สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 20 สิงหาคม 2565

โครงการ “คนละครึ่งเฟส 5” ที่จะเริ่มให้ลงทะเบียน เริ่มในวันที่ 19 สิงหาคม 2565และต้องยืนยันสิทธิฯ ภายในเวลา 22.59 น. วันที่ 14 กันยายน 2565

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/32wc2wd6q8846


องค์กรมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนใต้ เรียกร้องให้นำกัญชา กลับไปอยู่ในบัญชียาเสพติดเหมือนเดิม

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/52iurfdmpt08


อย่าหลงเชื่อ! กดลิงก์รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล แอบอ้าง ปตท.

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1anrq1w8xq8n6


“กัญชา” แต่ละสายพันธุ์ “ลักษณะ-คุณสมบัติ” ต่างกัน…จริงหรือ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/26eeyesog6nar#_=_


หอยนางรมมีเชื้อ vibrio vulnificus เป็นเหตุทำให้ตับแข็ง และติดเชื้อที่ผิวหนังกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง…จริงหรือ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1n5rxeqbe5fvq#_=_


5 กันยายน บังคับใช้กฏหมายจราจรใหม่ คนนั่ง”แคปกระบะ” ต้อง “คาดเข็มขัด’…จริงหรือ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/33z4c197lsl2s#_=_


23 ส.ค. ชวนร่วมงาน #นักคิดดิจิทัล : จากมะนาวโซดา ถึงกัญชารักษา (ไม่) ทุกโรค  บทเรียนการรับมืออินโฟเดอมิกของสังคมไทย 

เวทีสัมมนาไฮบริด นักคิดดิจิทัล ครั้งที่ 23 

จากมะนาวโซดา ถึงกัญชารักษา (ไม่) ทุกโรค  บทเรียนการรับมืออินโฟเดอมิกของสังคมไทย 

วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2565 เวลา 09.30 – 12.00 น. 

ณ. ห้องประชุม 201 ชั้น 2  สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ  (สสส.) 

ถ่ายทอดสดผ่านเพจ Cofact โคแฟค 

9.30 – 10.00 น.        กล่าวต้อนรับและเปิดการประชุม  โดย 

คุณญาณี รัชต์บริรักษ์ รักษาการผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมระบบสื่อและสุขภาวะทางปัญญา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

10.00 – 10.30  น.     นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกข่าวลวงด้านสุขภาวะในรอบปีที่ผ่านมา  โดย 

คุณสุนิตย์ เชรษฐา  ผู้อำนวยการสถาบันเชนจ์ฟิวชั่น

10.30 – 12.00 น.         เสวนานักคิดดิจิทัล  จากมะนาวโซดา ถึงกัญชารักษา (ไม่) ทุกโรค  บทเรียนการ

รับมืออินโฟเดอมิกของสังคมไทย 

  • คุณสันติภาพ เพิ่มมงคลทรัพย์ รองผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย 
  • เภสัชกรหญิงผกากรอง ขวัญข้าว ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร
  • คุณพีรพล อนุตรโสตถิ์  ผู้จัดการศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ อสมท
  • คุณสุชัย  เจริญมุขยนันท  Ubonconnect 
  • คุณเชลศ ธำรงฐิติกุล  ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 13 ตำบลหนองหญ้าไซ            จ.สุพรรณบุรี  

ดำเนินการเสวนาโดย

 คุณสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง โคแฟค (ประเทศไทย)  

12.00-12.30 น.     สรุปและกล่าวปิดการเสวนา  โดย 

ผศ.ดร. เอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์  ที่ปรึกษาโคแฟค (ประเทศไทย)

☑️ ตั้งแต่ 5 กันยายน 2565 นั่งเบาะหลังรถยนต์ ต้องคาดเข็มขัดนิรภัยด้วย ไม่เช่นนั้นมีความผิด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/xtcva3jise7h

สัมมนาภาคตะวันออก ‘อย่าด่วนเชื่อ-ไม่ชินชา-ร่วมตรวจสอบหาความจริง’ หลักคิดสู้ปัญหาข่าวลวง

15 ส.ค. 2565 สาขาสื่อสารองค์กร ภาควิชานิเทศศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ร่วมกับ โคแฟค (ประเทศไทย) จัดงานสัมมนา เรื่อง “ข่าวลวงกับการพัฒนาพื้นที่ภาคตะวันออก” ณ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา จ.ชลบุรี พร้อมกับถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊กเพจ “CC BUU X Cofact” 

รศ.ดร.สุชาดา พงศ์กิตติวิบูลย์ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยบูรพา ในฐานะประธานโครงการข่าวลวงกับการพัฒนาพื้นที่ภาคตะวันออก กล่าวว่า สืบเนื่องจาก โคแฟค (ประเทศไทย) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้พัฒนาศูนย์ข้อมูลตรวจสอบข่าวลวง ในพื้นที่ จ.ชลบุรี และ จ.ตราด ผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น การพัฒนาทักษะตรวจสอบข้อมูลให้กับคนรุ่นใหม่และเครือข่ายภาคพลเมือง เพื่อเพิ่มอาสาสมัครในการตรวจสอบข่าวลวงที่เกิดขึ้นในชุมชนต่างๆ ให้มากขึ้น รวมถึงจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้กระบวนการตรวจสอบข่าวลวงกับภาคีเครือข่าย 

“ศูนย์ข่าวลวงภาคตะวันออกเชื่อมั่นว่า ความร่วมมือของทุกภาคส่วนในวันนี้ จะเป็นรากฐานสำคัญในการผลักดันและส่งเสริมในการตรวจสอบข่าวลวงในสังคมอย่างยั่งยืนต่อไป” รศ.ดร.สุชาดา กล่าว

ดร.สุชาดา รัตนวาณิชย์พันธ์ คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา กล่าวว่า ข่าวลวงหรือข่าวปลอม เมื่อได้ยินแล้วก็สร้างความสับสน แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือมีผลกระทบต่อทัศนคติ ความเชื่อ และสร้างความเข้าใจที่บิดเบือนในเรื่องต่างๆ เช่น เคยมีการแชร์ข่าวกันว่า แถบสีท้ายหลอกยาสีฟันสามารถบอกได้ว่ายาสีฟันยี่ห้อนั้นผลิตจากวัตถุดิบอะไร โดยหากเป็นสีเขียวคือวัตถุดิบธรรมชาติ แต่หากเป็นสีดำคือสารเคมี ข่าวนี้มีผลกระทบด้านสุขภาพ อาจทำให้ผุ้บริโภคเลิกใช้ยาสีฟันยี่ห้อที่มีแถบสีดำ ทั้งที่อาจเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดีก็ได้ ส่งผลให้ผู้ผลิตยาสีฟันอีกยี่ห้อหนึ่งได้ประโยชน์ ซึ่งก็ดูจะเป็นเรื่องไม่ยุติธรรม

“ถ้าเรามีทัศนคติที่ถูกต้อง ก็คือก่อนที่เราจะเชื่อฟังสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยเฉพาะในเรื่องของข่าวปัจจุบัน ถ้ามีการกรอง มีการหยุดคิด ก็จะเป็นการช่วยมากๆ” คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ม.บูรพา กล่าว

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) ปาฐกถาในหัวข้อ สถานการณ์ข่าวลวงและการตรวจสอบข่าวลวงในสังคมไทยโดยกล่าวว่า ข่าวลวงมีปรากฏมากมาย ตั้งแต่เรื่องนำข้าวสุกไปแช่ตู้เย็นแล้วจะส่งผลดีต่อระดับน้ำตาลในเลือด มะนาวโซดารักษามะเร็ง มาจนถึงเรื่องของกัญชาและวัคซีน ไปจนถึงในแต่ละพื้นที่ที่มีการต่อสู้กันในเชิงความคิดและข้อมูล 

จึงจำเป็นต้องค้นหา ความจริงร่วมซึ่งข้อเท็จจริงนั้นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารจะนำไปสู่การสร้างความเกลียดชังกัน การรู้ข้อเท็จจริงก็จะทำให้เข้าใจกันมากขึ้น หรือหลีกเลี่ยงอันตรายต่อสุขภาพได้ โดยแนวคิดของโคแฟค (Cofact) หรือ Collaborative Fact-checking คือการเปิดพื้นที่ให้ทุกคนร่วมค้นหาความจริง โดยมีนวัตกรรมทั้งเว็บไซต์ cofact.org และ Line Chatbot @cofact เป็นเครื่องมือสืบค้นข่าว แต่มากไปกว่านั้นคือการสร้างพื้นที่พูดคุย นำข้อเท็จจริงมาตีแผ่ จนหาความจริงร่วมที่ยอมรับกันได้ 

