สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 8 มิถุนายน 2564


จริงหรือไม่…? กัญชาป้องกันและรักษาโควิดได้

ไม่จริง

เพราะ…ยังไม่มีงานวิจัยทางการแพทย์ที่ยืนยันว่ากัญชาช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ และกระทรวงสาธารณสุขยังไม่อนุญาตให้ใช้กัญชารักษาโรคโควิด-19

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/d4b4o3hjz3se


จริงหรือไม่…? สมุนไพร ใบเตย ตะไคร้ มะกรูด ขิง ข่า ต้มและนำมาสูดดมป้องกันโควิด

ไม่จริง

เพราะ…ยังไม่มีงานศึกษาวิจัยว่าสมุนไพรไทย ช่วยรักษาอาการป่วยจากโควิดหรือไม่ แต่มีงานวิจัยหลายชิ้นบอกว่าสมุนไพรไทย มีน้ำมันหอมระเหย สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายให้ดีขึ้น

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/aoduj8ddoy2h


จริงหรือไม่…? ต้มน้ำขิง กินทั้งวัน และ กินฟ้าทะลายโจร 3 เวลา ครั้งละ 5 เม็ด ดื่มน้ำมะนาว ผสมน้ำอุ่น เช้าเย็น กินอาหารสมุนไพรไทย รักษาโควิดได้

ไม่จริง

เพราะ…ยังไม่มีรายงานทางการแพทย์ใดยืนยันว่าการดื่มน้ำมะนาวผสมเกลือช่วยฆ่าเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3qrzw8vx9xaa4


จริงหรือไม่…? วัคซีนเข็ม 2 นอกจากจะตรวจความถูกต้องแล้ว ต้องบอกให้เขาลงหมายเลข passport

ไม่จริง

เพราะ…ไม่ต้องใช้เลขพาสปอร์ต แต่หากต้องการขอวัคซีนพาสปอร์ตเพื่อเดินทางข้ามประเทศ สามารถทำได้ในสถานที่กำหนด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/t3luhc8ya5l9


จริงหรือไม่…? การกระจายวัคซีน มิ.ย.

จริง

เพราะ…กรมควบคุมโรค เผยแผนกระจายวัคซีนโควิด มิ.ย.นี้ 6 ล้านโดส เตรียมจุดฉีดต่างจังหวัด 993 จุด กทม.25 จุด ประกันสังคม 25 จุด มหาวิทยาลัย 11 แห่ง ติดตามข้อมูลในจังหวัด หรือคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดนั้นๆ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/nyc6krvloazq


จริงหรือไม่…? วอล์ล แจกไอศครีม 1 ล้านแท่ง

จริง

เพราะ…แจกที่ศูนย์ให้บริการวัคซีน ตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. นี้ ตามข้อความ วอลล์ขอร่วมเป็นส่วนเล็กๆ ของช่วงเวลาแห่งความสุข

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1ak0sizi1oslr


จริงหรือไม่…? คนละครึ่ง เฟส 3 รับเพิ่ม 16 ล้านสิทธิ์

จริง

เพราะ…ผู้ที่เคยรับสิทธิ์แล้วกดยืนยันรับสิทธิในแอพเป๋าตัง ผู้ที่ยังไม่เคยรับสิทธิ์คนละครึ่ง เปิดลงทะเบียนเพิ่ม 14 มิ.ย. ผ่านแอพเป๋าตัง หรือ เว็บไซต์คนละครึ่ง เวลา 06.00-22.00 น.

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1if315laa8rll


ระวัง เพจปลอม “มาตรการรัฐ”

คิดให้ดี-ตรวจสอบให้ชัวร์ ก่อนเชื่อเพจปลอมมาตรการรัฐ

ปัจจุบันสื่อโซเชียลมีเดีย (Social Media) กำลังก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ทั้งในแง่ของการใช้เพื่อการสื่อสารในระดับบุคคล ระดับองค์กร และในระดับของใช้เพื่อสื่อสารในสาธารณะ โดยมีองค์กรมากมายใช้ช่องทางของโซเชียลมีเดียในการสื่อสาร อำนวยความสะดวก เนื่องจากเข้าถึงง่าย สื่อสารได้รวดเร็ว และมีต้นทุนที่ต่ำ โดยเฉพาะอย่างในการใช้สื่อผ่านช่องทางโซเชียลแพล็ตฟอร์ม Facebook

ล่าสุด We Are Social ได้ทำการสำรวจข้อมูลผู้ใช้ Facebook ในประเทศไทย ในเดือน มกราคม 2564 พบว่า คนไทยมีการใช้งาน Facebook ไม่น้อยกว่า 51 ล้านบัญชี หรือคิดเป็น 84.9% ของจำนวนประชากรที่มีอายุ 13 ปีขึ้นไป แน่นอนว่าหลายคนไม่ได้มีแค่บัญชีส่วนตัวเพียงอย่างเดียว แต่มีการสร้างแฟนเพจไว้ดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะการใช้เป็นช่องทางการสื่อสารให้ถึงกลุ่มเป้าหมาย 

อย่างในกรณีของการสร้างแฟนเพจที่เกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าวสารโครงการของรัฐ หรือมาตรการต่าง ๆ ที่ออกมาจากหน่วยงานของรัฐบาล จากการสำรวจข้อมูลพบว่า มีผู้ที่สร้างแฟนเพจในลักษณะนี้ค่อนข้างมาก โดยมีทั้งการนำเสนอข้อมูลจากทางรัฐในลักษณะต่าง ๆ ทั้งข้อมูลจริงของรัฐทั้งหมด ข้อมูลบิดเบือนจากข้อเท็จจริง ข้อมูลที่ทำขึ้นใหม่ หรือการนำความคิดเห็นของตัวเองนำเสนอไปในช่องทางนั้น ๆ ทำให้ผู้ที่ค้นหาข้อมูลได้ข้อมูลที่ผิดพลาด และคลาดเคลื่อน

อย่างในกรณีของเพจนำเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับนโยบายรัฐ โดยเฉพาะการช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เช่น เราไม่ทิ้งกัน เราเที่ยวด้วยกัน เราชนะ คนละครึ่ง และ ม33 เรารักกัน เพื่อมุ่งหวังให้เกิดผลประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ตามมาเป็นการส่วนตัว 

ทั้งนี้ กองบรรณาธิการเฉพาะกิจ TJA&Cofact  ได้สำรวจข้อมูลเบื้องต้นพบว่ามีแฟนเพจในลักษณะที่เกี่ยวข้องกันกับโครงการเหล่านี้จำนวนมาก ทั้งที่ใช้ชื่อโครงการโดยตรง หรือใช้ทั้งชื่อโครงการและสัญลักษณ์โครงการ โดยที่ไม่ใช่การทำมาจากหน่วยงานภาครัฐที่รับผิดชอบ และบางส่วนได้นำเสนอข้อมูลที่ผิดไปจากความจริงมาก จนทำให้ผู้ที่เข้าไปหลงเชื่อว่า เป็นเพจทางการของรัฐ และเกิดการเข้าใจผิดได้ 

กองบรรณาธิการเฉพาะกิจ TJA&Cofact ยังได้ทำการสอบถามถึงกรณีนี้ไปยัง นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยได้รับการยืนยันว่า เป็นห่วงเรื่องในลักษณะนี้เช่นกัน และตระหนักถึงเรื่องที่เกิดขึ้น โดยทางเพจที่จัดทำขึ้นแบบไม่เป็นทางการ หรืออาจเป็นเพจปลอมที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่จะไม่ได้นำเสนอข้อมูลอย่างถูกต้องตรงจุดที่ทางหน่วยงานนั้นต้องการนำเสนอ หรืออาจบิดเบือนไปจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น โดยที่ผ่านมาทางหน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการ หรือมาตรการเหล่านี้กออกมาแจ้งเตือนให้ประชาชนรับทราบ เช่น กระทรวงการคลัง ที่ได้มีการแจ้งเตือนอย่างเป็นทางการแล้ว

ทั้งนี้ในแนวทางการตรวจสอบข้อมูลที่ดีที่สุด รัฐบาลเองอยากให้ประชาชนที่ต้องการรับทราบข้อมูลของโครงการช่วยเหลือ เยียวยาต่าง ๆ ที่ออกมา ต้องติดตามข้อมูลข่าวสารในช่องทางที่เป็นทางการของหน่วยงานนั้นโดยตรง เช่น กระทรวงการคลัง หรือกระทรวงแรงงาน หรือเพจของรัฐบาล คือ ไทยคู่ฟ้า ที่มีข้อมูลจากหน่วยงานนั้น ๆ มานำเสนออย่างถูกต้องที่สุด หรือถ้าประชาชนมีข้อสงสัย ก็สามารถติดต่อไปยังหน่วยงานโดยตรงได้ผ่านหลากหลายช่องทาง ทั้งออนไลน์ และโทรศัพท์ 

“เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการติดตามข่าวสารโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาลที่ออกมาช่วยเหลือ หรือประชาสัมพันธ์ข้อมูล จึงขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารผ่านช่องทางที่เป็นทางการ ทั้งเว็บไซต์ หรือ Facebook หรือช่องทางอื่น ๆ ได้ ขณะเดียวกันในด้านการตรวจสอบเว็บไซต์ หรือแฟนเพจปลอมต่าง ๆ ทางกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอีเอส ก็กำลังติดตาม และคอยตรวจสอบอยู่อย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อ และรับทราบข้อมูลข่าวสารจากภาครัฐที่ไม่ถูกต้อง”

ก่อนหน้านี้ทางกระทรวงการคลังเองได้ออกมาแจ้งเตือนประชาชน หลังพบว่ามีผู้แอบอ้าง หรือผู้ที่ทำเว็บไซต์ และจัดทำเพจ เฟซบุ๊กขึ้นมา โดยใช้ชื่อเหมือน หรือใกล้เคียงกับ โครงการของรัฐ  โดยยืนยันว่า ประชาชนสามารถตรวจสอบข้อมูลข่าวสารและมาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ ผ่านช่องทางที่เป็นทางการของกระทรวงการคลัง เว็บไซต์ www.mof.go.th หรือในเฟซบุ๊ก สถานีข่าวกระทรวงการคลัง และเว็บไซต์ www.fpo.go.th หรือในเฟซบุ๊ก สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง : Fiscal Policy Office

ส่วนที่นอกเหนือไปจากนี้ขอให้ระมัดระวังในการพิจารณาข้อมูล และอย่ากรอกข้อมูลส่วนตัวใด ๆ ลงไปในเว็บไซต์เหล่านั้น

ลิงค์ข่าว https://www.tja.or.th/view/tjacofact/1331647

ผู้แทน WHO แนะบทบาทสื่อมวลชน ในวิกฤตโควิด19

เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 64 องค์การอนามัยโลก ประจำประเทศไทย (World Health Organization Thailand) จัดเวทีให้ความรู้สื่อมวลชนในประเทศไทย ในหัวข้อ “การกระจายวัคซีนในประเทศไทย” ซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับวัคซีน เพื่อสนับสนุนประชาชนและภาครัฐในการควบคุมการระบาดของโรคโควิด 19 โดยเชิญตัวแทนจากองค์การอนามัยโลกและผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขจะมาให้ข้อมูลทางวิชาการ

โดยตอนหนึ่ง นายแพทย์แดเนียล เคอร์เทสซ์ ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย ได้ตอบคำถามสื่อมวลชนที่ถามว่า WHO ห่วงการนำเสนอข่าวแบบไหนเกี่ยวกับวัคซีน ที่สื่อมวลชนต้องระวัง รวมทั้งประชาชนต้องระมัดระวังข่าวแบบไหนเช่นกัน

นายแพทย์แดเนียล กล่าวว่า เราเห็นชัดเลยว่า ตั้งแต่ช่วงแรกที่เกิดการระบาด ข้อมูลหลากหลายและสับสนมาก บางทีไม่ใช่แค่ตัวโรคอย่างเดียว แต่วัคซีนอันไหนอย่างไร ดังนั้น การที่เราทำงานร่วมกับสื่อเป็นส่วนที่สำคัญอย่างมาก และก็เป็นกลไกสำคัญในการช่วยควบคุมและป้องกันโรค การส่งเสริมการไปรับวัคซีนของประชาชนด้วย เพราะฉะนั้น สื่อควรจะให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ควรจะให้ประชาชนเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น นอกจากเกิดอะไรขึ้นคือ สามารถประเมินตัวเองได้ว่าอยู่กลุ่มไหน ควรจะไปลงทะเบียนทำอะไรอย่างไร

