สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 30 สิงหาคม 2568

ฝานมะนาวใส่แก้ว เติมน้ำร้อน ทิ้งไว้แล้วดื่ม สามารถรักษามะเร็งได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/rhuou32yjvlj


ไทยยิงกระสุนฟอสฟอรัสใส่พื้นที่พลเรือนกัมพูชา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/v73vurpddxvi


จีนซ้อมรบกับไทย ส่งสัญญาณเตือนกัมพูชา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1b3jln7qe3qq0


ชาวเขมรทำแกงกุ้งแม่น้ำอวดคนไทย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3itb7dy75m22e


คลิปเจ้าหน้าที่ไทยส่งยาให้ผู้ป่วยเขมร…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3dhu3lkrkjt8s


คลิปกระสุนจิ๋วรูปทรงคล้ายจรวด อาวุธสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2z27h92g7vu9p


เตือนภัยไฟไหม้โทรศัพท์มือถือขณะชาร์จแบตฯ ทิ้งไว้ตอนกลางคืน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/4qfi3yabuyt0


นมแมลงสาบ ให้พลังงานมากกว่านมวัว 3 เท่า อาจเป็น “ซุปเปร์ฟู้ด” แห่งอนาคต

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2y0nk2eg75fny#_=_


ตำรวจภูธรจังหวัดยะลา และ สภ.เมืองยะลา ประกาศมาตรการห้ามเยาวชนออกนอกบ้านหลัง 4 ทุ่ม

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/18r7a92egl3ry


”สนามบินดอนเมือง“ ประกาศ ขึ้นค่าจอดรถ สูงสุด 140 บาท มีผล 1 ธ.ค. 68 เป็นต้นไป

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1znlhmq976i6l#_=_


ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ นายกฯ อิ๊งค์ พ้นเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ด้วยคะแนน 6 ต่อ 3 เสียง

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/t1l38l64a8c3


กสทช. เคาะแผนช่วยประชาชน แพ็กเกจมือถือธงฟ้า 210 บาท/เดือน เน้นโทร + เน็ตความเร็วสูง คาดพร้อมใช้ไตรมาส 4 ปีนี้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1tkcio6wsn5mi


มอเตอร์เวย์ M81 บางใหญ่ – กาญจนบุรี เปิดวิ่งฟรี 7 ด่าน เริ่ม 15 สิงหาคมนี้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/i141dsqj6krk


จับ-ส่งกลับ‘นักเรียนกัมพูชา’แม่พาลอบเข้าเมืองตั้งแต่เล็ก : กฎหมายคุ้มครองสิทธิ..แต่น่าห่วงกระแสเกลียดชัง

By : Zhang Taehun

เป็นข่าวใหญ่ตั้งแต่ช่วงเช้าของวันที่ 28 ส.ค. 2568 เมื่อสื่อหลายสำนักเสนอข่าว ครูโพสต์คลิปวิดีโอผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่านักเรียนชายวัย 13 ปี ชาวกัมพูชา ถูกจับกุมและจะถูกผลักดันออกนอกประเทศไทย เนื่องจากเป็นบุคคลเข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเรื่องนี้ก่อให้เกิดข้อถกเถียงในสังคมไทย ระหว่างฝ่ายที่สนับสนุนให้ผลักดันออกนอกประเด็นกับฝ่ายที่เรียกร้องให้หาวิธีทำให้เด็กคนดังกล่าวได้เรียนในไทยต่อตามหลักมนุษยธรรม ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดตามแนวชายแดนของทั้ง 2 ประเทศ หลังเกิดการสู้รบเมื่อวันที่ 24 – 28 ก.ค. 2568 ที่ผ่านมา 

สถานการณ์ล่าสุด ทางกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)ได้ประสานงานกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเพื่อขอรับเด็กและมารดาเข้ารับการสงเคราะห์และคุ้มครองสวัสดิภาพที่บ้านพักเด็กและครอบครัว (บพด.) จังหวัดสุรินทร์ เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้เป็นอำนาจหน้าที่ของหน่วนงานที่เกี่ยวข้องที่จะดำเนินการขั้นต่อไปทั้งในเรื่องการพิสูจน์สัญชาติและให้สัญชาติ โดยทางพม.เน้นย้ำการคุ้มครองสิทธิและสวัดดิภาพของเด็ก ตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child) มาตรา 22 ด้วยการดูแลเด็กไม่ว่าจะสัญชาติหรือเชื้อชาติใด ถ้าอาศัยอยู่ในประเทศไทย จะต้องได้รับการคุ้มครอง ทั้งสิทธิและสวัสดิภาพ

– ลำดับเหตุการณ์

สถานีโทรทัศน์ช่อง 7HD รายงานโดยระบุว่า ครูที่โพสต์คลิปดังกล่าวเล่าว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 ส.ค. 2568 หลังจากที่เคารพธงชาติเสร็จ ก็มีรถตำรวจมารับตัวนักเรียนรายนี้ไป เนื่องจากมีผู้ไปแจ้งความในข้อกล่าวหา เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต นักเรียนกับแม่ มีสัญชาติกัมพูชา มีสามีเป็นคนไทยในอำเภอบัวเชด ได้นำลูกศิษย์ของครูเข้ามาตั้งแต่วัยทารก และไม่เคยกลับเข้าไปที่กัมพูชาอีกเลย แต่ในเวลาต่อมาครูท่านเดิมชี้แจงเพิ่มเติมว่า จากการตรวจสอบเอกสารตามใบเกิด (สูติบัตร) พบว่าชื่อพ่อของนักเรียนไม่ใช่คนไทย สิ่งที่ทำได้คือติดตามนักเรียนและหาวิธีการช่วยเหลือสนับสนุนแบบใกล้ชิด ซึ่งทุกอย่างดำเนินการตามขั้นตอนและกระบวนการตามกฎหมาย

สำนักข่าว Nation รายงานว่าได้สอบถาม นายศิริโชค เผ่าเพ็ญ ชายชาวไทยซึ่งเป็นพ่อเลี้ยงของเด็กชาวกัมพูชา ซึ่งเดินทางมาให้ปากคำที่ สภ.บัวเชด จ.สุรินทร์ โดยนายศิริโชค เล่าว่า ตนเองเลี้ยงเด็กชาวกัมพูชามาตั้งแต่อายุ 3 ขวบ และเข้าเรียนในโรงเรียนของประเทศไทยตั้งแต่เด็ก โดยตนรู้จักกับหญิงชาวกัมพูชา แม่ของเด็กคนนี้ตั้งแต่เมื่อ 10 ปีก่อน เนื่องจากไปบวชอยู่ที่ประเทศกัมพูชา และหลังจากสึกมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ภรรยาก็ได้พาลูกวัย 3 ขวบมาอยู่ด้วย 

พ.ต.อ.สราวุธ  ศรีวิฑูรย์ศักดิ์  ผกก.สภ.บัวเชดชี้แจงว่า เมื่อวันที่ 27 ส.ค.2568 มีผู้แจ้งเบาะแสว่ามีชาวกัมพูชาในพื้นที่ อ.บัวเชด จ.สุรินทร์ จึงส่งพนักงานสอบสวนลงพื้นที่ ซึ่งพบกับตัวของแม่เด็ก จึงนำตัวมาสอบสวน เตรียมจะผลักดันกลับประเทศ แต่ตัวของแม่บอกว่าลูกเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียน ทำให้เจ้าหน้าที่กลับมาคิดว่าถ้าจะผลักดันแม่กลับไปคนเดียวแล้วลูกจะอยู่กับใคร จึงได้ให้ตำรวจไปเชิญตัวเด็กมาจากโรงเรียน ตามที่ปรากฏเป็นข่าว

จากการตรวจสอบพบหญิงชาวกัมพูชามีเอกสารติดตัวเพียงบัตรผ่านแดนชั่วคราว พบว่าผ่านเข้ามาทาง “ช่องสะงำ” จ.ศรีสะเกษ และมีตราประทับแค่ฝั่งของกัมพูชา แต่ไม่มีตราประทับของด่านตำรวจตรวจคนเข้าเมืองช่องสะงำ แสดงว่าไม่ได้ผ่าน ตม.ไทย อีกทั้งตามหลักแล้วบัตรผ่านแดนชั่วคราวจะอยู่ได้แค่ภายในจังหวัดนั้นๆ  คือ จ.ศรีสะเกษ ทำให้การเข้ามาไม่ถูกต้อง และยังพบอีกว่าบัตรผ่านแดนนั้นเข้ามาตั้งแต่ปี 2560 ส่วนเด็กชายไม่มีเอกสารบัตรผ่านแดนมีเพียงใบเกิด ที่ระบุว่าเกิดที่ไหนวันที่เท่าไหร่

ตลอดเวลาช่วงบ่าย มีรายงานที่ไม่ตรงกันจากสื่อต่างๆ ว่าเด็กและแม่ถูกผลักดันกลับประเทศกัมพูชาแล้วหรือไม่ กระทั่งเวลาประมาณ 16.00 น. เพจเฟซบุ๊ก กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์” เผยแพร่ข่าวระบุว่า นายวราวุธ  ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เปิดเผยว่า ได้ประสานไปยังศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) จังหวัดสุรินทร์ และทีม พม.หนึ่งเดียวจังหวัดสุรินทร์ โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) 

เจ้าหน้าที่จึงได้ลงพื้นที่และทำงานร่วมกันแบบบูรณาการ โดยประสานงานกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเพื่อขอรับเด็กและมารดาเข้ารับการสงเคราะห์และคุ้มครองสวัสดิภาพที่บ้านพักเด็กและครอบครัว (บพด.) จังหวัดสุรินทร์ เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจากนี้ไป ต้องเป็นการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่าจะมีการดำเนินการในลักษณะใด แต่ในมิติของกระทรวง พม. จะต้องส่งเสริมให้เด็กได้รับการศึกษาและจัดที่พักอาศัยให้ ตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child) มาตรา 22 ด้วยการดูแลเด็กไม่ว่าจะสัญชาติหรือเชื้อชาติใด ถ้าอาศัยอยู่ในประเทศไทย จะต้องได้รับการคุ้มครอง ทั้งสิทธิและสวัสดิภาพ นายวราวุธ กล่าว 

อย่างไรก็ตาม นายวราวุธ ย้ำว่า กระทรวง พม. ไม่มีอำนาจหน้าที่ในการให้สัญชาติกับใคร กรณีการพิสูจน์สัญชาติ ว่ามารดามีการเข้าเมืองมาอย่างไร เด็กมีสัญชาติใด คงจะต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบ เนื่องจากกระทรวง พม. ไม่มีอำนาจหน้าที่ในการที่จะเข้าไปตรวจสอบแต่ระหว่างอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบนั้นเด็กและมารดาจะอยู่ภายใต้การดูแลคุ้มครองสวัสดิภาพของกระทรวง พม.

ในช่วงเย็นของวันที่ 28 ส.ค. 2568 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ออกแถลงการณ์ เรื่อง เน้นย้ำหลักการประโยชน์สูงสุดของเด็ก กรณีตำรวจเข้าจับกุมนักเรียนรหัส เพื่อส่งกลับกัมพูชา โดยย้ำว่า อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) ที่ประเทศไทยเป็นภาคีและมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตาม มีหลักการสำคัญระบุให้การดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับเด็ก ไม่ว่าจะกระทำโดยสถาบันทางสังคม หรือองค์กรใด ผลประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรก และรัฐภาคีต้องยอมรับสิทธิของเด็กที่จะได้รับการศึกษาบนพื้นฐานของโอกาสที่เท่าเทียมกัน

กสม. เห็นว่า กรณีการจับกุมเด็กนักเรียนรายดังกล่าวเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักสิทธิเด็กและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เนื่องด้วยเป็นการจับกุมที่ไม่มีหมายจับ ไม่มีเหตุแห่งการกระทำความผิดซึ่งหน้า เด็กมีสถานะเป็นเพียงผู้ติดตามมารดาเข้าเมืองมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กและไม่มีเจตนาหลบหนี อีกทั้งการเข้าไปจับกุมเด็กในพื้นที่โรงเรียนอาจสร้างบาดแผลทางจิตใจให้แก่เด็กได้ในระยะยาว ยิ่งไปกว่านั้น การส่งตัวกลับประเทศต้นทางในทันทีอาจทำให้เด็กนักเรียนรายดังกล่าวซึ่งไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษาประเทศบ้านเกิดได้ เสียสิทธิ ขาดโอกาสและความต่อเนื่องในการได้รับการศึกษาโดยสิ้นเชิง แถลงการณ์ระบุ 

แถลงการณ์ กสม. ยังระบุด้วยว่า ขอให้การดำเนินการใดๆ ของทุกฝ่ายคำนึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นที่ตั้ง โดยไม่ควรมีกรณีการจับกุมเด็กต่างชาติในลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก ทั้งนี้ ภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ กสม. ขอให้สังคมร่วมกันยุติการสร้างความเกลียดชังด้วยเหตุแห่งเชื้อชาติในทุกรูปแบบ เพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมที่พึ่งพาอาศัยกันได้อย่างสันติ

– เด็กต่างด้าวกับการเข้าถึงการศึกษาในประเทศไทย เกี่ยวข้องกับข้อกฎหมายใดบ้าง?

