14 ล้านเสียงเลือกพรรคก้าวไกล ไม่ใช่ “เสียงส่วนใหญ่” ของประชาชน?

ผลการเลือกตั้ง 14 พ.ค. 2566 ถูกผู้ใช้โซเชียลมีเดียตีความไปหลายแนวทาง หนึ่งในนั้นคือการตีความว่าการที่พรรคก้าวไกลได้คะแนนบัญชีรายชื่อสูงที่สุดคือ 14,438,851 คะแนน ไม่ได้แปลว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเลือกหรือสนับสนุนพรรคก้าวไกล เพราะประชากรไทยมีทั้งหมดราว 66 ล้านคน ซึ่งโคแฟคตรวจสอบพบว่า เป็นการตีความโดยใช้ข้อมูลที่ไม่สอดคล้องตามหลักเกณฑ์การประมวลผลการเลือกตั้งของสำนักงานคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) และละเลยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับระบบการเลือกตั้ง ทำให้เกิดความเข้าใจผิดที่อาจนำไปสู่การไม่ยอมรับผลการเลือกตั้้ง

วันที่ 12 มิ.ย. 2566 สมาชิกกลุ่มเฟซบุ๊ก “แฟนข่าว TOP NEWS THAILAND” ซึ่งมีผู้ใช้เฟซบุ๊กเป็นสมาชิกกว่า 38,000 บัญชี โพสต์ข้อความว่า “…ยังคิดเลขกันไม่เป็นอีกเหรอ 14 ล้าน ลบ 70 ล้าน เป็น 56 ล้าน ที่ไม่ชอบหน้า…และไม่ได้เลือก (พรรคก้าวไกล)” โพสต์นี้ถูกแชร์ไปมากกว่า 250 ครั้ง ทั้งยังมีการนำไปแชร์ต่อในบัญชีเฟซบุ๊ก นพ.เหรียญทอง แน่นหนา หัวหน้าคณะทำงานด้านนโยบายสุขภาพของพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งมีผู้ติดตามมากกว่า 166,000 คน นอกจากโพสต์ดังกล่าว ยังมีเนื้อหาในโซเชียลมีเดียอีกจำนวนมากที่ตีความผลการเลือกตั้งไปในทิศทางเดียวกันนี้

โคแฟคตรวจสอบ

โคแฟคตรวจสอบข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และสำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย พบว่ามีข้อมูลที่ต้องนำมาพิจารณา ดังนี้

  1. ประกาศสำนักทะเบียนกลาง เรื่อง จำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักรตามหลักฐานการทะเบียนราษฎร ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2565 ประเทศไทยมีประชากรทั้งหมด 66,090,475 คน
  2. รายงานผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ ของ กกต.
  • จำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง: 52,195,920 คน
  • จำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง: ส.ส. แบบแบ่งเขต 39,514,973 คน และแบบบัญชีรายชื่อ 39,514,964 คน คิดเป็น 75.71% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง (กกต. ชี้แจงว่าจำนวนไม่ตรงกันเพราะ 1. มีกรณีที่ผู้มาใช้สิทธิเข้าคูหาลงคะแนนโดยไม่ได้รับบัตรเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อและ 2. ซองใส่บัตรเลือกตั้งของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้านอกราชอาณาจักรบางซองมีเพียงบัตรเลือกตั้งเพียงใบเดียว)
  • การนับคะแนน ส.ส. แบ่งเขต: บัตรดี 37,190,071 ใบ บัตรเสีย 1,457,899 ใบ บัตรไม่เลือกผู้ใด 866,885 ใบ พรรคก้าวไกลได้คะแนนมากสุดเป็นอันดับ 1 คือ 9,665,433 คะแนน (24.4% ของผู้มาใช้สิทธิ) อันดับ 2 พรรคเพื่อไทย 9,340,082 คะแนน (23.6%) และอันดับ 3 พรรคภูมิใจไทย 5,133,441 คะแนน (12.9%)
  • การนับคะแนนบัญชีรายชื่อ: บัตรดี 37,522,746 ใบ บัตรเสีย 1,509,836 ใบ บัตรไม่เลือกผู้ใด 482,303 ใบ พรรคก้าวไกลได้คะแนนมากสุดเป็นอันดับ 1 คือ 14,438,851 คะแนน (36.5% ของผู้มาใช้สิทธิ) อันดับ 2 พรรคเพื่อไทย 10,962,522 คะแนน (27.7%) และอันดับ 3 พรรครวมไทยสร้างชาติ 4,766,408 คะแนน (12%)

เมื่อพิจารณาข้อมูลจำนวนประชากรและข้อมูลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ ประกอบกับความเห็นของ ศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี นักวิชาการจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งให้สัมภาษณ์โคแฟคเมื่อ 20 มิ.ย. มีข้อสังเกตต่อการตีความผลการเลือกตั้งที่สรุปว่าพรรคก้าวไกลไม่ควรอ้างว่าได้ฉันทามติจากประชาชน เพราะ 14.43 ล้านเสียงที่ได้ ไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่ของคนทั้งประเทศ ดังนี้

1) จำนวนผู้ที่เลือกหรือไม่เลือกพรรคก้าวไกล ไม่สามารถคำนวณได้จากการนำคะแนนบัญชีรายชื่อจำนวน 14,438,851 คะแนน ที่พรรคก้าวไกลได้ มาลบออกจากจำนวนประชากรทั้งหมดของประเทศ คือ 66,090,475 คน แต่ต้องคำนวณจากจำนวนผู้ที่มาใช้สิทธิเลือกตั้ง ซึ่ง กกต. ระบุว่ามีผู้มาใช้สิทธิ 39,514,964 คน อีกทั้งยังต้องนำบัตรเสีย 1,509,836 ใบ และบัตรไม่เลือกผู้ใด 482,303 ใบ มาร่วมคำนวณด้วย ซึ่งเราไม่สามารถบอกได้ว่าผู้ที่ไม่ได้มาใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ค. เพราะไม่ได้เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งหรือเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งแต่ไม่ได้มาลงคะแนน รวมทั้งผู้ที่กาบัตรเสียหรือกาไม่เลือกผู้ใด สนับสนุนพรรคการเมืองใด

2) หากกล่าวเฉพาะคะแนนบัญชีรายชื่อของพรรคก้าวไกล 14.4 ล้านเสียง จริงอยู่ว่าพรรคก้าวไกลได้คะแนนน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้มาใช้สิทธิทั้งหมดคือ 39.5 ล้านคน ซึ่งหมายถึงว่าพรรคก้าวไกลไม่ได้ “คะแนนเสียงส่วนใหญ่” หรือ “คะแนนเสียงเกินครึ่งของผู้มาใช้สิทธิ” แต่ ศ.ดร.สิริพรรณชี้ว่า ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่พรรคก้าวไกล “ได้คะแนนมากเป็นอันดับ 1” ซึ่งคิดเป็น 36.5% ของผู้มาใช้สิทธิ โดยได้คะแนนมากกว่าพรรคเพื่อไทยที่ได้คะแนนมากเป็นอันดับ 2 เกือบ 3.5 ล้านเสียง และทิ้งห่างจากพรรคอันดับ 3 คือ รวมไทยสร้างชาติถึง 9.6 ล้านเสียง

“การที่ไม่มีพรรคใดได้คะแนนเสียงเกินครึ่ง (ของผู้ออกมาใช้สิทธิ) เป็นลักษณะร่วมของระบบเลือกตั้งของประเทศส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเยอรมนีหรืออังกฤษ ก็แทบจะไม่มีพรรคที่ได้คะแนนเสียงเกินครึ่ง ด้วยความที่มีหลายพรรคแข่งขันกัน พรรคที่ได้คะแนนเสียงมากที่สุดจึงเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งโดยไม่จำเป็นต้องได้คะแนนเสียงเกินครึ่งหนึ่ง”

ศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

3) หากดูเฉพาะคะแนนเสียงแยกเป็นรายพรรค ประชาชนย่อมมีสิทธิที่จะตีความผลการเลือกตั้งว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ไม่ได้เลือกพรรคก้าวไกล อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พรรคก้าวไกลสามารถรวบรวมอีก 7 พรรคการเมืองมาร่วมจัดตั้งรัฐบาล ทำให้คะแนนเสียงรวมของทั้ง 8 พรรคมี 27,125,460  คะแนน หรือ 68.64% ของผู้มาใช้สิทธิ ซึ่งเกินครึ่งหนึ่งหรือเรียกได้ว่าเป็นเสียงส่วนใหญ่ และมีที่นั่งในสภารวมกันได้ 312 ที่นั่งซึ่งก็เกินครึ่งหนึ่งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 500 ที่นั่ง    

ข้อสรุปโคแฟค

การตีความผลการเลือกตั้งโดยสรุปว่า พรรคก้าวไกลไม่ได้รับฉันทามติจากประชาชน เพราะ 14.43 ล้านเสียงที่ได้ ไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่ของคนทั้งประเทศซึ่งมีมากกว่า 66 ล้านคน เป็นการตีความโดยใช้ข้อมูลที่ไม่สอดคล้องกัน และละเลยข้อเท็จจริงที่ว่า ระบบการเลือกตั้งในปัจจุบัน พรรคที่ได้คะแนนสูงสุดเป็นผู้ที่ชนะการเลือกตั้งโดยไม่จำเป็นต้องได้คะแนนเสียงเกินครึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง ซึ่งเป็นลักษณะร่วมของระบบเลือกตั้งในหลายประเทศทั่วโลก เนื่องจากมีพรรคการเมืองแข่งขันกันหลายพรรค

ผู้ใช้โซเชียลมีเดียควรหยุดแชร์หรือเผยแพร่เนื้อหาในลักษณะที่ทำให้เกิดความสับสนและสร้างความเข้าใจผิดที่อาจนำไปสู่การไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง

เรื่องแนะนำ

‘สวีเดน’ บรรจุ ‘เซ็กซ์’ เป็นกีฬา! จากเนื้อหาคลาดเคลื่อน (Misinformation) สู่ข้อมูลผิดพลาดที่ถูกแชร์ไวแบบไฟลามทุ่ง

By : Zhang Taehun

เมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2566 มีเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นที่ฮือฮามาก เมื่อมีรายงานข่าวทั้งจากสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศระบุว่า สวีเดนเป็นประเทศแรกในโลกที่บรรจุ เซ็กซ์ (Sex)’ หรือการมีเพศสัมพันธ์ เป็นการแข่งขันกีฬาประเภทหนึ่ง ตามด้วยการแชร์ข่าวทั้งบนโลกออนไลน์ (รวมถึงผู้เขียนเองก็มีคนรู้จักกันมาสอบถามว่าข่าวนี้จริงหรือเปล่า?) ก่อนที่เพียงไม่กี่วัน ความจริงก็กระจ่าง ว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียง ข้อมูลคลาดเคลื่อน (Mislead หรือ Misinformation)” ทำเอาคนที่ตื่นเต้น (และสงสัยว่าของแบบนี้มันแข่งกันได้ด้วยหรือ?) รอเก้อไปตามๆ กัน

การแข่งขันเซ็กซ์ชิงแชมป์ยุโรป (European Sex Championship) ผู้เข้าร่วมจะแข่งขันใน 16 รูปแบบ (Discipline) ในช่วง 6 สัปดาห์ การแข่งขันแต่ละรูปแบบจะใช้เวลาระหว่าง 45 นาทีถึง 1 ชั่วโมง และผู้เข้าร่วมอาจต้องแข่งขันนานถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมการแข่งขัน 20 คนจากประเทศต่างๆ ส่วนการหาผู้ชนะจะมีคณะกรรมการให้คะแนน รวมถึงการร่วมให้คะแนนโดยผู้ชม นอกจากนั้น ยังมีคะแนนพิเศษหาผู้เข้าแข่งขันแสดงความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีของกามาสุตรา (Kamasutra-ตำราสอนเพศศึกษาของอินเดียโบราณ) รายงานจาก Marca หนังสือพิมพ์กีฬาในสเปน วันที่ 5 มิ.ย. 2566 

“นักกีฬาจะต้องแข่งขันอย่างทรหดเป็นเวลา 6 ชั่วโมงต่อวันใน 16 รูปแบบ มีการให้คะแนนโดยผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่าน ตามเกณฑ์อันประกอบด้วยการสื่อสาร (Communication) ความอดทน (Endurance) ความเข้ากันได้ (Chemistry) และความรู้เรื่องเพศศึกษา (Sex Education) อัตราการเต้นของหัวใจ (Heart Rates) และความดันโลหิต (Blood Pressure) จะได้รับการพิจารณาด้วย และยังเปิดให้ผู้ที่รับชมถ่ายทอดสดได้ร่วมให้คะแนนอีกทางหนึ่ง” รายงานจาก The Sun หนังสือพิมพ์ในอังกฤษในวันที่ 4 มิ.ย. 2566

อย่างไรก็ตาม มีคำยืนยันจาก แอนนา เซ็ทซ์แมน (Anna Setzman) โฆษกของสมาพันธ์กีฬาสวีเดน (Swedish Sports Confederation) องค์กรกลางในแวดวงกีฬาของสวีเดนที่รับจดทะเบียนสมาคมกีฬาชนิดต่างๆ (เช่นเดียวกับในไทยที่มี “การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.)” เป็นองค์กรกลางรับจดทะเบียน) ที่ออกมายืนยันว่าข่าวดังกล่าวเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน และสวีเดนยังไม่มีการรับรองเซ็กซ์เป็นกีฬาอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด

สมาพันธ์กีฬาแห่งสวีเดนทราบข้อเท็จจริงที่ว่าสื่อต่างประเทศบางส่วนกำลังเผยแพร่ข่าวในขณะนี้ว่าสหพันธ์เซ็กซ์ (Sex Federation) ได้กลายเป็นสมาชิกของสมาพันธ์กีฬาแห่งสวีเดน ซึ่งข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลเท็จ (False) โดยมีจุดประสงค์เพื่อป้ายสี (Smearing) วงการกีฬาของสวีเดนและประเทศสวีเดน สหพันธ์เซ็กซ์ไม่ได้เป็นสมาชิกของสมาพันธ์กีฬาสวีเดน ข้อมูลทั้งหมดนี้เป็นเท็จ รายงานจาก Deccan Herald หนังสือพิมพ์ในอินเดีย วันที่ 6 มิ.ย. 2566 อ้างคำชี้แจงของ แอนนา เซ็ทซ์แมน

แล้วที่มาของข่าวลือนี้มาจากไหน? สำนักข่าว DW (Deutsche Welle) เยอรมนี เสนอรายงาน “Fact check: No, Sweden is not holding a ‘sex championship’” ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วเผยแพร่ในวันที่ 7 มิ.ย. 2566 ระบุว่า ในวันที่ 4 มิ.ย. 2566 The Times of India หนังสือพิมพ์ชื่อดังฉบับหนึ่งในอินเดีย พาดหัวข่าว “Sweden Will Soon Host the European Sex Championship” อีกทั้งเมื่อเข้าไปดู Link ข่าวต้นทาง เนื้อหาข่าวเริ่มต้นด้วยการระบุว่า “Sweden has formally recognised sex as a sport and will stage its first-ever sex tournament the following week. (สวีเดนยอมรับการมีเพศสัมพันธ์เป็นกีฬาอย่างเป็นทางการและจะจัดการแข่งขันการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกในสัปดาห์หน้า)” ซึ่งหมายถึงวันที่ 8 มิ.ย. 2566 และต่อเนื่องไปเป็นเวลา 6 สัปดาห์ ที่เมืองกอเธนเบิร์ก (Gothenburg) ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของสวีเดน จากนั้นข่าวก็ถูกแชร์ต่ออย่างรวดเร็วทั้งสื่อมวลชนกระแสหลักและคนทั่วไปที่ใช้สื่อสังคมออนไลน์

นอกจากจะรายงานคำชี้แจงของ แอนนา เซ็ทซ์แมน โฆษกของสมาพันธ์กีฬาสวีเดนว่าเรื่องดังกล่าวเป็นข้อมูลเท็จแล้ว สำนักข่าว DW ยังสืบค้นย้อนไปในจุดที่น่าจะเป็น ต้นตอ ของข่าวนี้ นั่นคือ ชายที่ชื่อ ดราแกน บราติค (Dragan Bratic) เจ้าของสถานบันเทิงแนววาบหวิว (Strip Club) โดยอ้างถึงรายงานของ Goteborgs-Posten หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นในเมืองโกเธนเบิร์กของสวีเดน เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2566 ที่ระบุว่า เบรดิค มีกิจการหลายแห่งในเมืองเยินเชอปิง (Jönköping) ทางภาคใต้ของสวีเดน และทางตะวันออกของเมืองโกเธนเบิร์ก ในเดือน ม.ค. 2566 ได้ยื่นจดทะเบียนกับองค์กรกลางด้านกีฬาของสวีเดน โดยหวังว่าเซ็กซ์จะถูกยอมรับทั้งการฝึกฝนและแข่งขันเฉกเช่นกีฬาชนิดอื่นๆ 

อย่างไรก็ตาม บียอร์น อีริคส์สัน (Bjorn Eriksson) ประธานสมาพันธ์กีฬาสวีเดน (Swedish Sports Confederation หรือ Riksidrottsförbundet) ได้ออกมาปฏิเสธเรื่องดังกล่าว จากนั้นก็มีประกาศอย่างเป็นทางการของสมาพันธ์กีฬาสวีเดนว่าทางสมาพันธ์ฯ ไม่รับรองคำขอจดทะเบียนของบราติกด้วยสาเหตุหลักคือคำขอจดทะเบียนนั้นไม่สมบูรณ์ เนื่องจาก สหพันธ์เซ็กซ์แห่งสวีเดน (The Swedish Sex Federation หรือ Svenska Sexförbundet )” เพิกเฉยต่อคำแนะนำของสมาพันธ์ฯ ที่ให้เพิ่มเติมและแก้ไขข้อบกพร่องในคำขอจดทะเบียน ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบสาระสำคัญของเอกสารการสมัครได้ นั่นหมายถึงคำขอจดทะเบียนถูกปัดตกไปโดยปริยาย 

และต้องบอกว่าในเวลานั้นไม่ได้มีเพียงสหพันธ์เซ็กซ์แห่งสวีเดนที่ถูกปฏิเสธการรับจดทะเบียน โดยยังมีสมาคมกีฬาอื่นๆ ที่ถูกประกาศในลักษณะเดียวกัน อาทิ สหพันธ์กีฬาอี-สปอร์ตแห่งสวีเดน (Swedish E-sport Federation หรือ Svenska E-sportförbundet ) และสหพันธ์กีฬาเรือแคนู สลาลอมแห่งสวีเดน (Swedish Canoe Slalom Federation หรือ Svenska Kanotslalomförbundet) ในขณะที่ สมาคมฟังก์ชันฟิตเนสแห่งสวีเดน (Swedish Association for Functional Fitness หรือ Svenska Förbundet för Funktionell Fitness) ได้รับการรับรองการจดทะเบียน

แม้ว่าจะไม่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ แต่นายดราแกน บราติค ยังคงมุ่งมั่นจะจัดการแข่งขันต่อไป โดยรายงานข่าวจาก Daily Star หนังสือพิมพ์ในอังกฤษ เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 2566 อ้างคำยืนยันจากสหพันธ์เซ็กซ์แห่งสวีเดน ที่ระบุว่า การแข่งขันเซ็กซ์จะยังคงเริ่มจัดขึ้นตามกำหนดการเดิมคือในวันที่ 8 มิ.ย. 2566  อีกทั้งยังตั้งคำถามว่า เหตุใดการเล่นวีดีโอเกมอย่างอี-สปอร์ตถึงได้รับการยอมรับในฐานะกีฬา การแข่งขันการมีเพศสัมพันธ์ชิงชนะเลิศแห่งยุโรปจัดขึ้นจริงและจะมีการแข่งขันครั้งแรกในวันที่ 8 มิ.ย. 2566 ที่ประเทศสวีเดน ไม่ว่ากิจกรรมการมีเพศสัมพันธ์จะเป็นถือว่าเป็นกีฬาหรือไม่นั้นไม่สำคัญ แม้กระทั่งการประกวดเพลงอย่างยูโรวิชั่น (Eurovision) ก็ยังถือว่าเป็นการแข่งขันได้แม้ไม่ใช่กีฬา

(หมายเหตุ : มีรายงานเพิ่มเติมว่า ในวันที่ 28 พ.ค. 2566 สหพันธ์กีฬาอี-สปอร์ตแห่งสวีเดน ได้รับการรับรองการจดทะเบียนแล้ว อาทิ โจนาธาน ‘โลดา’ เบิร์ก (Jonathan ‘Loda’ Berg ) อดีตนักกีฬาอี-สปอร์ตชาวสวีเดนที่ภายหลังผันตัวมาเป็นผู้ฝึกสอนให้กับทีม Alliance โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ แสดงความยินดีกับข่าวดังกล่าว เช่นเดียวกับสำนักข่าวออนไลน์ด้านแวดวงอี-สปอร์ตอย่าง Dot Esports ก็ยืนยันข่าวนี้เช่นกัน โดยระบุว่า ผลการลงมติจากสมาคมกีฬาต่างๆ ภายใต้สมาพันธ์กีฬาสวีเดน ยอมรับสมาคมอี-สปอร์ตในฐานะสมาชิกใหม่ของสมาพันธ์ ด้วยคะแนนเสียงไม่เป็นเอกฉันท์ ที่ 108 ต่อ 71)

เชื่อว่าในวันที่บทความนี้เผยแพร่ก็น่าจะได้ทราบกันชัดเจนแล้วว่าการแข่งขันเซ็กซ์จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ซึ่งขณะที่กำลังเขียนบทความในค่ำคืนของวันที่ 7 มิ.ย. 2566 ตามเวลาประเทศไทย ผู้เขียนได้เข้าไปดูในเว็บไซต์ที่อ้างว่าจะทำการถ่ายทอดสดแล้ว พบว่ามีการตั้งนาฬิกานับถอยหลังสู่การเริ่มแข่งขัน อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนไม่สามารถนำ Link URL ของเว็บไซต์ดังกล่าวมาเผยแพร่ได้ เนื่องจากอาจเข้าข่ายผิดกฎหมายเผยแพร่สื่อลามกอนาจาร

แต่สิ่งที่อยากฝากเป็นข้อคิดของบทความนี้คือ ถ้อยคำในข่าวที่คาดเคลื่อนอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดของผู้รับสารได้ โดยหากย้อนไปดูข่าว Sweden Will Soon Host the European Sex Championship ของ The Times of India ที่ประโยคแรกของเนื้อหาข่าวบรรยายว่า Sweden has formally recognised sex as a sport and will stage its first-ever sex tournament the following week. มีการใช้คำว่า “formally” ที่แปลว่า อย่างเป็นทางการ ขยายความคำว่า “recognise” ที่แปลว่า ยอมรับ ซึ่งอาจทำให้ผู้รับสารเข้าใจไปว่าทางการสวีเดนยอมรับเซ็กซ์เป็นกีฬาแล้ว

และด้วยความที่งานนี้ความผิดพลาดเกิดขึ้นกับสื่อระดับยักษ์ใหญ่ของประเทศ..จึงกลายเป็นมาเป็น กรณีศึกษา และ อุทาหรณ์ให้ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนไม่ว่าสาขาใดต้องใช้ความระมัดวัง ยิ่งในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลต่างๆ ถูกแชร์ต่ออย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหักล้างข้อมูลที่ผิดพลาดนั้น แม้จะพยายามนำเสนอเนื้อหาแก้ไขข้อเท็จจริงภายหลังไปสักเท่าไรก็ตาม!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://www.dailynews.co.th/news/2403559/ (ขอวาร์ปด้วย! สหพันธ์เซ็กซ์สวีเดนจัดศึกบู๊นานาชาติฝันดันเป็นการแข่งขันกีฬาทางการ : เดลินิวส์ 5 มิ.ย. 2566)

https://mgronline.com/sport/detail/9660000051951 (สวีเดน บรรจุ “เซ็กซ์” เป็นกีฬามีจัดเเข่งขัน รวมถึงชิงเเชมป์ยุโรป : ผู้จัดการ 6 มิ.ย. 2566)

https://www.khaosod.co.th/sports/news_7700991 (สมาพันธ์กีฬา สวีเดน ปฎิเสธบรรจุ เซ็กซ์ เป็นชนิด กีฬา อย่างเป็นทางการ : ข่าวสด 6 มิ.ย. 2566)

https://www.sanook.com/sport/1465220/ (ดับฝันคนรอดู! สวีเดนออกโรงปัดแนวคิดบรรจุ “เซ็กซ์” เป็นกีฬาแข่งชิงแชมป์ยุโรป : สนุกดอทคอม 7 มิ.ย. 2566)

https://www.thesun.co.uk/sport/22577655/sex-fanatics-plot-official-recognised-sport-international-tournament/ (Sex fanatics plot bid to make bonking an official sport by hosting international tournament : The Sun 4 มิ.ย. 2566)

https://www.marca.com/en/more-sports/2023/06/05/647dba1ae2704eba9c8b45c4.html (Registering sex as a sport and creating a European Championship: What is it? : Marca 5 มิ.ย. 2566)

https://www.deccanherald.com/international/world-trending/sweden-recognises-sex-as-sport-here-is-what-we-know-1225275.html (Sweden recognises sex as sport? Here is what we know : Deccan Herald : 6 มิ.ย. 2566)

https://www.dw.com/en/fact-check-no-sweden-is-not-holding-a-sex-championship/a-65841986 (Fact check: No, Sweden is not holding a ‘sex championship’ : Deutsche Welle 7 มิ.ย. 2566)

https://timesofindia.indiatimes.com/life-style/spotlight/sweden-will-soon-host-the-european-sex-championship/articleshow/100743798.cms?from=mdr (Sweden will soon host the European sex championship : The Times of India 4 มิ.ย. 2566)

https://www.gp.se/sport/svenska-sexf%C3%B6rbundet-nobbas-av-riksidrottsf%C3%B6rbundet-1.98053698 (Svenska Sexförbundet nobbas av Riksidrottsförbundet : 26 เม.ย. 2566)

https://www.dailystar.co.uk/sport/other-sports/sweden-sex-championship-official-sport-30166314 (Strip club boss launches ‘six-week sex championship’ as as official sport : Daily Star 6 มิ.ย. 2566)

https://dotesports.com/general/news/controversial-vote-sees-swedish-esports-officially-recognized-by-national-federation (Controversial vote sees Swedish esports officially recognized by national federation : Dot Esports 28 พ.ค. 2566)


‘อาชญากรรมไซเบอร์กับบทบาทผู้ตรวจการแผ่นดิน’ วงเสวนาฉายภาพหลากรูปแบบของข้อมูลลวง-มิจฉาชีพ

14 มิ.ย. 2566 สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ร่วมกับ มูลนิธิฟรีดริชเนามัน (ประเทศไทย) จัดกิจกรรมรับฟังความคิดเห็น เพื่อสร้างความเป็นธรรมในสังคม (PLACE OF JUSTICE) และเสวนาหัวข้อ อาชญากรรมไซเบอร์กับบทบาทผู้ตรวจการแผ่นดินในยุคดิจิทัลภายใต้โครงการส่งเสริมธรรมาภิบาลและการมีส่วนร่วมของภาครัฐและภาคประชาสังคม ณ ห้อง 901-902 สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ศูนย์ราชการฯ ถ.แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ และถ่ายทอดสดผ่านเฟจเฟซบุ๊ก สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน

คมขวัญ กาญจนกุญชร รองเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมครั้งนี้ว่า มุ่งหวังให้ความรู้เกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพของประชาชนต่อการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐ การดำเนินงานตามอำนาจหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดิน อันเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและสังคม ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการดำเนินงานของผู้ตรวจการแผ่นดิน การเสนอความคิดเห็นและแนวทางแก้ปัญหาที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมให้แก่ประชาชน

การดำเนินกิจกรรมในครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินและมูลนิธิฟรีดริชเนามัน (ประเทศไทย) รวมถึงเครือข่ายหน่วยงานจากภาคส่วนต่างๆ โดยได้หยิบยกปัญหาความเดือดร้อนที่มีผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้างที่ได้รับจากอาชญากรรมไซเบอร์ เช่น การดูดเงินจากบัญชีเงินฝากธนาคาร ข่าวปลอม การหลอกลวงผ่านรูปแบบต่างๆ ทางออนไลน์ รองเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าว

จากนั้นจึงเป็นช่วงเสวนาในหัวข้อ อาชญากรรมไซเบอร์กับบทบาทผู้ตรวจการแผ่นดินในยุคดิจิทัล โดย รศ.อิสสรีย์ หรรษาจรูญโรจน์ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ยกตัวอย่างอาชญากรรมไซเบอร์หลากหลายประเภท เช่น “Spoofing” การเข้าสู่เครื่องที่อยู่ระยะไกลโดยการปลอมแปลงที่อยู่อินเตอร์เน็ตของเหยื่อที่เข้าถึงได้ง่าย “Sniffer” การดักจับข้อมูลที่ผ่านระบบเครือข่ายทำให้ทราบรหัสผ่านของบุคคลอื่น “Modification” การเปลี่ยนแปลงข้อมูลโดยดักข้อมูลจากผู้ส่งแล้วแก้ไขก่อนส่งต่อให้ผู้รับ ทำให้ผู้รับได้ข้อมูลผิดพลาด “Denial of Service” การส่งข้อมูลขยะจำนวนมากไปหาเป้าหมายเพื่อให้ระบบล่ม “Delay” การหน่วงเวลา ทำให้ Server ทำงานได้ช้าลง “Remote Control” แฝงตัวเข้ามาในระบบแล้วยึดครองเพื่อควบคุมจากระยะไกล “Identity Theft” การนำข้อมูลของเหยื่อไปสวมรอย เช่น นำไปเปิดบัญชีธนาคาร “Phishing” การสร้างเว็บไซต์ปลอมหลอกเหยื่อให้กรอกข้อมูลส่วนบุคคล ไปจนถึง “Dark Web” หรือเครือข่ายอินเตอร์เน็ตใต้ดินที่เป็นแหล่งรวมสิ่งผิดกฎหมาย “Ransomware” มัลแวร์ยึดระบบเพื่อเรียกค่าไถ่ หากไม่จ่ายเงินให้คนร้ายก็ไม่สามารถใช้งานระบบได้ เป็นต้น

นอกจากตัวอย่างข้างต้นของอาชญากรรมไซเบอร์ที่กระทำต่อวัตถุแล้ว ยังมีอาชญากรรมไซเบอร์ที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจและลุกลามสู่สังคม เช่น “Information Operation (IO)” สร้างเนื้อหาแย่งชิงความเชื่อมวลชน ครอบงำความจริงให้คนในสังคมเข้าใจตามทิศทางที่ต้องการ “Hoax” การสร้างข่าวหลอกลวงเพื่อสร้างยอดผู้ชม “Psychological on cyber warfare” การทำสงครามปฏิบัติการทางจิตวิทยาบนสื่ออินเตอร์เน็ตเพื่อปลุกระดมทางการเมืองหรือสร้างอาชญากรรมแห่งความเกลียดชัง 

อาชญากรรมไซเบอร์สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนในวงกว้าง กระทบในหลายมิติทั้งเศรษฐกิจและสังคม เรื่องของความมั่นคงและความปลอดภัยในชีวิต ทรัพย์สิน เอาง่ายๆ เลย อยากให้ไปตรวจสอบในเรื่องของการถูกดูดเงินจากบัญชีธนาคาร เรื่องของข่าวปลอมที่เกิดขึ้นว่าเราจะมีวิธีดำเนินการอย่างไรเพื่อแก้ไข เรื่องการหลอกลวงออนไลน์ผ่านคอลเซ็นเตอร์ เรื่องเว็บสินค้าออนไลน์ หาคู่ออนไลน์ สื่อลามกออนไลน์ พนันออนไลน์ ทั้งหมดนี้คือความเสี่ยง และเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงเป็นอย่างยิ่ง รศ.อิสสรีย์ กล่าว

พ.ต.อ.เจษฎา บุรินทร์สุชาติ ผู้กำกับการกลุ่มงานรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ที่มีระบบแจ้งความออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.com ข้อมูลวันที่ 1 มี.ค. 2565 – 31 พ.ค. 2566 พบการร้องทุกข์หรือแจ้งเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดทางออนไลน์ 270,306 เรื่องจากทั้งหมด 296,243 เรื่อง 

ประเภทอาชญากรรมออนไลน์ตามลักษณะที่พบในประเทศไทยแบ่งเป็น 14 ประเภท เรื่องที่มีการร้องทุกข์เข้ามาส่วนใหญ่คือการฉ้อโกงหรือหลอกลวง” ไล่ตั้งแต่ อันดับ 1 หลอกซื้อ-ขายสินค้าออนไลน์ อาทิ ถูกหลอกโอนเงินไปยังบัญชีที่ไม่ใช่เป็นผู้ขายสินค้า ซื้อของแล้วไม่ได้ของ ซึ่งสร้างความเสียหายประมาณ 1 พันล้านบาทต่อปี อันดับ 2 หลอกชวนทำงาน วิธีการของมิจฉาชีพคือหลอกให้เหยื่อโอนเงินไปให้โดยอ้างว่าเป็นค่าสมัคร ค่าตรวจสอบประวัติ ฯลฯ เหยื่อมักเป็นคนหาเช้ากินค่ำที่ต้องการอาชีพเสริมอันดับ 3 หลอกกู้เงิน หลายคนต้องการเงินกู้เมื่อเจอโฆษณาทางออนไลน์จึงหลงเชื่อ ซึ่งนอกจากจะไม่ได้เงินกู้แล้วยังต้องเสียเงินที่มีอยู่ไปอีก โดยมิจฉาชีพจะใช้อุบายให้โอนเงินอ้างเป็นค่าดำเนินการต่างๆ นานา เช่นเดียวกับการหลอกชวนทำงาน อันดับ 4 หลอกลงทุน ข้อสังเกตคือเหยื่อมิจฉาชีพประเภทนี้มักเป็นคนมีการศึกษาสูงและมีหน้าที่การงานดี โดยมิจฉาชีพใช้อุบายสร้างรูปแบบการลงทุนที่ดูซับซ้อนแต่ฉลาดหลักแหลมน่าเชื่อถือ เมื่อเหยื่อหลงเชื่อวางเงินลงทุนไปจนท้ายที่สุดพบว่าถอนเงินไม่ได้ และ อันดับ 5 ข่มขู่ทางโทรศัพท์ ก็คือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 

ทั้งนี้ อาชญากรรมไซเบอร์ไม่โดนกับตัวก็ไม่รู้ หรือบางคนคิดว่ารู้แล้วแต่จริงๆ คือไม่รู้ในสิ่งที่กำลังจะถูกหลอก หากมีเวลาก็อยากให้ศึกษาหาความรู้ไว้ และฝากแนวทางระมัดระวังดูจากใจคนเอง ไม่โลภ ไม่กลัว ไม่หลง มีสติ เจออะไรที่ไม่รู้จักหรือที่แปลกๆ อย่าเพิ่งปักใจเชื่อ เพราะคนร้ายจะหลอกทุกวิธีการ อะไรที่คิดว่าไม่น่าจะหลอกได้ก็หลอก และ ถ้าพลาดท่าเสียเงินไปแล้วก็อย่าไปทำให้เสียเพิ่มอีก หลายคนเสียดายเงินที่เสียไปครั้งแรก ถึงขั้นไปเอาเงินทั้งหมดที่มีหรือไปกู้หนี้ยืมสินมา สุดท้ายแทนที่จะเสียน้อยกลายเป็นเสียมาก

อนึ่ง สิ่งที่ตนเป็นห่วงคือ ช่องว่างระหว่างวัยคนรุ่นใหม่ใช้เทคโนโลยีกันคล่องแคล่วในขณะที่ผู้สูงอายุตามไม่ทัน และเมื่อใช้ไม่เป็นก็ไม่ค่อยอยากถามลูกหลาน หรือบางทีลูกหลานก็ไม่อยากตอบ สิ่งที่อยากเสนอแนะคือ คุยเรื่องเทคโนโลยีให้มากขึ้น สร้างความตื่นตัว เช่น รู้จักแพลตฟอร์ม อวตาร (การใช้สื่อสังคมออนไลน์แบบปกปิดตัวตน) รอยเท้าดิจิทัล (ทำอะไรไว้บนโลกออนไลน์ย่อมมีร่องรอยทิ้งไว้เสมอไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าใดก็ตาม) หรือข่าวตำรวจจับมิจฉาชีพออนไลน์ ลงทุนอย่างไรไม่เสี่ยงถูกหลอก ฯลฯ เรื่องเหล่านี้สามารถคุยกันได้ หรือแม้แต่การส่งต่อข้อมูลก็ต้องระวัง เพราะคนรับข้อมูลหากมองว่าส่งจากบุคคลที่น่าเชื่อถือก็อาจหลงเชื่อ 

สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะเตือนซึ่งเห็นจากการมาแจ้งของประชาชน หากท่านคิดว่าถูกหลอก เสียไปน้อยก็ยอมเสียไป อย่าไปคิดว่าต้องหลงเชื่อเขา โอนเพิ่มไปอีก ถ้าตัดตรงนี้ได้ ตัดใจตัวเองได้ คิดว่าตัวเองพลาดไปแล้วก็หยุดโอน แล้วก็ไปหาข้อมูลว่ามันคืออะไร แล้วเอาข้อมูลมาแจ้งความ ตรงนี้ก็จะช่วยป้องกันตัวท่านได้ แล้วเอาเรื่องนั้นเป็นประสบการณ์มาเล่าให้คนรอบข้างท่านฟัง ก็จะช่วยกันสร้างภูมิคุ้มกันให้คนทั้งประเทศ อาชญากรรมทางเทคโนโลยีก็จะน้อยลง พ.ต.อ.เจษฎา กล่าว

สัจจะ โชคบุญส่งสวัสดิ์ ผู้อำนวยการกองป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดทางเทคโนโลยีสารสนเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ยกตัวอย่างมิจฉาชีพออนไลน์ คือการทำเพจเฟซบุ๊กปลอมแอบอ้างเป็นบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ ทั้งที่เลิกกิจการไปแล้วหรือยังประกอบกิจการอยู่ ลงโฆษณาขายสินค้าบ้าง รับสมัครพนักงานบ้าง หลอกร่วมลงทุนบ้าง วิธีสังเกตง่ายๆ คือหากเป็นเพจจริงของบริษัทนั้นๆ จะมีเครื่องหมายถูก หรือดูที่ระยะเวลาการเปิดเพจ เพราะหากเป็นเพจปลอมมักเพิ่งเปิดได้ไม่นาน รวมถึงมียอดผู้ติดตามและจำนวนความคิดเห็นจากประชาชนน้อยผิดวิสัยแบรนด์ดัง 

ทั้งนี้ รัฐบาลให้ความสำคัญกับปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์ โดยเมื่อช่วงปลายปี 2565 มีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้กระทรวงดิจิทัลฯ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ร่วมกันแก้ไข จนออกมาเป็น พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 เนื่องจากแต่ละหน่วยงานมีกฎหมายของตนเอง แต่ก็ยังมีช่องว่างอยู่  เช่น ปกติแล้วผู้เสียหายในคดีอาชญากรรมต้องไปแจ้งความ ณ สถานีตำรวจที่รับผิดชอบท้องที่เกิดเหตุ ซึ่งเมื่อเป็นคดีทางออนไลน์ก็เป็นความยากลำบากของประชาชน บางทีเกิดข้ามจังหวัดก็มี จึงแก้ไขให้สามารถแจ้งความได้ทุกท้องที่หรือผ่านระบบแจ้งความออนไลน์ มีบทลงโทษ บัญชีม้า-ซิมม้า ผู้รับจ้างเปิดบัญชีธนาคาร รับจ้างเปิดใช้งานซิมโทรศัพท์มือถือ หากบัญชีหรือซิมนั้นถูกนำไปใช้ทำสิ่งผิดกฎหมาย ตลอดจนการให้อำนาจธนาคารยับยั้งธุรกรรมทางการเงินบัญชีต้องสงสัยกรณีมีผู้เสียหายร้องทุกข์ว่าตกเป็นเหยื่อถูกหลอก หรือธนาคารตรวจพบธุรกรรมที่ดูน่าสงสัย เพื่อสกัดกั้นการโอนย้ายเงินโดยมิจฉาชีพ

