มองเหตุกราดยิงจากสหรัฐฯถึงไทย สื่อมวลชนจะมีบทบาทป้องกัน-แก้ไขปัญหาความรุนแรงได้อย่างไร

27 ต.ค. 2565 โคแฟค (ประเทศไทย) จัดบรรยายออนไลน์ผ่านเพจเฟซบุ๊ก “Cofact โคแฟค” ในหัวข้อ “Mass shooting in Thailand and the Lesson-learned from the U.S.:  Violence Prevention and Ethics of Fact-based reporting. (บทเรียนโศกนาฎกรรมกราดยิง จากสหรัฐฯ ถึง หนองบัวลำภู บทบาทสื่อที่ควรเป็น และ การป้องกันความรุนแรงในสังคม)” โดยมีวิทยากรคือ แฟรงค์ สมิธ (Frank Smyth) นักข่าวสืบสวนอิสระดีกรีรางวัล ซึ่งมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านสงคราม อาชญากรรมข้ามชาติ การละเมิดสิทธิมนุษยชนในต่างประเทศ รวมถึงการเคลื่อนไหวประเด็นอาวุธปืนในสหรัฐอเมริกา และมี ผศ.ดร.เจษฎา ศาลาทอง อาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับ คุณสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง โคแฟค (ประเทศไทย) เป็นผู้แปลสรุปเป็นภาษาไทย

คุณแฟรงค์ เริ่มต้นด้วยการยอมรับว่าตกใจมากกับเหตุกราดยิงที่เกิดขึ้นในประเทศไทย เนื่องจากมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากอีกทั้งไม่ใช่เหตุอาชญากรรมที่เกิดขึ้นโดยทั่วไปในไทย ขณะที่ในสหรัฐฯ เมื่อทศวรรษที่แล้วที่เคยเกิดขึ้นที่รัฐคอนเนกติคัต หรือเมื่อไม่นานที่รัฐเท็กซัส อย่างไรก็ตาม การค้นหาแรงจูงใจของผู้ก่อเหตุเป็นเรื่องยากในการระบุ แต่เมื่อไม่นานนี้เพิ่งมีการศึกษาแล้วพบว่า แรงจูงใจอาจไม่ได้มาจากปัญหาทางสภาพจิตใจเสมอไป แต่ยังประกอบด้วยปัจจัยอื่นๆ อีกหลายด้าน 

อย่างเช่นวิกฤติปัญหาชีวิต เหตุการณ์อย่างเช่นถูกเลิกจ้างงาน คู่ครองเลิกรา มีคนเสียชีวิต ปัญหาวิกฤติชีวิตที่สิ่งที่มันทำให้ผู้ก่อเหตุรู้สึกท่วมท้น/อัดอั้นตันใจ แล้วผู้ก่อเหตุ อย่างที่เคยเกิดขึ้นที่สหรัฐฯ และตอนนี้ก็เกิดขึ้นที่ไทย ก็ตัดสินใจที่จะไปก่อเหตุที่ธนาคาร ออกจากบ้านไปข้างนอก แสดงการกระทำให้คนอื่นในสังคมเห็นถึงความขัดข้องใจ/ขุ่นเคือง สิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจของเขา ไปยิงธนาคาร ไปยิงคนบริสุทธิ์ แล้วก็ยิงตัวตาย เหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นที่สหรัฐที่เดียว เกิดขึ้นทั่วโลกแล้ว” 

เมื่อถามต่อไปถึงปัจจัยของความรุนแรง ตุณแฟรงค์ค่อนข้างให้น้ำหนักไปที่ การเข้าถึงอาวุธปืนได้ง่าย แต่ประเด็นนี้จะแตกต่างกัน ในขณะที่หลายรัฐของสหรัฐฯ ใครก็ตามที่มีใบขับขี่หรือเอกสารยืนยันตัวตนที่การออกให้ เดินไปที่ร้านแล้วก็ซื้อปืนได้ ภายในเวลา 30 นาที แม้ปัจจุบันจะมีการกำหนดให้มีการตรวจสอบประวัติผู้ซื้ออาวุธปืน แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก เพียงมีอายุมากกว่า 18 ปี ตรวจประวัติเพียงเล็กน้อย แล้วก็เดินออกจากร้านพร้อมกับอาวุธได้เลยตั้งแต่ปืนสั้นไปจนถึงปืนอัตโนมัติอย่าง AR15 ซึ่งเป็นปืนไรเฟิลกำลังสูง

ส่วนประเทศไทย สำหรับคนทั่วไปค่อนข้างเข้าถึงอาวุธปืนได้ยากเมื่อเทียบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ-ทหาร ที่แม้ภายหลังจะไม่ได้ทำงานในอาชีพดังกล่าวแล้วก็ยังครอบครองอาวุธปืนได้ เรื่องนี้ตนไม่ได้ตำหนิใคร แต่เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ปืนที่อยู่ในความครอบครองของผู้ก่อเหตุในไทยเป็นอาวุธที่ขายให้โดยเจ้าหน้าที่ที่ทุจริต หรืออดีตเจ้าหน้าที่ที่เข้าถึงปืน นำมาครอบครองส่วนตัวแล้วขายต่อในภายหลัง ดังนั้นหากจะแก้ปัญหานี้ก็ต้องยุติพฤติกรรมการทุจริตของเจ้าหน้าที่ ที่ปล่อยให้มีการนำอาวุธปืนของทางการมาขายต่อในตลาดมืด อย่างไรก็คาม แม้ไทยจะมีอัตราความรุนแรงจากอาวุธปืนค่อนข้างสูงเกือบเท่าสหรัฐฯ แต่ก็ยังน้อยกว่าประเทศแถบลาตินอเมริกา (อเมริกากลางและใต้)

“ลาตินอเมริกามีช่องว่างความเหลื่อมล้ำสูงมาก ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนสูงมาก มันส่งผล โครงสร้างทางสังคมมีส่วนทำให้อาชญากรรมมีอัตราที่สูงและความรุนแรงจากอาวุธปืนที่สูงด้วย ที่ไทยก็กำลังเผชิญกับปัญหานี้เช่นกัน ผมมองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน่าจะสัญญาณเตือนให้รัฐบาลไทยมองเห็นปัญหานี้ ปัญหาคือการเข้าถึงอาวุธปืน ปัญหาคือการมีเจ้าหน้าที่ที่คอร์รัปชั่น ที่เอาปืนไปขายในตลาดมืด”

ประเด็นต่อมา จากเหตุกราดยิงที่เกิดขึ้นใน จ.หนองบัวลำภู ประเทศไทย มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็น “การทำหน้าที่ของสื่อมวลชน” ซึ่งคุณแฟรงค์ยกตัวอย่างกรณีผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าว CNN เข้าไปในสถานที่เกิดเหตุซึ่งถูกกั้นไว้เป็นเขตหวงห้ามตามกฎหมาย ว่า เป็นการกระทำที่ไม่ฉลาด ไม่ควรทำ และในฐานะที่เคยทำข่าวเชิงสืบสวนสอบสวนมาก่อน ต้องย้ำว่า สื่อมวลชนไม่ได้มีสถานะพิเศษกว่าคนอื่นในการฝ่าฝืนกฎหมาย ไม่ว่าจะอยู่ที่ประเทศใดก็ตาม เพราะกฎหมายต้องใช้ปฏิบัติกับทุกคน

แต่ในเรื่องของข้อมูล ไม่มีใครมีสิทธิมาบอกผู้สื่อข่าวหรือนักข่าวว่าอะไรเป็นข้อเท็จจริงอะไรไม่ใช้ นั่นเป็นเรื่องของผู้รับสารที่จะเป็นคนกำหนดว่าการรายงานข่าวนั้นมีความยุติธรรรม ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริง หรือจริงแท้แม่นยำแค่ไหน เพราะว่าทันทีที่บอกว่าเป็นการรายงานข้อเท็จจริงมากกว่าสิ่งอื่นใด แต่สิ่งที่กำลังพยายามทำอยู่จริงๆ คือการมีอิทธิพลหรือส่งผลต่อรูปแบบ-วิธีการการนำเสนอข้อมูล แล้วเสรีภาพของสื่อไม่อยากให้รัฐเข้ามาแทรกแซง

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวควรปฏิบัติหน้าที่อย่างมีจริยธรรมและมีความรับผิดชอบ ต้องยึดมั่นเรื่องนี้อยู่ทุกห้วงขณะ แต่ผู้สื่อข่าวก็มีสิทธิที่จะรายงานข่าวตามที่ตนเองเห็นสมควรเหมาะสม หลายกรณีข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นคือสิ่งที่คนไม่รู้อย่างถ่องแท้ ดังนั้นหน้าที่ของสื่อคือการรายงานให้ทราบข้อเท็จจริงที่ตัวผู้สื่อข่าวรู้ บอกเรื่องราวที่ผู้รับสารไม่รู้ให้ได้รับรู้ แล้วก็ให้พวกเขาเป็นคนตัดสินใจว่าอะไรที่พวกเขาคิดเป็นเรื่องจริง ถูกต้องแม่นยำ หรืออะไรที่พวกเขาคิดว่าไม่ได้เป็นเรื่องจริง นอกจากนั้น สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าวารสารศาสตร์หรือการรายงานข่าวเป็นกระบวนการที่ไม่ได้สมบูรณ์เสมอไป แต่เป็นเรื่องกระบวนการที่จะค้นพบข้อมูลใหม่อยู่ตลอดเวลา 