ในระดับ กฎหมายระหว่างประเทศ ไทยมีพันธะต้องปฏิบัติตาม อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) เนื่องจากได้ร่วมลงนามร่วมเป็นภาคีไว้เมื่อวันที่ 12 ก.พ. 2535 อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิเด็ก มีจำนวนทั้งสิ้น 54 ข้อ โดยในข้อ 1 ให้นิยามว่าเด็กคือมนุษย์ทุกคนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี เว้นแต่จะบรรลุนิติภาวะก่อนหน้านั้นตามกฎหมายที่ใช้บังคับแก่เด็กนั้น , ข้อ 2 ในส่วนข้อย่อย 2.1 รัฐภาคีจะเคารพและประกันสิทธิตามที่กำหนดไว้ในอนุสัญญานี้แก่เด็กแต่ละคนที่อยู่ในเขตอำนาจของตน โดยปราศจากการเลือกปฏิบัติไม่ว่าชนิดใดๆ โดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ สีผิว เพศ ภาษา ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมืองหรือทางอื่น ต้นกำเนิดทางชาติ ชาติพันธุ์ หรือสังคม ทรัพย์สิน ความทุพพลภาพ การเกิดหรือสถานะอื่นๆ ของเด็ก หรือบิดา มารดา หรือผู้ปกครองตามกฎหมาย และ 2.2 รัฐภาคีจะดำเนินมาตรการที่เหมาะสมทั้งปวง เพื่อที่จะประกันว่าเด็กได้รับการคุ้มครองจากการเลือกปฏิบัติหรือการลงโทษในทุกรูปแบบ บนพื้นฐานของสถานภาพ กิจกรรมความคิดเห็นที่แสดงออก หรือความเชื่อของบิดา มารดา ผู้ปกครองตามกฎหมาย หรือสมาชิกในครอบครัวของเด็ก , 

ข้อ 22 ระบุว่า 22.1 รัฐภาคีจะดำเนินมาตรการที่เหมาะสมที่จะประกันว่า เด็กที่ร้องขอสถานะเป็นผู้ลี้ภัย หรือที่ได้รับการพิจารณาเป็นผู้ลี้ภัยตามกฎหมายหรือกระบวนการภายในหรือระหว่างประเทศที่ใช้บังคับ ไม่ว่าจะมีบิดามารดาของเด็กหรือบุคคลอื่นติดตามมาด้วยหรือไม่ก็ตามจะได้รับการคุม้ครองและความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมที่เหมาะสมในการได้รับสิทธิที่มีอยู่ ตามที่ระบุไว้ในอนุสัญญานี้ และในตราสารระหว่างประเทศอื่นๆ อันเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนหรือมนุษยธรรม ซึ่งรัฐดงักล่าวเป็นภาคี

22.2 เพื่อวัตถุประสงคนี้ รัฐภาคีจะให้ความร่วมมือตามที่พิจารณาว่าเหมาะสมแก่ความพยายามใดๆ ของทั้งองค์การสหประชาชาติและองค์การระดับรัฐบาล หรือองค์การที่มิใช่ระดับรัฐบาลอื่นที่มีอำนาจ ซึ่งร่วมมือกับองค์การสหประชาชาติในการคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กเช่นว่า และในการติดตามหาบิดามารดาหรือสมาชิกอื่นของครอบครัวของเด็กผู้ลี้ภัย เพื่อให้ได้รับข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นสำหรับการกลับไปอยู่ร่วมกันใหม่เป็นครอบครัวของเด็ก ในกรณีที่ไม่สามารถค้นพบบิดามารดาหรือสมาชิกอื่นๆ ของครอบครัว เด็กนั้นจะได้รับการคุม้ครองเช่นเดียวกับเด็กที่ถูกพรากจากสภาพครอบครัว ทั้งที่เป็นการถาวรหรือชั่วคราวไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ดังเช่นที่ได้ระบุไว้ในอนุสัญญานี้

ข้อ 28 ระบุว่า รัฐภาคียอมรับสิทธิของเด็กที่จะได้รับการศึกษา และเพื่อที่จะให้สิทธินี้บังเกิดผลตามลำดับและบนพื้นฐานของโอกาสที่เท่าเทียมกัน รัฐภาคีจะ 28.1 จัดการศึกษาระดับประถมเป็นภาคบังคับที่เด็กทุกคนสามารถเรียนได้โยไม่เสียค่าใช้จ่าย 28.2 สนับสนุนการพัฒนาของการศึกษาระดับมัธยมในรูปแบบต่างๆ รวมถึงการศึกษาสายสามัญและสายอาชีพ จัดการศึกษาให้แพร่่หลายและเปิดกว้างแก่เด็กทุกคน และด าเนินมาตรการที่เหมาะสมเช่น การนำมาใช้ซึ่งการศึกษาแบบให้เปล่าและการเสนอให้ความช่วยเหลือทางการเงินในกรณีที่จา เป็น

28.3 ทำให้การศึกษาในระดับสูงเปิดกว้างแก่ทุกคนบนพื้นฐานของความสามารถ โดยทุกวิธีการที่เหมาะสม 28.4 ทำให้ข้อมูลข่าวสาร และการแนะแนวทางการศึกษาและอาชีพ เป็นที่แพร่หลายและเปิดกว้างแก่เด็กทุกคน และ 28.5 ดำเนินมาตรการเพื่อสนับสนุนการเขา้เรียนอย่างสม่ำเสมอ และลดอัตราการออกจากโรงเรียนกลางคัน

ขณะที่ กฎหมายในประเทศ เช่น พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 มาตรา 22 ระบุว่า การปฏิบัติต่อเด็กไม่ว่ากรณีใด ให้คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญและไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม การกระทำใดเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็ก หรือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อเด็กหรือไม่ ให้พิจารณาตามแนวทางที่กำหนดในกฎกระทรวง , 

มติคณะรัฐมนตรี 5 ก.ค. 2548 นำไปสู่การออก ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยหลักฐานในการรับนักเรียน นักศึกษา เข้าเรียนในสถานศึกษา พ.ศ. 2548 ซึ่งในข้อ 5 ระบุว่า ให้สถานศึกษาถือเป็นหน้าที่ในการที่จะรับเด็กที่อยู่ในวัยการศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาภาคบังคับเข้าเรียนในสถานศึกษา กรณีเด็กย้ายที่อยู่ใหม่ สถานศึกษาต้องอำนวยความสะดวก และติดตามให้เด็กได้เข้าเรียนในสถานศึกษาที่ใกล้กับที่อยู่ใหม่ , 

ข้อ 6 ระบุว่า การรับนักเรียน นักศึกษาในกรณีที่ไม่เคยเข้าเรียนในสถานศึกษามาก่อน ให้สถานศึกษาเรียกหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่งตามลำดับเพื่อนำมาลงหลักฐานทางการศึกษา ดังต่อไปนี้ (1) สูติบัตร (2) กรณีที่ไม่มีหลักฐานตาม (1) ให้เรียกหนังสือรับรองการเกิด บัตรประจำตัวประชาชนสำเนาทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้าน หรือหลักฐานที่ทางราชการจัดทำขึ้นในลักษณะเดียวกัน (3) ในกรณีที่ไม่มีหลักฐานตาม (1) หรือ (2) ให้เรียกหลักฐานที่ทางราชการออกให้ หรือเอกสารตามที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดให้ใช้ได้

(4) ในกรณีที่ไม่มีหลักฐานตาม (1) (2) และ (3) ให้บิดามารดา ผู้ปกครอง หรือองค์กรเอกชน ทำบันทึกแจ้งประวัติบุคคลตามแบบแนบท้ายระเบียบนี้เป็นหลักฐานที่จะนำมาลงหลักฐานทางการศึกษา (5) ในกรณีที่ไม่มีบุคคล หรือองค์กรเอกชนตาม (4) ให้ซักถามประวัติบุคคลผู้มาสมัครเรียน หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำลงรายการบันทึกแจ้งประวัติบุคคลตามแบบแนบท้ายระเบียบนี้เป็นหลักฐานที่จะนำมาลงหลักฐานทางการศึกษา

ระเบียบดังกล่าวยังถูกย้ำอีกครั้งใน ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การรับนักเรียน นักศึกษาที่ไม่มีหลักฐาน ทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยเมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2562 ระบุในข้อ 3 ว่า ให้สถานศึกษารับเด็กหรือบุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย เข้าเรียนตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยหลักฐานในการรับนักเรียน นักศึกษาเข้าเรียนในสถานศึกษา พ.ศ.2548 และตรวจสอบเอกสาร หลักฐานทางทะเบียนราษฎรของเด็กหรือบุคคลที่สมัครเข้าเรียน 

หากมีเอกสารหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือเลขประจำตัว 13 หลัก ให้ดำเนินการตามขั้นตอนปกติของสถานศึกษา หากไม่มีเอกสารหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือเลขประจำตัว 13 หลัก ให้ปฏิบัติตามขั้นตอนในการกำหนดรหัสประจำตัวผู้เรียนในระบบกำหนดรหัสประจำตัวผู้เรียนเพื่อเข้ารับบริการการศึกษาสำหรับผู้ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรตามที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด ไปจนกว่าจะได้รับการจัดทำทะเบียนราษฎรและได้เลขประจำตัว 13 หลัก ตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร

นอกจากนั้น มติ ครม.วันที่ 5 ก.ค. 2548 ยังให้จัดสรรงบประมาณอุดหนุนเป็นค่าใช้จ่ายรายหัวให้แก่สถานศึกษาที่จัดการศึกษาให้แก่กลุ่มบุคคลที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย ตั้งแต่ระดับก่อนประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษาตอนปลายในอัตราเดียวกับค่าใช้จ่ายรายหัวที่จัดสรรให้แก่เด็กไทย , ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาดำเนินการออกระเบียบให้สอดคล้องกับระเบียกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยหลักฐานในการรับนักเรียน นักศึกษาเข้าเรียนในสถานศึกษา พ.ศ. 2548 , ให้หน่วยงานฝึกอาชีพทุกส่วนราชการยอมรับหลักฐานทางการศึกษาที่ออกให้แก่เด็กตามระเบียบฯ เป็นต้น 

– พ.ร.บ.อุ้มหาย ห้ามผลักดันออกหากมีแนวโน้มว่าออกไปแล้วจะเป็นอันตราย : โคแฟคได้รับความเห็นเพิ่มเติมจาก นายวุฒิชัย พุ่มสงวน อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุดศูนย์อัยการคุ้มครองสิทธิเด็กเยาวชนและสถาบันครอบครัว ที่ระบุว่า พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 มาตรา 13 กำหนดห้ามมิให้หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐขับไล่ส่งกลับหรือส่งบุคคลเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปยังอีกรัฐหนึ่ง หากเห็นควรเชื่อได้ว่าบุคคลนั้นจะตกอยู่ในอันตรายที่จะถูกกระทำทรมาน ถูกกระทำการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือถูกกระทำให้สูญหาย

