วิกฤตข้อมูลข่าวสารในวิกฤตการณ์ซีเซียม-137

กรณีวัสดุกัมมันตรังสี “ซีเซียม-137” สูญหายจากโรงไฟฟ้าใน จ.ปราจีนบุรี นอกจากจะสะท้อนปัญหาการจัดการวัตถุอันตรายของบริษัทเอกชน ปัญหาของหน่วยงานรัฐในการกำกับดูแลและการรับมือกับสาธารณภัยจากสารกัมมันตรังสีแล้ว ยังเผยให้เห็นอิทธิพลของข่าวเท็จ ข้อมูลคลาดเคลื่อน และการเชื่อมโยงแบบผิดๆ ที่สร้างผลกระทบรุนแรงไม่น้อยไปกว่าเหตุการณ์วัสดุกัมมันตรังสีสูญหาย

ข่าวเท็จและข้อมูลคลาดเคลื่อนที่สร้างความเข้าใจผิดเหล่านี้ถูกผลิต เผยแพร่และไหลเวียนอยู่ในโซเชียลมีเดียนับตั้งแต่เกิดเรื่องช่วงต้นเดือนมีนาคม 2566 ซึ่งมีลำดับเหตุการณ์โดยสังเขป ดังนี้

  • 10 มี.ค. ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (ปส.) ได้รับแจ้งเหตุกรณีวัสดุกัมมันตรังสีซีเซียม-137 สูญหายจากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนของบริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ แพลนท์ 5 เอ จำกัด ในนิคมอุตสาหกรรม 304 อ.ศรีมหาโพธิ โดยทางบริษัทคาดว่าวัสดุนี้สูญหายไปตั้งแต่วันที่ 23 ก.พ.
  • 14 มี.ค. ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรีแถลงข่าวร่วมกับ ปส. เปิดเผยเหตุการณ์ให้สาธารณชนรับรู้อย่างเป็นทางการครั้งแรก
  • 19 มี.ค. สื่อมวลชนรายงานว่าเจ้าหน้าที่พบระดับรังสีซีเซียม-137 ในฝุ่นเหล็กที่โรงงานหลอมเหล็กใน อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี
  • 20 มี.ค. ผู้ว่าฯ ปราจีนบุรี ปส. กรมโรงงานอุตสาหกรรมและตำรวจ แถลงข่าวร่วมเรื่องการพบระดับรังสีซีเซียม-137 ในฝุ่นเหล็กที่โรงงานเคพีพีสตีล คาดว่าเกิดจากการหลอมวัสดุกัมมันตรังสีซีเซียม-137 ที่สูญหายไปจากโรงไฟฟ้า

โคแฟคตรวจสอบข่าวเท็จ-ข้อมูลคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับเหตุการณ์ซีเซียม-137 ที่สร้างความเข้าใจผิดและความตื่นตระหนก เพื่อเป็นกรณีศึกษาสำหรับการรับมือด้านข้อมูลข่าวสารในสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสารเคมีและวัตถุอันตรายที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต

1. ซีเซียม-137 หนัก 25 กิโลกรัม

หลังการแถลงข่าวครั้งแรกเมื่อ 14 มี.ค. มีความเข้าใจผิดว่าซีเซียม-137 ที่สูญหายจากโรงไฟฟ้าของเอกชนนั้นมีน้ำหนักมากถึง 25 กก. ใกล้เคียงกับปริมาณซีเซียม-137 ในเหตุการณ์โรงไฟฟ้าเชอร์โนบิลระเบิดที่มีน้ำหนัก 27 กก.

ความเข้าใจผิดเรื่องน้ำหนักของซีเซียม-137 เป็นผลมาจากการที่หน่วยงานรับผิดชอบโดยตรงคือ ปส. ไม่ได้อธิบายให้ชัดเจนว่าน้ำหนัก 25 กก. นั้นหมายถึงวัสดุห่อหุ้ม และไม่ได้ระบุว่าปริมาณของซีเซียม-137 มีเท่าไหร่ โคแฟคย้อนดูข้อมูลที่ ปส. เผยแพร่ทางเฟซบุ๊กและเว็บไซต์เมื่อ 14 มี.ค. พบว่า แม้จะให้ข้อมูลละเอียด แต่ก็ใช้ศัพท์เทคนิคที่คนทั่วไปเข้าใจได้ยาก

“ต้นกำเนิดรังสีที่สูญหายนี้มีลักษณะเป็นแท่งทรงกระบอก ภายนอกทำด้วยโลหะ ภายในประกอบด้วยตะกั่วสำหรับกำบังรังสี มีขนาดสูงประมาณ 20-30 ซม. เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 14-20 ซม. มีฐานทำด้วยแผ่นโลหะทรงสี่เหลี่ยมด้านเท่าเชื่อมติดอยู่ น้ำหนักประมาณ 25 กิโลกรัม…ปริมาณของวัสดุกัมมันตรังสีซีเซียม-137 ที่บรรจุอยู่ภายในมีค่าเริ่มต้นที่ 80 มิลลคูรีเมื่อวันที่ 1 มี.ค. 2538 ปัจจุบันเหลือปริมาณอยู่ที่ 41.14 มิลลิคูรี” ปส. ระบุในเอกสารชี้แจง   

โปสเตอร์ที่สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติโพสต์ทางเฟซบุ๊กเมื่อ 17 มี.ค. 2566

เมื่อสื่อมวลชน ผู้ใช้โซเชียลมีเดีย หรือแม้แต่หน่วยงานของรัฐอื่นๆ นำข้อมูลนี้ไปสรุปให้สั้นและเผยแพร่ต่อ จึงทำให้เกิดความเข้าใจผิด เช่น นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยมหาสารคามทวีตข้อความว่า “…ล่าสารกัมมันตรังสีซีเซียม-137 ที่หายจากโรงไฟฟ้า อ.ศรีมหาโพธิ สิ่งที่ต้องทำควบคู่คือต้องสอบสวนพนักงานทั้งหมดเพราะสารดังกล่าวหนักถึง 25 กก.” ข้อความนี้ถูกรีทวีตไปเกือบ 2,300 ครั้ง และยังคงเข้าถึงได้ ณ วันที่ 26 มี.ค.

ขณะที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ทวีตข้อความว่า “ปภ. เผยกรณีวัสดุกัมมันตรังสีซีเซียม-137 สูญหายที่ จ.ปราจีนบุรี หาก ปชช. พบเห็นอุปกรณ์ดังภาพ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 นิ้ว ความยาว 8 นิ้ว น้ำหนัก 25 กก. ขอให้แจ้งจนท. ทันที” ซึ่งอาจสร้างความเข้าใจผิดได้เช่นกัน

คำอธิบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับน้ำหนักของซีเซียม-137 ที่สูญหาย มาจากการให้สัมภาษณ์ของ ผศ.ดร.นภาพงษ์ พงษ์นภางค์ ประธานวิชาการสมาคมรังสีเทคนิคนิคแห่งประเทคไทยว่า เมื่อนำความแรงของซีเซียม-137 ที่ ปส. รายงานว่าเหลืออยู่ 41.14 มิลลิคูรี มาคำนวณจะพบว่าซีเซียม-137 ที่สูญหายมีน้ำหนักประมาณ 5 มิลลิกรัม ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับเหตุการณ์โรงไฟฟ้าเชอร์โนบิลระเบิดซึ่งมีซีเซียม-137 ถูกปล่อยออกมามากถึง 27 กก. 

2. ซีเซียม-137 แพร่กระจาย 1,000 กิโลเมตร จากปราจีนบุรี  

วันที่ 19 มี.ค. นพ.สมรส พงศ์ละไม โพสต์ในเฟซบุ๊ก “Somros MD Phonglamai” ว่า “ถ้า Caesium-137 ถูกหลอมเผาไหม้และกลายเป็นไอ สามารถออกไปได้เป็นหลักร้อยถึงพันกิโลเมตรขึ้นกับลม” โดยอ้างอิงเหตุการณ์ที่โรงไฟฟ้าเชอร์โนบิลว่าซีเซียม-137 ปลิวไปไกลถึงสวีเดน เป็นระยะทาง 1,000 กิโลเมตร โดย นพ.สมรสออกตัวว่าเขาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านปรมาณู และข้อความนี้เป็น “ข้อมูลเบื้องต้นที่ค้นเอง”

วันต่อมา ผู้ใช้ทวิตเตอร์คนหนึ่งได้โพสต์ภาพแผนที่คาดการณ์รัศมีการแพร่กระจายของสารกัมมันตรังสีซีเซียม-137 ที่ครอบคลุมประเทศไทยเกือบทั้งหมด พร้อมข้อความว่า “ถ้ารัศมีแพร่กระจายคือ 1,000 กิโลเมตร ก็ประมาณนี้…” โพสต์นี้ถูกรีทวีตไปกว่า 44,000 ครั้ง และยังมีผู้นำไปเผยแพร่ต่อในเฟซบุ๊ก ซึ่งบางโพสต์ถูกแชร์ไปมากกว่า 3,000 ครั้ง  

โคแฟคตรวจสอบเมื่อ 25 มี.ค. พบว่าทวีตนี้ยังคงเข้าถึงได้ แต่หลังจากนั้นได้ถูกลบไป

หลังจากทวีตดังกล่าวกลายเป็นไวรัล นพ.สมรส ได้โพสต์เฟซบุ๊กยอมรับว่าเขาเป็น “ต้นทาง” ของข้อมูลเรื่องการแพร่กระจายของซีเซียม-137 เป็นระยะทาง 1,000 กม. ซึ่งเป็นข้อมูลที่อ้างอิงจากเหตุการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลระเบิดเมื่อปี 2529 แต่มีผู้ใช้โซเชียลมีเดียและสำนักข่าวบางแห่งตัดข้อความและทำภาพประกอบจนทำให้คนเข้าใจผิดว่า ซีเซียม-137 ที่พบที่โรงงานหลอมเหล็กในปราจีนบุรี สามารถแพร่กระจายไปได้ 1,000 กม.