ทั้งนี้ ต้องเข้าใจความแตกต่างระหว่างข้อเท็จจริง ความคิดเห็นและความรู้สึก โดยหลายคนยึดเอาความคิดเห็นและความรู้สึกเป็นสัจธรรม เมื่อพบใครที่คิดไม่เหมือนตนเองก็โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่น่าโกรธกัน เพราะความคิดเห็นและความรู้สึกเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล ห้ามกันไมได้และไม่ได้มีข้อยุติอย่างข้อเท็จจริง เช่น วัคซีน แม้จะมีแพทย์บอกว่าฉีดได้ แต่การที่ใครจะไม่เชื่อและไม่ฉีดพราะกลัวก็เป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่หากกลัวแล้วเผยแพร่ข้อมูลที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดก็ต้องตักเตือนกัน

เมื่อมองไปในระดับโลก รายงานในปีนี้ของ Edelman Trust Barometer ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างกว่า 36,000 คน ใน 28 ประเทศ พบผู้คนให้ความเชื่อถือสื่อมวลชนและรัฐบาลลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งบางส่วนของสื่อและรัฐบาลก็ได้ประโยชน์จากข้อมูลบิดเบือน ไม่ว่าด้านการเมืองหรือธุรกิจ ขณะที่สังคมก็ติดอยู่ในวังวนของความไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน เช่น ล่าสุดกับสงครามรัสเซีย-ยูเครน เป็นความท้าทายของสื่อมวลชนที่ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าภาพหรือวีดีโอที่ถูกส่งต่อกันเป็นภาพจริงในเวลาจริงที่เกิดสงครามนั้นจริงๆ หรือเปล่า 

แต่นอกจากจะให้กำลังใจและสนับสนุนบทบาทของสื่อมวลชนในการฟื้นความเชื่อมั่นของสังคมแล้ว ในยุคนี้แต่ละคนก็ต้องปรับตัวให้เป็นพลเมืองดิจิทัล เพราะนับตั้งแต่ลืมตาตื่นจนถึงก่อนนอน ต่างคนต่างก็ใช้เครื่องมือสื่อสารอย่างสมาร์ทโฟนที่แทบจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตกันแทบจะตลอดเวลา ทำให้ข้อมูลข่าวสารไหลบ่าเข้าสู่สมองและความคิดแทบจะตลอดเวลาเช่นกัน ลำพังจะหวังบทบาทสื่อ นักวิชาการหรือพ่อแม่ผู้ปกครองก็คงไม่เพียงพอ ทุกคนจึงต้องเริ่มที่ตนเอง เช็คให้ชัวร์ก่อนแชร์ หรือหากจะให้ดีกว่านั้นคือกลายเป็นผู้ตรวจสอบและแก้ไขข้อมูลที่ถูกแชร์กันอย่างผิดๆ ในสังคม

ไม่เพียงแต่การแชร์ข่าวลวงที่ส่งผลกระทบ ยังมีเรื่องของ มิจฉาชีพออนไลน์ที่คนยุคนี้ต้องรู้เท่าทัน เช่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือการหลอกให้รัก (Romance Scam) ที่ผู้ตกเป็นเหยื่อจะเสียเงินเสียทองกันมากมาย เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นกันทุกวันจนหน่วยงานภาครัฐดำเนินการไม่ไหวหรือไล่ปราบปรามไม่ทัน และที่ซับซ้อนยิ่งไปกว่านั้นคือความขัดแย้งทางการเมือง ศาสนา สังคมและวัฒนธรรม ซึ่งยากในการค้นหาความจริง เพราะเป็นเรื่องราวที่แฝงด้วยชุดความคิดหรืออุดมการณ์ เช่น แนวคิดด้านการพัฒนา 

ซึ่งประเด็นทำนองนี้มักปนเปมาพร้อมกันเสมอทั้งข้อเท็จจริง ความคิดเห็นและความรู้สึก แม้กระทั่งสิ่งที่ดูเหมือนจริงในวันนี้ วันหน้าอาจจะไม่จริงก็ได้ จากหลากหลายปัจจัย เช่น มีการปล่อยข่าวโยนหินถามทางออกมาก่อนแล้วค่อยตามแก้ข่าวทีหลัง หรือแม้แต่เป็นข่าวจริงแต่ผู้เกี่ยวข้องปฏิเสธเพราะกลัวได้รับผลกระทบ วิธีการแสวงหาความจริงจึงไม่อาจทำได้เพียงไปสอบถามนักวิทยาศาสตร์หรือนักวิชาการแล้วจบ แต่ต้องมาเปิดใจคุยกันด้วยเหตุผล และมีความเห็นใจซึ่งกันและกัน

“เราจัดเรื่องความขัดแย้ง ข่าวลวงด้านศาสนา ก็จะมีพี่น้องมุสลิม เขาก็จะรู้สึกทุกข์ใจมาก เพราะทุกวันจะมีข่าวลือในไลน์ ทำให้คนเกลียดกลัวมุสลิม ที่เรียกว่า Islamophobia อย่างไม่มีข้อเท็จจริงเลย แล้วคนก็เชื่อ แล้วมันทำให้คนที่เป็นมุสลิมเขาก็ทุกข์ใจไปด้วย อันนี้ก็จะเป็นเรื่องที่เราก็ต้องฝึกการเห็นอกเห็นใจกัน ไม่ตัดสิน ไม่พิพากษาไปก่อน ในสิ่งที่เราได้ยินได้ฟังมาแล้วมันอาจจะไม่ตรงกับความคิดของเรา หรืออาจตรงกับอคติของเรา เราก็ต้องลดการตัดสินตรงนี้ แล้วพยายามเปิดใจกว้างๆ ให้มากที่สุด” สุภิญญา กล่าว

ยังมีการเสวนา เรื่อง “ข่าวลวงกับพื้นที่ภาคตะวันออก” โดยมี ผศ.ดร.ตวงทอง สรประเสริฐ อาจารย์ภาควิชานิเทศศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาาวิทยาลัยบูรพา เป็นผู้ดำเนินรายการ และมีวิทยากร 3 ท่าน ประกอบด้วย จักรกฤษณ์ แววคล้ายหงส์ บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ประชามติตราด จ.ตราด และยังเป็นผู้สื่อข่าวภูมิภาคให้กับสื่อมวลชนส่วนกลางหลายสำนัก กล่าวว่า ในอดีตที่มีเพียงสื่อดั้งเดิม (โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์) ซึ่งรวมๆ แล้วไม่กี่สำนัก ข้อมูลข่าวสารที่เผยแพร่นั้นสามารถตรวจสอบและแยกแยะข้อเท็จจริงตั้งแต่ต้นทางได้ไม่ยาก

แต่เมื่อเข้าสู่ยุคออนไลน์ มีผู้เล่นในวงการข้อมูลข่าวสารมากขึ้นจากทั่วโลก อีกทั้งสื่อสังคมออนไลน์ยังมีหลายแพลตฟอร์ม การตรวจสอบข้อเท็จจริงจากต้นทางจึงทำได้ยาก ขณะเดียวกัน ยังมีข้อความน่าสงสัย เช่น อ้างว่าจะให้เงินไปเล่นการพนันออนไลน์ก่อน หรือบอกว่าได้รับเงินกู้จำนวนเท่านั้นเท่านี้ หรือช่วงพรมแดนด้านตะวันออกถูกปิด ก็ยังมีการชักชวนให้ข้ามแดนไปทำงานในฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้หลายคนหลงเชื่อ กระทั่งตำรวจต้องตามไปช่วยเหลือกลับมา หรือแม้แต่เรื่องมีการแชร์ภาพคนอยู่เพิงพักสภาพทรุดโทรม ทำเอาส่วนราชการลงพื้นที่กันใหญ่โต แต่ท้ายที่สุดตรวจสอบแล้ว จริงๆ ผู้ที่อยู่ในเพิงนั้นมีบ้านอย่ด้านหลัง เป็นต้น

อย่างเรื่องฝีดาษลิง จู่ๆ ก็บอกฝีดาษลิงเกิดขึ้นที่ จ.ตราด มีนักท่องเที่ยวจากฝรั่งเศสเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์แล้วก็เข้ามาที่โรงแรม จะให้เขาตรวจปรากฏเขาไม่ยอม แล้วน่าจะเป็นคนในโรงพยาบาลที่ไปบอกนักข่าว นักข่าวก็บบอกว่าระวังนะฝีดาษลิงเกิดขึ้นที่ จ.ตราด เป็นรายที่ 4 รายที่ 5 ปรากฏว่าก็เกิดฮือฮา เรายังไม่เอาข่าวลง เช้ามาผมสัมภาษณ์นายแพทย์ผู้อำนวยการโรงพยาบาลทั้ง 2 โรงพยาบาล แล้วก็สัมภาษณ์นายแพทย์รองสาธารณสุข 