ดังนั้นสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐตามนิยามศัพท์ของกฎหมายฉบับนี้ เมื่อตามข้อเท็จจริงก็รับรู้กันอยู่ทั่วไปว่าปัจจุบันกัมพูชามีสถานการณ์ความไม่สงบ กับประเทศไทย ย่อมไม่มีความแน่ชัดว่าส่งเด็กคนนี้ข้ามกลับไปที่กัมพูชา อาจจะถูกมองว่าเป็นสายลับของคนไทย และอาจจะถูกกระทำที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมก็ได้ จึงเข้าข้อห้ามตามมาตรา 13 เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงไม่สามารถส่งตัวเด็กคนดังกล่าวกลับไปได้ นายวุฒิชัย กล่าว 

นายวุฒิชัย ยังกล่าวอีกว่า นอกจากนั้น เด็กดังกล่าวมีอายุต่ำกว่า 18 ปีจึงเป็นเด็กตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก และอาจจะเป็นกรณีที่จำเป็นต้องได้รับการสงเคราะห์ หรือคุ้มครองสวัสดิภาพตามกฎหมาย ตามที่เจ้าพนักงานคุ้มครองเด็กจะไปสืบเสาะข้อเท็จจริง เพื่อดำเนินการช่วยเหลือเด็กดังกล่าว ตามกฎหมาย ต่อไป

ทั้งหมดข้างต้นนี้เป็นเรื่องราวในมุมกฎหมายที่เกี่ยวข้อง แต่ที่น่าห่วงกว่าคือ กระแสความเกลียดชังบนโลกออนไลน์ เพราะหากดูความเห็นตามเพจสำนักข่าว ความเห็นจำนวนมากเรียกร้องให้ผลักดันทั้งแม่และเด็กออกไป (แม้กระทั่งในเพจของกระทรวง พม. เองก็เกิดปรากฏการณ์ ทัวร์ลง มีผู้เข้ามาแสดงความเห็นเชิงตำหนิเป็นจำนวนมากในโพสต์ข่าวและคลิปที่รัฐมนตรีแถลงเว่า พม.ได้รับแม่และเด็กไปดูแล) นอกเหนือจากความไม่รู้ในข้อกฎหมายที่รัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐไทยต้องปฏิบัติตาม!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

https://www.ch7.com/sports/823755 (ครูน้ำตาร่วง นร. 13 ปี พ่อเป็นไทยแม่เป็น กพช. โดนแจ้งจับต่างด้าว : ช่อง 7HD 28 ส.ค. 2568)

https://www.ch7.com/sports/823762 (เคส 13 ปี ถูกจับต่างด้าว ครูชี้แจงตรวจสอบใบเกิด พ่อเด็กก็เป็น กพช. : ช่อง 7HD 28 ส.ค. 2568)

https://www.nationtv.tv/news/social-news/378966106 (เปิดใจพ่อเลี้ยง ด.ช.กัมพูชา หลังถูกตำรวจจับผลักดันกลับประเทศ : Nation 28 ส.ค. 2568)

https://web.facebook.com/share/p/1BUpo9F1ST/ (UPDATE: ตม.สุรินทร์ นำตัวเด็กและแม่กัมพูชา กลับมาที่ พม.สุรินทร์ เพื่อสอบสวนเพิ่มเติม ยังไม่ส่งกลับกัมพูชา : The Reporters 28 ส.ค. 2568)

https://tna.mcot.net/region-1577979 (เด็กชายวัย 13 ปี กลับกัมพูชาพร้อมแม่แล้ว : สำนักข่าวไทย อสมท. 28 ส.ค. 2568)

https://web.facebook.com/share/v/1AQrgbSmuN/(“วราวุธ” เผย พม. รับ ด.ช. 13 ปี-มารดา เข้าคุ้มครองสวัสดิภาพตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) มาตรา 22 : กระทรวง พม. 28 ส.ค.2568)

https://humanrights.mfa.go.th/human-rights-for-youth/convention-on-the-rights-of-the-child/ (อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก : กรมองค์การระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ)

https://law.m-society.go.th/law/view/33 (พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 : กองกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์)

https://reapdd.moe.go.th/wp-content/uploads/2025/02/หนังสือ-A4-2024_คู่มือการจัดการเด็กไม่มีสัญชา_compressed.pdf (หนังสือ คู่มือและแนวปฏิบัติสำหรับการจัดการศึกษาแก่บุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย (ฉบับปรับปรุงใหม่ พ.ศ.2567) โดยกระทรวงศึกษาธิการ , หน้า 10 – 22)

https://resolution.soc.go.th/?prep_id=204015 (มติ ครม. เรื่อง ร่างระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยหลักฐาน วัน เดือน ปีเกิด ในการรับนักเรียนนักศึกษาเข้าเรียนในสถานศึกษา พ.ศ. …. (การจัดการศึกษาแก่บุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย) 5 ก.ค. 2548)

คลิปวิดีโอ AI เผยแพร่เนื้อหาบิดเบือน อ้าง “จีนร่วมซ้อมรบกับไทย ส่งสัญญาณเตือนกัมพูชา” 

กองบรรณาธิการโคแฟค

โคแฟคตรวจสอบคลิปวิดีโอที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2568 อ้างว่ากองทัพจีนซ้อมรบร่วมกับไทยเพื่อส่งสัญญาณเตือนที่กัมพูชาหักหลังจีน พบว่าเป็นเนื้อหาบิดเบือน เนื่องจากข้อมูลจากกองทัพไทยยืนยันได้ว่า ไม่มีการซ้อมรบร่วมไทย-จีน นับตั้งแต่เกิดเหตุความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาช่วงปลายเดือน พ.ค. 2568 จนถึงปัจจุบัน (27 ส.ค. 2568)

เนื้อหาโดยสรุป

วันที่ 23 ส.ค. 2568 บัญชีเฟซบุ๊ก “หาไสได้ ว๊า” โพสต์คลิป Reel ฝังข้อความว่า “เขมรเดือด!! จีนซ้อมรบกับไทย ตื่นตระหนกถึงฮุนเซน” “เมื่อจีนโดนเขมรหักหลัง” และ “จีนซ้อมรบไทย โชว์อาวุธท็อปคลาส ฮุนเซนผวา” เสียงบรรยายพูดว่า “จีนส่งกองเรือรบชุดใหญ่พร้อมเครื่องบินขับไล่มาซ้อมรบครั้งประวัติศาสตร์กับกองทัพไทยในอ่าวไทย นี่ไม่ใช่การซ้อมรบธรรมดา ๆ แต่เป็นการส่งสารฉบับใหญ่ที่สุดเขียนด้วยดินปืนและเชื้อเพลิงไอพ่นส่งตรงไปถึงตระกูลฮุนว่าแกคิดผิดแล้วที่มาหักหลังฉัน”  

บัญชีเฟซบุ๊ก “หาไสได้ ว๊า” โพสต์คลิป Reel ฝังข้อความว่า “เขมรเดือด!! จีนซ้อมรบกับไทย ตื่นตระหนกถึงฮุนเซน”

โคแฟคตรวจสอบ

โคแฟคสืบค้นต้นตอของคลิปนี้จากเครดิตที่อ้างอิงในวิดีโอ พบว่าเป็นคลิปที่ตัดมาจากวิดีโอความยาว 8.31 นาที ที่เผยแพร่ทางบัญชีติ๊กตอกชื่อ “propertyexpertlive” เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2568 ซึ่งมียอดเข้าชมกว่า 2 ล้านครั้งและถูกแชร์ต่อกว่า 4,000 ครั้ง (ณ วันที่ 27 ส.ค. 2568) ต่อมาวันที่ 24 ส.ค. 2568 วิดีโอนี้ได้ถูกเผยแพร่ทางช่องยูทูบ “สันติเล่าข่าว” มียอดเข้าชมกว่า 34,000 ครั้ง

เสียงและผู้บรรยายในวิดีโอนี้ถูกสร้างขึ้นจากเอไอ และแทรกภาพประกอบจากหลายแหล่งที่มา เสียงบรรยายสรุปใจความได้ว่า จีนได้ร่วมซ้อมรบกับไทยซึ่งเป็นการส่งสัญญาณเตือนกัมพูชาว่าจีนไม่พอใจที่รัฐบาลกัมพูชามีทีท่าหันเข้าหาสหรัฐอเมริกา ทั้งที่ที่ผ่านมาจีนได้ทุ่มเททรัพยากรช่วยเหลือกัมพูชามาตลอด 

ภาพจากวิดีโอที่เผยแพร่ทางช่องยูทูบ “สันติเล่าข่าว” เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2568 โดยใช้ผู้บรรยายที่สร้างจากเอไอ
ส่วนภาพประกอบมีทั้งที่นำมาจากสำนักข่าวและที่สร้างจากเอไอ

วิดีโอนี้อ้างถึงการซ้อมรบระหว่างกองทัพจีนกับไทย 2 ครั้ง คือ Blue Strike 2025 และ Falcon Strike 2025 ในลักษณะที่สร้างความเข้าใจว่าการซ้อมรบนี้เกิดขึ้นหลังจากเกิดเหตุปะทะที่ชายแดนไทย-กัมพูชาระหว่างวันที่ 24-28 ก.ค. 2568  

โคแฟคสืบค้นข้อมูลจากเว็บไซต์ของกองทัพเรือและกองทัพอากาศพบว่า Blue Strike และ Falcon Strike เป็นรหัสการซ้อมรบร่วมระหว่างไทยกับจีนที่ดำเนินการมาเป็นเวลานานหลายปี สำหรับปี 2568 การซ้อมรบร่วม Blue Strike 2025 ครั้งล่าสุดจัดขึ้นเมื่อวันที่ 25 มี.ค.- 2 เม.ย. 2568 ณ เมืองจ้านเจียง สาธารณรัฐประชาชนจีน ส่วน Falcon Strike 2025 เดิมกำหนดจัดในวันที่ 28 ก.ค. – 8 ส.ค. 2568 ณ กองบิน 23 จ.อุดรธานี แต่ล่าสุดได้เลื่อนออกไปเป็นเดือน ก.ย. 2568

ไทม์ไลน์ซ้อมรบร่วมไทย-จีน

การซ้อมรบทางทะเล Blue Strike

ข้อมูลจากกองทัพเรือระบุว่า การฝึกผสมกองทัพเรือไทย-กองทัพเรือสาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้รหัสการฝึก Blue Strike จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 ต.ค.-14 พ.ย. 2553 บริเวณจังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี และอ่าวไทยตอนบน นับจากนั้นกองทัพเรือทั้งสองประเทศก็สลับกันเป็นเจ้าภาพจัดการฝึกผสม ดังนี้

  • Blue Strike 2012 จัดที่เมืองจ้านเจียง และเมืองซ่านเหวย สาธารณรัฐประชาชนจีน
  • Blue Strike 2016 จัดที่ จ.จันทบุรี
  • Blue Strike 2019 จัดที่เมืองซ่านหวุ่ย มณฑลกวางตุ้ง สาธารณรัฐประชาชนจีน
  • Blue Strike 2023 จัดที่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
  • Blue Strike 2025 จัดที่เมืองจ้านเจียง มณฑลกวางตุ้ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 25 มี.ค. – 2 เม.ย. 2568 ซึ่งสำนักข่าวซินหัวรายงานคำให้สัมภาษณ์ของนายอู๋เชียน โฆษกกระทรวงกลาโหมของจีนเมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2568 ว่าการซ้อมรบร่วมทางทะเลระหว่างกองทัพเรือจีนกับไทยภายใต้รหัส Blue Strike นี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 6เพื่อเสริมสร้างศักยภาพการรับมือกับภัยคุกคามด้านความมั่นคงทางทะเล โดยกองทัพเรือทั้งสองฝ่ายมีเป้าหมายยกระดับความร่วมมือ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ รวมทั้งเสริมสร้างมิตรภาพและความไว้วางใจผ่านการกระชับความร่วมมือในการซ้อมรบร่วมซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค
เพจเฟซบุ๊ก “กองประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกองทัพเรือ” โพสต์ภาพพิธีปิดการฝึกผสม Blue Strike 2025 ณ ค่าย NANTING
เมืองจ้านเจียง สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2568

