูล โดยนับตั้งแต่เดือน ม.ค. 2564 เป็นต้นมา อินโดนีเซียเริ่มฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชาชน พบการเผยแพร่ข่าวปลอมกว่า 100 ข่าว และกระจายผ่านสื่อออนไลน์ต่างๆ กว่า 500 ข่าว 

เช่น มีการเผยแพร่คลิปวีดีโอที่ไม่เกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีนโควิด-19 แต่เขียนบรรยายอ้างว่ามีการทดลองวัคซีนกับสัตว์แล้วทำให้สัตว์ตาย ก่อให้เกิดความหวาดกลัว ชาวอินโดนีเซียหลายคนรู้สึกลังเลว่าจะฉีดวัคซีนดีหรือไม่ กลายเป็นความกังวลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะตามเกณฑ์แล้วประชากรอย่างน้อยร้อยละ 70 ต้องได้รับการฉีดวัคซีน เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd Immunity) ทั้งนี้ สาเหตุที่ทำให้เกิดการสื่อสารที่ผิดพลาด ประกอบด้วย

1.การประชาสัมพันธ์ของภาครัฐอ่อนแอ พลอยทำให้ประชาชนขาดความเชื่อถือไปด้วย โดยในช่วงแรกๆ รัฐบาลอินโดนีเซียไม่ได้เชื่อเรื่องวิทยาศาสตร์ นโยบายก็ไม่สอดคล้องกัน อีกทั้งมีปัญหาการเลือกปฏิบัติและการทุจริตเกี่ยวกับการเข้าถึงวัคซีน 2.ผู้คนขาดความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และไม่เชื่อในระบบสาธารณสุข เมื่อประกอบกับการที่ไวรัสโควิด-19 เป็นโรคอุบัติใหม่ คนทั่วไปก็ยิ่งทำความเข้าใจได้ยาก และที่ผ่านมาระบบสาธารณสุขของอินโดนีเซียก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่แล้วทั้งราคาสูงและไม่ทั่วถึง 3.การพาดพัวข่าวแบบล่อเป้าให้กดเข้าไปดู (Clickbait) เช่น มีข่าวอาการไม่พึงประสงค์บางอย่างที่ยังไม่แน่ชัดว่าเกิดจากการฉีดวัคซีนจริงหรือไม่ แต่การพาดหัวข่าวลักษณะนี้ก็ทำให้ผู้รับสารคิดไปก่อนแล้วว่าวัคซีนเป็นอันตรายต่อร่างกาย และ 4.สื่อไม่มีความรู้เกี่ยวกับวัคซีนอย่างเพียงพอ ทั่วทั้งประเทศอินโดนีเซียมีผู้สื่อข่าวประมาณ 46,000 คน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เข้าใจสถานการณ์อย่างแท้จริง ซึ่งทาง AJI ได้จัดกิจกรรมสัมมนาทางออนไลน์ เพื่อให้ความรู้กับผู้สื่อข่าวในการรายงานข่าวเกี่ยวกับวัคซีน

เคล็ดลับในการรายงานข่าวโควิด-19 ในการเขียนข่าวควรอธิบายเกี่ยวกับปฏิกิริยาการแพ้ที่อาจจะเกิดขึ้นอยู่แล้วในการฉีดวัคซีน เพราะวัคซีนทุกๆ ประเภทมันก็จะมีอาการแสดงอยู่บ้างแต่ว่าไม่ได้ส่งผลต่อชีวิต เราก็เสนอว่าหลีกเลี่ยงการรายงานเรื่องปฏิกิริยาข้างเคียงที่เล็กน้อย เพราะมันจะส่งผลต่อความคิดของคนต่อวัคซีนนั้น เพราะฉะนั้นปฏิกิริยาระดับเล็กน้อยมันมีอยู่แล้ว นอกจากนี้ภาพที่เราใช้ออกข่าวมันจะส่งผลกระตุ้นต่ออารมณ์ได้อย่างไร เช่น เสียงเด็กร้องไห้หรือเด็กยิ้มมีความสุขเวลาที่ฉีดวัคซีน 

คือภาพที่มันแสดงให้เห็นถึงอารมณ์มันจะส่งผลต่อผู้อ่าน และส่งผลให้มีการแชร์ต่อไปโดยที่ไม่ทราบบริบทที่แท้จริง เรายังได้เสนออีกว่าควรเสนอข้อเท็จจริงที่ถูกต้องเท่านั้น และหลีกเลี่ยงการรายงานข่าวที่เป็นข่าวลือเท่านั้น และอธิบายให้เข้ากับบริบทเท่าที่จะทำได้ มันมีข้อมูลเยอะแยะมากมาย เช่น ข่าวโปลิโอ ที่ในประวัติศาสตร์ของโลก สุดท้ายควรอธิบายใช้คำในเชิงวิทยาศาสตร์ มันเป็นสิ่งสำคัญในการอธิบายศัพท์ต่างๆ เหล่านี้ทางวิทยาศาสตร์ให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้ที่อ่านข่าวเสริมสร้างความรู้ของตัวเอง” เลขาธิการ AJI ระบุ

นิงชาส เปิดเผยว่า ข้อมูลเท็จหลายครั้งมาจากต่างประเทศ จากนั้นกลุ่มต่อต้านการฉีดวัคซีนในอินโดนีเซียก็แปลเป็นภาษาท้องถิ่น ก่อนจะแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วจนติดตามที่มาที่ไปได้ยาก แต่หลายกรณีก็มาจากกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือทางศาสนา เป็นผู้เล่าเรื่องที่ทำให้เกิดการเผยแพร่ข้อมูลที่คลาดเคลื่อน โดยการรวบรวมข้อมูลข่าวสารที่ไหลเวียนบนแพลตฟอร์มทวิตเตอร์ พบว่าสามารถเชื่อมโยงไปถึงขั้วการเมืองและการเลือกตั้งในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นเรื่องท้าทายเพราะแต่ละกลุ่มมีผู้ติดตามจำนวนมาก ย่อมหมายถึงการมีอิทธิพลบนโลกออนไลน์มากด้วย และเป็นเรื่องยากในการตรวจสอบข้อเท็จจริง

ด้าน หรุ่ย จาง (Rui Zhang) อาจารย์คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประเทศไทย ให้ความเห็นว่า สถานการณ์โรคระบาดส่งผลกระทบในหลายมิติทั้งสุขภาพ เศรษฐกิจ และรวมถึงการเมืองด้วย โดยรัฐบาลจะเป็นผู้กำหนดนโยบายว่าจะรับมืออย่างไร แต่ก็มีการแบ่งขั้วทางการเมืองที่มีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าว และความตึงเครียดทางการเมืองก็นำไปสู่ความล้มเหลวในการต่อสู้กับโรคระบาด ดังนั้นจึงไม่อาจเพิกเฉยมุมมองทางการเมืองเกี่ยวกับโรคระบาดได้

เช่น การนำมุมมองของวัคซีนไปผูกโยงกับการเมือง ทำให้มุมมองของผู้คนต่อวัคซีนเปลี่ยนไป วิทยาศาสตร์และสาธารณสุขไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่จะถูกกระทบเมื่อนำเสนอโดยใช้มุมมองทางการเมือง อาทิ สหรัฐอเมริกา มีข่าวที่ตีพิมพ์ใน นสพ.The New York Times ว่าด้วยประเด็นวัคซีนโควิด-19 ถูกทำให้กลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง เป็นมายาคติส่งผลต่อความคิดและความเข้าใจของคน แต่ก็มีงานวิจัยจากแหล่งอื่นๆ ว่าด้วยความครอบคลุมในการทำข่าวของ The New York Times เป็นอย่างไรในปี 2563 

นอกจากนี้ The New York Times ก็ไม่ได้วิเคราะห์อย่างจริงจังเกี่ยวกับมาตรการที่ใช้ในประเทศจีน สามารถควบคุมการระบาดได้เพียงใด การนำเสนอข่าวควรตั้งอยู่บนมุมมองทางวิทยาศาสตร์เป็นสำคัญ อีกทั้งต้องเข้าใจมุมมองทางการเมือง สิทธิมนุษยชนและมนุษยธรรมของจีนเป็นอย่างไร เพราะการนำเสนอมุมมองเกี่ยวกับประเทศจีนย่อมขัดแย้งอยู่แล้วกับสิ่งที่โลกตะวันตกมอง การวิพากษ์วิจารณ์หรือแบ่งขั้วทางการเมืองจึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน มาตรการล็อกดาวน์ของจีนอาจดูละเอียดอ่อนในทางการเมืองแต่ก็ใช้ได้ผลในทางวิทยาศาสตร์