“ผมเชื่อว่าผู้สื่อข่าวควรมีเสรีภาพในการนำเสนอข่าว ไม่ควรมีใครมาบอกผู้สื่อข่าวอะไรเป็นข้อเท็จจริง อะไรไม่ใช่ ถ้ามีใครอยากคัดค้านข้อมูลเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็คัดค้านสิ่งที่รายงานออกมาได้ แต่แนวความคิดที่ว่ามีใครมาทำหน้าที่เป็นเหมือนตำรวจคอยกำกับว่าอะไรตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง อะไรที่ถูกต้องแม่นยำ อะไรเป็นข้อเท็จจริง อันนี้เป็นปัญหา เพราะว่าเราทุกคนในสังคมมีหน้าที่รับผิดชอบในการกำหนดเองว่าอะไรเป็นข้อเท็จจริง ไม่ใช่มีแค่คนที่มีอำนาจที่ออกมาบอกว่าผู้สื่อข่าวรายงานข่าวบิดเบือน เพราะนั่นเป็นการบ่อนทำลายเสรีภาพของสื่อ” 

อนึ่ง มีข้อถกเถียงว่า ในเหตุความรุนแรงสื่อควรสัมภาษณ์ญาติของผู้สูญเสียหรือไม่ เนื่องจากมีมุมมองว่าการที่สื่อไปสัมภาษณ์ก็เท่ากับเป็นการทำให้พวกเขาโศกเศร้าพราะต้องเล่าเรื่องราวนั้นซ้ำๆ คุณแฟรงค์ ให้มุมมองว่า เมื่อผู้สื่อข่าวรายงานเกี่ยวกับเหตุการณ์แบบนี้ต้องพยายามไม่สร้างบาดแผลหรือความบอบช้ำนั้นอีก ซึ่งมีเทคนิคในการระมัดระวัง หนึ่งในวิธีนั้นคือ การให้ครอบครัวได้มีโอกาส หมายถึงไม่ใช่การยื่นไมค์ใส่ปากแล้วถามใส่ไม่ยั้ง แต่ควรบอกว่า เสียใจกับความสูญเสียที่เกิดขึ้น แล้วถามว่าอยากบอกอะไรหรือไม่ หากไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร 

โดยตนไม่คิดว่าเป็นเรื่องผิดหรือถูกในการสัมภาษณ์คนหลังเกิดเหตุ แต่จะเป็นเรื่องผิดหากยื่นไมค์จ่อปากแล้วก็ต้อนพวกเขาจนมุมในลักษณะที่พวกเขาไม่ได้คาดหวัง บางทีพวกเขาอาจกำลังแสดงอารมณ์ความรู้สึกส่วนตัวที่ไม่อยากให้มีการเผยแพร่ออกไปก็ได้ ดังนั้นการถามขออนุญาตก่อนสัมภารณ์เป็นเรื่องที่เหมาะสมควรทำ บางคนอาจจะตอบตกลง บางคนอาจปฏิเสธ เพราะว่าเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีความสำคัญ ความน่าสยดสยองของเหตุการณ์ก็สำคัญ และไม่ควรนำภาพร่างของผู้เสียชีวิตมานำเสนอ แม้กระทั่งภาพกราฟฟิกที่ทำขึ้น

คุณต้องมีความละเอียดอ่อนในการหาทางจะเล่า/นำเสนอเรื่องราวที่เกิดชึ้นยังไง ผู้สื่อข่าวที่มีประสบการณ์รายงานข่าวเหตุกราดยิงมาก่อน พวกเขาเรียนรู้วิธีการที่จะนำเสนอข่าวยังไงโดยไม่ต้องเข้าไปใกล้ยังที่เกิดเหตุได้ คุณรายงานข่าวจากข้างนอกได้ ภาพบรรยากาศของญาติของเด็กที่เสียชีวิตที่พากันร้องไห้เสียใจหน้าโรงเรียนด้วยกันได้ บอกเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเด็กที่เสียชีวืตในโรงเรียนได้ โดยไม่ต้องเดินเข้าไปภายในพื้นที่ของโรงเรียนก็ได้ 

ผมคิดว่าเราก็ต้องรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ผู้สื่อข่าวก็ต้องใช้ความละเอียดอ่อนต่อวิธีการที่รายงานหรือบอกเล่าเรื่องราว ไม่ว่าเมื่อใดก็ตามที่ต้องมีการรายงานเกี่ยวกับญาติหรือบุคคลอันเป็นที่รักของผู้เสียชีวิตหรือผู้รอดชีวิต รวมถึงผู้ที่ก่อเหตุด้วย เพราะผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ก่อเหตุก็มีครอบครัวเหมือนกัน อาจเป็นลูกหรือน้องชายหรือสามีของใครสักคน ดังนั้น เราก็ต้องมีความเคารพหรือเห็นใจทุกครั้งที่เราสัมภาษณ์บุคคลอันเป็นที่รักหรือญาติของผู้เสียชีวิต เรื่องราวความรุนแรงคือสิ่งที่เราต้องรายงาน ใครที่ต้องออกมารับผิดชอบเรื่องนี้

คุณแฟรงค์ ยังกล่าวถึงประเด็นเหตุดการดยิงที่ จ.หนองบัวลำภู อีกว่า การลงไปพื้นที่ก่อเหตุไปถามญาติผู้เสียชีวิตว่ารู้สึกอย่างไรไม่ใช่การรายงานข่าวที่ดี และการนำเสนอภาพปฏิกิริยาของญาติผู้เสียชีวิตมันเป็นการรายงานที่คุณภาพต่ำ (Cheap Way) ทางที่ดีคือการสร้างความไว้วางใจจากครอบครัว แล้วก็ให้เขาพาไปที่บ้าน พาไปดูเตียงนอน หนังสือเรียน ของเล่นของเด็กที่เสียชีวิต กระเป๋า สัตว์เลี้ยง เพื่อสื่อให้ผู้ฟังหรือผู้ชมเข้าใจถึงความสูญเสีญอันใหญ่หลวงที่เกิดขึ้นจะดีกว่า 

ส่วนสิ่งที่สื่อมวลชนควรตั้งคำถามคือ แม้ผู้ก่อเหตุจะลงมือจากปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิต แต่เหตุใดผู้ก่อเหตุถึงสามารถเข้าถึงอาวุธปืนได้ทั้งที่ไม่ได้อยู่ในขณะปฏิบัติหน้าที่ นั่นหมายถึงคนที่เป็นเจ้าหน้าที่เข้าถึงอาวุธปืนได้ง่ายใช่หรือไม่ นอกจากนั้น หากมองไปยังคนอื่นๆ ที่ก่อเหตุความรุนแรงด้วยอาวุธปืน ในไทย ซึ่งเป็นทราบกันว่าไทยมีอัตราเหตุฆาตกรรมต่อประชากรที่สูงมากกว่าที่อื่นและเกือบเท่าที่สหรัฐฯ คำถามคืออะไรทำให้สถิติสูง มาจากการที่เจ้าหน้าที่ที่ทุจริตลักลอบนำอาวุธปืนของทางการไปขายข้างนอกหรือไม่ เหตุใดจึงไม่มีการควบคุมเรื่องเหล่านี้

อีกด้านหนึ่ง ในยุคดิจิทัลที่ใครๆ ก็สามารถเผยแพร่และส่งต่อเนื้อหาได้ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ดังนั้นทุกคนในสังคมต้องตระหนักอะไรอย่างไรบ้าง คุณแฟรงค์ มองว่า ตอนนี้ทุกคนมีอุปกรณ์ เข้าถึงอินเทอร์เน็ต เป็นผู้สื่อข่าวพลเมืองกันได้ซึ่งเป็นประโยชน์ แพลตฟอร์มสื่อ (Media Platforms) มีบทบาททั้งดีและไม่ดีต่อสังคม การเผยแพร่ข้อมูลก็เป็นเรื่องสำคัญ แต่พื้นที่สื่อก็ต้องติดตามเฝ้าสังเกตตนเองด้วย ไม่ควรนำเข้าข้อมูลเท็จโดยไม่ได้มีการอธิบายว่าข้อมูลนั้นมาจากแหล่งที่เชื่อถือหรือไม่

อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่า แม้แพลตฟอร์มสื่อออนไลน์ขนาดใหญ่อย่างทวิตเตอร์กับเฟซบุ๊กก็เริ่มมีการดำเนินการแบบนี้แล้ว แต่ว่าเป็นการเริ่มดำเนินการภายใต้การถูกกดดันให้ทำ ไม่ได้สมัครใจแต่แรก แต่นี่เป็นทางเดียวที่จะช่วยให้มีการจำกัดข้อมูลเท็จหรือการโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) ที่เผยแพร่โดยกล่าวอ้างว่าเป็นข้อมูลที่แท้จริงถูกต้อง ไม่ให้มีการเผยแพร่ข้อมูลที่มีลักษณะของการโฆษณาชวนเชื่อโดยไม่มีการบอกให้ทราบด้วยการทำข้ออธิบายกำกับ ตนนั้นไม่อยากให้มีการเซ็นเซอร์ แต่ควรมีการทำคำอธิบายกำกับซึ่งสำคัญมาก 

เรื่องของข้อมูลภาพเหมือนกัน ที่มีความรุนแรง อย่างภาพผู้ถูกยิงที่เป็นเด็กที่โรงเรียน หรือภาพการกระทำความรุนแรงของอาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชัง (Hate rime) ที่คุณไม่อยากให้มีการเผยแพร่ส่งต่อ เพราะว่ามันเป็นการเติมเชื้อไฟให้แก่ความุรนแรงเช่นว่า เพราะมันมีคนที่อยากเห็นคนชนกลุ่มน้อยถูกโจมตีแบบนั้น ดังนั้น คุณก็ไม่อยากเห็นอะไรแบบนี้เผยแพร่บนแพลตฟอร์ม 