ทั้งนี้ สื่อเป็นตัวหลักที่ช่วยกระจายข้อมูลที่ถูกต้องและส่งเสริมการไปรับวัคซีน อยากจะกระตุ้นเพื่อนๆ สื่อมวลชนอีกที ไม่ใช่วัคซีนป้องกันชีวิตได้อย่างเดียว การให้ข้อมูลที่ถูกต้องจะป้องกันชีวิตได้ด้วย อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน เป็นสิ่งที่ WHO เองก็พูด ทางสื่อ ทางรัฐเองก็พูด ว่า ระหว่างที่เราให้คนฉีดวัคซีนได้มากพออย่าการ์ดตก ไม่ใช่ว่าวัคซีนมาแล้วทุกอย่างจะหายไป เราก็ต้องใส่หน้ากากเหมือนเดิม ล้างมือเหมือนเดิม Social Distancing เหมือนเดิม อย่าคิดว่า เดี๋ยววัคซีนมา คนฉีดแล้ว ทุกอย่างจะหายไป มันไม่ได้เป็นแบบนั้น อยากจะเป็นสิ่งที่ให้สื่อช่วยกระตุ้นด้วยว่า ให้ทุกคนมาฉีดวัคซีน แล้วก็ป้องกันตัวเองเช่นเดิม

นอกจากนี้ นายแพทย์แดเนียล ยังตอบคำถามที่ถามว่า WHO มีแนวทางการจัดการ Fake News ในเรื่องของการระบาดและวัคซีนอย่างไรว่า การจะสู้กับ Fake News จริง ๆ สู้ยากกว่าโรคอีก เพราะมันไม่เห็นว่ามาจากไหน มาได้ยังไง พูดง่ายๆ คือ ต้องให้สื่อกระแสหลักทำรีเสิร์ชให้ดี ๆ เช็กข้อมูลให้ดี ๆ ฟังใครก็ฟังคนที่ให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือ อย่าไปหยิบตรงนั้นตรงนี้ที่มาจากไหนก็ไม่รู้ เรียกว่าให้ทำ Investigative Journalism หรือการสื่อสารเชิงสอบสวน การหาข่าวเชิงสอบสวน ให้เช็กให้ดี ๆ เพราะว่าทุกคนก็มีบทบาทหน้าที่ เพราะสื่อไม่ใช่แค่ผู้รายงาน แต่ต้องเป็นผู้รายงานสิ่งที่ถูกต้อง เราจะสู้สิ่งที่ผิดได้ ก็คือเอาสิ่งที่ถูกไปให้เยอะกว่านั้น อันนี้จะต้องทำเรื่อย ๆ ไม่ใช่ว่าโรคระบาดอย่างเดียว เรื่องอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน สื่อสิ่งที่ดีออกไปก็จะเป็นการกำจัดสิ่งที่ไม่ดีได้ อีกอย่างคือความเชื่อมั่น จะต้องเชื่อมั่นในหลายๆ ส่วน เชื่อมั่นในเจ้าหน้าที่บุคลากรการแพทย์

แล้วก็ประเทศไทย คนก็ค่อนข้างเชื่อมั่นบุคลากรทางการแพทย์ค่อนข้างมาก ไปถึง อสม. ต่าง ๆ ระดับนั้นเลย แล้วเราก็เห็นหลายๆ ประเทศ เช่น ภูฏาน ที่รัฐบาลทำให้ประชาชนเชื่อถือ ก็จะทำให้การฉีดวัคซีนทำได้มากขึ้น เพราะเชื่อมั่นสิ่งที่รัฐบาลบอกมาเป็นสิ่งที่ถูกต้อง คือ เมื่อไหร่ก็ตามที่มีความเชื่อมั่นกันและกัน จะบริหารจัดการทุกอย่างได้ง่ายขึ้น รวมถึงการบริหารจัดการโรคด้วย แล้วก็ส่งผลต่อการฉีดวัคซีนได้มากขึ้นด้วย

“ถ้าจะขอร้องสักข้อหนึ่งถึงสื่อมวลชนก็อยากให้อย่าคิดว่าตัวเองไม่สำคัญ สื่อสำคัญมาก ช่วยชีวิตคนอื่นได้ด้วยการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง โดยเฉพาะความมีประสิทธิภาพของวัคซีน ความปลอดภัยของวัคซีน ความจำเป็นในการไปฉีดและรับวัคซีน เป็นสิ่งที่อยากจะขอร้องให้สื่อกระจายให้ประชาชนเข้าใจถูกต้องด้วย”

นายแพทย์ แดเนียล กล่าว

ลิงค์ข่าว https://www.tja.or.th/view/tjacofact/1331685

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 3 มิถุนายน 2564


จริงหรือไม่…? ผู้รับวัคซีนทั้งหมดจะเสียชีวิตใน 2 ปี

ไม่จริง

เพราะ…Luc Montagnier ไม่ได้พูดประโยคดังกล่าว ไม่มีหลักฐานใดอ้างอิง แม้เขาจะไม่เห็นด้วยกับวัคซีนก็ตาม

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/169hziuu8ddop


จริงหรือไม่…? องค์การอนามัยโลก รับรองวัคซีนซิโนแวค

จริง

เพราะ…ผลิตโดย ซิโนแวค ไบโอเทค สำหรับรายการใช้ในกรณีฉุกเฉิน เพื่อปูทางสู่การใช้วัคซีนตัวที่ 2 ของจีน ในประเทศยากจน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/xrvv8siq2fgf


จริงหรือไม่…? บมจ.ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป เปิดลงทะเบียนสำหรับผู้ที่สนใจวัคซีนทางเลือก Moderna

จริง

เพราะ…เป็นการสำรวจความต้องการ โดยให้ลงชื่อและรายละเอียดไว้ก่อน รพ.จะติดต่อกลับอีกครั้งเมื่อวัคซีนพร้อมให้บริการ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/5ob6bvq3703w


จริงหรือไม่…? WHO ตั้งชื่อใหม่ ของโควิด กลายพันธุ์

จริง

เพราะ…เปลี่ยนมาใช้ตัวอักษรกรีกแทน เพื่อจดจำและออกเสียงง่าย ไม่ต้องตีตราให้เข้าใจผิดว่าเป็นประเทศต้นกำเนิด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1y7wun8jrwj5n


จริงหรือไม่…? ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงกับการฉีดวัคซีน

จริง

เพราะ…เป็นคำแนะนำจาก รพ.จุฬาฯ สำหรับผู้เป็นโรคความดันฯ เพื่อเตรียมความพร้อมในการฉีดวัคซีนโควิด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3g7j4yq2qkes1


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 1 มิถุนายน 2564


จริงหรือไม่…? ซีพีปิดข่าว หมูไก่ติดเชื้อตัวใหม่ และเป็นเอดส์ ห้ามกิน 6 เดือน ติดเชื้อตายใน 9 วัน

ไม่จริง

เพราะ…ยังไม่พบกรณีหมู-ไก่เป็นโรคเอดส์ ในพื้นที่ที่มีการอ้างถึง และในทุกพื้นที่ของประเทศไทย.

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3mdsir015v5ul


จริงหรือไม่…? เปลือกไข่รักษาโรคเริม งูสวัดได้

ไม่จริง

เพราะ…ชัวร์ก่อนแชร์ ตรวจสอบ พบ ไม่เป็นความจริง ไม่มีข้อมูลทางการแพทย์ยืนยันว่าสามารถรักษาได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/g3jj44t68w1y


จริงหรือไม่…? ภาพการเสียชีวิตของนกหลายตัว ในประเทศอินเดีย

ไม่จริง

เพราะ…ชัวร์ก่อนแชร์ ตรวจสอบ ยังไม่ได้รับข้อมูลยืนยันที่แท้จริง ดังนั้นไม่ควรแชร์ต่อ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3bhn2y7dy8ch1


จริงหรือไม่…? เพจเราชนะ ของภาครัฐโพสต์​นี้จริงไหม

ไม่จริง

เพราะ…ไม่ใช่เพจของหน่วยงาน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2v1guekr7i3fs


จริงหรือไม่…? สธ. กำหนดให้สถานพยาบาลเอกชนให้บริการแก่บุคคลที่เกิดอาการไม่พึงประสงค์ จากการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด -19

จริง

เพราะ…เพื่อเพิ่มสิทธิเบิกจ่ายดูแลผู้ป่วยจากการฉีดวัคซีน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/g9rcoopp2bw9


จริงหรือไม่…? มูลนิธิพุทธรักษา ระดมทุนจัดหาเครื่องช่วยหายใจเพื่อช่วยต่อลมหายใจให้กับผู้ป่วย โควิด19

จริง

เพราะ…มูลนิธิพุทธรักษา ร่วมกับ LIFEiS และ มูลนิธิอริยวรารมย์ ในโครงการ Pay it Forward

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3d8anvl87j88l


จริงหรือไม่…? ก.ล.ต. เตือนการทำธุรกรรม DeFi ต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

จริง

เพราะ…ตาม พ.ร.ก.สินทรัพย์ดิจิทัลฯ ใบอนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. และใบอนุญาตจาก รมต.คลัง

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3ok6qfdolcmob


จริงหรือไม่…? ภูเก็ตแซนด์บอกซ์ เริ่ม 1 ก.ค.64

จริง

เพราะ…นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต เผย แผนเปิดเกาะภูเก็ตยังคงยืนยันในวันที่ 1 ก.ค.64

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/kqq78sa6k9y8


จริงหรือไม่…? ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ฯ สนับสนุนคนอายุ18 ปีขึ้นไปฉีดวัคซีนโควิด19

จริง

เพราะ…เพจ FB ได้เผยแพร่แนวทางเวชปฏิบัติการให้วัคซีนแก่ผู่ใหญ่และผู้ป่วยในโรงพยาบาล

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1rz133qu3owqf


จริงหรือไม่…? แอปพลิเคชั่น หมอพร้อมหยุดให้บริการ

จริง

เพราะ…แจ้งหยุดเปิดจองคิวฉีดวัคซีนโควิดชั่วคราว ตั้งแต่ 31 พ.ค.เป็นต้นไป ตามนโยบาย ศบค. แต่ยังปจ้งความประสงค์ได้ตามช่องทางอื่นๆ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/34vqt4v56rx0t

วงเสวนาแนะทางออก‘ขัดแย้งออนไลน์’ เปิดพื้นที่ปลอดภัย-ฟังเพื่อเชื่อมต่อกันให้มากขึ้น

วงเสวนาแนะทางออก‘ขัดแย้งออนไลน์’เปิดพื้นที่ปลอดภัย-ฟังเพื่อเชื่อมต่อกันให้มากขึ้น

บ่ายวันที่ 28 พ.ค. 2564 โคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สถาบันเชนจ์ฟิวชั่น Centre for Humanitarian Dialogue (“hd) มูลนิธิฟรีดริช เนามัน และมูลนิธิสถาบันการจัดการวิถีพุทธเพื่อสุขและสันติ (สกพ. IBHAP) จัดงาน (ออนไลน์) เสวนานักคิดดิจิทัลครั้งที่ 16 กาลามสูตรในยุคดิจิทัล: เส้นแบ่งบางๆระหว่างความจริงและความเชื่อ Digital Thinkers Forum #16 “How to draw a thin line between facts & faith in digital age? โดยหนึ่งในนั้นคือการเสวนาหัวข้อ “เราจะไกล่เกลี่ยความขัดแย้งในโลกไซเบอร์ (Cybermediation) ได้หรือไม่” ในช่วงท้ายของงานดังกล่าว

น.ส.ธีรดา ศุภะพงษ์ ผู้แทนประเทศไทย Centre for Humanitarian Dialogue (HD) กล่าวว่า คำว่า “ไกล่เกลี่ย (Mediation)” เป็นคำที่ใช้กันในหลายวงการ ทั้งการเจรจาสร้างสันติภาพ การเจรจาทางคดีความในกระบวนการยุติธรรม ฯลฯ ทั้งที่เป็นและไม่เป็นทางการ โดยมีฝ่ายที่ 3 มาเป็นคนกลางรับฟังและหาทางออก นำมาสู่ข้อตกลงที่คู่ขัดแย้งทั้ง 2 ฝ่ายต้องปฏิบัติตาม 

ซึ่งคนที่จะทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยได้นั้นต้องมีคุณสมบัติคือความเข้าใจว่า การที่คนแต่ละคนที่จะทำอะไรบางอย่างนั้นทำไปด้วยมุมมอง ฐานคิดหรือความเชื่ออย่างไร หรือมีผลประโยชน์ต่อเรื่องราวนั้นอย่างไร และจะสานผลประโยชน์ระหว่าง 2 ฝ่ายที่มีจุดยืนแตกต่างกันได้อย่างไร หรือก็คือมองหาจุดร่วมของทั้ง 2 ฝ่าย ส่วนคำว่า “การไกล่เกลี่ยทางไซเบอร์ (Cybermediation)” นั้นเกิดขึ้นในการประชุมปี 2561 ของ UN Department of Political Affairs , Diplo Foundation , SwissPeace  และ HD โดยมีคำถามสำคัญคือ 