การซ้อมรบทางอากาศ Falcon Strike

ข้อมูลจากรายงานข่าวของสำนักข่าวต่าง ๆ และข้อมูลที่เผยแพร่โดยกองทัพอากาศระบุว่า การฝึกผสมกองทัพอากาศไทย-จีน รหัส Falcon Strike จัดขึ้นครั้งแรกในปี 2558 ในชื่อ Falcon Strike 2015 ระหว่างวันที่ ระหว่างวันที่ 16-27 พ.ย. 2558  ณ กองบิน 1 จ.นครราชสีมา จากนั้นจัดขึ้นอีกหลายครั้งเกือบทุกปี เช่น Falcon Strike 2018, Falcon Strike 2019, Falcon Strike 2022, Falcon Strike 2023 และ Falcon Strike 2024 ทั้งหมดจัดขึ้น ณ กองบิน 23 จ.อุดรธานี

สำหรับการฝึกร่วมกองทัพอากาศไทย-จีน Falcon Strike 2025 นั้น เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “RTAF News” ซึ่งเป็นเพจข่าวทางการของกองทัพอากาศที่เผยแพร่ข้อมูลโดยกองประชาสัมพันธ์ กองกิจการพลเรือนทหารอากาศ ได้โพสต์ภาพการลงนามบันทึกข้อตกลงการฝึกผสม Falcon Strike 2025 ระหว่างผู้แทนกองทัพอากาศไทย คือ พล.อ.ต.สิทธิพล ป้อมตรี กับผู้แทนกองทัพอากาศจีน คือ น.อ. (พิเศษ) Sun Jun ณ กองบิน 23 จ.อุดรธานี โดยมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 ก.ค.-8 ส.ค. 2568 ณ กองบิน 23 จ.อุดรธานี

เพจเฟซบุ๊ก RTAF News โพสต์ภาพการลงนามบันทึกข้อตกลงการฝึกผสม Falcon Strike 2025 ระหว่างผู้แทนกองทัพอากาศไทยกับผู้แทนกองทัพอากาศจีน เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2568 ณ กองบิน 23 จ.อุดรธานี

จากนั้นวันที่ 2 มิ.ย. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “กองทัพอากาศไทย Royal Thai Air Force” โพสต์ภาพและข้อความว่าผู้อำนวยการกองอำนวยการฝึกผสมของกองทัพอากาศไทยและจีนร่วมประชุมวางแผนขั้นสุดท้ายและลงนามบันทึกข้อตกลงการฝึก ณ เมืองคุณหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยย้ำกำหนดการเดิม คือ 28 ก.ค.-8 ส.ค. 2568 ณ กองบิน 23 จ.อุดรธานี

แต่สุดท้ายแล้ว การฝึกผสม Falcon Strike 2025 ก็ได้เลื่อนออกไป โดยเจ้าหน้าที่กองประชาสัมพันธ์ฯ ให้ข้อมูลกับโคแฟคเมื่อวันที่ 27 ส.ค. 2568 ว่าการฝึกผสม Falcon Strike 2025 จะจัดขึ้นในช่วงกลางเดือน ก.ย. 2568

ข้อสรุปโคแฟค

คลิปวิดีโอ “จีนซ้อมรบไทย ส่งสัญญาณเตือนกัมพูชา” ซึ่งใช้ภาพและเสียงผู้บรรยายที่สร้างจากเอไอ ให้ข้อมูลบิดเบือนเกี่ยวกับการซ้อมรบร่วมไทย-จีน

การตรวจสอบของโคแฟคพบว่า แม้กองทัพเรือและกองทัพอากาศของไทยและจีนจะมีการซ้อมรบร่วมกันจริง ได้แก่ การซ้อมรบทางทะเล รหัส Blue Strike และการซ้อมรบทางอากาศ รหัส Falcon Strike แต่การซ้อมรบทางทะเลในปี 2568 หรือ Blue Strike 2025 ได้เสร็จสิ้นไปตั้งแต่เดือน เม.ย. 2568 ที่ประเทศจีน ส่วนการซ้อมรบทางอากาศ Falcon Strike 2025 นั้น กองทัพอากาศไทยและจีนได้ลงนามในข้อตกลงตั้งแต่เดือน มี.ค. 2568 ว่าจะจัดขึ้นในช่วงปลายเดือน ก.ค. 2568 แต่ได้เลื่อนไปเป็นเดือน ก.ย. 2568 การซ้อมรบร่วมระหว่างไทยกับจีนจึงไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาที่เริ่มตึงเครียดมาตั้งแต่ปลายเดือน พ.ค. 2568 จนเกิดการปะทะที่ชายแดนระหว่างวันที่ 24-28 ก.ค. 2568 นอกจากนี้เนื้อหาในคลิปยังนำการฝึกผสมระหว่างกองทัพไทยและจีนที่มีมานานแล้ว มาบิดเบือนให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับท่าทีของจีนต่อสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาอีกด้วย

เรื่องอื่นที่เกี่ยวข้อง

ระวังข่าวลวง! เปิดความจริงท่ามกลางความขัดแย้งไทย-กัมพูชา

วันที่ 26 สิงหาคม 2568 รายการ “โคแฟคสนทนารวมพลคนเช็กข่าว” ออกอากาศตอนที่ 14 โดยมีนายสุชัย เจริญมุขยนันท เป็นผู้ดำเนินรายการ ร่วมด้วยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่ นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT, นายสุผจญ กลิ่นสุวรรณผู้สื่อข่าวพิเศษไทยรัฐ และนายบัญชา จันทร์สมบูรณ์จากกองบรรณาธิการโคแฟค เพื่อถกประเด็นข่าวลวงที่เกิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาพร้อมแนะแนวทางรับมือเพื่อให้ประชาชนตั้งสติและตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบ

สุภิญญา กลางณรงค์: เรียกร้องสติและข้อเท็จจริง

สุภิญญา กลางณรงค์: เรียกร้องสติและข้อเท็จจริง

นางสาวสุภิญญา เริ่มต้นด้วยการเน้นย้ำถึงความสำคัญของการตั้งสติท่ามกลางกระแสข้อมูลที่ล้นทะลักโดยเฉพาะในสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาซึ่งแม้จะเริ่มคลี่คลาย แต่ข่าวลือและข้อมูลบิดเบือนยังคงสร้างความสับสนทั้งในหมู่ประชาชนไทยและกัมพูชา เธอชี้ว่า ความเป็นจริงนั้นโหดร้ายเพียงพอแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องสร้างเรื่องบิดเบือนเพื่อเพิ่มความขัดแย้ง พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยึดข้อเท็จจริงเป็นหลัก เพื่อลดความเกลียดชังและความเข้าใจผิดที่อาจนำไปสู่ปัญหาที่ใหญ่ขึ้น เธอยังยกตัวอย่างปรากฏการณ์ “ปีงู” ที่แสดงถึงความร้อนแรงในทุกวงการ ไม่ว่าจะเป็นการเมือง ศาสนา หรือการทหาร ทั้งนี้ แม้จะรักชาติแต่ก็ต้องอยู่บนข้อเท็จจริง และเน้นย้ำบทบาทของสื่อมวลชนที่ต้องเป็นที่พึ่งของประชาชนด้วยการนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง

สุผจญ กลิ่นสุวรรณ: ประสบการณ์ลงพื้นที่และความท้าทายในการแปล

นายสุผจญ เล่าประสบการณ์การลงพื้นที่สัมภาษณ์คณะผู้แทนจากอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งรวมถึงทูตเยอรมันและตัวแทนจากองค์กร Golden West ที่ทำงานด้านการกู้ระเบิด เขายกตัวอย่างกรณีคลิปสัมภาษณ์ที่ถูกนำไปตัดต่อและแชร์ในกัมพูชา จนกลายเป็นไวรัลด้วยยอดวิว 4.3 ล้านครั้ง พร้อมข้อความโจมตีว่าเขาเป็น “ขี้ขโมย” ซึ่งสะท้อนถึงการใช้ข้อมูลบิดเบือนเพื่อปลุกกระแสชาตินิยม นอกจากนี้ เขายังชี้ถึงปัญหาการแปลข้อมูลจากภาษาอังกฤษเป็นไทย โดยเฉพาะกรณีการสัมภาษณ์คณะผู้แทนเนเธอร์แลนด์เกี่ยวกับระเบิดที่พบในพื้นที่ภูมะเขือ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งคำว่า “new” (ใหม่) ถูกตีความผิดพลาดจนทำให้เกิดความเข้าใจว่าเป็นระเบิดที่ฝังใหม่ สร้างความสับสนในวงกว้าง เขาเน้นย้ำว่า ความละเอียดอ่อนในการแปลและการรายงานข่าวมีความสำคัญอย่างยิ่งในสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ

นายสุผจญ ยังเปรียบเทียบเสรีภาพสื่อระหว่างไทยและกัมพูชา โดยระบุว่าไทยอยู่ในอันดับ 2 ของอาเซียนในด้านเสรีภาพสื่อ โดยติมอร์ – เลสเต อยู่อันดับ 1 ขณะที่กัมพูชาอยู่อันดับ 9 จาก 180 ประเทศ ซึ่งแสดงถึงข้อจำกัดของสื่อกัมพูชาที่ถูกควบคุมผ่านนโยบาย Single Gateway ทำให้ความน่าเชื่อถือของข้อมูลจากกัมพูชาในเวทีสากลลดลง เขาแนะนำให้ประชาชนตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแหล่งข่าวและหลีกเลี่ยงการแชร์ข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน เพื่อป้องกันการเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา

(หมายเหตุ : เป็นการจัดอันดับโดยองค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน – RSF ในรายงาน World Press Freedom Index 2025 อย่างไรก็ตาม ณ ปัจจุบัน ติมอร์ – เลสเตยังเป็นเพียงว่าที่สมาชิกอาเซียนเท่านั้น โดยจะมีการรับรองการเป็นสมาชิกอย่างสมบูรณ์ ในเดือน ต.ค. 2568 ในการประชุม ASEAN Summit ที่มาเลเซีย)

บัญชา จันทร์สมบูรณ์: ตรวจสอบข่าวลวงด้วยเครื่องมือดิจิทัล

นายบัญชา แบ่งปันประสบการณ์การตรวจสอบข่าวลวง โดยยกตัวอย่างกรณีคลิปที่อ้างว่าเป็นการรื้อบ้านชาวกัมพูชาในบริเวณชายแดน แต่เมื่อตรวจสอบด้วยGoogle Lens พบว่าเป็นเหตุการณ์ในอินโดนีเซียที่เกี่ยวข้องกับการรื้อสถานบันเทิงที่พัวพันกับยาเสพติดอีกกรณีคือคลิปที่อ้างว่าเป็นรถถังกัมพูชาระเบิด แต่แท้จริงแล้วมาจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งเผยแพร่โดยหนังสือพิมพ์เดอะซันของอังกฤษตั้งแต่ปี 2567 เขาอธิบายว่า การตรวจสอบภาพและคลิปที่มีแคปชั่นซับซ้อนอาจใช้เวลานานถึงครึ่งวันหรือมากกว่า และแนะนำให้ประชาชนใช้เครื่องมืออย่าง Google Lens เพื่อตรวจสอบแหล่งที่มาของภาพหรือคลิปก่อนแชร์นอกจากนี้ เขายังชี้ถึงความท้าทายในยุค AI ที่ข่าวลวงถูกสร้างด้วยเทคโนโลยีที่แนบเนียนมากขึ้น จึงอยากได้เครื่องมือตรวจสอบที่ตามทันมากขึ้น

นายบัญชายังยกบทความจากนิตยสาร The Diplomat ที่เขียนโดยนักวิชาการชาวกัมพูชา ซึ่งระบุว่าสื่อกัมพูชาขาดเสรีภาพและถูกควบคุมอย่างเข้มงวดเมื่อเทียบกับไทย ซึ่งมีสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศและสำนักข่าวระดับโลกตั้งสำนักงานอยู่ ส่งผลให้ไทยได้รับความน่าเชื่อถือในเวทีสากลมากกว่า

จากประเด็นที่วิทยากรทั้งสามท่านนำเสนอ สามารถสรุปแนวทางปฏิบัติเพื่อรับมือข่าวลวงได้ดังนี้:

1. ตั้งสติก่อนแชร์ : ประชาชนควรรอตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูล โดยเฉพาะในสถานการณ์ความขัดแย้งที่มีอารมณ์ชาตินิยมเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือของการปลุกปั่น

2. ใช้เครื่องมือตรวจสอบ: ใช้ Google Lens หรือเครื่องมือดิจิทัลอื่นๆ เพื่อตรวจสอบแหล่งที่มาของภาพและคลิป โดยเฉพาะเมื่อมีแคปชั่นที่อาจบิดเบือนความจริง