ขณะที่ ผศ.ดร.นภาพงษ์ อธิบายผ่านการให้สัมภาษณ์สื่อหลายสำนักว่า ซีเซียม-137 ที่สูญหายจากโรงไฟฟ้าและคาดว่าถูกนำไปเข้าเตาหลอมใน จ.ปราจีนบุรี นั้นมีปริมาณน้อยกว่าและมีความแรงน้อยกว่าเหตุการณ์ที่เชอร์โนบิล50-60 ล้านเท่า ปริมาณรังสีที่ถูกปล่อยออกไปในธรรมชาติอยู่ในระดับต่ำและจะถูกเจือจางไปโดยธรรมชาติ ส่งผลกระทบต่อคนและสิ่งมีชีวิตในระดับต่ำ ยกเว้นผู้ที่สัมผัสวัสดุกัมมันตรังสีใกล้ชิด ผศ.ดร.นภาพงษ์สรุปว่า เหตุการณ์ที่ปราจีนบุรีจึงเทียบไม่ได้กับกรณีเชอร์โนบิล  

3. “พรัสเซียนบลู” ต้านพิษซีเซียม-137  

ความพยายามในการหาข้อมูลเกี่ยวกับอันตรายจากซีเซียม-137 ของผู้ใช้โซเชียลมีเดียนำมาซึ่งการเผยแพร่ข้อมูลที่สร้างความกังวลให้ผู้เชี่ยวชาญด้านพิษวิทยา เช่น ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “ดร.แกง” ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 10,000 ราย โพสต์ภาพยา “พรัสเซียนบลู” (Prussian blue) ซึ่งมีชื่อทางการค้าว่า Radiogardase และระบุว่าเป็นยาแก้พิษและลดความรุนแรงจากกัมมันตรังสีซีเซียม-137 โดยอ้างอิงข้อมูลส่วนหนึ่งจาก “หนังสือคู่มือการดูแลผู้สัมผัสสารเคมี” ที่จัดทำโดยโรงพยาบาลระยองและศูนย์พิษวิทยารามาธิบดีเมื่อปี 2559 ผู้ใช้เฟซบุ๊กอีกคนหนึ่งโพสต์ภาพยาตัวเดียวกันนี้พร้อมข้อความว่า “ผู้อยู่ในพื้นที่เสี่ยง ควรมีติดไว้”

การโพสต์ข้อความเกี่ยวกับยาพรัสเซียนบลูที่มีเนื้อหาถูกต้องเพียงบางส่วนในโซเชียลมีเดีย ทำให้ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์พิษวิทยารามาธิบดีออกมาแถลงข่าวให้ข้อเท็จจริงและเตือนภัยประชาชนเกี่ยวกับการใช้ยาชนิดนี้เมื่อ 22 มี.ค. โดย รศ.พญ.สาทริยา ตระกูลศรีชัย ผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์ฉุกเฉิน เภสัชวิทยาและพิษวิทยาคลินิกกล่าวว่า ยาพรัสเซียนบลูใช้รักษาผู้ป่วยที่แพทย์ตรวจพบว่ามีการปนเปื้อนซีเซียม-137 อยู่ภายในร่างกายเท่านั้น ผู้ป่วยที่จะได้รับยาตัวนี้ต้องมีระดับการปนเปื้อนตามเกณฑ์ที่กำหนด มีข้อบ่งชี้เฉพาะ และยาชนิดนี้ไม่ได้ใช้สำหรับการรักษากรณีที่สัมผัสภายนอกหรือกลุ่มเสี่ยง

รศ.พญ.สาทริยากล่าวว่า ประเทศไทยยังไม่มีการนำเข้ายาพรัสเซียนบลูมาใช้ สำหรับยาที่มีการขายทางออนไลน์นั้น ประชาชนไม่ควรซื้อมากินเองเพราะอาจเกิดผลข้างเคียงหรือเกิดพิษขึ้นได้  อีกทั้งยังมีการผลิตพรัสเซียนบลูเพื่อวัตถุประสงค์อื่นที่ไมใช่ยา ซึ่งหากนำมาใช้อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้  

เรื่องแนะนำ


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 26 มีนาคม 2566

อันตรายเชื้อฉี่หนูบนฝากระป๋องเครื่องดื่ม…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/di4cgywe3u62#_=_


เบตาดีน ป้ายคอ ป้องกันรังสี…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/q2el10hk8r8m


สิทธิบัตรทองหาหมอฟรี ผ่านแอปฯ Clicknic ครอบคลุม 42 โรค นำร่องเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1zdekih20zovx


ครม. เพิ่มยาต้านไวรัสโมลนูพิราเวียร์ในบัญชียาของ UCEP Plus

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/z81nh3vxo9gs


ยาแก้แพ้ รับประทานปริมาณที่มากเกินไปส่งผลอันตรายต่อร่างกาย

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3t9z3rwopflgg


ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พระราชกฤษฎีกา ยุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2566

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2cn0ni5zm5y15


ส.ส.ฝรั่งเศสเห็นชอบร่าง กม.ห้ามพ่อแม่โพสต์รูปลูกลงโซเชียล

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2fou7t354jr50


กองสลากฯ เตือนประชาชน ระวังการนำสลากในจุดจำหน่ายสลาก 80 บาทมาวนขายซ้ำ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/397ikk2y6djqb


‘The Social Dilemma’ หนังสะท้อนด้านมืดสังคมออนไลน์  ถึงเวลาพรรคการเมืองชูนโยบายสาธารณะ คุ้มครองสิทธิดิจิทัล ส่งเสริมพลเมืองเท่าทัน 

18 มี.ค. 2566 โคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับ หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) Netflix และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดกิจกรรมสนทนา หัวข้อ “รู้เท่าทันสื่อสังคมออนไลน์” จัดฉายภาพยนตร์เรื่อง The Social Dilemma และกิจกรรมเสวนาหลังภาพยนต์ร่วมกับ สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) และอดีตกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โดยมีการถ่ายทอดสดการเสวนาผ่านเฟซบุ๊กเพจ “หอภาพยนตร์ Thai Film Archive” นอกเหนือจากการจัดงานแบบ On Site ที่หอภาพยนตร์ ถ.พุทธมณฑลสาย 5 ย่านศาลายา จ.นครปฐม

สุภิญญากล่าวว่า ส่วนตัวแล้วตนยังไม่เคยดูภาพยนตร์เรื่องนี้มาก่อน แต่เคยดูสารคดีข่าวรวมถึงอ่านหนังสือที่เป็นเรื่องราวทำนองเดียวกัน จึงไม่แปลกใจกับเนื้อหาของภาพยนตร์ซึ่งเป็นการสะท้อนผ่านมุมมองที่ห่วงใยสังคมและอาจจะดูเหมือนมองโลกในแง่ร้าย แม้เนื้อหาจะดูหนักหน่วงแต่ในตอนท้ายผู้สร้างภาพยนตร์ก็ให้ข้อสรุปว่ายังไม่ถึงขั้นที่จะต้องเลิกใช้สื่อสังคมออนไลน์ แต่เราจะใช้ให้ปลอดภัยอย่างไรนั้นเป็นเรื่องที่เราต้องเรียนรู้กัน

หากย้อนไปเมื่อราวๆ 15-20 ปีก่อน ผู้คนต่างคาดหวังว่าอินเตอร์เน็ตจะเข้ามาเปิดพื้นที่แห่งความเป็นประชาธิปไตย หลายคนก็ต้องการปกป้องเสรีภาพในการใช้อินเตอร์เน็ตและไม่อยากให้รัฐปิดกั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป คนกลุ่มเดียวกันก็ได้มองเห็นด้านมืดของอินเตอร์เน็ตและพยายามบอกว่าต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้เป็นปัญหาทั่วทั้งโลก เช่น ข่าวลวง (Fake News) หรือข้อมูลบิดเบือน (Disinformation)

จากการทำงานของโคแฟคในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาซึ่งเป็นช่วงที่มีสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 เห็นได้ชัดว่าข้อมูลข่าวสารในสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) มีผลต่อการตัดสินใจของผู้คน อาทิ การฉีดวัคซีน การป้องกันตนเองจากโรค เราได้เห็นทั้งข้อมูลบิดเบือน รวมถึงข้อมูลคลาดเคลื่อน (Misinformation) อยู่บนพื้นที่สื่อออนไลน์จำนวนมาก และการตัดสินใจเชื่อข้อมูลเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบถึงชีวิตของคนได้ 

ขณะที่ข้อมูลข่าวสารด้านการเมือง แม้สื่อสังคมออนไลน์จะเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความแตกแยกแบ่งขั้วเลือกข้างทางการเมืองขึ้นในสังคม แต่ก็มีแนวคิด 2 รูปแบบที่ยังถกเถียงกัน ฝั่งหนึ่งมองว่าการปล่อยให้คนทะเลาะกันบนโลกออนไลน์อาจช่วยลดโอกาสที่คนจะออกไปลงไม้ลงมือทำร้ายกันในโลกจริง แต่อีกฝั่งก็กังวลว่าหากปล่อยให้มีการแสดงออกกันบนโลกออนไลน์มากเกินไปอาจลุกลามออกไปสู่การมีเรื่องกันในโลกจริงได้ โดยสรุปแล้ว สุภิญญามีความเห็นว่า ผลกระทบในด้านสุขภาพที่เกิดจากข้อมูลข่าวสารในสื่อสังคมออนไลน์ ไม่ว่าสุขภาพกายหรือสุขภาพจิตเป็นเรื่องที่น่ากังวลกว่า

น้ำมะนาวโซดารักษามะเร็งเป็นเคสที่น่าสนใจ จากตอนแรกเราก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่เนื่องจากตอนนี้เป็นผู้ป่วยมะเร็งแล้วก็เลยเข้าใจว่าทำไมถึงมีผล คือมันไม่ได้มีผลในการรักษาโรคมะเร็ง แต่คนป่วยมะเร็งจะปากขมเพราะฤทธิ์ยา อย่างตัวเองตอนได้รับคีโมบำบัดก็ไม่อยากกินอะไร แต่บางทีก็อยากกินน้ำมะนาวโซดาให้สดชื่นเท่านั้นเอง แต่มันถูกขยายผลไปจนเวอร์ ซึ่งก็มีคนดื่มน้ำมะนาวเยอะจนต้องไปหาหมอเพราะกรดไหลย้อน อันนี้หมอเล่าให้ฟังว่าต้องถามประวัติผู้ป่วยสูงอายุว่าทำไมเป็นกรดไหลย้อน ซึ่งก็คือดื่มโซดามะนาวเพราะเห็นว่ามีประโยชน์ ฉะนั้นก็อาจส่งผลต่อสุขภาพได้ถ้าเราเชื่อโดยที่ไม่ได้กลั่นกรอง 

ประเด็นต่อมาคือเรื่องอิทธิพลของแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งมีการเก็บและใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งาน จนมีคำกล่าวว่าในยุคนี้ข้อมูลมีค่าราวกับน้ำมัน และมีข้อเสนอว่าควรมีการเก็บภาษีการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งานกับแพลตฟอร์มเหมือนกับภาษีการใช้น้ำประปาหรือไฟฟ้า รวมถึงเป็นที่มาของการออกกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งในประเทศไทยคือ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 หรือกฎหมาย PDPA ที่ได้รับแนวทางมาจากกฎหมายแบบเดียวกันของสหภาพยุโรป (EU) และปัจจุบันใกล้จะครบ 1 ปีของการบังคับใช้แล้ว ดังนั้น ควรประเมินว่าสถานการณ์การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลนั้นดีขึ้นหรือแย่ลง และทำอย่างไรกฎหมายจะคุ้มครองได้อย่างจริงจังขึ้น

แม้กระทั่งสื่อมวลชนก็พึ่งพาแพลตฟอร์มเหล่านี้และต้องจ่ายเงินให้เพราะไม่เช่นนั้นผู้รับสื่อก็จะมองไม่เห็นเนื้อหา อีกทั้ง ยังมีปัญหาการผลิตเนื้อหาที่ไม่มีคุณภาพ เช่น Clickbait หรือการยั่วยุให้กดเข้าไปอ่าน ทำให้บริษัทแพลตฟอร์มเหล่านี้ขยายตัวจากสตาร์ทอัพกลายเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่มีอำนาจเหนือรัฐ เรื่องนี้จริงๆ แล้วภาครัฐของไทยควรมีบทบาทในการเจรจาต่อรองกับแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ แต่ก็ติดปัญหาว่าประชาชนชาวไทยไม่เชื่อมั่นในภาครัฐ หากรัฐจะเรียกตัวแทนแพลตฟอร์มไปหารือก็จะถูกมองว่ารัฐต้องการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