1.เทคโนโลยีดิจิทัลส่งผลต่องานคลี่คลายความขัดแย้งและการป้องกันความขัดแย้งที่รุนแรงได้อย่างไร กับ 2.ผู้ไกล่เกลี่ยจะใช้เครื่องมือทางเทคโนโลยีดิจิทัลมาเป็นประโยชน์ในกระบวนการคลี่คลายความขัดแย้งและการป้องกันความรุนแรงได้อย่างไร ซึ่งโลกยุคใหม่ข้อมูลข่าวสารและมุมมองความเห็นถูกเผยแพร่อย่างรวดเร็ว อีกทั้งผู้คนยังได้พบเจอกันมากบนพื้นที่ออนไลน์ การที่ผู้คนซึ่งต่อสู้หรือต่อรองผลประโยชน์กันบนพื้นที่ออฟไลน์ (โลกจริง) ขยายวงเข้ามาในพื้นที่ออนไลน์ มีการใช้วาทกรรมหรือใช้เครื่องมืออย่างไรบ้างในการประลองกำลังกัน

“เราสามารถทำได้เพราะมีเสรีภาพในการแสดงออก แต่มีจุดไหนไหม? ที่น่าจะมาดูว่าเส้นแบ่งในการเคารพกันของความแตกต่างทางความคิดมุมมองต่างๆ เสรีภาพในการแสดงออก กับเส้นแบ่งของการที่จะไปละเมิด ไปปลุกเร้าให้เกิดความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นหลังมีการสื่อสารในทำนองนั้นในโลกออนไลน์แล้วอย่างไร ซึ่งอันนี้เป็นความท้าทายใหม่ของคนทำงานด้านไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง การทำงานด้านกระบวนการสันติภาพ ที่มองว่าบริบทใหม่ท้าทายขึ้นกว่าเดิม” น.ส.ธีรดา กล่าว

น.ส.ธีรดา กล่าวต่อไปว่า ในอดีตการไกล่เกลี่ยอาจทำในวงปิด ไปพบกันในพื้นที่ที่เรียกว่าพื้นที่ปลอดภัย แต่ปัจจุบันอาจต้องคำนึงถึงว่า การที่จะหาข้อตกลงกัน หาฉันทามติร่วมกัน อาจต้องเปิดให้มีส่วนร่วมและต้องรับฟังผู้ที่มีส่วนได้-เสียมากขึ้น ส่วนทักษะใหม่ของผู้ไกล่เกลี่ยในยุคดิจิทัล เช่น การใช้เครื่องมือสื่อสังคมออนไลน์ สร้างการสื่อสารสาธารณะให้เกิดแนวคิดหรือพื้นที่ของคนที่อยากหาทางออกร่วมกัน หรือการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เก็บข้อมูลการใช้ถ้อยคำของฝ่ายต่างๆ หรือใช้เทคโนโลยีความจริงเสมือน (VR) จำลองมุมมองของแต่ละฝ่ายให้เข้าใจกัน เป็นต้น

ทั้งนี้ หากจะทำเรื่องการไกล่เกลี่ยทางไซเบอร์ สิ่งที่ต้องคำนึงถึง 1.กระบวนการคลี่คลายความขัดแย้ง 2.ผู้ไกล่เกลี่ย พื้นที่ปลอดภัย องค์กรที่คู่ขัดแย้งไว้วางใจ 3.บริบทแวดล้อม เช่น คนที่อยู่ตรงนั้นมีความรู้สึกเพียงใดว่าจะต้องป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรง 4.เครื่องมือประเมินและติดตามสถานการณ์ 5.ความสามารถในการหาข้อเท็จจริง แยกแยะได้ระหว่างข้อเท็จจริง ความเห็นและข่าวลวง และ 6.การสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการหาฉันทามติอย่างสร้างสรรค์ 

ผศ.ดร.ปารีณา ศรีวนิชย์ คณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เดิมทีความคิดอาจอยู่ในสมองหรืออยู่ในคนที่แวดวงใกล้เคียง แต่ปัจจุบันความคิดสามารถเผยแพร่สู่สาธารณะได้ง่าย ซึ่งแม้จะไม่กระทบกับเนื้อตัวร่างกาย แต่จะกระทบกับชื่อเสียง เกียรติยศ อารมณ์ความรู้สึก แต่หากไปถึงขั้นข่าวลวงหรือถ้อยคำที่สร้างความเกลียดชัง ก็อาจนำไปสู่การใช้ความรุนแรงต่อทรัพย์สินหรือต่อบุคคลอื่น มีการทำร้ายร่างกายถึงขั้นบาดเจ็บหรือเสียชีวิต หรือผลกระทบทางจิตใจ เช่น บางคนอับอายจนทำร้ายตนเองหรือต้องย้ายถิ่นฐานหนีไป 

ส่วนการจัดการความขัดแย้ง หากเป็นวิธีที่เป็นทางการคือใช้กระบวนการทางกฎหมาย ฟ้องคดีแพ่งหรืออาญาโดยมีปลายทางอยู่ที่คำตัดสินของศาล แต่การเข้าช่องทางแบบเป็นทางการนี้ก็มีค่าใช้จ่ายสูง อีกทั้งคำตัดสินก็ตั้งอยู่บนฐานของกฎหมายที่เขียนไว้ ดังนั้นแม้เรื่องราวจะยุติลงได้ แต่เป็นธรรมหรือไม่นั้นก็เป็นอีกคำถามหนึ่ง จึงเกิดแนวทางกระบวนการยุติธรรมทางเลือกขึ้น โดยการไกล่เกลี่ยเป็นหนึ่งในวิธีเหล่านั้น และเป็นวิธีที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับวิธีอื่นๆ เช่น การเจรจา ที่คู่ขัดแย้งอาจมีอำนาจต่อรองไม่เท่ากัน หรือการใช้อนุญาโตตุลาการ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงมาก 

ความขัดแย้งบนโลกไซเบอร์นั้นแบ่งได้ 2 ส่วนคือ 1.ความขัดแย้งส่วนบุคคล เช่น มีการใช้ภาพตัดต่อ เผยแพร่คลิป ใช้ถ้อยคำโจมตีกัน ฯลฯ กรณีนี้สามารถไกล่เกลี่ยตามกระบวนการทางกฎหมายได้ กับ 2.ความขัดแย้งในสังคมที่มาจากโลกไซเบอร์ ซึ่งมาจากความแตกต่างของชุดข้อมูลที่ได้รับ ชุดความคิดที่มี ตลอดจนความเชื่อ ความเห็นและการให้คุณค่าที่แตกต่างกัน 

และหลักการที่จะนำไปสู่การไกล่เกลี่ย 1.ความจริง การไกล่เกลี่ยทุกประเภทจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีความจริง 2.ครอบคลุม ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายต้องเข้ามาอยู่ในกระบวนการ ไม่ใช่ตัดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งออกไป 3.ไว้วางใจ กระบวนการต้องเชื่อถือได้ ซึ่งมาจากการรับฟังและพูดคุยกัน รวมถึงมีคนกลางที่น่าเชื่อถือ แต่ความยากสำหรับกรณีโลกไซเบอร์ คือจะหาความจริงได้หรือไม่ อะไรคือความจริง ความเชื่อและความคิดเห็น 

ผศ.ดร.ปารีณา กล่าวต่อไปว่า โดยพื้นฐานไม่มีใครอยากส่งต่อความเท็จหรือข่าวลวงถ้าไม่ใช่พวกมิจฉาชีพ ส่วนใหญ่ที่ส่งต่อเพราะเชื่อว่าเป็นความจริง แต่เพราะยุคนี้ต้องเร็วต้องฉับไวบวกกับทุกคนผลิตเนื้อหาได้ ในอดีคกว่าหนังสือพิมพ์จะออกสักฉบับหนึ่งต้องผ่านกระบวนการหลายขั้น แต่ยุคนี้ด้วยความที่ต้องไวและทำรูปแบบให้โดนใจ ความคลาดเคลื่อนก็เกิดขึ้นได้ แต่ข้อมูลเมื่อมันเข้าไปในโลกไซเบอร์แล้วโอกาสที่จะหายไปนั้นยากมาก 

แต่กระบวนการตรวจสอบจึงเป็นประเด็นท้ทาย เพราะเมื่อหันไปดูภาครัฐก็ไม่มั่นใจว่าจะเชื่อถือได้หรือไม่ ซึ่งรัฐควรมีวัฒนธรรมการเปิดเผย โปร่งใสและตรงไปตรงมาในการให้ข้อมูล รวมถึงต้องมีเอกภาพ ไม่ใช่หน่วยงานนี้พูดอย่างหนึ่ง ต่อมาอีกหน่วยงานก็มาบอกว่าหน่วยงานนั้นพูดไม่ถูกต้อง ประชาชนนั้นแยกไม่ออกเพราะทั้ง 2 หน่วยงานเป็นภาครัฐทั้งคู่ แล้วประชาชนก็รู้สึกว่าไม่มีที่พึ่ง ส่วนสื่อก็ต้องระมัดระวัง จะเผยแพร่ข้อมูลโดยใช้มาตรฐานเดียวกับคนทั่วไปไม่ได้ ต้องตรวจสอบมากกว่านั้น และต้องแยกแยะระหว่างข้อเท็จจริงกับความคิดเห็น

ผศ.ดร.ปารีณา ยังยกตัวอย่างความขัดแย้งระหว่างรุ่น ที่ผู้ใหญ่ตั้งคำถามว่าทำไมเด็กต้องออกมาประท้วงเรียกร้อง นั่นเพราะผู้ใหญ่อยู่กับความสุขที่ผ่านมา คือเห็นว่าตนเองรอดแล้ว ในขณะที่เด็กมองว่าตนเองยังไม่รอดและไม่รู้ว่าตนเองจะรอดหรือไม่ จึงต้องการพื้นที่มากกว่าผู้ใหญ่ ดังนั้นผู้ใหญ่จึงต้องเปิดพื้นที่ให้มากขึ้น ฟังให้มากขึ้น ซึ่งการไกล่เกลี่ยนอกจากจะให้มาเป็นส่วนหนึ่งแล้ว การฟังก็เป็นเรื่องสำคัญ

“หัวใจสำคัญที่สุดของการไกล่เกลี่ยที่ดีคือการฟัง และทำ Dialogue (บทสนทนา) ร่วมกัน พูดคุยกันเพื่อมองหา Concern (ข้อกังวล) มองหา Interest (ประโยชน์) แล้วถ้าเรามีเวทีที่ฟังกันแบบนี้ได้ สุดท้ายแล้วเราอาจจะพบว่าเราต้องการอย่างเดียวกันก็ได้แต่ด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน แล้วค่อยมาหาตัว Common Ground (พื้นที่กลาง) บางเรื่องที่แตกต่างกันอาจจะเก็บไว้ก่อน แต่บางเรื่องแก้ไขได้แก้ไขได้ไหม” ผศ.ดร.ปารีณา กล่าว 

ผศ.ดร.ปารีณา ยังกล่าวอีกว่า คนแต่ละรุ่นจะมีวิธีการแสดงออกที่ไม่เหมือนกัน แต่เรามักจะเลือกว่าต้องใช้วิธีการสื่อสารแบบนี้จึงจะฟัง แต่ละคนก็จะอยู่ในพื้นที่ของตนเอง ซึ่งอยากให้รับฟังกันที่เนื้อหาและสร้างกรอบกติกาขึ้นมา เพราะสิ่งที่เคยยอมรับกันได้หรือยอมรับไม่ได้ในอดีต ปัจจุบันอาจเปลี่ยนไปแล้ว กระบวนการจึงสำคัญมาก จะทำอย่างไรถึงจะมีกระบวนการที่จะรวมทุกคนมาได้แบบเป็นหุ้นส่วนจริงๆ แต่ก็จะต้องมีความปลอดภัย เพราะหากไม่มีความปลอดภัยแล้ว เสรีภาพหรือความคิดสร้างสรรค์ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้

ดร.พิมพ์รภัช ดุษฎีอิสริยกุล ผู้ประสานงานโครงการ Thailand Talk มูลนิธิฟรีดริช เนามัน (FNF) มองว่า ความขัดแย้งในปัจจุบันที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะในบริบทสังคมไทย ไม่ใช่เพียงเพราะความแตกต่างระหว่างรุ่นหรือกลุ่ม แต่ยังเป็นเพราะไม่มีการเชื่อมต่อกัน ดังที่มีการพูดกันเสมอว่าแต่ละคนอยู่ใน Bubble (ฟองสบู่) ของตนเอง ก็จะได้ยินแต่เสียงสะท้อนของตนเองในนั้น นำไปสู่การมีความเชื่อแต่เฉพาะกลุ่มที่ได้ยินในจุดนั้น มองว่าสิ่งนั้นถูกต้องแล้ว 