จาง เล่าต่อไปถึงแผนการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในสหรัฐฯ ที่มีประชาชนส่วนหนึ่งตั้งคำถามถึงรัฐบาลเพราะมีความสงสัยในการจัดหาวัคซีน สถานการณ์แบบเดียวกันยังเกิดขึ้นในอีกหลายๆ ประเทศรวมถึงไทย ว่าวัคซีนกลายเป็นประเด็นที่ใช้มุมมองทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม จนนำมาซึ่งความขัดแย้ง (Controversial) ซึ่งแม้ข้อโต้เถียงต่างๆ ใช่ว่าจะไม่มีมูลไปเสียทั้งหมด แต่การเกิดกระแสแบบนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อแผนการฉีดวัคซีนด้วย

ในประเด็นที่มีความซับซ้อน สื่อคงไม่สามารถไปเปลี่ยนอุณหภูมิทางการเมืองด้วยตัวเราเองได้ แต่เรามีอำนาจอย่างน้อย 2 อย่างที่ทำได้ 1.เวลาที่เราเลือกเรื่องที่จะนำเสนอหรือวางกรอบที่จะนำเสนอ เราต้องพิจารณามุมมองทางวิทยาศาสตร์ และปรึกษากับบุคลากรทางการแพทย์ด้วย พยายามนำเสนอมุมมองหรือทำให้ผู้ฟัง-ผู้อ่านได้ยินเสียงบุคลากรทางการแพทย์เหล่านั้น 2.ในหลายๆ หน้าที่ของการเป็นสื่อมวลชน เราจำเป็นที่จะต้องนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง ให้ข้อมูลความรู้และให้ความบันเทิง แต่ตอนนี้เราจำเป็นจะต้องให้ความสำคัญกับฟังก์ชั่นของเราในหน้าที่ในแง่ของการให้ความรู้มากกว่าในเรื่องของ Education (การศึกษา)” จาง กล่าว

นักวิชาการด้านสื่อผู้นี้ เสนอแนะด้วยว่า ในสำนักข่าวควรมีทีมงานที่ศึกษาข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เป็นการเฉพาะก่อนนำเสนอข่าวออกไป ในอดีตอาจมองไม่เห็นความจำเป็นในเรื่องนี้ แต่จากวิกฤติไวรัสโควิด-19 ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป การที่กองบรรณาธิการมีทีมงานที่มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มากพอจะช่วยให้นำเสนอข่าวได้อย่างถูกต้อง และสื่อเองก็สามารถให้ข้อมูลที่เป็นความรู้ได้ ประกอบกับสังคมก็ต้องการข้อมูลที่เข้าใจง่าย โดยเฉพาะศัพท์เฉพาะทางที่มีความซับซ้อน

แต่ความท้าทายคือ ข่าวที่มีเนื้อหาวิทยาศาสตร์แท้ๆ มักไม่ค่อยได้รับความสนใจ เช่น ข่าวพนักงานบริษัทในประเทศจีนที่ผลิตวัคซีนซิโนฟาร์ม (Sinopharm) เสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 หากอ่านเพียงพาดหัวอาจเข้าใจไปว่ามีคนเสียชีวิตจากการฉีดวัคซีน แต่ข้อเท็จจริงจะอยู่ในเนื้อข่าว ว่าผู้เสียชีวิตยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน แต่เคยได้รับยาหลอก (Placebo) ในการทดลองวัคซีน ซึ่งไม่ว่าการพาดหัวข่าวนี้จะมีเหตุผลจากอะไรก็ตาม แต่ก็ทำให้เกิดความตื่นตระหนกขึ้นแล้ว ดังนั้นสื่อมวลชนก็ต้องใช้ความระมัดระวัง

ปิดท้ายด้วย วาเนสซา สไตน์เม็ทซ์ (Vanessa Steinmetz) ผู้ประสานงานโครงการ มูลนิธิฟรีดริช เนามัน ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า ที่ผ่านมาโต๊ะข่าวการเมืองประจำสำนักข่าวต่างๆ จะมีทีมงานขนาดใหญ่มาก ตรงข้ามกับโต๊ะข่าวสาธารณสุขและวิทยาศาสตร์ที่เป็นทีมงานเล็กๆ แต่ทุกวันนี้ได้เปลี่ยนไปแล้วหลังไวรัสโควิด-19 ระบาด แม้จะไม่ใช่การจ้างทีมงานเพิ่มแต่เป็นทีมงานเดิมที่ปรับตัวมาเรียนรู้ทำความเข้าใจสถานการณ์โรคระบาดก็ตาม 

ในฐานะที่เคยทำงานด้านสื่อมวลชนในประเทศเยอรมนีมา 10 ปี สิ่งหนึ่งที่พบเห็นแม้จะไม่ทุกวันคือความสมดุลที่เป็นเท็จ (False Balance) เช่น รายการทอล์กโชว์รายการหนึ่ง เชิญแขกที่เป็นมองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องเดียวกันแต่มีมุมมองคนละด้านมาออกรายการและให้เวลาพูดเท่ากัน แต่จริงๆ แล้ว มีเพียงคนเดียวที่ได้รับการยอมรับในแวดวงวิทยาศาสตร์ ในขณะที่อีกคนหนึ่งเป็นเพียงความคิดเห็นที่ไม่มีข้อมูลรองรับ การจัดรายการแบบนี้อาจทำให้ผู้ชม-ผู้ฟังสับสนได้ว่าตกลงแล้วข้อมูลของใครมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รับรองมากกว่ากัน

อีกประการหนึ่งคือ เมื่อผู้สื่อข่าวไม่มีความเชี่ยวชาญก็อาจทำให้ตีความผลการศึกษาไม่ถูกต้อง เช่น มีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งในเยอรมนี เสนอข่าวว่าวัคซีนของแอสตราเซเนกา (Astrazeneca) มีประสิทธิภาพเพียงร้อยละ 8 สำหรับผู้ป่วยอายุ 65 ปีขึ้นไปเท่านั้น จากนั้นก็มีสำนักข่าวอื่นๆ อ้างอิงไปนำเสนอต่อโดยไม่ได้ตรวจสอบ แต่ความเป็นจริงคือผลการศึกษาดังกล่าวแม้ไม่ได้ผิดพลาดเสียทีเดียว แต่ยังมีข้อมูลไม่เพียงพอ อาทิ กลุ่มตัวอย่างในการศึกษามีจำนวนน้อยเกินไปในการที่จะสรุปผล และเมื่อนำเสนอไปแล้วการจะแก้ข่าวก็ทำได้ยาก

แต่กรณีวัคซีนแอสตราเซเนกาในเยอรมนีนั้นยอมรับว่าเป็นประเด็นซับซ้อน อาจไม่ใช่ความผิดทั้งสื่อ นักการเมืองหรือนักวิทยาศาสตร์ เพราะวัคซีนยิ่งอยู่ในตลาดนานก็จะยิ่งมีข้อมูลและหลักฐานมากขึ้นนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านวัคซีน ที่ผ่านมาตั้งแต่ต้นปี 2564 ก็มีข้อมูลเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เช่น ให้ใช้เฉพาะคนอายุต่ำกว่า 65 ปีเท่านั้น ต่อมาก็เป็นให้ระงับการใช้ จากนั้นบอกให้ใช้เฉพาะคนอายุ 60 ปีขึ้นไป และล่าสุดยังแนะนำว่าหญิงอายุ 27-55 ปี ไม่ควรใช้เพราะเสี่ยงภาวะลิ่มเลือดอุดตัน เป็นต้น ส่วนอังกฤษไม่มีข่าวทำนองนี้ และนอร์เวย์เลิกใช้ไปเลย

“จะเห็นเลยว่าภาพที่เราเห็นตรงนี้มันซับซ้อน มันยากมากที่จะเข้าใจอย่างแท้จริง ฉะนั้นนักข่าวควรจะตัดสินใจว่าจะออกข่าวอะไรแล้วก็ให้มันไปในทิศทางเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีอีกปัญหาหนึ่งที่อยากให้เห็น ที่นักข่าวประสบ คือเวลาที่เราต้องให้ข้อมูลสาธารณชนเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของผลข้างเคียงของวัคซีนเรื่องของการอุดตันเส้นเลือดในกลุ่มผู้หญิง แล้วอีกเรื่องหนึ่งมันอาจจะไม่ได้ส่งผลต่อชีวิตมากขนาดนั้น คือจริงๆ ยุโรปที่ฉีดวัคซีนไปล้านคน พบเพียง 142 คนเท่านั้นเองที่มีลิ่มเลือดอุดตัน 