3. ยึดข้อเท็จจริง : สื่อมวลชนต้องรายงานตามคำให้การของแหล่งข่าวอย่างตรงไปตรงมา และระบุชัดเจนหากข้อมูลยังไม่ได้รับการยืนยัน เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือ

4. เพิ่มความรอบคอบในการแปล : ในสถานการณ์ระหว่างประเทศ การแปลข้อมูลต้องคำนึงถึงบริบทและความละเอียดอ่อน เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้ง

5. ส่งเสริมเสรีภาพสื่อ : สนับสนุนให้สื่อในภูมิภาคอาเซียนยกระดับความเป็นมืออาชีพและทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในระดับสากล

รายการนี้สะท้อนถึงความท้าทายของข่าวลวงในยุคที่ข้อมูลท่วมท้น โดยเฉพาะในบริบทความขัดแย้งไทย-กัมพูชา วิทยากรทั้งสามเน้นย้ำว่า สื่อมวลชนและประชาชนต้องร่วมกันตั้งสติ ตรวจสอบข้อเท็จจริง และใช้เครื่องมือดิจิทัลให้เกิดประโยชน์ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของข่าวลวงที่อาจนำไปสู่ความเกลียดชังและความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้น พร้อมทั้งเรียกร้องให้รักษาเสรีภาพสื่อและเพิ่มความรับผิดชอบในการรายงาน เพื่อให้สังคมยึดมั่นในข้อเท็จจริงและลดผลกระทบจากข้อมูลบิดเบือน


เอ๊ะ!! ยังไง? ‘อยู่จังหวัดที่ประกาศแต่ไม่ได้-ได้แต่ข้อความภาษาอังกฤษ’

เสียงสะท้อนถึงระบบ ‘Cell Broadcast’พายุคาจิกิ

By : Zhang Taehun

ภาพ 01 ตัวอย่างข้อความแจ้งเตือนพายุ าจิกิ (Kajiki)” เป็นภาษาอังกฤษ (2 ภาพซ้าย – ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาษาไทย (2 ภาพขวา ภาคใต้ ภาคกลางและภาคตะวันออกเมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2568

ตามข้อความในภาพข้างบนที่ปรากฎในโทรศัพท์มือถือของประชาชนในหลายพื้นที่ของประเทศไทย เมื่อเวลาประมาณ 16.00 น. ของวันอาทิตย์ที่ 24 ส.ค. 2568 แปลและสรุปความจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยได้ว่า ขอให้ประชาชนที่อยู่อาศัยในพื้นที่ลุ่มต่ำ พื้นที่ริมตลิ่ง ที่ลาดเชิงเขา ระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่งและดินโคลนถล่ม ผู้ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงดังกล่าวขอให้ยกสิ่งของขึ้นที่สูง ย้ายสมาชิกในครัวเรือนที่เป็นกลุ่มเปราะบางไปอยู่ในที่ปลอดภัย และเตรียมการอพยพหากจำเป็น โดยอ้างถึงพายุ คาจิกิ (Kajiki) และลงท้ายด้วย “DDPM” ซึ่งก็ทำให้หลายคนตื่นตกใจ รวมถึงบ้างก็สงสัยว่าเป็นการส่งข้อความจากมิจฉาชีพเพื่อทำกลอุบายหลอกลวงเหยื่อหรือไม่ 

แจ้งเตือนจริง ไม่ใช่มิจฉาชีพ

โคแฟคได้ตรวจสอบไปที่เพจเฟซบุ๊ก กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย DDPM” ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) พบว่า ข้อความดังกล่าวเป็นการแจ้งเตือนจริง” โดยตั้งแต่ช่วงเช้าของวันที่ 24 ส.ค. 2568 ปภ.ได้แชร์โพสต์จากเพจเฟซบุ๊กของกรมอุตุนิยมวิทยา ที่ระบุว่า พายุโซนร้อนกำลังแรง คาจิกิ บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน ห่างจากเมืองดองฮอย ประเทศเวียดนาม ประมาณ 570 กม. กำลังเคลื่อนตัวทางตะวันตกด้วยความเร็ว 20 กม./ชม.(ช้าลงเล็กน้อย) 

กรมอุตุฯได้ชี้แจงว่า พายุนี้มีแนวโน้มจะมีกำลังแรงขึ้นได้อีก เมื่อเคลื่อนเข้าสู่อ่าวตังเกี๋ย และจะอ่อนกำลังลงตามลำดับหลังจากเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนบน ช่วงวันที่ 25 -26 ส.ค. 2568 อิทธิพลของพายุ คาดว่าจะทำให้ในช่วงวันที่ 24–27 ส.ค. 2568 ประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มมากขึ้น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ กับมีลมแรงบริเวณภาคอีสานตอนบน ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จึงขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังค่อนข้างแรงยังต้องติดตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิดในระยะนี้ สถานการณ์ยังมีการเปลี่ยนแปลง

ในโพสต์ต่อมา ปภ. ระบุว่า เมื่อเวลา 10.00 น. ของวันที่ 24 ส.ค. 2568 ที่ห้องประชุมกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ของปภ. นายสหรัฐ วงศ์สกุลวิวัฒน์ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์การเฝ้าระวังพายุโซนร้อนกำลังแรง “คาจิกิ” ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ช่วงวันที่ 24 – 27 ส.ค. 2568 โดยนายสหรัฐ กล่าวว่า ปภ. ได้ทำการแจ้งให้ประชาชนให้ทราบและเตรียมพร้อมรับมือกับพายุคาจิกิ และได้เตรียมพร้อมระบบ Cell Broadcast เพื่อแจ้งเตือนให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยง” เพื่อให้รับทราบสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที และจะได้สามารถอพยพกลุ่มเปราะบาง ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง ไปยังพื้นที่ปลอดภัยได้ทันท่วงที

จากนั้นในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน เพจเฟซบุ๊กของ ปภ. ระบุเริ่มส่งข้อความแจ้งเตือนประชาชนผ่าน Cell Broadcast จำนวน 4 โพสต์ โดย โพลต์แรก ระบุพื้นที่เสี่ยง 17 จังหวัดภาคเหนือ คือ แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา แพร่ น่าน อุตรดิตถ์ ตาก สุโขทัย กำแพงเพชร พิษณุโลก พิจิตร เพชรบูรณ์ นครสวรรค์และอุทัยธานี , โพสต์ที่สอง ระบุพื้นที่เสี่ยง 15 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน) คือ เลย หนองคาย บึงกาฬ หนองบัวลำภู อุดรธานี สกลนคร นครพนม ชัยภูมิ ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มุกดาหาร ยโสธร อำนาจเจริญ นครราชสีมาและอุบลราชธานี, โพสต์ที่สาม ระบุพื้นที่เสี่ยง 15 จังหวัดในภาคกลางและภาคตะวันออก คือ กาญจนบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี ชัยนาท ลพบุรี นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด เพชรบุรีและประจวบคีรีขันธ์ และ โพสต์ที่สี่ ระบุพื้นที่เสี่ยง 5 จังกวัดในภาคใต้ คือ ชุมพร ระนอง พังงา ภูเก็ตและกระบี่ ทั้งนี้ จังหวัดที่ถูกระบุในทั้ง 4 โพสต์ดังกล่าว จะมีข้อความลงท้ายด้วยว่าให้ติดตามข่าวสารราชการอย่างใกล้ชิด และในช่วงเวลาเดียวกัน สื่อมวลชน อาทิ ไทยรัฐ , TNN , The Nation เป็นต้น ได้เริ่มรายงานข่าวแล้ว

– ประชาชนงงจังหวัดเดียวกัน เหตุใดบางคนได้รับข้อความแจ้งเตือนแต่บางคนม่ได้

อย่างไรก็ตาม หากเข้าไปดูความคิดเห็น (Comment) ในเพจเฟซบุ๊ก กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย DDPM ของ ปภ. ในโพสต์ซึ่งระบุจังหวัดที่ ปภ. แจ้งเตือนพายุคาจิกิผ่านระบบ Cell Broadcast จะพบเสียงสะท้อนจากประชาชนบางส่วนว่าตนเองไม่ได้รับข้อความแจ้งเตือน แม้จะอยู่ในจังหวัดที่ถูกประกาศว่าจะมีการแจ้งเตือนก็ตาม เช่น บางคนบอกว่าคนรอบข้างได้รับข้อความกันหมดแต่ตนเองไม่ได้ ขณะที่มีบางความเห็นพยายามช่วยเหลือด้วยการแนะนำวิธีเปิดระบบแจ้งเตือนในโทรศัพท์มือถือ ตามที่สื่อและหน่วยงานต่างๆ เคยแนะนำไว้หลังเกิดกรณีประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯและต่างจังหวัดที่ได้รับผลกระทบแต่ไม่ได้รับการแจ้งเตือนจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรงในประเทศเมียนมาเมื่อวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา

ภาพ 02 เสียงสะท้อนจากประชาชน กรณีเตือนพายุคาจิกิ 

– อีกหนึ่งข้อข้องใจบางคนได้เฉพาะภาษาไทย บ้างได้เฉพาะภาษาอังกฤษ หรือบ้างก็ได้ทั้ง 2 ภาษา : แม้หลายคนจะได้รับข้อความแจ้งเตือน (ดังตัวอย่างในภาพนี้) แต่ในเพจของ ปภ. วันที่ 24 ส.ค. 2568 นับตั้งแต่เมื่อเริ่มทยอยส่งข้อความแจ้งเตือน ก็มีเสียงสะท้อนอยู่บ้างว่ามีบางคนได้รับเฉพาะภาษาไทย หรือเฉพาะภาษาอังกฤษ ซึ่งในส่วนของผู้ที่ได้รับข้อความแจ้งเตือนผ่าน Cell Broadcast เฉพาะภาษาอังกฤษ ก็แสดงความเป็นห่วงเรื่องผู้รับที่ไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ นอกจากนั้นในส่วนของผู้ที่ได้รับข้อความแจ้งเตือนทั้ง 2 ภาษา ก็อยากให้เรียงจากภาษาไทยก่อนแล้วค่อยตามด้วยภาษาอังกฤษ 

นอกจากเพจของ ปภ. เองแล้ว จากที่สำรวจเพจสำนักข่าวและอื่นๆ ที่พูดถึงเรื่องการแจ้งเตือนพายุคาจิกิผ่าน Cell Broadcast พบความเห็นส่วนใหญ่ระบุว่าได้รับข้อความแจ้งเตือน โดยมีรายงานเริ่มได้รับตั้งแต่เวลาประมาณ 15.00 น. แต่ก็มีเสียงสะท้อนเช่นเดียวกัน คือบางคนไม่ได้แม้จะอยู่ในจังหวัดที่ประกาศแจ้งเตือน หรือบางคนก็ได้เฉพาะข้อความภาษาอังกฤษ รวมถึงบ้างก็ตกใจในทีแรกเพราะเข้าใจว่าเป็นมิจฉาชีพ  

จึงขอฝากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำเสียงสะท้อนเหล่านี้ไปปรับปรุงระบบการแจ้งเตือนภัยพิบัติให้ดีขึ้นเพื่อป้องกันความสับสนและให้ประชาชนในพื่นที่เสี่ยงได้รับข้อมูลที่ชัดเจนและครบถ้วนเพื่อเตรียมตัวป้องกันได้ทันท่วงที!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

https://www.facebook.com/DDPMNews/posts/pfbid0JVXURNnBNUr95jbqU6i6uT44fx2hfNCmTH8EtBbRr6hPfAzk9vR1nxQoFc9LXozdl?rdid=1AlNen5twA4Vs2UM# (กรมอุตุนิยมวิทยาอัปเดตสถานการณ์พายุหมุนเขตร้อนเช้าตรู่วันนี้ (24/8/68) : ปภ.แชร์โพสต์จากกรมอุตุฯ)

https://www.facebook.com/share/p/1D5HapAXMH/ (ปภ.ประชุมติดตามสถานการณ์พายุ“คาจิกิ” กำชับพื้นที่เสี่ยงเฝ้าระวังรับมือสถานการณ์ พร้อมส่งเครื่องจักรกลสาธารณภัยเข้าประจำการพื้นที่เสี่ยงเป็นการล่วงหน้า และเตรียมพร้อมระบบ Cell Broadcast แจ้งเตือนประชาชนให้รับทราบอย่างรวดเร็วและทั่วถึง) 

https://www.facebook.com/share/p/16pXf46Xsy/ (โพสต์ ปภ. เตือนพายุคาจิกิ 17 จังหวัดภาคเหนือ)

https://www.facebook.com/share/p/15DpS2JfnA/(โพสต์ ปภ. เตือนพายุคาจิกิ 15 จังหวัดภาคอีสาน)

https://www.facebook.com/share/p/1BHnpC9bef/(โพสต์ ปภ. เตือนพายุคาจิกิ 15 จังหวัดภาคกลางและตะวันออก)

https://www.facebook.com/share/p/1EwXyG8pft/(โพสต์ ปภ. เตือนพายุคาจิกิ 5 จังหวัดภาคใต้)

https://www.thairath.co.th/news/local/2878505 (ปภ.ส่ง Cell Broadcast แจ้งเตือนพายุ “คาจิกิ” เช็ก 15 จังหวัดเตรียมรับมือ : ไทยรัฐ 24 ส.ค. 2568) 

https://www.tnnthailand.com/earth/209194/ (ปภ. ส่ง Cell Broadcast แจ้งเตือน “พายุคาจิกิ” 17 จังหวัดระวังน้ำท่วมฉับพลัน-น้ำป่าหลาก : TNN 24 ส.ค. 2568) 

https://www.nationthailand.com/news/general/40054443 (DDPM issues cell broadcast alerts to 15 provinces as storm Kajiki brings risk of flash floods, run-offs, and heavy rain from August 24–27. : The Nation 24 ส.ค. 2568)

https://www.scira.kmitl.ac.th/5101/ (Cell Broadcast เทคโนโลยีเตือนภัยที่เป็นมากกว่าระบบแจ้งเตือนแผ่นดินไหว : สำนักวิจัยนวัตกรรมเมืองอัจฉริยะ สจล.)

https://ndwc.disaster.go.th/ndwc/cms/7017?id=130360 (ปักหมุดวันทดสอบแจ้งเตือนผ่าน Cell Broadcast : ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ  29 เม.ย. 2568)

https://www.facebook.com/photo/?fbid=979311737714551&set=a.243987694580296 (วิธีเปิดแจ้งเตือนเหตุฉุกเฉิน ” Cell Broadcast Service ” : ตำรวจไซเบอร์ – บช.สอท. 27 เม.ย. 2568)

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1131116305717372&set=a.976089214553416 (วิธีเปิดแจ้งเตือนเหตุฉุกเฉิน ” Cell Broadcast Service ” : NBT Connext 28 เม.ย. 2568)

ภาพ 03 วิธีเปิดรับการแจ้งเตือนผ่านระบบ Cell Broadcast 

ที่มา : เพจเฟซบุ๊ก “NBT Connext’ ของสถานีโทรทัศน์ NBT กรมประชาสัมพันธ์ วันที่ 28 เม.ย. 2568): บทความ “Cell Broadcast เทคโนโลยีเตือนภัยที่เป็นมากกว่าระบบแจ้งเตือนแผ่นดินไหว เขียนโดย กฤษฎา แก้ววัดปริง ที่ปรึกษาสำนักวิจัยนวัตกรรมเมืองอัจฉริยะ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) อ้างถึงเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2568 ชี้ให้เห็นว่าถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องมีระบบ Cell Broadcast เพื่อแจ้งเตือนประชาชน เช่น ภัยพิบัติทางธรรมชาติ เหตุร้ายในพื้นที่สาธารณะ และอื่นๆ อีกมากมาย 

“Cell Broadcast เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายที่ออกแบบมาเพื่อส่งข้อความแจ้งเตือนไปยังโทรศัพท์มือถือทุกเครื่องในพื้นที่เป้าหมาย โดยไม่จำเป็นต้องทราบเบอร์โทรศัพท์หรือข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้ เทคโนโลยีนี้ทำงานผ่านเสาสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Cell Towers) จึงสามารถส่งข้อความพร้อมกันในวงกว้างได้ภายในไม่กี่วินาที แม้ในสถานการณ์ที่เครือข่ายโทรศัพท์อาจมีการใช้งานหนาแน่น ความพิเศษของ Cell Broadcast อยู่ที่การทำงานแบบ One-to-Many คือสามารถส่งข้อความเดียวไปถึงผู้ใช้จำนวนมากพร้อมกัน ต่างจากการส่ง SMS ทั่วไปที่เป็นแบบ One-to-One ทำให้ไม่เกิดความล่าช้าหรือคอขวดในการส่งข้อความ ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบสำคัญในสถานการณ์ฉุกเฉิน บทความดังกล่าว อธิบายการทำงานของ Cell Broadcast 

ในวันที่ 29 เม.ย. 2568 เว็บไซต์ ndwc.disaster.go.th ของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ แจ้งว่าจะมีการทดสอบส่งข้อความแจ้งเตือนผ่าน Cell Broadcast 3 ระดับ ได้แก่ 1.ระดับเล็ก (ภายในอาคาร) ใน 5 พื้นที่ ได้แก่ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย ศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี ศาลากลางจังหวัดสุพรรณบุรี ศาลากลางจังหวัดสงขลา และอาคารศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 อาคาร A และอาคาร B กรุงเทพมหานคร ในวันศุกร์ที่ 2 พ.ค. 2568 เวลา 13.00 น. 

2.ระดับกลาง (ระดับอำเภอ) ใน 5 พื้นที่ ประกอบด้วย อ.เมืองลำปาง จ.ลำปาง อ.เมืองนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์ อ.เมืองนครราชสีมา จ. นครราชสีมา อ.เมืองสุราษฎร์ธานี จ.สุราษฎร์ธานี และเขตดินแดง กรุงเทพมหานคร ในวันพุธที่ 7 พ.ค. 2568 เวลา 13.00 น. และ 3.ระดับใหญ่ (ระดับจังหวัด) ใน 5 พื้นที่ ประกอบด้วย จ.เชียงใหม่ จ.อุดรธานี จ.พระนครศรีอยุธยา จ.นครศรีธรรมราช และกรุงเทพมหานคร ในวันอังคารที่ 13 พ.ค. 68 เวลา 13.00 น.

ก่อนหน้านั้น ในวันที่ 27 เม.ย. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “ตำรวจไซเบอร์ – บช.สอท.’ ของกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) โพสต์ภาพอินโฟกราฟิก แนะนำวิธีการเปิดรับการแจ้งเตือนระบบ Cell Broadcast ดังนี้ 

สำหรับโทรศัพท์มือถือระบบ iOS” 1.ไปที่หน้าหลักเลือก ตั้งค่า (Settings) 2.เลือก ทั่วไป (General) 3.เลือก เกี่ยวกับ (About) 4.รอสักครู่ ระบบจะอัปเดตให้โดยอัตโนมัติ เมื่อมีข้อความเด้งขึ้นมา กด”ตกลง” 5.กลับไปยังหน้า การตั้งค่า เลือก การแจ้งเตือน 6.เลื่อนลงมาด้านล่างสุด จะพบหัวข้อ TH-ALERT (ติดตั้ง iOS 18 ขึ้นไป และ ไม่รองรับ iPhone X หรือเก่ากว่า) ผู้ให้บริการเวอร์ชันล่าสุด คือ AIS 63.0.1, TRUE 63.0.1 และ DTAC 63.0.1

สำหรับโทรศัพท์มือถือระบบแอนดรอยด์ 1.ไปที่ การตั้งค่า (Setting) เลือก >> ความปลอดภัยและเหตุฉุกเฉิน (Safety and emergency) เลือก >> แจ้งเตือนฉุกเฉินไร้สาย (Earthquake alerts) 2.เลื่อน เปิด “ อนุญาตการแจ้งเตือน ” 3.เลื่อน เปิด การแจ้งเตือน “ทุกเมนู” จะดีที่สุด (Android ติดตั้งเวอร์ชัน 12 ขึ้นไป) โดยหลังจากนั้นมีสำนักข่าวหลายแห่งได้นำไปเผยแพร่ต่อ


ผู้เชี่ยวชาญระบุ ไฟลุกไหม้โทรศัพท์ขณะชาร์จแบตฯ ทิ้งไว้ตอนนอน เกิดขึ้นได้จริงจากหลายปัจจัย

กองบรรณาธิการโคแฟค

โคแฟคตรวจสอบข้อเท็จจริงของเนื้อหาเตือนภัยจากการชาร์จแบตเตอรีโทรศัพท์มือถือทิ้งไว้ขณะนอนหลับว่าเสี่ยงต่อการเกิดไฟลุกไหม้หัวชาร์จและโทรศัพท์ โดยนักวิชาการด้านวิศวกรรมไฟฟ้าระบุว่าเนื้อหานี้ “เป็นจริง” แต่การเกิดไฟลุกไหม้โทรศัพท์ขณะชารจ์แบตเตอรีอาจเกิดจากหลายปัจจัย ไม่ใช่เฉพาะการชาร์จทิ้งไว้นานหลายชั่วโมงขณะนอนหลับเท่านั้น

เนื้อหาโดยสรุป

วันที่ 6 ก.ค. 2568 บัญชีเฟซบุ๊ก “Abdulhakim Maming” โพสต์คลิปวิดีโอเป็นภาพโทรศัพท์มือถือเกิดเปลวไฟลุกไหม้หัวชาร์จและโทรศัพท์มือถือขณะชาร์จแบตเตอรีไว้ข้างเตียงนอน พร้อมคำบรรยายว่า “อันตรายจากการชาร์จโทรศัพท์ตอนนอน” โดยไม่ได้ให้รายละเอียดใด ๆ เพิ่มเติม ส่วนภาพวิดีโอประกอบน่าจะเป็นภาพที่สร้างขึ้นจากเอไอ ไม่ใช่ภาพเหตุการณ์จริง ณ วันที่โคแฟคตรวจสอบ (26 ส.ค. 2568) คลิปนี้ถูกแชร์ไปแล้วมากกว่า 6,100 ครั้ง

โคแฟคตรวจสอบ

ดร.สุพรรณ ทิพย์ทิพากร หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลกับโคแฟคว่า เหตุไฟลุกไหม้โทรศัพท์ขณะชาร์จแบตเตอรีเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุประกอบกัน ไม่ใช่เพียงเพราะเสียบสายชาร์จทิ้งไว้นานหลายชั่วโมงขณะนอนหลับ

ดร.สุพรรณอธิบายว่า โทรศัพท์มือถือในปัจจุบันใช้แบตเตอรีลีเธียม-ไอออน (Lithium-ion: Li-ion) ซึ่งมีคุณสมบัติที่ดีคือมีความหนาแน่นในการเก็บพลังงานที่สูง มีน้ำหนักเบาและไม่มีปัญหา “memory effect” (แบตเตอรีถูกใช้ไฟไม่หมดประจุแล้วมีการนำไปชาร์จไฟใหม่บ่อย ๆ ทำให้แบตเตอรีไม่สามารถจำค่าสูงสุดที่เคยเก็บไว้ได้ แบตเตอรีจึงเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว) แบตเตอรีของโทรศัพท์มือถือรุ่นปัจจุบันจึงสามารถชาร์จเมื่อใดก็ได้โดยไม่ต้องรอให้แบตเตอรีหมดเหมือนอย่างแบตเตอรีนิกเกิล-แคดเมียม (Nickel-Cadmium: Ni-Cd)

อย่างไรก็ตาม แบตเตอรีลีเธียม-ไอออนจะมีความไวต่อความร้อนสูง กระบวนการทางเคมีภายในของแบตเตอรีจากการชาร์จจะทำให้เกิดความร้อน ซึ่งหากมีความร้อนสะสมมากเกินไปและควบคุมไม่ได้จนเกิด Thermal Runaway ก็จะทำให้เกิดการลุกไหม้ระเบิดขึ้นได้ 

นอกจากนี้ สาเหตุประกอบที่ทำให้เกิดไฟไหม้โทรศัพท์มือถือ ได้แก่ การใช้หัวชาร์จที่ไม่ได้มาตรฐาน การเสื่อมตามอายุหรือการตกกระแทก การชาร์จในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูงเช่น ตากแดด มีการใช้งานหนักขณะชาร์จ เช่น เล่นเกม และการชาร์จใต้หมอน ฟูก หรือที่นอน 