ดังนั้นต้องมีพื้นที่หรือระบบนิเวศที่ทำให้คนรู้สึกสบายใจที่จะสนทนากัน รวมถึงเพิ่มความสามารถให้ผู้คนกลับมาเชื่อมต่อกัน ซึ่งมีตัวอย่างจากโครงการ My Country Talk ที่เริ่มจากในประเทศเยอรมนี โดยจะมีโปรแกรมที่นำคำถามที่กลายเป็นประเด็นแบ่งแยกคนในสังคม เช่น จะฉีดวัคซีนโควิด-19 หรือไม่ ถ้าจะฉีดควรฉีดยี่ห้อใด เป็นต้น นำไปฝากไว้ตามสื่อต่างๆ ที่เข้าร่วมโครงการ เมื่อผู้สนใจมาเห็นและทิ้งคำตอบไม่ว่าทางใด ระบบจะเก็บไว้ กระทั่งเมื่อปิดรับลงทะเบียน ก็จะมีวันที่เชิญคนที่เห็นต่างกันมากๆ มาคุยกัน

“เราบางคนไม่เคยเจอกัน แต่เกลียด ไม่ชอบ เพราะเราไปอยู่ในโลกของเราใบหนึ่งที่เราก็จะได้อย่างนี้ คนนี้คิดไม่เหมือน คนนี้คิดต่างจากเรา คนนี้อย่างนี้ไม่ดี ความจริงของโลกหนึ่งของเรากับความจริงอีกโลกหนึ่งของเขา มันก็คือความจริงของทั้ง 2 ฝ่าย ความจริงที่มีความเชื่อของเขาเองอยู่ในนั้น แล้วก็มันมีความเชื่อบางอย่างที่คล้ายกัน หรือมีความจริงบางชุด มันจะมีความจริงย่อยความเชื่อย่อยที่มันอยู่ในนั้น ซึ่งบางทีถ้าเราได้คุยกันมันเคลียร์ได้ มันอาจจะมองเห็นได้”

ดร.พิมพ์รภัช กล่าว

ดร.พิมพ์รภัช กล่าวต่อไปว่า โปรแกรม My Country Talk ไม่ได้ต้องการให้เปลี่ยนความคิด การที่จะไกล่เกลี่ยได้ต้องมีความสามารถในการเคารพและเข้าใจความจริงหรือความเชื่อของกลุ่มต่างๆ โดยไม่ต้องเปลี่ยน กระบวนการสนทนานอกจากเพื่อให้ทั้ง 2 ฝ่ายได้พูดและฟังกันแล้ว ยังเชื่อว่ามนุษย์มีความพิเศษตรงนี้ถ้าได้เจอกันและคุยกันจริงๆ จะไม่ฆ่ากันตาย ซึ่งความเชื่อนี้ปรากฏให้เห็นในการทำโครงการที่เยอรมนี ถึงขนาดมีคนขับรถข้ามเมืองมาเพื่อจะเจอคนที่เห็นต่างกับตนเองอย่างสุดขั้ว แต่ท้ายที่สุดแม้ทั้ง 2 ฝ่ายจะไม่ได้เปลี่ยนความคิด แต่ก็ยังสัญญาว่าจะมาเจอกันทุกปี

ข้อค้นพบนี้ทำให้ย้อนกลับมามองที่สังคมไทย ว่าตกลงแล้วเป็นเพราะเราไม่เคยคุยกันจริงๆหรือเปล่า นำมาสู่การทำโครงการ Thailand Talk เปิดพื้นที่ให้คนได้มาฟังและพูดคุยกันเพื่อเชื่อมต่อคนเข้าด้วยกัน เพราะตราบใดที่เรายังเป็นมนุษย์อยู่ในสังคมเดียวกัน พื้นที่นี้ก็จะเปิดไว้ให้สำหรับทุกคนสามารถเชื่อมต่อกัน และสร้างความเข้าใจด้วยกันได้

น.ส.สายใจ เลี้ยงพันธุ์สกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลดิจิทัลเพื่อสังคม กล่าวว่า หากมองความขัดแย้งในประเทศไทย จะมี 2 กลุ่มใหญ่ 1.ความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับรัฐบาล กับ 2.ความขัดแย้งระหว่างประชาชนด้วยกันเอง โดยในส่วนของความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับรัฐบาล ที่ผ่านมาจะพบปรากฏการณ์ทั้งการใช้ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (ไอโอ-IO) และการใช้ถ้อยคำสร้างความเกลียดชังกันทั้ง 2 ฝ่ายไม่ว่ารัฐบาลหรือประชาชน แต่ความขัดแย้งบนโลกออนไลน์เป็นภาพสะท้อนว่าประชาชนไม่มีพื้นที่พูดถึงความขัดแย้งในโลกจริง

หนึ่งในสิ่งที่น่าสนใจคือปรากฎการณ์ “ทัวร์ลง” ซึ่งฝ่ายผู้เห็นต่างมองว่าในเมื่อโลกจริงพูดไม่ได้ก็ต้องใช้พื้นที่ออนไลน์ เช่น ไปแสดงความเห็นในเพจของรัฐบาล แต่ขณะเดียวกันก็มีคำถามว่า หากประชาชนเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจากการใช้วิธีนี้ แล้วเราจะยอมอยู่ในสังคมที่เปลี่ยนแปลงได้ด้วยวิธีนี้ หรือใช้วิธีนี้เพื่อไกล่เกลี่ยความขัดแย้งกันจริงๆ หรือ 

ขณะเดียวกัน การปิดกั้นโดยฝ่ายรัฐอาจยิ่งทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้น เช่น กรณีประเทศไทยที่เฟซบุ๊กทางการของนายกรัฐมนตรีปิดกั้นไม่ให้ประชาชนแสดงความคิดเห็น ก็พบว่ามีการใช้ถ้อยคำรุนแรงมากขึ้น หรือประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมา เมื่อรัฐบาลทหารตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ต ประชาชนก็ออกมาจับปืนในโลกจริง ซึ่งก็นำไปสู่ความรุนแรง การปิดกั้นจึงไม่ใช่วิธีการไกล่เกลี่ยความขัดแย้งทีได้ผล

ในทางกลับกัน ที่ประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งมีปัญหาความสับสนด้านข้อมูลเกี่ยวกับโควิด-19 แต่นายกรัฐมนตรีใช้ช่องทางออนไลน์สื่อสารสร้างความเข้าใจกับประชาชน ทำให้ประชาชนหันมาสวมหน้ากากปิดปาก-จมูก และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันความเสี่ยงจากโรคระบาด ทั้งนี้ หากเน้นไปที่ความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับรัฐบาล มีข้อเสนอ 3 ข้อ คือ 1.รัฐต้องให้พื้นที่ประชาชนในการเสนอความเห็นต่าง เพราะความขัดแย้งบนโลกออนไลน์เป็นผลมาจากการไม่มีพื้นที่ในโลกจริง

2.ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ในการรับฟังเสียงประชาชน หากมองย้อนไปเมื่อ 100 ปีก่อน รัฐบาลไม่สามารถรู้ได้เลยว่าประชาชนคิดเห็นอย่างไร และ 3.ทั้งรัฐและประชาชนต้องมีกฎกติกาในการใช้สื่อออนไลน์ เหมือนกับการมีกฎจราจรในการใช้รถใช้ถนน แม้ประชาชนจะเห็นว่าต้องใช้วิธีทัวร์ลงกับรัฐ แต่ก็ต้องมีกติกาการใช้สื่อออนไลน์เมื่อมีความเห็นต่างจากรัฐเช่นกัน

“ทั้งด้านประชาชนและรัฐบาล อยากจะให้มองเห็นว่าที่จริงเราอยู่ในโลกที่ว่าเรามีวิธี เรามีเครื่องมือแล้วที่จะทำให้คนได้ฟังกัน แล้วก็มีพื้นที่ ก็คือ Social Media แล้วก็มีเครื่องมือ แต่ว่าจะทำอย่างไรทั้งฝั่งประชาชนและรัฐบาล ที่จะใช้เครื่องมือที่เรามีให้เป็นประโยชน์” น.ส.สายใจ กล่าว

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

สรุป 3 ข่าว “งบ-การเงิน” ที่ต้องรู้ทัน

เป็นประจำทุก ๆ ปีเมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่ง มักมีคนหยิบข่าวสารบางเรื่องนำกลับมาฉายซ้ำ วนแล้ว วนอีก โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเงิน การคลัง และการงบประมาณ ซึ่งแต่ละครั้งที่หยิบนำมาเล่าใหม่ก็สร้างกระแสสังคมให้ติดตามจนกลายเป็นเรื่องดรามาเสียแทบทุกครั้ง แม้ว่าเรื่องกังกล่าวนั้นเกือบทั้งหมดเป็นข่าวที่บิดเบือนไปจากข้อเท็จจริง 

กองบรรณาธิการเฉพาะกิจ TJA&Cofact ได้รวบรวมข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ที่มักถูกหยิบยกมานำเสนอในห้วงเวลาต่าง ๆ เพื่อให้ทุกท่านได้รับทราบเป็นข้อมูลว่า ข่าวในลักษณะนี้ควรตรวจสอบ และพิจารณาข้อมูล ข้อเท็จจริงให้ดีก่อนเชื่อ หรือแชร์ข้อมูลต่อ เพื่อป้องกันไม่ให้หลาย ๆ คนเกิดความสับสน และเข้าใจผิด 

กรณีแรก

คือ เรื่องของการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ซึ่งทุก ๆ ปีจะมีคนคอยติดตามอยู่เสมอว่างบประมาณกระทรวงใดจะได้รับมากที่สุด โดยเฉพาะงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับด้านความมั่นคง แทบทุกครั้งมักมีผู้นำหยิบมาเล่นโดยอ้างอิงข้อมูลเพียงบางส่วน เพียงเพื่อหวังการสร้างประเด็นดราม่าให้เกิดขึ้นในสังคม และเป็นข้อมูลโจมตีในเชิงการเมืองของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลเสมอ ๆ 

อย่างเช่น ในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ก็มีการนำเสนอข้อมูล เช่น โจมตีการจัดสรรงบประมาณให้กับกระทรวงกลาโหมมากกว่ากระทรวงสาธารณสุข หรือการเปิดข้อมูลงบประมาณของกระทรวงหลาโหมที่อ้างว่าตั้งงบประมาณเอาไว้ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งกำลังระบาดอย่างหนักในประเทศไทย 

จากการตรวจสอบข้อมูลกรณีข้างต้นนี้ พบว่า วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ของกระทรวงกลาโหม อยู่ที่ 203,282 ล้านบาท โดยมีวงเงินปรับลดลงเรื่อยมาตั้งแต่ปี 2563 ขณะที่กระทรวงสาธารณสุข มีวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 อยู่ที่ 153,940 ล้านบาท

ทั้งนี้หากพิจารณาข้อมูลจริงของการจัดงบประมาณปี 2565 ซึ่งแยกออกเป็นภารกิจต่าง ๆ จะพบว่า ส่วนใหญ่มีวงเงินปรับลดลงจากปีงบประมาณก่อนเกือบทั้งสิ้น โดยมีการแยกวงเงินออกเป็นกลุ่ม ๆ ตามลักษณะงาน คือ 

  1. การบริหารทั่วไป แบ่งเป็น การบริหารทั่วไปของรัฐ 1,120,424.3 ล้านบาท ลดลง 0.5% จากปี 2564 การป้องกันประเทศ 733,030.8 ล้านบาท ลดลง 4.9% จากปี 2564การรักษาความสงบภายใน 187,572.8 ล้านบาท ลดลง 7.2% จากปี 2564
  2. การเศรษฐกิจ 691,452.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.3% 
  3. การบริการชุมชนและสังคม แบ่งเป็น การสิ่งแวดล้อม 8,533.8 ล้านบาท ลดลง 47.1% การเคหะและชุมชน 131,707.3 ล้านบาท ลดลง 10.8% การสาธารณสุข 606,699.4 ล้านบาท ลดลง 10.8% การศาสนา วัฒนธรรม และนันทนาการ 18,696.1 ล้านบาท ลดลง 8.5% การศึกษา 456,240.1 ล้านบาท ลดลง 5.5% การสังคมสงเคราะห์ 366,246.5 ล้านบาท ลดลง 19.8%

กรณีนี้อยู่ที่การนำเสนอ หากหยิบตัวเลขเพียงบางตัวเลขมาเล่น หรือนำเสนอสู่สาธารณะโดยไม่เอาข้อมูลทั้งหมดมาอธิบายให้ครบถ้วน อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด หรือเกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนได้ 