เนื่องจากที่ผ่านมา ภาครัฐของไทยมักแสดงท่าทีจริงจังขึงขังหากเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง แต่ไม่ค่อยมีท่าทีแบบเดียวกันหากเป็นประเด็นที่เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค คนส่วนใหญ่จึงไม่เห็นด้วยและไม่สนับสนุน เมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกา หรือ EU ประชาชนยังค่อนข้างเชื่อมั่นในการทำหน้าที่ของรัฐในการปกป้องประโยชน์สาธารณะ เพราะมีการรักษาสมดุลระหว่างความรับผิดชอบของเอกชนกับหลักการสิทธิมนุษยชน ทำให้มีเสียงสนับสนุนจากประชาชนในการให้ภาครัฐจะไปเจรจากับแพลตฟอร์มต่าง ๆ

ทำอย่างไรที่เราจะสร้างความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลให้ได้ก่อน แล้วรัฐบาลมาเป็นปากเป็นเสียงของสาธารณะได้ ถ้าเรามีรัฐบาลที่เชื่อมั่นได้ เราก็จะมีตัวแทนที่จะต่อรองได้ วันนี้มีเครือข่ายองค์กรผู้บริโภค มีสภาองค์กรของผู้บริโภค มีการวิพากษ์วิจารณ์มากมาย แต่มีอำนาจต่อรองมากขนาดไหน มันก็ยาก สื่อมวลชนจะมารวมกันมันก็ยาก เราไม่ได้กุมอำนาจรัฐ เราไม่ได้มีอำนาจบอกว่าถ้าคุณไม่ทำเราจะเก็บภาษีคุณ จะดำเนินการไม่ให้คุณทำธุรกิจ ซึ่งอำนาจนี้มันเป็นอำนาจทางปกครองที่รัฐมี ดังนั้นสิ่งที่เราอยากเห็นคือถ้าเรามีรัฐที่ไว้ใจได้ ยึดหลักกฎหมายและใช้กฎหมายที่ควรจะเป็นอย่างยุติธรรมเพื่อปกป้องประโยชน์สาธารณะ มันก็จะทำให้สถานการณ์ในไทยดีขึ้นระดับหนึ่ง การเลือกตั้งที่จะมาถึงพรคการเมืองต่างๆควรมีนโยบายสาธารณะในเรื่องสิทธิพลเมืองยุคดิจิทัล และ ส่งเสริมการรู้เท่าทันของพลเมือง 

อีกด้านหนึ่ง สุภิญญา ยังกล่าวถึงการทำงานของอัลกอริทึม (Algorithm) ของสื่อสังคมออนไลน์ ที่พยายามคาดเดาว่าผู้ใช้งานแต่ละคนชอบหรือสนใจอะไร ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานหยุดใช้สื่อสังคมออนไลน์ไม่ได้เพราะเจอแต่สิ่งที่ชอบและไม่อยากหยุดใช้จนกลายเป็นการเสพติด (Addiction) จนใช้สื่อสังคมออนไลน์มากขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอนว่าก็เป็นการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ จากเดิมที่บริษัทคงไม่คิดว่าจะสามารถทำเงินได้มากมายขนาดนี้ อันที่จริง ก็ไม่ได้ต่างจากสื่อดั้งเดิมที่พยายามผลิตเนื้อหาให้ตรงกับผู้บริโภค เช่น การที่คนชอบดูละครหลังข่าวเพราะวางโครงเรื่องได้ถูกจริตกับคนในยุคนั้น เพียงแต่สื่ออินเตอร์เน็ตทำให้ทรงพลังมากขึ้นกว่าสื่อโทรทัศน์เพราะสามารถเชื่อมร้อยกันได้หมด สามารถแพร่กระจาย (Viral) และมีความถี่ในการเสนอข้อมูลให้เห็นได้ซ้ำๆ กล่าวคือ การดูละครยังมีวันที่เห็นตอนจบของเรื่อง แต่สื่อออนไลน์เมื่อพบว่าผู้ใช้งานมีการใช้งานน้อยลงก็จะส่งเนื้อหาบางอย่างมาให้เห็นเพื่อกระตุ้นให้ใช้งานมากขึ้นโดยไม่ได้มีมนุษย์มานั่งเฝ้าติดตาม แต่เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่นับวันจะฉลาดขึ้นเรื่อยๆ 

ดังนั้นปัจเจกชนแต่ละคนก็ต้องรู้เท่าทันด้วย เริ่มจากการตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนและอย่าเพิ่งเชื่อในทันที โดยเฉพาะเมื่อเจอเนื้อหาที่เล่นกับอารมณ์ความรู้สึก เช่น เนื้อหาที่ตรงกับสิ่งที่เรากำลังคิดหรืออารมณ์ที่เรามี ไม่ว่าจะเป็นความกลัว ความเกลียด ความชอบ ก็มีแนวโน้มที่จิตเราจะปรุงแต่งไปในทางนั้นและเชื่อว่าต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอน หลักการตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนนี้ใช้ได้ตั้งแต่การป้องกันตนเองจากมิจฉาชีพอย่างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ไปจนถึงการรู้เท่าทันข้อมูลข่าวสารทางการเมือง 

โดยสรุปคือ ให้ใช้หลักอุเบกขาในการรับข้อมูลข่าวสารเพื่อที่จะหาข้อมูล ไม่เอาอารมณ์ไปใส่กับเรื่องราว มีวิธีคิดที่เปิดกว้าง เผื่อใจไว้เสมอและไม่อินกับเรื่องใดๆ จนเกินไป ซึ่งเรื่องนี้เป็นหลักการพื้นฐานที่เริ่มจากจิตใจ นอกนั้นต้องเริ่มหาตัวช่วย เช่น เพิ่มเป็นเพื่อนกับไลน์โคแฟค เพื่อที่จะไว้เช็คข่าว คุยกับกลุ่มเพื่อน สร้างชุมชน รับฟังข้อมูลข่าวสารที่หลากหลาย 

อย่างที่เขาแนะนำในหนังว่าเขาติดตามคนที่เขาไม่เห็นด้วยในทวิตเตอร์ เพื่อที่จะให้ออกจาก Echo Chamber ก็คือห้องแห่งเสียงสะท้อน เหมือนกับเราอยู่ในห้องนี้แล้วทุกคนพูดเหมือนกันหมด แล้วเราก็คิดว่าคนข้างนอกพูดเหมือนกับเราด้วย ซึ่งอันนี้ Social Media ทำให้เราไม่รู้ตัว เราไม่รู้เลยว่าเราถูกออกแบบมาว่าให้เราคิดอย่างไร เราอาจจะคิดว่าทำไมวันนี้มีแต่คนสนใจข่าวดาราคนนี้ เราก็อาจจะคิดว่าคนทั้งโลกสนใจข่าวดาราคนนี้ แต่จริงๆ ไม่ใช่ มันก็เป็นเรื่องเราอาจจะต้องออกมาจากฟองสบู่ที่เราถูกกำหนดในมือถือ

สำหรับภาพยนตร์เรื่อง The Social Dilemma เป็นภาพยนตร์แนวสารคดี เผยแพร่ครั้งแรกในระบบ Streaming ของ Netflix เมื่อปี 2563 เป็นผลงานของ เจฟฟ์ ออร์โลวสกี (Jeff Orlowski) เล่าเรื่องระหว่างนักแสดงในบทบาทผู้คนที่ใช้สื่อสังคมออนไลน์ ตัดสลับกับการสัมภาษณ์บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีที่เคยทำงานกับบริษัทแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ระดับยักษ์ใหญ่ของโลก ซึ่งมาเปิดเผยว่าบริษัทเหล่านี้ใช้วิธีการอะไรให้ผู้คนอยู่กับแพลตฟอร์มจนถึงขั้นเสพติด และการทำแบบนี้ก็ค่อยๆ ส่งผลกระทบต่อความคิดและพฤติกรรมของผู้ใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ไปโดยไม่รู้ตัว ในขณะที่บริษัทแพลตฟอร์มก็มีอิทธิพลต่อสังคมมากขึ้นทั้งด้านบวก และ ด้านลบ ทำให้เกิดสภาวะ หรือความย้อนแย้งในการใช้งาน และ กำกับดูแล 

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

เบื้องหน้า-เบื้องหลัง “โพล” กระทรวงสาธารณสุข ประชาชน 90% เห็นด้วย ย้าย ผอ. รพ. จะนะ?

การสำรวจความคิดเห็นต่อการเปลี่ยนตัวผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ จ.สงขลา ที่จัดทำโดยกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ถูกนำมาเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียโดยขาดบริบทและคำอธิบายเกี่ยวกับระเบียบวิธีการสำรวจ จนอาจทำให้เกิดความเข้าใจว่าเป็นความเห็นของประชาชนส่วนใหญ่ในอำเภอจะนะและสร้างความเสียหายต่อผู้เกี่ยวข้อง ขณะที่โฆษก สธ. เปิดเผยกับโคแฟคว่าจำนวนกลุ่มตัวอย่างมีจำนวน “หลักร้อย” จากจำนวนประชากรทั้งหมดในอำเภอจะนะกว่า 1 แสนคน

สธ. มีคำสั่งลงวันที่ 25 ม.ค. 2566 ย้าย นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ จากตำแหน่งผู้อำนวยการ รพ.จะนะ ไปเป็นผู้อำนวยการ รพ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา ทำให้ นพ.สุภัทร รวมทั้งบุคลากรการแพทย์และชาวจะนะบางส่วนออกมาคัดค้านเนื่องจากเห็นว่าเป็นคำสั่งที่ไม่เป็นธรรมและเชื่อว่ามีการแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง เพราะ นพ.สุภัทรมักออกมาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายสาธารณสุขของรัฐบาลอยู่เสมอ และร่วมเคลื่อนไหวคัดค้านโครงการของรัฐ เช่น นิคมอุตสาหกรรมจะนะ แต่สุดท้าย สธ. ก็เดินหน้าตามคำสั่งโยกย้าย

วันที่ 14 มี.ค. หรือราว นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ โฆษก สธ. ได้เผยแพร่ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการโยกย้าย ผอ.รพ.จะนะ ในเพจเฟซบุ๊ก “โฆษกกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข” ระบุว่าประชาชน 90.7 % “เห็นด้วย ดีใจกับการเปลี่ยนแปลง” มีเพียง 2.1% อยากให้ นพ.สุภัทรอยู่ต่อ ขณะที่ 7.2% ไม่ทราบและไม่สนใจเรื่องการโยกย้ายผู้อำนวยการโรงพยาบาล

ในโพสต์ดังกล่าว โฆษก สธ. ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการสำรวจเพียงสั้นๆ ว่า เป็นการสำรวจความเห็นประชาชนตามหลักวิชาการ ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพโดยนักวิชาการอิสระในพื้นที่ระหว่างวันที่ 1-13 มีนาคม 2566 และสรุปว่าผลการสำรวจนี้ “เท่ากับว่าการตัดสินใจในการบริหารของผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขระดับพื้นที่นั้นถูกต้อง”

โคแฟคตรวจสอบ

โคแฟคตรวจสอบเมื่อ 16 มี.ค. พบว่า หลังจากโฆษก สธ. เผยแพร่ผลการสำรวจ ได้มีสื่อมวลชนกระแสหลัก ผู้ใช้เฟซบุ๊กและทวิตเตอร์นำไปเผยแพร่ต่อ โดยเฉพาะเพจเฟซบุ๊กที่มีเนื้อหาสนับสนุนรัฐบาล เช่น