ดร.สุพรรณเตือนว่า แม้โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ ๆ จะมีระบบจำกัดไฟป้องกันการ overcharged ซึ่งทำให้ความเสี่ยงที่จะเกิดไฟไหม้ต่ำลง หรือแม้จะใช้หัวชาร์จ สายชาร์จและแบตเตอรีของแท้จากผู้ผลิต แต่การเสียบชาร์จทิ้งไว้ขณะนอนหลับในเวลากลางคืนก็ไม่ถือว่าปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะหากระบบป้องกันนั้นไม่ทำงานในขณะที่ผู้ใช้งานนอนหลับก็อาจไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองหรือระงับเหตุได้ทัน เพราะการลุกไหม้ของแบตเตอรีมีความรุนแรงและรวดเร็วมาก 

ที่ผ่านมามีรายงานเหตุไฟไหม้จากการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนแบตเตอรีโดยไม่ได้มาตรฐาน หรือจากการใช้แบตเตอรีที่เก่าและเสื่อมสภาพ หรือมีความเสียหายจากการถูกกระแทกมาก่อน 

ระทึก! ชาร์จมือถือไว้ในครัว ไฟชอร์ตควันคลุ้งเต็มบ้าน | ข่าวช่อง 8 วันที่ 3 ต.ค. 2566
https://youtu.be/fnYNsoBHEp4?si=O2l5kw8wCO4mfpD5
อุทาหรณ์! ชาร์จมือถือข้างที่นอน จู่ ๆไฟลุกไหม้ลามพุ่งเข้าหาตัว หนุ่มสะดุ้งตื่นดับได้ทัน | เรื่องเล่าเช้านี้ วันที่ 27 ก.ค. 2565
https://youtu.be/gaTdEkJLakk?si=kniuQrNGEzGJ933k

ข้อแนะนำสำหรับการชาร์จแบตเตอรีโทรศัพท์มือถืออย่างปลอดภัย  

  • ควรชาร์จมือถือในขณะที่ผู้ใช้สามารถมีสติอยู่สังเกตเห็นได้
  • ใช้อุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานจากผู้ผลิตและไม่เสื่อมสภาพ ไม่ใช้แบตเตอรีที่บวมหรือมีความเสียหาย
  • ชาร์จในสภาพแวดล้อมที่ไม่ร้อน ตากแดด
  • ขณะชาร์จไม่ควรใช้งานมือถือหนัก เช่น เล่นเกม
  • ไม่ชาร์จใกล้วัสดุติดไฟง่ายหรือกักความร้อนเช่นหมอน ฟูก ที่นอน  
  • สังเกตโทรศัพท์มือถือว่ามีความร้อนสูงมากขณะชาร์จหรือไม่

เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

TikTok ยกระดับความปลอดภัย ร่วมมือ 12 หน่วยงาน สานต่อโครงการ

คนไทยรู้ทันซีซัน 2 เติมองค์ความรู้และป้องกันภัยดิจิทัลแก่คนไทย

ประเทศไทย, กรุงเทพฯ – 25 สิงหาคม 2568 – TikTok ประเทศไทย แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นชั้นนำของโลก ประกาศขยายความร่วมมือในโครงการ #คนไทยรู้ทันซีซัน 2 สู้ภัยออนไลน์ในปี 2568 ผนึกกำลังพันธมิตรเพิ่มอีก 4 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA), สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (NCSA), กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI), กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (CCIB) ร่วมกับ 8 หน่วยงานหลักทั้งจากภาครัฐและประชาสังคม ได้แก่ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES), สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA), โครงการโคแฟค (Cofact), สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (OCPB), กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB), สภาองค์กรของผู้บริโภค (TCC), ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) รวมเป็น 12 หน่วยงาน เพื่อยกระดับองค์ความรู้และสร้างเกราะป้องกันภัยออนไลน์ที่แข็งแกร่งและครอบคลุมมากยิ่งขึ้นให้กับคนไทย

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า “กระทรวงดิจิทัลฯ ได้มุ่งมั่นปรับปรุงนโยบายและมาตรการทางกฎหมายให้ทันสมัยและสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยการสร้างความตระหนักรู้ด้านดิจิทัลให้กับประชาชนถือเป็นภูมิคุ้มกันที่สำคัญที่สุดในการแก้ไขปัญหาการหลอกลวงทางออนไลน์อย่างยั่งยืน เมื่อภาคประชาชนมีความเข้มแข็งและรู้เท่าทันภัยออนไลน์ต่าง ๆ โอกาสที่จะตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงจะน้อยลง กระทรวงดิจิทัลฯ ขอชื่นชมความมุ่งมั่นของ TikTok และพันธมิตรทั้ง 12 หน่วยงานที่ได้ร่วมมือในโครงการ #คนไทยรู้ทันซีซัน 2 ในครั้งนี้ เพราะเราเชื่อมั่นว่าการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวทางการรับมือกับการหลอกลวงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากทั้งภาครัฐและประชาสังคมจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชนและสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

นาวสาวสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโครงการโคแฟค(ประเทศไทย) กล่าวว่า ข้อมูลเท็จแพร่กระจายได้เร็วเท่ากับการปัดหน้าจอ เพื่อต่อสู้กับมัน ข้อเท็จจริงต้องรวดเร็วกว่า สร้างสรรค์กว่า และน่าสนใจกว่า ความร่วมมือของเรากับ TikTok ผ่านโครงการ #คนไทยรู้ทัน คือการใช้ความคิดสร้างสรรค์เพื่อความจริง เราจะสนับสนุนให้ครีเอเตอร์กลายเป็นเครือข่าย ‘ผู้มีอิทธิพลด้านข้อเท็จจริง’ ทั่วประเทศ เพื่อผลิตคอนเทนต์วิดีโอสั้นที่ทรงพลัง สามารถดักทางกลโกงที่พบบ่อยและสอนทักษะการคิดเชิงวิพากษ์แก่ผู้คนนับล้าน

นางชนิดา คล้ายพันธ์ Head of Public Policy for Southeast Asia, TikTok กล่าวว่า “TikTok มุ่งมั่นสร้างอนาคตดิจิทัลที่ปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง จากความสำเร็จโครงการ “คนไทยรู้ทัน” ในปีแรก ที่มีผู้ทำคลิป TikTok ร่วมกิจกรรม #คนไทยรู้ทัน มากกว่า 2.5 ล้านคลิป และมียอดรับชมสูงถึง 3,400 ล้านครั้ง โดยมุ่งเน้นการสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพและอาศัยความเชี่ยวชาญของหน่วยงานต่าง ๆ ที่ร่วมแบ่งบันข้อมูลที่น่าสนใจ ให้ความรู้ด้านภัยออนไลน์ให้กับคนไทยมาโดยตลอด นอกจากเราจะขยายพันธมิตรเพิ่มเป็น 12 หน่วยงานแล้ว เรายังได้ยกระดับการพัฒนาเนื้อหา สาระต่าง ๆ ให้ทันสมัย ครอบคลุม และตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้ใช้มากยิ่งขึ้น โดยมุ่งหวังปลูกฝังเป็น New Online Behavior ใหม่ให้กับคนไทย เพื่อป้องกันตัวเองจากการหลอกลวงออนไลน์ ผ่านการสร้าง Big Idea ต่อยอดคอนเทนต์ให้ผู้คนจดจำได้และนำไปปฏิบัติจริงได้”

“TikTok เชื่อว่าการสร้างภูมิคุ้มกันผ่านการมอบองค์ความรู้ด้านดิจิทัล ยังเป็นรากฐานสำคัญที่จะช่วยให้แพลตฟอร์มของเราเป็นพื้นที่ปลอดภัย และมอบโอกาสให้คนไทยได้ต่อยอดพลังความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างต่อเนื่อง โดย #คนไทยรู้ทัน เป็นการยกระดับความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในมิติที่เข้มข้นกว่าเดิม เพราะการต่อสู้กับภัยออนไลน์ไม่ใช่งานของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือเป็นหนึ่งเดียวจากทุกฝ่าย” นางชนิดา กล่าวเพิ่มเติม

การขยายความร่วมมือกับพันธมิตร: ครอบคลุมความปลอดภัยยิ่งขึ้น
โครงการ #คนไทยรู้ทันซีซัน 2 ในปี 2025 ได้รับแรงสนับสนุนจากพันธมิตรสำคัญจากทั้ง 12 หน่วยงาน ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ โดยสามารถแบ่งเป็น 3 กลุ่ม หลัก ๆ ดังนี้
สร้างการตื่นตัวต่อภัยหลอกลวง – ที่จะร่วมกันสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับรูปแบบการหลอกลวงใหม่ ๆ ประกอบด้วย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES), กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB), สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (NCSA)


การซื้อขายออนไลน์ที่ปลอดภัย – เพื่อเสริมสร้างระบบนิเวศอีคอมเมิร์ซที่แข็งแกร่ง ทั้งยกระดับความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาสินค้าปลอมและสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ฟื้นความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค ผู้ขาย และตลาด ประกอบด้วย สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA), สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA), สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (OCPB), กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (CCIB), และสภาองค์กรของผู้บริโภค (TCC)


การป้องกันการหลอกลวงด้านการเงิน/การลงทุน – เพื่อรับมือกับการหลอกลงทุนที่มีรูปแบบซับซ้อนมากขึ้น ประกอบด้วย ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC), กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และโครงการโคแฟค (Cofact)

TikTok มุ่งสร้างความตระหนักรู้ การมีส่วนร่วม สู่การสร้างพื้นที่ดิจิทัลที่ปลอดภัย โดยตั้งเป้าหมายให้โครงการ #คนไทยรู้ทัน ซีซัน 2 เข้าถึงชาวไทยทุกคน ผ่านการสร้างเนื้อหาที่หลากหลายและเข้าใจง่าย และอาศัยพลังครีเอเตอร์มากกว่า 10 ราย ที่มีผู้ติดตามรวมกว่าหลายล้านราย อาทิ ช่อง พยาบาลอัญ (Aunnyc), Brighten_Studios, Prewery Land, 1 นาที รีวิว, mightyptk, Auichocky รีวิวไปเรื่อย, AMPOSSIBLE, KWA, นักพากย์ตั่วเฮีย🎤 บน TikTok เป็นต้น ช่วยส่งต่อสาระความรู้ โดยเน้นไปที่การให้ความรู้เชิงป้องกันและเสริมสร้างทักษะการรู้เท่าทันภัยออนไลน์ในทุกรูปแบบ ตั้งแต่การหลอกลวงพื้นฐานไปจนถึงเทคนิคหลอกลวงใหม่ ๆ ที่ซับซ้อน

นอกจากนี้ยังได้จัดกิจกรรมพิเศษ “เอ๊ะ ถาม อ๋อ” หรือ #Hashtag Challenge ชวนครีเอเตอร์ร่วมสร้างสรรค์เนื้อหาวิดีโอไวรัล ตั้งแต่วันนี้ถึง 25 กันยายน 2568 เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับภัยออนไลน์ เนื้อหาที่มีคุณภาพและมียอดชมสูงสุดจะได้ลุ้นรับรางวัลพิเศษ ซึ่งจะช่วยกระจายความรู้ไปสู่ชุมชนในวงกว้างและสร้างกระแสการตื่นตัวอย่างยั่งยืน เพราะการต่อสู้กับภัยออนไลน์ต้องอาศัยความร่วมมือและการดำเนินการร่วมกันจากทุกฝ่าย เมื่อทุกคนมีส่วนร่วม เราจะสามารถสร้างสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัยและมั่นคงได้

คนไทยรู้ทันซีซัน2 #TikTokThailand #DigitalSafety #OnlineSafety #ThaiAware2.0

เกี่ยวกับ TikTok
TikTok คือแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นชั้นนำระดับโลก ที่มีพันธกิจหลักในการจุดประกายความคิดสร้างสรรค์และมอบความสุขให้กับผู้คน TikTok มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ลอสแองเจลิสและสิงคโปร์ และสำนักงานสาขาอื่น ๆ ได้แก่ นิวยอร์ค ลอนดอน ดับลิน ปารีส เบอร์ลิน ดูไบ จาการ์ตา โซล และโตเกียว www.tiktok.com