สามารถติดตามเอกสารอ้างอิงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 ได้ที่นี่ https://www.bb.go.th/topic3.php?gid=860&mid=544


กรณีที่สอง

เพิ่งเกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ คือ การนำเสนอโดยอ้างอิงข้อมูลของราชกิจจานุเบกษา ที่เผยแพร่ประกาศกระทรวงการคลังเรื่อง รายงานฐานะการเงินประจำสัปดาห์ของธนาคารแห่งประเทศไทย ทุนสำรองเงินตรา และกิจการธนบัตร เพื่ออนุวัติตามมาตรา 59 แห่งพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช 2485 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2551 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ประกาศรายงานฐานะการเงินประจำสัปดาห์ ของธนาคารแห่งประเทศไทยทุนสำรองเงินตรา และกิจการธนบัตร

โดยระบุ งวดประจำมสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ.2564 งวดประจำสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ.2564 และงวดประจำสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564 โดยขาดทุนสะสม 1,069,366,246,596 บาท

ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กระทรวงการคลัง ได้ตรวจสอบและชี้แจงว่า รายงานดังกล่าวที่ เป็นการแสดงรายการงบการเงินของ ธปท. และเป็นธุรกรรมที่เกิดจากการทำหน้าที่ปกติของธนาคารกลาง ในการดูแลเสถียรภาพระบบเศรษฐกิจ ไม่ถือเป็นหนี้สาธารณะของประเทศ

นางจันทวรรณ สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายสื่อสารและความสัมพันธ์องค์กร ธปท. ชี้แจงว่า รายงานดังกล่าวเป็นการแสดงรายการงบการเงินของแบงก์ชาติและเป็นธุรกรรมที่เกิดจากการทำหน้าที่ปกติของธนาคารกลาง ในการดูแลเสถียรภาพระบบเศรษฐกิจ เช่น การดูแลอัตราแลกเปลี่ยนไม่ให้ผันผวนมากจนกระทบต่อการดำเนินงานภาคเอกชนและเศรษฐกิจ การดูแลสภาพคล่องในระบบการเงินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ดังนั้น กำไรหรือขาดทุนที่จะปรากฏในงบดุลของธนาคารกลางจึงเป็นเรื่องปกติของการทำหน้าที่ตามพันธกิจ

ดังนั้น ฐานะการเงินของธนาคารกลางเป็นผลจากการทำหน้าที่ตามพันธกิจ ซึ่งในแต่ละปีอาจเกิดกำไรและขาดทุน เช่น จากการตีราคาสินทรัพย์ต่างประเทศเป็นเงินบาท และจากต้นทุนการออกพันธบัตรเพื่อดูดซับสภาพคล่อง ซึ่งตัวเลข 1.069 ล้านล้านบาท เป็นผลการขาดทุนสะสมที่เกิดขึ้นหลายปีไม่ใช่ของปีนี้ปีเดียว

ทั้งนี้ หนี้สินในงบการเงินของแบงก์ชาติ ไม่ถือเป็นหนี้สาธารณะของประเทศ ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติเช่นเดียวกันทั่วโลก ตามนิยามของ IMF ที่กำหนดมาตรฐานการเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจการเงินเพื่อการเปรียบเทียบและติดตามการทำนโยบายของสมาชิก

พร้อมยังขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ ให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน

สามารถติดตามเอกสารอ้างอิง ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง รายงานฐานะการเงินประจำสัปดาห์ของธนาคารแห่งประเทศไทย ทุนสำรองเงินตรา และกิจการธนบัตร ได้ที่นี่ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2564/D/036/T_0002.PDF


กรณีที่สาม

เรียกว่าคลาสสิกที่สุด คือ การประกาศขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ข่าวนี้มีออกมาเป็นประจำทุกปีประมาณเดือนกันยายน ในช่วงเข้าสู่ฤดูการขยายระยะเวลาการลดภาษี VAT เหลือ 7% ออกไปอีก 1 ปี

สำหรับกรณีนี้ หากใครติดตามข่าวสารเป็นประจำจะรู้ได้ทันทีว่า “เป็นเรื่องปกติ” เพราะทุกรัฐบาลจะต่ออายุการลดภาษี VAT เป็นประจำทุกปี เพื่อช่วยลดผลกระทบทั้งค่าครองชีพ และรักษาการบริโภคภายในประเทศ ช่วยประคับประคองเศรษฐกิจให้ขยายตัวอยู่ได้ในระดับที่เหมาะสม 

โยปัจจุบัน ตามประมวลรัษฎากร ภาษี VAT มีอัตราการจัดเก็บที่ 10% แบ่งเป็น ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจริง 9% และภาษีท้องถิ่นอีก 1% กำหนดเอาไว้ตั้งแต่ปี 2535 แต่ไม่เคยจัดเก็บจริง  เพราะทุก ๆ ปี จะมีการออกออกพระราชกฤษฎีกาลดอัตราภาษี VAT ให้เหลือเพียง 7% แบ่งเป็น ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจริง 6.3% บวกภาษีท้องถิ่น 0.7% มาโดยตลอด จนถึงปัจจุบัน

ขณะเดียวกัน ณ ขณะนี้ก็มีแนวโน้มจัดเก็บในรูปแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ หากสภาพเศรษฐกิจยังไม่กลับมาขยายตัวได้ดีตามศักยภาพ  โดยเฉพาะช่วงที่ประเทศไทยยังมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างหนัก การจะกลับมาเก็บภาษี VAT ในอัตราปกติ อาจเป็นเรื่องยาก หากรัฐบาลจะตัดสินใจขึ้นช่วงนี้ คงจะซ้ำเติมสภาพเศรษฐกิจและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของทุกคนมากเลยทีเดียว 

สามารถติดตามข้อมูล และเอกสารอ้างอิง ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ได้ที่นี่

เราจะไกล่เกลี่ยความขัดแย้งในโลกไซเบอร์ (Cybermediation) ได้หรือไม่

รับชมเสวนาออนไลน์ เราจะไกล่เกลี่ยความขัดแย้งในโลกไซเบอร์ (Cybermediation) ได้หรือไม่

* ผศ.ดร. ปารีณา ศรีวนิชย์ คณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
* ดร.พิมพ์รภัช ดุษฎีอิสริยกุล ผู้ประสานงานโครงการ Thailand Talk มูลนิธิฟรีดริช เนามัน (FNF)
* ธีรดา ศุภะพงษ์ ผู้แทนประเทศไทย Centre for Humanitarian Dialogue (HD)
* สายใจ เลี้ยงพันธุ์สกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลดิจิทัลเพื่อสังคม
ดำเนินรายการโดย
* สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย)

ขอบคุณที่มา Line 77 ข่าวเด็ด

กาลามสูตรในยุคดิจิทัล: เส้นแบ่งบางๆระหว่างความจริงและความเชื่อ Digital Thinkers Forum #16

รับชมเสวนาออนไลน์ กาลามสูตรในยุคดิจิทัล: เส้นแบ่งบางๆระหว่างความจริงและความเชื่อ Digital Thinkers Forum #16

กล่าวต้อนรับและเปิดงาน โดย
* ดร.จิรพร วิทยศักดิ์พันธุ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
* ผศ.ดร.เอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์ ที่ปรึกษาโคแฟค (ประเทศไทย)
* ผศ.ดร.นภัส เรืองนภากุล ภาคีโคแฟคภาคเหนือ พิธีกร

ปาฐกถา เรื่อง หลักกาลามสูตรเพื่อสันติในยุคดิจิทัล โดย
* พระมหานภันต์ สนฺติภทฺโท ประธานกรรมการ มูลนิธิสถาบันการจัดการวิถีพุทธเพื่อสุขและสันติ (สกพ. IBHAP)

เสวนา อะไรคือเส้นแบ่งบาง ๆ ระหว่างความจริงและความเชื่อ
* คุณพ่ออมรกิจ พรหมภักดี อุปมุขนายก สังฆมณฑลสุราษฏร์ธานี กรรมการอำนวยการ สื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย
* รศ.เสาวนีย์ รุจิระอัมพร-จิตต์หมวด กรรมการบริหารหลักสูตร สำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล และ ผู้อำนวยการหลักสูตรการเสริมสร้างสังคมสันติสุข (จชต.) สถาบันพระปกเกล้า
* สุชัย เจริญมุขยนันท ผู้ก่อตั้ง UbonConnect
* รณพงศ์ คำนวณทิพย์ ผู้ก่อตั้ง Media Oxygen
ดำเนินรายการโดย
* สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย)

ขอบคุณที่มา Line 77 ข่าวเด็ด

รับชมคลิป

งานวิจัยพบ‘ข่าวลวง’เสี่ยงระบาดหนักใน‘กลุ่มปิด’ แนะแพลตฟอร์มหาวิธีแก้ไข-สร้างอาสาฯร่วมตรวจสอบ

บ่ายวันที่ 27 พ.ค. 2564 โคแฟค ประเทศไทย ร่วมกับ สถาบันเชนจ์ฟิวชั่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จัดงานแถลงข่าว (ออนไลน์) “ถอดรหัสข่าวลวง: เปิดรายงานโคแฟค ที่มา ลักษณะข่าวลวงและข้อเสนอแนะ” (De-coding Disinformation: Cofact Original Report and Recommendations) โดย นายชิตพงษ์ กิตตินราดร ผู้แทนทีมวิจัยสถาบันเชนจ์ฟิวชั่น กล่าวว่า ที่ผ่านมาการตรวจสอบและยับยั้งข่าวลวง ทุกฝ่ายมีความพยายามกันมาตลอด เพียงแต่ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่าข่าวลวงเหล่านี้มีที่มาอย่างไร จะใช้วิธีการใด ทำงานร่วมกับหน่วยงานใดเพื่อหยุดยั้งการแพร่กระจาย

นายชิตพงษ์ ยกตัวอย่างข่าวลวงบนพื้นที่สื่อสังคมออนไลน์บางส่วนขึ้นมาศึกษา และแบ่งผู้เกี่ยวข้องเป็น 2 กลุ่มคือ ผู้เผยแพร่ข่าว (Spreader) และผู้แก้ไขข่าว (Corrector) ประกอบด้วย ข่าวที่เกี่ยวกับสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมถึงประเด็นอื่นๆ ด้านสุขภาพ อาทิ 1.สมุนไพรฟ้าทะลายโจรป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ได้ ซึ่งผลการวิจัยในปัจจุบันพบแต่เพียงว่ามีฤทธิ์ในการรักษาและสร้างภูมิคุ้มกันได้ระดับหนึ่งเท่านั้น ยังไม่มีข้อค้นพบด้านการป้องกันแต่อย่างใด แต่หลายคนก็ไปหาซื้อมากินไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว

การค้นหาระหว่างวันที่ 10 ก.พ. -10 พ.ค. 2564 พบข้อความเผยแพร่ข่าวลวง 180 ข้อความ และข้อความแก้ไขข่าวลวง 401 ข้อความ โดยในกลุ่มข้อความเผยแพร่ข่าวลวง เกี่ยวข้องกับการขายสินค้ามากที่สุด คือยาฟ้าทะลายโจร ถึง 121 ข้อความ รองลงมาคือ ไม่มีความรู้หรือเข้าใจผิด 52 ข้อความ ทั้งนี้ การเผยแพร่หลายครั้งใช้ถ้อยคำอ้างถึงกระทรวงสาธารณสุข ที่ระบุว่า ฟ้าทะลายโจรมีสาร “แอนโดร การ์โพร์ไลท์” มีฤทธิ์ต้านเชื้อโควิด-19 ไม่ให้เข้าสู่เซลล์ และต้านการแตกตัวของเชื้อโควิด-19 ในร่างกายได้

ซึ่งต้นตอของข่าวนี้ น่าจะมาจากคลิปวีดีโอหนึ่งในเว็บไซต์ยูทูป ที่โพสต์ไว้ตั้งแต่เดือน มี.ค. 2563 ที่ขณะนั้นไวรัสโควิด-19 กำลังเริ่มระบาด โดยในคลิปมีการแถลงข่าวของกระทรวงสาธารณสุข อย่างไรก็ตาม เนื้อหาก็ไม่บอกว่าฟ้าทะลายโจรสามารถป้องกันไวรัสโควิด-19 แต่อย่างใด โดยยังต้องทำการศึกษาต่อไป เพียงแต่ผู้โพสต์คลิปไปบิดเบือนโดยพาดหัวว่าฟ้าทะลายโจรป้องกันไวรัสโควิด-19 ได้ จากนั้นก็มีการส่งต่อกันโดยไม่ได้เข้าไปดูเนื้อหาในคลิปวีดีโอว่ากล่าวถึงในประเด็นใด

