ไขข้อข้องใจ เคี้ยวหมากฝรั่ง 8 นาที = กลืนไมโครพลาสติกหลายพันชิ้นจริงหรือ?

ขอบคุณที่มา ubonconnect

วันที่ 19 สิงหาคม 2568 รายการ “โคแฟคสนทนา รวมพลคนเช็กข่าว” ออกอากาศเวลา 19.00-19.30 น. นำเสนอประเด็นร้อนที่กำลังถูกพูดถึงในโลกโซเชียลว่า “การเคี้ยวหมากฝรั่ง 8 นาที เท่ากับกลืนไมโครพลาสติกหลายพันชิ้น” โดยมี รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยร่วมด้วย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT และ “พี่หน่อย” คนเช็กข่าว ร่วมถกประเด็นนี้อย่างเข้มข้น ด้วยมุมมองทางวิทยาศาสตร์เพื่อให้ผู้ชมได้เข้าใจข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน โดยมี สุชัย เจริญมุขยนันท เป็นผู้ดำเนินรายการ

ประเด็นนี้เริ่มต้นจากโพสต์บนโซเชียลมีเดียที่ระบุว่า การเคี้ยวหมากฝรั่งเพียง 8 นาทีอาจทำให้ร่างกายได้รับไมโครพลาสติกจำนวนมาก ซึ่งสร้างความกังวลให้กับผู้บริโภค โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบการเคี้ยวหมากฝรั่งเป็นประจำ รศ.ดร.เจษฎา อธิบายว่า ข้อมูลนี้มาจากงานวิจัยเบื้องต้นของทีมวิศวกรจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย (UCLA) ซึ่งเผยแพร่เมื่อเดือนมีนาคม 2568 โดยยังไม่ได้ตีพิมพ์อย่างเป็นทางการในวารสารวิชาการ งานวิจัยนี้ทดลองโดยให้อาสาสมัครเพียงคนเดียวเคี้ยวหมากฝรั่ง 5 ยี่ห้อ ซึ่งแบ่งเป็นหมากฝรั่งสังเคราะห์ (ผลิตจากโพลิเมอร์ปิโตรเลียม) และหมากฝรั่งจากยางไม้ธรรมชาติ โดยเก็บตัวอย่างน้ำลายทุก 30 วินาทีจนครบ 4 นาที และบ้วนปากด้วยน้ำเพื่อตรวจหาไมโครพลาสติกด้วยกล้องจุลทรรศน์และเครื่องสเปกโทรสโกปี

ผลการวิจัยพบว่า หมากฝรั่ง 1 กรัมสามารถปล่อยไมโครพลาสติกได้ประมาณ 50-100 ชิ้น และหากเป็นหมากฝรั่งชิ้นใหญ่ (2-6 กรัม) อาจปล่อยไมโครพลาสติกได้สูงถึง 3,000 ชิ้นต่อชิ้น โดยปริมาณไมโครพลาสติกส่วนใหญ่จะถูกปล่อยออกมาตั้งแต่ 2 นาทีแรกของการเคี้ยวและเพิ่มขึ้นจนเกือบครบ 94% เมื่อเคี้ยวถึง 8 นาที น่าสนใจว่า หมากฝรั่งทั้งแบบสังเคราะห์และแบบธรรมชาติล้วนปล่อยไมโครพลาสติกในปริมาณใกล้เคียงกัน ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับทีมวิจัย เนื่องจากหมากฝรั่งธรรมชาติควรมีส่วนประกอบจากยางไม้ที่คาดว่าจะปลอดภัยกว่า

อย่างไรก็ตาม รศ.ดร.เจษฎา ชี้ว่า งานวิจัยนี้ยังมีข้อจำกัดหลายประการเช่น การใช้เพียงอาสาสมัครคนเดียว ซึ่งอาจไม่สะท้อนผลลัพธ์ในวงกว้าง และยังไม่มีคำอธิบายชัดเจนว่าเหตุใดหมากฝรั่งธรรมชาติก็ปล่อยไมโครพลาสติกออกมาได้ นอกจากนี้ การวัดปริมาณไมโครพลาสติกที่เข้าสู่ร่างกายและผลกระทบต่อสุขภาพยังไม่มีการยืนยันที่ชัดเจนจากงานวิจัยในวงกว้าง องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าไมโครพลาสติกที่เข้าสู่ร่างกายจะก่อให้เกิดอันตรายโดยตรงส่วนใหญ่จะถูกขับออกทางระบบย่อยอาหาร

เมื่อเปรียบเทียบปริมาณไมโครพลาสติกจากหมากฝรั่งกับแหล่งอื่น เช่นน้ำดื่มบรรจุขวด ซึ่งอาจมีไมโครพลาสติกสูงถึง 10,000-200,000 ชิ้นต่อลิตร ปริมาณจากหมากฝรั่งถือว่าน้อยกว่ามาก รศ.ดร.เจษฎา จึงแนะนำว่า ผู้บริโภคไม่ควรกังวลเกินไป แต่หากกังวล สามารถลดความเสี่ยงได้โดยการเคี้ยวหมากฝรั่งชิ้นเดิมนานขึ้น แทนการเปลี่ยนชิ้นใหม่บ่อยๆ ซึ่งอาจเพิ่มปริมาณไมโครพลาสติกที่ร่างกายได้รับ

สุภิญญา กลางณรงค์ เสริมว่า ประเด็นนี้จัดอยู่ในหมวด “จริงบางส่วน” เนื่องจากมีงานวิจัยยืนยันการพบไมโครพลาสติกจริง แต่ผลกระทบต่อสุขภาพยังไม่ชัดเจน การบริโภคอย่างเหมาะสมและการตรวจสอบฉลากผลิตภัณฑ์จึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่ฉลากหมากฝรั่งมักไม่ระบุชัดเจนว่าเป็นแบบสังเคราะห์หรือธรรมชาติ ซึ่งอาจต้องผลักดันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดให้ผู้ผลิตระบุข้อมูลอย่างละเอียดมากขึ้นเพื่อให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ

การเคี้ยวหมากฝรั่ง 8 นาทีอาจทำให้ร่างกายได้รับไมโครพลาสติกสูงสุดถึง 3,000 ชิ้นต่อชิ้นจริงตามงานวิจัยเบื้องต้น แต่ปริมาณนี้ยังถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับแหล่งอื่น เช่น น้ำดื่มบรรจุขวด และยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าไมโครพลาสติกเหล่านี้ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย ผู้บริโภคยังสามารถเคี้ยวหมากฝรั่งได้ตามปกติ แต่ควรบริโภคอย่างพอดีและเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากชัดเจน เพื่อลดความกังวลและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

รายการนี้แนะนำให้ผู้บริโภคใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูล โดยเฉพาะในยุคที่ข่าวสารในโซเชียลมีเดียแพร่กระจายรวดเร็ว และควรเลือกบริโภคอาหารอย่างหลากหลายและสมดุล เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว


คลิปสร้างด้วย AI บิดเบือนท่าทีสหรัฐฯ-เกาหลีใต้-อาเซียน ต่อกรณีความขัดแย้งไทย-กัมพูชา

กองบรรณาธิการโคแฟค

โคแฟคตรวจสอบโพสต์เฟซบุ๊กที่อ้างว่าสหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ และอาเซียนร่วมประณามกัมพูชาเรื่องการวางทุ่นระเบิดและละเมิดข้อตกลงหยุดยิง พบว่าเป็นเนื้อหาบิดเบือน แม้ว่าสหรัฐฯ เกาหลีใต้และอาเซียนจะออกแถลงการณ์ต่อกรณีความขัดแย้งไทย-กัมพูชา แต่ไม่มีข้อความ “ประณามกัมพูชา” ตามที่โพสต์เฟซบุ๊กนี้กล่าวอ้าง

หนึ่งวันหลังจากที่ทางการไทยนำคณะทูต ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารและสื่อต่างประเทศ ลงพื้นที่สังเกตการณ์ผลกระทบจากการโจมตีเป้าหมายพลเรือนโดยกองกำลังของกัมพูชาเมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2568 ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “JO SB” โพสต์คลิปวิดีโอความยาว 1.30 นาที มีเสียงบรรยายประกอบภาพที่สร้างโดย AI และฝังข้อความว่า “ผลลัพธ์จากทัวร์ทูตทหาร” (ลิงก์บันทึก)

เสียงบรรยายในคลิปอ้างว่า หลังจากทูตทหารของประเทศต่าง ๆ ได้ลงพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา มี 3 ประเทศแรกที่เคลื่อนไหวประณามกัมพูชาและมีท่าที “เลือกข้าง” ไทย ได้แก่ 1) สหรัฐอเมริกา ออกแถลงการณ์ประณามกัมพูชาเรื่องการใช้กับระเบิดต่อต้านบุคคล และชื่นชมความโปร่งใสของไทยในการเปิดให้พิสูจน์ความจริง 2) เกาหลีใต้ เรียกร้องให้ยุติความรุนแรง ประณามการใช้กับระเบิดต่อต้านบุคคล และประกาศความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และ 3) อาเซียน มาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนเรียกร้องให้เปิดประชุมฉุกเฉินรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนทันทีซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่า การละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของกัมพูชา คือวิกฤติเร่งด่วน

ตัวอย่างภาพประกอบจากวิดีโอที่อ้างว่าสหรัฐฯ เกาหลีใต้ และอาเซียนประณามกัมพูชาหลังจากไทยพาทูตทหารลงพื้นที่
โพสต์โดยผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “JO SB” เมื่อวันที่ 2 ส.ค. 2568

คลิปถูกโพสต์เมื่อวันที่ 2 ส.ค. 2568 และยังคงเข้าถึงได้ในขณะนี้ (17 ส.ค. 2568) มียอดการรับชมเกือบ 7 แสนครั้ง และถูกแชร์เกือบ 700 ครั้ง

โคแฟคตรวจสอบ

ในกรณีที่รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ มีแถลงการณ์หรือท่าทีต่อสถานการณ์ในประเทศอื่น แถลงการณ์นั้นจะถูกเผยแพร่ทางช่องทางที่เป็นทางการ เช่น เว็บไซต์หรือบัญชีโซเชียลมีเดียที่เป็นทางการของรัฐบาลนั้น ๆกรณีนี้โคแฟคตรวจสอบจากเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้ และเว็บไซต์อาเซียน  ไม่พบว่ามีแถลงการณ์ที่ระบุข้อความ “ประณามกัมพูชา” แต่มีแถลงการณ์ต่อกรณีความขัดแย้งไทย-กัมพูชาที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

สหรัฐอเมริกา

จากการตรวจสอบบนเว็บไซต์ www.state.gov ซึ่งเป็นเว็บไซต์ทางการของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค. ซึ่งเป็นวันแรกที่เกิดการปะทะ จนถึงวันที่ 2 ส.ค. 2568 ซึ่งเป็นวันที่เฟซบุ๊ก “JO SB” โพสต์วิดีโอนี้ พบว่ามีการเผยแพร่แถลงการณ์หรือข่าวภารกิจของกระทรวงฯ ส่วนที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยในกรณีความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ดังนี้  

24 ก.ค. 2568

สำนักโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เผยแพร่แถลงการณ์กรณีความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา (On the Thailand-Cambodia Border Conflict) ข้อความว่า “สหรัฐอเมริกามีความกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับรายงานการต่อสู้ที่ทวีความรุนแรงขึ้นตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เรารู้สึกตกใจเป็นอย่างมากกับรายงานถึงอันตรายที่เกิดขึ้นกับพลเรือนผู้บริสุทธิ์ เราขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการสูญเสียชีวิต เราเรียกร้องอย่างจริงจังให้ยุติการโจมตีโดยทันที ปกป้องพลเรือน และระงับข้อพิพาทด้วยสันติวิธี”  

27 ก.ค. 2568

• โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ แทมมี บรูซ เผยแพร่ถ้อยแถลงเกี่ยวกับการหารือทางโทรศัพท์ระหว่างนายมาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กับนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ว่านายรูบิโอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยลดความตึงเครียดในทันที และตกลงหยุดยิงกับกัมพูชาในกรณีข้อพิพาทชายแดนที่กำลังดำเนินอยู่ พร้อมทั้งย้ำถึงความปรารถนาต่อสันติภาพของประธานาธิบดีทรัมป์ ตลอดจนความสำคัญของการหยุดยิงโดยทันที สหรัฐอเมริกาพร้อมที่จะอำนวยความสะดวกในการหารือในอนาคต เพื่อให้เกิดสันติภาพและเสถียรภาพระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา

• รัฐมนตรีรูบิโอออกแถลงการณ์เกี่ยวกับการเจรจาระดับสูงระหว่างกัมพูชาและประเทศไทยว่า “กัมพูชาและประเทศไทยมีกำหนดจะเริ่มการเจรจาระดับสูงที่ประเทศมาเลเซียในเร็ว ๆ นี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อบรรลุการหยุดยิงโดยทันที เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา อยู่ในมาเลเซียเพื่อสนับสนุนความพยายามในการสร้างสันติภาพครั้งนี้ ทั้งประธานาธิบดีทรัมป์และผมยังคงมีส่วนร่วมในการพูดคุยกับคู่เจรจาของแต่ละประเทศ และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดยิ่ง เราต้องการให้ความขัดแย้งนี้ยุติโดยเร็ว”

28 ก.ค. 2568

รัฐมนตรีรูบิโอออกแถลงการณ์เกี่ยวกับการหยุดยิงระหว่างกัมพูชาและประเทศไทยว่า “สหรัฐอเมริกาชื่นชมการประกาศหยุดยิงระหว่างกัมพูชาและประเทศไทยในวันนี้ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประธานาธิบดีทรัมป์และผมมุ่งมั่นที่จะยุติความรุนแรงโดยทันที และคาดหวังว่ารัฐบาลกัมพูชาและรัฐบาลไทยจะปฏิบัติตามคำมั่นของตนอย่างเต็มที่ในการยุติความขัดแย้งนี้ เราขอขอบคุณ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย สำหรับความเป็นผู้นำของท่าน และสำหรับการเป็นเจ้าภาพการเจรจาหยุดยิง เราเรียกร้องให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามคำมั่นของตน สหรัฐฯ จะยังคงมุ่งมั่นต่อและมีส่วนร่วมในกระบวนการที่สหรัฐฯ และมาเลเซียจัดขึ้นนี้เพื่อยุติความขัดแย้งครั้งนี้”

วันที่ 30 ก.ค. 2568

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ แทมมี บรูซ เผยแพร่ถ้อยแถลงว่ารัฐมนตรีรูบิโอได้โทรศัพท์ขอบคุณรัฐบาลมาเลเซียผ่านนายโมฮาหมัด ฮาซัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาเลเซีย สำหรับบทบาทของรัฐบาลมาเลเซียในการลดความตึงเครียดระหว่างไทยและกัมพูชา และอำนวยความสะดวกในการพบปะกันของผู้นำทั้งสองประเทศเมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2568 ซึ่งได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง สหรัฐฯ พร้อมสนับสนุนการเจรจาหารือในอนาคตเกี่ยวกับการบังคับใช้ข้อตกลงหยุดยิงเพื่อนำมาซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพของไทยและกัมพูชา  

ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2568 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ มาร์โค รูบิโอ ได้มีแถลงการณ์เกี่ยวกับข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกัมพูชาและประเทศไทย ข้อความว่า “สหรัฐอเมริกายินดีต่อการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee) ในวันนี้ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ อันเป็นก้าวสำคัญไปสู่การดำเนินการตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเป็นรูปธรรม ตลอดจนการจัดให้มีกลไกการสังเกตการณ์จากประเทศอาเซียน ประธานาธิบดีทรัมป์และผมคาดหวังว่ารัฐบาลกัมพูชาและรัฐบาลไทยจะปฏิบัติตามคำมั่นของตนอย่างเต็มที่ในการยุติความขัดแย้งนี้ เราขอบคุณ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย สำหรับความเป็นผู้นำของท่าน และสำหรับการเป็นเจ้าภาพจัดกระบวนการหยุดยิง ซึ่งเป็นผลลัพธ์โดยตรงของความเต็มใจของท่านในการร่วมกับสหรัฐฯ จัดการประชุมพิเศษเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม เพื่อแก้ไขความขัดแย้งดังกล่าว เราตั้งตารอที่จะได้สนับสนุนมาเลเซีย สมาชิกอาเซียน และประเทศทั้งสองในขณะที่กระบวนการนี้ดำเนินต่อไป”

เกาหลีใต้

จากการตรวจสอบเว็บไซต์ทางการของกระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้ www.mofa.go.kr พบว่าระหว่างวันที่ 24 ก.ค.- 2 ส.ค. 2568 พบแถลงการณ์หรือถ้อยแถลงเกี่ยวกับสถานการณ์ไทย-กัมพูชาเพียง 1 ชิ้น ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2568 หัวข้อ “MOFA Spokesperson’s Statement on the Military Clash between Thailand and Cambodia” ระบุว่ารัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลีมีความกังวลอย่างยิ่งต่อเหตุการณ์ปะทะทางทหารระหว่างไทยและกัมพูชา และขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต รัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลีขอเรียกร้องให้ทั้งไทยและกัมพูชาลดความตึงเครียดและแก้ปัญหาโดยสันติผ่านการเจรจา

อาเซียน

จากการตรวจสอบบนเว็บไซต์ทางการของอาเซียน asean.org พบว่าระหว่างวันที่ 24 ก.ค.- 16 ส.ค. 2568 อาเซียนได้เผยแพร่แถลงการณ์กรณีความขัดแย้งไทย-กัมพูชา 2 ฉบับ คือ

28 ก.ค. 2568 แถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน (ASEAN Foreign Ministers’ Statement on Thailand-Cambodia Border Dispute ซึ่งสาระสำคัญ 3 ข้อ คือ 1-แสดงความกังวลต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งสองฝ่าย สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินและทำให้ผู้คนจำนวนมากที่อยู่อาศัยตามแนวชายแดนต้องอพยพหนีภัย 2-เรียกร้องการหยุดยิง ขอให้ยุติปฏิบัติการสู้รบทั้งหมด และกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจาเพื่อฟื้นฟูสันติภาพและเสถียรภาพ ยุติข้อพิพาทด้วยสันติวิธีโดยยึดหลักการของกฎบัตรสหประชาชาติ กฎบัตรอาเซียน และสนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (TAC) และ 3-สนับสนุนความพยายามของประธานอาเซียนในการอำนวยความสะดวกให้ทั้งสองฝ่ายเจรจาและยุติการสู้รบ  

31 ก.ค. 2568 แถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนต่อผลการหารือระหว่างผู้นำไทยและกัมพูชาที่มาเลเซีย (ASEAN Foreign Ministers’ Statement on the Outcome of the Special Meeting Hosted by Malaysia to Address the Current Situation Between Cambodia and Thailand) มีสาระสำคัญ 4 ข้อ คือ 1-ยินดีกับผลการประชุมพิเศษเรื่องสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ที่มาเลเซียเมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2568 2-ชื่นชมบทบาทของมาเลเซียและการมีส่วนร่วมของสหรัฐฯ และจีน ในการเจรจาทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชาเพื่อบรรลุข้อตกลงหยุดยิง 3-สนับสนุนให้กัมพูชาและไทยแก้ปัญหาอย่างสันติตามกฎหมายระหว่างประเทศ กฎบัตรสหประชาชาติ กฎบัตรอาเซียน สนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยจิตวิญญาณของความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี และปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และ 4-สนับสนุนความพร้อมของมาเลเซียในการประสานงานคณะผู้สังเกตการณ์ซึ่งประกอบด้วยประเทศสมาชิกอาเซียนเพื่อติดตามการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง

ข้อสรุปโคแฟค

  • นับตั้งแต่เกิดการปะทะระหว่างทหารไทยและกัมพูชาเมื่อวันที่ 24-28 ก.ค. 2568 และหลังจากข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 29 ก.ค.2568 จนถึงปัจจุบัน (17 ส.ค.2568) เว็บไซต์ทางการของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เกาหลีใต้ และอาเซียน ไม่มีแถลงการณ์ ถ้อยแถลงหรือข่าวแจกสื่อมวลชนฉบับใดทีมีเนื้อหาประณามกัมพูชาตามคลิปวิดีโอที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กนำมาเผยแพร่
  • การค้นหารายงานข่าวของสื่อมวลชนที่เชื่อถือได้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษในช่วงเวลาหนึ่งเดือนย้อนหลัง ก็ไม่พบรายงานข่าวที่มีเนื้อหาตามที่คลิปวิดีโอนี้กล่าวอ้าง
  • นับตั้งแต่เกิดเหตุความไม่สงบที่แนวชายแดนไทย-กัมพูชา โคแฟคพบว่าผู้ใช้โซเชียลมีเดียทั้งไทยและกัมพูชาได้เผยแพร่เนื้อหาเท็จจำนวนมากที่อ้างว่ารัฐบาลประเทศต่าง ๆ สนับสนุนประเทศของตน จนบางประเทศต้องออกมาชี้แจงข้อเท็จจริง เนื้อหาเท็จเหล่านี้สร้างความสับสนต่อสถานการณ์และยังอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ผู้ใช้โซเชียลมีเดียจึงควรตรวจสอบความถูกต้องให้ดีก่อนเชื่อหรือแชร์

เรื่องอื่นที่เกี่ยวข้อง

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 16 สิงหาคม 2568

คลิปพระสงฆ์กัมพูชาเดินขบวนประท้วงฮุน เซน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1l32u4fw1fpym


คลิปสร้างถนนสู่ช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/200yicvz008wh


คลิปวิดีโอชาวกัมพูชาก่อเหตุเผาตึกคอลเซ็นเตอร์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/n0w8h9gvchzd


พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ เปิดช่องแจกที่ดินให้ต่างด้าวครอบครัวละ 20 ไร่…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3dp1llxenbg9a


เปลือกกล้วยบำรุงผิว ดีเท่า botox…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2wsiu9krs60tn


ทานอาหารตามหมู่เลือด ดีจริงหรือ ?…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/x6y72fmxznv1


“หัวเชื้อกลิ่นแมงดา” เป็นอันตรายต่อร่างกาย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/17ry6arxvu09m


แกนนำกลุ่ม “ไทยไม่ทน” โพสต์บิดเบือน พ.ร.บ. ชาติพันธุ์ อ้างเปิดช่องแจกที่ดินให้คนต่างด้าว 20 ไร่

กองบรรณาธิการโคแฟค

แกนนำกลุ่ม “ไทยไม่ทน” ซึ่งเคลื่อนไหวต่อต้านแรงข้ามชาติ โพสต์ข้อความบิดเบือนพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ (พ.ร.บ. ชาติพันธุ์) สร้างความเข้าใจผิดว่ากฎหมายฉบับนี้เปิดช่องแจกที่ดินทำกินให้คนต่างด้าวครอบครัวละ 20 ไร่

ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติเอกฉันท์เห็นชอบร่าง พ.ร.บ. ชาติพันธุ์ เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2568 นายอัครวุธ บุรณพนธ์ หรือ “เต้ อาชีวะ” แกนนำกลุ่มไทยไม่ทน โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กซึ่งมีผู้ติดตามมากกว่า 2.4 แสนบัญชีว่า กฎหมายฉบับนี้ “อาจมีแอบแฝงแจกที่ทำกินให้ครอบครัวละ 20 ไร่ สุดท้ายแล้วคนไทยแท้ไม่มีที่ทำกิน แต่กลุ่มต่างด้าวที่แฝงเป็นชาติติพันธุ์อาจได้ที่ทำกิน” โพสต์นี้ถูกแชร์ไปเกือบ 500 ครั้ง (ลิงก์บันทึก)

นายอัครวุธซึ่งตั้งฉายาให้ตัวเองว่า “มือปราบต่างด้าว” ระบุว่า พ.ร.บ. ชาติพันธุ์อาจเปิดช่องให้คนเมียนมาหรือกลุ่มจีนเทามาสวมสิทธิ์เป็น “กลุ่มชาติพันธุ์” เพื่อรับสิทธิครอบครองที่ดิน   

โคแฟคตรวจสอบ

เมื่อตรวจสอบเนื้อหาของร่าง พ.ร.บ. ชาติพันธุ์ ที่ผ่านความเห็นชอบของสภาเมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2568 โดยละเอียด พบว่าไม่มีข้อความใดที่ระบุถึงการแจกที่ดินทำกิน 20 ไร่ให้กลุ่มคนต่างด้าวตามที่นายอัครวุธอ้างในโพสต์เฟซบุ๊ก

ทั้งนี้ร่าง พ.ร.บ. ชาติพันธุ์ ซึ่งอยู่ระหว่างนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย และประกาศในราชกิจจานุเบกษา ได้กำหนดหลักการโดยกว้างเพื่อคุ้มครองสิทธิพลเมืองพื้นฐานและการเข้าถึงที่ดินให้ชาวไทยชาติพันธุ์ โดยระบุถึงสิทธิที่ดินทำกินในมาตรา 9 ว่า “กลุ่มชาติพันธุ์มีสิทธิในที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามความจำเป็นต่อการดำรงชีพหรือกิจกรรมสาธารณะของชุมชน”

มาตรา 9 (4) กำหนดให้กลุ่มชาติพันธุ์ได้รับการคุ้มครองจากการถูกพรากจากที่ดินและที่อยู่อาศัยของตนโดยปราศจากการรับรู้และยินยอมล่วงหน้า และมีสิทธิโต้แย้งทางกฎหมาย สิทธิในการได้รับการแก้ไขและเยียวยาอย่างเป็นธรรม โดยจัดให้อยู่ในที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตและมีการรับรองสถานะของที่ดินอย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือรูปแบบอื่นที่เหมาะสม

ข้อความในมาตรา 9 ของร่าง พ.ร.บ. ชาติพันธุ์ ฉบับที่ผ่านการพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎรเมื่อ 6 ส.ค. 2568

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าไม่มีข้อความใดในร่าง พ.ร.บ. ชาติพันธุ์ระบุเรื่องการมอบที่ดินทำกินให้ครอบครัวละ 20 ไร่ อีกทั้งกฎหมายฉบับนี้ไม่เกี่ยวข้องกับคนต่างด้าว แต่ระบุถึงการคุ้มครองสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น ชาวกะเหรี่ยง ปกากะญอ ชาวม้ง อาข่า ชาวเล ฯลฯ ซึ่งในประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์อยู่มากกว่า 60 กลุ่ม คิดเป็นประชากรราว 6 ล้านคน หรือ 4.3% ของประชากรไทย

“แจกที่ดินครอบครัวละ 20 ไร่” มีที่มาจากไหน?

โคแฟคตรวจสอบกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องพบว่าตัวเลข “20 ไร่” อาจนำมาจาก พระราชกฤษฎีกาโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ ตามมาตรา 64 แห่ง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “พ.ร.ฎ. อนุรักษ์ฯ” ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2567

พ.ร.ฎ. อนุรักษ์ฯ เป็นความพยายามของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในการแก้ปัญหาเขตป่าอนุรักษ์ทับซ้อนที่ดินทำกินของชาวบ้าน ซึ่งผู้ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่เป็นชาวไทยชาติพันธุ์บนพื้นที่ห่างไกล โดยมาตรา 10 และ 11 ระบุแนวทางแก้ไขปัญหาผู้ได้รับผลกระทบด้วยการจัดสรรที่ดินทำกินให้ผู้มีสัญชาติไทยที่พิสูจน์ได้ว่าทำกินอยู่บนที่ดินนี้มาอย่างต่อเนื่องครอบครัวละไม่เกิน 20 ไร่ ตามอายุโครงการคราวละ 20 ปี พร้อมกับกำหนดคุณสมบัติและข้อต้องห้ามของผู้ที่จะได้สิทธินี้ไว้อย่างชัดเจน

มีความเป็นไปได้ว่า เนื้อหาของ พ.ร.ฎ. อนุรักษ์ฯ ที่ระบุถึงการจัดสรรที่ดิน 20 ไร่เพื่อแก้ปัญหาที่ดินทำกินของประชาชน ถูกนำมาบิดเบือนเพื่อสร้างความเข้าใจผิดว่า พ.ร.บ.ชาติพันธุ์จะจัดสรรที่ดิน 20 ไร่ให้แรงงานต่างด้าว

สำหรับข้อกังวลว่ากฎหมายฉบับนี้จะเปิดช่องให้แรงงานต่างด้าวสวมสิทธิในที่ดินทำกินนั้น นายอภินันท์ ธรรมเสนา นักวิชาการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ซึ่งเป็นองค์การมหาชนภายใต้การกำกับของกระทรวงวัฒนธรรมที่ได้รับมอบหมายให้ขับเคลื่อนกฎหมายฉบับนี้ กล่าวว่าเป็นไปได้ยากมากที่กฎหมายจะเปิดช่องให้เกิดการสวมสิทธิ

“ความกังวลว่า พ.ร.บ. ชาติพันธุ์จะให้ที่ดินคนต่างด้าวนั้นเป็นไม่ได้เลย เพราะรัฐมีกระบวนการกลั่นกรองก่อนจัดสรร กฎหมายกำหนดว่าผู้มีสิทธิเข้าโครงการ พ.ร.ฎ. อนุรักษ์ต้องมีสัญชาติไทยและต้องพิสูจน์สิทธิว่าเป็นผู้ตั้งถิ่นฐานในพื้นที่นั้นมานาน ซึ่งต้องมีหลักฐานเชิงประจักษ์” นายอภินันท์ ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการร่างกฎหมายชาติพันธุ์ในรัฐสภาให้สัมภาษณ์โคแฟค และย้ำว่า “การขอที่ดินไม่ได้ง่ายขนาดนั้น”

การพิสูจน์สิทธิว่าเป็น “ผู้ตั้งถิ่นฐาน” นั้นต้องผ่านการสำรวจตรวจสอบโดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และจะต้องเป็นผู้มีรายชื่อตามผลสำรวจการถือครองที่ดินของรัฐ