คุณไม่อยากให้แพลตฟอร์มเหล่านี้เป็นพื้นที่ของการเผยแพร่ข้อมูลหรือถ้อยคำที่สร้างความเกลียดชัง ข้อมูลเท็จ ข้อมูลลวง รวมทั้งความรุนแรง ผมคิดว่าแพลตฟอร์มบางแพลตฟอร์มทำได้ดีขึ้น แพลตฟอร์มใหญ่ๆ ก็มีการเฝ้าสังเกตตัวเองในเรื่องนี้ด้วย ผมคิดว่ามันเป็นการฝ่าฟันที่ยังเกิดขึ้นอยู่ที่ทุกคนจะต้องมาหาทางแก้ไข มันเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อเราทุกคน ผมคิดว่าเราต้องมาร่วมกันสะท้อนในเรื่องนี้

ในช่วงท้ายของการสนทนา คุณแฟรงค์ ให้ข้อสรุปว่า ประเทศไทยอาจจะเผชิญกับการกราดยิงอีก แต่ก็หวังว่าจะไม่มีเหตุการณ์โหดร้ายแบบที่เกิดขึ้นกับเด็กเล็กๆ เมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งเหตุความรุนแรงจากอาวุธปืนในไทยก็เกิดขึ้นมากอยู่แล้ว ส่วนผู้สื่อข่าวก็ควรรู้ตัวได้แล้วว่าไม่ควรผลิตข่าวคุณภาพต่ำที่เน้นเรื่องราวกระตุ้นอารมณ์ แต่ควรถอยมาก้าวนึง แล้วลงทุนผลิตข่าวสารที่กระตุ้นความสนใจ ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ที่ให้เกียรติผู้เสียชีวิต ผู้รอดชีวิต ญาติผู้เสียชีวิต ซึ่งตนมองว่าสำคัญมาก ในขณะเดียวกันก็ต้องรายงานข่าวที่ผู้สื่อข่าวจะรู้สึกภาคภูมิใจ 

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

https://www.bangkokbiznews.com/news/news-update/1033424 (งามไส้ “ดาบตำรวจ” ขโมย “ปืนหลวง” ไปขาย-จำนำ กว่า 150 กระบอก : กรุงเทพธุรกิจ 20 ต.ค. 2565)

https://www.voathai.com/a/dead-including-gunman-in-cincinnati-bank-shooting/4560563.html (เสียชีวิต 4 ราย! เหตุยิงกราดที่ธนาคารกลางเมืองซินซินเนติ : Voice of America 7 ก.ย. 2561)

https://thainews.prd.go.th/th/news/detail/WNFOR6109070020003 (มีเหตุยิงกันเกิดขึ้นภายในธนาคารย่านใจกลางเมืองซินซินเนติรัฐโอไฮโอของสหรัฐ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 4 คน : สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ 7 ก.ย. 2561

https://www.bbc.com/thai/articles/clm8lx797gyo (เหตุกราดยิงศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จ.หนองบัวลำภู ติดอันดับกราดยิงสังหารในโรงเรียนร้ายแรงสุดในโลก : BBC 8 ต.ค. 2565)

https://thestandard.co/nongbua-lamphu-shooting/ (ผบ.ตร. แถลงอดีตตำรวจกราดยิง คาดเมายา เครียดต้องขึ้นศาล ปืนก่อเหตุซื้อเองถูกกฎหมาย : The Standard 6 ต.ค. 2565)

https://www.thaipbs.or.th/news/content/320242 (ผบ.ตร.เผยผลตรวจ อดีต ตร. “กราดยิงหนองบัวลำภู” ไม่พบสารเสพติด – เตรียมตรวจซ้ำ : ThaiPBS 7 ต.ค. 2565)

https://www.thairath.co.th/news/politic/2028231 (ครบรอบ 1 ปี เหตุสะเทือนขวัญ กราดยิงโคราช : ไทยรัฐ 8 ก.พ. 2564)


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 29 ตุลาคม 2565

ยาฆ่าเชื้อ เช่น ด็อกซีไซคลิน ห้ามใช้กับเด็กอายุต่ำกว่า 8 ขวบ เพราะยากลุ่มนี้อาจมีผลทำให้สีของฟันมีสีเหลืองหรือเทาอย่างถาวร

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1pkhz6kyanhf


ชาวบ้านอ่วม เวนคืน 3.2 พันไร่ สร้างสนามบินบึงกาฬ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1vrpst19krtb0


กรมอุตุฯ คาด 29 ต.ค.นี้ ไทยเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเป็นทางการ อากาศเย็นกว่าปีที่แล้ว…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/20qagak2gdxcn


ค่าเงินบาทอาจอ่อนค่าถึง 40 บาทต่อดอลลาร์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2sdclmytgdwnq


ถ้าโอนเงินผิดบัญชี ไม่ต้องตกใจเพียงแค่ทำตาม 3 ขั้นตอนนี้ก็ได้เงินคืน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2dum8wt2lw5u0


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 22 ตุลาคม 2565

9 Steps บริหารดวงตาด้วยวิธีธรรมชาติ บอกลาสายตาสั้น-ยาวใช้ได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2hihd7vf349l0


เข้าห้องน้ำสาธารณะเสี่ยงติดฝีดาษลิง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/f5bckfd9wcg4


 เด็กเคี้ยวใบกวักมรกต เกิดอาการแสบคอ ตัวสั่น ชัก

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/g7zhaj0i382z


“โรคไข้ดิน” ระบาด! ที่ อ.เทพา จ.สงขลา ป่วย 7 ตายแล้ว 5 ราย

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/14c3rxdg9d9h1


แนะสวมหน้ากากต่อ ป้องกันสายพันธุ์ XBB เหตุแพร่เร็ว – ดื้อต่อภูมิคุ้มกัน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2k9ae5by193xi


ลงโปรแกรมเถื่อน นอกจากผิดกฎหมายแล้ว ยังเพิ่มความเสี่ยงให้เครื่องคอมพิวเตอร์ด้วย

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1jvdzu6xlzfx3


 ระวัง! คนร้ายสุ่มเลขบัตรเครดิต/เดบิต ชำระเงินออนไลน์

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2x34tu4suyzqs


มูลนิธิกระจกเงา และนิ่ม เอ็กเพรส #รับบริจาคเสื้อผ้ามือสอง ตั้งแต่วันนี้ – 29 ธ.ค. 65

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1tzl8foz1a9j1


“กล้วย” ช่วยให้ผมสวยน้ำมะนาวนั้น มีประโยชน์ยิ่งในการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ …จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1sg36t7di4dve


มีงานวิจัยพบว่าเฟซบุ๊กมีส่วนทำให้คนปฏิเสธเรื่องโลกร้อน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3a15yggddinzm


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 16 ตุลาคม 2565

กด *3370# ช่วยเพิ่มแบตเตอรี่โทรศัพท์ 50 เปอร์เซ็นต์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2wltc6kpyyigb


กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศ 1 ต.ค. 65 เป็นต้นไป ยกเลิก “โควิด-19” จากโรคติดต่ออันตรายให้เป็นโรคติดต่อต้องเฝ้าระวัง

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1ifrb1e3g8f69


อย.เรียกคืนบะหมี่ “Mie Sedaap” ในไทยเสี่ยงพบสารเอทิลีนออกไซด์ ที่พบเป็นส่วนประกอบของยาฆ่าแมลง ไม่สามารถใช้สำหรับอาหารได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/4cngpgdtxy7s


เตือนนักท่องเที่ยวเข้าไปในโพรงต้นไม้ใหญ่เสี่ยงติดเชื้อราจากมูลค้างคาว

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/24qqyk8sm29ag#_=_


หมอมนูญ เตือนฟันผุ อย่าปล่อยไว้ อาจส่งผลเกิดหนองในช่องเยื่อหุ้มปอด อาจทำให้ป่วยเป็นโรคฮิสโตพลาสโมซิส (Histoplasmosis)

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/16ptrulcdp3at#_=_


สมุนไพรใส่ขวดสุดอันตราย ยอดยาจีน โสมกลั่น กระดูกเสือ ยาดองสองเพศ ยาแก้ซางตานขโมย และยาธาตุเสริมคุณ เข้าข่ายเป็นยาปลอมที่ไม่ได้รับอนุญาต สรรพคุณทำตับพัง อันตรายถึงชีวิต…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1603jf31d5h34#_=_


โทรสายด่วน เบอร์ 112 ผ่าวิกฤตเหตุฉุกเฉินไทยได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2v09bsqhh1b5l


ขายยาผ่านเน็ตผิดกฎหมาย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2lklxng819w2z


ยาสามัญประจำบ้าน สามารถวางขายในร้านขายของชำได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1s0zlzwf0k0bo


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 9 ตุลาคม 2565

หากขึ้นรถต้องลดกระจกเพื่อระบายสารพิษ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/37o8s76i8dt6e


กระเทียมป้องกัน Covid-19 ได้เหมือนวัคซีน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/30jioi4e524ed


ยื่นภาษีมีปัญหาผ่านเว็บไซต์กรมสรรพกร โดยเว็บไซต์นี้ https://www.afdw7.com…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2vf7zy00lynmk


 ‘ดีอาร์คองโก’ ประกาศการแพร่ระบาดครั้งใหม่ของเชื้ออีโบลา

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3bvi7rai86beu


หวีผมมีส่วนช่วยเสริมการไหลเวียนเลือดบริเวณศีรษะ ลดความเครียดทำให้จิตใจเบิกบาน ป้องกันและรักษาอาการปวดศีรษะ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1386lhnxah671


อันตรายจากสารปยเปื้อนเมื่อใช้กระดาษทิชชูซับน้ำมันของทอด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/31kzqj70l4qrb


ความดันสูงให้กินข้าวโอ๊ต งดบุหรี่ และความเค็ม…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/31jqy06a53573


เมื่อคนไร้เสียงลุกขึ้นมาส่งเสียงจากการทำงานแสวงหาความจริงร่วม ในงาน Trusted Media Summit APAC 2022

เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2565 Google News Initiative ร่วมกับโคแฟค (ประเทศไทย) และภาคีเครือข่ายทั่วประเทศ จัดการประชุม Trusted Media Summit APAC 2022 ประจำประเทศไทย ซึ่งมีเจตจำนงในการรวมตัวของคนทำงานด้านสื่อ เพื่อค้นหาแนวทางและการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนเผยแพร่ข่าวออกไป และทำให้ลดผลกระทบที่เกิดขึ้นในอนาคตอีกด้วย โดยอีกช่วงที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือช่วง Voice of the Voiceless: เสียงสะท้อนจากภาคสังคมในการแสวงหาความจริงร่วม ซึ่งเป็นการรวมพลังเสียงของภาคประชาสังคมและคนที่ไม่ได้มีโอกาสเปล่งเสียง ให้มีพื้นที่เพื่อส่งเสียงไปยังสื่อมวลชน นักการศึกษา และนักวิชาการให้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการสื่อสารประเด็นอื่นๆ มากขึ้น

เริ่มต้นด้วย กมล หอมกลิ่น – อีสานโคแฟค เริ่มต้นกล่าวว่า เสียงของคนไร้เสียงมีอยู่จริง แต่เราพยายามที่จะสร้างผู้บริโภคที่รู้เท่าทันสื่อและเป็นนักสื่อสารไปพร้อมๆ กันได้ เราเจ็บปวดเหลือเกินเวลาที่ไปตามชุมชนต่างๆ เห็นผู้สูงวัยใช้โทรศัพท์มือถือเล่นไลน์ ซึ่งเป็นเครื่องมือใหม่ของเขา และจากที่เขาเคยเชื่อรัฐบาลในวันนั้น วันนี้เขาเชื่อโทรศัพท์มือถือ แต่เขาก็โดนหลอกอยู่ดี ผมคิดว่าวันนี้ถึงเวลาที่เราต้องลุกขึ้นมาร่วมกันทำงาน มันเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นไม่น้อยกว่าการเมือง เพราะสื่อก็มีทั้งข่าวลวง และการหลอกหลวง นั่นคือความจำเป็นที่เราต้องออกมาทำงาน ย้ำว่าทุกคนจงเชื่อว่าเราสามารถดึงคนที่ไร้เสียงขึ้นมาเป็นผู้บริโภคได้ในที่สุด

เชลศ ธำรงฐิติกุล – ผู้ใหญ่บ้านชุมชนหนองหญ้าไซ กล่าวว่า ชุมชนของตนเองนั้นทำวิทยุชุมชนในกลุ่มประเภทไม่แสวงหาผลกำไร เน้นการทำวิทยุเพื่อเข้าถึงชุมชนและสื่อสารข้อมูลข่าวสารที่ควรรับทราบให้ประชาชนในพื้นที่ สิ่งสำคัญในการทำวิทยุคือการส่งเสริมให้ประชาชนรู้เท่าทันในทุกๆ เรื่อง โดยการสร้างคุณค่าให้กับสื่อนั้นใช้เวลามามากกว่า 19 ปี เราใช้เครื่องมือวิทยุชุมชนในการส่งเสริมให้ประชาชนออกมาตรวจสอบข่าวลวง เพื่อปกป้องตนเองและครอบครัว รวมถึงการใช้ประเพณีในการส่งเสริมและหนุนเสริมร่วมกันสำหรับคนที่เข้าไม่ถึงสื่อใหม่ ยิ่งเราสามารถสร้างและทำหน้าที่สื่อชุมชนอย่างเข้มแข็ง ก็จะยิ่งได้รับความร่วมมือมากขึ้นเท่านั้น

มะรูฟ เจะบือราเฮง – Digital4Peace (Deep South Cofact) กล่าวว่า ความรุนแรงในสังคมแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือความรุนแรงโดยตรง ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง และความรุนแรงเชิงวัฒนธรรม เราในฐานะของคนทำสื่อจะทำอย่างไรที่ทำให้เขามีพลังในการออกไปใช้ชีวิตและไม่ต้องพบเจอกับความรุนแรงทั้ง 3 ประเภทได้ เช่น การที่ประชาชนสามารถใช้เครื่องมือในการแบ่งปันสื่อ และสร้างสรรค์สังคมให้ดีขึ้นได้ด้วยมือของเขาเอง ซึ่งการสร้างสรรค์สื่อให้ทรงพลังไม่ได้เกิดได้แค่คนเดียว แต่เกิดขึ้นจากหลากหลายพลังร่วมกัน

กฤษณเดช โสรส – สมาคมสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย จังหวัดเลย กล่าวต่อว่า เรามีความเชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุถ้าเขาได้รับการเรียนรู้ที่ดี และในขณะเดียวกันก็เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการถูกหลอกหลวงในเรื่องสุขภาพเช่นเดียวกัน โดยผมและภาคีเครือข่ายและ สสส. ได้ริเริ่มการจัดหลักสูตร “สูงวัยเท่าทันสื่อ” เพื่อวิเคราะห์สื่อและสร้างการรู้เท่าทันสื่อ โดยได้กลั่นออกมาเป็น 3 ข้อที่เป็นคาถาป้องกันข่าวลวง คือจำเป็นไหมในการนำเสนอ หาข้อมูลมาประกอบการู้เท่าทัน และเดือดร้อนใครไหมในการนำเสนอข่าว โดยจากการอบรมนี้จะส่งผลทำให้เกิดการเฝ้าระวังสื่ออย่างน้อย 20 จังหวัดๆ ละ 20 คน รวมกันประมาณ 400 คน

อิงฟ้า ชัยยุทธศุภกุล – ผู้แทน Girls in Tech Detecthron กล่าวว่า สื่อในปัจจุบันสามารถเข้าถึงได้ง่ายมากกว่าสมัยก่อน แต่ด้วยความที่ง่าย เราก็ต้องระมัดระวังในการค้นหาข้อมูลมากขึ้นเหมือนกัน ซึ่งเราในฐานะผู้เสพสื่อก็ต้องใช้วิจารณญาณในการเสพสื่อเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ข่าวลุงพลที่สื่อมีการกระพือในการนำเสนอจนหลุดจากต้นทางที่ควรนำเสนอ สิ่งนี่เองทำให้ตนเองรู้สึกว่าสื่อไม่ได้มีความซื่อตรงขนาดนั้น กลับกันตนเองยังตั้งคำถามว่าจริยธรรมสำคัญอย่างไรในวันที่เรตติ้งก็สำคัญเช่นกัน

พระมหานภันต์ สนติภทโท – มูลนิธิสถาบันการจัดการวิถีพุทธเพื่อสุขและสันติ (สกพ.) กล่าวปิดท้ายในงานว่า เราเวลาทำเรื่องดีๆ สื่อมักจะไม่สนใจ และพอเราไม่ระวังเรื่องสันติภาพกับเสรีภาพ ก็อาจจะส่งผลต่อการนำเสนอข้อมูลข่าวสารได้ ฉะนั้น Trusted Media ในความหมายที่แท้จริงคือมันไม่มีอยู่จริง เพราะมันสร้างปัญหาจากการที่เรามัวแต่สนใจว่าแบรนด์ไหนน่าเชื่อถือกว่ากัน วันนี้เรามีแต่ Trusted Mindset คือตั้งหลักก่อนที่จะเชื่อมั่นอะไรก็ตาม ใช้หลักกาลามสูตร 10 ประการในการรู้เท่าทันตนเองและสื่อได้ แน่นอนว่าทุกท่านสามารถช่วยกันได้ในการสร้างสันติภาพและการรู้เท่าทันสื่อให้ได้


มอง3ข้อมูลผิดปรกติในสังคมไทย‘สุขภาพ-การเมือง-อาชญากรรมไซเบอร์’ผลร้ายมีมากแต่จัดการไม่ง่าย

21 ก.ย. 2565 วิทยากรจากสถาบันพระปกเกล้า สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และสภาองค์กรของผู้บริโภค ร่วมสรุปประเด็น “ข้อมูลผิดปรกติ (Information Disorder) ในสังคมไทย” ในเวทีประชุมสุดยอด APAC Trusted Media Summit ประจำปีครั้งที่ 5ในประเทศไทย ซึ่งจัดโดย โคแฟค (ประเทศไทย) และ Google News Initiative (GNI) ที่ชั้น 6 อาคารทรูดิจิทัลพาร์ค สุขุมวิท 101/1 ถ.สุขุมวิท กรุงเทพฯ


ญาณี รัชต์บริรักษ์ รักษาการผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมระบบสื่อและสุขภาวะทางปัญญา สสส. กล่าวว่า 2-3 ปีที่ผ่านมา คนไทยเผชิญกับปัญหาข่าวลวง (Fake News) อย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งมีคำ 2 คำเดินทางมาพร้อมกัน คือ Pandemic ที่แปลว่าโรคระบาด กับ Infodemic ที่หมายถึงการระบาดของข่าวลวง โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) จัดให้เป็นช่วงวิกฤติของการสื่อสาร และเน้นย้ำความสำคัญของการเปิดพื้นที่เพื่อค้นหาข้อมูลร่วมของสังคม


ซึ่งความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) เป็นทักษะที่จะช่วยให้คนไทยมีชีวิตแบบมีสุขภาวะ รอดพ้นภยันตรายจากข้อมูลลวงด้านสุขภาพ โดยองค์ประกอบของความรอบรู้ด้านสุขภาพ มีตั้งแต่การเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง การวิเคราะห์และประเมินสื่อ สามารถตัดสินใจจัดการกับตนเองในเรื่องของสุขภาพ ตลอดจนการเท่าทันสื่อและสื่อสารข้อมูล ซึ่งส่วนหนึ่งก็คือทักษะการรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) ที่มีหลักคิดว่า ต้องไม่เชื่อไว้ก่อนจนกว่าจะหาข้อมูลมายืนยันได้ว่าเรื่องนั้นถูกต้อง