“จะมีส่วนที่ทำได้และส่วนที่ต้องรอพัฒนา ส่วนที่ทำได้เลยก็ตามมาตรา 7 มาตรา 6 ซึ่งยังคุยกันอยู่ว่าเหตุอันต้องสงสัยเราจะเอาอะไรเป็นเหตุ เพราะต้องเข้าใจเจ้าหน้าที่ หากไปยับยั้งโดยที่มันไม่ใช่ เจ้าหน้าที่ธนาคารบางท่านอาจจะขาดประสบการณ์ เพราะโทรไปคอลเซ็นเตอร์ก็ยังไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ ก็มีการอบรมสร้างมาตรฐาน จนสุดท้ายก็จะเป็นเบอร์เดียวให้ประชาชน เพราะตอนนี้เขาแยกตามธนาคาร ตรงนี้ก็จะให้ความมั่นใจและความรวดเร็วที่จะดูแลประชาชน” ผอ.กองป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดทางเทคโนโลยีสารสนเทศ กระทรวงดิจิทัลฯ กล่าว

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง โคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า ย้อนไป 20 ปีก่อน คนมองอินเตอร์เน็ตเหมือนดินแดนในอุดมคติซึ่งผู้คนจะได้มีเสรีภาพและโอกาสใหม่ๆ แต่เมื่อมีคนเข้ามาอยู่ในพื้นที่นี้มากขึ้นก็เป็นธรรมดาที่จะมีอาชญากรเข้ามาด้วย จึงต้องมีการสร้างภูมิคุ้มกันควบคู่ไปกับการบังคับใช้กฎหมาย ทั้งนี้ มีคำว่า Information Disorder หรือความผิดปกติของข้อมูลข่าวสาร หลายคนอาจเรียกว่า Fake News หรือข่าวลวง ซึ่งเป็นคำที่แคบเกินไปและทำให้เข้าใจผิด เพราะคำว่า News หรือข่าว ตามหลักวารสารศาสตร์ต้องประกอบสร้างด้วยข้อเท็จจริง เพราะหากเป็น Fake หรือเรื่องหลอกลวง ก็ไม่มีคุณค่าเป็นข่าวตั้งแต่แรก แต่เป็น Information หรือข้อมูล

ซึ่งหาก Information ผิดเพี้ยนไป ก็จะกลายเป็นคำว่า Disinformation หมายถึงข้อมูลบิดเบือนที่มีเจตนาและเป็นเจตนาที่ไม่ดี แต่หากเป็นข้อมูลที่ทำให้เข้าใจผิดแต่ไม่ได้เกิดขึ้นโดยเจตนา จะเรียกว่า Misinformation และหากนำข้อมูลจริงมาใช้หลอกลวงผู้อื่น เช่น นำรูปภาพและข้อมูลของบุคคลอื่นมาบิดเบือน เรียกว่า Malinformation หมายถึงการนำข้อมูลไปใช้ในทางที่ผิด ทั้งนี้ ในสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 มีคำว่า Infodemic เป็นการรวมกันระหว่างคำว่า Information กับ Pandemic (หรือ Epidemic) หมายถึงข้อมูลข่าวสารที่แพร่กระจายเหมือนโรคระบาด และในจำนวนนี้ก็มีข้อมูลเท็จหรือข้อมูลบิดเบือนด้วย ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจของคน

สำหรับการป้องกันการตกเป็นเหยื่อข้อมูลลวง ต้องมีทักษะในการตรวจสอบ เช่น คนรุ่นใหม่อาจต้องแนะนำผู้ใหญ่ในบ้านถึงการใช้เครื่องมือ อาทิ ใช้แพลตฟอร์มโคแฟคที่มีฐานข้อมูลข่าวลวง หรือสอนวิธีดูความน่าเชื่อถือของเพจเฟซบุ๊ก ทักษะเหล่านี้ต้องเร่งเสริมสร้างอย่างเร่งด่วน หรือหากเป็นเด็กและเยาวชนก็ต้องมีหลักสูตรในระบบการศึกษา อย่างที่ประเทศฟินแลนด์ หลักสูตรไปไกลกว่า Digital Literacy หรือการรู้เท่าทันเทคโนโลยีดิจิทัล โดยเป็น Digital Intelligence หรือความฉลาดทางดิจิทัล ซึ่งเป็นขั้นสูงในการรับมือ เนื่องจากมีทั้งเทคโนโลยี Deepfake สามารถปลอมแปลงภาพและเสียง AI หรือปัญญาประดิษฐ์ จนเรื่องจริง-ลวงแทบจะแยกได้ยากขึ้นเรื่อยๆ

ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับช็อปออนไลน์ ส่วนตัวนอกจากจะใช้หลักของถูก-ของดี-ของฟรีไม่มีในโลกแล้ว ถ้ามัน Too good to be true (ดูดีเกินกว่าจะเป็นจริงได้) มันก็ไม่น่าจะใช่ ต้องเตือนตัวเองอย่างนี้ อะไรที่มันดูราคาถูกเกินไป มันดูโอ้โห! ที่พักผ่อนหรูหราไฮโซเลย แต่หลับคืนละพัน คืนละพันสอง หรือห้าร้อย มันก็มีแนวโน้มจะ Too good to be true แนวโน้มจะถูกหลอกแน่นอน อาจจะต้องใช้หลักวิธีการยับยั้งชั่งใจตรงนี้ สุภิญญา กล่าว

ในช่วงท้ายยังมีการบรรยายเรื่อง รู้ทันการถูกละเมิดสิทธิส่วนบุคคลทางไซเบอร์ โดย กุลธิดา สามะพุทธิ บรรณาธิการ โคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวถึงข้อมูลเท็จ 7 ประเภท 1.Satire & Parody หรือการเสียดสีล้อเลียน แม้ไม่ตั้งใจก่ออันตรายแต่ก็อาจมีผู้หลงเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง 2.False Connection พาดหัวกับเนื้อหาไปกันคนละทาง 3.Misleading Content ข้อมูลเท็จที่มีเจตนาชี้นำให้เข้าใจผิด 4.False Context ข้อมูลจริงแต่ผิดบริบท 5.Imposter Content สวมรอยเป็นบุคคลอื่น 6.Manipulated Content ตกแต่งภาพ-ตัดต่อคลิปวีดีโอเพื่อสร้างเรื่องเท็จ และ 7. Fabricated Content กุเรื่องใหม่ทั้งหมดเพื่อหลอกลวง

อย่างไรก็ตาม มีความท้าทายในการตรวจสอบ 1.ปริมาณข้อมูลมหาศาลมาก ไม่สามารถหักล้างหรือป้องกันเรื่องเท็จได้ทั้งหมด 2.เรื่องนั้นเป็นมากกว่าข่าวลวง หมายถึงเป็นความจริงที่ถูกดัดแปลงปรุงแต่งให้เกิดความเข้าใจผิด แต่ก็ไม่สามารถฟันธงได้ว่าจริงหรือเท็จ 3.ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร ขึ้นชื่อว่าปฏิบัติการย่อมมีเครื่องมือและการทำงานอย่างเป็นระบบ จึงไม่ง่ายที่จะรับมือ และ 4.คนไม่สนใจความจริง เพราะต่างก็เลือกเชื่อแต่ในสิ่งที่อยากเชื่อ บางเรื่องรู้ว่าเป็นเท็จแต่ก็ยังเผยแพร่ต่อเพราะสามารถใช้โจมตีบุคคลที่เราไม่ชอบได้

ขอฝากข้อเสนอแนะ 3 ข้อต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ก็คือ 1. เรื่องการรับมือ มันไม่ใช่แค่เรื่องการตั้งศูนย์ต้านข่าวปลอมประจำหน่วยงานหรือชี้แจงข้อเท็จจริงเป็นเรื่องๆ เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับหน่วยงานของเราอีกต่อไป มันเป็นภารกิจร่วมกันของทั้งภาคประชาชน ภาครัฐทุกหน่วยงาน เราต้องสร้างระบบนิเวศออนไลน์ที่ไม่เอื้อต่อการผลิตและกระจายข่าวเท็จ ต้องช่วยกันสร้างภูมิคุ้มกันและความรู้เท่าทันของประชาชนต่อข่าวลวง 2.แต่ละหน่วยงานควรวิเคราะห์ผลกระทบของ Disinformation ในมิติที่ตรงกับภารกิจของตัวเอง อย่างกรณีของผู้ตรวจการแผ่นดิน คงต้องมาวิเคราะห์ว่า Disinformation เป็นอุปสรรคต่อการอำนวยความสะดวกและการให้ความเป็นธรรมประชาชนอย่างไร ถ้าเรารู้ผลกระทบในมิติที่เกี่ยวกับงานของเราแล้ว เราก็จะวางการรับมือได้ตรงจุด และ 3.ข้อสุดท้ายใส่เครื่องหมายคำถามไว้ เพราะไม่แน่ใจว่าท่านจะทำได้หรือเปล่า คือตรวจสอบปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานรัฐ เพราะที่ผ่านมามีประชาชนหรือการอภิปรายในสภาก็มีการพูดถึงปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารที่หน่วยงานรัฐเป็นผู้กระทำ คือตั้งข้อสังเกตว่ามันมีจริงหรือเปล่า กุลธิดา กล่าว

พริม มณีโชติ ทีมบรรณาธิการ โคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวถึงปรากฏการณ์ Echo Chamber หรือห้องเสียงสะท้อน ที่หมายถึงเรื่องราวเดียวกันแต่บุคคลแต่ละคนจะมีมุมมองต่างกันขึ้นอยู่กับการเลือกแหล่งรับข้อมูลข่าวสาร  เช่น เคยมีการสำรวจประเด็นไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีนหรือไม่กับชาวมาเลเซีย พบว่า หากเป็นกลุ่มชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน จะเชื่อเรื่องจีนเดียวหรือไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีนมากที่สุด ตรงข้ามกับชาวมาเลเซียเชื้อสายอินเดียที่จะเชื่อเรื่องดังกล่าวน้อยที่สุด เป็นต้น 

เช่นเดียวกับนโยบายควบคุมชาวอุยกูร์ในมณฑลซินเจียงของจีน ที่พบว่า ชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนเป็นกลุ่มที่มองว่าเป็นเพียงการปรับทัศนคติหรือให้การศึกษาใหม่ มากกว่าการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และละเมิดสิทธิมนุษยชนมากที่สุด ซึ่งที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากการเลือกช่องทางการรับข้อมูลของคนแต่ละเชื้อชาติแตกต่างกัน ตั้งแต่เรื่องบันเทิงไปจนถึงข่าวสาร นอกจากนั้น ยิ่งระยะเวลาผ่านไปนานเท่าใดก็มีโอกาสเกิดความจริงชุดใหม่ในกลุ่มของตนเองมากขึ้น อาทิ เคยมีการสอบถามว่าเหตุการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ฝ่ายใดสมควรถูกกล่าวโทษมากที่สุด แล้วพบว่า เมื่อเวลาผ่านไป ชาวญี่ปุ่นมองไปที่รัสเซีย แต่ชาวจีนกลับมองไปที่สหรัฐอเมริกา

สิ่งที่เราเห็นจากการนำเสนอในวันนี้ เราได้เห็นว่า Misinformation เพียงแค่เรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เป็นหลัก อาจส่งผลต่อมุมมองการตัดสินใจ ความเชื่อและความคิดในเรื่องอื่นๆ ยิ่งเมื่อทิ้งระยะเวลานานไป ไม่สามารถเคลียร์ข้อสงสัยได้ครบถ้วน เพราะหลายครั้ง Misinformation มีบางส่วนเป็นเรื่องจริง เกิดขึ้นจริงๆ ทิ้งข้อสงสัยไว้นานวันเข้า แล้วเราอยู่ใน Echo Chamber เดิมๆ เราจะพบว่าเราได้เกิดความจริงขึ้นมาใหม่ในกลุ่ม Echo Chamber ของเรา ในกลุ่มไลน์ครอบครัว กลุ่มไลน์คอนโดของเรา ดังนั้นการตรวจสอบข้อมูล ข้อเท็จจริง จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ยิ่งทำเร็วยิ่งกระทบน้อย ยิ่งตัดตอนได้เร็ว พริม กล่าว

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

คลิป TikTok ถูกนำไปอ้างเท็จว่าเป็น “แม่น้องหยก”

คลิปวิดีโอของบัญชีผู้ใช้ TikTok ที่ชื่อว่า “มนุษย์แม่สะดวกแบบนี้” ถูกนำไปเผยแพร่ต่อโดยให้ข้อมูลเท็จว่าเป็นแม่ของ “หยก” เยาวชนหญิงวัย 15 ปี ผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งล่าสุดได้ออกมาเรียกร้องสิทธิเสรีภาพในการแต่งกายของนักเรียน

วันที่ 14 มิ.ย. 2566 เจ้าของบัญชี TikTok “มนุษย์แม่สะดวกแบบนี้” โพสต์คลิปวิดีโอความยาว 4.45 นาที วิจารณ์กรณีของ “หยก” โดยให้ความเห็นว่า เหตุที่หยกมีความคิดและออกมาเคลื่อนไหวเช่นนี้เป็นเพราะผู้ใหญ่ที่อยู่รอบตัว

หลังจากนั้น คลิปของเธอถูกนำไปเผยแพร่ต่อในโซเชียลมีเดีย โดยให้ข้อมูลเท็จว่าผู้หญิงในคลิปเป็นแม่ของหยก เช่นแทรกข้อความในคลิปว่า “แม่หยกเตือนผู้ใหญ่ข้างตัวหยุด” และ “แม่เชื่อ ติ่งส้มสุดโต่ง (กลุ่มทะลุวัง) ปั่นหัวน้องจนกลายเป็นภาระสังคม” ซึ่งเป็นคำพูดที่ไม่มีอยู่ในคลิปต้นฉบับ ขณะที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กคนหนึ่งนำคลิปนี้ไปเผยแพร่ต่อโดยระบุว่าเป็น “ความในใจแม่น้องหยก”