เป็นที่น่าสังเกตว่า มีการนำเนื้อหา พ.ร.ฎ.อนุรักษ์ฯ มาบิดเบือนว่าเป็นการ “แจกป่าให้ต่างด้าว” มาอย่างต่อเนื่อง เช่น ในช่วงที่นายเลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล สส.ชาติพันธุ์ม้งจากพรรคประชาชน อภิปรายเกี่ยวกับ พ.ร.ฎ. อนุรักษ์ว่าควรครอบคลุมกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ในขั้นตอนการขอสัญชาติไทยด้วย ผู้ใช้ติ๊กตอกรายหนึ่งโพสต์คลิปเมื่อวันที่ 24 เม.ย. 2568 พร้อมข้อความว่า “จับตาพรรคประชาชน พรรคเพื่อไทย แจกป่าครอบครัวละ 20 ไร่ให้ต่างด้าว” ซึ่งไม่ตรงกับเนื้อหาของ พ.ร.ฎ. ฉบับนี้ที่กำหนดคุณสมบัติและเงื่อนไขของผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการไว้อย่างชัดเจน

ผู้ใช้ติ๊กตอกโพสต์เนื้อหาบิดเบือนการอภิปรายของ สส. พรรคประชาชน และสาระสำคัญของ พ.ร.ฎ.อนุรักษ์ฯ และร่าง พ.ร.บ. ชาติพันธุ์ (ลิงก์บันทึก)

ข้อสรุปโคแฟค

  1. ข้อความที่แกนนำกลุ่มไทยไม่ทนโพสต์ในเฟซบุ๊กว่า พ.ร.บ. ชาติพันธุ์ เปิดให้มีการแจกที่ดินทำกินให้คนต่างด้าวครอบครัวละ 20 ไร่ เป็นข้อความที่บิดเบือน โดยอาจนำข้อความจาก พ.ร.ฎ.อนุรักษ์ฯ มาเชื่อมโยงแบบผิด ๆ เพื่อสร้างความเข้าใจผิดและปลุกปั่นให้คนในสังคมเกิดความไม่ไว้วางใจแรงงานต่างด้าว
  2. ร่าง พ.ร.บ. ชาติพันธุ์ มีสาระสำคัญอยู่ที่การคุ้มครองสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ แต่เฟซบุ๊ก “เต้ อาชีวะ อัครวุธ บุรณพนธ์” นำมาเชื่อมโยงกับกลุ่มคนต่างด้าว ทำให้เกิดความสับสนระหว่าง “กลุ่มชาติพันธุ์” ที่เป็นพลเมืองดั้งเดิมในประเทศไทยกับ “คนต่างด้าว” ซึ่งหมายถึง คนต่างชาติที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในไทย โดยอาจจะเป็นแรงงานข้ามชาติ ผู้อพยพและชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศ
  3. ช่วงที่ผ่านมา กลุ่มไทยไม่ทนมักสื่อสารในลักษณะที่สร้างความเกลียดชังและความไม่ไว้วางใจแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย ด้วยเนื้อหาบิดเบือนและประทุษวาจา (hate speech) ประชาชนจึงควรตรวจสอบความถูกต้องและใช้วิจารณญาณก่อนจะเชื่อหรือแชร์เนื้อหาเหล่านี้

เรื่องอื่นที่เกี่ยวข้อง

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 9 สิงหาคม 2568

หัวหน้าพรรคประชาชนประณาม รพ. ที่ปฏิเสธรักษาคนเขมร…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2nyo5qvd07j4f


คลิปพลทหารกัมพูชาวัย 87 ปี รอร่ำลาลูกสาวก่อนไปรบที่ชายแดน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2sq5v0cbasvx9


คลิปแร้งและอีการุมทึ้งศพทหารไทย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2hdn0wxipfbek


คลิปญาติหามศพทหารกัมพูชาไปเผา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1zyesejq75zrw


จับสายลับกัมพูชา ลอบเข้าชายทะเลโป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี พร้อมโดรนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ชี้เป้าโจมตีกองบิน 5…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/30zvbbobe82ng


ภาพปลอม AI ความสัมพันธ์ระหว่างฮุนเซน-ภรรยา-โฆษกกลาโหมกัมพูชา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2qnbs01hsurca


กินทุเรียนหมอนทองสุก เพื่อช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1spn7b797fy6w


กยศ. ยกหนี้ให้ทหารที่เสียชีวิตจากเหตุชายแดนไทย-กัมพูชา

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3pmieca8gklpk


กรมการปกครอง สั่ง X-Ray เฝ้าระวังโดรนในพื้นที่

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2mpqqgs1ui029


อาหารมีส่วนกระตุ้นไมเกรน สัญญาณจากร่างกายถึงการทานอาหารที่ไม่เหมาะสม

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/nkgec4wlavos


ใช้ยาลดความดันเกินขนาด อันตรายถึงชีวิต

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/33n6wm53gydsg


แสงสีเขียวที่เห็นบนท้องฟ้าเมื่อคืนวันที่ 3 ส.ค. 2568 ไม่ใช่โดรน แต่คือ “ดาวตกชนิดระเบิด”

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/p43iy9b5b9bv


องุ่นไซมัสคัท มีสารตกค้าง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/opiwemd6cniy


เมื่อ‘เครื่องบินรบ’ยุทโธปกรณ์เด่นสมรภูมิ‘ไทย – กัมพูชา’ มาพร้อมการระบาดของ‘ข่าวลวง’ในสื่อออนไลน์

By: Zhang Taehun

ในการสู้รบระหว่างไทยกับกัมพูชาตลอด 5 วัน นับตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค. 2568 เมื่อกัมพูชาเปิดฉากโจมตีข้ามพรมแดนเข้ามายังฝั่งไทยและทำให้พลเรือนเสียชีวิตหลายราย นำไปสู่การตอบโต้จากฝ่ายไทย กระทั่งในวันที่ 28 ก.ค. 2568 ทั้ง 2 ฝ่ายได้เจรจากันที่มาเลเซีย และได้ข้อสรุปว่าจะหยุดยิงเมื่อล่วงเข้าสู่วันที่ 29 ก.ค. 2568 ในเวลา 00.00 น. เครื่องบินรบ” โดยเฉพาะ F-16” เป็นหนึ่งในยุทโธปกรณ์หลักในปฏิบัติการทางทหารของฝ่ายไทย ถูกจับตามองผ่านสื่อต่างๆ พร้อมๆ กับการกระจายของ ข่าวลวง” ในรูปแบบ คลิปวีดีโอ อย่างต่อเนื่อง ในหมู่ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ซึ่งโคแฟคได้รวบรวมมานำเสนอเป็นตัวอย่าง ดังนี้ 

ภาพ 01 คลิปวีดีโออ้างว่าเครื่องบิน F-16 ไทย โจมตีกองบัญชาการกัมพูชา 

ภาพ 02 ตัวอย่างคลิปเดียวกันที่เคยถูกอ้างในบริบทต่างๆ เช่น การสู้รบระหว่างอินเดียกับปากีสถาน (ซ้าย) การทิ้งระเบิดในซูดาน (ขวา)

ในวันที่ 24 ก.ค. 2568 ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากกัมพูชาเปิดฉากโจมตีไทย ข่าวการออกปฏิบัติการของเครื่องบิน F-16 ก็เริ่มปรากฏในสื่อสังคมออนไลน์ ดังตัวอย่างบัญชีเฟซบุ๊ก ธวัชชัย สามัญชน โพสต์ลิปชื่อ ด่วน! F-16 ทิ้งบอมบ์ กองบัญชาการกัมพูชา กระเจิง หลังยิงปืนใหญ่ใส่บ้านเรือนคนไทย ขณะรุกรบจบเร็ว เพียง 20 นาที F-16กลับฐานปลอดภัยทุกลำ

เบื้องต้นโคแฟคได้ตรวจสอบในวันเดียวกับที่คลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ ด้วยวิธีนำภาพไปสืบค้นย้อนกลับด้วย Google Reverse Image (หรือ Google Lens) พบว่า เคยมีการโพสต์คลิปเดียวกันมาแล้วหลายครั้งในบริบทอื่นๆ ก่อนหน้าความขัดแย้งไทย – กัมพูชา ระลอกล่าสุด เช่น วันที่ 10 พ.ค. 2568 ถูกโพสต์โดยบัญชี TikTok ชื่อ rehanuddinfaiziofficial ในชื่อคลิปว่า “Pakistan Attck on India” อ้างว่าเป็นคลิปเครื่องบินปากีสถานโจมตีอินเดีย เนื่องจากในห้วงเวลาดังกล่าวกำลังมีการสู้รบกันระหว่างอินเดียกับปากีสถาน 

หรือในวันที่ 18 พ.ค. 2566 เว็บไซต์ africa-press.net ใช้ภาพดังกล่าวรายงานข่าวเป็นภาษาอาหรับ ว่า السودان.. الطيران الحربي يستخدم صواريخ عالية الدقة وشديدة الانفجار وتدمير عشرات السياراتซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า “Sudan: Warplanes use high-precision, high-explosive missiles, destroying dozens of vehicles” และภาษาไทยว่า ซูดาน: เครื่องบินรบใช้ขีปนาวุธระเบิดแรงสูงที่มีความแม่นยำสูง ทำลายยานพาหนะได้หลายสิบคัน ซึ่งขณะนั้นซูดานกำลังมีสงครามกลางเมือง แต่ยังไม่สามารถระบุต้นทางได้

นอกจากนั้นยังพบการโพสต์ภาพจากคลิปดังกล่าวเมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2568 ในเว็บไซต์ indtoday.com บรรยายว่า “Indian Armed Forces Thwart Pakistani Drone And Missile Attacks, Destroy Air Defence System In Lahore” อ้างว่าเป็นการโจมตีระบบป้องกันภัยทางอากาศของปากีสถาน ในเมืองลาฮอร์ แต่ทาง The Current สำนักข่าวออนไลน์ในปากีสถาน ได้ตรวจสอบแล้วระบุว่า คลิปนี้เคยถูกโพสต์มาแล้วก่อนหน้านั้น ซึ่งเมื่อโคแฟคลองค้นหาต่อ ก็ไปพบคลิปวิดีโอภาษารัสเซีย ชื่อ Харьков —момент прилетаодной из “Гераней” во время обработкиобъектов укровермахта # 2025” แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า “Kharkov – the moment of arrival of one of the “Geraniums” during the processing of the objects of the Ukrainian Wehrmacht # 2025” และภาษาไทยคือ คาร์คิฟ ช่วงเวลาแห่งการมาถึงของ (โดรน“เจอเรเนียม” ในระหว่างการประมวลผลวัตถุของกองกำลังยูเครน # 2025” ทางช่องยูทูบ ระบุเวลาโพสต์คือวันที่ 30 เม.ย. 2568 สอดคล้องกับที่ทาง TFC ไต้หวันตรวจสอบพบจากเทเลแกรม

ในเวลาต่อมา สำนักข่าว AFP ของฝรั่งเศส เผยแพร่รายงานการตรวจสอบเพิ่มเติมในวันที่ 31 ก.ค. 2568 ระบุว่า คลิปดังกล่าวมีต้นทางมาจากช่องยูทูบ “Unreal vfx” เมื่อวันที่ 16 พ.ค. 2566 โดยผู้โพสต์ได้บรรยายไว้ใต้ใต้คลิปว่า คลิปนี้ถูกสร้างขึ้นด้วย Adobe After Effects ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์กราฟิกเคลื่อนไหวและเอฟเฟกต์ภาพ และเมื่อทาง AFP ได้สอบถามไปว่า วิดีโอนี้แสดงภาพจริงหรือไม่ ผู้โพสต์คลิปดังกล่าวตอบว่าเป็นกราฟิกเคลื่อนไหวนอกจากนั้น ในช่อง Unreal vfx ยังมีคลิปวีดีโอที่มีฉากหลัง (อาคารสถานที่) แบบเดียวกัน แต่เปลี่ยนจากการถูกเครื่องบินรบโจมตีเป็นถูกอุกกาบาตพุ่งชนแทน

ภาพ 03 ภาพเดียวในเรื่องเล่าที่แตกต่าง (ซ้าย)ชาวกัมพูชาอ้างว่ายิง F-16 ไทยตก (ขวา) ชาวไทยอ้างว่าส่งโดรนไปโจมตีกัมพูชา

ในวันที่ 4 ส.ค. 2568 เว็บไซต์ tfc-taiwan.org.twของ Taiwan Fact Checker รายงานการตรวจสอบภาพจากคลิปวีดีโอที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568 บรรยายเป็นภาษาจีน อ้างว่าเป็นเหตุการณ์เครื่องบิน F-16 ถูกยิงตกในเหตุสู้รบไทย – กัมพูชา แต่เมื่อตรวจสอบก็พบว่า เป็นคลิปเก่าที่เคยมีผู้เผยแพร่เมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2568 ทางเทเลแกรม โดยเป็นคลิปภาษารัสเซียที่ถอดความได้ว่า “มันกำลังตกจากที่สูง” ส่วนข้อความอธิบายวีดิโอ ระบุว่า ในการบุกโจมตีเมื่อเร็วๆ นี้ โดรน ‘เจอเรเนียม’ บินลงมาด้วยความเร็วสูงไปยังเป้าหมายที่ไหนสักแห่งในยูเครน”และเมื่อตรวจสอบกับ Google Map ก็พบว่าสถานที่ที่ปรากฏในคลิปวีดีโออยู่ในหมู่บ้านชนบทซาลิซนิชนา ในเขตคาร์คิฟ ประเทศยูเครน

โคแฟคลองนำภาพในคลิปดังกล่าวไปต้นหาด้วย Google Reverse Image (หรือ Google Lens) พบว่า ชาวเน็ตไทยและกัมพูชาต่างใช้คลิปนี้เพื่ออ้างผลงานของทหารฝ่ายตน อาทิ ในวันที่ 26 ก.ค. 2568 บัญชียูทูบชื่อ កសិករជនបទ ៚ Rural farmerโพสต์คลิปวิดีโอตั้งชื่อเป็นภาษาเขมรว่า “F16ត្រូវបានបាញ់នៅទឹកដីកម្ពុជា 24/07/2025 (F-16 ถูกยิงตกในกัมพูชา 24 ก.ค. 2568)

ในวันที่ 26 ก.ค. 2568 เช่นกัน เพจเฟซบุ๊ก ฟ้าให้ ทีวี ได้โพสต์ภาพนิ่งจากคลิปนี้พร้อมกับบรรยายเป็นภาษาไทยว่า เวลา 09.40 น. โดรน zero ทำลายคลัง สป.5 แห่งที่ 2 ของเขมร บริเวณ ด้านหลังภูมะเขือ

ภาพ 04 ภาพจากคลิปเดียวกัน เคยถูกอ้างถึงในช่วงการสู้รบระหว่างอินเดีย – ปากีสถาน (ซ้าย  8 พ.ค. 2568) และรัสเซีย – ยูเครน (ขวา 30 เม.ย. 2568)

ภาพ 05 คลิปวีดีโอถูกโพสต๋ในเฟซบุ๊กวันที่ 24 ก.ค. 2568 อ้างว่าเป็นเครื่องบิน F-16 ไทยโจมตีกัมพูชา (แต่จริงๆ แล้วคือเครื่องบิน Mig-29)

ภาพ 06 คลิปจากมุมเดียวกันที่ถูกโพสต์ก่อนหน้าใน TikTok (ซึ่งบรรยายว่าเป็นเครื่องบิน Mig-29 – ซ้ายและยูทูบ (ที่ไม่ได้บอกว่าเป็นเหตุการณ์หรือสถานที่ใด – ขวา)