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 23 สิงหาคม 2568

ห้ามใช้ไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือ ส่องเบรกเกอร์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/i4obqyk3jh38


ไทยเตรียมประชุมสภาลงมติประกาศสงครามกับกัมพูชา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1nmnc661iiwwj


คลิปรถถังกัมพูชาระเบิด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1b5dy71ay3e8n


คลิปอ้างแม่ทัพสั่งรื้อบ้านชาวเขมร…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2a0d0kxjm59et


ทูตเนเธอร์แลนด์พูดชัด “ทุ่นระเบิดเป็นของใหม่”…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/243mkahbk1zp1


ดอกอาร์ติโชคมีประโยชน์ช่วยในการบำรุงตับ ป้องกันโรคตับอักเสบ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1o5dt8w30kgam#_=_


ดื่มน้ำอัดลมวันละ 3 ขวด เสี่ยงฟันผุ ฟันหัก

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/hxaep7sm8nzs


ผู้ประกันตนเข้ารักษาที่โรงพยาบาลฟรี หากเกิดอุบัติเหตุฉุกเฉิน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/h2n7qq1pdgli


แบงก์ชาติ ประกาศจำกัดยอดโอน และชำระเงินได้ไม่เกิน 5 หมื่นบาทต่อวัน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1whbt0emrvmt2


ททท. เตรียมของบ 700 ล้าน แจกตั๋วบินในประเทศ หวังกระตุ้นต่างชาติเที่ยวไทย พร้อมดันเที่ยวไทยคนละครึ่ง เฟส 2

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3447pvh7p8tse


อันตรายจากฟอสฟอรัสขาว แม้ไม่ใช่อาวุธเคมี แต่ก็ห้ามใช้กับพลเรือน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3fyosiwcj1ddc


พบมือถือของทหารกัมพูชา ที่มีภาพการลักลอบใช้-วางทุ่นระเบิด PMN-2…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1j9ehxtaqmxlf


‘บิดเบือน – คลาดเคลื่อน’ มีทุกยุคตั้งแต่โทรเลขถึงเอไอ! ‘ตั้งสติ-รู้เท่าทัน’ทักษะสำคัญรับมือข้อมูลลวง

20 ส.ค. 2568 รายการ Cofact Live Talk โดย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ทางเพจเฟซบุ๊ก Cofact โคแฟคและ Ubon connect ชวนพูดคุยกับ วิจิตรา สุริยกุล ณ อยุธยา ผู้อำนวยการกองวิชาการเทคโนโลยีและนวัตกรรม สำนักวิชาการพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) ในหัวข้อ จากยุคโทรเลขถึงเอไอ เทคโนโลยีการสื่อสารจะนำเราไปสู่จุดใด? เนื่องในเดือนวิทยาศาสตร์

คุณวิจิตรา ไล่เรียงประวัติศาสตร์นวัตกรรมการสื่อสารของมนุษยชาติ เริ่มจากการสนทนาปากเปล่าต่อหน้า แต่เมื่อมนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์สังคมต้องการสื่อสารให้ได้ไกลมากขึ้น จึงมีการพัฒนานวัตกรรมมาตามลำดับ อาทิ ในศตวรรษที่ 19 (ปี 2343 – 2442) หรือยุคโทรเลข เกิดการพัฒนารหัสมอร์ส (Morse code) ที่เป็นการเข้ารหัสเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน เช่น ไฟดับ – ไฟสว่าง จะเรียกว่ายุคนี้เป็นยุคอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ 

แต่ก็มีเรื่องข้อมูลที่ถูกบิดเบือน หรือมองว่าบิดเบือนระหว่างส่งผ่านตัวกลาง ข้อมูลมีไม่มากแต่ก็ทำให้คนเข้าใจผิดหรือคลาดเคลื่อน ตัวอย่างของความผิดพลาดในยุคโทรเลข เช่น เกิดจากความเข้าใจของคนกลางนำสาร (Messenger) ที่ไม่เชี่ยวชาญในการใช้เครื่องมือ อย่างรหัสมอร์สที่มีทั้งตัวสั้นและตัวยาวก็ทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนได้ หรือจากคนกลางที่บิดเบือนโดยการตีความสารตามความเข้าใจของตนเอง ซึ่งการเกิดสถานการณ์บางอย่าง อาทิ สงคราม อาจทำให้เกิดความกลัวและกังวล นำไปสู่การบิดเบือนข้อมูลผิดพลาดขึ้นได้

ทีนี้พอมาถึงยุคที่เราเรียกว่าเป็นยุคดิจิทัล หรือยุคที่เราบอกว่าเรามีการแพร่ภาพส่งสัญญาทางอินเตอร์เน็ต เรามี Social Media (สื่อสังคมออนไลน์) เรามีความรวดเร็วในการแพร่ภาพกระจายสัญญาณ ข้อมูลหลากหลายแต่ขาดการกลั่นกรอง อันนี้ต้องบอกว่าการที่เรามีโซเชียลหลายๆ อัน ทุกคนสามารถทำตัวเหมือนเป็น อาจใช้คำว่าผู้ให้ข้อมูล แต่ข้อมูลนั้นมันมีมากมายมหาศาล คนก็เลยต้องกลับไปพิจารณากันใหม่ว่าข้อมูลอะไรที่จะทำให้เราแยกแยะความจริงกับความไม่จริงออกจากกันได้อย่างไรบ้าง

จากยุคโทรเลขสู่ยุคดิจิทัล ตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 20 (ปี 2443  – 2542) มาจนถึงปัจจุบันที่พูดถึงเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ – AI)ทุกอย่างแปลเป็นค่าทางคณิตศาสตร์แล้วสร้างภาพจำลองขึ้นมา อย่างที่เห็น AI สามารถสร้างคลิปวีดีโอเป็นใบหน้าเหมือนกับเราแล้วขยับปากพูดได้ทั้งที่ตัวเราไม่ได้พูดสิ่งนั้น ซึ่งแทบจะแยกไม่ออกระหว่างคนคนนั้นพูดจริงๆ หรือการใช้เครื่องมือสร้างภาพขึ้นมาแล้วพูดตามบทที่ใครบางคนเขียนไว้ อย่างที่เรียกกันว่า Deepfakr หรือการปลอมแปลงใบหน้าและเสียงของบุคคล เพื่อให้พูดอะไรแล้วคนฟังเชื่อ นำไปสู่การหลอกลวงให้เกิดความเสียหาย

ดังนั้นสิ่งสำคัญคือ รู้เท่าทันเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป โดยมีหลักคือ ตั้งสติ ค่อยๆ ดู เช่น ข้อมูลไหนมาจากใคร น่าเชื่อถือหรือไม่ แหล่งข้อมูลเป็นอย่างไร ซึ่งในปรัชญาทางวิทยาศาสตร์คือจะเชื่อก็ต่อเมื่อข้อมูลนั้นผ่านการพิสูจน์แล้วว่าจริงหรือไม่จริง แต่ในอนาคตจะเป็นเรื่องยากขึ้น ระหว่างความจริงกับสิ่งที่เราเชื่อว่าจริงจะมีเพียงเส้นบางๆ ที่เราอาจรู้เท่าทันไม่ได้ ต้องดึงสติกลับมาก่อน อย่าใช้อารมณ์ เช่น ความโกรธ ความกลัว  

ประการต่อมา ต้องมีทักษะในการตรวจสอบข่าว ไม่เชื่อไปเสียทั้งหมด เหลือพื้นในในการตรวจสอบไว้บ้าง ซึ่งต้องบอกว่าปัจจุบันก็มีทั้งเครือข่ายที่น่าเชื่อถือ เช่น โคแฟค และเครือข่ายที่เป็นสำนักข่าวต่างๆ ( อาทิ ชัวร์ก่อนแชร์) ตลอดจนมีเครื่องมือที่ให้คนทั่วไปใช้ตรวจสอบ (อาทิ Google Lens) หรือการสังเกต URL เว็บไซต์ อินเตอร์เน็ตมีทั้งประโยชน์และสิ่งที่คุกคาม แต่จะทำอย่างไรให้เราสร้างเกราะป้องกันตนเอง เข้าไปอยู่ในชุดข้อมูลที่เป็นประโยชน์และสามารถช่วยเหลือในยามที่ต้องการทางออกได้ 

เช่น ตรวจสอบข้อมูลจากตรงนี้เราใช้แพลตฟอร์มของโคแฟคที่มีข้อมูล เขาเคยมีเรื่องนี้อยู่ในฐานข้อมูลไหมนะ? เราลองเข้าไปดู เห็นหลายๆ ข้อมลเป็นประโยชน์มากๆ เลย ถ้าเรารู้ก่อน รู้ว่าจะมีความเสี่ยงแบบนี้ึ้นมา เราก็จะสามารถเป็นคนที่ช่วยป้องกันการแพร่ของ่าวปลอมได้ แล้วก็ช่วยป้องกันตัวเองให้รอดพ้นจากการถูกภัยคุกคามจากการหลอกลวงทางออนไลน์ได้

อีกส่วนหนึ่ง  ความรู้เท่าทันเทคโนโลยีดิจิทัล(Digital Literacy) เป็นเรื่องสำคัญ เช่น เข้าใจกลไกการตลาดของสื่อสังคมออนไลน์ ที่อาจมีความพยายามสร้างกระแสเพื่อนำไปสู่มูลค่าอะไรบางอย่าง หรือ รอยเท้าดิจิทัล (Digital Footprint) ไปแสดงความคิดเห็น โพสต์หรือทำธุรกรรมใดๆ ไว้ จะทิ้งร่องรอยซึ่งจะส่งผลต่อชีวิตในอนาคต เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ทุกคนต้องเรียนรู้ทำความเข้าใจแม้ไม่ได้อยู่ในการศึกษาภาคบังคับ 

อนึ่ง อพวช. เป็นหน่วยงานภาครัฐ มีบทบาทส่งเสริมให้เกิดการเข้าถึงวิทยาศาสตร์และการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี แต่ก็จะมี่หน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาสังคม ที่หากมี่ความร่วมมือ มีเครือข่ายแล้วสามารถสร้างสังคมให้เกิดความเห็นอกเห็นใจ เกิดความคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลและสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ ซี่งสิ่งเหล่านี้เป็นหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน  อย่างโคแฟคก็มีภาคีที่เข้มแข็งและต่อยอดให้ผู้คนเกิดการรู้เท่าทันเทคโนโลยีดิจิทัลและภัยคุกคามในอนาคต ยังไม่นับรวมว่าการมีนวัตกรรมใหม่ๆ อาจใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นก็ได้ 

การสื่อสารการผิดพลาด ข่าวปลอม มันเกิดขึ้นตลอดเวลา ในยุคแห่ง AI การเข้าใกล้ความจริงจะเป็นสิ่งที่เราอาจมองไม่เห็นเลยก็ได้ หรือว่าในอนาคตที่มีตัว VR (Virtual Reality – เทคโนโลยีสร้างสภาพแวดล้อมจำลองเสมือนจริง) , AR (Augmented Reality – นำข้อมูลเสมือนมาผสานกับโลกจริง) การมีอยู่ของความเป็นจริงหรือการที่เราเห็นกันตัวต่อตัว เราคิดว่าเป็นความจริงแล้ว บางทีอาจเป็นการสร้างบอทมาคุยแล้วเอารูปภาพใส่ อาจเป็นเรื่องหนึ่งที่อนาคตก็ทำได้ ซึ่งถามว่ามันก็อาจมีทั้งข้อดีและข้อจำกัดบางอย่าง แต่เราก็ต้องมีความตระหนักรู้ว่าเทคโนโลยีมันทำได้นะ ก็รู้ให้เท่าทันแล้วก็ทำใจเอาไว้ว่าความจริงอาจไม่ใช่สิ่งที่เราเชื่อตลอดเวลาก็ได้ ให้มีพื้นที่ในการที่จะเรียนรู้ตลอดเวลาไว้ด้วย

หมายเหตุ : สามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ https://web.facebook.com/CofactThailand/videos/1182382533912725/ (ในระยะเวลา 30 วัน นับจากวันที่แพร่ภาพสด ตามข้อกำหนดของ Facebook) 

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-