  • เพจเฟซบุ๊ก “Thailand Vision” โพสต์ว่า “ผลโพลชาวจะนะ หนุนหมอสุภัทรอยู่ต่อ 2.1%  อีก 90.7% ดีใจ อยากให้ รพ.พัฒนา” 
  • เพจเฟซบุ๊ก “สถาบันทิศทางไทย” โพสต์ว่า “ชาวจะนะอยากให้หมอสุภัทรอยู่ต่อแค่ 2.1%
  • เพจเฟซบุ๊ก “Sound of Thailand” โพสต์ว่า “ไม่อายหรือ ประชาชน 90% ไม่เอา”
  • เพจเฟซบุ๊ก “Thailand Fact Today” ซึ่งมีเนื้อหาส่วนใหญ่สนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สธ. โพสต์ว่า “ประชาชนกว่า 90% เห็นด้วย เปลี่ยน ผอ. รพ.จะนะ”
เพจเฟซบุ๊ก Sound of Thailand ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 43,000 คน นำเนื้อหาจากเพจ “โฆษกกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข”
มาเผยแพร่ต่อพร้อมจัดทำภาพประกอบ

โพสต์เหล่านี้มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก มีทั้งผู้ที่ตั้งคำถามต่อวิธีการสำรวจ และผู้ที่อ้างอิงผลการสำรวจเพื่อสนับสนุนคำสั่งโยกย้ายของ สธ. และโจมตี นพ.สุภัทร ขณะที่สื่อกระแสหลัก เช่น มติชน ผู้จัดการ และแนวหน้า พาดหัวข่าวไปในทิศทางเดียวกันว่า ประชาชน 90% เห็นด้วยกับการเปลี่ยนผู้อำนวยการ รพ.จะนะ ส่วนเนื้อข่าวเป็นการนำข้อความจาก สธ. มาเผยแพร่ต่อทั้งหมด โดยไม่มีการหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสำรวจหรือให้บริบทของการสำรวจความเห็นที่ทำขึ้นหลังจากมีการเคลื่อนไหวคัดค้านการย้าย นพ.สุภัทร

โคแฟคตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสำรวจความเห็นนี้ โดยสัมภาษณ์ นพ.รุ่งเรือง โฆษก สธ. เมื่อวันที่ 16 มี.ค. นพ.รุ่งเรืองเปิดเผยว่า กลุ่มตัวอย่างในการสำรวจความเห็นมีจำนวน “หลักร้อยคน” จากประชากรในอำเภอจะนะทั้งหมด 108,245 คน

นพ.รุ่งเรืองกล่าวว่า การสำรวจความเห็นประชาชนครั้งนี้ “ไม่ใช่การทำโพล” แต่เป็นการทำวิจัยเชิงคุณภาพที่ใช้การสุ่มตัวอย่างประชาชนพื้นที่ละ 1-2 คน เพื่อสัมภาษณ์ความคิดเห็นเชิงลึก โดยตั้งคำถามว่ามีความรู้สึกอย่างไรต่อการเปลี่ยนแปลงของ รพ.จะนะหลังจากเปลี่ยนผู้อำนวยการจาก นพ.สุภัทรเป็น นพ.หมัด และอยากเห็น รพ.จะนะพัฒนาในด้านไหน

สำหรับผู้จัดทำการสำรวจและประมวลผลนั้น นพ.รุ่งเรืองระบุว่าเป็นนักวิจัยอิสระ ไม่ได้สังกัดสถาบันการศึกษาใดๆ แต่เป็นเครือข่ายของสำนักงานบริหารการวิจัยและนวัตกรรมสาธารณสุขที่อยู่ภายใต้การกำกับของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่ง สธ. ไม่สามารถเปิดเผยชื่อได้เพื่อปกป้องนักวิจัย

นพ.รุ่งเรืองยอมรับว่าช่วงเวลาในการสำรวจ ซึ่งจัดทำขึ้นกว่า 1 เดือนหลังจากการโยกย้าย มีผลต่อความเห็นของประชาชน ซึ่งปัจจัยนี้ สธ. ไม่ได้ระบุไว้ในการเปิดเผยผลการสำรวจที่โพสต์ในเพจเฟซบุ๊กเมื่อ 14 มี.ค.

“ต้องเรียนตามตรงว่าเราสำรวจหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ (การโยกย้าย นพ.สุภัทร) นานพอสมควร ซึ่งเรามีการลงไปพัฒนา มีการเปิดห้องผ่าตัด ออกหน่วยเชิงรุก จึงทำให้ผลออกมาอย่างนี้”  นพ.รุ่งเรืองอธิบาย และให้ความเห็นว่า หากสำรวจความเห็นก่อนมีการโยกย้าย อัตราส่วนของผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนผู้อำนวยการรพ. จะนะ) อาจจะอยู่ที่ 50-50

นพ.รุ่งเรืองกล่าวว่า สธ.พร้อมเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนประชาชนที่ทำการสำรวจและวิธีการสำรวจความเห็น แต่จะต้องทำจดหมายขอข้อมูลไปที่สำนักงานปลัดฯ ซึ่งโคแฟคจะดำเนินการในขั้นต่อไป

ข้อสรุปโคแฟค: งดแชร์เพราะขาดความชัดเจนเกี่ยวกับการสำรวจความคิดเห็น

สธ.จะยืนยันว่าการสำรวจครั้งนี้จะทำตามหลักวิชาการ แต่การนำผลการสำรวจมาเผยแพร่โดยปราศจากข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับขนาดของกลุ่มตัวอย่าง การคัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง ชุดคำถามในการสัมภาษณ์เชิงลึก และวิธีการประมวลผล ทำให้เกิดคำถามต่อความน่าเชื่อถือของการสำรวจ และเปิดช่องให้มีการนำผลการสำรวจนี้ไปบิดเบือนให้สังคมเกิดความเข้าใจผิดว่ากว่า 90% ของชาวอำเภอจะนะเห็นด้วยกับการเปลี่ยนตัวผู้อำนวยการ รพ.จะนะ และมีประชาชนเพียง 2.1% ที่ต้องการให้ นพ.สุภัทรเป็นผู้อำนวยการต่อ

ข่าวเกี่ยวกับการสำรวจความคิดเห็นของ สธ. เป็นเนื้อหาประเภท misleading หรือข้อมูลที่โน้มน้าวให้เกิดความเข้าใจผิด โดยเฉพาะในประเด็นที่มีความขัดแย้ง โคแฟคแนะนำให้ผู้อ่านแยกแยะระหว่างข้อเท็จจริง ความเชื่อ และความคิดเห็นส่วนบุคคล ผู้ใช้โซเชียลมีเดียควรงดเผยแพร่ผลการสำรวจนี้ จนกว่า สธ. จะออกมาชี้แจงและเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนผู้ให้ความเห็น ชุดคำถามและวิธีการประมวลผล ขณะที่สื่อมวลชนควรนำเสนอผลการสำรวจความคิดเห็นด้วยความระมัดระวังและให้ข้อมูลที่ครบถ้วน เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด และป้องกันไม่ให้มีการนำโพลหรือผลการสำรวจความคิดเห็นมาใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรมหรือโจมตีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

เรื่องแนะนำ

ปฏิบัติการปล่อยข่าวเท็จ-บิดเบือนเรื่องศาสนา จากเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. 2565 ถึงเลือกตั้งทั่วไป 2566

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค

ในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร 22 พ.ค. 2565 ชาวพุทธบางกลุ่มได้ออกมาเคลื่อนไหวในโซเชียลมีเดียเรียกร้องให้คนกรุงเทพฯ ไม่เลือกผู้สมัครจาก “พรรคฝักใฝ่อิสลาม” และนำนโยบายของผู้สมัครบางคนมาบิดเบือนว่าเป็นนโยบายที่ให้สิทธิพิเศษแก่ชาวมุสลิม 

แม้เนื้อหาเหล่านั้นจะไม่แพร่หลายนักและวัดไม่ได้ว่ามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากน้อยเพียงใด แต่ปรากฏการณ์นี้บ่งชี้ว่าศาสนาได้ถูกนำมาเป็นประเด็นในการโจมตีกันทางการเมืองในช่วงเลือกตั้ง และมีสัญญาณว่าสิ่งนี้กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งในช่วงนับถอยหลังสู่การเลือกตั้งทั่วไปที่คาดว่าจะมีขึ้นในเดือน พ.ค. 2566

สัญญาณดังกล่าว ได้แก่ การวนกลับมาของข่าวเท็จเรื่อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและภรรยานับถือศาสนาอิสลาม และการเผยแพร่เนื้อหาในโซเชียลมีเดียเพื่อโน้มน้าวให้คนเชื่อว่าพรรคการเมืองบางพรรคมีความเชื่อมโยงกับอิสลาม เช่น ภาพถ่ายหมู่ของชาวมุสลิมที่สำนักงานพรรคพลังประชารัฐ และงานทำบุญใหญ่ของพรรครวมไทยสร้างชาติซึ่งจัดทั้งพิธีตามหลักศาสนาอิสลามและศาสนาพุทธ เป็นต้น 

สัญญาณที่เด่นชัดที่สุดน่าจะเป็นการอภิปรายของนายนิยม เวชกามา ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อ 16 ก.พ. 2566 ที่กล่าวหานายกฯ ว่าปล่อยปละละเลยทำให้เกิดการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา สร้างความแตกแยกในหมู่สงฆ์ ไม่ดูแลพระสงฆ์และชาวพุทธในจังหวัดชายแดนภาคใต้

นายนิยมกล่าวว่า สิ่งเหล่านี้ทำให้ประชาชนเกิดคำถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ “นับถือศาสนาอะไรกันแน่” และปิดท้ายว่า “ขอให้ชาวพุทธทั้งประเทศพิจารณาถึงพฤติกรรมที่นายกฯ คนนี้ได้เหยียบย่ำและทำลายศักดิ์ศรีของชาวพุทธมาตลอด 8 ปี…พี่น้องชาวพุทธต้องสั่งถอดนายกฯ คนนี้ออกไปโดยใช้บัตรเลือกตั้งในการเลือกตั้งคราวหน้า”

คลิปการอภิปรายของนายนิยมถูกนำมาเผยแพร่ในเพจเฟซบุ๊ก “รวมใจคนไทยพุทธ ทั่วไทย” ซึ่งเป็นเครือข่ายขององค์กรปกป้องพระพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพ (อปพส.) โดยมีผู้เข้ามาคอมเมนต์ชื่นชมนายนิยมว่าเป็น “ส.ส.หัวใจพุทธ” อีกความเห็นหนึ่งระบุว่า “เลือกเพื่อไทยไม่เอาอิสลาม”

อพปส. เป็นหนึ่งในสององค์กรชาวพุทธที่เผยแพร่เนื้อหาต่อต้านอิสลามในโซเชียลมีเดีย อีกองค์กรหนึ่งสมาคมปกป้องพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ จ.สกลนคร 

โคแฟคคาดว่าในช่วงนับถอยหลังสู่การเลือกตั้ง จะมีการผลิตและเผยแพร่ข่าวลวง ข่าวบิดเบือน และข่าวที่สร้างความเข้าใจผิดต่อพรรคการเมืองและนักการเมืองในเรื่องที่เกี่ยวกับศาสนามากขึ้น เรื่องนี้น่ากังวลแค่ไหนและสังคมไทยควรรับมืออย่างไร โคแฟคสัมภาษณ์พิเศษ ผศ. เอกรินทร์ ต่วนศิริ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพื่อหาคำตอบ และเรียบเรียงเป็นบทถาม-ตอบ  

ถาม: ข้อมูลบิดเบือนทางการเมืองที่เชื่อมโยงกับศาสนา ส่งผลต่อการเมืองไทยอย่างไร?