เขาก็บอกว่ามันก็แค่สงสัย คือ 1.สงสัย 2.เข้าข่าย 3.เป็น ระดับมันอย่างนี้ แต่นักข่าวไปเขียนไว้หมดแล้ว เราก็สามารถได้ข้อเท็จจริง แต่รอจนกระทั่งนายแพทย์โอภาส (โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค) แถลงออกมา คนนี้ไมได้เป็นฝีดาษลิง แต่ข่าวมันออกไปแล้วจักรกฤษณ์ กล่าว

ดร.ปาจารีย์ ปุรินทวรกุล อาจารย์สาขาสื่อสารองค์กร ภาควิชานิเทศศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา กล่าวว่า เมื่อให้โจทย์นักศึกษาไปค้นหาข่าวลวง พบว่า เรื่องสุขภาพเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมาก ทั้งเรื่องโควิด-19 และข่าวลวงอื่นๆ ทีเกี่ยวกับสุขภาพ เช่น กินหรือทำสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้วจะสวยมีรูปร่างดี ส่วนข่าวที่เกี่ยวกับภาคตะวันออก เช่น การปนเปื้อนของอาหารทะเลจากเหตุการณ์น้ำมันรั่วใน จ.ระยอง นอกจากนั้นยังมีเรื่องอื่นๆ อาทิ ความปลอดภัยในการลงทุนเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) 

แต่ความท้าทายสำคัญคือ เมื่อเป็นการตรวจสอบก็ต้องไปให้ถึงต้นทาง (ข้อมูลปฐมภูมิ) ซึ่งก็มีข้อจำกัดเพราะไม่ใช่สื่อมวลชนจึงไม่สามารถเข้าถึงแหล่งข่าวได้โดยง่าย ถึงกระนั้น บทเรียนที่ได้คือการฝึกกระบวนการคิด เช่น เมื่อเสนอเข้ามาก็จะมีคำถามจากอาจารย์ว่าเรื่องนี้เชื่อหรือไม่เชื่อเพราะอะไร เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ใครคือแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ รวมถึงอาจยังมีแหล่งข่าวที่ให้คำตอบได้มากกว่า 1 แหล่ง อาทิ เรื่องอาหารทะเลปนเปื้อน เนื่องจากเหตุน้ำมันรั่วใน จ.ระยอง แน่นอนว่ายากเกินไปที่จะเข้าถึงแหล่งข่าวต้นทาง 

แต่ด้วยความที่ไม่ได้เพิ่งเกิดเหตุการณ์นี้ในพื้นที่เป็นครั้งแรก อย่างน้อยก็มีฐานข้อมูลเดิมให้สืบค้นในระดับหนึ่ง หรือหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ อย่างน้อยให้ถามแพทย์ที่สถานพยาบาลใกล้บ้านก็ได้ ไม่ต้องถึงขั้นโฆษกหน่วยงาน ทั้งนี้ ที่ผ่านมาคนมักจะอยู่กับข่าวลวงแบบเคยชินไม่รู้สึกอะไร กระทั่งเจอผลกระทบกับตนเอง เช่น มีญาติผู้ใหญ่ไปทำตามข่าวลวงแล้วเสียชีวิต แต่ก็ยังจะเป็นผลกระทบส่วนบุคคล คนอื่นๆ ในสังคมไม่ได้รู้สึกอะไรด้วย

ความท้าทายเรื่องข่าวลวงมันยังจะอยู่กับเราตลอดไป เพียงแต่ ณ ตอนนี้ หลายๆ ภาคส่วนในสังคมได้พยายามกันเต็มที่แล้ว คนเล็กคนน้อย ประชาชนทั่วไปต้องทำอย่างไร ในขณะเดียวกันก็มีสื่อมวลชนช่วยเช็คให้ มีรัฐบาลที่ตั้งองค์กรต่างๆ ขึ้น ฟังก์ชั่นบ้างไม่ฟังก์ชั่นบ้างแต่ก็พยายามทำ ฉะนั้นก็คือไม่เชื่อแล้วก็ไม่ชิน อย่าไปชินกับมัน แล้วก็ขับเคลื่อนไปเรื่อยๆ อย่างน้อยก็ปลูกฝังกระบวนการคิด หรืออย่าคิดว่าธรรมด ไม่เป็นไร ปล่อยมันไป ก็จะช่วยให้เราอยู่กับข่าวลวงได้เท่าทันมากขึ้น ดร.ปาจารีย์ กล่าว

บุปผาทิพย์ แช่มนิล ตัวแทนกลุ่มรักษ์เขาชะเมา จ.ระยอง กล่าวว่า จากที่เคยสอบถามผู้คนหลากหลายในพื้นที่ เช่น แม่บ้าน แม่ค้าในชุมชน นักพัฒนารุ่นใหม่ นักพัฒนาอาวุโส ฯลฯ เกี่ยวกับข่าวลวงในมุมมองของแต่ละคน ทุกคนเคยมีประสบการณ์พบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ (ไม่ว่าสุดท้ายจะหลงเชื่อโอนเงินไปให้หรือไมก็ตาม) สะท้อนให้เห็นว่าข่าวลวงนั้นเข้าถึงระดับบุคคลแล้ว 

ขณะเดียวกัน เมื่อไปถามคนทำงานด้านสุขภาพ ก็พบความเห็นทำนองเดียวกันว่า ไลน์ของผู้สูงอายุเป็นพื้นที่อันตรายด้านข่าวลวงมากที่สุดเพราเป็นทั้งข่าวที่ส่งมาโดยไม่มีการตรวจสอบ และกลุ่มเป้าหมานก็น่าเป็นห่วง หรือในส่วนประเด็นทางการเมือง เป็นที่น่าสังเกตว่าโพลล์บางสำนักที่ถามประเด็นประชาชนอยากให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรี มีการเลือกคำถามในเชิงชี้นำ แบบนี้จะเข้าข่ายเป็นข่าวลวงได้หรือไม่

ส่วนในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับภาคตะวันออก นับตั้งแต่การขุดพบแหล่งก๊าซธรรมชาติ นำไปสู่โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษตั้งแต่ Eastern Seaboard มาจนถึง EEC สิ่งที่พบคือการปะทะกันของชุดความคิดหรือความเชื่อ 2 แนวทาง ระหว่างฝ่ายสนับสนุนโครงการที่มุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมโดยเชื่อว่าจะนำพาไปสู่ความมั่งคั่ง กับฝ่ายคัดค้านที่มองว่าการพัฒนาแบบนี้มีแต่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของคนในชุมชน  

หรือความเชื่ออื่นๆ เช่น เมื่อมีช้างป่าเข้ามารบกวนวิถีชีวิตของมนุษย์ ก็มีผู้ที่เชื่อว่าให้สร้างกำแพงคอนกรีตสูง 4 เมตรกั้นแนวระหว่างพื้นที่ของช้างกับมนุษย์แล้วจะแก้ปัญหาได้ เรื่องนี้ก็น่าตรวจสอบว่ามันใช้ได้จริงหรือ หรือแนวคิดการเปลี่ยนพื้นที่ป่าอนุรักษ์ให้เป็นอ่างเก็บน้ำเพื่อสนับสนุนเกษตรกรที่ปลูกผลไม้ เนื่องจากภาคตะวันออกถูกขนานนามเป็นดินแดนแห่งผลไม้ แต่ก็มีคำถามว่าโครงการนี้คุ้มค่าตามที่เชื่อกันหรือไม่ หรือสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนใครกันแน่ระหว่างเกษตรกรกับนิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น

ประเด็นใหญ่ๆ ในส่วนของภาคตะวันออกทุกคนควรจะได้รับรู้ และในขณะเดียยวกันยังบอกว่า ไม่ได้ยืนยันว่านี่คือความจริง แต่ยังรอการตรวจสอบอยู่ เพาะฉะนั้นมันจะใช่ข่าวลวงหรือไม่ยังต้องอาศัยน้องๆ แล้วเราก็พูดแบบไม่ได้ผลักภาระให้ใคร เพราะส่วนของประชาสังคมภาคตะวันออกก็พยายามตรวจสอบตรงนี้เช่นเดียวกัน ฉะนั้นเราจะตรวจสอบเรื่องราวที่เกิดขึ้น ของการพัฒนาพื้นที่ภาคตะวันออกไปพร้อม กัน บุปผาทิพย์ กล่าว 

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://pr.moph.go.th/?url=pr/detail/all/02/177142/ (กรมควบคุมโรค เผยขณะนี้ยังพบผู้ป่วยในไทย 4 ราย ส่วนกรณีนักท่องเที่ยวชาวฝรั่งเศสผลตรวจเป็นลบ – สำนักสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข 8 ส.ค. 2565)


จริงหรือไม่.? กัญชาหากสูบเพื่อความสันทนาการหรือความบันเทิง ผิดพรบ. สาธารณสุข มีโทษทั้งจำและปรับ

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://cofact.org/article/z3c5jmft621n

เด็กหญิงชาวปัตตานีวัย 3 ขวบถูกหามส่งโรงพยาบาล เหตุเผลอทานบราวนี่ผสมกัญชาเข้าไป ….. จริงหรือ ?