ถ้าอ่านแต่พาดหัวข่าวเกี่ยวกับ Blood Clot (ลิ่มเลือดอุดตัน) ที่เกิดขึ้นมันก็น่ากลัว เอาตรงนี้มา Focus (เน้น) มันไม่มีบริบท แต่จริงๆ แล้วมันอาจจะไม่ได้สื่อจริงๆ ฉะนั้นคนจะจำสิ่งที่สร้างอารมณ์ร่วมได้มากกว่า ฉะนั้นจะต้องระมัดระวัง แล้วก็ในเรื่องของการเมืองในการที่จะพยายามฉีดให้กับพลเมือง มันจะก่อให้เกิดความหวาดกลัว ซึ่งจริงๆ เขาอาจจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงด้วยซ้ำแล้วก็ไม่ได้มีผลข้างเคียง เขาก็อาจเลี่ยงไม่ฉีด ฉะนั้นที่เยอรมันจึงค่อนข้างฉีดวัคซีนอย่างล่าช้า มีกลุ่มคนที่ไม่อยากฉีดแอสตราเซเนกา จะรอไบโอเอ็นแทค (BioNTech)” สไตน์เม็ทซ์ กล่าว

ผู้ประสานงานโครงการ มูลนิธิฟรีดริช เนามัน ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวสรุปว่า ปัญหาที่ยกมาทั้งการขาดความเชี่ยวชาญในสำนักข่าว ความซับซ้อนของประเด็น นโยบายที่เปลี่ยนแปลงไป-มา และอารมณ์ของข่าวที่นำเสนอออกไป เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ และมีสิ่งที่ควรยึดถือไม่ว่าการรายงานข่าวโควิด-19 หรือข่าวอะไรก็ตาม คือ

1.ความไวไม่สำคัญเท่าความถูกต้อง ต้องตรวจสอบก่อนพาดหัวข่าวไม่ใช่เสนอข่าวไปก่อน 2.เพิ่มขีดความสามารถของบุคลากร ที่เยอรมนีมีองค์การด้านวิทยาศาสตร์ของเอกชน รับฝึกอบรมให้ผู้สื่อข่าวสามารถอ่านผลงานทางวิชาการได้เข้าใจ 3.ระมัดระวังการพาดหัวข่าว แม้ในเนื้อข่าวจะเขียนอธิบายข้อมูลไว้อย่างถูกต้องครบถ้วน แต่ผู้รับสารมักเข้าใจไปตามพาดหัวข่าวทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ 

และ 4.เมื่อผิดพลาดก็ต้องแก้ข่าว เพราะความผิดพลาดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

สรุป 3 กลุ่มมาตรการเยียวยาโควิด จากการระบาดระลอกใหม่

ที่ประชุมครม.เห็นชอบมาตรการบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนและผู้ประกอบธุรกิจ จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ แยกออกเป็น 3 กลุ่มมาตรการหลัก ทั้งมาตรการที่ทำได้ทันที มาตรการบรรเทาค่าใช้จ่าย และและมาตรการระยะต่อไป ใช้ทั้งเงินกู้และสินเชื่อกว่า 2.55 แสนล้านบาท

เมื่อวันที่ 5  พ.ค.ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมีติเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องออกมาตรการปิดสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งเกิดผลกระทบกับประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นจึงสั่งให้กับทางกระทรวงการคลัง และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พิจารณามาตรการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนเพิ่มเติม และได้มีการนำมาเสนอให้กับที่ประชุมครม.พิจารณาในครั้งนี้

กองบรรณาธิการเฉพาะกิจ TJA&Cofact ได้มีการตรวจสอบรายละเอียดจากเอกสารการประชุมเรื่องมาตรการบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนและผู้ประกอบธุรกิจ จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในระลอกเดือนเมษายน 2564 ซึ่งเสนอโดย สศช. พบว่า มาตรการที่เสนอมานั้นแยกออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

ช่วยเงินกู้ฉุกเฉิน-ค่าน้ำค่าไฟ

1.มาตรการที่สามารถดำเนินการได้ทันที (รวมวงเงินทั้งเงินกู้และสินเชื่อ 30,000 บาท) แยกออกเป็น 2 กลุ่มมาตรการย่อย คือ

(1) มาตรการด้านการเงิน ทั้ง สินเชื่อสู้ภัย COVID-19 วงเงินรวม 2 หมื่นล้านบาท เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ ทั้งประชาชน ผู้ประกอบการ และเกษตรกร โดยธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ปล่อยสินเชื่อฉุกเฉินให้ประชาชนรายละ 10,000 บาท ด้วยหลักเกณฑ์ที่ผ่อนปรนกว่าสินเชื่อปกติ ดอกเบี้ย 0.35% ต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 ปี ปลอดชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยใน 6 เดือนแรก

รวมทั้ง การพักชำระหนี้ ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โดย ขยายระยะเวลาพักชำระเงินหนี้ให้แก่ลูกหนี้รายย่อย ออกไปจนถึง 31 ธ.ค.2564 ตามความสมัครใจ โดยการพักชำระเงินต้น เพื่อลดภาระการชำระหนี้เป็นการชั่วคราว และให้ลูกหนี้นำเงินที่จะต้องชำระหนี้ไปใช้เป็นสภาพคล่องในการดำเนินชีวิตประชำวัน

(2) มาตรการด้านการบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย แยกเป็น

ค่าไฟฟ้า สำหรับบ้านอยู่อาศัยและกิจการขนาดเล็ก (ไม่รวมส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ) โดยผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 150 หน่วยต่อเดือน ให้สิทธิใช้ไฟฟ้าฟรี 90 หน่วยแรก, ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าเกิน 150 หน่วยต่อเดือน ให้ส่วนลดค่าไฟฟ้า กรณีหน่วยการใช้ไฟฟ้าน้อยกว่าหรือเท่ากับใบแจ้งค่าไฟฟ้าเดือนเมษายน 2564 ให้คิดค่าไฟฟ้าตามหน่วยการใช้ไฟฟ้าจริง และผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทกิจการขนาดเล็ก (ไม่รวมส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ) ให้สิทธิใช้ไฟฟ้าฟรี 50 หน่วยแรก โดยจะดำเนินการในรอบบิลช่วงเดือนพ.ค. – มิ.ย. 2564

ค่าน้ำประปา เสนอให้ลดค่าน้ำประปาลง 10% เฉพาะบ้านที่อยู่อาศัย และกิจการขนาดเล็ก (ไม่รวมส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ) เป็นระยะเวลา 2 เดือน สำหรับใบแจ้งหนี้ค่าน้ำประปาประจำเดือนพ.ค. – มิ.ย. 2564 โดยการไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปานครหลวง และการประปาส่วนภูมิภาค  จะได้รับการสนับสนุนแหล่งเงินเพื่อดำเนินตามมาตรการ ภายใต้กรอบวงเงินรวมไม่เกิน 10,000 ล้านบาท ตามขั้นตอนของพ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท

เพิ่มเงินให้ “เราชนะ- ม33เรารักกัน”

2.มาตรการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในระยะเร่งด่วน กรอบวงเงิน 85,500 ล้านบาท แยกเป็น 2 โครงการย่อย คือ

(1)  การเพิ่มวงเงินโครงการเราชนะ ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย 32.9 ล้านคน โดยเพิ่มวงเงินช่วยเหลือให้อีกสัปดาห์ละ 1,000 บาท เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ โดยให้สิ้นสุดเวลาการใช้จ่ายในเดือนมิ.ย. 2564 วงเงินรวมประมาณ 67,000 ล้านบาท

(2) การเพิ่มเงินช่วยเหลือผู้ประกันตนโครงการ ม.33 เรารักกัน ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย 9.27 ล้านคน โดยเพิ่มวงเงินช่วยเหลือให้อีกสัปดาห์ละ 1,000 บาท เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ โดยให้สิ้นสุดเวลาการใช้จ่ายในเดือนมิ.ย. 2564 วงเงินรวมประมาณ 18,500 ล้านบาท

สำหรับ 2 โครงการนี้หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการจะเร่งนำเสนอโครงการให้พิจารณาตามขั้นตอน ซึ่งผมได้กำหนดให้นำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า