ทั้งนี้ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา มีข่าวลวงด้านสุขภาพเกิดขึ้นหลายประเด็น เช่น โควิด-19 วัคซีน ฟ้าทะเลายโจรและสมุนไพรรักษาโรค กัญชา รวมถึงอาหารเสริมต่างๆ ซึ่งมีทั้งข่าวลวง (Fake News) และข้อมูลบิดเบือน (Disinformation) โดยมีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มเติม เช่น การสื่อสารในพื้นที่ปิด ปรากฏการณ์ห้องเสียงสะท้อน (Echo Chamber) วัฒนธรรมเกรงใจไม่กล้าเตือนกัน ไปจนถึงบุคคลที่มีชื่อเสียง (Influencer) เป็นผู้เผยแพร่ข้อมูลผิดๆ เสียเอง


อนึ่ง สถาบันเชนจ์ฟิวชั่น เคยสรุปข้อค้นพบเกี่ยวกับข่าวลวงด้านสุขภาพในรอบปีที่ผ่านมา พบว่า แม้จะมีความถี่ของข่าวลวงมากในแพลตฟอร์มเปิดเป็นสาธารณะ แต่เจ้าของแพลตฟอร์มก็พยายามใช้อัลกอรึทึมเพื่อปิดกั้นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง แต่ที่น่าห่วงคือในกลุ่มปิด เช่น กลุ่มไลน์ กลุ่มเฟซบุ๊ก ซึ่งมีข่าวลวงและข้อมูลบิดเบือนอย่างสูง เนื่องจากเป็นเรื่องยากในการตรวจสอบ ส่วนผู้เผยแพร่ข่าวลวงก็มีตั้งแต่พวกทำเพราะสนุก พวกที่หวังผลทางธุรกิจบ้างการเมืองบ้าง หรือพวกแอบอ้างว่าเป็นคนวงใน

ประเด็นข่าวลวงที่ต้องระวังคือเรื่องที่อาจสร้างความแตกแยกในสังคม เช่น โรคฝีดาษลิงกับกลุ่มชายรักชาย วัคซีนโควิด-19 กับศาสนา ข่าวลวงยังมีแนวโน้มเผยแพร่แบบข้ามพรมแดน มีการแปลจากภาษาหนึ่งไปเป็นภาษาอื่นๆ สุดท้ายคือการมีพื้นที่ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและแสวงหาความจริงร่วม แต่มีความท้าทายคือ บางอย่างก็ไมได้เป็นเท็จหรือจริงทั้งหมด โดยเป็นข้อมูลที่ซับซ้อนละเอียดอ่อน เช่น การรักษาโรคด้วยสมุนไพร หากภาครัฐไปบอกว่าเป็นข่าวลวงโดยไม่ระมัดระวัง อาจผลักให้ประชาชนไปสู่การเชื่อในโฆษณาชวนเชื่อได้

“ทางออกในการแก้ข้อมูลผิดปรกติในสังคมไทย รัฐต้องสนับสนุนให้เกิดระบบข้อมูลที่เป็น Open Data (ข้อมูลเปิด) ควบคู่ไปกับการสร้างแพลตฟอร์ม เรียกว่าการสนับสนุนของแพลตฟอร์มในการสร้างแพลตฟอร์มที่มีอัลกอริทึมที่จะช่วยบล็อกข้อมูลข่าวลวงต่างๆ รวมถึงการที่สื่อมวลชน องค์กรวิชาชีพสื่อจะทำหน้าที่ในการเฝ้าระวัง ตรวจสอบข้อมูลแล้วก็เป็นที่พึ่งของสังคม และสร้าง Solution (แนวทางแก้ไขปัญหา) ให้กับสังคมได้ รวมถึงการพัฒนาศักยภาพของประชาชน ให้เป็นประชาชนที่เป็นพลเมืองดิจิทัล ช่วยกันตรวจสอบข้อมูล และสร้างวัฒนธรรทในการตรวจสอบข้อมูลร่วม เพื่อที่จะนำไปสู่สังคมแห่งปัญญาและสังคมแห่งสุขภาวะ” ญาณี กล่าว


สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า กล่าวว่า การบิดเบือนข้อมูลเพื่อหวังผลทางการเมือง (Political Disinformation) หนึ่งในกรณีอื้อฉาวคือการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ครั้งล่าสุด มีการเผยแพร่ข้อมูลว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีต่ออีกสมัย ทั้งที่จริงๆ แล้ว ทรัมป์เป็นฝ่ายแพ้ ทำให้ในวันที่ โจ ไบเดน ผู้ชนะเลือกตั้ง ปธน. ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดดังกล่าว ประกอบพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ก็เกิดเหตุจลาจลขึ้นบริเวณอาคารรัฐสภา


การบิดเบือนข้อมูลกับการเมืองนั้นเป็นเรื่องที่พบได้ปกติมาก เช่น ในช่วงเลือกตั้งที่พบการใส่ร้ายป้ายสีคู่แข่งกับการโอ้อวดตนเองเกินจริง แต่พฤติกรรมเหล่านี้ยังสามารถถูกควบคุมได้โดยกฎหมาย ที่น่าห่วงกว่าคือการที่ข้อมูลชุดเดียวกันแต่มองได้หลายมุม และไม่สามารถฟันธงได้ว่าบิดเบือนหรือไม่ เช่น เมื่อพูดถึวอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยอย่าง ทักษิณ ชินวัตร จะมีทั้งฝ่ายที่มองว่าเป็นนายกฯ ที่ดำเนินนโยบายทำให้ประชาชนกินดีอยู่ดี กับฝ่ายที่บอกว่าเป็นนายกฯ ที่ดำเนินนโยบายประชานิยมและมีผลประโยชน์ทับซ้อน


หรือเหตุการณ์รัฐประหารปี 2549 ก็มีทั้งฝ่ายสนับสนุนที่นำดอกไม้ไปให้ทหาร และฝ่ายต่อต้านที่ถึงขั้นขับรถแท็กซี่ชนกับรถถัง มาจนถึงเมื่อเร็วๆ นี้ กับเหตุการณ์ยุบพรรคอนาคตใหม่ นำมาซึ่งการเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ที่เป็นนักเรียน-นักศึกษา ครั้งนี้ประเด็นข้อมูลค่อนข้างอ่อนไหวกว่าครั้งก่อนๆ เพราะกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างคนต่างรุ่น ซึ่งคนเราจะเติบโตมากับชุดความรู้หนึ่ง และเมื่ออายุมากขึ้นชุดความรู้นั้นก็กลายเป็นความเชื่อและเป็นสิ่งที่ต้องรักษาไว้ โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับคนอีกรุ่นหนึ่งที่ตีความอะไรใหม่ๆ แตกต่างไปจากเดิม


“ปัญหาของข้อมูลที่ไปใช้เพื่อหวังผลทางการเมือง คือเราใช้คำว่าการตีความกฎหมาย จริงๆ ปกติการตีความกฎหมายน่าจะเป็นทางออกให้กับข้อมูลที่มันหลากหลายชุดความคิด หลากหลายการตีความ ให้มันได้ความจริงเพียงหนึ่งเดียวและเป็นที่ยอมรับ แต่ปัจจุบันท่านก็จะเห็น กฎหมายอะไรก็ไม่รู้ เรื่องแค่ว่า 8 ปีหรือไม่ 8 ปี อธิบายกันได้อย่างน้อยๆ 3 แบบ 3 ทาง ซึ่งจริงๆ อาจจะ 4 หรือ 5 ว่ามันครบ 8 ปีเมื่อไร


แล้วบทสรุปของมันอาจจะกลายเป็นว่า การตีความจนเป็นคำตอบมันอาจจะไม่เป็นที่ยอมรับก็ได้นะ แต่มันน่ากลัวตรงที่มันมีสภาพบังคับทุกองค์กร ไม่มีใครล่วงละเมิดได้ อันนี้น่ากลัว มันเป็นชุดความจริงที่ใช้เครื่องมือที่ชอบธรรมมากในทางการเมือง มาจัดการให้มันถูกต้องชอบธรรมโดยที่มันไมได้รับความชอบธรรมทางสังคม” ผอ.สำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า

ภัทรกร ทีปบุญรัตน์ เจ้าหน้าที่ศูนย์ผู้บริโภคแบบเบ็ดเสร็จ (One-stop service) สภาองค์กรของผู้บริโภค เปิดเผยว่า นับตั้งแต่การก่อตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค เรื่องที่ได้รับร้องเรียนอยู่บ่อยครั้งคือการถูกหลอกขายสินค้าทางออนไลน์ หรือแม้กระทั่งแอปพลิเคชั่นหลอกลวงก็ยังเข้าไปอยู่ในสโตร์ของผู้ให้บริการแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งประชาชนไม่สามารถไว้วางใจแพลตฟอร์ม และหากผู้ให้บริการแพลตฟอร์มยังเห็นแก่เม็ดเงินโฆษณาของคนเหล่านี้ก็จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้


นอกจากนี้ มิจฉาชีพยังมีการพัฒนากลยุทธ์ในการหลอกลวง ตั้งแต่การหลอกให้กดลิงค์ต่างๆ ซึ่งเมื่อเหยื่อหลงเชื่อมิจฉาชีพก็จะสามารถเข้าถึงข้อมูลสำหรับทำธุรกรรมทางการเงินได้ หรือมีแม้กระทั่งมิจฉาชีพรู้ว่าผู้สูงอายุรายหนึ่งมีเงินเก็บจำนวนมาก ก็ทำทีลงทุนซื้อโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนให้ใช้แทนโทรศัพท์แบบปุ่มกด แถมยังสอนการใช้แอปพลิเคชั่นธุรกรรมการเงินอีก แต่ผู้สูงอายุรายนี้ไม่รู้เลยว่า มือถือสมาร์ทโฟนที่ได้มาใช้นั้นฝังโปรแกรมที่สามารถมองเห็นและควบคุมเครื่องจากระยะไกลไว้ มารู้อีกทีก็ถูกถอนเงินไปเกลี้ยงบัญชีแล้ว เป็นต้น