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://cofact.org/article/sj05emjkcxlg

จริงหรือไม่? วัคซีน #Pfizer เป็นวัคซีนที่มีสารพิษ หลังจากฉีดเข็มแรกแล้ว เสียชีวิต 0.8%

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://cofact.org/article/1q2xmkfx1kjkm

จริงหรือไม่? ฉีดวัคซีนแล้ว มีแม่เหล็กที่แขน

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : https://cofact.org/article/2guo12it4vycm

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 14 สิงหาคม 2565

กินแล้วนอน ทำให้เสี่ยงเกิดโรคมะเร็งหลอดเลือด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2ec4z0ibpi78a


ถนนสาย 41 แถวสะพานมะพร้าวต้นเดียว อ.หนองจิก ปัตตานี เกิดเหตุมีผู้ใช้ถนนถูกดักปาก้อนหินใส่กระจกรถ…โปรดระมัดระวัง

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/227yu1m4h3i7e


ตั้งแต่ 5 กันยายน 2565 นั่งเบาะหลังรถยนต์ ต้องคาดเข็มขัดนิรภัยด้วย ไม่เช่นนั้นมีความผิด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/xtcva3jise7h


เตือนภัย สลิปปลอมระบาดหนัก มีการแก้ไขข้อมูล เพื่อหลอกว่าโอนเงินแล้ว…พ่อค้าแม่ค้าควรระวัง

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2x7l8hijn3r44


หากปล่อยที่ดินทิ้งร้างนานเกิน 10 ปี จะโดนรัฐบาลยึดคืน ตามมาตรา 6 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3bjqvexrzllw8


ขับรถบนทางด่วนไม่เกิน 100 กม./ชม. ฝ่าฝืนมีโทษปรับ!

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1pwnlmtz3szza


กินเค็มระวังความดันขึ้น…จริงหรือ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/274spu5l8w2x1


ถอดบทเรียน‘อิสลามโมโฟเบีย’วงเสวนาชี้‘เข้าใจ-เข้าถึง’เรียนรู้ความแตกต่าง-ช่วยเหลือไม่แบ่งแยก ลดอคติได้

13 ส.ค. 2565 ที่สถาบันเรียนรู้อิสลามประจำจังหวัดเชียงใหม่ ต.ท่าวังตาล อ.เมือง จ.เชียงใหม่ มีการจัดงานเสวนาค้นหาความจริง “แก้ไขข่าวลวง อิสลามโมโฟเบียในสังคมไทย” ถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊กเพจ “ศูนย์ประสานงานเครือข่ายมุสลิมเชียงใหม่” และ “Cofact โคแฟค”

ชุมพล ศรีสมบัติ เครือข่ายสื่อมุสลิมเชียงใหม่ กล่าวว่า เคยมีการสำรวจพบคนไทยร้อยละ 40 เชื่อข้อมูลข่าวลวงที่ปรากฏบนสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ซึ่งสะท้อนความไม่สัมพันธ์กันระหว่างความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีกับความสามารถในการกลั่นกรองของผู้รับข้อมูลข่าวสาร ขอเป็นเพียงเรื่องที่เห็นแล้วถูกใจก็พร้อมที่จะส่งต่อโดยไม่ได้คิดว่าข้อมูลข่าวสารนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร ทั้งนี้ ในศาสนาอิสลามมีคำสอนว่า “ผู้ศรัทธาทั้งหลาย หากคนชั่วนำข่าวใดๆ มาแจ้งแก่พวกเจ้า พวกเจ้าก็จงสอบสวนให้แน่ชัด หาไม่แล้วเจ้าก็จะก่อกรรมแก่พวกใดพวกหนึ่งโดยไม่รู้ตัว แล้วพวกเจ้าจะกลายเป็นผู้เสียใจในสิ่งที่พวกเจ้าได้กระทำไป” จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้เท่าทัน

สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดคือมุสลิมจำนวนไม่น้อยที่เข้าไปมีส่วนร่วมในการเผยแพร่ข่าวเท็จ-ข่าวลวงโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทั้งเจตนาและไม่เจตนา ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือว่าสร้างความเสียหาย และบางครั้งอาจถึงขั้นเป็นภัย ก่ออันตรายต่อสังคม การโพสต์ แชร์ คอมเมนต์ ก็เหมือนกับคำพูด ซึ่งทุกการกระทำจะถูกบันทึกไว้และถูกสอบสวน อันนี้ในทางอิสลาม การพูด การกระทำ ในความเชื่อของมุสลิมจะต้องถูกบันทึกและสอบสวน ทุกคนต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองได้พูด ได้กระทำ ชุมพล กล่าว 

ชาญชัย ศรีสมบัติ ผู้อำนวยการสถาบันเรียนรู้อิสลามประจำจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ปัญหาอิสลามโมโฟเบีย (Islamophobia) หรือการเกลียดหรือกลัวอิสลาม ที่ผ่านมาคนรุ่นก่อนๆ ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ไม่ได้มีความรู้สึกแบ่งแยกระหว่างกัน ในทางตรงข้ามกลับรู้สึกว่ายังเป็นเนื้อเดียวกัน กล่าวคือเป็น “มุสลิมล้านนา” ด้านหนึ่งมีอัตลักษณ์แบบศาสนาอิสลาม แต่อีกด้านก็มีอัตลักษณ์แบบล้านนา อันเป็นวัฒนธรรมในกลุ่มจังหวัดทางภาคเหนือของไทย 

แต่ในเวลาต่อมากลับมีคนเข้าใจไปว่ามุสลิมเป็นคนอื่นที่เข้ามาอยู่ในเชียงใหม่หรือจังหวัดภาคเหนือ เช่น เข้าใจว่ามาจากทางภาคใต้ ทั้งที่ผู้นับถือศาสนาอิสลามจริงๆ แล้วกระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งจากการดำเนินงานของสถาบันเรียนรู้อิสลาม พบว่า ความรู้-ความเข้าใจ ในความเชื่อที่แตกต่าง เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความเกลียดหรือกลัวอิสลาม โดยหลายคนที่มีโอกาสเข้ามาเรียน ได้เล่าว่า สิ่งที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับอิสลามนั้นแตกต่างจากที่เคยได้ยินมา

ทั้งนี้ จากที่เคยสอบถามคนที่เข้ามาเรียน พบว่า 3 เรื่องแรกที่คนทั่วไปมักนึกถึงศาสนาอิสลาม ได้แก่ อันดับ 1 ไม่รับประทานเนื้อหมู อันดับ 2 มีภรรยาได้ 4 คน และอันดับ 3 ผู้ก่อการร้าย ดังนั้นการรับมือความรู้สึกเกลียดหรือกลัวอิสลาม จึงต้องมีการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ดังตัวอย่างของคำว่า “จีฮัด (Jihad)” ซึ่งทางโลกตะวันตกอย่างยุโรปและสหรัฐอเมริกา ได้ยินคำของอิสลามคำนี้แล้วมักคิดว่าหมายถึงการฆ่าฟันกัน

คำว่าจีฮัดในศาสนาอิสลาม มันไม่ได้หมายถึงว่าคุณต้องไปเข่นฆ่าใครแล้วคุณจะได้เข้าสรวงสวรรค์ด้วยการหลั่งเลือด แล้วคำอธิบายว่าแท้จริงสวรรค์นั้นอยู่ภายใต้คมดาบ มุสลิมนั้นเผยแพร่ด้วยคมหอกและคมดาบ เราลองมาถามกันดูจริงๆ ในประวัติศาสตร์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศมุสลิมที่ใหญ่ที่สุดคืออินโดนีเซีย ถามว่าการเข้ามาของมุสลิมในอินโดนีเซียนั้นมันเกิดจากสงคราม มันมีการหลั่งเลือดไปกี่คน? ไม่มี