ตอบ: การศึกษาเรื่อง “สำรวจถ้อยคำ ‘ประทุษวาจา’ บนชานชาลาเฟซบุ๊ก กรณีความสัมพันธ์ทางศาสนาและชาติพันธุ์ในสังคมไทย” ซึ่งจะเผยแพร่เร็วๆ นี้พบว่า กลุ่มชาวพุทธที่ส่งต่อข้อมูลที่มีเจตนาบิดเบือนข้อเท็จจริง แบ่งเป็น 2 กลุ่มหลักๆ คือ 1) กลุ่มจัดตั้งของชาวพุทธชาตินิยมที่มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง และ 2) คนพุทธที่มีเจตนาดีในการปกป้องพระพุทธศาสนาแต่หลงเชื่อข้อมูลที่บิดเบือนและส่งต่อโดยไม่ตรวจสอบความถูกต้อง 

ตัวอย่างการจงใจสร้างข้อมูลเท็จที่เชื่อมโยงกับศาสนาอิสลามเพื่อสร้างความเสียหายต่อนักการเมือง เช่น การเผยแพร่ข้อมูลว่านายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ อยู่เบื้องหลังกลุ่มมุสลิมติดอาวุธในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งศาลได้ตัดสินแล้วว่าผู้เผยแพร่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท ข้อมูลเท็จลักษณะนี้ทำให้นักการเมืองและพรรคการเมืองที่เปิดพื้นที่ให้กับคนมุสลิม โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำงานลำบากมากขึ้น และสุดท้ายอาจทำลายความเชื่อมั่นต่อการเมืองในระบบรัฐสภาโดยรวม ที่สำคัญคือหน่วยงานความมั่นคงอย่างกองอำนวยการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มักจะรับไม้ต่อด้วยการนำข้อมูลของกลุ่มพุทธชาตินิยมเหล่านี้ไปขยายผล

ข้อมูลบิดเบือนที่เจตนาสร้างความเสียหาย (disinformation) ทำให้การเมืองในระบอบประชาธิปไตยกลายเป็นพื้นที่ไม่ปลอดภัยสำหรับผู้ที่เข้ามาทำงานการเมือง เพราะอาจตกเป็นเหยื่อของข้อมูลเท็จหรือข้อมูลบิดเบือนที่ทำให้เขากลายเป็นบุคคลอันตราย ไม่ต่างจากการกล่าวหาพรรคการเมืองหรือนักการเมืองว่าเป็น “ขบวนการล้มเจ้า” ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายและทำให้การเมืองในระบบประชาธิปไตยไม่ขยับไปไหน เป็นการเมืองแบบหวาดระแวง 

ถาม: นักการเมือง-พรรคการเมืองทำอะไรได้บ้าง?

การที่นักการเมืองหรือพรรคการเมืองเอาเรื่องศาสนามาพูดในลักษณะที่เป็นการรับลูกจากกลุ่มชาวพุทธชาตินิยมเพื่อหวังคะแนนเสียงจากชาวพุทธ จะส่งผลให้การเมืองในระบอบรัฐสภาไม่สามารถแยกออกจากศาสนาได้ และนอกจากจะไม่ช่วยคลี่คลายสถานการณ์แล้ว ยังทำให้การจัดการความขัดแย้งทางศาสนายากขึ้น

ภายใต้บรรยากาศทางสังคมการเมืองไทยที่เปราะบางมากในขณะนี้ หน้าที่อย่างหนึ่งของพรรคการเมืองคือการสร้างความกลมเกลียวทางสังคม พรรคการเมืองต้องยึดมั่นในหลักการที่ว่ารัฐกับศาสนาต้องแยกเป็นอิสระจากกันเป็นรัฐโลกวิสัย (secular state) พรรคการเมืองจะต้องเป็นผู้นำทางความคิดในเรื่องการอยู่ร่วมกันของคนต่างศาสนา ไม่ใช่ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้คะแนนเสียง พรรคการเมืองจะต้องแสดงจุดยืนในบางเรื่อง แม้ว่าจุดยืนนั้นจะแตกต่างจากความเชื่อของฐานคะแนนเสียงของพรรคก็ตาม

ถาม: ประเด็น “ปกป้องพุทธ-ต่อต้านอิสลาม” จะส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้งหรือไม่?

ตอบ: ในประเทศไทย เรื่องศาสนาไม่ได้มีผลต่อการตัดสินใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้งอย่างมีนัยสำคัญ ต่างจากศรีลังกาหรือเมียนมาที่มีความขัดแย้งทางศาสนาอย่างชัดเจน สังคมไทยมีต้นทุนที่ดีในระดับหนึ่งที่ทำให้ชาวพุทธและมุสลิมในหลายชุมชนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เกื้อกูลกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อยู่ร่วมกันได้จริงๆ จากการลงพื้นที่ชุมชนที่คนพุทธและมุสลิมอยู่ร่วมกันในหลายจังหวัด ยังไม่พบสัญญาณความขัดแย้งที่จะนำไปสู่การใช้ความรุนแรง ดังนั้นเมื่อมองในมิติการเมือง ผมคิดว่าเรื่องนี้ยังไม่มีผลถึงขนาดที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในการลงคะแนนเสียงได้

แต่เราก็มีความกังวลว่า การใช้ข้อมูลบิดเบือนในเรื่องศาสนามาเป็นเครื่องมือทางการเมือง จะสร้างความเสียหายต่อสังคมไทยในระยะยาว เพราะต้นทุนทางสังคมที่ทำให้คนต่างศาสนาอยู่ร่วมกันได้เริ่มร่อยหรอไป เราไม่อยากให้ไทยเป็นเหมือนศรีลังกาหรือเมียนมาที่ความขัดแย้งทางศาสนานำมาซึ่งความสูญเสียชีวิตผู้คน ดังนั้นทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องตื่นตัวกับเรื่องนี้และสร้างมาตรการรองรับ เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีองค์กรหรือหน่วยงานที่มีความเข้าใจเรื่องความแตกต่างทางศาสนาคอยตรวจสอบและชี้แจงข้อมูลที่บิดเบือน เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะการแก้ไขปัญหาก่อนที่มันจะบานปลายจนเกิดความสูญเสียย่อมทำได้ง่ายกว่าและใช้ทรัพยากรน้อยกว่า  

อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 18 มีนาคม 2566

การผายลม ช่วยบำบัดโรคไต…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/d6xbur6qo3pt


เพจธนาคารออมสิน CustomerService เปิดให้ลงทะเบียนสินเชื่อสร้างงานสร้างอาชีพ เพื่อช่วยคนตกงาน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/2ccb3qax66jvt


สำนักงานประกันสังคมแจ้งนายจ้างและผู้เอาประกันติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่ออัปเดทข้อมูลอย่างเร่งด่วน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1ji1e8erkjv10


วัตถุบินลึกลับที่หนองคาย คาดว่าเป็นจรวด Long March 11 ของจีน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/132gv3fgy8g4q


คลิปไวรัล กลุ่ม นทท จู่ๆผมชี้ตั้ง ถ่ายรูป หารู้ไม่เป็นสัญญาณเตือนฟ้าผ่า

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2227uolfgiub2


“คราบหินปูน” ที่ฟัน อันตรายกว่าที่คิด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3ojov0v4scfy9


5 เครื่องดื่ม (นม ชา-กาแฟ น้ำผลไม้รสเปรี้ยว แอลกอฮอลล์ น้ำอัดลม-โซดา)ที่ไม่ควรดื่มพร้อมยา

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3bslzvrgwei60


หวั่นการล่มสลายของ SVB กลายเป็นโดมิโนตลาดการเงินสหรัฐ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1omqxnndb7s06


การนอนยกขาชิดกำแพง ช่วยให้สุขภาพดี…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2ck7ftkl5cef7


เปิด ‘คัมภีร์’ ตั้งรับข่าวลวง เช็ก-แก้ไข-ฟังขั้วตรงข้าม

บทบาท “จับตา” เลือกตั้ง โดยเฉพาะข้อมูลข่าวสารที่จะแพร่สะพัดออกมาจำนวนมาก “ประชาธิปไตยยืนหนึ่ง” ชวนพูดคุยปัญหาที่มา พร้อมโลกสื่อสารผ่านเทคโนโลยี นั่นคือข่าวปลอม-ข่าวลวงที่เกิดขึ้นง่ายและรวดเร็ว ยิ่งในห้วงการเมืองร้อนแรง การตรวจสอบข้อเท็จจริงยิ่งสำคัญขึ้นเรื่อยๆ

“สุภิญญา กลางณรงค์” ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) พื้นที่ตรวจสอบข่าวลวงในโลกออนไลน์ สะท้อนภาพสถานการณ์และบทบาทข่าวสารช่วงเลือกตั้ง เพื่อให้ทุกคนตั้งรับอย่างมีสติ ไม่ตกเป็นเครื่องมือข่าวสารที่ไม่เป็นจริง

เช็กทิศทางลมข่าวลวง

สุภิญญา มองว่า ปัจจุบันไม่ได้หายไปไหน เพียงเปลี่ยนรูปแบบเป็นคอนเทนต์ที่เชื่อมโยงกับสถานการณ์ ยกตัวอย่าง ช่วงโควิด-19 ก็จะเห็นข่าวลือ ข่าวลวงเรื่องของวัคซีนและสุขภาพมาแรง ส่วนขณะนี้กำลังเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง การเมืองก็อาจมาแรง บางเรื่องบางอย่างคนอาจจะรู้แล้วว่าไม่จริง ก็อาจชะลอการแชร์ พอมีประเด็นอะไรใหม่ ๆ คนก็อาจพร้อมแชร์ในเรื่องที่ไม่จริง แม้จะมีการแก้ไขข่าวแล้วว่าไม่จริง เพราะหากตรงกับความเชื่อของคน คนก็พร้อมแชร์ โดยเฉพาะเรื่องการเมือง

“จากที่เก็บข้อมูลจึงเป็นเรื่องท้าทายมากว่า ข้อเท็จจริงบางอย่างถูกตรวจสอบ แก้ไขแล้วแต่ยังวนซ้ำด้วยเหตุที่ว่า ยังมีคนรู้ว่ามันไม่จริง ซึ่งคน ๆ นั้นอาจจะเพิ่งเห็นข่าวนั้นเป็นข่าวแรกในชีวิตก็ได้ ความยากในการต้องตรวจสอบให้ทันเวลา แก้ไขข้อมูลให้ถูกต้อง แต่ที่ยากกว่านั้นคือเรื่องที่มีการตรวจสอบแล้ว แก้ไขแล้ว แต่มันยังไม่ถึงคนจำนวนมากที่ยากขึ้นอีก คือต่อให้รู้ว่าไม่จริงแต่ก็ยังแชร์เพราะตรงกับจุดยืนทางการเมือง”

ทั้งนี้ ยอมรับว่าสิ่งที่เป็นประเด็นดังกล่าวยากเกินกว่าโคแฟคจะหาทางแก้ได้ เพราะแนวคิดโคแฟคคือการให้ทุกคนตื่นตัว เป็นผู้รับสารที่ “แอคทีฟ” และเป็นผู้ตรวจสอบข่าวด้วยตัวเอง แต่ถ้าคนเหล่านั้นมีอคติ มายาคติ ฉันทาคติ หรือว่ามีธงแล้ว การให้แค่ข้อเท็จจริงอย่างเดียวไม่ได้ผลเปลี่ยนแปลงความคิด หรือการรับรู้ ถือเป็นโจทย์ที่ยากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับการเมือง สังคม วัฒนธรรม หรือสุขภาพ