โดยข้อมูลจาก ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (Thai Police Online-สอท.) ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.-11 ก.ย. 2565 พบว่า มีการแจ้งความออนไลน์กันกว่า 8 หมื่นเรื่อง โดยมีการหลอกลวงให้ทำงาน และหลอกลวงให้กู้เงินมาเป็นอันดับต้นๆ โดยเฉพาะเรื่องการหลอกลวงให้กู้เงินแต่เหยื่อนอกจากจะไม่ได้เงินแถมยังเสียเงินเพิ่มไปอีก ซึ่งมิจฉาชีพอ้างว่าอนุมัติเงินกู้แล้วแต่ต้องจ่ายค่าดำเนินการบางอย่าง เมื่อเหยื่อหลงเชื่อก็จะโอนให้ 500 บาทบ้าง 1,000 บาทบ้าง จนบางรายเสียหายไปเป็นหลักหมื่นบาท
และการจะอายัดเงินให้ทันก่อนที่มิจฉาชีพจะโอนย้ายถ่ายเทไปหมดนั้นก็เป็นไปได้ยากมาก ดังข้อมูลจากทางตำรวจที่ระบุว่า ยอดเงินที่ขออายัดมีรวมกันมากกว่า 3 พันล้านบาท แต่อายัดได้ทันจริงๆ เพียงร้อยละ 7.6 ของจำนวนเงินดังกล่าว อนึ่ง ขณะนี้มีความพยายามทำความร่วมมือกันระหว่างตำรวจกับสภาองค์กรของผู้บริโภค เพื่อนำรายชื่อบัญชีที่ถูกอายัดเนื่องจากมีพฤติกรรมเป็นมิจฉาชีพออกมาเปิดเผย


“ทุกวันนี้โจรมันพัฒนาเป็นดิจิทัลไปหมดแล้ว มีการอัพเลเวลในการที่จะโกงต่างๆ แต่ระบบราชการ กว่าจะไปแจ้งความได้ ไปท้องที่ที่เกิดเหตุ เสร็จปุ๊บท้องที่บอกว่ามันเป็นงานออนไลน์ ต้องไปที่ สอท. ผู้เสียหายก็ไปที่ สอท. แจ้งความเรียบเร้อยเสร็จ ด้วยความเข้าใจว่าเราถูกหลอกลวงเงินก็อยากจะได้เงิน จะเอาใบแจ้งความไปอายัดบัญชี ก็กลับไปที่ สน.อีก บอกว่าคุณไม่ได้แจ้งความที่นี่” ภัทรกร กล่าว


-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 1 ตุลาคม 2565

เครื่องปรุงรสลดโซเดียมดีต่อผู้ป่วยโรคไต…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2mn19wkr0kfrf


สารซักฟอกในสบู่เหลว ถ้าใช้ร่วมกับสารประกอบตระกูลเอมีน จะกลายเป็นสารก่อมะเร็ง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1rhqk4us84es2


ดื่มเหล้าติดต่อกัน 7 วัน ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย และหากดื่มขณะตั้งครรภ์ จะช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1guegswugmq6c


“มิจฉาชีพ” ปลอมเสียง ปลอมแชต ปลอมคลิป “ดีอีเอส” เผยมีผู้เสียหายแล้วหลายราย

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2w49kxp3uwh8d


6 สัญญาณอันตรายที่อาจบอกได้ว่าเราเสี่ยงต่อภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1pk3x574g2s5j


อาการตาล้าอาจมีความรุนแรงมากขึ้นสำหรับคนที่มีปัญหาสายตาอยู่แล้ว

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3hu22ixyou8w2


เปิดแอปฯ Totale Telemed ให้บริการตรวจรักษาโควิด 19 ทุกสิทธิ์รักษา

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1a8tur3jijrxl


ซื้อรถ EV ได้ส่วนลด 5-8 แสน รัฐอัดฉีด 4 หมื่นล้าน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/i4lid7sr489l


6 อิริยาบถอันตราย ที่ผู้สูงวัยต้องระวัง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/21v61crkhtgyf


9 นักข่าว – นักวิชาการ ร่วมแบ่งปันไอเดียพัฒนาวงการสื่อผ่านงาน Trusted Media Summit APAC 2022

เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2565 Google News Initiative ร่วมกับโคแฟค (ประเทศไทย) และภาคีเครือข่ายทั่วประเทศ จัดการประชุม Trusted Media Summit APAC 2022 ประจำประเทศไทย ซึ่งมีเจตจำนงในการรวมตัวของคนทำงานด้านสื่อ เพื่อค้นหาแนวทางและการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนเผยแพร่ข่าวออกไป และทำให้ลดผลกระทบที่เกิดขึ้นในอนาคตอีกด้วย ซึ่งหนึ่งในช่วงที่น่าสนใจคือช่วง Lighting Talk เป็นช่วงที่นำเสนอผลงานหรือผลการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับความน่าเชื่อถือของสื่อ ผ่านกองบรรณาธิการข่าว นักวิชาการสื่อ และนักข่าว

เริ่มต้นจาก พีรพล อนุตรโสตถิ์ – ผู้จัดการศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย อสมท ซึ่งมาแบ่งปันการทำงานของศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ โดยการทำงานเริ่มต้นจากการทำงานแบบ “เนรมิต” ตั้งแต่การตั้งศูนย์ขึ้นมาตรวจสอบข่าวลวง และทำให้เกิดเนรมิตต่อๆ มา เช่น การปรับโครงสร้างการทำงานใหม่ การเปิดช่องทางให้คนเข้ามาถามตอบ การเพิ่มการทำอินโฟกราฟิก การปรับรูปแบบการทำวีดิโอ และการทำงานร่วมกัน ซึ่งความสำคัญในการทำงานไม่ใช่แค่ทำคอนเทนต์ แต่กลับเป็นการปูการศึกษาเพื่อทำให้ทุกคนสามารถรู้เท่าทันสื่อได้

คนต่อมาคือ ธนกร วงษ์ปัญญา – บรรณาธิการข่าวไทย สำนักข่าว The Standard ซึ่งได้มาแบ่งปันเรื่องราวการเป็นนักข่าวของตนเอง โดยเริ่มจากการได้ทำงานที่มติชนในสายงานการเมือง จนกระทั่งเห็นการเปลี่ยนแปลงของวงการสื่อมากมาย ทำให้ต้องปรับตัวและพัฒนางานข่าวมากขึ้น แน่นอน สิ่งหนึ่งที่ค้นหาพบก็คือความน่าเชื่อถือ ซึ่งในบางครั้งเราอาจจะต้องไปพบเจอเพื่อนๆ ที่เป็นแหล่งข่าว ตรงนี้เราก็ต้องมีเส้นกั้นระหว่างความเป็นเพื่อนและความเป็นแหล่งข่าว เพื่อหาตรงกลางของข้อมูลโดยไม่มีอคติ แต่เหนือจากความสนิทนั้นความยากมากที่สุดก็คือความท้าทายที่เกิดจากภาครัฐ ซึ่งท้ายที่สุดเราในฐานะสื่อมวลชนก็ควรที่จะเป็นกระบอกเสียง เพราะประชาชนเพียงอย่างเดียวอาจทำให้เสียงของเขาส่งไปไม่ถึงมากพอ เราในฐานะสื่อมวลชนก็ควรที่จะเป็นตัวแทนประชาชนในการส่งเสียที่ดังกว่าออกไปให้ได้มากที่สุด

ชัยวัฒน์ จันทิมา – บรรณาธิการพะเยาทีวี กล่าวต่อในเรื่องการผลักดันของสื่อชุมชนว่า สื่อชุมชนมีหน้าที่ในการกระจายข่าวให้กับชุมชน ซึ่งพะเยาทีวีเป็นพื้นที่ต้นแบบที่พยายามเป็นพื้นที่ตรงกลางในการแบ่งปันและพัฒนาเนื้อหาให้ตรงกับคนในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของข่าวลวง โควิด-19 แม้กระทั่งการนำเสนอประเด็นในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเด็กไร้สัญชาติที่สามารถผลักดันสวัสดิการได้ เป็นต้น แน่นอนว่าการมีสื่อในพื้นที่เป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาทั้งคน ความรู้ และสื่อในการร่วมบูรณาการไปร่วมกัน

ผศ.ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม อาจารย์ประจำคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้กล่าวถึงการพัฒนาโครงการ “เยาวชน การเมือง ข่าวปลอม” ว่าการพัฒนาโครงการนี้เกิดจากการสนใจของตนเองต่อการเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ จึงได้เริ่มตั้งแต่ศึกษาความต้องการของคนรุ่นใหม่ ซึ่งพบว่าข่าวบันเทิงขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ที่ผู้คนสนใจ ในขณะที่ข่าวการเมืองตกไปอยู่อันดับที่ 3 นั่นหมายถึงคนรุ่นใหม่สนใจการเมือง แต่ไม่ได้ติดตามข่าวการเมืองเป็นหลักนั่นเอง และจากการทำกิจกรรมต่างๆ ทำให้ได้เรียนรู้ว่าคนรุ่นใหม่ก็ต้องการพื้นที่ปลอดภัย และเขาก็ต้องการฟังแบบลึกๆ จริงๆ ไม่ต่างจากคนอื่นๆ ในสังคม