มุสลิมเข้ามาในจีน ถามว่ามุสลิมยกกองทัพมากี่หมื่นกี่แสนคน ถึงจะทำให้ศาสนาอิสลามเข้ามาสู่ประเทศจีนและเส้นทางสายไหมทั้งหมด? ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่เราเองจำเป็นจะต้องให้ความรู้-ความเข้าใจตรงนี้ มันจึงเป็นสิ่งที่เราเอาจะต้องให้ความรู้อย่างถูกต้องกับผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม ชาญชัย กล่าว

วันอิดริส ปะดุกา นักวิชาการศาสนาอิสลาม เล่าว่า ตนใช้ชีวิตอยู่ใน จ.สตูล แม้จะเป็นจังหวัดที่มีผู้นับถือศาสนาอิสลามเป็นประชากรส่วนใหญ่ แต่ในบางอำเภอก็มีประชากรที่นับถือศาสนาพุทธอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ศาสนิกชนทั้ง 2 ศาสนาก็อยู่ร่วมกันอย่างสันติไม่เกิดความขัดแย้ง ดังนั้นเรื่องของอิสลามโมโฟเบีย จะเป็นข่าวที่ได้ยินจากพื้นที่อื่นๆ มากกว่า อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่มีโอกาสได้ไปใช้ชีวิตอยู่ในปากีสถานเป็นเวลา 6 ปี พบว่า แม้ปากีสถานจะเป็นประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม แต่ก็พบความขัดแย้งระหว่างคนกลุ่มต่างๆ เกิดขึ้นได้ทั่วไป

กล่าวคือ ปากีสถานมีประชากรจากหลายชาติพันธุ์ และมีการแบ่งเป็นรัฐตามกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น รัฐปัญจาบ รัฐบาลูจิสถาน รัฐของชาวปาทาน รัฐของชาวซิน เป็นต้น รัฐเหล่านี้มักขัดแย้งกันทั้งด้านอัตลักษณ์และผลประโยชน์ อีกทั้งมีการเลือกปฏิบัติ อาทิ กลุ่มชาติพันธุ์บาลุจ แม้จะเป็นมุสลิมแต่ก็ถูกปฏิบัติราวกับเป็นพลเมืองชั้น 2 ขณะเดียวกันความขัดแย้งยังนำไปสู่ความรุนแรงทั้งการวางเพลิงและลอบสังหาร นอกจากนั้น ปากีสถานในฐานะประเทศมุสลิม ยังขัดแย้งกับอินเดียซึ่งเป็นประเทศฮินดู 

อย่างไรก็ตาม ตนมองว่า ความขัดแย้งเป็นธรรมชาติของมนุษย์ โดยหากศึกษาประวัติศาสตร์จะเห็นว่า อะไรก็ตามที่เป็นเรื่องขัดผลประโยชน์ ท้ายที่สุดมักนำไปสู่ความเกลียดชังและความรุนแรง ในกรณีของอิสลาม จะเห็นได้ชัดในช่วงสงครามครูเสด ซึ่งในขณะที่ศาสนาคริสต์ในทวีปยุโรปมีการแบ่งเป็นตะวันออก (คอนสแตนติโนเปิล) กับตะวันตก (โรม) เพราะขัดแย้งกันในเชิงอัตลักษณ์ว่าใครคือชาวคริสต์ที่แท้จริง และยังเริ่มมีการเกิดขึ้นของแนวคิดปฏิรูปศาสนา (โปรเตสแตนท์) ศาสนาอิสลามกลับเริ่มขยายตัวในพื้นที่ตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือและยุโรปใต้

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวทำให้ชาวยุโรปมองศาสนาอิสลามเป็นภัยคุกคาม บรรดาผู้นำศาสนาจึงเริ่มแนวคิดระดมคนในยุโรปในนามของชาวคริสต์ขึ้นต่อสู้กับชาวมุสลิม มีการสร้างข่าวปั่นกระแสขึ้นเพื่อสร้างความกลัวและความเกลียดชาวมุสลิม เช่น สร้างภาพว่าชาวอาหรับเป็นกลุ่มชนที่โหดร้ายเกินกว่าความเป็นจริงไปมาก และตอกย้ำว่าชาวมุสลิมทุกคนคือชาวอาหรับ ทั้งที่จริงๆ แล้วผู้นับถือศาสนาอิสลามมาจากประชากรหลายกลุ่ม นอกจากชาวอาหรับ ยังมีชาวเปอร์เซีย ชาวเติร์ก เป็นต้น ซึ่งการสร้างข่าวแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับกระแสเกลียดหรือกลัวอิสลามในปัจจุบัน

ทั้งนี้ ควรสร้างความเข้าใจระหว่างกันทั้งชาวมุสลิมและผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม ซึ่ง “คนไทยที่ไม่ใช่มุสลิมต้องปรับตัวและศึกษา โดยเข้าใจว่าชาวมุสลิมอยู่ในประวัติศาสตร์ไทยมานานแล้ว” เช่น ตั้งแต่สมัยสุโขทัยก็มีคำว่า “ปสาน” มาจากคำว่า “บาซาร์ (Bazaar)” ในภาษาเปอร์เซีย ยิ่งในสมัยอยุธยา ก็มีชาวมุสลิมเข้ามารับราชการเป็นใหญ่เป็นโต หรือใน จ.เชียงใหม่ เท่าที่พบหลักฐานก็มีมุสลิมจีนเข้ามาตั้งรกรากตั้งแต่ 150 ปีก่อน ซึ่งจริงๆ ก็อาจจะนานกว่านั้น 

โดย “ในขณะที่ชาวมุสลิมรู้จักวัฒนธรรมประเพณีของชาวพุทธ แต่ชาวพุทธกลับไม่ค่อยรู้จักวัฒนธรรมประเพณีของชาวมุสลิม” ในทางกลับกัน “ชาวมุสลิมเองก็ต้องทำความเข้าใจเรื่องการปฏิบัติที่ถูกต้อง และสื่อสารอย่างรู้กาลเทศะ” เรื่องใดพูดกับคนต่างศาสนาได้ เรื่องใดควรพูดเฉพาะกับคนศาสนาเดียวกัน และการเรียกร้องในบางประเด็นควรดูบริบทความเหมาะสมด้วยเพราะไม่ใช่ชนส่วนใหญ่

อิสลามไม่ใช่ศาสนาของเชื้อชาติใดเชื้อชาติหนึ่ง ซึ่งต่างจากบางศาสนา เช่น ศาสนาซิกข์ เกือบ 100% ก็เป็นชาวปัญจาบหมด ศาสนายิวก็อาจจะเป็นชาวยิว เป็นอิสราเอลไป แต่อิสลามมีคนจากหลากหลายเชื้อชาติ หลากหลายวัฒนธรรมที่มาน้อมรับหลักธรรมของอัลเลาะห์ ซึ่งเป็นธรรมดาอยู่แล้วที่มนุษย์มีพื้นฐานมาจากอะไรก็จะนำความเชื่อหรือแนวทางปฏิบัติ หรือวิธีคิด (Mindset) ของตัวเองเข้ามาปะปนกับหลักการทางศาสนา 

ถ้าเราดูมุสลิมที่มาจากเอเชียกลาง เขาจะมีแนวทางปฏิบัติแบบหนึ่ง มุสลิมในตะวันออกกลาง ชาวอาหรับก็จะมองโลกอีกแบบหนึ่ง อย่างเราทำกิจกรรม พี่น้องอาหรับมาที่นี่ บางอย่างเขาก็คิดไม่เหมือนกับเรา ไม่เข้าใจเหมือนกับเราว่าทำไมมุสลิมที่นี่ทำแบบนี้แบบนั้น ในขณะเดียวกัน มุสลิมเราก็มองว่าทำไมมุสลิมของเขาทำแบบนั้น ทีนี้พอคนต่างศาสนิกมองคนเขาจะมองเหมารวมหมด โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้เดินทาง ไม่ได้ปฏิสัมพันธ์กับคนที่อื่นหลากหลาย วันอิดริส กล่าว