ในวันที่ 24 ก.ค. 2568 ซึ่งเป็นวันแรกของการสู้รบระหว่างไทย – กัมพูชา บัญชีเฟซบุ๊ก “Nakarince Sawaengsuk” โพสต์คลิปวิดีโอชื่อ สองลูกนี้ส่งมอบให้โดยตรง และใส่ตัวอักษรบรรยายในคลิปว่า “สองลูกนี้มอบให้กัมพูชา” อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบด้วยเครื่องมือ Google Reverse Image (หรือ Google Lens) ก็ไปพบคลิปเดียวกันถูกโพสต์ก่อนหน้านั้น 

เช่น ในวันที่ 2 มิ.ย. 2568 บัญชี TikTok ชื่อ “militarylandd” โพสต์ คลิปวิดีโอบรรยายเป็นภาษารัสเซีย ว่า Истребитель МиГ-29 Fulcrum ВВС Украины выполняет боевуюзадачусбрасывая две управляемыеавиабомбы AASM-250.” แปลได้ว่า เครื่องบินขับไล่ MiG-29 Fulcrum ของกองทัพอากาศยูเครนปฏิบัติภารกิจการรบโดยทิ้งระเบิดนำวิถี AASM-250 จำนวน 2 ลูก

อย่างไรก็ตาม โคแฟคไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นคลิปเครื่องบินรบของยูเครนจริงตามที่กล่าวอ้างในคลิป TikTok หรือไม่ โดยยืนยันได้เพียงว่าไม่ใช่คลิปที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์การสู้รบไทย –กัมพูชาเท่านั้น อนึ่ง ในวันที่ 4 มิ.ย. 2568 ยังพบช่องยูทูบ “OP Info” โพสต์ คลิปShorts ในชื่อ “lansare” ภาพในคลิปเหมือนกันแต่ก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นเหตุการณ์ที่ใด

ภาพ 07 เมื่อภาพจากวีดีโอเกมถูกนำไปใช้อ้างว่าเป็นภาพเครื่องบินทิ้งระเบิดในหลายเหตุการณ์สู้รบ 

มีการแชร์คลิปเครื่องบินทิ้งระเบิดใส่กองทหารและรถบรรทุกในทุ่งกว้าง อาทิ วันที่ 27 ก.ค. 2568 บัญชีเฟซบุ๊ก “Sokkheang Hen” คลิปReelsบรรยายภาษาเขมรว่า “#ថៃជាអ្នកផ្តើមសង្គ្រាម#កម្ពុជាប្រើសិទ្ធការពារខ្លួន #ប្រទេសថៃបាញ់កម្ពុជាមុន“ (#ไทยเริ่มสงคราม #กัมพูชาใช้สิทธิ์ป้องกันตัวเอง #ไทยยิงกัมพูชาก่อน)

แต่เมื่อลองใช้ Google Reverse Image (หรือ Google Lens) ค้นหาภาพ กลับพบว่าคลิปแบบเดียวกันถูกกล่าวอ้างมาก่อนในหลายบริบท เช่น วันที่ 30 ก.ค. 2568 บัญชีเฟซบุ๊ก ลุงกบพาแซ่บโพสต์คลิปReels บรรยายภาษาไทยว่า นาทีถล่มฐานเขมร” และ ขยันถ่ายขยันโพสต์เนาะทหารเขมร แต่ก็ขอบคุณทำให้มีคลิปสวยๆ มาลง

วันที่ 28 ม.ค.2568 บัญชีเฟซบุ๊ก 𝐺𝑎𝑠𝑝𝑎𝑟𝑑 𝑀𝑖𝑒𝑙𝐺𝑘 คลิปวีดีโอ บรรยายเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า  “Wow regardez Ce que les fardc ont fait aux militaires rwandais 🇨🇩 #Goma #Congo #Rwanda (ว้าว ดูสิว่า FARDC ทำอะไรกับกองทัพรวันดา 🇨🇩 #โกมา #คองโก #รวันดา)

หรือคลิปReels ที่ถูกโพสต์โดยบัญชีเฟซบ๊กชื่อAbasi Mtangi ซึ่งเมื่อดูจากช่วงเวลาของผู้แสดงความเห็นแล้วอย่างน้อยที่สุดน่าจะถูกโพสต์เมื่อ 26 สัปดาห์ก่อน (นับย้อนไปจากวันที่ 5 ส.ค. 2568 ซึ่งเป็นวันเขียนบทความนี้ ซึ่งย่อมต้องอยู่ประมาณต้นปี 2568 ก่อนเหตุสู้รบไทย – กัมพูชาแน่นอน) บรรยายด้วยภาษาสวาฮิลี ว่า “Leo waasi  wamekutana na kitu kizitoo  fanaleki #abasimtangi #africa  pray for Congo 🇨🇩 🇨🇩 ” (วันนี้พวกกบฏต้องเผชิญกับบางสิ่งบางอย่างที่จะล้มพวกเขาลง #abasimtangi #แอฟริกา โปรดอธิษฐานเพื่อคองโก 🇨🇩 🇨🇩)

รวมถึงบัญชีเฟซบุ๊ก 李東昇 โพสต์ คลิปวีดีโอพร้อมคำบรรยายภาษาจีน ระบุว่า 俄國士兵被烏克蘭一發海馬斯集束彈殲滅 (ทหารรัสเซียเสียชีวิตจากระเบิดลูกปราย HIMARS ของยูเครน) ถูกโพสต์ในวันที่ 20 ต.ค. 2567 เป็นต้น 

ซึ่งสำนักข่าว AFP ของฝรั่งเศส เคยเผยแพร่รายงานการตรวจสอบคลิปนี้ไปแล้วเมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2567 โดยในเวลานั้น ระบุว่า ในวันที่ 2 พ.ย. 2567 พบการแชร์ภาพดังกล่าวด้วยภาษาเกาหลี อ้างว่ามีทหารกว่า 400 นายเสียชีวิตภายในเวลาเพียง 12 วินาทีหลังการทิ้งระเบิด โดยก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 18 ต.ค. 2567 มีรายงานจากหน่วยข่าวกรองของเกาหลีใต้ อ้างว่าเกาหลีเหนือได้ส่งทหารไปสนับสนุนรัสเซียทำสงครามกับยูเครน แต่ทางเกาหลีเหนือได้ปฏิเสธ อย่างไรก็ตาม คลิปดังกล่าวทำให้ชาวเกาหลีใต้บางส่วนเชื่อว่าเกาหลีเหนือส่งทหารไปช่วยรัสเซียจริง 

แต่เมื่อทาง AFP ได้ทดลองสืบค้นด้วยวิธี Google Reverse Image ก็ไปพบคลิปในช่องยูทูบ ชื่อคลิปว่า “Amerika A-10C2 Savaş Uçağı Kanada Askerlerine Saldırdı! | DCS (เครื่องบินขับไล่ A-10C2 ของอเมริกาโจมตีทหารแคนาดา! | DCS) ซึ่ง DCS นั้นย่อมาจาก Digital Combat Simulator เป็นวีดีโอเกมที่นำเสนอการจำลองสถานการณ์ทางทหาร รถถัง ยานพาหนะภาคพื้นดิน และเรือรบที่สมจริง และเมื่อสอบถามไปยัง Cagri Karip ผู้โพสต์คลิปดังกล่าว ก็ได้รับคำยืนยันว่าคลิปนี้ตนสร้างขึ้นด้วยเกม DCS และไม่ได้นำเสนอเหตุการณ์จริงใดๆ

จากตัวอย่างเหล่านี้จะเห็นได้ว่า ในช่วงที่เกิดสถานการณ์สู้รบ โดยเฉพาะในช่วงวันแรกๆ ของเหตุการณ์ สิ่งที่มักตามมาเสมอคือ “ข่าวลวง” ซึ่งทำให้นึกถึงงานชิ้นแรกๆ ของโคแฟคอย่าง ตรวจสอบข่าวลวง-ข่าวเท็จ สถานการณ์ในยูเครน COFACT Special Report #18” ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 2 มี.ค. 2565 หรือราว 1 สัปดาห์ หลังรัสเซียกกองทัพบุกโจมตียูเครนเมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2565 ในเวลานั้นสถานการณ์ของข่าวลวงก็ไม่ต่างกับในปัจจุบัน ซึ่งก็อาจเป็นไปได้ในหลากหลายที่มา ทั้งจากปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (IO) ที่ดำเนินการเป็นระบบ การโพสต์ของปัจเจกบุคคลเพื่อเอาใจช่วยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไปจนถึงโพสต์เพื่อต้องการยอดติดตามและแชร์ต่อ (ซี่งอาจหมายถึงรายได้ของผู้โพสต์)

และยิ่งผู้รับสารกำลัง อิน มีอารมณ์ร่วมกับเหตุการณ์นั้นมากเท่าใดก็จะยิ่งมีโอกาสแชร์ต่อมากเท่านั้น ตั้งสติก่อนเชื่อและแชร์” จึงยังคงเป็นคำเตือนสำคัญที่ต้องย้ำกันอยู่เสมอ!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1045839897752529&set=pb.100069795866839.-2207520000&type=3 (เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิป F-16 ทิ้งระเบิดกองบัญชาการกัมพูชา : Cofact 24 ก.ค. 2568)

https://factcheck.afp.com/doc.afp.com.682D7KF (Video edited with motion graphics software falsely linked to Thailand-Cambodia conflict : AFP 31 ก.ค. 2568)

https://tfc-taiwan.org.tw/fact-check-reports/false-claim-thai-cambodia-conflict-russian-drone-footage (網傳影片「泰國F16被柬埔寨打下來」?: Taiwan Fact Checker 4 ส.ค. 2568)

https://thecurrent.pk/fact-check-india-hit-lahore-with-a-kamikaze-drone (FACT CHECK: India hit Lahore with a Kamikaze drone? : The Current 8พ.ค. 2568)

https://factcheck.afp.com/doc.afp.com.36LM9QJ (Video game footage misrepresented as ‘massacred North Korean troops’ : AFP 11 พ.ย. 2568)


รายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริง “คลิปปลดป้ายภาษาเขมร” ที่ห้องคลอด รพ.สุรินทร์

กองบรรณาธิการโคแฟค

โคแฟคตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีผู้ใช้โซเชียลมีเดียเผยแพร่คลิปคนงานรื้อตัวอักษรภาษาเขมรออกจากป้ายห้องคลอดที่โรงพยาบาลสุรินทร์ พบว่าปัจจุบันไม่มีป้ายภาษาเขมรที่ห้องคลอดโรงพยาบาลสุรินทร์จริง แต่ข้อความที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียบางคนระบุว่า “โรงพยาบาลในจังหวัดสุรินทร์ไม่รับรักษาคนกัมพูชา” นั้นไม่เป็นความจริง โดยโฆษกกระทรวงสาธารณสุขยืนยันว่าบุคลากรทางการแพทย์ไม่เลือกปฏิบัติต่อผู้ป่วย

เนื้อหาที่ตรวจสอบ

วันที่ 26 ก.ค. 2568 ผู้ใช้ติ๊กตอกเผยแพร่คลิปบันทึกภาพคนงานกำลังรื้อตัวหนังสือภาษาเขมรที่ห้องคลอดในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เมื่อซูมดูสัญลักษณ์ที่ติดอยู่หน้าประตูห้องเห็นได้ชัดว่าเป็นสัญลักษณ์ของโรงพยาบาลสุรินทร์ คลิปนี้ถูกนำไปแชร์ต่ออย่างแพร่หลายในทุกแพลตฟอร์ม ทั้งติ๊กตอก X เฟซบุ๊ก และยูทูบ ซึ่งหลายคลิปยังคงเข้าถึงได้ ณ วันที่ 7 ส.ค. 2568 (ลิงก์บันทึก 1, 2, 3)

ผู้ใช้ติ๊กตอกรายหนึ่งโพสต์คลิปนี้พร้อมคำบรรยายว่า “โรงพยาบาลในจังหวัดสุรินทร์ไม่รับคนกัมพูชามารักษาตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ลบตัวอักษรภาษาเขมรออกจากป้ายโรงพยาบาลทั้งหมด”

คลิปนี้ยังถูกนำไปเผยแพร่ต่อโดยผู้ใช้เฟซบุ๊กชาวกัมพูชา โดยเขียนข้อความประกอบในลักษณะที่สร้างความเกลียดชังประเทศไทยและคนไทย

โคแฟคตรวจสอบ

โคแฟคตรวจสอบเนื้อหานี้ด้วยการสอบถามข้อมูลจากโรงพยาบาลสุรินทร์, เจ้าหน้าที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุรินทร์ (สสจ. สุรินทร์), นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข (โฆษก สธ.) และผู้สื่อข่าวท้องถิ่นที่เดินทางไปสังเกตการณ์ที่โรงพยาบาล ได้ข้อมูลดังนี้

  1. นพ. วรตม์ โฆษก สธ. ให้สัมภาษณ์โคแฟคเมื่อวันที่ 5 ส.ค. 2568 ว่า สธ. ตรวจสอบคลิปนี้ตั้งแต่วันแรก ๆ ที่มีการเผยแพร่ และได้รับรายงานจาก สสจ. สุรินทร์ว่าไม่ทราบที่มาของคลิป ผู้ที่กำลังปลดป้ายในคลิปไม่ใช่บุคลากรของโรงพยาบาลสุรินทร์ จึงไม่สามารถยืนยันได้ว่าคลิปนี้ถ่ายเมื่อไหร่ ใครเป็นผู้ถ่ายและนำไปเผยแพร่คนแรก 

นพ.วรตม์กล่าวเพิ่มเติมว่า สธ. ไม่มีนโยบายและไม่มีการสั่งการให้โรงพยายาบาลในจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชารื้อภาษาเขมรออกจากป้ายต่าง ๆ ที่ให้ข้อมูลผู้มาใช้บริการ

  1. ผู้สื่อข่าวท้องถิ่นในภาคอีสานซึ่งเดินทางไปที่โรงพยาบาลสุรินทร์เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2568 รายงานว่าป้ายห้องคลอดไม่มีภาษาเขมร แต่ส่วนงานอื่น ๆ ในโรงพยาบาลยังมีป้ายสามภาษาอยู่ครบ คือ ภาษาไทย อังกฤษ​และเขมร เช่น เวชศาสตร์ฟื้นฟู สูติ-นรีเวชกรรม และป้ายชื่อโรงพยาบาล
ภาพป้ายหน้าห้องคลอด โรงพยาบาลสุรินทร์ เดิมมีภาษาเขมร แต่ขณะนี้ไม่มีแล้ว (ถ่ายเมื่อ 1 ส.ค. 2568)
ป้ายส่วนงานอื่น ๆ ในโรงพยาบาลสุรินทร์ยังคงมีป้ายภาษาเขมร (ถ่ายเมื่อ 1 ส.ค. 2568)
  1. โคแฟคส่งข้อความสอบถามโรงพยาบาลสุรินทร์ทางเพจเฟซบุ๊กและทางโทรศัพท์เมื่อวันที่ 27 ก.ค. 2568 และ 7 ส.ค. 2568 แต่ได้รับแจ้งว่าโรงพยาบาลไม่มีนโยบายให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์หรือตอบข้อความกลับทางออนไลน์ ขณะนี้โคแฟคจึงยังไม่มีข้อมูลจากทางโรงพยาบาลโดยตรง 

โรงพยาบาลในจังหวัดสุรินทร์ไม่รับรักษาคนกัมพูชา?