โคแฟคตรวจสอบ

โคแฟคพยายามติดต่อเจ้าของบัญชี TikTok ที่ใช้ชื่อว่า “มนุษย์แม่สะดวกแบบนี้” แต่ยังไม่สามารถติดต่อได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. เธอได้โพสต์คลิปวิดีโอที่เธอพูดถึงกรณีของหยกอีกครั้ง โดยระบุชัดว่าเธอ “ไม่ได้เป็นแม่ของหยก” แต่ออกมาพูดในฐานะแม่คนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้

วันนี้ (19 มิ.ย.) โคแฟคได้ติดต่อ น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือ “บุ้ง ทะลุวัง” นักกิจกรรมที่ทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองของหยก ซึ่งกล่าวกับโคแฟคว่า เธอและหยกได้เห็นคลิปวิดีโอของ “มนุษย์แม่สะดวกแบบนี้” ที่มีผู้นำมาเผยแพร่ต่อโดยอ้างว่าเป็นแม่ของหยกแล้ว ขอยืนยันว่าบุคคลในวิดีโอไม่ใช่แม่ของหยก และขณะนี้หยกยังไม่สามารถติดต่อแม่ได้

ข้อสรุปโคแฟค: ข้อมูลเท็จ หยุดแชร์

เจ้าของบัญชี TikTok “มนุษย์แม่สะดวกแบบนี้” ไม่ได้เป็นแม่ของหยก แต่มีผู้ที่นำคลิปของเธอไปเผยแพร่ต่อโดยให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องว่าเธอเป็นแม่ของหยก ทำให้เกิดความสับสนและเข้าใจผิด ผู้ใช้โซเชียลมีเดียควรหยุดเผยแพร่และส่งต่อ

เรื่องแนะนำ

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 17 มิถุนายน 2566

เจาะนิ้วเองให้เลือดไหลแก้อาการเส้นเลือดในสมองแตก…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/deofcqjizhj2


ผู้ป่วยมะเร็งควรงดปลาหมึก หอยทุกชนิด และปลาที่เลี้ยงในกระชัง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1pijn94p1vdfx


น้ำกัญชาคั้นสดไม่ออกฤทธิ์ต่อประสาท ป้องกันและรักษาโรคได้ดีกว่าสารสกัดกัญชา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1sh4h6gfra2bo


 ทฤษฎีความร้อนบำบัดโดยก้อนถ่านหุงต้มสามารถรักษาโรคมะเร็งได้ทุกระยะและทุกอวัยวะของร่างกาย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/35onvdyt0qs57#_=_


“ว่านจั๊กจั่น”  ไม่ใช่ว่าน ไม่มีส่วนไหนเกี่ยวกับพืช หาก ‘กิน’ ถึงตายได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/88od0hivw2nh


ระวัง! คนร้ายแอบอ้างเป็นตำรวจ โทรบอกว่าคุณมีส่วนเอี่ยวเรื่องการฟอกเงิน แล้วส่งหมายปลอมทาง line

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/25t5mld7nc6zl


กระป๋องน้ำอัดลม ระเบิดในรถจอดตากแดด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2mqpuvy2ajjp7


น้ำตาลเป็นพิษอย่างเลวร้าย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1bxnsyj9c1q0l


เสียงกระซิบจากผู้หวังดี: สื่อไทยกับความเสี่ยงต่อการปล่อยข่าวลวง

13 มิถุนายน 2566

รายงานเชิงวิเคราะห์โดย กุลชาดา ชัยพิพัฒน์ ที่ปรึกษาโคแฟค ประเทศไทย

เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ที่ผ่านมา องค์กรไม่แสวงผลกำไรสากลที่ทำงานวิจัยเกี่ยวกับข่าวลวง Global Disinformation Index (GDI) ได้เผยแพร่รายงานประเมินความเสี่ยงของสำนักข่าวออนไลน์ในไทยต่อการเผยแพร่ข่าวลวงเป็นครั้งแรก โดยวิเคราะห์จากทั้งเนื้อหาและระบบการปฏิบัติงานของเว็บไซต์ข่าวออนไลน์ 33 แห่งที่มียอดผู้เข้าชมทางเว็บไซต์และการเข้าถึงทางโซเชียลมีเดีย เป็นลำดับต้นๆ พบว่า ค่าเฉลี่ยความเสี่ยงอยู่ที่ 57 จาก 100 คะแนนซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ความเสี่ยงระดับปานกลางและใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้านเช่น ฟิลิปปินส์ ( 55.32) อินโดนีเซีย (63)และ มาเลเซีย (59 ) ซึ่งได้มีการประเมินไปก่อนหน้านี้ ( ดูรายงานเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ของGDI )

รายงานการวิจัยซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง GDI กับสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า เว็บไซต์ข่าว 15 แห่งมีความเสี่ยงปานกลาง 14 แห่งมีความเสี่ยงสูง  2 แห่งมีความเสี่ยงสูงสุด และอีก 2 แห่งมีความเสี่ยงต่ำ แต่ไม่มีสื่อใดมีความเสี่ยงต่ำสุด โดยในจำนวนนี้ มีสื่อโทรทัศน์ทั้งของภาครัฐและเอกชนและสื่อสิ่งพิมพ์เอกชนที่เผยแพร่เนื้อหาผ่านช่องทางออนไลน์ สื่อสิ่งพิมพ์ที่หันมาทำธุรกิจสื่อออนไลน์อย่างเดียว และสำนักข่าวออนไลน์เกิดใหม่รวมทั้งสื่อทางเลือก ซึ่งมีคนเข้าชมเป็นลำดับต้นๆจากการจัดลำดับของ www.alexar.com และมียอดการเข้าถึงของผู้ใช้งานในเฟสบุ๊คและทวิตเตอร์สูง (ดูรายชื่อสำนักข่าวออนไลน์ที่ถูกประเมินตามตารางแนบท้ายข่าว)

รายงานดังกล่าวถือเป็นกลไกใหม่ในการเสริมสร้างความน่าเชื่อให้กับสื่อมวลชนทั่วโลกที่ถูกโอบล้อมอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรของข้อมูลลวงหรืออาจเป็นส่วนหนึ่งของการเผยแพร่ข้อมูลเหล่านั้นทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ โดยไม่มีการระบุชื่อสื่อที่ถูกประเมินในรายงานว่าได้คะแนนเท่าไหร่ แต่ทาง GDI จะมีการแจ้งให้สื่อเหล่านั้นทราบโดยตรงก่อนลงมือทำงานวิจัย และแจ้งอีกครั้งหลังทำงานเสร็จลุล่วงว่าสื่อนั้นมีความเสี่ยงต่อข้อมูลลวงมากน้อยเพียงใด ด้วยปัจจัยเสี่ยงอะไรบ้าง พร้อมทั้งให้คำแนะนำว่าควรจัดการกับความเสี่ยงอย่างไร

ในการประเมินผล ทีมวิจัยประเทศไทยใช้กระบวนการวิจัยทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพตามมาตรฐานของGDI โดยมีการวิเคราะห์ความเสี่ยงในด้านเนื้อหาและระบบการปฏิบัติงานจากเกณฑ์ชี้วัดหลักในแต่ละด้าน 10 ข้อ และ 6 ข้อตามลำดับ เมื่อนำความเสี่ยงทั้งสองด้านมาถัวเฉลี่ยกันก็จะเป็นค่าความเสี่ยงที่แต่ละสื่อได้รับจากคะแนนเต็ม100 โดยแบ่งระดับความเสี่ยงเป็น 5 ระดับ คือ ระดับต่ำสุด (80.28-100) ต่ำ (68.84-80.27 ) ปานกลาง (57.41-68.83)  สูง (45.97-57.40) และสูงสุด (0-45.97 ) ทั้งนี้เนื้อหาที่นำมาวิเคราะห์มาจากการข่าวหรือบทความ 20 ตัวอย่างที่ถูกคัดเลือกจากแต่ละสื่อที่ถูกประเมิน โดยแบ่งเป็นเนื้อหาที่มีผู้แชร์บ่อย 10 ตัวอย่าง และเนื้อหาที่มีความเสี่ยงต่อข้อมูลลวงหรือที่สร้างความขัดแย้ง (adversarial narratives) ด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสุขภาพ เป็นต้นฯ 10 ตัวอย่าง (ดูรายละเอียดกระบวนการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลได้ในรายงานฉบับเต็ม)

ค่าเฉลี่ยความเสี่ยงต่ำด้านเนื้อหา (79/100) ค่าเฉลี่ยความเสี่ยงสูงด้านระบบการปฏิบัติงานขององค์กรสื่อและกองบรรณาธิการ (35/100)

ผลการประเมินพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลให้สื่อมีความเสี่ยงสูงต่อการเผยแพร่ข่าวลวงมาจากความไม่โปร่งใสหรือชัดเจนในนโยบายขององค์กรสื่อและแนวปฏิบัติของกองบรรณาธิการ (Operation Risk) เช่น ไม่ระบุความเป็นเจ้าของสื่อและแหล่งทุนหรือที่มาของรายได้ และไม่มีนโยบายหรือแนวปฏิบัติในการกลั่นกรองข้อมูลหรือตรวจสอบข้อเท็จชัดเจนของกองบรรณาธิการทั้งก่อนและหลังเผยแพร่เนื้อหา มากกว่าความเสี่ยงด้านเนื้อหา (Content Risk) ของสื่อส่วนใหญ่ที่ถูกประเมิน ซึ่งถือว่าปราศจากความลำเอียง ไม่ใช้ภาษาหรือภาพที่หวือหวาหรือพาดหัวคลาดเคลื่อน และ ไม่ได้มุ่งสร้างความขัดแย้งแม้ว่าสังคมไทยยังตกอยู่ในภาวะแบ่งขั้วทางการเมือง 

นอกจากนี้ แนวโน้มที่พบคือ สื่อที่ถูกประเมินกว่าครึ่ง มีเกณฑ์ชี้วัดความเสี่ยงด้านระบบการปฏิบัติงานในเรื่องนโยบายการเปิดเผยความเป็นจ้าของสื่ออยู่ในระดับที่ต่ำ กล่าวคือไม่มีนโยบายหรือไม่เปิดเผยความเป็นเจ้าของบนหน้าเว็บอย่างชัดเจน และจำนวน 28 แห่งไม่มีนโยบายหรือแนวปฏิบัติในการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนเผยแพร่หรือการแก้ข่าวภายหลังอย่างชัดเจน ทำให้เกณฑ์ชี้วัดในเรื่องการตรวจสอบข้อเท็จจริงหรือการแก้ไขข้อผิดพลาดได้รับคะแนนเฉลี่ยต่ำสุด (3/100) นอกจากนี้สื่อส่วนใหญ่ยังไม่ให้ความสำคัญกับการระบุชื่อผู้สื่อข่าวหรือทีมงานที่ผลิตข่าวชิ้นนั้น (byline) ตลอดจนไม่ระบุหรือชี้แจงแนวปฏิบัติในการอ้างที่มาของแหล่งข่าวและแหล่งข้อมูลในข่าวอย่างชัดเจน (sources and attribution) ซึ่งเกณฑ์ที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมด ถือเป็นแนวปฏิบัติตามหลักวารศาสตร์ที่สำคัญ ( major journalistic practice)ในการแสดงความโปร่งใสขององค์กรสื่อ ความเป็นอิสระของกองบรรณาธิการ และความรับผิดชอบที่สื่อมวลชนพึงมีเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเผยจะเผยแพร่ข้อมูลลวงใหต่อสาธารณะ และสร้างความไว้วางใจต่อผู้รับสาร

ในขณะเดียวกัน มีสื่อเกือบครึ่ง(16)ที่ถูกประเมิน ได้คะแนนด้านเนื้อหาต่ำกว่าค่ามาตรฐาน (79) ซึ่งเป็นผลมาจากเนื้อหาที่สุ่มมาประเมินส่วนหนึ่ง เป็นข่าวประชาสัมพันธ์หรือเนื้อหาที่ได้รับการอุดหนุนจากการโฆษณา เช่น ใบ้หวย และ ดูดวง โดยปฏิเสธไม่ได้ว่าเนื้อหาเหล่านี้สร้างรายได้จากโฆษณา จากการอุดหนุนโดยตรงและช่วยเพิ่มจำนวนครั้งการเข้าชมเนื้อหาอย่างเป็นกอบเป็นกำ และมักเป็นการนำเสนอในเชิงบวกของเหตุการณ์ มีการดึงประเด็นหรือใช้วิธีการเขียนที่เรียกร้องความสนใจ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นการโจมตีบุคคลหรือกลุ่มใดด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย นอกจากนี้ความเสี่ยงด้านเนื้อหายังมาจากการไม่ระบุชื่อผู้สื่อข่าวหรือทีมงานที่ผลิตข่าวนั้น และการไม่ให้ความสำคัญกับการอ้างอิงแหล่งที่มาของข่าวหรือข้อมูลทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ทำให้ค่าเฉลี่ยของเกณฑ์ชี้วัดในสองข้อนี้ต่ำอยู่ที่ 20/100 และ 35-54/100 ตามลำดับ ซึ่งหมายความว่าสื่อที่ถูกประเมินมีความเสี่ยงต่อการเป็นผู้ปล่อยข้อมูลลวงนั่นเอง

ข้อสังเกตและข้อเสนอต่อสื่อไทยที่น่าสนใจ

ในภาพรวมถือว่าสำนักข่าวออนไลน์ของไทยมีความเสี่ยงสูงในด้านระบบการปฏิบัติงานที่ไม่แตกต่างจากสื่อออนไลน์ในภูมิภาคเอเชีย ส่วนความเสี่ยงในด้านเนื้อหาถือว่าต่ำกว่าประเทศอื่น ซึ่งทำให้เห็นแนวโน้มและโอกาสในการจัดการกับความเสี่ยงต่อการเผยแพร่ข้อมูลลวงได้ดีกว่า และหากทำได้ดี สื่อไทยสามารถยืนหนึ่งในภูมิภาคเอเชียในฐานะกลุ่มสื่อออนไลน์ที่มีความเสี่ยงต่ำต่อการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่หลอกลวงหรือบิดเบือน โดยปฏิบัติตามข้อแนะนำดังต่อไปนี้ 