ผศ.ดร.ณภัทร เรืองนภากุล อาจารย์ประจำคณะสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ กล่าวถึงการสร้างสรรค์งานของโคแฟคว่า ในปัจจุบันโคแฟคแสงเหนือ (ภาคีเครือข่ายโคแฟคภาคเหนือ) ได้ขยายการรับรู้ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเข้าร่วม Hackathon ด้านการตรวจสอบข่าวลวง และสร้างทีมกองบรรณาธิการโคแฟคขึ้นมา ซึ่งการพัฒนางานเน้นความเข้าใจภายใต้ 3 เป้าหมาย คือ เพื่อพัฒนาศูนย์ข้อมูลตรวจสอบข่าวลวงในภูมิภาค เชื่อมโยงกลุ่มเยาวชนและผู้คนต่างวัย ขยายฐานข้อมูลของโคแฟคให้มีเนื้อหาข่าวลวงที่เกิดขึ้นในภูมิภาคมากขึ้น และพัฒนาทักษะการตรวจสอบข้อมูลให้กับเครือข่ายภาคพลเมืองให้เพิ่มมากขึ้น ทั้งเชิงคุณภาพและปริมาณ จนส่งผลให้โคแฟคสามารถขยายได้หลากหลายช่องทาง หนึ่งในนั้นคือ TikTok ที่ร่วมผลิตโครงการ #โปรดใช้วิจารณญาณในการไถฟีด จนมีผู้เข้าถึงมากกว่า 1.2 พันล้านครั้ง

หลังจากนั้นในช่วงที่ 2 ของ Lightning Talk เริ่มต้นด้วย อดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ – รองประธานกรรมการบริหาร เนชั่น กรุ๊ป (ไทยแลนด์) กล่าวถึงการสร้างความเชื่อมั่นของกลุ่มเนชั่นว่า ในช่วงที่ผ่านมาก่อนที่จะมีการปรับโครงสร้างนั้น เนชั่นประสบปัญหาความน่าเชื่อถือ เนื่องจากการปล่อยให้ผู้ประกาศข่าวอยู่เหนือกองบรรณาธิการ ทำให้ส่งผลต่อความเชื่อมั่นจนกระทบไปถึงการหารายได้ สิ่งที่เนชั่นทำคือการปรับโครงสร้างใหม่ในการทำงาน โดยให้ความสำคัญกับระบบกองบรรณาธิการมากขึ้น จนสามารถนำเนชั่นกลับคืนสู่ผิวโลกได้ในที่สุด ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียวในการกอบกู้ความน่าเชื่อถือกลับมา

ฐปณีย์ เอียดศรีไชย – ผู้ก่อตั้ง The Reporters กล่าวถึงการสร้างตัวตนและความน่าเชื่อถือว่า ความเป็นตัวเองนั้นเกิดขึ้นจากการทำข่าวและลงพื้นที่อย่างหนัก ทำให้เวลาที่เกิดปัญหาต่างๆ คนมักจะเชื่อถือข่าว 3 มิติอยู่เสมอๆ แต่ด้วยเวลาที่มีจำกัดในสถานีโทรทัศน์ ทำให้เราต้องหาแนวทางการนำเสนอเพิ่มเติม และเรามีความตั้งใจอยากได้สนามข่าวสำหรับการเล่าเหตุการณ์สดจากพื้นที่ จึงทำให้เกิดเพจ The Reporters เพื่อให้นักข่าวที่ลงพื้นที่สามารถได้รับข้อเท็จจริงแบบปฐมภูมิในพื้นที่จริง ซึ่งตอบสนองความตั้งใจของตนเองที่อยากให้ The Reporters ไม่ใช่ฐปณีย์ แต่เป็นของนักข่าวในพื้นที่ทุกคนที่รายงานสดจากพื้นที่จริง และทุกคนก็เป็นนักข่าวได้เช่นกัน

ผศ.ดร.วลักษณ์กมล จ่างกมล – อาจารย์ประจำคณะวิทยาการสื่อสาร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี กล่าวถึงการระบาดทางข้อมูลข่าวสารในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ปัญหาสำคัญในช่วงโควิด-19 คือการแพร่ระบาดของข้อมูลข่าวสารที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด และข้อมูลที่รับมีความล้นทะลักจนทำให้ไม่สามารถตรวจสอบได้ ซึ่งส่งผลทำให้เกิดปัญหาต่างๆ เช่น ไม่สามารถเลือกประเมินข้อมูลได้ เกิดความวิตกกังวลและเลือกเชื่อข้อมูลที่ผิด จนทำให้เกิดความเบื่อหน่าย ปฏิเสธที่จะรับข้อมูล และส่งผลทำให้เกิดการเกลียดกลัว แบ่งแยกกันในสังคม ซึ่งพอแกะต้นตอของปัญหาก็ทำให้พบว่ามีปัญหาภายในที่ซ่อนอยู่ 

โสภิต หวังวิวัฒนา – ผู้จัดการ ThaiPBS Podcast กล่าวถึงการพัฒนาสื่อเสียงของ ThaiPBS Podcast ว่า ก่อนหน้านี้ไทยพีบีเอสต้องเผชิญกับปัญหาการไม่มีคลื่นวิทยุออกอากาศ เนื่องจากการมาของ ThaiPBS อยู่ในช่วงรอยต่อการปฏิรูปของ กสทช. ทำให้ไม่สามารถจัดสรรคลื่นวิทยุให้ได้ หลังจากนั้น ThaiPBS จึงเห็นแนวทางใหม่ในการพัฒนาสื่อเสียง จึงต่อยอดเป็น ThaiPBS Podcast ซึ่งมีรายการในปัจจุบันกว่า 8 หมวดหมู่ 40 รายการ ซึ่งเราได้ใช้ข้อจำกัดจากการที่เราเกิดใหม่ในการสร้างสรรค์รายการที่แปลกใหม่ เพื่อทำให้ตรงโจทย์มากที่สุด ไทยพีบีเอสเน้นการสร้างจินตนาการและบรรยากาศให้กับคนฟังให้ได้มากที่สุด


Google News Initiative ร่วมกับ Co-fact แถลงเปิดตัว Trusted Media Summit 2022

Google News Initiative ร่วมกับ Co-fact แถลงเปิดตัว Trusted Media Summit 2022

วันที่ 25 สิงหาคม 2565 Google News Initiative ร่วมกับ Co-fact และภาคีเครือข่าย แถลงข่าวงาน Trusted Media Summit 2022 Thailand Press Conference ซึ่งจะจัดในสถานที่จริงเป็นครั้งแรกในวันที่ 20-21 กันยายน 2565 หลังจัดงานแบบออนไลน์มากว่า 2 ปีจากสถานการณ์โควิด-19

งาน Trusted Media Summit เกิดขึ้นครั้งแรกปี 2561 จากความร่วมมือของ First Draft, the International Fact-Checking Networks at Poynter (IFCN) และ Google News Initiative โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างชุมชน Fact-Checker และเชื่อมร้อยกับผู้สื่อข่าว นักวิชาการ ผู้กำหนดนโยบาย ตลอดจนภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้อง ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกร่วมเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างเครือข่ายแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เกี่ยวกับการตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อมูล การสร้างความตื่นรู้ในการรับรู้ข่าวสารและการวิจัยพฤติกรรมการรับข่าวสารในภูมิภาค การจัดงานจะมีทั้งรูปแบบออนไลน์และในสถานที่จริง ที่ Google Space ที่ True Digital Park กรุงเทพมหานครฯ

โปรแกรมงานดังกล่าวในวันที่ 20 กันยายน 2565 จะเป็นการพูดคุยภายในเวทีระดับภูมิภาค หนึ่งในผู้กล่าวปฐกถาได้แก่ มาเรีย เรสซา เจ้าของรางวัลโนเบิลสันติภาพปี 2564 และเอเลียต ฮิกกินส์ ผู้ก่อตั้ง Bellingcat ขณะที่การพูดคุยตลอดทั้งวันจะครอบคลุมเรื่อง การส่งต่อข้อมูลในภาพใหญ่ (Big Narrative) การตรวจเช็กล่วงหน้าเพื่อดักข้อมูลเท็จ (Pre-Bunking) การจับขั้วทางการเมือง (Polarization) บทบาทของเทคโนโลยี (Role of Technology) ความน่าเชื่อถือของสื่อ (Trust) การเบ่งบานของไมโครอินฟลูเอนเซอร์ การแสวงหาความร่วมมือ และใครควรเป็นผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact-checking)

ด้านวันที่ 21 กันยายน 2565 จะเป็นเวทีที่ Co-fact จัดร่วมกับ Google News Initiative โดยเชิญปฐกถาจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เป็นต้น ส่วนภาคบ่ายประกอบด้วยการเสวนาของ องค์กรวิชาชีพสื่อ และ สื่อท้องถิ่น ผู้เคลื่อนไหวในประเด็นต่าง ๆ และปิดท้ายด้วยทอล์กจากสื่อสารมวลชนเพื่อขยายมุมมองสุขภาพข้อเท็จจริงในระบบนิเวศสื่อไทย

ภายในงานแถลงข่าวเปิดตัว ยังมีการเสวนาในประเด็นการต่อสู้ข้อมูลเท็จ ทั้งในประเด็นสุขภาพ อาชญากรรมออนไลน์ และการปล่อยข้อมูลเท็จเพื่อเป้าหมายทางการเมือง ร่วมพูดคุยโดย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ก่อตั้ง Co-fact ดร.พิมพ์รภัช ดุษฎีอิสริยกุล ผู้จัดการโครงการมูลนิธิ ฟรีดริช เนามัน ประเทศไทย กุลชาดา ชัยพิพัฒน์ จาก Centre for Humanitarian Dialogue โดยมี ธนภณ เรามานะชัย จาก Google News Lab เป็นผู้ดำเนินรายการ


ขอบคุณที่มาข่าว workpointtoday

คนกรุงเทพฯไว้วางใจสื่อข่าวการเมืองในระดับปานกลาง (ค่าเฉลี่ย 3.22 จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน)