ทำ 4 โครงการอีก 1.4 แสนล้านบาท

3.มาตรการในระยะต่อไป ซึ่งจะเริ่มดำเนินการเมื่อสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในระลอกเดือนเม.ย.2564 คลี่คลายลง มีกรอบวงเงิน 40,000 ล้านบาท แยกเป็น 4 โครงการย่อย คือ

(1) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 3 ครอบคลุมประชาชนประมาณ 13.6 ล้านคน   โดยให้เงินความช่วยเหลือเพิ่มเติมอีกเดือนละ 200 บาท ระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่ก.ค. – ธ.ค. 2564

(2) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ครอบคลุมประชาชนประมาณ 2.5 ล้านคนโดยให้เงินความช่วยเหลือเพิ่มเติมเดือนละ 200 บาท ระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่ก.ค. – ธ.ค. 2564

(3) โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย 31 ล้านคน โดยรัฐจะสมทบเงินแบบลักษณธร่วมจ่าย (Co-Pay) 50% เป็นค่าซื้ออาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าทั่วไป โดยสามารถใช้ได้วันละไม่เกิน 150 บาทต่อคน ในวงเงินไม่เกิน 3,000 บาทต่อคน

(4) โครงการ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” โดยภาครัฐจะสนับสนุนบัตรกำนัลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Voucher) ให้แก่ผู้ที่ได้รับสิทธิโครงการ เมื่อชำระเงินผ่าน g-Wallet บนแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” กับผู้ประกอบการร้านค้าและบริการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งติดตั้งแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ที่เข้าร่วมโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ซึ่งโครงการนี้จะช่วยกระตุ้นการบริโภคในประเทศผ่านผู้มีกำลังซื้อสูงให้นำเงินออกมาใช้จ่ายและสนับสนุนผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม

ทั้งนี้รัฐจะสนับสนุน e-Voucher ให้กับประชาชน ที่ใช้จ่ายซื้อสินค้า และค่าอาหารเครื่องดื่มและค่าบริการกับผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไม่เกิน 5,000 บาทต่อคนต่อวัน สูงสุดไม่เกิน 7,000 บาทต่อคน โดยประชาชนใช้จ่ายจะได้รับการสนับสนุน e-Voucher จากภาครัฐในช่วง ก.ค. – ก.ย.2564 ไปใช้จ่ายในเดือน ส.ค. -ธ.ค.2564 โดยประเมินว่าจะมีประชาชนจะเข้าโครงการประมาณ 4 ล้านคน

สรุป “การบริหารจัดการเตียง” ในสถานการณ์โควิด-19 (สัมภาษณ์พิเศษ)

กองบรรณาธิการเฉพาะกิจ TJA&Cofact สัมภาษณ์ พิเศษ “นายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ สรุป การบริหารจัดการเตียงโควิด-19 และการขยายเตียงICU ผู้ป่วยโควิดอาการหนัก.

การบริหารจัดการเตียงโควิด-19

กลุ่มผู้ป่วยสีเขียวที่เพิ่มขึ้นจากที่บ้าน ตอนนี้มีโรงพยาบาลสนาม hospitel รองรับ ถือว่ายังอยู่ในระดับที่รับได้ แต่ที่น่ากังวลและเป็นปัญหา คือ กลุ่มผู้ป่วยสีเหลือง หรือสีแดงจากที่บ้าน หรือจากโรงพยาบาล รวมถึง กลุ่มผู้ป่วยสีเหลืองจากโรงพยาบาลที่กลายเป็นสีส้มเป็นสีแดง คือ มีอาการมากขึ้น ในส่วนนี้จำเป็นต้องใช้ศักยภาพในการรักษาของโรงพยาบาลใหญ่

แผนที่เตรียมไว้และทำอยู่ คือ ผู้ป่วยที่จำเป็นต้องการเตียงในกลุ่มสีเหลืองจากบ้านในระบบ 1668 จะถูกนำเข้าสู่ระบบกลาง co link โดยจะส่งเตียงในกลุ่มผู้ป่วยสีเหลืองที่ต้องการไปยังโรงพยาบาลของกรมการแพทย์ที่ยังสามารถช่วยดูแลได้ โดยจะมีการเพิ่มเตียงของโรงพยาบาลในสังกัดกรมการแพทย์ เช่นสถาบันบำบัดยาเสพติดฯปทุมธานี ที่เพิ่มเป็น 200 เตียง / โรงพยาบาลนพรัตนฯอีก 45 เตียง / สถาบันประสาทอีก 100 เตียง/ โรงพยาบาลเลิดสิน อีก 30 เตียง/ ในส่วนนี้จะพอในระดับหนึ่ง

และกำลังทำโรงพยาบาลสนามสีเหลือง ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข เช่น โรงพยาบาลสนามที่จังหวัดสมุทรสาคร แต่เดิมจะรองรับในกลุ่มผู้ป่วยสีเขียวจากกรุงเทพฯเท่านั้น แต่ตอนนี้อยู่ระหว่างการวางระบบในการดูแลกลุ่มผู้ป่วยสีเหลืองอ่อนที่มีอาการเพิ่มขึ้นเล็กน้อยด้วย

ส่วนที่ 2 คือ โรงพยาบาลสนามของกรุงเทพฯ ที่จะรองรับกลุ่มผู้ป่วยสีเหลืองได้มากขึ้น โดยข้อบ่งชี้ผู้ป่วยที่อยู่ในโรงพยาบาลสนาม และ hositel ที่จากเดิมเป็นกลุ่มผู้ป่วยสีเขียวอย่างเดียว ตอนนี้จะมีการเพิ่มกลุ่มผู้ป่วยสีเหลืองนิดหน่อย ที่ไม่ได้มีโรคประจำตัวมากๆ สามารถที่จะอยู่ได้

ขณะที่ในโรงพยาบาล กลุ่มผู้ป่วยสีแดงหมายถึง ผู้ติดเชื้อมีอาการหนักขึ้น แต่อาจยังไม่จำเป็นต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ จะมีการวางระบบ ว่า โรงพยาบาลที่เป็นแม่ข่ายในกรุงเทพมหานคร ได้แบ่งออกเป็น 6 โซน เช่น โรงพยาบาล โรงเรียนแพทย์ โรงพยาบาลจุฬาฯ โรงพยาบาลศิริราช

โรงพยาบาลรามาธิบดีฯ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ และโรงพยาบาลภูมิพล วชิรพยาบาล และโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าโรงพยาบาลราชวิถี ซึ่งโรงพยาบาลดังกล่าว จะเป็นหัวหน้าโซนในการดูแลผู้ป่วยสีเขียว เหลือง แดง ในพื้นที่ของตัวเอง แต่ถ้าโรงพยาบาลเล็กๆใน 6 โซนจำเป็นต้องใช้เตียงสีแดง ก็จะปรึกษามายังหัวหน้าโซน หากเตียงในโซนนั้นเต็ม จะมีการขอเตียงข้ามโซนกันได้ ผ่านศูนย์การบริหารจัดการเตียงโรงพยาบาลราชวิถี.

“ขณะนี้อัตราการครองเตียงในกลุ่มผู้ป่วยสีแดงอยู่ที่ร้อยละ 85 ซึ่งถือว่าอยู่ในจุด

วิกฤต ซึ่งเป็นจุดที่ต้องมีการปรับกลยุทธ์ปรับจำนวนเตียง นอกจากการปรับในการดูแล 6 โซนแล้ว ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องเดินทางมารักษายังโรงพยาบาลใหญ่อย่างเดียว แต่จะให้ผู้เชี่ยวชาญ อาจารย์โรงเรียนแพทย์ช่วยดูแลผู้ป่วยที่อยู่โรงพยาบาลเล็กได้ บางทีโรงพยาบาลเล็กมีห้อง แต่ไม่มีผู้เชี่ยวชาญเราจำเป็นต้องนำผู้เชี่ยวชาญไปดูแลให้” นพ. ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าว

ส่วนที่ 2 คือการขยายห้อง ICU เพิ่มขึ้น โดย ICU มี 2 ส่วน

ส่วนหนึ่งคือ ห้อง ICU ที่อยู่ในโรงพยาบาลที่ปรับจากการเอาห้องดูแลผู้ป่วยโควิดสามัญ ที่มีลักษณะห้องโถงใหญ่ ปรับให้มาเป็นห้อง ICU คือ เอาผู้ป่วยที่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจมารักษาในห้องนี้ โดยใช้มาตรฐานในการดูแลเดียวกันได้ แต่อาจจะไม่ใช่ห้องที่เป็นความดันลบโดยสมบูรณ์ / ส่วนอีก 1 แนวทางคือการจัดตั้ง ICU สนามซึ่งตอนนี้ได้มีแนวทางเตรียมแผนไว้ที่โรงพยาบาลราชวิถีแล้ว