จุดยืนตรวจสอบช่วงเลือกตั้ง…

ส่วนตัวมองว่า เลือกตั้งครั้งนี้น่าจะ “อลหม่าน” อีกครั้งหนึ่งของประเทศไทย เพราะนอกจากสภาพทางการเมืองที่จะไม่มีเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว ยังมีพรรคการเมืองเยอะมาก ขั้วการเมืองกระจัดกระจาย ฉะนั้นความสับสนมีแน่นอน สิ่งที่โคแฟคอยากทำและร่วมกันคือควรมีการรวมกลุ่มหรือภาคีที่จะนำเสนอข้อเท็จจริง เพื่อช่วยให้คนไม่สับสน เริ่มตั้งแต่ข้อมูลเลือกตั้งขั้นพื้นฐาน

“อยากจะรวม ๆ ให้หน่วยงานรัฐพูดให้ชัดเจน หรือถ้าประชาชนสับสนมีข่าวลือเหมือนการเลือกตั้งที่ผ่าน ๆ มา เช่น มีข่าวลือให้นำปากกาไปเอง เพราะที่มีให้ ณ คูหาอาจใช้ไม่ได้ จากประสบการณ์เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ก็จะมีข่าวประมาณนี้ ซึ่งหน่วยงานรัฐหรือ กกต. ต้องรับมือว่าอาจจะมีข่าวลืออะไรบ้าง ที่ทำให้คนสับสนในการกาบัตร หรือเตรียมตัว”

สุภิญญา เผยว่า เบื้องต้นโคแฟคเตรียมพร้อมเพื่อลองมอนิเตอร์ข้อมูลเหล่านี้ว่ามีอะไรบ้าง โดยมีเครือข่ายชุมชนทั่วประเทศสนับสนุนเพราะใกล้เลือกตั้งแล้ว จะมีการจับสังเกตจากเริ่มส่งไลน์อะไรกัน ส่งข้อมูลอะไรกัน จากนั้นให้ส่งมา Database ของ cofact.org เพื่อนำไปตรวจสอบข่าวที่เป็นไวรัล ข่าวที่ลืออยู่นั้นจริงหรือไม่

นอกจากนี้ ระบุถึงความต้องการร่วมมือกับสื่อมวลชน กรณีที่ต้องตรวจสอบเชิงลึก จำเป็นต้องถามจากแหล่งข่าว รวมถึงอยากเรียกร้องการร่วมกันกับภาคีองค์กรต่าง ๆ ให้มีการนับคะแนนหรือเปิดเผยคะแนนเรียลไทม์ที่ทุกคนตรวจสอบได้ เพราะว่าคะแนนดิบคือข้อเท็จจริงเบื้องต้น ที่จะนำไปสู่การเลือกตั้งที่ยุติธรรม จุดนี้โคแฟคทำคนเดียวไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มพรรคการเมือง โคแฟค ยังไม่ได้ทำงานร่วมกันมากนัก เพราะต้องรักษาความเป็นกลาง เป็นอิสระแต่ก็อยากให้ทุกพรรคนำเสนอข้อมูลข่าวสารอย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช้ IO (ไอโอ) ซึ่งคงยากในยุคนี้ ดังนั้น จึงต้องหวังที่ผู้บริโภคให้รู้เท่าทันว่าไอโอคืออะไร

ประเมินรูปแบบข่าวหลอก ข่าวลวง

สุภิญญา มองอันดับแรกนอกจากการส่งไลน์ที่เป็นเรื่องเก่าแล้ว จะมีคอมเมนต์ในเฟซบุ๊ก ในเพจข่าวที่ไปปล่อยข่าว “ดิสเครดิต” กัน ดังนั้น เพจหรืออินฟลูเอนเซอร์ต่าง ๆ ต้องจับตาดู เพราะบางเรื่องไม่ใช่ความจริงทั้งหมด พร้อมคาดการณ์จะมีการใช้โซเชียลมีเดียมากขึ้นกว่าการเลือกตั้งเมื่อปี 2562

สุดท้ายสิ่งที่ห่วงมากสุดคือขาวลวงที่มากับทฤษฎีสมคบคิดทั้งหลายที่นำไปสู่ความเกลียดชังกัน ก็อาจนำไปสู่ความขัดแย้ง เพราะประเทศไทยมีเรื่องขัดแย้งกันมายาวนานและขัดแย้งกันอย่างลึกซึ้ง ทำให้ครั้งนี้ไม่อาจคาดเดาว่าข่าวลือจะมาแบบใด เพราะมีหลายขั้วหลายเฉด

“การเลือกตั้งในครั้งนี้ ทุกคนจึงต้องตั้งสติรับข้อมูลข่าวสาร และการเสพความคิดเห็นซึ่งน่าจะร้อนแรง อีกอย่างก็ห่วงสุขภาพประชาชนที่ติดตามด้วย เพราะเราก็ไม่อยากให้คนเบื่อการเมืองแล้วไม่อยากออกไปเลือกตั้งเพราะถ้าคนรู้สึกว่าเลือกไปก็เท่านั้นก็อาจจะส่งผลต่อภาพรวม”

เทคนิคติดตาม-จัดการข่าวแชร์

เบื้องต้นใช้คาถา “ชัวร์ก่อนแชร์” เป็นเบอร์ 1 ดีอยู่แล้ว แต่มากกว่านั้นในยุคนี้ไม่พอ “ต้องเช็ก” “ต้องแก้ไข”ด้วย หากเห็นข้อมูลใดแล้วไม่แชร์อันนั้น เป็นเรื่องที่ดีแล้วถ้าไม่ชัวร์ แต่ถ้าให้ดีคือ ช่วยกันหยุดยั้ง แก้ไขข่าวลวงนั้นด้วย เพราะปัจจุบันข่าวลือข่าวลวงที่แพร่สะพัดไปเพราะคนเกรงใจกันไม่กล้าโต้แย้ง แต่หากจะโต้แย้งกันก็ควรจะต้องมีศิลปะ มีการตรวจสอบข้อมูลที่ถูกต้องไม่ใช่ทะเลาะกันเรื่อยเปื่อย

อีกเทคนิคคืออยากให้ทุกคนลองตรวจสอบตัวเอง โดยเฉพาะเรื่องการเมืองว่า มีจุดยืนทางการเมืองไปทางไหน หากตัวเองมีจุดยืนทางการเมืองชอบพรรคไหน แนะนำให้เปิดใจรับฟังข้อมูลจากพรรคที่ไม่ชอบด้วย แล้วมาหารกัน ยังไงก็ไม่มีใครเปลี่ยนใจจากพรรคที่ตัวเองชอบได้ แต่ก็ควรอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง

“เปิดใจฟังฝั่งตรงข้ามนำข้อมูลมาบาลานซ์ เป็นอีกเทคนิคบาลานซ์ข่าวได้ดีที่สุด ถ้าเราติดตามแต่ช่องทางสื่อ ช่องทางพรรคหรือช่องทางคนที่เราชอบอย่างเดียว เราก็จะอยู่ในฟองสบู่ของเราเอง หรือว่าอยู่ในสิ่งที่เรียกว่าห้องแคบ ๆ มีอคติกับคนอื่น ๆ”

สุภิญญา ย้ำความสำคัญของการเปิดใจฟังแหล่งข้อมูลฝ่ายตรงกันข้ามกับพรรค หรือคนที่เราชอบ เพื่อให้ใจกว้างขึ้นจะได้เกิดความสมดุลในข้อมูลข่าวสาร

ขอบคุณที่มาข้อมูล https://www.dailynews.co.th/articles/2072364/

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 12 มีนาคม 2566

คลอรีนในน้ำประปา ทำให้ข้าวเป็นอันตราย หรือสูญเสียวิตามินบี…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/pnbbwp8k4hti


‘แช่แข็งขวดน้ำพลาสติกเสี่ยงมะเร็ง’…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2atn0i3znl6ha


ธนาคารกรุงไทย เตือนมุกใหม่มิจฉาชีพ ใครเจอเหตุการณ์นี้ ห้ามหลงเชื่อเด็ดขาด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3if8tc9izhwyo


สีฉี่บอกโรค…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3o9hgtq4j7wtt


“เดินวันละ 10,000 ก้าว” ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2sih5t1qt0vu6


ลูกดูจอมือถือมากๆ เสี่ยงเป็นออทิสติกเทียม…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1ryj6o4nx6a4i


เสาร์ 18 มีค. นี้ ชวนดูหนัง The Social Dilemma และร่วมวงสนทนา รู้เท่าทันสื่อสังคมออนไลน์ กับ COFACT (ประเทศไทย)

ขอเชิญชวนรับชมภาพยนตร์ The Social Dilemma  และร่วมวงสนทนา รู้เท่าทันสื่อสังคมออนไลน์

วันเสาร์ที่ 18 มีนาคม 2566 เวลา 13.00-16.30 น.

ณ หอภาพยนตร์ ศาลายา จ.นครปฐม
(พิกัดสถานที่)

13.00 – 14.30 น.
ชม “ภาพยนตร์สารคดี The Social Dilemma” ผลงานการผลิตของเน็ตฟลิกซ์ (Netflix) ผลงานการกำกับของ เจฟฟ์ ออร์โลวสกี ที่นำเสนอปัญหาจากสื่อสังคมออนไลน์ในชีวิตประจำวัน ความสัมพันธ์และอิทธิพลที่ส่งผลต่อผู้ใช้งาน การถูกครอบงำชีวิตทั่วไป การเมือง มนุษยธรรม ความถูกต้อง หรือแม้แต่การแพร่กระจายของข่าวปลอมต่างๆ 

14.30 – 14.15 น.
พักรับประทานอาหารว่าง

14.45 – 16.30 น.
ร่วมสนทนา “มุมมองและประสบการณ์ปัญหาสื่อสังคมออนไลน์ในประเทศไทย”
โดย คุณสุภิญญา กลางณรงค์ อดีตกรรมการ กสทช. และผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT (ประเทศไทย)

ลงทะเบียนร่วมงาน ได้ที่ลิงก์

https://fapot.or.th/main/cinema/view/1875

🎥 สนับสนุนกิจกรรมโดย Netflix

แกะรอยข่าว “ลูกชิ้นปลาเนื้อตัวเหี้ย” อีกหนึ่งบทเรียนของสื่อไทยและผู้ใช้โซเชียลมีเดีย

.โคแฟคตรวจสอบที่มาของข่าวการนำเนื้อตัวเหี้ยไปเป็นส่วนผสมของลูกชิ้นปลา พบว่าอาจเกิดจากการนำบทสนทนาในลักษณะ “คุยกันเล่นๆ” ของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์จับกุมขบวนการลักลอบค้าสัตว์ป่าใน จ.สุพรรณบุรี มาเผยแพร่ในกลุ่มไลน์ จากนั้นจึงมีการนำไปโพสต์ในเฟซบุ๊กโดยไม่ผ่านการตรวจสอบที่มาและความถูกต้อง  จึงควรหยุดเผยแพร่และหยุดแชร์ต่อ