  • กำหนดมาตรฐานกองบรรณาธิการและหลักการในเรื่องความเป็นอิสระของกองบรรณาธิการให้ชัดเจนและเฉพาะเจาะจง หรือถ้ามีอยู่แล้วให้นำมาเผยแพร่บนเว็บให้ผู้อ่านเข้าถึงได้ง่าย
  • กำหนดหรือเผยแพร่นโยบายการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนเผยแพร่ข่าวหรือการแก้ไขข้อผิดพลาดหลังจากเผยแพร่ข่าวเพื่อความถูกต้องของข้อมูล
  • กำหนดนโยบายเรื่องการระบุชื่อผู้สื่อข่าวหรือทีมงานที่ผลิตข่าวให้ชัดเจนหรือให้ข้อมูลให้มากที่สุดเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อผู้อ่าน
  • ระบุแหล่งข่าวหรือแหล่งที่มาข้องข้อมูลในข่าวอย่างชัดเจนเพื่อยืนยันความถูกต้องและโปร่งใสของข้อมูลและเนื้อหาในข่าวหรือบทความนั้น
  • เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าของสื่อและฝ่ายบริหารมากยิ่งขึ้น เช่นเปิดเผยชื่อคณะกรรมการบริหารบนหน้าเว็บให้ผู้อ่านเข้าถึงได้ง่าย

GDI แตกต่างจากการจัดลำดับแบบอื่น แต่ก็มีข้อที่ต้องปรับปรุง

ข้อดีประการแรกของรายงานฉบับนี้ คือ เป็นการเปิดเผยคะแนนต่อสาธารณะโดยไม่ระบุชื่อองค์กรสื่อ ซึ่งไม่เหมือนกับรายงานการจัดลำดับสื่อในประเภทอื่นที่ผ่านมา และประการที่สอง การวิจัยเจาะจงไปที่ปัจจัยเสี่ยงของสื่อต่อการเป็นผู้เผยแพร่ข่าวลวง โดยมุ่งให้สื่อออนไลน์และผู้กำหนดนโยบายทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนรวมทั้งวงการโฆษณาหันมาให้ความสำคัญกับการสร้างความน่าเชื่อถือและคุณภาพของสื่อมากกว่าเรทติ้ง มีการสร้างแรงจูงใจให้สื่อเหล่านั้นได้ปรับปรุงนโยบายและแนวปฏิบัติด้านความโปร่งใสและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการให้ได้มาตรฐานทางวิชาชีพและจริยธรรมสากล

ผลการประเมินมีประเด็นถกเถียงที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง และสะท้อนสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมสื่อไทยได้เป็นอย่างดีในเรื่องมาตรฐานทางวิชาชีพและกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงและการถ่วงดุลของกองบรรณาธิการที่ถูกสั่นคลอนอันเนื่องมาจากข้อจำกัดในเรื่องบุคลกรและการแข่งขันทางธุรกิจเพื่อความอยู่รอด

ทัศนะส่วนใหญ่ของผู้ที่มาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองต่อรายงานฉบับนี้ เห็นว่าเป็นรายงานที่น่าสนใจ และเป็นก้าวที่ดีในการสร้างแรงจูงใจให้สื่อไทยลดความเสี่ยงต่อการเผยแพร่ข่าวลวงทั้งโดยตั้งหรือไม่ตั้งใจ 

อย่างไรก็ตาม มีการตั้งคำถามกับคณะผู้ทำการประเมินไว้ว่า สำนักข่าวออนไลน์ควรเป็นเป้าหมายเดียวของงานวิจัยหรือไม่ เพราะข่าวลวงส่วนใหญ่มาจากสื่อสังคมออนไลน์ มีการเผยแพร่ข้อความ ภาพและเสียงโดยผู้ใช้งานเป็นหลัก นอกจากนี้เกณฑ์ในการชี้วัดบางข้อเช่นการระบุชื่อผู้สื่อข่าวในข่าวหรือการมีระบบตรวจสอบข้อมูลก่อนการเผยแพร่ อาจไม่สอดคล้องกับระบบการทำงานและวัฒนธรรมข่าวของสื่อไทย รวมทั้งภูมิทัศน์สื่อที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้กองบรรณาธิการข่าวมีขนาดที่กระทัดรัดลง โดยผู้สื่อข่าวต้องทำงานได้หลากประเด็นและหลายแพลตฟอร์ม และผู้สื่อข่าวที่มีทั้งประสบการณ์และศักยภาพที่สอดคล้องกับการทำงานในหลายแพลตฟอร์มมีจำกัด รวมถึงโมเดลทางธุรกิจที่เปลี่ยนไปที่ต้องคำนึงถึงยอดคนอ่านและการเข้ามามีปฏิสัมพันธ์ ส่งผลให้การคัดกรองเนื้อหาและการตรวจสอบข่าวอย่างรอบคอบและความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของผู้สื่อข่าวและกองบรรณาธิการลดน้อยลง

ตัวแทนที่มาจากสื่อมวลชนและภาคประชาสังคมได้ให้ความเห็นประกอบไว้ด้วยว่า การจัดสรรทรัพยากรขององค์กรสื่อที่เหมาะสมเป็นเรื่องที่มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการสนับสนุนจากภาครัฐและภาคเอกชนรวมถึงบริษัทเทคโนโลยีการสื่อสารที่เป็นเจ้าของแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อส่งเสริมศักยภาพและประสิทธิภาพในการทำงานของสื่อได้ตรงจุด รวมทั้งการจัดฝึกอบรมด้านทักษะและความรู้ให้สื่อได้รู้เท่าทันเทคโนโลยีการสื่อสารใหม่ๆและผลกระทบ เพื่อนำมาเทคโนโลยีเหล่านั้นมาใช้ในงานข่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ การลดความเสี่ยงของการเผยแพร่ข่าวลวงในภาคธุรกิจ  และการสร้างโมเดลรายได้ใหม่ๆที่พึ่งพาแหล่งรายได้หลายทางและลดการพึ่งพาโฆษณาเพื่อให้สื่อผลิตงานที่มีคุณภาพมากขึ้น 

ผู้เขียนในฐานะที่ได้เข้าร่วมให้ความเห็นต่อรายงานประเทศไทยของGDI เห็นว่ารายงานฉบับนี้ออกมาในห้วงเวลาที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์การเผยแพร่ข่าวลวงที่เกิดขึ้นอย่างเข้มข้นในช่วงการเลือกตั้งทั่วไปของไทยเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาและทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง  ซึ่งต้องยอมรับว่ามีสำนักข่าวออนไลน์จำนวนหนึ่งได้เผยแพร่ข้อมูลที่มีลักษณะและองค์ประกอบไปในเชิงสร้างขัดแย้งหรือเข้าข่ายสร้างข้อมูลลวงหรือบิดเบือนข้อเท็จจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งทฤษฎีสมคบคิดที่ถูกนำมาเชื่อมโยงกับการแทรกแซงการเลือกตั้งของประเทศมหาอำนาจ ซึ่งเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่อาจสร้างความชอบธรรมในการทำลายผลการเลือกตั้งโดยสุจริต และนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรงและบานปลายเป็นความขัดแย้งทางกายภาพได้ หากแต่องค์กรวิชาชีพสื่อและภาคประชาสังคม จะมองว่าเรื่องนี้ควรเป็นวาระสำคัญที่จะต้องหันมาทบทวนและถอดบทเรียนการรายงานข่าวของสื่อไทยในบริบทความขัดแย้งและวังวนของข่าวลวงอีกครั้งหรือไม่ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับสื่อไทยและส่งเสริมให้เกิดพื้นที่สื่อสารทางการเมืองที่ในโลกออนไลน์ที่อยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง ปราศจากอคติและการสร้างความเกลียดชัง

                                  ————– 

DogeRAT ‘มัลแวร์อันตรายแฝงมากับ‘แอปฯปลอม’ ท่องเน็ตต้องระวังทุกครั้งที่คลิกและดาวน์โหลด’

ปัจจุบันโทรศัพท์มือถือแบบ สมาร์ทโฟน (Smartphone)” กลายเป็นสิ่งจำเป็นแบบแทบจะขาดไม่ได้ไปเสียแล้ว เมื่อกิจกรรมหลากหลายประเภททั้งการซื้อ-ขายสินค้า การเรียน การทำงาน ความบันเทิง ฯลฯ เข้าไปอยู่บนโลกออนไลน์ ซึ่งหากไม่นับ ไอโฟน (iPhone)” มือถือจากค่ายแอปเปิล (Apple) ที่มีไอโอเอส (iOS) เป็นระบบปฏิบัติการของตัวเอง สมาร์ทโฟนยี่ห้ออื่นๆ ที่เหลือแทบจะใช้ระบบปฏิบัติการ แอนดรอยด์ (Android)” เท่านั้น แอนดรอยด์จึงเป็นระบบปฏิบัติการที่คนส่วนใหญ่ในโลกนี้ใช้นั่นเอง ตามข้อมูลจาก Bankmycell เว็บไซต์รวบรวมข่าวสารและช่องทางการซื้อ-ขายมือถือ พบว่า ณ สิ้นปี 2565 มือถือแอนดรอยด์ครองส่วนแบ่งตลาดถึงร้อยละ 71.75 

เมื่อมีผู้ใช้งานจำนวนมาก หากระบบมีข้อบกพร่องหรือถูกโจมตีจากผู้ไม่หวังดี ความเสียหายก็มีโอกาสแผ่ขยายเป็นวงกว้าง ซึ่งล่าสุด droidsans.com เว็บไซต์ภาษาไทยที่ให้ความรู้และเป็นชุมชนของผู้สนใจระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์รายงานข่าว ลบทันที! พบมัลแวร์ใหม่บน Android แถมเข้าถึงการทำงานกล้องหน้า กล้องหลังขโมยข้อมูลสำคัญได้อ้างว่า คลาวด์เซ็ค (CloudSEK) บริษัทด้านความปลอดภัยไซเบอร์พบมัลแวร์ ดอจ แรท (Doge RAT)” อยู่ในระบบแอนดรอยด์ ซึ่งมีอันตรายเพราะมัลแวร์ดังกล่าวสามารถดำเนินการต่าง ๆ ได้ อาทิ เข้าถึงรายชื่อผู้ติดต่อในเครื่อง ทั้งข้อความ, การแจ้งเตือน และข้อมูลรับรองธนาคาร , ส่งสแปมข้อความในนามของผู้ใช้ไปหาคนอื่น , ชำระเงินโดยไม่ได้รับอนุญาต , แก้ไขไฟล์ , ดูบันทึกการโทร , ถ่ายภาพผ่านกล้องหลังและกล้องหน้าของอุปกรณ์ได้ , แอบบันทึกเสียงผ่านไมโครโฟน , สั่งให้เครื่องสั่น , แอบเก็บตำแหน่งอุปกรณ์ , แอบดูรายชื่อแอปที่ติดตั้งในเครื่อง , แอบส่งไฟล์หรือโฟลเดอร์จากเครื่องของเหยื่อ เป็นต้น

ข้อมูลซึ่งดรอยด์ซานส์ (Droidsans) อ้างถึงนั้น น่าจะมาจากบทความ “DogeRAT: The Android Malware Campaign Targeting Users Across Multiple Industries” ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 29 พ.ค. 2566 บนเว็บไซต์ cloudsek.com ทั้งนี้ คลาวด์เซ็ค (CloudSEK)  ก่อตั้งเมื่อปี 2558 เป็นบริษัทวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับใช้ตรวจจับและตอบโต้ภัยคุกคามทางไซเบอร์ มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองบังกาลอร์ รัฐกรณาฏกะ ประเทศอินเดีย 

 บทความดังกล่าวระบุว่า ขณะที่ทีมงาน TRIAD ของ คลาวด์เซ็ค กำลังสืบสวนกรณีมิจฉาชีพที่ส่ง SMS ไปหลอกลวงเหยื่อ ได้บังเอิญไปพบ โอเพนซอร์ส (Open-Source) หรือโปรแกรมที่เปิดให้ผู้สนใจนำไปพัฒนาต่อยอดได้ เป็นมัลแวร์ชื่อ DogeRAT ทำงานแบบ โทรจันควบคุมระยะไกล (Remote Access Trojan)” ซึ่งพอพูดถึงม้าโทรจันก็ชัดเจนว่าทำขึ้นเพื่อล้วงข้อมูลหรือเข้าไปยึดครองอุปกรณ์ ตามตำนานม้าไม้ที่ชาวกรีกสร้างขึ้นเพื่อแสร้งนำไปเป็นเครื่องบรรณาการต่อเมืองทรอย แต่ภายในซุกซ่อนทหารไว้ เมื่อม้าไม้ถูกนำเข้าไปในเมือง ตกดึกทหารกรีกก็ออกจากตัวม้ามาเปิดประตูเมืองให้ทหารหน่วยอื่นๆ ที่รออยู่ภายนอกยกทัพเข้าตีเมืองทรอยได้ในที่สุด

บทความของ คลาวด์เซ็ค ชี้ว่า เจ้ามัลแวร์ดอจแรท กำหนดเป้าหมายไปที่ฐานลูกค้าขนาดใหญ่ในหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะธุรกิจด้านการเงินการธนาคารและความบันเทิง ซึ่งแม้มัลแวร์นี้จะกำหนดเป้าหมายไปที่ผู้ใช้งานในอินเดีย แต่ก็มีจุดประสงค์เพื่อให้เข้าถึงได้ทั่วโลกเช่นกัน มัลแวร์ปลอมตัวเป็นแอปพลิเคชั่นที่ถูกต้องและเผยแพร่ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) และแอปพลิเคชันส่งข้อความ (Messaging) 