สำหรับข้อความที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียบางรายแชร์คลิปนี้พร้อมกับเขียนข้อความว่าโรงพยาบาลในจังหวัดสุรินทร์ไม่รับรักษาคนกัมพูชานั้น โฆษก สธ. ปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง สถานพยาบาลของไทยยังคงให้บริการทางการแพทย์ตามหลักจริยธรรมและจรรยาบรรณของแพทย์ และย้ำว่าบุคลากรทางการแพทย์ไม่เลือกปฏิบัติต่อผู้ป่วยในทุกกรณี 

ขณะที่เว็บไซต์ข่าวสดรายงานคำให้สัมภาษณ์ของ นพ. ชวมัย สืบนุการณ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสุรินทร์ เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2568 ยืนยันว่าโรงพยาบาลทุกแห่งในสุรินทร์ยังรับผู้ป่วยชาวกัมพูชา เพราะเป็นเรื่องของมนุษยธรรมที่หมอทุกคนต้องมีอยู่ประจำใจ ไม่ว่าจะเป็นคนชาติไหนที่อาศัยอยู่ใน จ.สุรินทร์ เมื่อมาโรงพยาบาลหมอจะรักษาให้ทุกคนอย่างเท่าเทียม อย่างไรก็ตามขณะนี้จำนวนชาวกัมพูชาที่อยู่ใ่นจังหวัดมาเข้ารับการรักษาน้อยลงมาก

ข้อสรุปโคแฟค

  • โคแฟคยังไม่สามารถยืนยันที่มาและวัน-เวลาที่ถ่ายคลิป “ปลดป้ายภาษาเขมร” จากห้องคลอดโรงพยาบาลสุรินทร์ได้ แต่จากการตรวจสอบในสถานที่จริงเมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2568 ป้ายห้องคลอดมีเพียงภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ไม่มีภาษาเขมร 
  • ข้อความประกอบในบางคลิปที่ระบุว่า “โรงพยาบาลในจังหวัดสุรินทร์ไม่รับรักษาคนกัมพูชา” นั้นไม่เป็นความจริง โฆษก สธ. และผู้อำนวยการโรงพยาบาลสุรินทร์ยืนยันตรงกันว่า สถานพยาบาลของไทยยังคงให้บริการทางการแพทย์โดยไม่เลือกปฏิบัติตามหลักมนุษยธรรมและจรรยาบรรณของแพทย์
  • หลังจากเหตุปะทะระหว่างทหารไทย-กัมพูชาเมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568 มีการเผยแพร่คลิปปลดป้ายภาษาเขมรออกจากโรงพยาบาลในจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชาในโซเชียลมีเดียจำนวนมาก ซึ่งโฆษก สธ. ชี้แจงว่า กระทรวงฯ ไม่มีนโยบายและไม่มีการสั่งการให้โรงพยาบาลนำป้ายภาษาเขมรออก 

เรื่องอื่นที่เกี่ยวข้อง

สยบข่าวลวง! Fact-Checkers เปิดข้อมูลเท็จท่ามกลางวิกฤตไทย-กัมพูชา สู่กุญแจแห่งสันติภาพ

ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารเดินทางเร็วกว่าเหตุการณ์จริง และคลิปปลอมเพียงคลิปเดียวสามารถจุดชนวนความเกลียดชังระหว่างประเทศ—ภารกิจของ Fact-checkers จึงสำคัญยิ่งกว่าที่เคย

วันที่ 5 สิงหาคม 2568 ในรายการ โคแฟคสนทนา รวมพลคนเช็กข่าว ดำเนินรายการโดย สุชัย เจริญมุขยนันท สื่อมวลชนอาวุโสและผู้ร่วมขับเคลื่อนการรู้เท่าทันสื่อ ได้เปิดเวทีเจาะลึกภารกิจของนักตรวจสอบข่าวมืออาชีพจากสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาพร้อมแขกรับเชิญจากองค์กรสื่อและแพลตฟอร์มระดับนานาชาติ ในหัวข้อ “เจาะเบื้องหลัง Fact-checkers จากความขัดแย้งไทย-กัมพูชาในวันที่ข้อมูลคืออาวุธหรือกุญแจสู่สันติภาพ” โดย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT , ชญานิศ อิทธิพงศ์เมธี Digital Verification Journalist Agence France-Presse (AFP) , ณัฐพล ทุมมา เจ้าหน้าที่เนื้อหาสื่อดิจิทัลอาวุโส Thai PBS  และ กุลธิดา สามะพุทธิ บรรณาธิการ Fact-checker โคแฟค

เรื่องจริงจากเบื้องหลัง: ข่าวอะไรที่ถูกตรวจสอบ?

กุลธิดา สามะพุทธิ – บรรณาธิการ Fact-checker โคแฟค

ข่าวแรก:
มีภาพนกฝูงหนึ่งบินเหนือพื้นที่ชายแดน โดยกล่าวอ้างว่าเป็น “แร้ง” ที่ลงมารอกินศพทหารกัมพูชา
—ฟังดูสยอง และสร้างภาพจำรุนแรง
กุลธิดาใช้กระบวนการตรวจสอบร่วมกับ สมาคมอนุรักษ์นกแห่งประเทศไทย ได้ข้อสรุปชัดเจนว่า ไม่ใช่แร้ง และ ไม่ใช่ภาพจากชายแดนไทยกัมพูชา ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่าจำนวนแร้งในพื้นที่กัมพูชานั้นน้อยมากจนไม่มีทางจะเป็นภาพนี้ได้

ข่าวที่สอง:
อินโฟกราฟิกเกี่ยวกับ “แสงไฟจากโดรนเปรียบเทียบแสงไฟจากเครื่องบิน” ที่แพร่กระจายบนโซเชียล

กุลธิดาใช้วิธีติดต่อ สมาคมอากาศยานไร้คนขับแห่งประเทศไทยเพื่อยืนยันความถูกต้องของข้อมูล ซึ่งสมาคมระบุว่า “สามารถใช้เป็นแหล่งอ้างอิงเบื้องต้นได้” โดยระบุความสูง ความเข้มของแสงและรายละเอียดทางเทคนิคของทั้งโดรนและเครื่องบิน”

ณัฐพล ทุมมา – เจ้าหน้าที่เนื้อหาสื่อดิจิทัลอาวุโส Thai PBS

ข่าวแรก:
คลิปทหารไทย “ปักธงชาติ” บนยอดเขาพระวิหารอย่างภาคภูมิพร้อมข้อความอ้างว่าทหารไทยยึดฐานได้สำเร็จ

ทีม Thai PBS ตรวจสอบพบว่า เป็นคลิปจากเขาอกทะลุ .พัทลุงไม่ใช่เขาพระวิหาร และยืนยันได้ด้วยการใช้ Google Lens ร่วมกับแผนที่ดาวเทียมและภาพถ่ายย้อนหลังจากนักท่องเที่ยว

ข่าวที่สอง:
ข่าวจากสื่อกัมพูชาที่อ้างว่า กองทัพไทยหนี ทิ้งอาวุธ-ศพ ที่ปราสาทตาควาย

หลังตรวจสอบ ทีมงานพบว่าภาพนั้นเป็นของชายสติไม่ดีในจ.ศรีสะเกษ ที่ชอบแต่งกายเหมือนทหาร และ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ชายแดนแต่อย่างใด ตำรวจเป็นผู้ยืนยันเอง

ชญานิศ อิทธิพงศ์เมธี – Digital Verification Journalist, AFP

ข่าวแรก:
คลิปเสียงระเบิดและเปลวไฟจาก “ปั๊มน้ำมัน” ที่สื่อกัมพูชาอ้างว่าเป็นกองทัพไทยยิงถล่มตำแหน่งทางทหารของกัมพูชา

ทีม AFP ลงพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ ด้วยตัวเอง พร้อมตรวจสอบต้นตอพบว่า เป็นวิดีโอระเบิดลงที่ร้านสะดวกซื้อติดกับปั๊มน้ํามันในจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ใกล้กับชายแดนกับกัมพูชา

ข่าวที่สอง:
ภาพเครื่องบินพ่นสารสีชมพูบนท้องฟ้า ที่อ้างว่าเป็น “เครื่องบินกองทัพไทยโปรยสารเคมีใส่กัมพูชา”

ชญานิศตรวจสอบย้อนกลับผ่าน Google Image พบว่าภาพนั้นเป็นของ “Ten Tanker” เครื่องบินดับไฟป่าที่ใช้ใน ไฟป่าลอสแองเจลิสต้นปี 2025 ไม่เกี่ยวข้องกับไทยหรือกัมพูชาแต่อย่างใด

กุลธิดา ฝากเตือน: อย่าประเมินข่าวปลอมต่ำเกินไป เพราะอาจกระทบถึงชีวิตของผู้คน และความมั่นคงของชาติ

ณัฐพล แนะว่า ทุกคนสามารถช่วยกันหยุดข่าวปลอมได้ทันทีด้วยการ“กดรายงานโพสต์” และหยุดแชร์โดยไม่ตรวจสอบ

ชญานิศ ฝากถึงทุกคนว่า “ทุกคนคือเช็คเกอร์” ขอเพียงมีสติ และอย่าหลงเชื่อในสิ่งที่ตอบสนองอารมณ์มากเกินไป

สุภิญญา ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT ทิ้งท้ายว่า ข้อมูลข่าวสารไม่ควรถูกใช้เป็นอาวุธ แต่ควรเป็น “กุญแจ” ที่นำพาไปสู่ความเข้าใจ และสันติภาพ

อย่าปล่อยให้ข้อมูลลวงเป็นเครื่องมือของผู้ที่หวังผลประโยชน์ แต่จงเป็นผู้ใช้ข้อมูลอย่างมีปัญญา”—รวมพลังชาวเน็ตไทย ก้าวข้ามสงครามข่าวปลอม สู่อนาคตที่ชัดเจนและเท่าทัน


มองการทำงานตรวจสอบข่าวลวงของหลายองค์กร ในสถานการณ์สู้รบไทย-กัมพูชา 

By : Zhang Taehun

หมายเหตุ : รวบรวมระหว่างวันที่ 24 ก.ค. 2568 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่กัมพูชาเริ่มเปิดฉากโจมตีไทย และกลายเป็นการสู้รบระหว่าง 2 ฝ่าย ไปจนวันที่ 28 ก.ค. 2568 ที่มีการเจรจากันในมาเลเซีย นำไปสู่ข้อตกลงหยุดยิงในเวลา 00.00 น. ของวันที่ 29 ก.ค. 2568

 

ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (ประเทศไทย)

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

(ตรวจสอบทั้งข่าวจริง ข่าวปลอม และข่าวบิดเบือน)

– วันที่ 24 ก.ค. 2568 พบ ข่าวบิดเบือน 1 ข่าวคือ ไทยอุดหนุนเงินให้กัมพูชา สร้างถนน-ปรับปรุงด่านทั้งหมด 4 พันล้านบาท ซึ่งเนื้อหาจริงคือ สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (สพพ.) ได้ดำเนินการจัดหาเงินกู้จาก EXIM BANK สถาบันการเงินเฉพาะกิจภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง 

ในการดำเนินพันธกิจพัฒนาเส้นทางคมนาคมทางบกที่สำคัญในประเทศเพื่อนบ้าน เชื่อมโยงกับภาคธุรกิจไทยโดยเฉพาะผู้ประกอบการท้องถิ่นและประชาชนบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา EXIM BANK จึงให้การสนับสนุนทางการเงินแก่รัฐบาลกัมพูชาจำนวน 1,300 ล้านบาท โดยมีเงื่อนไขให้รัฐบาลกัมพูชานำไปใช้ซื้อสินค้าและว่าจ้างผู้รับเหมาไทยเพื่อพัฒนาทางหลวงหมายเลข 67 จากอัลลองเวงถึงเสียมราฐ ระยะทางยาว 131 กิโลเมตร

(ตรวจสอบกับ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย – EXIM BANK)

– วันที่ 25 ก.ค. 2568 พบทั้งหมด 9 ข่าว แบ่งเป็น

ข่าวปลอม 8 ข่าว คือ 

1.กองทัพกัมพูชา ยิงเครื่องบินรบไทยตกสำเร็จ(ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

2.กองกำลังกัมพูชาควบคุมวัดท่ากระบี่ได้เต็มรูปแบบ ขับไล่ทหารไทยออก (ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

3.บริเวณภูเขาผี ทหารไทยยังคงยิงปะทะเข้ามาในพื้นที่กัมพูชาอย่างต่อเนื่อง ส่วนปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย และบริเวณมุมเบย กัมพูชาควบคุมได้เต็ม 100% แล้ว (ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

4.ทหารไทยเสียชีวิต 40 นาย ถูกจับกุม 30 นาย(ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

5.ทหารไทยเข้ายึดพื้นที่ปราสาทพระวิหารและวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ที่เคยเป็นของไทยได้สำเร็จแล้ว(ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

6.ทหารไทยยอมจำนนต่อรองกับกัมพูชา (ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

7.แม่ทัพอากาศประกาศกร้าว ถ้าเขมรไม่ถอย จะยึดทั้งประเทศ ขอเวลาเพียง 5 นาที จะถล่มกรุงพนมเปญไม่ให้เหลือซาก (ตรวจสอบกับเพจกองทัพอากาศไทย Royal Thai Air Force)

8.กองทัพภาคที่ 2 เปิดระดมทุนช่วยเหลือทหารไทยรบกัมพูชา (ตรวจสอบกับเพจกองทัพภาคที่ 2)

ข่าวจริง 1 ข่าว คือ ทหารไทยไม่ได้โจมตีพื้นที่ปราสาทพระวิหาร (ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

– วันที่ 26 ก.ค. 2568 พบทั้งหมด 5 ข่าว แบ่งเป็น

ข่าวปลอม 2 ข่าว คือ 

1.ไทยยิงขีปนาวุธ 10 ลูก ใส่ลาวในสามเหลี่ยมทองคำ (ตรวจสอบกับเพจกองทัพภาคที่ 2)

2.ทหารนาวิกโยธินเหยียบกับระเบิด ได้รับบาดเจ็บ 4 นาย ในพื้นที่ จ.ตราด หนึ่งในนั้นบาดเจ็บสาหัส (ตรวจสอบกับเพจกองทัพเรือ Royal Thai Navy)

ข่าวจริง 2 ข่าว คือ 

1.กองบัญชาการชายแดน จชต. ประกาศกฎอัยการศึก ในบางพื้นที่ จ.จันทบุรี และ จ.ตราด(ตรวจสอบกับเพจกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด)

2.รัฐบาลอนุมัติเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบชายแดน สูงสุด 1 ล้านบาท (ตรวจสอบกับเพจสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี)