วันที่ 28 ก.พ. 2566 เจ้าหน้าที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) เข้าจับกุมผู้ต้องหาลักลอบค้าสัตว์ป่าที่ อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี พร้อมของกลางคือตัวเหี้ย ทั้งที่เป็นซากและที่ยังมีชีวิตเกือบ 100 ตัว

ข่าวนี้เริ่มได้รับความสนใจและแชร์กันอย่างแพร่หลายตั้งแต่ช่วงสายของวันที่ 1 มี.ค. เมื่อมีเพจเฟซบุ๊กบางแห่งรายงานว่า เนื้อเหี้ยที่ชำแหละแล้วจะถูกส่งไปทำลูกชิ้นปลา ส่งผลให้กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ซึ่งกำกับดูแล บก.ปทส. ออกมาชี้แจงช่วงค่ำวันเดียวกันว่า ข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริง 

“กรณีที่มีเพจหนึ่งโพสต์รูปภาพตัวเงินตัวทอง พร้อมข้อความระบุว่า ‘บุกทลายโรงงานผลิตลูกชิ้นปลาเจ้าใหญ่ที่ดัดแปลงใช้เนื้อของตัวเงินตัวทองมาทำเป็นลูกชิ้นปลาเนื้อขาวใสไร้ความคาว ส่วนหนังน่านำไปตากแห้งทำเป็นหนังปลาทอดกรอบ จัดจำหน่ายส่งขายทั่วประเทศมานานแล้ว’…จากการสอบถามผู้ต้องหาและจากการสืบสวน ยืนยันว่า ซากตัวเงินตัวทองเหล่านี้ เตรียมนำไปขายต่อที่ตลาดชายแดนภาคตะวันออก เพื่อนำไปประกอบเป็นอาหารป่าขายแก่ผู้ชื่นชอบเท่านั้น ไม่ได้เป็นไปตามที่มีกระแสข่าวแต่อย่างใด” บช.ก. ชี้แจงทางเฟซบุ๊ก

โคแฟคตรวจสอบ

เพจเฟซบุ๊กที่โพสต์เรื่องการนำเนื้อเหี้ยไปทำลูกชิ้นปลาเมื่อวันที่ 1 มี.ค. และถูกแชร์ต่อจำนวนมาก เช่น 

• เพจ “ห้องข่าวจิตอาสา แจ้งเหตุเตือนภัย Live สด” โพสต์เมื่อ 11.45 น. ว่า “ป่าไม้เขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงฉวาก บุกทลายโรงงานลูกชิ้นทำจากตัวเงินตัวทองที่ อ.อู่ทอง ส่งขายทุกอำเภอและจังหวัดใกล้เคียง (แทนลูกชิ้นปลาสีขาว)” ถูกแชร์กว่า 1 หมื่นครั้ง

• เพจ “อีซ้อขยี้ข่าว 2” โพสต์เมื่อ 17.24 น. ว่า “รวบพ่อค้าตัวเงินตัวทองรายใหญ่ค้าส่งชำแหละเนื้อขายส่งขายแปรรูปเพื่อนำไปเป็นอาหาร ทำเป็นลูกขิ้นปลาเนื้อขาวใสไร้ความคาว ส่วนหนังเกรงว่าน่านำไปตากแห้งทำเป็นหนังปลาทอดกรอบ โดยชำแหละส่งไปขายทั่วประเทศทำแบบนี้มานานแล้ว” ถูกแชร์กว่า 1.5 หมื่นครั้ง 

• เพจ “ตาสว่าง” โพสต์เมื่อ 20.16 น. ว่า “ส่งขายทั่วประเทศ ทลายโรงงานผลิตลูกชิ้นปลาเจ้าใหญ่ที่ดัดแปลงใช้เนื้อของตัวเงินตัวทองมาทำเป็นลูกขิ้นปลาเนื้อขาวใสไร้ความคาว ส่วนหนังน่านำไปตากแห้งทำเป็นหนังปลาทอดกรอบ จัดจำหน่ายส่งขายทั่วประเทศมานานแล้ว” ถูกแชร์กว่า 1 หมื่นครั้ง

สื่อมวลชนกระแสหลักหลายแห่งก็เสนอข่าวลูกชิ้นปลาเนื้อตัวเหี้ยด้วยเช่นกัน เช่น เว็บไซต์มติชนพาดหัวข่าวว่า“เพจดังแฉ! ซากตัวเหี้ยรอชำแหละ แปรรูปเป็นลูกชิ้นปลา-หนังตากแห้งเป็นปลากรอบ” โดยอ้างข้อความจากโพสต์ของเพจ “อีซ้อขยี้ข่าว 2” และเพจเฟซบุ๊ก “ไทยรัฐนิวส์โชว์” พาดหัวข่าวว่า “บุกโรงงานชำแหละเหี้ย ขายเนื้อทำเมนูเปิบพิศดาร ‘ลูกชิ้นปลาเนื้อเหี้ย’” แต่ในเนื้อข่าวไม่มีข้อมูลที่เกี่ยวกับลูกชิ้นปลา

ข่าวนี้ยังถูกแชร์โดยผู้สื่อข่าวและบุคคลที่มีชื่อเสียงหลายคน เช่น เฟซบุ๊กของ Yuthana Boonorm ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 2 แสนคน โดยโพสต์ของเขามีผู้แชร์ต่อไปกว่า 1.4 พันครั้ง 

จากการตรวจสอบของโคแฟคเมื่อ 3 มี.ค. 2566 พบว่า เพจเฟซบุ๊กและสื่อมวลชนที่นำเสนอข่าวนำเนื้อเหี้ยไปทำลูกชิ้นปลานำเสนอคำชี้แจงของ บช.ก. โดยบางแห่งได้แก้ไขเนื้อข่าวเดิม แต่บางแห่งนำเสนอเป็นโพสต์หรือข่าวชิ้นใหม่ โดยไม่ได้นำข่าวเดิมออกจากระบบ ทำให้ข่าวเรื่องการนำเนื้อเหี้ยไปทำลูกชิ้นปลายังปรากฏอยู่ในโซเชียลมีเดีย ทั้งเฟซบุ๊กและ TikTok รวมทั้งเว็บไซต์ของสื่อมวลชนบางสำนัก

โคแฟคสอบถามไปยังแอดมินของเพจ “ห้องข่าวจิตอาสา แจ้งเหตุเตือนภัย Live สด” ซึ่งเป็นเพจแรกๆ ที่โพสต์ข้อมูลเกี่ยวกับการนำเนื้อเหี้ยไปทำลูกชิ้นปลา ได้รับคำอธิบายว่าทางเพจนำข่าวนี้มาจากกลุ่มไลน์แจ้งเหตุเตือนภัย ซึ่งมีสมาชิกจากหลายจังหวัดเป็นผู้ส่งข่าวเข้ามา สำหรับข่าวนี้ได้มาจากกลุ่ม “เรารักสุพรรณบุรี” เขายอมรับว่าไม่ได้ตรวจสอบเนื้อหาก่อนโพสต์เพราะเป็นข่าวที่มาจากสมาชิกจึงคิดว่ามีความถูกต้อง อีกทั้งเพจห้องข่าวจิตอาสาฯ ยังนำเสนอในลักษณะ “เตือนภัย” เท่านั้น

จากการตรวจสอบเพจเฟซบุ๊ก “เรารักสุพรรณบุรี” พบว่ามีการนำเสนอภาพและข่าวเหตุการณ์นี้เช่นกัน แต่ไม่ได้ระบุว่ามีการนำเนื้อเหี้ยไปทำลูกชิ้นปลา ขณะที่แอดมินเพจให้ข้อมูลกับโคแฟคว่า เนื้อหาที่โพสต์นั้นมาจากกลุ่มไลน์ผู้สื่อข่าวท้องถิ่น จ.สุพรรณบุรี ซึ่งเนื้อข่าวบอกเพียงว่าชำแหละส่งร้านอาหารป่า

ด้านผู้สื่อข่าวท้องถิ่นใน จ.สุพรรณบุรี ที่ลงพื้นที่ทำข่าวนี้ ให้สัมภาษณ์โคแฟคโดยขอไม่เปิดเผยชื่อว่า เขาได้ยินเจ้าหน้าที่คุยเล่นกันในเชิงขำขันว่าเนื้อตัวเหี้ยอาจจะถูกส่งไปโรงงานทำลูกชิ้น ผู้สื่อข่าวรายนี้จึงสอบถามตำรวจและเจ้าหน้าที่ป่าไม้อีกครั้ง ซึ่งก็ได้รับคำยืนยันว่าข้อมูลเรื่องลูกชิ้นปลานั้นไม่เป็นความจริง 

ข้อสรุปโคแฟค: ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นความจริง หยุดแชร์

1. การสอบสวนของเจ้าหน้าที่จนถึงขณะนี้พบเพียงว่า ผู้ต้องหาขบวนการค้าสัตว์ป่าชำแหละเนื้อตัวเหี้ยส่งร้านอาหารป่าในจังหวัดชายแดนภาคตะวันออก ข่าวที่ระบุว่าเนื้อเหี้ยถูกนำไปทำลูกชิ้นปลาจึงยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นความจริง อีกทั้งยังไม่มีการอ้างแหล่งที่มาหรือระบุแหล่งข่าวที่ให้ข้อมูลดังกล่าว ข่าวนี้จึงไม่มีความน่าเชื่อถือและไม่ควรเผยแพร่ต่อ เพราะอาจส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและผู้ประกอบการธุรกิจอาหาร  

2. หากการสอบสวนขยายผลของเจ้าหน้าที่พบหลักฐานว่ามีการนำเนื้อตัวเหี้ยไปผสมลูกชิ้นปลาหรืออาหารชนิดอื่นที่มีการบริโภคอย่างแพร่หลายจริง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องออกมาเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะโดยทันที พร้อมกับมีมาตรการตรวจสอบความปลอดภัยทางอาหารเพื่อปกป้องผู้บริโภค


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 5 มีนาคม 2566

ลูกชิ้นทำจากเนื้อ “ตัวเงินตัวทอง”…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/25rpcyllnkre6


มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ค้นพบวิธีการทำลายเกราะเซลล์มะเร็ง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่     https://cofact.org/article/1dw3dxlprp2r1


กรมสรรพากรแจ้ง การยื่นภาษีประจำ 2566 ไม่สำเร็จคลิกเพื่อตรวจสอบรายละเอียด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่    https://cofact.org/article/udwmfce15prc


ต้นตอ“ไวรัสมาร์เบิร์ก”เสี่ยงตายสูงWHOสอบระบาดครั้งแรกใน“อิเควทอเรียลกินี”

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/hduspg41bp0v


กั๊กที่จอดรถบนถนนสาธารณะ มีความผิด คนแจ้งเบาะแสได้ส่วนแบ่งค่าปรับ 50%

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3458dpmbow7cv


เตือนภัยโจรแฮกบาร์โค้ดเลข 13หลักบัตรประชาชนสูญเงินนับล้าน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1nmba5o5pl7g1


ข้อมูลเท็จเรื่อง พล.อ.ประยุทธ์และภรรยานับถืออิสลาม ยอดภูเขาน้ำแข็งของ “อิสลามโมโฟเบีย”    