กรณีการจัดตั้งICUโรงพยาบาลสนาม

นพ. ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ ระบุว่า ICU สนาม จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ออกซิเจน เครื่องดูดซัคชั่นสูง อุปกรณ์เหล่านี้ไม่สามารถที่จะไปวางตามโรงพยาบาลสนาม เช่น ในโรงยิม สนามกีฬาฯ ที่อยู่ไกลๆนอกรพ.ได้ ซึ่งยังไม่มีความพร้อม

เบื้องต้นเลยมีแนวทางจัด ICU ในโรงพยาบาลสนาม ที่โรงพยาบาลราชวิถี อยู่ในอาคารและห้องว่าง ซึ่งสามารถใช้อุปกรณ์เฉพาะในโรงพยาบาลได้

ส่วนที่2 คือ การจัดตั้งในอาคารลานจอดรถของโรงพยาบาลราชวิถี โดยเตรียมไว้ 3 ระยะ

ระยะที่1 : ปัจจุบันได้มีการติดตั้งแล้วซึ่งจะใช้ได้เต็มที่ในวันที่ 10 พฤษภาคมจำนวน 10 เต้นท์ หรือ 10 ยูนิต โดยเป็นห้องความดันลบ

– ระยะที่2 : จะเพิ่มอีก10 เต็นท์ รวมเป็น 20ห้อง

– ระยะที่3 : จะถูกวางในอาคารของโรงพยาบาล

ซึ่งทั้ง 3 แนวทาง ยังเป็นแนวทางที่เตรียมไว้แต่ยังไม่ถูกนำมาใช้ในขณะนี้ ถ้าระบบในโรงพยาบาลยังสามารถรักษาได้อยู่

“คงไม่สามารถนำ ICU สนามไปอยู่ในโรงพยาบาลสนามจริงๆได้ เนื่องด้วยปัจจัยทั้งบุคลากรทางการแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญที่ยังคงต้องรักษาผู้ติดเชื้อในโรงพยาบาลอยู่

วันนี้บุคลากรทางการแพทย์ พยาบาลเจ้าหน้าที่สาธารณสุขได้มีการปฏิบัติงานเต็มที่ในโรงพยาบาล หากจะต้องมีการให้บุคลากรเหล่านี้ไปประจำอยู่โรงพยาบาลสนามในห้อง ICU เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากร ส่วนหนึ่ง คือ เครื่องมือทางการแพทย์หลายชนิดจำเป็นต้องอยู่ในโรงพยาบาลและมีการขนย้ายลำบาค”

สำหรับผู้ป่วยICU ปกติ กับผู้ป่วยICUโควิด มีการแยกการรักษาอย่างชัดเจนเนื่องจากผู้ป่วยโควิดที่อาการหนัก และอยู่ห้องICU ต้องรักษาในห้องความดันลบ รอบถึง ต้องเตรียมอุปกรณ์ที่จะใช้รักษาภายในห้อง ทีมแพทย์ ทีมพยาบาล มีการแยกทีมกันอย่างชัดเจน ซึ่งจะต่างจากหอผู้ป่วย ICU ปกติ เนื่องจากต้องป้องกันเรื่องของการติดเชื้อ.

สำหรับอุปกรณ์ที่มีความจำเป็นต่อการรักษาผู้ป่วยโควิด19 อาการรุนแรงมาก

– คือ เครื่องออกซิเจน หรือเครื่องไฮโฟลว์ และ เครื่องช่วยหายใจ ซึ่งในอดีตมีการ เตรียมอุปกรณ์ดังกล่าวไว้เพียงพอเหมาะสมกับจำนวนห้องไอซียูที่มีอยู่ หมายความว่า หากมีห้องไอซียูกี่ห้อง ก็จะมีการเตรียม เครื่องช่วยหายใจไว้เพียงพอ

แต่วันนี้อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ต้องการมาก คือ เครื่องไฮโฟลว์ คือเครื่องทำออกซิเจน เอาออกซิเจนเข้าสู่ปอดของคนไข้ การที่เราให้เร็วขึ้นตั้งแต่ผู้ป่วยในอยู่ระยะสีเหลือง จะทำให้ผู้ป่วยไม่กลายเป็นผู้ป่วยสีแดง เมื่อก่อนครั้งที่ยังมีผู้ป่วยไม่เยอะเครื่องไฮโฟลว์ มีความเพียงพอ แต่พอสถานการณ์ปัจจุบัน ผู้ป่วยเยอะขึ้นมันและมีอาการอยู่ในระยะสีเหลืองเพิ่มขึ้น ตรงนี้เครื่องไฮโฟลว์ จะทำให้ผู้ป่วยให้หายได้เร็วขึ้น และไม่มีอาการรุนแรงกลายเป็นผู้ป่วยสีแดง ในหลายโรงพยาบาลจึงมีความต้องการ

“เมื่อก่อนเคสผู้ป่วยอาการหนัก จะอยู่ในโรงพยาบาลใหญ่เท่านั้น แต่ปัจจุบัน เคสผู้ป่วยปานกลาง โรงพยาบาลเล็กๆจำเป็นที่จะต้องทำการรักษา เครื่องมือดังกล่าว โรงพยาบาลเล็กไม่เคยมี วันนี้พอมีผู้ป่วยเยอะขึ้น โรงพยาบาลเล็กเลยจำเป็นต้องใช้เครื่องมือไฮโฟลล์ด้วย หากได้ก็ดี เราไม่ต้องรอผู้ป่วยแย่ก่อน แต่ถ้าไม่ได้สุดท้ายคือต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ”

ขณะนี้ในโรงพยาบาลใหญ่ มีการสั่งซื้อเครื่องมือไฮโฟลว์เยอะมาก ซึ่งต้องมีระยะเวลาการจองและการจัดส่ง เนื่องจากต้องสั่งนำเข้ามาจากต่างประเทศ เช่นที่ โรงพยาบาลรามาธิบดีมีการสั่งประมาณ 100 ตัว ขณะที่ภาพรวมการสั่งเครื่องมือดังกล่าวทั่วประเทศมีกว่า 2000-3,000 ตัว

ประเด็น การนำผู้ป่วยไม่จำเป็นออกจากห้องICU  จึงมีคำถามว่า แล้วแต่ก่อนทำไมถึงนำเข้าไป   นพ. ณัฐพงษ์ ระบุว่า แต่ก่อนเตียงเหลือผู้ป่วยไม่มาก ยังรักษาได้เต็มที่อีกทั้งเมื่อก่อนมีห้องว่าง ทีมแพทย์ก็รักษาดีที่สุดเต็มที่ คือนำผู้ป่วยเข้าห้องดังกล่าว แต่วันนี้มาพิจารณาและมีการหารือกันแล้วผู้ป่วยหลายรายที่เคยเข้าไปแล้วไม่จำเป็นต้องอยู่ก็ได้ เราจึงต้องถอยผู้ป่วยเหล่านี้ออกมาอยู่ห้อง ICU รวม และเอาผู้ป่วยที่มีอาการหนักจริงๆ ที่บอกว่าเป็นสีแดงเข้มกลับเข้าไปแทน ถ้ามีการจัดสรรหมุนเวียนอย่างนี้ ภายในโรงพยาบาล ภายในเครือข่าย และข้ามเครือข่าย จะทำให้เสามารถใช้เตียง ICU ได้อย่างคุ้มค่าที่สุด สถานการณ์ตอนนี้ ถือว่ายังพอไปได้ แต่ก็ถือว่าตึงและติดขัด

How to “SureVac” เช็กยังไงให้ชัวร์เรื่อง “วัคซีน”

3 พฤษภาคม 2564 กฤตนัน ดิษฐบรรจง

ขอบคุณที่มา : เวบส่องสื่อ

ในช่วงสุดท้ายของการจัดกิจกรรมในวันนี้ ทางโคแฟคร่วมกับชัวร์ก่อนแชร์ ของ บมจ.อสมท ได้จัดห้อง Clubhouse ในหัวข้อ “How to “SureVac” เช็กยังไงให้ชัวร์เรื่อง “วัคซีน”” ซึ่งมีวิทยากรสำคัญๆ ทั้งทางการแพทย์ ทางสื่อมวลชน ทางภาคประชาสังคม และหน่วยงานของรัฐมาร่วมพูดคุยกัน ซึ่งวันนี้เว็บไซต์ส่องสื่อของสรุปรวบรวมบางส่วนนำมาให้คิดต่อกัน