เมื่อติดตั้งแล้ว มัลแวร์สามารถขโมยข้อมูลที่ละเอียดอ่อนจากอุปกรณ์ของเหยื่อ เช่น รายชื่อผู้ติดต่อ ข้อความ และข้อมูลรับรองธนาคาร มัลแวร์ยังสามารถใช้เพื่อควบคุมอุปกรณ์ของเหยื่อและดำเนินการที่เป็นอันตราย เช่น ส่งข้อความสแปม ชำระเงินโดยไม่ได้รับอนุญาต แก้ไขไฟล์ ดูบันทึกการโทร และแม้กระทั่งถ่ายภาพผ่านกล้องด้านหน้าและด้านหลังของอุปกรณ์ที่ติดไวรัส

นอกจากนั้น ผู้พัฒนามัลแวร์ดอจแรท ยังเปิดผยว่ามีดอจแรทเวอร์ชันพรีเมียมซึ่งมีความสามารถเพิ่มเติมในการจับภาพหน้าจอ ขโมยรูปภาพจากแกลเลอรี ทำงานเป็นคีย์ล็อกเกอร์ (Keylogger – โปรแกรมดักจับการพิมพ์ข้อความ) ขโมยข้อมูลคลิปบอร์ด (Clipboard – ฟังก์ชั่นบันทึกข้อความที่ผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนคัดลอกไว้) และมีตัวจัดการไฟล์ใหม่พร้อมกับสามารถเชื่อมต่อระหว่างบอท (Bot-โปรแกรมคำสั่งอัตโนมัติ) กับอุปกรณ์ที่ติดไวรัสได้อย่างคงทนและสามารถสื่อสารกันอย่างราบรื่น” 

ในระหว่างการคัดแยกตามปกติ นักวิจัยของ คลาวด์เซ็ค พบรหัสแพ็คเกจที่เป็นอันตราย “willi.fiend” โดยบังเอิญ การสืบสวนเพิ่มเติมนำไปสู่การค้นพบแอปพลิเคชันปลอมมากกว่าพันรายการที่ออกแบบมาเพื่อกำหนดเป้าหมายแอปฯ ที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ในหลายภาคส่วน ตัวอย่างแอปพลิเคชั่นยอดนิยมที่ถูกมิจฉาชีพทำแอปฯ ปลอมเลียนแบบ ได้แก่ เว็บเบราว์เซอร์ (Web Browser-โปรแกรมท่องอินเตอร์เน็ต) อย่าง Opera Mini , แอปฯ รักษาความปลอดภัยไซเบอร์อย่าง Android VulnScan , ฟังก์ชั่นพิเศษของแพลตฟอร์มวีดีโออย่างยูทูบและเน็ตฟลิกซ์ อย่าง YOUTUBE PREMIUM และ Netflix Premium , แชทบอท AI อัจฉริยะที่เรียกเสียงฮือฮามากในยุคนี้อย่าง ChatGPT , แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ที่ถูกพัฒนาจากเว็บไซต์ให้เป็นแอปฯ อย่าง Facebook , โปรแกรมที่นักพัฒนานำแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์เดิมไปต่อยอด (MOD) อย่าง Instagram Pro 

บทความของทีม คลาวด์เซ็ค ทิ้งท้ายไว้ว่า แรงจูงใจทางการเงินที่ผลักดันให้มิจฉาชีพพัฒนากลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง พวกเขาไม่ได้จำกัดแค่การสร้างเว็บไซต์ฟิชชิ่ง (Phishing-เว็บไซต์ปลอมที่ถูกสร้างให้มีหน้าตาคล้ายกับเว็บไซต์จริงอย่างมากเพื่อหลอกลวงเหยื่อ เช่น เว็บไซต์ธนาคาร) เท่านั้น แต่ยังแจกจ่ายโปรแกรมที่ดัดแปลงแล้วหรือแอปพลิเคชั่นที่เป็นอันตราย ซึ่งมีวัตถุประสงค์ใหม่เพื่อดำเนินกลยุทธ์การหลอกลวงที่มีต้นทุนต่ำและตั้งค่าได้ง่าย แต่ให้ผลตอบแทนสูง จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องตระหนักถึงภัยคุกคามล่าสุดและดำเนินการเพื่อป้องกันตัวเอง ดังนี้

1.ระมัดระวังเกี่ยวกับลิงก์ (Link) และไฟล์แนบ (Attachment File) อย่าคลิกหรือเปิดหากได้รับลิงก์หรือไฟล์แนบจากแหล่งที่ไม่รู้จักหรือไม่น่าไว้วางใจ 

2.อัปเดตซอฟต์แวร์ให้ทันสมัยอยู่เสมอ การอัปเดตซอฟต์แวร์มักจะมีแพตช์ (Patch) ความปลอดภัยที่สามารถช่วยปกป้องอุปกรณ์จากมัลแวร์

3.ใช้โปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นรักษาความปลอดภัย โปรแกรมการรักษาความปลอดภัยที่ดีสามารถช่วยปกป้องอุปกรณ์ของคุณจากมัลแวร์และภัยคุกคามอื่นๆ ได้

4.ระวังสัญญาณของการหลอกลวง มิจฉาชีพมักใช้เทคนิคต่างๆ เช่น กดดันให้ทำทันที ใช้ความกลัวหรือความโลภเพื่อหลอกลวงเหยื่อ หากไม่แน่ใจเกี่ยวกับข้อความหรือข้อเสนอ ควรระมัดระวังโดยเฉพาะการไม่คลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์แนบ 

5.หาความรู้เกี่ยวกับมัลแวร์ ยิ่งรู้เกี่ยวกับมัลแวร์มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีความพร้อมมากขึ้นในการตรวจจับและป้องกันตัวเองจากมัลแวร์ มีแหล่งข้อมูลออนไลน์มากมายที่สามารถช่วยให้เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับมัลแวร์ 

สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ให้ความรู้เกี่ยวกับมัลแวร์ (Malware) ว่า เป็นคำที่ใช้เรียกโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ถูกพัฒนาขึ้นด้วยจุดประสงค์ร้าย (เช่น ไวรัส , โทรจัน) โดยมัลแวร์จะเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์สมาร์ทโฟนได้ผ่านกลยุทธ์หลอกล่อต่างๆ ที่มิจฉาชีพทำขึ้น เช่น ส่งไฟล์แนบหรือลิงก์มาให้เปิดหรือคลิก หรือหลอกให้ติดตั้งโปรแกรม ซึ่งเมื่อเผลอไปทำตามมัลแวร์ก็เข้ามาในอุปกรณ์ของเรา ไม่ต่างอะไรกับการเปิดประตูเมืองให้ทหารข้าศึกเข้ามาโจมตี

อนึ่ง ในการดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นสำหรับโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน หากเป็นระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์แนะนำให้ดาวน์โหลดจากเพลย์สโตร์ (Play Store) อันป็นแพลตฟอร์มกลางของ Google ซึ่งไว้วางใจเรื่องความปลอดภัยได้ในระดับหนึ่ง เพราะทาง Google จะคัดกรองแอปฯ ก่อนนำเข้ามาในาระบบ แต่หากเป็นแอปฯ ที่ไม่มีอยู่ใน Play Store (รวมถึงการดาวน์โหลดโปรแกรมคอมพิวเตอร์ กรณีเครื่อง PC หรือ Notebook) ควรดาวน์โหลดหรือสมัครใช้งานเฉพาะจากเว็บไซต์ทางการของผู้ให้บริการหรือผู้พัฒนาเท่านั้น เช่น Netflix Premium  เว็บไซต์ทางการของ Netflix คือ netflix.com หรือ Youtube Premium เว็บไซต์ทางการของ Youtube คือ youtube.com ขณะที่ ChatGPT เว็บไซต์ทางการคือ openai.com ซึ่ง OpenAI คือชื่อทีมนักพัฒนาแชทบอทดังกล่าว เป็นต้น!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://droidsans.com/new-android-malware-hijacks-your-front-and-rear-cameras/ (ลบทันที! พบมัลแวร์ใหม่บน Android แถมเข้าถึงการทำงานกล้องหน้า กล้องหลังขโมยข้อมูลสำคัญได้ : Droidsans 1 มิ.ย. 2566)

https://www.bankmycell.com/blog/how-many-android-users-are-there (The Rise of Android: Why is Android Successful? : Bankmycell)

https://www.cloudsek.com/blog/dogerat-the-android-malware-campaign-targeting-users-across-multiple-industries (DogeRAT: The Android Malware Campaign Targeting Users Across Multiple Industries : CloudSEK 29 พ.ค. 2566)

https://www.silpa-mag.com/history/article_66449 (ตำนานปฐมกษัตริย์ทรอยโกงค่าแรงสร้างกำแพงเมือง สู่ไอเดีย “ม้าโทรจัน” ในศึกคลาสสิก : ศิลปวัฒนธรรม 11 ก.ค. 2565)

https://www.etda.or.th/th/Useful-Resource/What-Is-Malware.aspx (มัลแวร์ คือ อะไร : สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์-ETDA : 16 ธ.ค. 2564)


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 10 มิถุนายน 2566

ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปที่เสียชีวิต ทายาทจะได้รับเงิน 30,000 บาท จากพม. …จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/37bmglwx5pogw


ใส่หน้ากากอนามัยซ้ำ ๆ มีโอกาสเสียชีวิตจากแบคทีเรียที่สะสมอยู่

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3dw7raeqxjeol


อท. มีการแถลงข่าวจับแก๊งมิจฉาชีพที่ส่ง sms เพื่อหลอกโอนเงินของชาวบ้าน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1fdplln9c5q5#_=_


ยืนยันตัวตนบนแอปฯ ThaID ก่อนจองทะเบียนรถออนไลน์

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/26k60owswj8qm


 พ.ร.บ. กยศ. ฉบับแก้ไข มีผลบังคับใช้แล้ว ลดเบี้ยปรับเหลือ 0.5% ไม่ต้องมีผู้ค้ำประกัน เปิดให้กู้ Reskill Upskill และเปลี่ยนลำดับการตัดชำระหนี้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/23k2xtithus86


 วิตามินซีป้องกันมะเร็งและการป้องกันหวัด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2pm6rti5s6svm#_=_


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 4 มิถุนายน 2566

เพจหมออดีตคณบดีศิริราช ให้ความรู้เกี่ยวกับการทำความสะอาดหลอดเลือดเองที่บ้าน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3uy6i9ye8dqsx


ไฟเซอร์สร้างโควิด-19 กลายพันธุ์ได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2hlnsh6w56gfn


บุหรี่ไฟฟ้า อันตรายไม่ต่างจากบุหรี่ธรรมดา

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/152f3kisxfkca


สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติฯ เปิดจุดฉีดวัคซีนโมเดอร์นา ไบวาเลนท์ เข็มกระตุ้น สำหรับเด็ก 12 ปีขึ้นไป ตั้งแต่ เม.ย. 2566 ณ คลินิกสุขภาพเด็กดี อาคารสยามฯ ชั้น 3

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3etj3uip2pz7u


เพจโรงแรมปลอมเกลื่อนโซเซียล

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/8263hjwsqrk0#_=_


 กฎหมายใหม่มีผลบังคับใช้แล้ว หากถูกมิจฉาชีพหลอกเงินโอนเงิน โทรแจ้งอายัดเงินทันที!

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1npbuibf1gakf#_=_


นั่งฟรี 1 เดือน รถไฟฟ้าสายสีเหลือง ลาดพร้าว – สำโรง  เริ่มวันแรก 3 มิ.ย. 66 นี้

อ่านต่อได้ที่

https://cofact.org/article/yc0onbwbmle6#_=_


‘False Base Station’ จากเครื่องมือสืบสวนอาชญากรรม สู่อุปกรณ์ก่อเหตุ‘SMSดูดเงิน’ของมิจฉาชีพ

By : Zhang Taehun

เมื่อเร็วๆ นี้ บทความเตือนภัยมิจฉาชีพส่ง SMS ตีเนียนเป็นธนาคารหลอกให้คลิก Link ของผู้เขียนเพิ่งได้รับการเผยแพร่ทางเว็บไซต์ cofact.org ซึ่งรวบรวมคำเตือนของผู้รู้ทั้ง อ.ปริญญา หอมเอนก กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กมช.) รวมถึง พล.อ.ต.อมร ชมเชย เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ว่าด้วยอุปกรณ์ “False Base Station (FBS)” ที่สามารถส่ง SMS ปลอมเป็นใครก็ได้เข้าเครื่องโทรศัพท์มือถือของผู้ที่เข้ามาอยู่ในรัศมีทำการ โดยไม่ต้องอาศัยผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ (เช่น AIS , DTAC , True) อีกทั้งเครื่องนี้สามารถติดตั้งในห้องพักหรือแม้แต่ในรถยนต์ มีขนาดไม่ใหญ่และง่ายต่อการเคลื่อนย้าย จึงยากต่อการเฝ้าระวัง

บทความที่แล้วผู้เขียนยังอ้างถึงรายงานข่าวในต่างประเทศ ซึ่งย้อนไปในปี 2557 ที่ประเทศจีนมีการกวาดล้างอุปกรณ์ FBS ครั้งใหญ่ เนื่องจากมีรายงานมิจฉาชีพนำเครื่องติดตั้งไว้ในรถแล้วขับตระเวนไปในสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน แล้วยิง SMS ปลอมเป็นธนาคารหรือหน่วยงานของรัฐ กระทั่งในที่สุด เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2566 ที่ผ่านมา ก็มีหลักฐานยืนยันได้ว่า อุปกรณ์ FBS ได้ถูกมิจฉาชีพนำมาใช้ในประเทศไทยแล้ว หลังมีการรายงานข่าวเรื่องนี้ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) จับกุมผู้ต้องหา 6 ราย พร้อมของกลางเป็นอุปกรณ์ FBS ที่ติดตั้งในรถยนต์ ขับตระเวนก่อเหตุในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล 