ปวิณ แสงซอน สถาปนิกมุสลิม กล่าวถึงส่วนที่ประกอบกันเป็นกระแสเกลียดหรือกลัวอิสลาม ว่า ประกอบด้วย ผู้ส่งสาร หรือผู้เผยแพร่ส่งต่อข้อมูลข่าวสาร ซึ่งแบ่งได้ 3 ประเภท คือ 1.ตั้งใจสร้างความเกลียดชัง กลุ่มนี้มีทั้งที่เป็นบุคคลและองค์กร มีกระบวนการผลิตและเผยแพร่เนื้อหาเป็นระบบทั้งทางตรงและทางอ้อม 2.ไม่ได้ตั้งใจแต่นิสัยเป็นเหตุสังเกตได้ หมายถึง ชาวมุสลิมเองก็ไมได้เข้าใจการปฏิบัติตนในแต่ละบทบาทในสังคมตามหลักศาสนา ทำให้คนต่างศาสนาที่พบเห็นมองอิสลามในแง่ลบ

และ 3.คิดดีแต่ผีเข้า หมายถึงผู้ที่ไม่รู้เท่าทันอารมณ์ตนเองและกาลเทศะ เช่น ประเด็นใดเป็นเรื่องส่วนตัว-ส่วนรวม เป็นประเด็นที่ส่งผลกระทบมาก-น้อยต่อสังคม ประเด็นที่สื่อสารในที่สาธารณะได้กับประเด็นที่ควรพูดคุยกันเฉพาะในห้องเรียน กับ “ผู้เสพข่าว” ก็แบ่งได้ 3 ประเภทเช่นกัน คือ 1.หาข้อเท็จจริง ได้ข่าวอะไรมาก็พยายามค้นหาที่มาที่ไป เกิดการปะติดปะต่อเรื่องราวนำไปสู่ทัศนคติของคนคนนั้น 2.จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ ไม่มีเหตุผลใดๆ เพราะอยู่กับจินตนาการล้วนๆ และ 3.มีคำตอบในใจแล้ว ต่อให้ฟังข่าวก็ยังคงตัดสินตามที่คิดไว้อยู่ดี 

ทั้งนี้ ผู้ได้รับผลกระทบจากข้อมูลข่าวสารที่สร้างความเข้าใจผิดหรือเกลียดชัง มักเป็นคนทั่วไปหรือคนที่มีสถานะอ่อนด้อยในสังคม เช่น คนจน คนยากไร้ ลูกจ้าง มากกว่าคนที่มีชื่อเสียงหรือตำแหน่งในสังคมเพราะคนกลุ่มหลังนี้ยังได้รับความเกรงใจอยู่บ้าง ซึ่งการแก้ปัญหาต้องแบ่งคนออกเป็น 2 กลุ่ม เพราะใช้วิธีการไม่เหมือนกัน คือ 1.ใช่/ไม่ใช่ เป็นเรื่องของข้อเท็จจริง กับ 2.ชอบ/ไม่ชอบ เป็นเรื่องของความรู้สึก 

กลุ่มไหนความรู้ก็ไปเคลียร์เขา เขาต้องการข้อเท็จจริง แล้วกลุ่มไหนที่เป็นความรู้สึก ไม่ใช่เกี่ยวกับใช่/ไม่ใช่ แต่เป็นเรื่องชอบ/ไม่ชอบ มันชัดเจน ชอบ/ไม่ชอบนี่ความรู้สึก แต่ใช่/ไม่ใช่เป็นเรื่องของข้อเท็จจริง ฉะนั้นกลุ่มนี้ผมว่ามันต้องโฟกัสเข้ามายังการจำแนก 1-2-3 ผู้ส่งสารมีกี่ประเภท ถ้าเราโฟกัสจะนำไปสู่กระบวนการรับมือบนข้อเท็จจริงว่าเรากำลังรับมือกับความรู้หรือความรู้สึก แยกกลุ่มออกมาแล้วเข้าสู่กระบวนการแก้ไขรับมือด้วยความรู้ ตัวเราต้องรับมือบนความรู้ก่อน รู้ว่าอะไรจำเป็นต้องทำ อะไรด่วน อะไรสำคัญ โฟกัสให้ตรงกัน 

แยกสิ่งที่จำเป็นต้องทำกับควรทำออกจากกันให้ชัดเจน อะไรต้องไม่ทำ อะไรไม่ควรทำ อะไรทำก็ได้ไม่ทำก็ได้ อยู่กับสถานการณ์ให้เหมาะสม แยกให้ออก รู้เท่าทันข้อเท็จจริง สถานการณ์ กลุ่มเป้าหมาย รู้ตรงนี้แล้วมันก็เกิดกลยุทธ์ขึ้นมา พอเราเข้าถึงข้อเท็จจริง เข้าถึงข้อมูลชัดเจน จะเกิดกลยุทธ์สู่การปฏิบัติ ถ้าในส่วนบริหารจัดการเรียกว่า 4W1H โฟกัสไปเลย เคสนี้ต้องใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร ให้ชัดเจน อันนี้คือกระบวนการของกลยุทธ์ แล้วส่งสิ่งเหล่านี้ออกไปเป็นงานศิลปะ ก็คืออย่างจรรยามารยาทที่งดงาม ปวิณ กล่าว 

สุจินดา คำจร นักวิชาการชาวพุทธผู้ทำวิจัยเกี่ยวกับชุมชนมุสลิม กล่าวว่า ความรู้สึกเกลียดหรือกลัวอิสลามมีมาก่อนเหตุการณ์ 9/11 ซึ่งเป็นเหตุก่อการร้ายอาคารเวิลด์เทรดเซนเตอร์ในสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2544 แต่เหตุการณ์ดังกล่าวได้ทำให้เกิดการผลิตซ้ำขึ้น “เมื่อติดตามข่าวสารจะพบว่าสื่อพยายามประโคมข่าวความรุนแรง และขณะเดียวกันความเข้าใจของคนทั่วไปต่อมุสลิมก็มักเป็นแบบเหมารวม” เช่น ในระดับโลก จะคิดว่ามุสลิมคือชาวอาหรับตะวันออกกลาง หรือในประเทศไทย จะคิดว่ามุสลิมคือชาวมลายูในภาคใต้

ซึ่งเมื่อศึกษาแล้วจะพบว่าความจริงไม่ได้เป็นช่นนั้น อย่างกรณีประเทศไทย แม้มุสลิมเชื้อสายมลายูจะเป็นกลุ่มใหญ่ แต่ก็ยังมีมุสลิมกลุ่มอื่นๆ อาทิ ในภาคเหนือ มีทั้งกลุ่มเอเชียใต้ ซึ่งแบ่งเป็นกลุ่มย่อยได้อีกหลายกลุ่ม เช่น ปาทาน เบงกาลี โบรา สุไลมานี ปัญจาบี ฮินดูสตานี จูเลีย หรือกลุ่มมุสลิมเชื้อสายจีน ก็ยังมีกลุ่มย่อยตามการเข้ามา เช่น กลุ่มพ่อค้าที่มากับกองคาราวาน กลุ่มที่เข้ามาหลังการปฏิวัติวัฒนธรรมในจีน และยังมีกลุ่มอื่นที่มาหลังจากนั้นอีก

จากข้อค้นพบข้างต้นทำให้คิดได้ว่า เมื่อรับข้อมูลข่าวสารต้องตั้งคำถามก่อน ว่ามันเป็นแบบนั้นจริงหรือเปล่า ยิ่งสงสัยยิ่งต้องค้นหาข้อมูลแล้วจะเห็นภาพมากขึ้น พื้นที่ทางวิชาการจึงเป็นสิ่งสำคัญ อย่างกรณีของตนเอง การที่เปิดใจยอมรับก็มาจากการศึกษาค้นคว้า แต่หากรีบเชื่อหรือด่วนสุด ก็จะเห็นแต่ภาพเหมารวมอย่างที่เกิดขึ้น เข้าใจ-เข้าถึง การมีวัฒนธรรมที่แตกต่างไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นเรื่องที่ผิด การเรียนรู้จะทำให้อยู่ร่วมกันได้ 

ตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับความสำคัญของทักษะการรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) กล่าวคือ ก่อนหน้านี้เคยมีข่าว จ.เชียงใหม่ มีมัสยิดมากถึง 200 แห่ง เรื่องนี้สำหรับคนที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลามได้ยินแล้วคงตกใจ แต่หากเชื่อในทันทีโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงก็จะเป็นการผลิตซ้ำ ซึ่งการตรวจสอบสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การรับข่าวจากหลายช่องทาง โดยเฉพาะแหล่งข่าวจากทางออนไลน์ยิ่งต้องระมัดระวังเพราะอาจไมได้กลั่นกรองอย่างเพียงพอ แต่อีกด้านหนึ่ง หน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลเรื่องนั้นๆ ก็สามารถชี้แจงข้อเท็จจริงที่ถูกต้องได้เช่นกัน 