2.มะนาวโซดาฆ่าเชื้อโควิด-19 ค้นหาระหว่างวันที่ 12 ธ.ค. 2563-12 มี.ค. 2564 พบข้อความเผยแพร่ข่าวลวง 2 ข้อความ และข้อความแก้ไขข่าวลวง 18 ข้อความ เช่นเดียวกับมะนาวโซดารักษาโรค พบข้อความเผยแพร่ข่าวลวง 3 ข้อความ และข้อความแก้ไขข่าวลวง 157 ข้อความ อย่างไรก็ตาม สันนิษฐานว่า ข้อความเผยแพร่ข่าวลวงน่าจะไปอยู่ในกลุ่มสนทนาแบบกลุ่มปิด เช่น แอปพลิเคชั่นไลน์ ทำให้ไม่สามารถเก็บข้อมูลได้ ต่างจากสื่อออนไลน์หรือเว็บไซต์ที่เปิดเป็นสาธารณะให้คนทั่วไปดูได้ เช่น เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม ยูทูป พันทิป

3.คลิปเสียงแพทย์จากโรงพยาบาลศิริราช ระบุว่าการดื่มยาเขียวช่วยป้องกันและรักษาโรคจากไวรัสโควิด-19 ได้ ค้นหาระหว่างวันที่ 10 ก.พ. -10 พ.ค. 2564 ไม่พบข้อความเผยแพร่ข่าวลวง แต่พบและข้อความแก้ไขข่าวลวง 39 ข้อความ สันนิษฐานว่า ข้อความเผยแพร่ข่าวลวงน่าจะไปอยู่ในกลุ่มสนทนาแบบกลุ่มปิด 4.อดีตหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของบริษัทไฟเซอร์ เตือนว่าผู้ฉีดวัคซีนโควิด-19 จะเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ค้นหาระหว่างวันที่ 13 ก.พ.-13 พ.ค. 2564 พบข้อความเผยแพร่ข่าวลวง 33 ข้อความ และข้อความแก้ไขข่าวลวง 1 ข้อความ

อย่างไรก็ตาม ข่าวลวงเรื่องนี้พบว่าผู้ที่แชร์มักเป็นบุคคลทั่วไปที่ใช้เฟซบุ๊ก ไม่ใช่เพจหรือบุคคลที่มีชื่อเสียงมีผู้ติดตามจำนวนมาก ส่วนที่มานั้นมาจากเว็บไซต์แห่งหนึ่งในต่างประเทศที่มักนำเสนอข่าวลวงหรือข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง นอกจากนี้สำนักข่าวดังกล่าวยังมีบัญชีสำหรับเผยแพร่คลิปวีดีโอบนเว็บไซต์ยูทูป แต่ในเวลาต่อมาบัญชีดังกล่าวได้ถูกยูทูประงับการใช้งานไปแล้วจากพฤติกรรมนำเสนอข่าวลวง

นายชิตพงษ์ กล่าวต่อไปว่า ยังมีข่าวลวงเรื่องอื่นๆ ที่ถูกหยิบยกมาทำการศึกษา เช่น ข่าวแอปพลิเคชั่นเป๋าตังค์ สามารถใช้กู้ยืมเงินสดได้ ค้นหาระหว่างวันที่ 13 ก.พ.-13 พ.ค. 2564 ไม่พบข้อความเผยแพร่ข่าวลวง แต่พบและข้อความแก้ไขข่าวลวง 16 ข้อความ สันนิษฐานว่า ข้อความเผยแพร่ข่าวลวงน่าจะไปอยู่ในกลุ่มสนทนาแบบกลุ่มปิด อย่างไรก็ตาม มีการค้นพบเว็บไซต์ที่มีเนื้อหารวบรวมแหล่งเงินกู้ โดยใช้ข้อความทำนองเดียวกันข่าวลวงนี้ อาทิ แอปเป๋าตังค์และวิธีสมัครยืมเงิน 5,000 อนุมัติ 3 นาที หรือ กู้เงินออนไลน์ : มาตรการคนละครึ่งแอพกระเป๋าตังค์ เป็นต้น

รวมถึง ข่าวลวงเรื่องคลื่นความหนาวปกคลุมประเทศไทยทุกภาค โดยอ้างรายงานของกรมอุตุนิยมวิทยา ค้นหาระหว่างวันที่ 15 พ.ย. 2563-16 ก.พ. 2564 ไม่พบข้อความเผยแพร่ข่าวลวง แต่พบและข้อความแก้ไขข่าวลวง 5 ข้อความ สำหรับข่าวลวงนี้ความน่าสนใจอยู่ตรงที่เป็นข่าวที่ส่งต่อวนกันมาหลายปี เบื้องต้นพบว่ามีมาตั้งแต่ปี 2561 และผู้ที่ออกมาชี้แจงว่าข่าวคลื่นความหนาวไม่เป็นความจริงแทบทุกครั้งคือ กรมอุตุนิยมวิทยาเอง แต่สำหรับที่มาของข้อความเผยแพร่ข่าวลวงนั้นสืบหาไม่ได้ และคาดว่าการส่งต่อข่าวลวงนี้น่าจะไปอยู่ในกลุ่มสนทนาแบบกลุ่มปิด

นายชิตพงษ์ ยังกล่าวอีกว่า บทสรุปจากการศึกษาในครั้งนี้คือ 1.สำหรับข่าวลวงที่คาดว่าเผยแพร่ในกลุ่มสนทนาแบบกลุ่มปิด เช่น ในกรณีประเทศไทยคือแอปฯ ไลน์ น่าจะมีการหารือร่วมกับทางบริษัทไลน์สาขาประเทศไทย เพื่อหาช่องทางตรวจสอบข่าวลวงบนแพลตฟอร์มดังกล่าว หรือสร้างเครือข่ายอาสาสมัครตรวจสอบข่าวลวง หากข้อความใดน่าสงสัย อาจส่งเข้ามาให้ทางโคแฟคตรวจสอบก่อนนำข้อมูลที่ถูกต้องกลับไปเผยแพร่ในกลุ่ม

2.ข่าวลวงที่พบต้นทางชัดเจน ควรประสานผู้ให้บริการแพลตฟอร์มให้ติดป้ายแจ้งเตือนหรือนำข่าวลวงนั้นออกจากระบบ และ 3.ที่ผ่านมาหน่วยงานหรือกลุ่มตรวจสอบข่าวลวง มักเลือกตรวจสอบในประเด็นที่แต่ละหน่วยงานหรือแต่ละกลุ่มสนใจ แต่ไม่ได้ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ ความพยายามจึงไม่เกิดพลังเต็มร้อย ตรงกันข้ามหากทุกหน่วยงานเห็นตรงกันว่า ณ เวลานั้นมีข่าวลวงข่าวใดเป็นประเด็นสำคัญที่สุดที่ต้องรีบแก้ไข แล้วเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องในเรื่องนั้นออกไปพร้อมกัน ก็จะเกิดการรับรู้อย่างกว้างขวางและกลายเป็นกระแสได้

“จริงๆ เรื่องนี้เคยมีการศึกษาแล้วเมื่อช่วงต้นปีที่แล้ว (2563) ช่วงที่โควิดระบาดใหม่ๆ เราก็ไปศึกษาแบบนี้กับข่าวลวงเรื่องโควิดอยู่ประมาณ 6 เรื่อง แล้วก็พบแพทเทิร์น (Pattern-รูปแบบ) อยู่อย่างหนึ่ง ข่าวลวงเรื่องโควิดมันระบาดเป็นคลัสเตอร์ (Cluster-กลุ่มก้อน) คือระบาดเป็นระลอก แล้วแต่ละระลอกสิ้นสุดลงมักจะพบว่า จุดที่สิ้นสุดของระลอกจะมีซูเปอร์คอเร็คเตอร์ (Super Corrector-กลุ่มผู้ตรวจสอบแก้ไข) เป็นเครือข่ายต่อต้านข่าวลวง ทำงานพร้อมๆ กันโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่โพสต์พร้อมๆ กันว่าเรื่องนี้ไม่จริง ส่งผลให้การระบาดของข่าวลวงในคลัสเตอร์นั้นลดลงอย่างชัดเจน” นายชิตพงษ์ กล่าว

ด้าน น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง โคแฟค ประเทศไทย (COFACT Thailand) และอดีตกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่า จากการทำงานของโคแฟค มาประมาณ 1 ปี พบสาเหตุของปัญหาข่าวลวงในประเทศไทย ประกอบด้วย

1.การสื่อสารในกลุ่มสนทนาแบบกลุ่มปิด เช่น ในไทยหมายถึงแอปฯ ไลน์ ส่วนต่างประเทศมักจะเป็นแอปฯ วอตส์แอปป์ ที่ไม่ได้ถูกมองเห็นเป็นสาธารณะ ต่างจากแพลตฟอร์มเปิด เช่น ทวิตเตอร์ ที่เมื่อโพสต์อะไรไปเพียงครู่เดียวก็อาจเกิดการโต้เถียงแล้ว

2.วัฒนธรรมความเกรงใจ ด้วยความที่กลุ่มสนทนาแบบกลุ่มปิดมักเป็นคนที่รู้จักกัน เช่น ครอบครัว ที่ทำงาน ผู้เผยแพร่ข้อความที่ไม่เป็นความจริง อาจเป็นพ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ ผู้บังคับบัญชาหรือเพื่อนร่วมงาน มักไม่กล้าเตือนเพราะกลัวจะโกรธกันเนื่องจากทำให้เสียหน้า คนไทยจำนวนมากจึงเลือกถนอมน้ำใจ คนที่เผยแพร่ข้อความนั้นก็ยังเข้าใจต่อไปว่านั่นเป็นเรื่องจริง

และ 3.อคติ สาเหตุนี้พบได้แม้แต่ในแพลตฟอร์มเปิดที่ถึงจะมีการแก้ไขข่าวที่ไม่เป็นความจริงแล้ว แต่คนส่วนหนึ่งก็ยังเลือกเชื่อข้อมูลที่ไม่จริงนั้น
ส่วนทางแก้ไขปัญหา ประกอบด้วย

  1. ข้อมูลที่ออกมาจากภาครัฐต้องชัดเจนไม่คลุมเครือ และไม่เปลี่ยนไป-มา หรือหากจะเปลี่ยนก็ควรมีฐานข้อมูลกลางป็นช่องทางให้ประชาชนเข้าไปตรวจสอบข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานต่างๆ ได้ หรือเรียกว่าระบบข้อมูลเปิด (Open Data) เช่น ประเด็นวัคซีนโควิด-19 ที่แต่ละคนต้องไปตามกันเองในเพจนั้นเพจนี้บ้าง ข้อมูลก็จะมีทั้งจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง หรือจริงแต่มีการปรับปรุงเพิ่มเติมในเวลาต่อมา (Update) บ้าง ทำอย่างไรจึงจะมีช่องทางให้เข้าไปตรวจสอบ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาความสับสน ตลอดจนข่าวลวงได้
  2. สื่อมวลชนควรช่วยตรวจสอบข่าวลือต่างๆ อย่างทันท่วงที ที่ผ่านมาหลายครั้งก็พยายามช่วยกัน แต่หลายครั้งแหล่งข้อมูลก็ยังมีความสับสน ดังนั้นแหล่งข่าวไม่ว่าภาครัฐหรือเอกชนต้องทำข้อมูลเข้าถึงได้โดยง่ายเพื่อใช้ในการอ้างอิง
  3. ผู้ให้บริการสื่อสังคมออนไลน์ควรมีระบบแจ้งเตือนหรือลบข้อมูลที่พิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นความจริง ซึ่งมีตัวอย่างแล้ว เช่น เฟซบุ๊ก ที่ในต่างประเทศพบการระงับการเผยแพร่ข้อมูลที่พบว่าเป็นข่าวลวง
  4. ประชาชนทั่วไปในฐานะผู้ใช้สื่อ ต้องปรับตัวให้มีนิสัยตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนส่งต่อข้อมูล (Fact Checker) ซึ่งผู้ที่เข้าถึงอินเตอร์เน็ตสามารถทำได้ผ่านการค้นหาข้อมูล ที่มีหลายองค์กรทำงานด้านตรวจสอบข่าวลวงอยู่ในปัจจุบัน นอกจากโคแฟตแล้วก็ยังมีทีมงานชัวร์ก่อนแชร์ของ อสมท. หรือทีมงานของสำนักข่าว AFP เป็นต้น แต่หากในอนาคตมีการรวมข้อมูลการตรวจสอบข่าวลวงเหล่านี้ไว้เป็นจุดเดียวก็น่าจะดี
  5. ต้องสร้างการเรียนรู้ทักษะความรู้เท่าทันดิจิทัล (Digital Literacy) อันเป็นแนวทางที่ได้รับการสนับสนุนในระดับสากล