เว็บไซต์ firstpoint-mg.com ของ FirstPoint บริษัทซอฟท์แวร์รักษาความปลอดภัยสำหรับโทรศัพท์มือถือในอิสราเอล อธิบายการทำงานของ False Base Station ซึ่งยังมีอีกหลายชื่อเรียก เช่น Fake Base Station , IMSI catchers , Rogue Base Station , Stingray , Fake Cellular Tower ว่าเป็นการแทรกแซงการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ (โทรศัพท์มือถือ) กับเสาส่งสัญญาณ (เสาจริง) การโจมตีสามารถทำได้ภายใต้รัศมีทำงานของอุปกรณ์ และแฮ็กเกอร์สามารถรับข้อมูลที่ละเอียดอ่อนของอุปกรณ์ ติดตามตำแหน่งของโทรศัพท์มือถือ หรือโจมตีระบบ DoS ที่บล็อกหรือครอบงำการเชื่อมต่อสัญญาณทั้งหมดนี้สามารถทำได้โดยไม่มีการทิ้งร่องรอยใด ๆ

ฮาซีบ อาวาน (Haseeb Awan) ซีอีโอของ Efani บริษัทซอฟท์แวร์รักษาความปลอดภัยระบบโทรศัพท์มือถือ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในเมืองซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา เขียนบทความ “How to Protect Your Device from IMSI Catchers?” เผยแพร่เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2565 ระบุว่า ในอดีต อุปกรณ์ IMSI Catchers ใช้กันเฉพาะหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย เพื่อค้นหาข้อมูลระบุตัวตนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระหว่างประเทศ (IMSI) ที่เชื่อมโยงกับซิมการ์ดของผู้ต้องสงสัยในการสืบสวนคดีอาชญากรรม แต่ปัจจุบันอุปกรณ์ดังกล่าวสามารถหาซื้อได้อย่างแพร่หลาย กลายเป็นภัยที่ทุกคนต้องระวัง

IMSI Catcher ใช้การโจมตีแบบ ตัวกลาง (MITM)” พร้อมกัน ฝั่งหนึ่งทำงานด้วยการปลอมเป็นตัวเครื่องโทรศัพท์มือถือเพื่อแสดงกับเสาสัญญาณโทรศัพท์จริง ส่วนอีกฝั่งก็ปลอมเป็นเสาสัญญาณโทรศัพท์เพื่อแสดงกับตัวเครื่องโทรศัพท์มือถือจริงที่มีผู้ใช้งานกันทั่วไป อุปกรณ์สามารถระบุการรับส่งข้อมูล (traffic)บนเครือข่ายมือถือ และกำหนดเป้าหมายสำหรับการสกัดกั้นและการวิเคราะห์ โดยสามารถใช้งานได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับว่าผู้ผลิต IMSI Catchers จะให้ฟังก์ชั่นอะไรมาให้ใช้งานบ้าง ดังนี้

1.ติดตามตำแหน่งที่อยู่ (Location Tracking) IMSI Catchers สามารถบังคับเครื่องโทรศัพท์มือถือเป้าหมายให้ตอบสนองด้วยตำแหน่งเฉพาะโดยใช้ GPS หรือความเข้มของสัญญาณของเสาสัญญาณโทรศัพท์ที่อยู่ติดกัน ทำให้สามารถจำลองสัญญาณตามตำแหน่งที่รู้จักของเสาสัญญาณเหล่านี้ได้ ซึ่งผู้ใช้งานก็จะสามารถเฝ้าจับตาเพิ่มเติมในรายละเอียด เช่น จุดที่อยู่แน่นอนหากเป้าหมายอยู่ในอาคาร หรือสถานที่ที่เป้าหมายมักเดินทางไปบ่อยๆ เป็นการตีวงจำกัดพื้นที่ให้แคบลงในการติดตามพฤติกรรมของเป้าหมาย

2.แทรกแซงการเชื่อมต่อ (Data Interception) IMSI Catchers บางชนิดสามารถเปลี่ยนเส้นทางการโทรศัพท์และส่งข้อความ เปลี่ยนแปลงการสื่อสาร รวมถึงปลอมแปลงตัวตนในการโทรศัพท์และส่งข้อความ 

3.ส่งสปายแวร์ (Spyware Delivery) IMSI Catchers บางชนิดตั้งราคาขายไว้ค่อนข้างแพงเพราะอ้างว่าสามารถส่งสปายแวร์ (Spyware-โปรแกรมจารกรรมข้อมูล) ไปยังโทรศัพท์มือถือเป้าหมายได้ โดยสปายแวร์สามารถเชื่อมตำแหน่งของเป้าหมายโดยไม่ต้องใช้ตัวจับ IMSI และรวบรวมภาพและเสียงผ่านกล้องและไมโครโฟนของเครื่องโทรศัพท์มือถือของเป้าหมาย

4.ดักรับข้อมูล (Data extraction) IMSI Catchers ยังอาจรวบรวมข้อมูลอภิพันธุ์ (metadata) เช่น หมายเลขโทรศัพท์ที่ติดต่อ ระยะเวลาการโทร และเนื้อหาของการสนทนาทางโทรศัพท์และข้อความที่ไม่ได้เข้ารหัส ตลอดจนรูปแบบการใช้ข้อมูลบางรูปแบบ (เช่น เว็บไซต์ที่เยี่ยมชม)

“IMSI catchers ที่มีความสามารถขั้นสูงสามารถแทรกแซงข้อความและฟังการสนทนาทางโทรศัพท์ได้ นอกจากนี้ยังอาจดักรับ-ส่งข้อมูล เช่น หมายเลขโทรศัพท์ที่โทรออก หน้าเว็บที่เรียกดู และข้อมูลอื่นๆ IMSI catchers มักจะติดตั้งเทคโนโลยีการรบกวน (เพื่อทำให้โทรศัพท์ 3G และ 4G เชื่อมต่อด้วยความเร็ว 2G) และคุณสมบัติการปฏิเสธการให้บริการอื่นๆ IMSI catchers บางตัวอาจสามารถดึงข้อมูลต่างๆ เช่น รูปภาพและ SMS จากโทรศัพท์เป้าหมายได้ฮาซีบ อาวานกล่าว

ด้านเว็บไซต์ simoniot.com ของบริษัท Simon IoT ผู้ให้บริการเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตของทุกสรรพสิ่ง (Internet of Things) ที่มีสำนักงานใหญ่ในเมืองนิวยอร์กของสหรัฐฯ อธิบายความหมายของ IMSI ไว้ในบทความ “What Is an IMSI? /iˈmˈsē/” เมื่อวันที่ 21 พ.ค. 2564 ว่า IMSI (International Mobile Subscriber Identity) คือรหัสเลข 15 หลัก สำหรับซิมการ์ดของระบบโทรศัพท์มือถือ GSM แบ่งเป็น 3 ส่วน ดังนี้

1.รหัสประเทศ (Mobile Country Code : MCC) คือเลขชุด 2 ตัว หรือ 3 ตัวแรก ระบุประเทศของผู้ใช้งาน (เช่น รหัส MCC ของไทยคือ 520)

2.รหัสผู้ให้บริการ Mobile Network Code : MNC) คือเลขชุด 1-3 ตัวถัดไปจาก MCC ระบุเครือข่ายผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือที่เชื่อมโยงกับซิมการ์ด (เช่น ในประเทศไทยคือ AIS , DTAC , True)

3.หมายเลขประจำตัวของผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือ (Mobile Subscription Identification Number) คือเลขชุด 9 หรือ 10 ตัวสุดท้ายของ IMSI โดยเป็นชุดตัวเลขที่ไม่ซ้ำกันเพื่อระบุผู้ใช้ซิมการ์ด

หมายเหตุ : ผู้สนใจสามารถดูเลข MCC ของแต่ละประเทศ และเลข MNC ของผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือได้ที่เว็บไซต์ mcc-mnc.com หรือเว็บไซต์ mcc-mnc-list.com/list

ทั้งนี้ต้องบอกว่า การป้องกันภัยจาก IMSI Catchers หรือ False Base Station ไม่ใช่เรื่องง่าย บุคคลทั่วไปไม่มีทางรู้เว้นแต่จะติดตั้งซอฟท์แวร์ตรวจจับในเครื่องโทรศัพท์มือถือ (ซึ่งในต่างประเทศมีจำหน่ายหลายยี่ห้อ แต่ความคุ้มค่าในการลงทุนน่าจะเหมาะกับบุคคลระดับ VIP หรือองค์กรที่ต้องรักษาข้อมูลสำคัญจำนวนมากและเป็นข้อมูลที่มีมูลค่าสูงเสียมากกว่า) สำหรับบุคคลทั่วไป ในเบื้องต้นหากเป็น SMS แนบ Link อ้างว่ามาจากธนาคาร ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าปลอมแน่ๆ ลบทิ้งได้เลยไม่ต้องกดเข้าไป เพราะธนาคารเกือบทุกเจ้าที่ให้บริการในไทยได้ยกเลิกการส่ง SMS ลักษณะนี้แล้ว ตามนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อป้องกันมิจฉาชีพสวมรอยส่วนหากเป็นหน่วยงานอื่นๆ ส่งมาแล้วไม่มั่นใจ ขอให้ท่านหาหมายเลขโทรศัพท์ที่ถูกต้องของหน่วยงานนั้นๆ แล้วโทรไปสอบถามก่อนจะดีที่สุด!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

ขอบคุณและรับชมคลิปประกอบเรื่องจาก รายการข่าวสามมิติ

อ้างอิง

 https://blog.cofact.org/special-report0566/ (‘SMSปลอม’ ตีเนียนแทรกซึมในชื่อธนาคารจริง มิจฉาชีพทำได้อย่างไร? : Cofact 22 พ.ค. 2566)

https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_3996985 (ทลายรังโจรสวมรอย ‘ไอโมบาย แบงกิ้ง’ ส่ง SMS ลิงก์ปลอมแบงก์-สรรพากร-ไฟฟ้า หลอกดูดเงินเหยื่อ : มติชน 25 พ.ค. 2566)

https://www.firstpoint-mg.com/imsi-catcher-protection/ (FirstPoint IMSI Catcher Detector & Protector Military-grade, patented protection against rogue base stations Ensure Nothing is Standing Between Cellular Devices and Secure Communications : FirstPoint)

https://www.efani.com/blog/how-to-protect-your-device-from-imsi-catchers (How to Protect Your Device from IMSI Catchers? : Efani 30 มี.ค. 2565)

https://www.simoniot.com/what-is-an-imsi/ (What Is an IMSI? /iˈmˈsē/ : Simon IoT 21 พ.ค. 2564)

https://mcc-mnc-list.com/list

https://mcc-mnc.com/


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 28 พฤษภาคม 2566

ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มมะรุมดงหลวง ช่วยลดน้ำหนัก ลดความดัน ลดคอเลสเตอรอล ลดพุง ลดเบาหวาน ล้างไขมันอุดตัน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3977f94pc7egl


กฟน. SMS แจ้งจดตัวเลขมิเตอร์ผิด ให้กดลิงก์เพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1327e3qbtiep


บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย ส่งข้อความ เพิ่มเพื่อนในแอพพลิเคชั่นไลน์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/272qhjhtw7qjp


 พิธา ทำสัญลักษณ์สมาคมลับอิลลูมินาติผู้กุมอำนาจสูงสุด อยู่เบื้องหลังการเมืองการปกครอง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/15zscv16im9pw


PEA เตือนประชาชน อย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพ ปลอมบัญชี LINE Official Account ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA)

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/19p98ziw42cib#_=_


ติดกล้องหน้ารถ ลดเบี้ยประกันได้ถึง 10%

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3n7jpb0tkqhm7


อาหาร 4 กลุ่ม สาเหตุก่อมะเร็ง และ ไทยเป็นมะเร็งเบอร์ 1 ของเอเชีย

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/lf0x5ncjqxlg#_=_


7 กลยุทธ์ข่าวลวง: รูปแบบการบิดเบือนข้อมูลที่พบบ่อย

  1. เสียดสีล้อเลียน
    เป็นเนื้อหาที่ไม่ตั้งใจก่อให้เกิดความเสียหายแค่ต้องการล้อเลียนเท่านั้น
  2. โยงผิดฝาผิดตัว
    หมายถึงหัวข้อข่าว รูปภาพหรือคำบรรยายรูปที่นำเสนอเนื้อหาเกินจริง (เช่น เว็บไซต์ Clickbait หลอกให้คลิ๊กเข้าไปอ่าน)
  3. เนื้อหาชวนให้เข้าใจผิด
    คือการให้ข้อมูลที่ทำให้คนเข้าใจประเด็นหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องผิดไปจากความจริง
  4. นำเสนอผิดที่ผิดทาง
    คือการนำเนื้อหาจริงมานำเสนอในสถานที่อื่นหรือบริบทอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกัน
  5. เนื้อหาที่มโนขึ้นเอง
    คือเนื้อหาที่ผู้ผลิตทึกทักเอาเองว่ามาจากแหล่งข้อมูลจริง
  6. เนื้อหาที่บิดเบือนเพื่อยุยงปลุกปั่น
    คือข้อมูลหรือภาพถ่ายจริงที่นำเสนออย่างบิดเบือนหรือตัดต่อเพื่อจงใจหลอกให้เชื่อ
  7. เนื้อหาที่ปลอมแปลง
    คือข้อมูลเท็จทั้งหมดที่ผลิตขึ้นมาเพื่อหลอกลวงและตั้งใจก่อให้เกิดความเสียหาย