เรามี กอจ. (คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด) สามารถดูข้อมูลจากหน่วยงานนั้นได้ มัสยิดจริงๆ มันมีเท่าไร หรือถ้าขึ้นไปอีกก็จะเป็นระดับ กอท. (คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย) อันนี้ก็จะมีการจดทะเบียนเอาไว้ แน่นอนว่าถ้ามีข่าวเชียงใหม่มีมัสยิดเกือบ 200 มัสยิด เอาเข้าจริงถ้าเราเช็คข่าวไปเราจะพบว่าไม่เป็นความจริง เพราะข้อมูลอย่างของ กอจ. ก็จะแจ้งมาเลยว่ามีทั้งหมด 17 มัสยิด แบ่งเป็นจดทะเบียนแล้ว 14 แล้วอีก 3 คือยังไมได้จด ตรงนี้ก็จะเห็นแล้วว่ามันเป็นตัวเลขที่โอเวอร์ หรือว่าเกินความจริงไป สุจินดา กล่าว 

อันธิกา (ยามีละห์) เสมสรร ประธานศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพ (สปสช.) จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้ความเห็นว่า องค์กรของชาวมุสลิมเองก็ต้องปรับวิธีคิดเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มคนที่ไม่ใช่มุสลิมด้วย เช่น ใน จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเกิดน้ำท่วมเป็นระยะๆ องค์กรของชาวมุสลิมที่ต้องการเข้าไปช่วยเหลือในพื้นที่ที่เกิดภัยพิบัติ มักถามเสมอว่ามีชุมชนมุสลิมได้รับผลกระทบมาก-น้อยเพียงใด และอยู่ตรงไหนบ้าง อยากให้เปลี่ยนเป็นคำถามว่า พื้นที่นี้มีชุมชนที่ได้รับผลกระทบอยู่ตรงไหนบ้าง โดยไม่ต้องแบ่งแยกว่าผู้ได้รับผลกระทบนับถือศาสนาใด

เพราะการช่วยเหลือโดยแบ่งแยกศาสนา คนภายนอกที่มองเข้ามาก็จะเห็นการเลือกปฏิบัติ เช่น ไปพูดกันว่าพวกแขกก็ช่วยแต่แขก ดังนั้นหากไม่ใช่แขกก็ไม่ต้องไปสนใจเพราะอย่างไรก็ไม่ได้รับความช่วยเหลือ เป็นต้น ซึ่งจุดเล็กๆ นี้ก็อาจไปเพิ่มความไม่พอใจในความคิดของคนที่ไม่ใช่มุสลิมได้ ทั้งนี้ ที่ผ่านมาตนพยายามประสานให้เกิดภาพดังกล่าวขึ้น อาทิ ชาวมุสลิมไปช่วยวัดพุทธที่ถูกน้ำท่วมและหน่วยงานของรัฐเข้าไม่ถึง แม้จะต้องคอยอธิบายกับองค์กรมุสลิมที่เข้ามาช่วยเหลืออยู่บ่อยครั้งก็ตาม เพราะภาพเหล่านี้สามารถลดความรู้สึกเกลียดหรือกลัวมุสลิมลงได้ 

เราอาจจะทำได้ไม่ทั้งหมดที่จะทำให้คนมุสลิมทุกคนที่อยู่ในประเทศไทยสามารถที่จะมีมุมมองแนวคิดเดียวกัน แต่คิดว่าองค์กรที่เป็นภาคประชาสังคม องค์กรต่างๆ จะเป็นตัวที่จะสื่อสาร ที่จะทำให้ช่วยลดความเกลียดกลัวลงได้เยอะที่สุด แทนที่เราจะไปบอกว่าอิสลามเป็นอย่างนี้นะ ทำไมเราไม่ใช้การปฏิบัติแล้วบอกว่านี่คือการช่วยเหลือ อิสลามให้เราช่วยเหลือ อิสลามให้เราเป็นผู้ให้ อิสลามให้เราเป็นผู้บริจาค แล้วเราก็ไมได้เลือกผู้รับบริจาค นอกจากอันนั้นเป็นสิ่งจำเป็นจริงๆ ที่กำหนดว่าผู้รับต้องเป็นพวกนี้ 

อันนี้เราเลือกที่จะปฏิบัติได้ว่าเราจะปฏิบัติอย่างไร แต่ทำไมเราถึงเลือกปฏิบัติเฉพาะที่เป็นพวกเรา อันนี้เป็นประเด็นที่คิดว่าทำอย่างไรให้เรารับมือ แล้วกลุ่มที่เป็นผู้รับจากเรา กลุ่มที่ไม่ใช่มุสลิม กลุ่มนี้เชื่อว่าเขาจะเป็นคนที่จะสื่อสาร ไปแก้ข่าวที่มันผิดๆ ให้เราเอง อันธิกา กล่าว

ในช่วงท้าย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวปิดการเสวนา ว่า โจทย์ที่ใหญ่ว่าการพูดคุยกันในครั้งนี้ คือเรื่องของความผิดปกติของข้อมูลข่าวสาร (Information Disorder) ทั้งหมดของประเทศไทยที่มากับความท้าทายของเทคโนโลยีสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งข่าวลวง-ข่าวลือมีมานานแล้ว แต่ยุคนี้สามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วและการแก้ไขข่าวบางครั้งก็ตามไม่ทัน ดังนั้นสิ่งที่ต้องช่วยกัน คือการเปลี่ยนจากผู้แพร่กระจาย (Spreader) เป็นผู้ตรวจสอบ (Corrector) โดยเฉพาะคนที่มีชื่อเสียงในสังคม ต้องไม่เป็นผู้กระจายข่าวลวงเสียเอง

เราต้องค่อยๆ สร้างและเปลี่ยนวัฒนธรรมใหม่ เป็น New Normal (วิถีปฏิบัติใหม่) จากเห็นอะไรก็แชร์ ก็ต้องยับยั้งชั่งใจ เปลี่ยนมาเป็น Corrector ไม่ใช่ Spreader คือแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้อง เพื่อเป็นการทำบทบาทของพลเมืองที่ Active (กระตือรือร้น) ขึ้นอีก ชัวร์ก่อนแชร์อันนี้เป็นพื้นฐาน คือเช็คข้อมูลก่อน แล้วถ้าให้ดีกว่านั้น ถ้าเห็นว่ามันไม่ถูกต้องก็ช่วยกันแก้ไขด้วย เว็บไซต์โคแฟคก็เป็นพื้นที่นวัตกรรมหนึ่งที่เราทุกคนสามารถช่วยกันแก้ไขข้อมูล และช่วยกันเผยแพร่ต่อได้ สุภิญญา กล่าว 

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

หมายเหตุ : ข่าวเรื่องผลสำรวจพบคนไทยร้อยละ 40 หลงเชื่อข่าวลวงในสื่อสังคมออนไลน์ มีที่มาจากรายงานของสื่อบางสำนัก รายงานในเดือน ต.ค. 2560 อ้างแหล่งข้อมูลผลสำรวจของ กันตาร์ ทีเอ็นเอส (Kantar TNS) บริษัทวิจัยการตลาดระดับโลกที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในประเทศอังกฤษ 


อ้างอิง

https://www.bangkokbiznews.com/business/777247 (ผู้บริโภคไทยวางใจ“คอนเทนท์-แบรนด์”ช่องทางออนไลน์ : กรุงเทพธุรกิจ 16 ต.ค. 2560)

https://www.brandbuffet.in.th/2017/10/kantartns-research-connected-life/ (ใจดี โลกสวย เชื่อคนง่าย!!! คนไทย 40% เชื่อข่าวปลอมบนโซเชียลสูงสุดในภูมิภาค : Brandbuffet 18 ต.ค. 2560)

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 7 สิงหาคม 2565


ผู้ที่ฉีดวัคซีนแอสตร้า มีความเสี่ยงเป็นโรคฝีดาษลิง…จริงหรือ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/38u0m6yqyf5qt#_=_


กสทช.โทรแจ้งระงับสัญญาณโทรศัพท์เนื่องจากถูกร้องเรียน/ติดแบลกลิสต์..จริงหรือ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1s0isp5vfxtin#_=_


ราชกิจจานุเบกษา ประกาศต่ออายุ พรก.ฉุกเฉิน อีก 2 เดือน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/24irxkhmqkqjp


ผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มอาการไม่ได้รุนแรง (สีเขียว) สามารถรับยาฟรี รักษาตัวได้ที่บ้าน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/36neoqczgc49t


งีบบ่อย ส่อสมองเสื่อม

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/n1tmawdy73vz


รักษาโรคเก๊าต์ได้ด้วยสมุนไพร…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3s4z83r5hm6yp