Cofact Thailand: Trusted Media Survey Thailand 2022

21 กันยายน  2565

โคแฟค ประเทศไทยร่วมกับเครือข่ายฯได้จัดทำรายงานการสำรวจเชิงปริมาณเกี่ยวกับทัศนะคติ ความคิดเห็นและความไว้วางใจของคนกรุงเทพฯ ที่มีต่อสื่อมวลชนไทยในการรายงานข่าวการเมืองเป็นครั้งแรกพบว่า คนกรุงเทพฯไว้วางใจในกระบวนการและเทคนิคการทำข่าวและวิธีการนำเสนอข่าวมากที่สุด (3.42) และ ความโปร่งใสและมาตรฐานทางวิชาชีพและจริยธรรมของสื่อน้อยที่สุด (2.91)

โดยมีค่าเฉลี่ยของความไว้วางใจโดยรวมอยู่ที่ระดับปานกลาง และเรียงลำดับความไว้วางใจตามดัชนีชี้วัด 8 ตัวจากมากไปหาน้อย ดังนี้ 1. กระบวนการและเทคนิคการทำข่าวและวิธีการนำเสนอข่าว Methods (3.42) 2. ความเชี่ยวชาญของผู้สื่อข่าว Journalist expertise (3.38) 3. การสะท้อนเสียงที่หลากหลายในข่าว Diverse voices (3.36) 4. ความเข้าใจสถานการณ์/การลงพื้นที่และอ้างแหล่งข่าวที่รู้จริง Locally sourced (3.27) 5. การอ้างอิงข้อมูลและแหล่งที่มาของข่าว Reference (3.26) 6. การระบุประเภทของข่าว Labels (3.25) 7. การสะท้อนเสียงจากผู้บริโภคสื่อ Actionable feedback (3) และ 8. ความโปร่งใสและมาตรฐานทางวิชาชีพและจริยธรรมสื่อ Best practices (2.91) 

อย่างไรก็ตามดัชนีกระบวนการการทำข่าวที่ได้รับคะแนนความไว้วางใจสูงสุด ยังถือว่าอยู่ระดับปานกลาง ผู้ตอบแบบสอบถามที่เป็นเยาวชนเพศชายอายุต่ำกว่า 20 ปี มีแนวโน้มที่จะมีทัศนะในเชิงบวกต่อการทำงานของสื่อฯ โดยมองว่าสื่อฯมีการพัฒนารูปแบบในการนำเสนอข่าว และรู้ที่มาที่ไปของข่าวที่นำเสนอ (ค่าเฉลี่ย 3.63และ3.23 ตามลำดับ)  แต่ในกลุ่มผู้หญิงอายุ 30 – 45 ปี และจบปริญญาตรีให้เหตุผลที่ไม่ไว้วางใจสื่อฯว่ารูปแบบการนำเสนอของสื่อยังซ้ำกัน คือ อ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ หรือสคริปต์ และไม่ระบุแหล่งที่มาของข่าวชัดเจน

ส่วนดัชนีความโปร่งใสและมาตรฐานทางวิชาชีพและจริยธรรมของสื่อข่าวการเมืองที่ได้คะแนนความไว้วางใจน้อยที่สุด แยกย่อยเป็นคุณสมบัติดังนี้ นำเสนอข่าวด้วยความน่าเชื่อถือ (3.48) มีจริยธรรมในการนำเสนอข่าว (3.23) นำเสนอข่าวด้วยความถูกต้อง (3.17) ซึ่งอยู่ในระดับปานกลาง ส่วนในเรื่องความซื่อตรงในการนำเสนอข่าว (2.85) ความมีอิสระในการนำเสนอข่าว (1.83) ถือว่าอยู่ในระดับต่ำ โดยให้เหตุผลว่า นำเสนอข่าวเพียงด้านเดียวโดยเฉพาะจากฝ่ายรัฐบาล และ ถูกแทรกแซงจาก “ผู้อิทธิพลในสังคม”  เช่นนักการเมือง ผู้มีชื่อเสียง คนร่ำรวย กลัวผิดกฎหมายควบคุมการนำเสนอข่าว โดยกลุ่มเยาวชนอายุระหว่าง 15-19 มีแนวโน้มที่จะเชื่อมั่นในการทำงานของสื่อฯเกือบทุกคุณสมบัติ ส่วนกลุ่มตัวอย่างวัยทำงาน (20-45 ปี) ที่มีการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปมีความคิดเห็นที่ตรงกันข้าม

สำหรับทัศนคติและความไว้วางใจด้านอื่นตามลำดับข้างต้น พบแนวโน้มเช่นเดียวกันคือกลุ่มตัวอย่างที่อยู่ในวัยทำงานและมีการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปมีความไววางใจต่อสื่อมวลชนในการรายงานข่าวการเมืองน้อยกว่ากลุ่มเยาวชน นอกจากนี้ ปัจจัยที่ทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจหรือไว้วางใจในระดับต่ำ โดยรวมมาจากการที่สื่อฯยังนำเสนอข่าวตาม“กระแส” สร้างภาพ นำเสนอข่าวด้านเดียว ให้น้ำหนักกับรัฐบาลหรือผู้มีอิทธิพล แหล่งข่าวไม่หลากหลาย ใส่ความเห็นของตนเองมากเกินไป และขาดการคัดกรองตรวจสอบซึ่งส่งผลทำให้มีข้อมูลผิดพลาดหรือข้อมูลที่บิดเบือนในข่าว

จากการสำรวจความเห็นยังพบว่า เมื่อประชาชนนึกถึงสื่อมวลชน มักนึกถึงสื่อออนไลน์เป็นหลัก และมองภาพสื่อฯไปที่ตัวบุคคล เช่นผู้ประกาศข่าว หรือผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ที่เป็นที่นิยม หรือบุคคลที่เป็นข่าวบ่อย หรืออยู่ในกระแสข่าว 

รายงานการสำรวจความเห็นข้างต้นมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการทราบถึงทัศนคติ ความคิดเห็นและความไว้วางใจของประชาชนไทยที่มีต่อ “สื่อมวลชนในการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับการเมือง” ผลที่ได้จากการวิจัยนี้จะสามารถนำไปใช้เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาและปรับปรุงศักยภาพของ “สื่อมวลชนในการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับการเมือง” เพื่อสร้างบรรทัดฐาน “ความเป็นมืออาชีพ” และยกระดับมาตรฐานความไว้วางใจของสังคมต่อสื่อในอนาคต และเพื่อส่วนเสริมบทบาทสำคัญของสื่อมวลชนในการลดทอนความขัดแย้งในสังคม โดยเป็นโครงการหนึ่งที่ทางโคแฟคจะทำงานร่วมกับเครือข่าย โดยเฉพาะสื่อมวลชนในอนาคตเพื่อต่อยอดการพัฒนาการศักยภาพสื่อ การรู้เท่าทันสื่อ เพื่อลดการแชร์ข่าวหรือข้อมูลผิดพลาดบิดเบือน และข้อมูลที่สร้างความเกลียดชัง ที่สร้างความแตกแยกและส่งผลกระทบต่อความขัดแย้งทางการเมืองที่มีอยู่ในสังคมปัจจุบัน 

ทั้งนี้ทางโคแฟคได้นำดัชนีชี้วัดความไว้วางใจในการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน 8 ตัว The 8 Trust Indicators ที่สำนักข่าวมืออาชีพทั่วโลกใช้เป็นบรรทัดฐานในการทำงาน ภายใต้โครงการ The Trust Project ที่ริเริ่มโดยกลุ่มสื่อมวลชนในสหรัฐอเมริกา มาเป็นข้อมูลพื้นฐานในการจัดทำแบบสำรวจครั้งนี้ โดยกระบวนการทำงานเป็นการสำรวจความคิดเห็นเชิงปริมาณ มีการลงพื้นที่จริงระหว่างวันที่ 28-31 สิงหาคม เพื่อสัมภาษณ์ประชาชน 200 ตัวอย่าง ครอบคลุม 15 เขต ในกรุงเทพมหานคร แบ่งตามเพศในสัดส่วนที่เท่าๆกัน และครอบคลุม ช่วงอายุ สาขาอาชีพ และสถานะทางเศรษฐกิจ โดยเน้นกลุ่มคนที่มีอุปกรณ์สื่อสารอิเล็คทรอนิกส์ เช่นสมาร์ทโฟน โน้ตบุ๊ก คอมพิวเตอร์ และแท็บเล็ต เป็นตันและเป็นผู้สนใจและติดตามข้อมูลข่าวสาร บนแพลตฟอรม์ที่หลากหลาย และทางสื่อดั่งเดิมและสื่อออนไลน์อย่างน้อย3-4ครั้งต่อสัปดาห์

=======================

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 24 กันยายน 2565


น้ำต้มใบกระท่อม สามารถรักษาเบาหวานหายได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3tail5i01izo9


 เกิดเหตุ! กดลิงก์เว็บฯ อ้างเป็น “กรมสรรพากร” เงินหาย 1.4 ล้านบาท

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1qfyz50e4mjg7


เจ้าหน้าที่ตรวจสอบถังผ้าป่า-ถังกฐิน วางเกลื่อนแยกบางพลู นนทบุรี หวั่นเป็นแก๊งเรี่ยไร

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/paois0mnhxem


เตือนอันตรายจากการย้อมผมบ่อยๆ อาจเกิดการกระตุ้นเส้นเลือดขาว ทำให้เกิดการแพ้ หรืออักเสบได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1cpcqtfofeyf6


มีงานวิจัยผู้หญิงย้อมผมบ่อยเสี่ยงเกิดการเปลี่ยน DNA เป็นสาเหตุมะเร็งได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/27kkh89mqflwv