“มีรูปตัดต่อ มีคลิปปลอม มีคลิปเสียงอะไรต่างๆ มากมาย บางทีอาจจะต้องอาศัยทักษะการเปรียบเทียบตรวจสอบไปยังต้นทางซึ่งก็ไม่ยากเกินไป แต่อาจจะต้องใส่ไว้ในหลักสูตรการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับประถม-มัธยม เพื่อจะทำให้ประชาชนมีทักษะในการรู้เท่าทันข่าวลวงข่าวปลอม มันถึงจะแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน” น.ส.สุภิญญา กล่าว

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

เตือน “บัตรพลังงาน” แก้สารพัดโรคกลับมาระบาด

ในช่วงเวลาวิกฤต มักมีพวกเข้ามาแสวงหาโอกาสหลอกลวงประชาชนอยู่อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ที่รุนแรงกว่าทุกครั้ง 

ล่าสุด กองบรรณาธิการเฉพาะกิจ TJA&Cofact ได้รับทราบข้อมูลมาว่า ขณะนี้มีกรณีการอวดอ้างสรรพคุณของสินค้าหลายชนิดที่สามารถป้องกันโรคต่าง ๆ ได้กลับมาระบาดอีกครั้ง โดยเฉพาะ “บัตรพลังงาน” ซึ่งถูกโฆษณาชวนเชื่อว่ามีสรรพคุณในการรักษาโรคโดยเฉพาะอาการปวดเมื่อยต่าง ๆ เพียงแค่นำบัตรไปแกว่งในแก้วน้ำแล้วนำมาดื่ม หรือนำแก้วน้ำวางทับบนบัตรแล้วดื่ม รวมทั้งมีการนำบัตรสัมผัสกับร่างกายในจุดที่ปวดเมื่อย หรือแขวนคอเอาไว้เพื่อรักษาสุขภาพ

หากใครจำกันได้ในกรณีของบัตรพลังงานดังกล่าว เคยเกิดขึ้นและกลายเป็นเรื่องที่สังคมให้ความสนใจอย่างมากตั้งแต่ปี 2562 หลังจากพบว่ามีชาวบ้านในจังหวัดขอนแก่นหลายคนหลงซื้อบัตรพลังงานจากบริษัทแห่งหนึ่งที่อ้างว่า เป็นตัวแทนนำบัตรพลังงานมาจำหน่ายในรูปแบบของการให้ประชาชนสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิกเครือข่าย

หนึ่งในผู้ที่ถูกชักชวนให้สมัครสมาชิก บัตรพลังงาน บอกว่า บัตรนี้สามารถใช้รักษาอาการปวดหลังของตนเองได้ ซึ่งก่อนจะได้บัตรนี้มา ได้มีคนจากบริษัทแห่งหนึ่งมาชักชวนให้เข้าอบรม และสาธิต สรรพคุณของบัตรให้ดู ช่วงระหว่างการสาธิต เมื่อพนักงานนำบัตรลักษณะเป็นสมาร์ทการ์ด มาแตะที่ตัวตนเองรู้สึกมีอาการชา และพอนำบัตรออก ก็หายจากอาการชา 

เมื่อเห็นว่ามีผลต่อร่างกายจริง จึงตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิกเพื่อจะได้สมาร์ทการ์ดนำกลับมาใช้ โดยสมัครครั้งแรก มีการให้เลขที่บัญชีกับเจ้าหน้าที่ และได้จ่ายเงินไป 4,400 บาท ได้บัตรมา 5 ใบ หลังจากนั้นตนจึงนำมาบอกต่อคนที่สนใจ โดยขายให้ในราคา 1,100 – 1,500 บาท เพื่อให้นำไปรักษาอาการปวดเมื่อย ซึ่งหากตนเองขายได้ และมีสมาชิกเพิ่มจะได้เงินเพิ่มเข้ามาในบัญชี

ต่อมา สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้ออกมาแจ้งเตือนว่าอย่าหลงเชื่อ และอาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย พร้อมทั้งประสานให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยตรงเข้ามาตรวจสอบ พร้อมทั้งมีการตรวจสอบข้อกฎหมายของสคบ. ประกอบไปด้วย โดยเฉพาะเรื่องของการโฆษณา 

นั่นคือ การกระทำผิดด้านการโฆษณาสินค้า ฐานเจตนาก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพ ปริมาณ หรือสาระสำคัญประการอื่นอันเกี่ยวกับสินค้าโดยใช้โฆษณา หรือใช้ฉลากที่มีข้อความอันเป็นเท็จหรือข้อความที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรงด้วย

ขณะเดียวกันทาง สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ยังแจ้งเตือนถึงเรื่องนี้ โดยเฉพาะข้อมูลด้านความปลอดภัยทางรังสี ซึ่งจากข้อมูลที่สำนักงานฯ เคยตรวจวิเคราะห์บัตรพลังงาน พบวัสดุนิวเคลียร์ ทอเรียม 232 (Th-232) ปริมาณรังสีแต่ละบัตร มีค่าประมาณ 0.86 ไมโครซีเวิร์ตต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นระดับรังสีสูงกว่าในธรรมชาติประมาณ 3 เท่า เพราะตามปกติประชาชนจะได้รับรังสีในธรรมชาติซึ่งมีต้นกำเนิดการแผ่รังสีมาจากอวกาศ พื้นดิน แหล่งแร่ในธรรมชาติ สิ่งก่อสร้าง ฯลฯ มีปริมาณรังสีเฉลี่ย 0.27 ไมโครซีเวิร์ตต่อชั่วโมง เท่านั้น

หากมีการนำบัตรพลังงานมาใช้ตามคำกล่าวอ้าง เช่น การนำมาสัมผัสหรือติดตามร่างกายตลอดเวลา หรือนำไปแกว่งในแก้วน้ำ จะทำให้มีการได้รับปริมาณรังสีสะสมโดยไม่จำเป็น ทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งในระยะยาวได้ นอกจากนี้ ยังไม่มีข้อมูลทางวิชาการหรืองานวิจัย ที่แสดงว่าบัตรพลังงานมีประโยชน์ในการรักษาทางการแพทย์ได้

ดังนั้น เพื่อลดโอกาสการเกิดผลกระทบจากรังสีต่อร่างกายในระยะยาว จึงขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการใช้สินค้าที่มีส่วนผสมของวัสดุกัมมันตรังสี หรือวัตถุอันตราย เพราะนอกจากจะไม่เกิดประโยชน์หรือความคุ้มค่าแล้ว อาจได้รับรังสีโดยไม่จำเป็น ซึ่งมีปริมาณสูงกว่าระดับรังสีที่มีอยู่ตามธรรมชาติ หากประชาชนสงสัย พบเห็นหรือมีบัตรพลังงานหรือบัตรสมาร์ทการ์ดที่มีสารกัมมันตรังสีเป็นส่วนประกอบ สามารถโทรแจ้งสายด่วนเหตุฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี ที่หมายเลข 1296 (ตลอด 24 ชั่วโมง) 

อย่างไรก็ดีสิ่งที่ดีที่สุด คือ ขอแนะนำทุกคนหากจะตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าอะไร ควรจะต้องตรวจสอบข้อมูลของสินค้าให้รอบคอบ ศึกษารายละเอียดของสินค้า หากไม่แน่ใจก็ให้ตั้งข้อสงสัยไว้ก่อน จากนั้นจึงสอบถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ เพื่อไม่ให้เราเองถูกหลอก เพราะนอกจากทำให้เสียงเงินแล้ว ยังอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างร้ายแรงก็เป็นได้

ลิงค์ข่าว https://www.tja.or.th/view/tjacofact/1331427

สรุป คำถาม-คำตอบ-ข้อแนะนำ การฉีดวัคซีนโควิด 19

จากกรณีที่มีข้อกังวลของประชาชน ในเรื่องของข้อมูลที่ใช้ประกอบการตัดสินใจ “ฉีด”  หรือ “ไม่ฉีด” วัคซีนป้องกันโควิด 19 โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีโรคประจำตัว กลุ่มประชาชนที่ต้องรับประทานยารักษาโรค กลุ่มสติมีครรภ์และอยู่ในระยะให้นมบุตร รวมถึงกรณีอื่น ๆ

TJA&Cofact ตรวจสอบข้อมูลจากกรมควบคุมโรค พบว่า ก่อนหน้านี้นโยบายของรัฐบาลในการวัคซีนป้องกันโควิด-19 เริ่มทำการฉีดให้กับ 4 กลุ่มนำร่องที่มีความจำเป็นจะต้องได้รับวัคซีนก่อน ประกอบด้วย

  1. บุคลากรด่านหน้าและบุคลากรทางการแพทย์
  2. ผู้ที่มีโรคประจำตัว
  3. ผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป
  4. เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรค

เนื่องจากกลุ่มคนเหล่านี้เป็นกลุ่มที่มีโอกาสเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อ หรือหากได้รับเชื้อแล้ว มีโอกาสติดเชื้อรุนแรงได้

ในส่วนของกลุ่มบุคคลที่มีโรคประจำตัว 7 โรค ซึ่งถือเป็นกลุ่มนำร่องที่จะได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ก่อน ประกอบด้วย กลุ่มผู้ป่วยโรคต่าง ๆ ดังนี้

  1. โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง
  2. โรคหัวใจและหลอดเลือด
  3. โรคไตวายเรื้อรัง
  4. โรคหลอดเลือดสมอง
  5. โรคอ้วน
  6. โรคมะเร็ง
  7. โรคเบาหวาน

ซึ่งกลุ่มโรคเหล่านี้เป็นกลุ่มโรค NCDs (Non-Communicable diseases) หรือกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค ไม่สามารถติดต่อได้ผ่านการสัมผัส คลุกคลี หรือติดต่อ ผ่านตัวนำโรค (พาหะ) หรือสารคัดหลั่งต่าง ๆ แต่เป็นโรคที่เกี่ยวกับนิสัยหรือพฤติกรรมการดำเนินชีวิต ซึ่งโรคกลุ่มนี้จะค่อยๆสะสมอาการ ค่อยเกิด ค่อยทวีความรุนแรง และเมื่อมีอาการของโรคแล้วจะเกิดการเรื้อรังของโรคตามมาด้วย หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันเวลา จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อการดำเนินชีวิตของผู้ป่วยและคนรอบข้าง ซึ่งผู้ที่มีโรคประจำตัวในกลุ่มนี้ หากติดเชื้อ COVID-19 จะทำให้มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนและอาการรุนแรงมากกว่าปกติ

TJA&Cofact ตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติม พบข้อมูลการรวบรวมข้อมูลคำถามและคำตอบ ในกรณีการฉีดวัคซีนโควิด จาก “งานบริบาลเภสัชกรรม กลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลชลบุรี” ซึงรวบรวมข้อมูลและคำแนะนำอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ(ตามเอกสารแนบ) โดยกองบก. TJA&Cofact นำมาสรุปดังนี้

กลุ่มโรคประจำตัว

โรคหัวใจและหลอดเลือด  

  • ฉีดได้

 โรคหลอดเลือดสมอง

  • ฉีดได้ ยกเว้นผู้ป่วยที่อาการยังไม่คงที่หรือยัง มีอาการที่อันตรายต่อชีวิต

โรคลมชัก

  • ฉีดได้

 ไทรอยด์

  • ฉีดได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคไทรอยด์แบบใดก็ตาม ได้แก่ มีก้อนที่ต่อมไทรอยต์ คอพอกไทรอยด์เป็นพิษหรือมีฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ

โรคปอดอุดกั้น, โรคหอบหืด

  • ฉีดได้

โรคมะเร็ง

  • ฉีดได้ ยกเว้นผู้ป่วยมะเร็งที่กําลังได้รับการ ผ่าตัดหรือกําลังได้รับยาเคมีบําบัดควร ปรึกษาแพทย์ก่อน
  • ผู้ป่วยมะเร็งระบบเลือด โดยเฉพาะกลุ่มที่ ได้รับการรักษาด้วยการปลูกถ่ายไขกระดูก ควรฉีดหลังจากรักษาครบ 3 เดือน และควรปรึกษาแพทย์ผู้รักษาก่อนทุกครั้ง

โรคเอดส์

  • ฉีดไต้

วัณโรค

  • ฉีดได้

กลุ่มที่ต้องรับประทานยารักษาโรคประจำตัว

On warfarin (ให้ยา วาฟาริน ยาต้านการแข็งตัวของเลือดหรือที่เรียกกันว่ายาละลายลิ่มเลือด)