ระวัง false claim ภาพและวิดีโอเก่า จากข่าวไต้หวัน COFACT Special Report #34

เรียบเรียงจาก Taiwan Fact-Check Center

โดย ทีม บก.โคแฟค

ขณะที่ แนนซี เปโลซี (Nancy Pelosi) ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริกา เดินทางถึงไต้หวันในคืนวันที่ 2 ส.ค. 2565 ตามเวลาท้องถิ่นของไต้หวัน ความตึงเครียดระหว่างไต้หวันกับจีนก็เพิ่มขึ้น โดยในคืนวันเดียวกัน จีนประกาศว่า กองทัพปลดปล่อยประชาชน (PLA) ซึ่งเป็นกองทัพของจีน จะดำเนินการฝึกซ้อมทางทหารและซ้อมรบด้วยกระสุนจริงใน 6 ภูมิภาครอบๆ ไต้หวัน รวมถึงบริเวณช่องแคบไต้หวันด้วย

การเดินทางเยือนเอเชียของ เปโลซี และปฏิกิริยาตอบโต้ของจีนได้จุดชนวนให้เกิดการแพร่กระจายของข้อมูลที่คลาดเคลื่อนบนสื่อสังคมออนไลน์ตั้งแต่เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2565 ที่ผ่านมา และคาดการณ์ได้ว่าจะมีข้อมูลทำนองเดียวกันเพิ่มขึ้นอีกมากในอีกไม่กี่วันหลังจากนั้น ซึ่ง “ศูนย์ตรวจสอบข้อเท็จจริงในไต้หวัน (Taiwan FactCheck Center)” ได้เผยแพร่ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อมูลที่ส่งต่อบนอินเตอร์เน็ตที่พบว่าเป็นข้อมูลเท็จ ดังนี้

1.คลิปวีดีโอที่อ้างว่าจีนเริ่มซ้อมรบรอบๆ ไต้หวันด้วยกระสุนจริง ตั้งแต่เริ่มมีข่าวว่า เปโลซี ประกาศจะเดินทางเยือนไต้หวัน  : วันที่ 31 ส.ค. 2565 มีการเผยแพร่คลิปวีดีโอพร้อมข้อความเป็นภาษาอังกฤษผ่านทวิตเตอร์ ระบุว่า จีนซ้อมรบด้วยการยิงปืนใหญ่โดยใช้กระสุนจริงบริเวณช่องแคบไต้หวัน ขณะที่ไต้หวันก็ส่งเครื่องบินขับไล่ออกจากฐานทัพอากาศเฉียอี้ (Chiayi Air Base) แต่เมื่อตรวจสอบแล้วกลับพบว่า คลิปวีดีโอดังกล่าวเป็นการซ้อมรบของกองทัพไต้หวัน ไม่ใช่กองทัพจีนแต่อย่างใด อีกทั้งเหตุการณ์ในคลิปยังเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อวันที่ 6 พ.ย. 2563 โดยอ้างอิงข้อมูลจากกองทัพไต้หวัน ที่ระบุว่า เป็นการซ้อมรับมือเมื่ออากาศยานของข้าศึกพยายามลงจอด

2.คลิปวีดีโอที่อ้างว่าเรือรบและอากาศยานทางทหารของกองทัพสหรัฐฯ เข้าคุ้มกันการเยือนไต้หวันของ เปโลซีจากการถูกโจมตี ถูกแชร์ผ่านทวิตเตอร์และเทเลแกรม : วันที่ 2 ส.ค. 2565 บัญชีทวิตเตอร์สำนักข่าว Yahoo News ประจำประเทศญี่ปุ่น อ้างว่า เครื่องบินที่ เปโลซี ใช้เดินทางมาไต้หวันถูกยิง โดยสัญญาณการติดต่อหายไปขณะอยู่ที่ช่องแคบไต้หวัน และจีนถูกกล่าวหาว่ามีส่วนกับเรื่องนี้ 

อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบกลับพบว่า บัญชีทวิตเตอร์ดังกล่าวเป็น บัญชีปลอม ที่แอบอ้างว่าเป็นบัญชีของสำนักข่าว Yahoo News ประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากในระบบของทวิตเตอร์ บัญชีของบุคคลผู้มีชื่อเสียง ตลอดจนองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน หากเป็นบัญชีจริงจะมีเครื่องหมายวงกลมสีน้ำเงินกับเครื่องหมายถูกสีขาวอยู่ด้านหลังชื่อบัญชีเพื่อเป็นสัญลักษณ์รับรอง ซึ่งบัญชีปลอมดังกล่าวเริ่มสมัครเข้าระบบทวิตเตอร์ตั้งแต่ มี.ค. 2565 

อีกทั้งเมื่อตรวจสอบเทียบกับบัญชีจริงของสำนักข่าว Yahoo News ญี่ปุ่น ก็ไม่พบข่าวเครื่องบินที่ เปโลซี ใช้เดินทางไปไต้หวัน ถูกโจมตีแต่อย่างใด รวมถึงสำนักข่าวที่มีชื่อเสียงอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นฝั่งตะวันตกอย่าง รอยเตอร์ AFP นิวยอร์กไทมส์ ฯลฯ และฝั่งจีนอย่าง ซินหัว ,  CCTV , People’s Daily ตลอดจนเว็บไซต์ทางการของหน่วยงานภาครัฐในสหรัฐฯ ทั้งทำเนียบขาว กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานสภาผู้แทนราษฎร ก็ไม่มีข่าวนี้เช่นกัน

3.ทางการสหรัฐฯ ประกาศว่า เปโลซี ใช้เครื่องบิน แอร์ฟอร์ซวันไปเยือนไต้หวัน และระยะความปลอดภัยที่ต้องอยู่ห่างเครื่องบินดังกลาวคือ 185 กิโลเมตร หากล้ำเข้าไปอาจถูกยิงได้  : เรื่องนี้พบการโพสต์ในเว๋ยป๋อ (Weibo) สื่อสังคมออนไลน์ของจีนที่มีลักษณะคล้ายเฟซบุ๊ก (Facebook) ของตะวันตก เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2565 อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบกับทาง Flightradar24 ผู้ให้บริการแผนที่การบินของเที่ยวบินต่างๆ ทั่วโลกตามเวลาจริง (Real Time) พบว่า เครื่องบินที่ เปโลซี ใช้เดินทางคือ C-40 เป็นเครื่องบินขนส่งของกองทัพอากาศสหรัฐฯ

ในขณะที่ แอร์ฟอร์ซวัน (Air Force One) ถูกเรียกว่า VC-25A ซึ่งในเว็บไซต์ทางการของทำเนียบขาว ระบุว่า แอร์ฟอร์ซวันมีสถานะเป็น สำนักงานของประธานาธิบดีสหรัฐฯ บนอากาศ โดย แอร์ฟอร์ซวัน เป็นชื่อเรียกเครื่องบินใดๆ ก็ตามของกองทัพอากาศที่มีการติดตั้งอุปกรณ์พิเศษสำหรับการเดินทางของ ปธน.สหรัฐฯ โดยเฉพาะ ซึ่งรวมถึงเครื่องโบอิ้ง 747-200B 2 ลำ ที่มีรหัส 28000 และ 29000 ด้วย 

นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารในไต้หวันอย่าง หวังกวงเล่ย (Wang Guanglei) จาก Youth Daily หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของไต้หวัน ยังระบุว่า เครื่องบิน C-40 ที่ เปโลซี ใช้เดินทางนั้น เป็นการดัดแปลงมาจากเครื่องโบอิ้ง 737 และมีชื่อเรียกว่า SPAR19 เช่นเดียวกับ สือเสี่ยวเว่ย (Shi Xiaowei) จากสำนักข่าวในไต้หวันอย่าง Military & Aviation News ที่เน้นนำเสนอเนื้อหาด้านการทหารและการบิน ที่ย้ำว่า แอร์ฟอร์ซวันเป็นเครื่องบินสำหรับ ปธน.สหรัฐฯ เท่านั้น อีกทั้งผู้เชี่ยวชาญทั้ง 2 ยืนยันว่า ไม่เคยได้ยินสหรัฐฯ เตือนระยะปลอดภัยของ เปโลซี ไว้ที่ 185 กิโลเมตร

ทั้งนี้ Taiwan FactCheck Center จะเฝ้าระวังและตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ส่งต่อกับบนโลกออนไลน์ เกี่ยวข้องกับการเยือนไต้หวันของ แนนซี เปโลซี อย่างต่อเนื่องต่อไป!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://tfc-taiwan.org.tw/articles/7958

https://tfc-taiwan.org.tw/articles/7968

https://tfc-taiwan.org.tw/articles/7963