ข่าวบิดเบือน จำนวน 1 ข่าว คือ ประเทศไทยใช้ F-16 โจมตีพลเรือนหลายรายในกัมพูชา ซึ่งทางกองทัพอากาศของไทย ชี้แจงว่า กองทัพอากาศไม่เคยใช้ F-16 โจมตีเป้าหมายพลเรือนในกัมพูชาพร้อมอธิบายดังนี้ (1) ไทยใช้กำลังเฉพาะต่อเป้าหมายทางทหาร : ปฏิบัติการของไทย จำกัดเฉพาะภัยคุกคามทางทหาร ยึดหลัก Self-defense, International Law และ IHL อย่างเคร่งครัด (2)กัมพูชาใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์ ตรวจพบการตั้งฐานยิง BM-21 / ปืนใหญ่ในพื้นที่ชุมชน ใช้ “พลเรือนเป็นโล่กำบัง” (Human Shields) ละเมิดหลักมนุษยธรรมอย่างร้ายแรง

(3) ไทยหลีกเลี่ยงเป้าหมายที่เสี่ยงกระทบพลเรือน แม้มีสิทธิในการตอบโต้แต่ไทยไม่โจมตีเป้าหมายในพื้นที่ชุมชน เพื่อหลีกเลี่ยงความสูญเสียแสดง “ความรับผิดชอบเชิงจริยธรรม” ของทหารอาชีพ (4) ไทยยึดหลักสากล ไม่ตัดสินใจด้วยอารมณ์ ปฏิบัติการทั้งหมด ยึดหลักกฎหมายระหว่างประเทศ – กฎบัตรสหประชาชาติ ไทยใช้เหตุผลและการพิจารณารอบด้าน ไม่ตัดสินใจด้วยอารมณ์ แม้ในภาวะกดดันหรือถูกใส่ร้าย (5) ระบบอาวุธไทยแม่นยำ ต่างจาก BM-21 ไทยใช้อากาศยาน (ถ้ามี) แบบ Precision Strike ควบคุมทิศทาง จำกัดวงการปฏิบัติได้ ต่างจาก BM-21 ของกัมพูชาที่ ควบคุมไม่ได้ ทำพลเรือนเสียชีวิต

(ตรวจสอบกับเพจกองทัพอากาศไทย Royal Thai Air Force)

– วันที่ 27 ก.ค. 2568 พบทั้งหมด 6 ข่าว แบ่งเป็น

ข่าวปลอม 5 ข่าว คือ 

1.วันที่ 26 ก.ค. 2568 มณฑลทหารบกที่ 22 อุบลราชธานีเรียกระดมกำลังพลสำรอง (ตรวจสอบกับเพจกองทัพภาคที่ 2)

2.กองทัพกัมพูชายิง F-16 ไทยตก 1 ลำ (ตรวจสอบกับเพจกองทัพอากาศไทย Royal Thai Air Force)

3.พบลูกกระสุนกองทัพไทยตกในเขต สปป.ลาว บริเวณสามเหลี่ยมมรกต (ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

4.พบการยิงขีปนาวุธ จากประเทศกัมพูชาเข้าสู่ประเทศไทย (ตรวจสอบกับเพจกองทัพภาคที่ 2)

5.กษัตริย์ไทยสั่งยิงปราสาทพระวิหาร (ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

ข่าวจริง 1 ข่าว คือ การรถไฟฯ ประกาศงดเดินขบวนรถไฟไปช่วงสถานีอรัญประเทศ – ด่านพรมแดนบ้านคลองลึก (ตรวจสอบกับเพจทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย)

– วันที่ 28 ก.ค. 2568 พบเป็น ข่าวปลอมทั้งหมด 6 ข่าว คือ 

1.ทบ.ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วประเทศ ตอบโต้เขมร (ตรวจสอบกับเพจทีมโฆษกกองทัพบก)

2.ทหารไทยใช้เครื่องบินปล่อยสารพิษ สังหารพลเมืองกัมพูชา (กระทรวงกลาโหม ชี้แจงว่า เป็นภาพที่สำนักข่าวรอยเตอร์บันทึกไว้ได้ เป็นการดับไฟป่าในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา)

3.ทหารไทยเกือบ 140 นายเสียชีวิตใกล้ปราสาทพระวิหาร (ตรวจสอบกับเพจทีมโฆษกกองทัพบก)

4.แม่ทัพภาค 2 เสียชีวิตแล้ว (ตรวจสอบกับเพจกองทัพภาคที่ 2)

5.กล่าวหารัฐบาลไทยวางระเบิด 7-eleven ของตัวเอง และฆ่าพลเมืองไทย เพื่อโยนความผิดให้รัฐบาล และกองทัพกัมพูชา (กองทัพยก กระทรวงกลาโหม ยืนยันเป็นข่าวปลอม บิดเบือนข้อเท็จจริง

6.ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ประกาศเขตภัยพิบัติสงครามเป็นจังหวัดแรก (เพจสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดสุรินทร์ ชี้แจงว่า ไม่ได้ประกาศเขตภัยพิบัติสงครามเป็นการประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย(ภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังนอกประเทศ))

ทั้งนี้ การทำงานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ จะเน้นการอ้างคำยืนยันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงเป็นหลัก โดยมีข้อสังเกตว่า หากเป็นข่าวบิดเบือนก็จะมีการอธิบายอย่างละเอียดด้วยว่าเนื้อหาที่ถูกต้องเป็นอย่างไร เมื่อเทียบกับกรณีที่ระบุว่าเป็นข่าวจริงหรือข่าวปลอมจะใช้เพียงการสรุปสั้นๆ 

ThaiPBS Verify 

(ตรวจสอบเฉพาะ ข่าวปลอม เท่านั้น) โดยช่วงวันที่ 24-28 ก.ค. 2568 พบทั้งหมด 11 ข่าว แบ่งได้ดังนี้ 

– วันที่ 24 ก.ค. 2568 พบ 2 ข่าว คือ 

1.สื่อกัมพูชาอ้าง ทหารไทยต่อรองขอยอมจำนน” ทบ.ยัน ข่าวปลอม ซึ่งพบว่า มีการนำภาพที่ไม่เกี่ยวข้องมาใช้ประกอบ เช่น ภาพของ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ,   ภาพของทหารพรานของไทย จากเฟซบุ๊กของ ของ “กรกต เกตุแก้ว” อดีตทหารพรานของไทย ซึ่งได้โพสต์ภาพดังกล่าวไว้เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 2568 หรือ 1 เดือนก่อนเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างไทยกับกัมพูชาจะเริ่มขึ้น อีกทั้งยังไม่มีรายละเอียดของข่าว มีเพียงการกล่าวอ้างเพียงเท่านั้น(ค้นหาภาพด้วย Google Lens)

2.โพสต์อ้างกัมพูชายิงเครื่องบิน F-16 ไทยตกสภาพยับเยิน กองทัพอากาศไทยยืนยันแล้ว ไม่เป็นความจริง ซึ่งพบว่า การนำภาพที่ไม่เกี่ยวข้องมาใช้ประกอบ โดยเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 ต.ค. 2561 ที่ฐานทัพ Florennes ประเทศเบลเยียม ในภาพนั้นเป็นซากเครื่องบิน F-16 ซึ่งได้รับความเสียหายอย่างหนักจากอุบัติเหตุไฟไหม้และระเบิดทั้งลำ ขณะกำลังอยู่ระหว่างการซ่อมบำรุง โดยช่างเทคนิคได้เผลอเปิดใช้งานปืน Vulcan ที่ติดตั้งอยู่บนเครื่องบิน F-16 อีกลำซึ่งจอดอยู่ใกล้กัน และเพิ่งได้รับการเติมเชื้อเพลิง ส่งผลให้กระสุนจากปืนพุ่งไปถูกเครื่องบิน F-16 ลำที่เกิดเหตุจนเกิดการระเบิดและไฟไหม้ ทำให้เครื่องบินได้รับความเสียหายทั้งลำ (ค้นหาภาพด้วย Google Lens)

– วันที่ 25 ก.ค. 2568 พบ 1 ข่าว คือ โพสต์ปลอมอ้าง ชาวกัมพูชาแตกตื่นหลังถูกเครื่องบินรบไทยถล่ม ที่แท้คลิปตึก สตง. ถล่ม : คลิป TikTok อ้างชาวกัมพูชาวิ่งหนีเอาชีวิตรอดจากเครื่องบิน F-16 และ JAS 39 Gripen ซึ่งมีผู้เข้าชมกว่า 1.7 ล้านครั้งแต่เมื่อตรวจสอบองค์ประกอบโดยรอบ (เช่น อาคารสิ่งก่อสร้าง) พบว่าเป็นบริเวณตลาดย่านจตุจักร ในพื้นที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย และบรรยากาศที่เหมือนฝุ่นตลบคล้ายอะไรบางอย่างถล่มลงมานั้นเป็นเหตุการณ์ตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งกำลังก่อสร้างอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ถล่มลงมาเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2568 (ค้นหาภาพด้วย Google Lens , เปรียบเทียบกับ Streer View ใน Google Map)

– วันที่ 26 ก.ค. 2568 พบ 3 ข่าว คือ 

1.กรณีแชร์ภาพบ้านเรือนใน สปป.ลาว เสียหายจากเหตุความไม่สงบตามชายแดนไทย กัมพูชา แท้จริงเป็นภาพเหตุเพลิงไหม้ในตลาดแห่งหนึ่งแขวงจำปาสัก : ในวันที่ 26 ก.ค. 2568 มีรายงานข่าวว่า ระหว่างการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา มีกระสุนบางส่วนไปตกในพื้นที่ของ สปป. ลาวด้วย แต่มีปัญหาคือ มีการใช้ภาพอาคารถูกเพลิงไหม้แล้วอ้างว่าเป็นอาคารที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ดังกล่าว ที่สำคัญคือมีสื่อหลักหลายสำนักในไทยเลือกนำภาพดังกล่าวไปใช้ประกอบข่าว 

อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบแล้วกลับพบว่า ภาพที่ถูกอ้างถึงนั้นคือ เพลิงไหม้ร้านมอเตอร์ไซค์ บริเวณตลาดสุขุมา จำปาสัก สปป.ลาว โดยสำนักข่าว Laophattana News ซึ่งเป็นสื่อมวลชนใน สปป.ลาว ระบุว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 03.20 น. ของวันที่ 26 ก.ค. 2568 ส่วนสาเหตุเพลิงยังคงรอการตรวจสอบยืนยันจากหน่วยงานผู้รับผิดชอบ

2.สื่อกัมพูชาลงข่าวปลอม อ้าง ทหารไทยหนี ทิ้งชุด-ศพทหาร” ไว้บนปราสาทตาควาย : โพสต์เฟซบุ๊กของสื่อ “Fresh News Cambodia” ซึ่งเป็นสื่อของกัมพูชา ที่ได้พาดหัวข้อข่าวว่า “Thai Troops Flee, Abandon Gear and Bodies at Ta Krabei”พร้อมภาพประกอบเป็นภาพชุดลายพรางพร้อมป้ายธงชาติไทย แต่เมื่อตรวจสอบแล้วพบเป็นภาพเหตุการณ์เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2568 ที่มีการควบคุมตัวชายต้องสงสัยในพื้นที่บ้านหนองเม็ก อ.กันทรลักณ์ จ.ศรีสะเกษ พร้อมอุปกรณ์ทางทหาร ได้แก่ เสื้อเกราะ, กระเป๋า และหมวกที่มีป้ายธงชาติไทย

นอกจากนั้น ยังได้สอบถามไปที่ พ.ต.อ.พงศ์พิพัฒ เหิมฉลาด ผกก.สภ.บึงมะลู ได้ความว่า ภาพดังกล่าวมาจากกรณีชาวบ้านในพื้นที่แจ้งว่า พบชายสวมเครื่องแบบทหารลักษณะต้องสงสัย ขี่จักรยานยนต์อยู่ในหมู่บ้าน เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการควบคุมตัวมาตรวจสอบ พบว่า เป็นเพียงผู้ที่ต้องการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ และเมื่อตรวจสอบไปยังญาติของผู้ต้องสงสัยดังกล่าว พบว่า ชายรายนี้เป็นเพียงผู้ที่มีสติไม่สมประกอบ ที่รับฟังข่าวความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา แล้วมีความรู้สึกต้องการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่เพียงเท่านั้น ไม่ใช่สายลับของกัมพูชาแต่อย่างใด

3.คลิปอ้าง Thai PBS รายงาน ไทยเตรียมกริพเพนถล่มพนมเปญ มีบัญชีสื่อสังคมออนไลน์หลายบัญชี โพสต์ภาพหรือคลิปวีดีโอของเครื่องบินขับไล่ JAS 39 Gripen  พร้อมข้อความอ้างว่าไทยเตรียมโจมตีกรุงพนมเปญของกัมพูชา โดยอ้างว่าเป็นรายงานจากสำนักข่าว ThaiPBS ซึ่งทาง ThaiPBSได้ออกมายืนยันว่าไม่มีการรายงานข่าวดังกล่าว ขณะที่เมื่อสอบถามไปยังกองทัพอากาศ ได้รับคำชี้แจงว่า คลิปดังกล่าวเป็นคลิปการฝึกซ้อมขับเครื่องบินกริพเพนที่กองบิน 7 จ.สุราษฎร์ธานี เท่านั้น ไม่ได้เป็นคลิปที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน

– วันที่ 27 ก.ค. 2568 พบ 2 ข่าว คือ 

1.ภาพ ทรัมป์ – แพทองธาร” ถูกใช้สร้างข่าวลวงปมขัดแย้งไทย-กัมพูชา : มีสื่อต่างประเทศ นำภาพของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย กับ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ไปประกอบการนำเสนอข่าวเมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2568 โดยอ้างว่า นายกรัฐมนตรีของไทยปฏิเสธข้อเสนอไกล่เกลี่ยจากทั้งสหรัฐฯ และจีน พร้อมเตือนว่า ความขัดแย้งอาจลุกลามเป็นสงครามเต็มรูปแบบ

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นข่าวที่เผยแพร่ในแพลตฟอร์ม X จึงมีผู้เข้าไปช่วยให้ข้อมูลเพิ่มเติมในระบบ Community Notes ว่า แพทองธารหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2568 โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรี 

ซึ่งในเวลาต่อมา วันที่ 26 ก.ค. 2568 ทั้งบัญชีแพลตฟอร์ม X ของกระทรวงการต่างประเทศของไทย และที่เฟซบุ๊กของภูมิธรรม โพสต์ข้อความตรงกันว่า นายภูมิธรรมเป็นผู้สนทนากับทรัมป์ ซึ่งผู้นำสหรัฐฯ ได้เรียกร้องให้ทั้งไทยและกัมพูชาหยุดยิงในทันที ขณะที่รองนายกฯ ของไทยย้ำว่า ไทยเห็นด้วยในหลักการกับการหยุดยิง อย่างไรก็ตาม ไทยต้องการเห็นความตั้งใจจริงจากกัมพูชาในเรื่องนี้

2.คลิปปลอม อ้าง “ไทยปักธงชาติพร้อมยึดฐานบนเขาพระวิหารได้สำเร็จ” ผู้ใช้บัญชี TikTok รายหนึ่ง โพสต์คลิปพร้อมระบุข้อความ “ธงไทยถูกปักบนเขาพระวิหารอีกครั้งปี 68 และ ไทยยึดฐานบนเขาพระวิหารได้สำเร็จ” อย่างไรก็ตาม พื้นที่ดังกล่าวจริงๆ แล้ว เขาอกทะลุ ซึ่งอยู่ใน จ.พัทลุง (ใช้การค้นหาด้วย Google Lens และเปรียบเทียบกับภาพของ Google Map)