  • ฉีดได้ (INR <3.0) ควรใช้เข็มขนาดเล็กกว่า 23G และไม่ ควรคลึงกล้ามเนื้อหลังฉีดวัคซีนและควรกดตําแหน่งที่ฉีดหลังการฉีดยานานกว่าปกติจนกว่าจะแน่ใจว่าไม่มีเลือดออกผิดปกติ

ให้ยา On ASA(aspirin) , clopidogrel , cilostazol

  • ฉีดได้ ไม่ต้องหยุดยา
  • ควรใช้เข็มขนาดเล็กกว่า 23G และไม่ ควรคลึงกล้ามเนื้อหลังฉีดวัคซีน และควรกดตําแหน่งที่ฉีดหลังการฉีดยานานกว่าปกติจนกว่าจะแน่ใจว่าไม่มีเลือดออกผิดปกติ

On NOACS (ให้ยา Non-vitamin K antagonist oral anticoagulants)

  • ฉีดได้ ไม่ต้องหยุดยา
  • ควรใช้เข็มขนาดเล็กกว่า 23G และไม่ ควรคลึงกล้ามเนื้อหลังฉีดวัคซีน และควรกดตําแหน่งที่ฉีดหลังการฉีดยานานกว่าปกติจนกว่าจะแน่ใจว่าไม่มีเลือดออกผิดปกติ

 ให้ยา Methotrexate

  • ให้หยุดยา 1 สัปดาห์หลังการฉีดวัคซีนในแต่ละครั้งแล้วจึงให้ยาต่อตามปกติ (เฉพาะผู้ป่วยที่มีอาการคงที่) **ปรึกษาแพทย์ผู้รักษาก่อนเสมอ**
  • ให้พิจารณาหลีกเลี่ยงการใช้วัคซีน ชนิดไวรัสเวคเตอร์และเลือกใช้วัคซีน ชนิดเชื้อตายชนิด mRNA หรือชนิด ส่วนประกอบของโปรตีน

ให้ยา Steroid

  • ยา prednisolone ที่น้อยกว่า 20 mg/day หรือเทียบเท่า สามารถให้การฉีดวัคซีนโดยไม่ต้องหยุดยา
  • สําหรับยา prednisolone ที่มากกว่า 20 20mg/day หรือเทียบเท่า ในผู้ป่วยที่อาการคงที่และอยู่ในช่วงที่กําลังลดปริมาณSteroidสามารถให้การฉีดวัคซีนได้เช่นกัน
  • ให้พิจารณาหลีกเลี่ยงการใช้วัคซีนชนิดไวรัสเวคเตอร์และเลือกใช้วัคซีน ชนิดเชื้อตายชนิด mRNA หรือชนิดส่วนประกอบของโปรตีน

 ยากดภูมิคุ้มกัน azathioprine, mycophenolate ชนิดกิน

  • สามารถให้การฉีดวัคซีนได้โดยไม่ต้องหยุดยา
  • ให้พิจารณาหลีกเลี่ยงการใช้วัคซีน ชนิดไวรัสเวคเตอร์และเลือกใช้วัคซีน ชนิดเชื้อตายชนิด mRNA หรือ ชนิด ส่วนประกอบของโปรตีน

ข้อกังวลอื่น ๆ

การรับวัคซีนอื่น ไข้หวัดใหญ่ คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก พิษสุนัขบ้า หัดเยอรมัน

  • แนะนําให้ฉีดห่างกันอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับชนิดของวัคซีน
  • วัคซีนที่มีความจําเป็น เช่น เมื่อถูกสัตว์กัดให้ฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้าได้เลย โดยไม่ได้จําเป็นต้องทิ้งช่วงเวลา เนื่องจากความ เสี่ยงต่อโรคพิษสุนัขบ้ามีความสําคัญกว่า

การบริจาคเลือด

  • กรณีได้รับวัคซีนขนิต mRNA หรือ วัคซีน ชนิดเชื้อตาย อาจเว้นระยะประมาณ 1 สัปดาห์หลังฉีดวัคซีนก่อนบริจาคเลือด
  • หากได้รับวัคซีนชนิด live virus vaccine ควรเว้นระยะ 4 สัปดาห์หลังฉีดวัคซีนก่อนบริจาคเลือด

กําลังให้นมบุตร

  • ฉีดได้

กําลังตั้งครรภ์

  • ยังไม่มีการแนะนำให้ฉีดในหญิงตั้งครรภ์ เว้นแต่ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสูง และประเมินแล้วว่าวัคซีนให้ประโยชน์มากกว่าความเสี่ยง
  • ในหญิงตั้งครรภ์ที่อยู่ในกลุ่ม 7 โรคเสี่ยง ต่อภาวะรุนแรงจากโรคโควิด รวมถึงมีความเสี่ยงที่จะติดโควิด แนะนําให้ฉีดเมื่ออายุ ครรภ์มากกว่า 12 สัปดาห์ และแนะนําให้ฉีด วัคซีนขนิดเชื้อตาย

กําลังมีประจําเดือน

  • ไม่ได้มีข้อห้าม แต่มีคําแนะนําจาก ผู้เชี่ยวชาญว่าควรหลีกเลี่ยงการฉีดในช่วงมี ประจําเดือนเพื่อหลีกเลี่ยงอาการข้างเคียง

เคยติดโควิดแล้ว สามารถฉีดวัคซีนได้หรือไม่

  • ควรฉีดหลังจากติดเชื้ออย่างน้อย 3-6 เดือน และอาจฉีดเพียง 1 เข็ม

ความเสี่ยง/ผลข้างเคียง ที่อาจพบได้หลังจากการฉีดวัคซีน

  • ปวด บวม แดง บริเวณที่ฉีด มีไข้ อ่อนเพลีย ง่วงนอน เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ปวด เมื่อยลําตัว ผื่น / สามารถใช้วัคซีนชนิดเดิมซ้ำได้
  • Anaphylaxis อาการแพ้ เฉียบพลัน โดยมีอาการ 2 ใน 4 ของทางระบบผิวหนัง ทางเดินหายใจ/มีการ เปลี่ยนแปลงของความดัน โลหิต/ทางเดินอาหาร **ห้ามให้วัคซีนชนิดเติมอีก แนะนําให้เปลี่ยนขนิดของวัคซีน

สามารถฉีดวัคซีนโควิดสลับชนิดได้หรือไม่

  • ขณะนี้ยังไม่มีผลการศึกษา จึงแนะนําให้ฉีดชนิดเดียวกัน

หากเคยฉีดวัคซีนโควิด 19 แล้วยังต้องมีการฉีดวัคซีนซ้ำหรือไม่

  • ยังไม่มีข้อมูลการศึกษาเกี่ยวกับผลวัคซีนโควิด 19 ต่อระดับภูมิคุ้มกันโรคในระยะยาว จึงยังไม่มีคําแนะนําในขณะนี้

เคยมีประวัติแพ้ยา หรือ อาหารอย่างรุนแรง (anaphylaxis)

  • พิจารณาฉีดได้ แต่ต้องมีการติดตามอาการใกล้ชิด อาจเกิดอาการแพ้เฉียบพลันได้
  • อาจพิจารณาให้ non-sedative ก่อน

เลื่อนวันฉีดวัคซีนได้หรือไม่

  • Sinovac สามารถเลื่อนนัดฉีด โดยห่างจาก เข็มแรกไม่เกิน 4สัปดาห์

ด้าน พล.อ.ท.อนุตตร จิตตินันทน์ (หมออนุตตร) ประธานราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว (Anutra Chittinandana) โดยมีข้อความว่า 

วัคซีนโควิด-19 กับผู้ที่มีโรคประจำตัว

ผลการศึกษาในต่างประเทศพบว่าผู้ป่วยโรคเรื้อรังเพียงร้อยละ 11 ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ที่ดูแลตัวเองเกี่ยวกับการรับวัคซีนโควิด-19 มีถึงร้อยละ 36 ที่ยังไม่แน่ใจว่าจะรับวัคซีนโควิค-19 ดีหรือไม่ โดยมีเหตุผลสำคัญในเรื่องผลข้างเคียง ความปลอดภัย ผลกับโรคของตนเอง และประสิทธิภาพของวัคซีน แล้วยังพบว่า 44% มีน้ำหนักเพิ่มขั้น 30% หยุดออกกำลังกาย 22% พบว่ามีปัญหาด้านสุขภาพเพิ่มขึ้น และ 33% ปัญหาโรคเรื้อรังแย่ลงระหว่างการระบาด ผลสำรวจนี้คงไม่แตกต่างจากเมืองไทยสักเท่าไหร่ 

วันนี้เลยขอเอาประเด็นการรับวัคซีนโควิด-19 สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวมาเขียนให้ดูกันครับทำไมผู้ที่มีโรคประจำตัวจึงควรได้รับวัคซีนโควิด-19

ผู้ที่มีโรคประจำตัว มักมีอาการรุนแรงเมื่อเป็น Covid-19 รวมทั้งอาจมีการกำเริบของโรคที่เป็นอยู่เมื่อมีการติดเชื้อ ทำให้อาการยิ่งรุนแรงขึ้น และทำให้เสียชีวิตมากกว่าผู้ที่ไม่มีโรคประจำตัว  ถึงแม้การศึกษาทางคลินิกของวัคซีนทุกตัวในปัจจุบัน มีผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวร่วมในการศึกษาไม่มากนัก เพราะส่วนใหญ่เป็นการศึกษาในบุคลากรทางการแพทย์หรือประชาชนทั่วไป  

ข้อมูลที่มีอยู่แสดงว่าวัคซีนอาจมีประสิทธิภาพลดลงในผู้ที่มีโรคประจำตัวบางโรค โดยเฉพาะผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ  แต่ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกก็แนะนำให้ผู้ป่วยเหล่านี้ได้รับวัคซีนโควิด-19 เนื่องจากผลดีจากวัคซีนในการลดความรุนแรงของโรคจะมากกว่าผลเสียที่เกิดขึ้นจากวัคซีน เช่นเดียวกับผู้ที่ไม่มีโรคประจำตัว

ผู้ที่มีโรคประจำตัวจะเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากวัคซีนโควิด-19 มากขึ้นไหม

เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่ไม่รุนแรง เช่น อาการปวดบริเวณที่ฉีด อาการไข้ อาการปวดเมื่อยตามตัว ไม่ได้เพิ่มขึ้นในผู้มีโรคประจำตัวเมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่มีโรคประจำตัว  และรายงานการเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่รุนแรง เช่นภาวะหลอดเลือดดำอุดตันร่วมกับเกล็ดเลือดต่ำหลังการฉีดวัคซีนที่มีรายงานในต่างประเทศประมาณ 1 ในแสนราย ส่วนใหญ่กลับพบในคนอายุน้อยที่ไม่มีโรคประจำตัว ผู้ที่มีปัญหาหลอดเลือดอุดตันมาก่อนจึงสามารถรับวัคซีนโควิด-19 ได้ หรือปฏิกิริยาที่เกี่ยวข้องกับความเครียด (ISRR) จากการฉีดวัคซีนกับวัคซีนโควิด-19 ซึ่งทำให้มีอาการชา อ่อนแรง คลื่นไส้ วิงเวียน เป็นลม ตามัว พูดไม่ชัด เกร็ง ก็มักเป็นในผู้หญิงอายุน้อย เป็นกลุ่มก้อน โดยไม่พบความผิดปกติของสมอง ดังนั้นผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤกษ์ อัมพาต หรือลมชัก ก็สามารถรับวัคซีนโควิด-19 ได้  

ผู้ที่มีโรคประจำตัวได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้วโรคที่เป็นจะแย่ลงไหม

ยังไม่มีข้อมูลรายงานว่าเมื่อผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคอ้วน โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคภูมิแพ้ โรคเอชไอวี โรคไทรอยด์ โรคผิวหนัง และโรคอื่น ๆ จะมีอาการแย่ลงหรือกำเริบหลังได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19  แต่มีข้อระมัดระวังสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวในการรับวัคซีนคือ ในช่วงที่รับวัคซีนจะต้องไม่มีการกำเริบของโรค เช่น ผู้ป่วยโรคหอบหืดมีอาการหอบมากขึ้นก่อนฉีด ผู้ป่วยโรคหัวใจมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกหรือเหนื่อยหอบ ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีอาการเฉียบพลัน ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังอยู่ในช่วงได้รับเคมีบำบัดหรือมีไข้ก่อนให้วัคซีน และผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ความดันโลหิตสูงขั้นวิกฤติ  ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวและมีอาการกำเริบของโรคเหล่านี้ ควรได้รับการดูแลรักษาจนอาการกำเริบดีขึ้นแล้ว จึงสามารถฉีดวัคซีนได้

ลิงค์ข่าว https://www.tja.or.th/view/news/1331483