สุชัย เจริญมุขยนันท์ จากภาคีอีสานโคแฟค / Ubonconnect เกริ่นเริ่มต้นด้วยคำถามว่า สำหรับตนเองที่เป็นสื่อท้องถิ่นของจังหวัดอุบลราชธานี สำหรับคนในพื้นที่เองต่างมีข้อสงสัยในการไม่อยากจะฉีดวัคซีน แม้กระทั่งบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลที่ไม่กล้าฉีดวัคซีนโควิด-19 เขาจึงโน้มน้าวให้ตัดสินใจระหว่างความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงกับความเจ็บป่วยในระยะยาวจะเลือกอะไร? กับความน่าเชื่อถือในแต่ละแบรนด์ของวัคซีน ซึ่งนั่นรวมไปถึงประสิทธิภาพในการป้องกันโรคอีกด้วย รวมไปถึงข้อถกเถียงเกี่ยวกับการนำเข้าวัคซีนว่าเป็นอย่างไร? จะฉีดกับโรงพยาบาลเอกชนได้เลยหรือไม่? อย่างไร?

มติเอกฉันท์ ‘ชวรงค์’ นั่ง ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ
หลังจากนั้น ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ได้กล่าวว่า ปัญหาที่สำคัญที่ทำให้สื่อมวลชนไม่สามารถดำเนินการข่าวไปได้ตามปกติ เนื่องจากภาครัฐไม่สามารถบูรณาการเชิงข้อมูลไปให้ถึงสื่อมวลชนได้ จนทำให้สื่อมวลชนไม่สามารถกระจายข้อมูลไปยังประชาชนได้ โดยเฉพาะข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนมากๆ นอกจากนี้อีกหลายข้อมูลที่จำเป็น โดยเฉพาะจำนวนเตียงในโรงพยาบาลสนามต่างๆ อาจจะทำให้สื่อสามารถตรวจสอบข้อมูลให้ได้ก็ไม่ได้มีการบูรณาการที่มากพอ

นอกเหนือจากนั้นคือในเรื่องของวัคซีนที่นำเข้ามา เราก็เห็นว่าข้อมูลมีไม่เพียงพอ ทั้งในแง่ของการกระจายวัคซีน ตลอดจนถึงจำนวนวัคซีนที่ได้ฉีดในแต่ละพื้นที่จริงๆ การที่มีข้อมูลตรงนี้ก็จะช่วยทำให้ได้รับข้อมูลที่เพียงพอ จนทำให้ประชาชนมั่นใจว่าวัคซีนมีเพียงพอและฉีดกันได้อย่างทันท่วงทีต่อไป ฉะนั้นการบูรณาการข้อมูลมีความสำคัญเป็นอย่างมาก และจะไปต่อยอดถึงความเชื่อมั่นในการฉีดวัคซีนนั่นเอง

รพ.จุฬาฯ ตรวจ”โควิด”ทางน้ำลาย วางแผนรุกตรวจ ชุมชนรอบโรงพยาบาล

ผศ.ดร.นพ.ปกรัฐ หังสสูต ผู้ช่วยศาสตราจารย์ หน่วยไวรัสวิทยา ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงได้พูดต่อถึงเรื่องวัคซีนว่า วัคซีนที่จะป้องกันแบบหมู่ได้ ต้องขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของวัคซีนที่ป้องกันไวรัสโดยรวมว่ามีความสามารถมากเพียงใด เพื่อปกป้องไม่ให้คนติดเชื้อไปมากกว่านี้ ทั้งนี้ต้องนับจากสัดส่วนคนฉีดวัคซีนทั้งโลกด้วย ซึ่งด้วยความข้อมูลที่คลาดเคลื่อนนี้ อาจทำให้เราไม่สามารถรับรู้ได้ว่าข้อมูลที่แท้จริงมาจากไหน และที่สำคัญด้วยความที่ไวรัสกลายพันธุ์ได้ง่ายมาก จึงทำให้อาจเกิดปัญหามากกว่าเดิมได้

การฉีดวัคซีนทั้งหมดต้องขึ้นอยู่กับความปลอดภัย ซึ่งเป็นหัวใจหลักสำคัญในการส่งออกวัคซีนได้ ซึ่งถ้าไม่ปลอดภัยตั้งแต่การทดสอบครั้งแรกก็อาจจะถูกปัดตกทิ้งไปได้ทันที

เดินหน้านวัตกรรมโคแฟค สู่การสร้างชุมชนค้นหาความจริง – Thaihealth.or.th | สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)


ในส่วนของ ผศ.ดร.ณภัทร เรืองนภากุล คณะสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ / ภาคีโคแฟค พูดถึงการพูดคุยเรื่องการแชร์ข่าวลวงว่า อุปสรรคในการสื่อสารข้อมูลเรื่องวัคซีนโควิด-19 นั้น พบว่าจากการที่ตนเองอยู่ในหลากหลายกลุ่ม โดยพื้นฐานคือวัฒนาธรรมของความเกรงใจ โดยเฉพาะเวลาที่เราต้องพูดคุยกับคนที่อาวุโสมากกว่า ในบางครั้งก็เกิดจากเกรงใจที่ไม่กล้าบอก ถ้าเขาลงข้อมูลข่าวลวงในกลุ่มไป ซึ่งที่เคยทำมาแล้วก็คือการแนะนำว่าข่าวลวงในกรณีเสียงสัมภาษณ์ที่ถูกตัดต่อ แต่ก็ถูกตอบกลับว่าอาจจะจริงก็ได้ เป็นต้น รวมไปถึงวัฒนธรรมในการอ่านที่อ่านมากไปก็อ่านไม่ครบ น้อยไปก็ไม่ได้ข้อมูลที่ครบดีอีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีอุปสรรคทางด้านข้อมูลที่เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งส่งผลต่อกรณีการอ่านและตรวจสอบข้อมูลด้วยตนเอง ทำให้เกิดความไม่เข้าใจขึ้นต่อๆ กันไปด้วย บางครั้งอาจจะหลงเชื่อว่าข่าวจริงด้วยซ้ำไป

กองทุนสื่อฯเดินสายติวเข้มชุมชนรับทราบกฎระเบียบข้อบังคับการขอรับทุนสนับสนุน – สมาคมสื่อมวลชนจังหวัดขอนแก่น

ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ได้พูดเสริมเรื่องสื่อที่ปลอดภัยที่ช่วยในการสื่อสารที่ถูกต้องว่า วันนี้สื่อมวลชนต้องทำหน้าที่ที่แตกต่างจากคนที่ทำตัวเป็นสื่อ ต้องสร้างความเข้าใจให้ประชาชนได้รับทราบข้อเท็จจริงมากที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าการรู้เท่าทันสื่อคือประเด็นที่สำคัญที่จะทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างถูกต้องและมั่นใจ โดยผู้เสพสื่อควรมีทักษะในการตรวจสอบและมีวิจารณญาณในการเสพสื่อ กลั่นกรอง นอกจากนี้การสื่อสารของสื่อมวลชนก็เป็นส่วนสำคัญในการอธิบายแบบต่างๆ ที่ดีขึ้น ไม่ใช่แค่การหยิบยกข้อเสียออกมาอย่างเดียว แน่นอนว่าวัคซีนบางตัวอาจจะดีสำหรับบางคน เราจึงอยากเห็นหน่วยงานในการทำงานร่วมกันเกี่ยวกับการสร้างความรู้ความเข้าใจได้

การตั้งสติในการรับข้อมูลข่าวสารเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ และกลั่นกรองจากการสื่อสารต่างๆ อย่างระมัดระวัง ในขณะที่การแสดงความเห็นทุกคนยังคงสามารถแสดงความเห็นได้ แต่ต้องแนบว่าเป็นข้อคิดเห็นของท่านเพียงเท่านั้น เพื่อทำให้สามารถเข้าใจมากขึ้น สรุปโดยรวมคือต้องมีสติ มีความเข้าใจในการรับข่าวสารอย่างตรงไปตรงมา