– วันที่ 28 ก.ค. 2568 พบ 3 ข่าว คือ 

1.เพจกัมพูชาโพสต์ข่าวปลอม อ้างทหารไทยเสียชีวิต 140 คนใกล้เขาพระวิหาร : มีเพจเฟซบุ๊กที่เนื้อหาส่วนใหญ่นำเสนอเกี่ยวกับข่าวสารด้านการทหารของกัมพูชา โพสต์ข้อความเป็นภาษาเขมร แปลได้ว่า “รวมแล้วตั้งแต่ตี 2 ถึงเช้าตรู่เสียชีวิตเกือบ 140 คน ใกล้วัดพระวิหาร ขอให้พาผีกลับบ้านกันให้หมด เพราะอยากได้แผ่นดินเขมรมากเกินไป“พร้อมกับภาพศพหลายศพที่ถูกห่อไว้ 

อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบแล้วก็พบว่า ภาพที่ถูกอ้างถึงนั้นเป็นภาพที่ทหารไทยส่งคืนศพทหารกัมพูชา 12 นาย ที่เสียชีวิตจากเหตุปะทะที่ภูมะเขือ ให้เจ้าหน้าที่กัมพูชาบริเวณด่านช่องสะงำ ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ นำไปประกอบพิธีทางศาสนา เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 27 ก.ค. 2568 (ค้นหาภาพด้วย Google Lens)

ซึ่งศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพบก โดยทีมโฆษกกองทัพบก อธิบายถึงการส่งศพทหารกัมพูชาในครั้งนี้ว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามหลักมนุษยธรรมสากล และถือเป็นการให้เกียรติแก่ทหารที่เสียชีวิตในสมรภูมิ ไม่ว่าจะสังกัดฝ่ายใด สะท้อนถึงจิตวิญญาณของความเป็นทหารที่มีเกียรติและศักดิ์ศรี ซึ่งเข้าใจถึงหัวอกของผู้ปฏิบัติหน้าที่ในสถานการณ์ความขัดแย้ง ซึ่งล้วนปฏิบัติหน้าที่ตามบทบาทเพื่อประเทศของตน

2.คลิปปลอมสงครามไทย-กัมพูชา ที่จริงคือรัสเซียโจมตียูเครน :พบบัญชีแพลตฟอร์ม X แชร์คลิปวิดีโอภาพเหตุการณ์เมืองโดนระเบิด พร้อมข้อความที่กล่าวถึงเหตุการณ์ความไม่สงบไทย – กัมพูชา ว่า ประเทศไทยเปิดฉากโจมตีทางอากาศต่อฐานทัพทหารกัมพูชา แต่เมื่อตรวจสอบกลับพบว่าเป็นเหตุการณ์สงครามรัสเซีย – ยูเครน โดยเป็นคลิปที่ฝ่ายรัสเซียใช้ขีปนาวุธและโดรนโจมตีกรุงเคียฟเมืองหลวงของยูเครน เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 2568 (ใช้โปรแกรม InVID-WeVerify แยกเฟรมแต่ละภาพ แล้วนำไปค้นหาด้วย Google Lens)

3.เพจที่ใช้ชื่อ “สถานทูตกัมพูชา” ลงภาพอ้างไทยใช้อาวุธเคมี แท้จริงเป็นภาพเหตุการณ์ดับไฟป่าที่สหรัฐฯ : เพจที่ใช้ชื่อ “สถานทูตกัมพูชาในบัลแกเรีย” โพสต์ภาพเครื่องบินโปรยสารสีชมพู กล่าวหาว่าไทยใช้อาวุธเคมีสังหารพลเรือน แต่เมื่อตรวจสอบแล้ว ภาพดังกล่าวมาจากเหตุการณ์เครื่องบินกำลังปล่อย “สารหน่วงไฟสีชมพู” (Pink Fire Retardant) เพื่อช่วยดับไฟป่าที่กำลังลุกไหม้จนสร้างความเสียหายในสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2568 (ค้นหาภาพด้วย Google Lens)

สำหรับข้อสังเกตต่อ ThaiPBS Verify คือแม้จะเพิ่งก่อตั้งได้ไม่นานนัก แต่จุดแข็งอยู่ที่การเป็นส่วนขยายออกมาจากการเป็นสำนักข่าวขนาดใหญ่ ทำให้เข้าถึงแหล่งข่าวที่เป็นผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นได้ รวมถึงมีเครือข่ายช่วยตรวจสอบกรณีเป็นเหตุการณ์ในต่างประเทศ นอกจากนั้นยังอธิบายถึงกระบวนการตรวจสอบ เช่น การใช้เครื่องมือ Google Lens ในการตรวจสอบภาพจากคลิปวีดีโอที่แชร์ต่อกันมา ว่าเป็นเหตุการณ์ที่ใด เวลาใด เกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่อ้างถึงในเนื้อข่าวหรือไม่ 

AFP Fact Check

พบว่า ตั้งแต่วันที่ 24 – 28 ก.ค. 2568 มีการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับการสู้รบระหว่างไทย –กัมพูชา เป็นรายงาน 1 ข่าว คือ Clip shows flood defence in northern Thailand, not border wall with Cambodia เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568 โดยมีคลิปวีดีโอเผยแพร่ผ่านแพลตฟอร์ม TikTok บรรยายเป็นภาษาเขมร ระบุว่า ไทยสร้างกำแพงตามแนวชายแดนที่เชื่อมต่อกับกัมพูชา ซึ่งเป็นคลิปที่เผยแพร่มาตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค. 2568 

ภาพในคลิปดังกล่าวปรากฏชายหลายคนที่สวมเสื้อสีเขียวสกรีนข้อความเป็นภาษาไทยว่า “กองทัพบก” อย่างไรก็ตาม เมื่อนำภาพไปค้นหาแบบย้อนกลับ พบว่าคลิปนี้เคยถูกโพสต์ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2568 และมีคำบรรยายเป็นภาษาไทย ระบุว่า ทหารช่างจาก จ.ราชบุรี กำลังวางเสาเข็มและใส่แผ่นคอนกรีต และในคลิปได้เล่าว่าเป็นการสร้างเขื่อนกั้นน้ำท่วมที่ จ.เชียงราย ในพื้นที่ชายแดนที่ติดกับประเทศเมียนมา ไม่ใช่กัมพูชาแต่อย่างใด  

อีกทั้งยังตรวจสอบอาคารที่ปรากฏในคลิปดังกล่าว แล้วไปตรงรับรายงานข่าวของสำนักข่าว NBT เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2568 ว่าผู้บัญชาการทหารบกของไทย ลงพื้นที่ติดตามการก่อสร้างพนังกั้นน้ำและตรวจเยี่ยมกำลังพลในพื้นที่ จ.เชียงราย จากนั้นในวันที่ 21 ก.ค. 2568 ยังมีรายงานจากสำนักข่าว ThaiPBS ที่เผยแพร่ภาพในพื้นที่เดียวกัน ระบุว่า พนังกั้นน้ำในพื้นที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย คืบหน้ากว่าร้อยละ 90 

สำหรับการตรวจสอบข้อมูลโดย AFP Fact Check ซึ่งเป็นส่วนขยายจากสำนักข่าว AFP ของฝรั่งเศส มีการอธิบายกระบวนการตรวจสอบโดยใช้เครื่องมือดิจิทัล คล้ายกับของ ThaiPBS Verify

โคแฟค (ประเทศไทย

ในช่วงวันที่ 24 – 28 ก.ค. 2568 ซึ่งตรวจสอบทั้งข่าวจริง ข่าวปลอม ข่าวบิดเบือนและคลาดเคลื่อน พบจำนวน 11 ข่าว ดังนี้ 

– วันที่ 24 ก.ค.2568 พบทั้งหมด 5 ข่าว แบ่งเป็น 

ข่าวปลอม 2 ข่าว คือ 

1.คลิป F-16 ทิ้งระเบิดกองบัญชาการกัมพูชา : วันที่ 24 ก.ค. 2568 เวลา 12.54 น. ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์คลิปวิดีโอเป็นภาพเครื่องบินทิ้งระเบิด พร้อมข้อความบรรยายว่า “ด่วน! F-16 ทิ้งบอมบ์ 2 กองบัญชาการกัมพูชา กระเจิง หลังยิงปืนใหญ่ใส่บ้านเรือนคนไทย…” โคแฟคตรวจสอบด้วยการนำภาพจากวิดีโอไปสืบค้นด้วยเครื่องมือ Google Reverse Image (หรือ Google Lens) พบเป็นคลิปที่ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์มานานหลายปีก่อนเหตุการณ์ปะทะระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาในวันดังกล่าว โดยคลิปนี้ถูกแชร์กันอย่างแพร่หลายในบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ที่ใช้ภาษาอาหรับ มีการอ้างอิงว่าเป็นภาพจากเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย เช่น การสู้รบระหว่างอินเดีย –ปากีสถาน และการทิ้งระเบิดในประเทศซูดาน อย่างไรก็ตาม โคแฟคยังไม่สามารถตรวจสอบได้คลิปนี้เป็นภาพเหตุการณ์ใด ที่ไหน หรือเป็นภาพที่สร้างจากเอไอหรือไม่

2.คลิปชาวกัมพูชานับแสนรวมตัวขับไล่ฮุน เซน :วันที่ 24 ก.ค. 2568 เวลา 18.17 น. ผู้ใช้เฟซบุ๊กโพสต์วิดีโอภาพเหตุการณ์ขณะฝูงชนพยายามดันประตูและขว้างปาสิ่งของใส่เจ้าหน้าที่โดยใส่ข้อความบรรยายว่าชาวเขมรนับแสนคนชุมนุมขับไล่สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา แต่คลิปนี้เคยถูกนำมาอ้างเท็จแบบเดียวกันนี้มาแล้วครั้งหนึ่งช่วงต้นเดือน มิ.ย. 2568 

โดยโคแฟคและ AFP Fact Checkตรวจสอบแล้วพบว่าคลิปนี้ถูกโพสต์ในติ๊กตอกตั้งแต่วันที่ 26 พ.ค. 2568 ซึ่งเจ้าของโพสต์ระบุว่าเป็นเหตุการณ์ที่สนามกีฬา Gelora Bandung Lautan Api Stadium ในเมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย โดยรายงานข่าวท้องถิ่นระบุว่าเกิดเหตุแฟนฟุตบอลทีม Persib Bandung ที่ไม่มีบัตรพยายามจะพังประตูเข้าไปชมการแข่งขันฟุตบอลนัดชิงชนะเลิศระหว่างสโมสรท้องถิ่นสองทีมเมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2568

ข่าวจริง 2 ข่าว คือ 

1.คลิป “ยิง รพ.พนมดงรัก” จ.สุรินทร์ : วันที่ 24 ก.ค. 2568 เวลา 12.09 น. เพจเฟซบุ๊ก “แนวหน้า มั่นคง” โพสต์คลิปภาพทหารหมอบหาที่กำบังในอาคาร ขณะที่ด้านนอกมีกลุ่มควันพวยพุ่ง เขียนคำบรรยายเหตุการณ์ว่า กระสุน BM-21 ตกใส่บริเวณด้านหน้าโรงพยาบาลพนมดงรัก อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์

โคแฟคตรวจสอบกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุรินทร์ เจ้าหน้าที่ยืนยันว่ามีกระสุนจากเหตุปะทะที่ชายแดนไทย-กัมพูชาตกบริเวณ รพ. จริง ขณะนี้ผู้บริหารกำลังประชุมสรุปเหตุการณ์และมาตรการที่จำเป็น ขณะที่ภาคีเครือข่ายโคแฟคที่เป็นเจ้าหน้าที่ รพ. พนมดงรัก ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่ามีลูกปืนตกบริเวณฐานพระพุทธรูปด้านหน้า รพ. และมีทหารได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิด

นอกจากนั้น เพจเฟซบุ๊ก กระทรวงสาธารณสุข โพสต์ข้อความเมื่อเวลา 9.34 น. วันนี้ว่า “จากเหตุปะทะบริเวณปราสาทตาเมือนธม สถานบริการของ สธ. เริ่มปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุ โดย รพ.พนมดงรักได้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกจาก รพ. หมดแล้ว” รวมถึงเว็บไซต์ข่าวสาธารณสุข Hfocus รายงานคำพูดของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุขว่า รพ.พนมดงรัก มีขนาด 30 เตียง ได้ย้ายผู้ป่วย ไป รพ. อื่น 19 ราย และให้กลับบ้าน 19 ราย

2.คลิปกระสุนตกบริเวณปั๊ม ปตท. บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ : วันที่ 24 ก.ค. 2568 เวลา 11.19 น. ผู้ใช้เฟซบุ๊กโพสต์คลิปภาพกลุ่มควันพวยพุ่งบริเวณปั๊มน้ำมัน ปตท. บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ โดยบรรยายว่าเป็นภาพจุดที่ได้รับความเสียหายจากเหตุปะทะที่ชายแดนไทยกัมพูชาซึ่งโคแฟคตรวจสอบจากการรายงานของสื่อมวลชนและเฟซบุ๊กกองทัพภาคที่ 2 พบว่าคลิปดังกล่าวเป็นภาพเหตุการณ์จริง โดยกองทัพภาคที่ 2 โพสต์คลิปเมื่อเวลา 11.29 น. ว่ากระสุน BM21 ตกใส่ปั๊ม ปตท. บ้านผือ มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก

อนึ่ง ปั๊มน้ำมัน ปตท.ที่เกิดเหตุตั้งอยู่บริเวณรอยต่อพื้นที่บ้านผือและบ้านน้ำเย็น คนในพื้นที่จึงเรียกทั้งสาขาบ้านผือและบ้านน้ำเย็น แต่หากเช็กใน Google Map จะระบุว่าเป็นบ้านน้ำเย็น

ข่าวบิดเบือน 1 ข่าว คือ คลิปทหารกัมพูชาไล่ยิงนักศึกษาใน จ.สุรินทร์ ช่วงบ่ายวันที่ 24 ก.ค. 2568 มีผู้ใช้ติ๊กตอกโพสต์คลิปวิดีโอนักเรียนวิ่งหนีและส่งเสียงร้องด้วยความตกใจและหวาดกลัว โดยฝังคำบรรยายว่า “เขมรบุกเข้ามาไล่ยิงในพื้นที่ของนักศึกษาแล้ว” ซึ่งโคแฟคตรวจสอบเครื่องแบบนักเรียนในคลิปพบว่าเป็นเครื่องแบบของนักศึกษาวิทยาลัยการอาชีพสังขะ อ.สังขะ จ.สุรินทร์ จึงได้ติดต่อสอบถามข้อมูลจากวิทยาลัย เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าไม่มีเหตุการณ์ที่คนเขมรเข้ามาก่อเหตุตามที่คลิปกล่าวอ้าง ส่วนภาพในคลิปเป็นเหตุการณ์ที่นักศึกษาของวิทยาลัยตกใจเสียงปืนช่วงสายวันที่ 24 ก.ค. 2568 จึงวิ่งหาที่หลบภัย

นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าวิทยาลัยได้สั่งปิดสถานศึกษาระหว่างวันที่ 24 ก.ค.- 1 ส.ค. 2568 เนื่องจากเหตุความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของนักเรียน นักศึกษา ครูและบุคลากร

– วันที่ 25 ก.ค. 2568 พบทั้งหมด 4  ข่าว แบ่งเป็น 

ข่าวปลอม 2 ข่าว คือ 

1.ทหารไทยยึดพื้นที่ปราสาทพระวิหาร : ช่วงสายของวันที่ 25 ก.ค. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “Army Military Force – สำรอง” โพสต์ข้อความว่า “ด่วน! เวลา 09.25 น. ทหารไทยเข้ายึดพื้นที่ปราสาทพระวิหารและวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระที่เคยเป็นของไทยได้สำเร็จแล้ว…” ซึ่งต่อมา สรยุทธ สุทัศนะจินดา ได้นำไปรายงานในรายการ “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” ที่เผยแพร่ทางช่องยูทูบ

เวลา 10.30 น. กองทัพบกชี้แจงว่าเนื้อหาดังกล่าว #ไม่เป็นความจริง โดยได้โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก กองทัพบก Royal Thai Army ว่า “เป็นข่าวปลอม อย่าหลงเชื่อ” ซึ่งแม้ทางกองทัพบกจะออกมาปฏิเสธข่าว และเพจต้นทางก็ได้ลบเนื้อหาออกแล้ว แต่โคแฟคพบว่าในติ๊กตอกยังมีการแชร์เนื้อหาเท็จนี้อย่างกว้างขวาง โดยบางโพสต์ได้ตัดต่อคลิปจากรายการ “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” มาเผยแพร่

2.สั่งอพยพประชาชน จ.อุบลราชธานี และจังหวัดอื่นที่อยู่ในระยะ 130 กม. จากชายแดนไทย-กัมพูชา: ช่วงค่ำวันที่ 25 ก.ค. 2568 ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ข้อความ “เตือนภัย” อ้างว่ากัมพูชาเตรียมโจมตีไทยด้วยอาวุธที่สามารถยิงไกลได้ถึง 130 กม. ขอให้ประชาชนใน จ.อุบลราชธานีและจังหวัดอื่นที่อยู่ในระยะ 130 กม. จากชายแดนอพยพด่วน

โคแฟคตรวจสอบกับว่าที่พันตรี อดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีเมื่อเวลา 23.30 น. ได้รับคำยืนยันว่าตั้งแต่ช่วงค่ำจนถึงขณะนี้ทางจังหวัดไม่ได้มีคำสั่งให้อพยพด่วน สำหรับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยใน 2 อำเภอ คือ อำเภอน้ำยืนและอำเภอน้ำขุ่น ซึ่งอยู่ในระยะ 70-80 กม. จากชายแดน ได้อพยพไปอยู่ในที่ปลอดภัยก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นไปตามการประสานงานระหว่างทางจังหวัดและกองทัพ

โคแฟคตรวจสอบเพิ่มเติมกรณีที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียจำนวนมากอ้างถึงอาวุธของกัมพูชาที่สามารถยิงระยะไกลได้ถึง 130 กม. พบว่ามีที่มาจาก พล.ท. พงศกร รอดชมภู อดีตรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่กล่าวในรายการ “คนดังนั่งเคลียร์” ทางช่อง 8 เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568 ว่ากัมพูชามีจรวดหลายลำกล้องจากจีนชื่อ PHL03 ทั้งหมด 6 ชุด ซึ่งยิงได้ไกล 70-130 กม. สามารถเข้ามาถึงตัวเมืองและสร้างความเสียหายได้มาก ทั้งนี้ พล.ท.พงศกร ไม่ได้ระบุที่มาของข้อมูล

อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่เกิดเหตุปะทะเมื่อวันที่ 24 ก.ค. เพจทางการของกองทัพบกและกองทัพภาคที่ 2 ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์สู้รบไทย-กัมพูชา ยังไม่เคยกล่าวถึงอาวุธชนิดนี้ ในโพสต์เตือนภัยของกองทัพภาคที่ 2 เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2568 กล่าวถึงอาวุธยิงไกลที่กัมพูชาใช้ ได้แก่ จรวดหลายลำกล้อง BM-21 (ยิงได้ไกล 20 กม.) PHL-81 และ Type-90 B (ยิงได้ไกล 40 กม.)

หมายเหตุ : ในเวลาต่อมา วันที่ 26 ก.ค. 2568 เวลาประมาณ 10.00 น. เพจเฟซบุ๊กกองทัพภาคที่ 2 โพสต์ข้อมูลเกี่ยวกับขีปนาวุธ PHL-03 ระบุว่า “เป็นระบบขีปนาวุธที่มีความสามารถในการยิงหลายลูกพร้อมกันในระยะทางไกลถึง 130 กิโลเมตรจากตำแหน่งยิง ขีปนาวุธชนิดนี้สามารถทำลายที่หมายทางยุทธศาสตร์ และที่ตั้งกำลังทางทหาร ซึ่งกองทัพได้เตรียมการรองรับสถานการณ์ ในการปฏิบัติตามแผนพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลังและมีเครื่องมือในการทำลายขีปนาวุธชนิดนี้ แต่เพื่อไม่ประมาทในการป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของพลเรือน ขอให้ระมัดระวังการถูกโจมตีที่ไม่พึงประสงค์นี้ ขอให้ประชาชนไม่ตื่นตระหนก และติดตามการแจ้งเตือนจากทางการ”

ข่าวบิดเบือน 2 ข่าว คือ  

1.องค์กร-หน่วยงานในไทยปลดธงชาติกัมพูชาจากกลุ่มธงประเทศอาเซียน : 25 ก.ค. 2568 ผู้ใช้ติ๊กตอกหลายรายโพสต์คลิปวิดีโอชายคนหนึ่งกำลังลดธงชาติกัมพูชาลงจากเสาธง บางโพสต์ระบุว่าเป็นเหตุการณ์ที่สวนนงนุช อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี บางโพสต์เขียนคำบรรยายว่า “ตามหน่วยงาน องค์กร ลดธงชาติกัมพูชาลงจากเสาในบรรดากลุ่มธงชาติประเทศอาเซียน” เป็นสัญลักษณ์ว่าไทยตัดความสัมพันธ์กับกัมพูชาอย่างถาวร

โคแฟคโทรศัพท์สอบถามไปยังสวนนงนุช พนักงานให้ข้อมูลว่าภาพในคลิปเป็นกลุ่มเสาธงนานาชาติที่อยู่ด้านหน้าศูนย์ประชุมนานาชาตินงนุชพัทยาจริง แต่คลิปลดธงกัมพูชาที่มีการแชร์กันอย่างแพร่หลายนั้น ไม่ได้มาจากบัญชีโซเชียลมีเดียทางการของสวนนงนุช ซึ่งผู้บริหารกำลังตรวจสอบเหตุการณ์ในคลิป การบันทึกภาพและการเผยแพร่

นอกจากนั้น โคแฟคตรวจสอบเพิ่มเติมกับกระทรวงการต่างประเทศ เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าทางราชการไม่มีคำสั่งเรื่องการลดธง ซึ่งการลดธงไทยและธงอาเซียนมีกฎหมายและระเบียบกำกับ เช่น การลดธงในกรณีไว้อาลัย และทางการไทยไม่เคยมีคำสั่งเกี่ยวกับการลดธงของประเทศอื่น

2.คลิปชาวกรุงบรัสเซลล์บรรเลงเพลงชาติไทย ให้กำลังใจคนไทยในความขัดแย้งไทย-กัมพูชา :วันที่ 25 ก.ค. 2568 ผู้ใช้ติ๊กตอกและเฟซบุ๊กหลายรายโพสต์คลิปวิดีโอที่มีเสียงบรรเลงเพลงชาติไทย อ้างว่าชาวชาวกรุงบรัสเซลส์บรรเลงเพลงชาติไทยเพื่อส่งกำลังใจให้คนไทยในช่วงที่เผชิญความขัดแย้งกับกัมพูชา บางคลิปถูกแชร์ไปมากกว่า 3 หมื่นครั้ง ซึ่งโคแฟคตรวจสอบคลิปวิดีโอดังกล่าว พบว่าเป็นภาพที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียบันทึกในพิธีมอบชุด “ยิงกระต่าย เด็ดดอกไม้. แก่รูปปั้นเด็กฉี่ (Manneken Pis) ใจกลางกรุงบรัสเซลส์ ที่มีผู้เผยแพร่ในโซเชียลมีเดียตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค. 2568

เพจเฟซบุ๊กสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ โพสต์ภาพบรรยากาศและพิธีมอบชุดไทยแก่รูปปั้นเด็กซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2568 ว่า “…มีการเคลื่อนขบวนเพื่อไปมอบชุดแก่ Manneken Pis โดยได้รับเกียรติจากวงดุริยางค์แห่งกระทรวงการคลัง กรมศุลกากร ราชอาณาจักรเบลเยียม บรรเลงบทเพลงอันทรงเกียรติ ได้แก่ เพลงชาติไทย เพลงชาติเบลเยียม และเพลงมหาฤกษ์ บริเวณกลาง Grand Place ก่อนเคลื่อนขบวนท่ามกลางผู้คนและนักท่องเที่ยวที่มาร่วมชมขบวนแห่กันอย่างคับคั่ง” พร้อมกับเผยแพร่คลิปการบรรเลงเพลงชาติไทยของวงดุริยางค์ ซึ่งมีภาพและเสียงใกล้เคียงกับคลิปที่ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นการบรรเลงเพลงชาติให้กำลังใจคนไทย

– วันที่ 28 ก.ค. 2568 : พบ 2 ข่าว แบ่งเป็น 

ข่าวคลาดเคลื่อน 1 ข่าว คือ ผู้ว่าสุรินทร์ประกาศเขตภัยพิบัติสงคราม โดยเมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2568 สื่อมวลชนหลายสำนักรายงานว่านายชำนาญ ชื่นตา ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ประกาศให้จังหวัดสุรินทร์เป็น “เขตภัยพิบัติสงคราม” เพื่อให้การอนุมัติงบประมาณและการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาเป็นไปอย่างรวดเร็ว

ขณะที่เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลรายงานว่านายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าขณะนี้รัฐบาลได้รับแจ้งว่าผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ “ได้ลงนามในประกาศประกาศเขตภัยพิบัติสงครามแล้ว ซึ่งเป็นยกระดับเทียบเท่าน้ำท่วม-แผ่นดินไหว”

เวลา 11.20 น. นายชำนาญได้แถลงข่าวชี้แจงว่าเป็นการใช้ถ้อยคำที่คลาดเคลื่อนของสื่อมวลชนบางสำนัก ในประกาศของจังหวัดที่เกี่ยวข้องกับการให้ความช่วยเหลือประชาชนไม่มีถ้อยคำที่ระบุว่า “เขตภัยพิบัติสงคราม” เนื่องจากขณะนี้ประเทศไทยยังไม่ได้มีการประกาศสงคราม  

ทั้งนี้ ทางจังหวัดมีเพียงการประกาศให้อำเภอที่ได้รับผลกระทบใน จ.สุรินทร์เป็น “พื้นที่ประสบสาธารณภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศ” มีประกาศและหนังสือที่เกี่ยวข้อง 2 ฉบับ ดังนี้

-ประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัยลงวันที่ 24 ก.ค. 2568 เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบของกระทรวงการคลังในการอนุมัติงบประมาณช่วยเหลือประชาชนในกรณีฉุกเฉิน

-หนังสือลงวันที่ 25 ก.ค. 2568 แจ้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ใช้งบประมาณของตัวเองในการดูแลประชาชนในช่วง  2-3 วันแรกที่เกิดเหตุ และหลังจากนั้นทางจังหวัดจะจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลให้ท้องถิ่นต่อไป

ข่าวปลอม 1 ข่าว คือ ไทยใช้อาวุธเคมีโจมตีกัมพูชา โดยวันที่ 28 ก.ค. 2568 เพจเฟซบุ๊กสถานทูตกัมพูชาในบัลแกเรีย Royal Embassy of Cambodia to the Republic of Bulgaria โพสต์ข้อความกล่าวหาว่าไทยใช้อาวุธเคมีโจมตีกัมพูชา โดยอ้างคำพูดของ พล.ท.หญิง มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ซึ่งจนถึงขณะนี้ ทางเพจได้โพสต์ข้อความกล่าวหาเรื่องไทยใช้อาวุธเคมีอย่างน้อย 4 โพสต์ ในเวลา 10.39, 12.11,12.23และ 13.46 น. โดยในโพสต์แรกมีการใช้ภาพประกอบเครื่องบินปล่อยควันสีแดงมีธงชาติไทยประกอบ แต่ได้ลบภาพออกในภายหลัง

กรณีนี้กระทรวงการต่างประเทศและกองทัพบกได้ออกแถลงการณ์ปฏิเสธข้อกล่าวหา ยืนยันว่ากองทัพไทยไม่มีการใช้ #อาวุธเคมี โดยนายนิกรเดช พลางกูร โฆษก กต. ระบุว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวขาดมูลความจริงและสะท้อนการบิดเบือนข้อมูลอย่างเป็นระบบที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงในพื้นที่ และมีเจตนาที่จะบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือและสถานะของประเทศไทยในประชาคมระหว่างประเทศ

“ประเทศไทยยืนยันการยึดมั่นต่อพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาห้ามอาวุธเคมี (Chemical Weapons Convention: CWC) และยืนหยัดในท่าทีในการประณามการใช้อาวุธเคมีไม่ว่าจะเป็นที่ใด โดยผู้ใด หรือภายใต้สถานการณ์ใดก็ตาม นอกจากนี้ ประเทศไทยยังยึดมั่นต่อตราสารระหว่างประเทศด้านการลดอาวุธและการไม่แพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงทั้งปวง” แถลงการณ์ กต. ระบุ 

สำหรับภาพที่สถานทูตกัมพูชาในบัลแกเรียนำมาประกอบโพสต์กล่าวหานั้น โคแฟคตรวจสอบพบว่าเป็นภาพประกอบข่าวเครื่องบินบรรทุกสารเคมีเพื่อดับไฟป่าในลอสแองเจลิสที่เผยแพร่ทางเว็บไซต์สำนักข่าวรอยเตอร์สเมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2568

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

https://www.thaipbs.or.th/verify/highlight/thai-cambodia-situation

https://www.thaipbs.or.th/news/content/354676 (กองทัพยืนยัน “กระสุนตกฝั่งลาว” ไม่ใช่ของฝ่ายไทย : ThaiPBS 26 ก.ค. 2568)

https://factcheck.afp.com/list/regions/Asia-Pacific

https://factcheck.afp.com

https://www.facebook.com/CofactThailand

**AFP มีทำรายงานภาษาอังกฤษอีกสองเรื่อง(ยังไม่มีรายงานภาษาไทย)

https://factcheck.afp.com/doc.afp.com.682J99E
Photo of US aircraft dropping fire retardant falsely linked to Thailand-Cambodia conflict | Fact Check

https://factcheck.afp.com/doc.afp.com.68247CQ
Old military exercise photo misrepresented as Thailand-Cambodia clashes | Fact Check