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและภรรยา นับถือศาสนาอิสลาม เป็นข้อมูลเท็จที่ไหลเวียนอยู่ในโซเชียลมีเดียและแอปพลิเคชันสนทนามาเป็นเวลากว่า 5 ปี โคแฟคตรวจสอบพบว่าข้อมูลเท็จนี้เป็นส่วนหนึ่งของเนื้อหาที่ยุยงให้เกิดความเกลียดกลัวอิสลาม (Islamophobia) ที่กำลังเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ ในทุกแพลตฟอร์ม 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เคยออกมาชี้แจงเรื่องนี้ด้วยตัวเอง 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อ 8 มี.ค.2559 หลังจากมีการนำภาพที่เขาสวมหมวกกะปิเยาะห์ที่กลุ่มชาวมุสลิมนำมาให้และภาพที่เขาและนางนราพร จันทร์โอชา ภรรยา ยืนใกล้ผู้นำประเทศมุสลิมในการประชุมอาเซียนที่มาเลเซีย พร้อมข้อความบิดเบือนว่าทั้งสองนับถืออิสลาม

“เป็นธรรมกับผมหน่อยสิ…(ภรรยา) ก็ไหว้พระอยู่กับผมทุกวัน แล้วก็ตามมาด้วยข่าวว่าลูกผมไปแต่งงานกับ (คนมุสลิม) แสดงว่าทั้งผม เมียผม ลูกผม เป็นมุสลิมไปหมด ท่านจะเชื่อเขาเหรอ ผมก็ห้อยพระเต็มคออยู่เนี่ย” นายกฯ กล่าว

เดือน ธ.ค. 2562 มีการเผยแพร่ภาพนางนราพรติดเข็มกลัดรูปทรงคล้ายพระจันทร์เสี้ยวพร้อมข้อความว่าเข็มกลัดเพชรรูปพระจันทร์เสี้ยวเป็นสัญลักษณ์ของมุสลิมและการดำรงตำแหน่ง “เลขาธิการใหญ่สำนักงานอิสลามภาคพื้นเอเชียใต้” ทำให้นายกฯ ต้องออกมาชี้แจงเรื่องนี้อีกครั้งระหว่างการแถลงข่าวที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อ 17 ธ.ค. 2562 ว่า “ในเรื่องที่มีการโพสต์ว่าภรรยาผม…ก็เห็นอยู่ว่าภรรยาผมไปใส่บาตร ไปกราบพระ ไปไหว้พระ ผมเองก็เป็นไทยพุทธอยู่แล้ว แต่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีที่จะต้องดูแลคนทุกกลุ่มทุกฝ่าย การไปโพสต์อย่างนี้มันไม่เป็นธรรมกับผม กับครอบครัวผม ขอให้ทำความเข้าใจกันด้วย อย่าไปเผยแพร่กันเรื่อยเปื่อย มันไม่ใช่ข้อเท็จจริง”

นอกจากนายกฯ จะยืนยันเองแล้ว โฆษกรัฐบาลยังช่วยชี้แจงด้วยอีกหลายครั้ง เช่น พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด กล่าวเมื่อ 9 มิ.ย. 2561 ว่ามีผู้ปล่อยข่าวบิดเบือนและสร้างความสับสนว่า รัฐบาลอนุมัติงบประมาณก่อสร้างมัสยิดหลายแห่งและให้ความสำคัญกับศาสนาอิสลามมากกว่าศาสนาพุทธเพราะนายกฯ เป็นมุสลิม 

เดือน ธ.ค. 2562 นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกรัฐบาลในขณะนั้นโพสต์ภาพ พล.อ.ประยุทธ์และภรรยา เข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช พร้อมคำบรรยายว่า “ทุกครั้งที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางด้านพระพุทธศาสนา จะเห็นได้ว่าทั้งสองท่านได้แสดงตนในฐานะพุทธศาสนิกชนที่ดีมาอย่างสม่ำเสมอ”

แม้จะมีการชี้แจงหลายครั้ง แต่ข้อมูลเท็จว่าด้วยการนับถือศาสนาของครอบครัวจันทร์โอชาก็ยังถูกส่งต่อกันทางแอปพลิเคชันไลน์และปรากฏอยู่ในโซเชียลมีเดีย มีการอ้างถึงนายกฯ ว่า “เขยแขก” และวิจารณ์การตกแต่งทำเนียบรัฐบาลว่าเหมือน “เส้นทางเดินสู่สุเหร่า” เป็นต้น

โคแฟคตรวจสอบ

เนื่องจากข้อมูลเท็จเรื่องนายกฯ และภรรยานับถือศาสนาอิสลามถูกเผยแพร่มานานหลายปี โคแฟคยังไม่สามารถสืบสาวถึงต้นตอของข้อมูลนี้ได้ แต่หากดูจากช่วงเวลาการออกมาชี้แจงของ พล.อ.ประยุทธ์และการรายงานข่าวของสื่อมวลชน สรุปเบื้องต้นได้ว่าข่าวเท็จนี้ปรากฏวนซ้ำมาตั้งแต่ปี 2559

สื่อมวลชนบางสำนักวิเคราะห์ว่า จังหวะเวลาการปล่อยข้อมูลเท็จนี้สัมพันธ์กับปัญหาเกี่ยวกับวงการสงฆ์ เช่น ความขัดแย้งเรื่องการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช (2559) การปิดล้อมวัดพระธรรมกาย เพื่อควบคุมตัวพระธัมมชโยในคดีร่วมกันฟอกเงินกับอดีตผู้บริหารสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น (2561)   และการตรวจสอบคดี “เงินทอนวัด” (2562-2563)

การตรวจสอบของโคแฟคเมื่อ 24 ก.พ. 2566 พบว่า ข้อมูลเท็จนี้ยังคงปรากฏอยู่ในเฟซบุ๊กและยูทูปของผู้ใช้โซเชียลมีเดียที่มีความเชื่อมโยงกับ องค์กรปกป้องพระพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพ (อปพส.) และ สมาคมปกป้องพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย (สปพ.) ซึ่งเคลื่อนไหวคัดค้านนโยบายและกฎหมายที่พวกเขามองว่าเอื้อประโยชน์และขยายอิทธิพลของศาสนาอิสลาม เช่น พ.ร.บ. การบริหารองค์กรอิสลาม พ.ร.บ. ส่งเสริมกิจการฮัจย์  การสนับสนุนอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล การส่งเสริมความเท่าเทียมกันทางศาสนา และการสร้างมัสยิด เป็นต้น 

อปพส. มีเลขาธิการชื่อนายอัยย์ เพชรทอง อดีตแกนนำลูกศิษย์วัดพระธรรมกายที่มีบทบาทมากในช่วงที่มีการชุมนุมไม่ให้เจ้าหน้าที่บุกค้นวัดเพื่อควบคุมตัวพระธัมมชโย ส่วน สปพ. มี น.ส.พาศิกา สุวจันทร์ เป็นนายกสมาคม ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2562 จากการรวมตัวของผู้ที่ไม่พอใจวิดีทัศน์เพลงชาติที่จัดทำขึ้นใหม่เพราะเห็นว่าไม่มีสัญลักษณ์ของศาสนาพุทธและผู้นำศาสนาพุทธ จึงเรียกร้องให้ผู้ตรวจการแผ่นดินระงับใช้ 

ข้อมูลเท็จที่ว่า พล.อ.ประยุทธ์และภรรยานับถืออิสลาม เป็นส่วนหนึ่งของเนื้อหาที่มีลักษณะเกลียดกลัวอิสลามหรือ Islamophobia ที่เผยแพร่ทางเพจเฟซบุ๊กของ อปพส. และ สปพ. ซึ่งมักใช้ข้อมูลเท็จนี้มาประกอบข้อกล่าวหาว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับศาสนาอิสลามมากกว่าศาสนาพุทธและความเชื่อที่ว่ามี “ขบวนการกลืนชาติ” บ่อนทำลายพระพุทธศาสนาเพื่อให้ไทยกลายเป็น “รัฐอิสลาม” 

เนื้อหาเหล่านี้มักถูกแชร์ต่อโดยสมาชิกเครือข่ายที่มักใช้ชื่อโปรไฟล์คล้ายๆ กัน คือ นำหน้าด้วยอักษรย่อ อพปส. หรือ “รวมใจคนไทยพุทธ” ผู้ใช้เฟซบุ๊กกลุ่มนี้มักจะโพสต์เนื้อหาไปในทิศทางเดียวกัน บางครั้งเป็นภาพและข้อความเดียวกัน มีการแชร์เนื้อหาของกันและกัน  และมีความเป็นไปได้ว่าหนึ่งคนอาจเป็นเจ้าของบัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กหลายบัญชี

นอกจากเรื่องการนับถือศาสนาของนายกฯ และภรรยาแล้ว ช่วงที่ผ่านมา มีเนื้อหาเกี่ยวกับอิสลามอีกหลายชิ้นที่ศูนย์ต่อต้านต่อต้านข่าวปลอมของรัฐบาลตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นข่าวปลอมหรือข่าวบิดเบือน  เช่น 

● กระทรวงศึกษาธิการออกกฎกระทรวงบรรจุอิสลามศึกษาไว้ในหลักสูตรของทุกโรงเรียน

● ศาสนาอิสลามมีกฎห้ามเคารพธงชาติและร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี

● หนังสือเรียนวิชาอิสลามห้ามไหว้ผู้มีพระคุณเพราะผิดหลักศาสนา

● ชาวมุสลิมมีบัญชีธนาคารอิสลามทุกคน และกู้เงินโดยไม่ต้องใช้หนี้

● ฝ่ายนิติบัญญัติผลักดันกฎหมายเพื่อจัดตั้งศาลชารีอะห์

● มีการขับเคลื่อน “ยุทธศาสตร์ดะวะห์” ที่ผลักดันให้อิสลามเป็นศาสนาประจำชาติไทย

● กองทัพให้นักบวชอิสลามมาประกอบพิธีสถาปนามณฑลทหารบกแทนพระสงฆ์

● พล.อ.ประยุทธ์เตรียมนำคนมุสลิมจำนวนมากเข้ามาประเทศหลังเยือนซาอุดิอาระเบียเพื่อเปลี่ยนไทยเป็นรัฐอิสลาม

● สมาชิกกลุ่มบีอาร์เอ็นประกาศยึดรัฐปัตตานีในที่ประชุมองค์การสหประชาชาติ

● พ.ร.บ.กิจการฮัจย์เปิดช่องให้อิสลามเข้าควบคุมกรมการปกครองและกระทรวงมหาดไทย

● รัฐธรรมนูญไทยระบุว่าจุฬาราชมนตรีมีอำนาจเหนือนายกฯ และรัฐมนตรีมหาดไทย เป็นต้น 

ข้อสรุปโคแฟค: ข้อมูลเท็จ หยุดแชร์

พล.อ.ประยุทธ์และโฆษกรัฐบาลออกมาชี้แจงซ้ำหลายครั้งว่านายกฯ และภรรยาเป็นพุทธศาสนิกชน นอกจากนี้ยังมีภาพถ่ายจำนวนมากที่ยืนยันว่าทั้งสองเข้าร่วมพิธีทางศาสนาพุทธ  ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการนับถือศาสนาของนายกฯ นี้เป็นส่วนหนึ่งการเผยแพร่ข้อมูลและข่าวลวงที่มีเนื้อหาปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดกลัวอิสลามในสังคมไทย โคแฟคแนะนำหยุดเชื่อ หยุดแชร์ เพราะเป็นข้อมูลเท็จที่สร้างความเกลียดชัง แต่อย่างไรก็ตาม เสรีภาพในการนับถือศาสนาเป็นหลักการสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่ไม่ควรนำมาสร้างความเกลียดชังกัน ไม่ว่ากรณีใดๆ