สถาบันวัคซีนแห่งชาติ แจงชัด! เหตุไม่จองวัคซีนโควิดผ่านโคแวกซ์ เสี่ยงได้รับช้า-ราคาสูง | Hfocus.org เจาะลึกระบบสุขภาพ
นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า แน่นอนว่าวัคซีนทุกตัวที่ใช้กันในขณะนี้ จะเป็นการป้องกันในสัดส่วนที่ไม่แพร่กระจายเชื้อที่ทำให้เกิดโรคได้ สำหรับเป้าหมายของสถาบันเน้นการให้คนที่พร้อมฉีดวัคซีนได้รับการฉีดวัคซีน ซึ่งเป็นการป้องกันส่วนบุคคล ถ้าหากมีผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนกันครอบคลุมและเกิดการป่วยแบบไม่มีอาการ อาจจะทำให้สถานการณ์ระดับโลกเบาบางลงได้ โดยต้องคงสัดส่วนทั้งโลกในการเข้าถึงวัคซีนถึงจะป้องกันได้

ในส่วนของ 3 เดือนแรกในการจัดหาวัคซีนเราพบปัญหาในการจัดส่งวัคซีน ทำให้ได้แค่ซิโนแวคเท่านั้น แม้แต่วัคซีนตัวที่เราผลิตเองได้ก็ต้องใช้ระยะเวลา จึงต้องเร่งรัดการใช้เวลาในการฉีดวัคซีน ส่วนข้อมูลลวงบางอย่างก็เกิดจากกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการฉีดวัคซีน ในส่วนนี้ต้องสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง สำหรับงานวิจัยในไทยก็จะเริ่มการทดลองในขั้นต่อๆ ไปแล้ว โดยเฉพาะขององค์การเภสัชกรรม

สำหรับใครที่แชร์ข้อมูลที่อ่านไม่ถี่ถ้วน ถ้าเราแชร์แสดงว่าเราเชื่อตามนั้นแล้ว และนั่นอาจจะแสดงว่าคุณเป็นเจ้าของข้อมูลร่วมในชุดนั้นด้วย ฉะนั้นตรวจสอบและอ่านให้ถี่ถ้วน ถ้าไม่แน่ใจก็ตจรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไปจนได้ความจริง

Content Creator
กฤตนัน ดิษฐบรรจง
บรรณาธิการบริหาร MODERNIST Studio : ชอบดูทีวี สนใจเรื่องราวของสื่อสารมวลชน โดยเฉพาะสื่อทีวีและวิทยุ ชอบเขียนบทความ เป็นเด็กค่าย #YWC16

มุมมองการนำเสนอข่าวและข้อมูลวัคซีนโควิด-19 ของนักข่าวต่างประเทศ

3 พฤษภาคม 2564 กฤตนัน ดิษฐบรรจง

ขอบคุณที่มา : เวบส่องสื่อ

นอกจากเสวนาในช่วงแรกที่เป็นการพูดคุยของสื่อมวลชนไทยหลากหลายแขนง ร่วมกับผู้ตรวจสอบข่าวลวงในประเทศไทย ในเสวนาช่วงที่สองเป็นเสวนาที่มีวิทยากรคือนักข่าวต่างประเทศมาร่วมพูดคุยถึงกรณีการนำเสนอข้อมูลเรื่องวัคซีนโควิด-19 ในหัวข้อ “How should media report on Covid19-Vaccines without fear or favor?” ซึ่งส่องสื่อได้สรุปข้อมูลมาฝากกันครับ ติดตามจากบทความสรุปนี้ได้เลยครับ

Stéphane Delfour / AFP Bureau chief, South East Asia กล่าวว่า หน้าที่ของ AFP คือการตรวจสอบข้อมูลว่าทุกข่าวที่นำเสนอออกไปต้องมีความน่าเชื่อถือ เที่ยงตรง เพราะแค่เรื่องวัคซีนโควิด-19 ก็มีหลากหลายเรื่องที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นการเมืองหรือสุขภาพก็ตาม และยังเป็นประเด็นร้อนอีกด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ AFP ใช้นักข่าวจากทั่วโลกมาช่วยพัฒนาเนื้อหาให้เที่ยงตรงที่สุด ซึ่ง AFP อยากมีพื้นที่ในสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อทำให้เข้าถึงกลุ่มผู้รับข่าวสารใหม่ๆ มากขึ้น และเอื้อมมือให้ประชาชนในทวีปเอเชียเข้าถึงข้อมูลจริง ถูกต้องมากที่สุด ฉะนั้น การนำเสนอข่าวของ AFP นั้นเน้นการนำเสนอจากพื้นที่จริง นำเสนอจากข้อเท็จจริง และการให้ความเห็นเกิดจากพื้นฐานข้อมูลที่เป็นกลาง สร้างสมดุลให้ได้ และเป็นข้อมูลที่เป็นความจริง

แน่นอนว่าเราต้องอ้างอิงจากวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่แค่นักวิทยาศาสตร์เท่านั้น เราจำเป็นที่จะต้องระบุแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือในแต่ละประเทศเป็นใครบ้าง? และเขากล่าวว่าอย่างไรบ้าง? หลังจากนั้นก็จะตรวจสอบกับแหล่งข่าวอื่นๆ ด้วย เพื่อให้แน่ใจถึงข้อมูลที่ถูกต้อง นอกจากนี้ต้องเข้าใจการนำเสนอข่าวลวงว่ามีธุรกิจที่อยู่เบื้องหลังอย่างไรบ้าง? ตลอดจนการทำงานเป็นระบบของธุรกิจสื่อที่สร้างข่าวลวง เช่น การใช้พาดหัวข่าวที่ดึงกระแส ชวนให้เข้าใจผิดมากขึ้น เพื่อให้ได้เงิน ซึ่งการที่เราเข้าใจก็จะสามารถหาแนวทางเข้าถึงคนกลุ่มนี้ได้มากขึ้น

Ika Ningtyas / Secretary-General, The Alliance of Independent Journalists (AJI), Indonesia กล่าวต่อว่าในอินโดนีเซียเองมีการเข้าถึงสื่อสังคมออนไลน์มากกว่า ซึ่งจากการสำรวจพบว่าประชาชนจะเน้นการใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการสร้างความบันเทิงมากกว่าการอ่านข่าวสารมากกว่า แต่ทว่าการปล่อยข่าวลวงในอินโดนีเซียมีมาตั้งแต่ปี 2014 และในหลากหลายเรื่องราว ทั้งการเมือง ศาสนา และสาธารณสุข จากการสำรวจพบว่าในปี 2021 พบการปล่อยข่าวลวงลงออนไลน์ไป 111 ข่าว และเผยแพร่กระจายไปในสื่อสังคมออนไลน์มากกว่า 500 ครั้ง เช่น การฉีดวัคซีนโควิด-19

สิ่งหนึ่งที่ส่งผลให้ข่าวลวงกระจายไปเร็ว คือการที่คนไม่ให้ความเชื่อถือต่อรัฐ และการไม่รู้เท่าทันสื่อ นอกจากนี้คนยังไม่รู้เรื่องทางด้านสาธารณสุขด้วย จึงทำให้ข่าวลวงถูกส่งต่อไปได้ง่ายกว่าเดิมมากๆ ซึ่งการทำให้เกิดข่าวลวงที่ทำให้เข้าใจผิดมี 4 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ การสื่อสารของภาครัฐมีความอ่อนแอ, การรู้เท่าทันเรื่องวิทยาศาสตร์และสุขภาพมีน้อย, การพาดหัวข่าวและการใช้ภาพประกอบ และนักข่าวขาดความเข้าใจในเรื่องวัคซีน ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ในภาวะที่ท้าทายเป็นอย่างมาก

Rui Zhang / Lecturer Faculty of Journalism and Mass Communication, Thammasart University กล่าวถึงการนำเสนอข่าววัคซีนโควิด-19 ต่อว่าวัคซีนเป็นประเด็นทางวิทยาศาสตร์และสุขภาพ ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ถ้าเอาเรื่องราวทางการเมืองหรือความเห็นมาครอบงำก็จะทำให้เกิดการเอนเอียง ฉะนั้นจึงไม่เห็นด้วยที่จะนำเรื่องความเห็นมาชี้นำ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและเป็นเครื่องมือที่ส่งผลต่อความคิด ความเข้าใจในการเสพสื่อได้ต่อไปด้วย

สำหรับในการนำเสนอควรตั้งมุมมองทางวิทยาศาสตร์เป็นสำคัญ และดูนัยยะในการนำเสนอข่าวสาร รวมไปถึงมุมมองอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องของประเทศจีนเป็นอย่างไร เพราะย่อมมีความขัดแย้งในการแบ่งขั้วทางการเมือง เกิดเป็นความละเอียดอ่อนต่อเนื้อหานั้นๆ ด้วย เพราะฉะนั้นในการนำเสนอข่าวโดยเฉพาะของประเทศจีนเอง หลายฝ่ายอาจจะมองว่าเป็นนัยยะทางการเมือง แต่ถ้ามองทางด้านวิทยาศาสตร์เอง จีนก็ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่สามารถจัดการได้อย่างตรงจุดมากกว่า ในขณะที่สหรัฐอเมริกาก็ถูกตั้งคำถามถึงการนำนัยยะทางการเมืองมาเกี่ยวข้องกับวัคซีน ซึ่งมีผลกระทบต่อการจ่ายวัคซีนในแต่ละประเทศด้วยเช่นกัน

ในส่วนของประเด็นที่ทับซ้อนเอง สื่อไม่สามารถที่จะเปลี่ยนอุณหภูมิทางการเมืองได้ แต่เราสามารถเลือกเรื่องที่นำเสนอซึ่งต้องเน้นข้อเท็จจริงทางการแพทย์ผ่านการให้ข้อมูลร่วมกับบุคคลากรทางการแพทย์ และยังต้องให้ความรู้ ความบันเทิงแก่ประชาชนด้วย

Vanessa Steinmetz / Project Coordinator, Friedrich Naumann Foundation East and Southeast Asia กล่าวทิ้งท้ายว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้เกิดปัญหาในเรื่องของความเชี่ยวชาญในการทำงานข่าว และการสมดุลในการทำงานข่าว เช่น ในรายการทอล์กโชว์ที่เชิญแขกรับเชิญมาสองท่าน แต่มีท่านหนึ่งที่ใส่แค่ความเห็นตัวเองลงไป จึงทำให้ประชาชนไม่สามารถรู้เท่าทันสื่อได้จริง หรือการลงข่าวในหนังสือพิมพ์ที่พาดหัวข่าวสร้างความเข้าใจผิดให้กับประชาชนเป็นจำนวนมากอีกด้วย ซึ่งการนำเสนอข่าวเหล่านี้ ถ้าเกิดความผิดพลาดก็ควรที่จะกลับมาแก้ไขข่าวสารให้ถูกต้องได้ เพื่อที่จะสามารถทำให้ประชาชนรับรู้และรับทราบ ป้องกันการส่งต่อข่าวลวงไปมากกว่าที่เป็น

Content Creator
กฤตนัน ดิษฐบรรจง
บรรณาธิการบริหาร MODERNIST Studio : ชอบดูทีวี สนใจเรื่องราวของสื่อสารมวลชน โดยเฉพาะสื่อทีวีและวิทยุ ชอบเขียนบทความ เป็นเด็กค่าย #YWC16

ภาคีโคแฟค จัดงานเนื่องในวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก

3 พฤษภาคม 2564 กฤตนัน ดิษฐบรรจง

ขอบคุณที่มา : เวบส่องสื่อ

เมื่อวันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 ภาคีโคแฟค ประเทศไทย ร่วมกับหน่วยงานหลายภาคส่วน จัดกิจกรรมเนื่องในวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก ประจำปี 2564 โดยในงานได้มีการเสวนาเวทีนักคิดดิจิทัล ครั้งที่ 15 (Digital Thinkers Forum) ในประเด็น “วารสารศาสตร์แห่งความจริงในยุคโควิด : บทเรียนและอุปสรรค” และเสวนาสองภาษาในประเด็น โดยมีสื่อมวลชนและประชาชนได้ให้ความสนใจเข้าร่วมรับชมและถกเถียงผ่านการถ่ายทอดสดใน Facebook Page : Cofact เป็นจำนวนมาก

ผศ.ดร.เอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์ ที่ปรึกษาภาคีโคแฟค ประเทศไทย กล่าวถึงจุดมุ่งหมายในการจัดกิจกรรมในวันนี้ว่า การทำงานเรื่องการตรวจสอบข่าวลวงจำเป็นต้องใช้ระบบภาคีเครือข่ายในการร่วมตรวจสอบข่าวลวง และนอกเหนือจากนี้ยังต้องใช้หลักการทางวารสารศาสตร์ในการตรวจสอบข่าวลวงด้วย และในวันนี้ (3 พฤษภาคม 2564) เป็นวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก ซึ่งเป็นปีที่ 2 แล้วที่เราต่างอยู่ในสภาวการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สมาคมสื่อต่างๆ ในประเทศไทยก็ได้ออกแถลงการณ์ถึงความเป็นห่วงของการประกาศใช้ พ.ร.บ. ต่างๆ ที่อาจจะทำให้เกิดการแทรกแซงในการนำเสนอข่าวของรัฐได้

แนวคิดหลักของวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก คือการนำเสนอข่าวที่เที่ยงตรงและทำหน้าที่อย่างไม่เกรงกลัว สำหรับการจัดงานในวันนี้ก็คือการตรวจสอบข้อมูลด้านสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 อย่างเที่ยงตรง ไม่เอนเอียงฝ่ายใด และเที่ยงตรง เชื่อถือได้ พร้อมฝ่าฟันวิกฤตนี้ไปด้วยกัน

สนิทสุดา เอกชัย กรรมการ กองทุนสื่อเพื่อความยุติธรรมในสังคม กล่าวต่อว่า จากดัชนีเสรีภาพสื่อขององค์กรสื่อไร้พรมแดน พบว่าประเทศไทยในปี 2563 อันดับตกลงมาอยู่ที่ 140 ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากโครงสร้างอำนาจรัฐที่ควบคุมประชาชนและสื่อ ไม่ว่าจะเป็นการใช้กฎหมายหรือการแทรกแซง จนทำให้สังคมเกิดความเกลียดชังจากการถูกครอบงำ

การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลทำให้เห็นว่ารัฐที่ไร้ประสิทธิภาพ แต่อำนาจล้นเหลือ ทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบมากเพียงใด สื่อมวลชนจึงเป็นหนึ่งในที่พักพิงของประชาชนในการตรวจสอบความจริง โดยไม่ตกเป็นกระบอกเสียงของรัฐอย่างไร? และกู้ศรัทธาอย่างไรในภาวะที่อินเตอร์เน็ตซัดเข้าหาสื่อมวลชน และประชาชนต้องการความจริง เวทีวันนี้จะเป็นนิมิตรหมายอันดีที่จะทำให้เราช่วยกันก้าวข้ามผ่านการถูกครอบงำและค้นหาความจริงเพื่อกอบกู้ศรัทธาให้กับสื่อมวลชนและสังคมต่อไป

ดร.จิรพร วิทยศักดิ์พันธุ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ กล่าวทิ้งท้ายว่า ในฐานะผู้แทนสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ เราเชื่อมั่นในสิทธิของประชาชนที่จะมีสุขภาพที่ดีทั้งกาย ใจ และปัญญา ซึ่งข้อมูลข่าวสารเป็นหนึ่งในทรัพยากรที่สำคัญที่ส่งผลให้เกิดการเติบโตทั้ง 3 ด้านได้ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกสิ่งต่าง ๆ ซึ่งเป็นสิทธิของพลเมืองของทุกคน ตลอดจนการใช้วิจารณญาณซึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญ

ปัจจุบันการให้ข้อมูลกลายเป็นธุรกิจ และส่งผลทำให้เกิดการให้ข้อมูลเพียงแค่ด้านเดียว จนทำให้เกิดผลกระทบจำนวนมากต่อผู้คน การได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนทุกด้านทำให้ประชาชนสามารถดำรงชีวิตด้วยปัญญาและวิจารณญาณได้ สื่อมวลชนจึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะแก้ไขปัญหา ตรวจสอบความจริง และสามารถตรวจสอบข่าวสาร เพื่อทำให้ประชาชนได้รับข่าวสารที่เที่ยงตรง อันจะส่งผลทำให้สุขภาวะของสังคมดีขึ้น และขับเคลื่อนสังคมไทยให้ก้าวพ้นการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ได้

ทุกท่านสามารถติดตามโคแฟคได้ทาง www.cofact.org หรือ Facebook : Cofact-โคแฟค

Content Creator
กฤตนัน ดิษฐบรรจง
บรรณาธิการบริหาร MODERNIST Studio : ชอบดูทีวี สนใจเรื่องราวของสื่อสารมวลชน โดยเฉพาะสื่อทีวีและวิทยุ ชอบเขียนบทความ เป็นเด็กค่าย #YWC16