สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 2 กันยายน 2566

มีใบสั่งมาที่บ้าน หากยังไม่ได้จ่ายตั้งแต่ เม.ย. 66 เป็นต้นไป ถ้าไปต่อภาษีจะมีค่าปรับตามใบสั่ง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/39fo68zon2tcq#_=_


น้ำอัดลมใส่เกลือช่วยแก้อาการขาดน้ำจากภาวะท้องเสีย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/18byht6ybkd3y


สารหนูในเห็ดหอมแห้ง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/uykknsw3nzx6#_=_


 มิจฉาชีพสวมรอย ปลอมเป็นเพจกรมประชาสัมพันธ์ โพสต์ข่าวปลอมปล่อยเงินกู้ อย่าหลงเชื่อ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1vtst0gyb4cfi


มีการจัดตั้งศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ระดับจังหวัด

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1oxc1wif8wyp3


“มาเลเซีย-อินโดนีเซีย-ไทย” ลงนามหนุนใช้ “เงินท้องถิ่น” ทำธุรกรรมร่วม

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2zgzxogg7tdr6#_=_


กรมการขนส่งทางราง พร้อมนำเสนอการจัดทำใบอนุญาตพนักงานขับรถไฟและการตรวจสภาพขบวนรถไฟ เสนอรัฐบาลชุดใหม่บังคับใช้ควบคุมความปลอภัยภายใต้พระราชบัญญัติการขนส่งทางรางฯ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2lznydbhcrymt#_=_


เว็บตรวจสอบใครตำรวจจริง-ปลอม มีจริง ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3s9nqdcdhkzl5#_=_


ตร.เตือนภัยมิจฉาชีพปลอมเว็บไซต์รับแจ้งความออนไลน์ลวงว่าสามารถนำเงินกลับคืนมาได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/201foyti6moai#_=_


รมว.ดิจิทัลฯ จ่อยื่นศาลสั่งปิด “เฟซบุ๊ก” ชี้รับเงินโฆษณามิจฉาชีพร่วมหลอกชาวบ้าน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2qibe02p1nxhh


เปิดข้อมูลการคุกคามนักการเมืองหญิงบนโลกออนไลน์: กรณีศึกษา “รักชนก ศรีนอก”

ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2566 เรามีนักการเมืองหญิงที่ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เพิ่มขึ้น ทำให้สัดส่วน ส.ส.หญิงในสภาผู้แทนฯ ของไทยเพิ่มจาก 16.20% เป็น 19.80% โดย 1 ใน 3 ของ ส.ส. กรุงเทพมหานครเป็นผู้หญิง หรือเพิ่มขึ้น 2 เท่าจากการเลือกตั้งในปี 2562

อย่างไรก็ตาม สัดส่วนของ ส.ส. หญิงในสภาผู้แทนฯ ไทยก็ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 26.80% จากการรายงานขององค์การสตรีสากลแห่งสหประชาชาติ (UN Women)  

คำถามก็คือ อะไรทำให้จำนวนนักการเมืองหญิงของประเทศไทยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก และเมื่อพวกเธอก้าวเข้าสู่สนามการเมือง เส้นทางนี้เอื้อให้เธอทำงานได้อย่างเต็มที่มากน้อยแค่ไหน ซึ่งเป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยในกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการระหว่างวันที่ 23-27 พ.ค. 2566 ที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้ที่ให้ผู้แทนจากประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคอาเซียนมาแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับการสืบค้นข้อมูลและข่าวลวง

สิ่งหนึ่งที่นักการเมืองไม่ว่าเพศไหนมักจะต้องประสบพบเจอ คือการถูกสาดโคลนและบิดเบือนข้อมูล ไม่ว่าเป็นเนื้อหาในเชิงเสียดสีล้อเลียน (parody) เชื่อมโยงผิดฝาผิดตัว (false connection) สร้างความเข้าใจผิด (misleading content) สวมรอยตัวตน (imposter content) เรื่องที่กุขึ้นมาเพื่อสร้างความเสียหาย (fabricated content) ไปจนถึงเนื้อหาที่ถูกตัดต่อปลอมแปลงเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดหรือยุยงปลุกปั่น (manipulated content)

ทีม Thailand Hackathon ซึ่งประกอบด้วยนักกิจกรรมที่ทำงานด้านสิทธิเสรีภาพและการตรวจสอบข่าวลวง 4 คน ได้แก่ ดนตรี ณัฐพงศ์, เปมทัต จันทร์หอม, สายใจ เลี้ยงพันธุ์สกุล และพริม มณีโชติ ได้รวบรวมเนื้อหาออนไลน์ที่เป็นการคุกคามและเผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับนักการเมืองหญิงที่เลือกมาเป็นกรณีศึกษา คือ น.ส.รักชนก ศรีนอก ส.ส. กรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล  

ทีมงานได้เลือกแฮชแท็กที่เกี่ยวข้องมาจำนวนหนึ่ง เช่น #อีไอซ์ #นานาไอซ์โดนทำร้าย #ไอซ์รักชนก จากนั้นจึงรวบรวมข้อความที่ติดแฮชแท็กดังกล่าวที่โพสต์และแชร์ในเฟซบุ๊กจำนวน 3,397 ข้อความ และข้อความในทวิตเตอร์ 6,322 ข้อความ รวมทั้งหมด 9,719 ข้อความ ในช่วงเวลา 6 เดือน ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2565-พฤษภาคม 2566 เพื่อศึกษาใน 2 ประเด็น คือ  

  • ข้อความที่คุกคามและสร้างความเสียหายเหล่านี้เป็นการกระทำของบุคคลแบบปัจเจก (individual) หรือเป็นปฏิบัติการด้านข้อมูลข่าวสารที่ทำอย่างเป็นระบบเพื่อโจมตีบุคคลใดบุคคลหนึ่ง (information operation)
  • นักการเมืองหญิงพบเจอกับการคุกคามและโจมตีทางออนไลน์ในรูปแบบใดบ้าง

จากการวิเคราะห์ข้อความที่รวบรวมมา เราพบว่าเนื้อหาทางออนไลน์ที่ใช้โจมตีนักการเมืองหญิง (ส.ส.รักชนก) มี 4 ลักษณะ คือ

  1. ลดทอนคุณค่า (devalued) เช่น การวิจารณ์รูปร่างหน้าตาและการแต่งตัวของ น.ส.รักชนก แทนที่จะพูดถึงสิ่งที่เธอต้องการสื่อสาร การเปรียบเทียบว่านักการเมืองหญิงไม่มีศักยภาพในการทำงานเท่ากับนักการเมืองเพศชาย การใส่คำนำหน้าในเชิงลดทอนคุณค่า เช่น “อี” เป็นต้น โดยเนื้อหาประเภทนี้มีมากถึง 56% ของข้อความที่รวบรวมมา
  2. ลดทอนความน่าเชื่อถือ (discredit) ด้วยการตัดต่อข้อความเพียงบางส่วนเพื่อสร้างความเข้าใจผิด คิดเป็น 20% ของข้อความทั้งหมด
  3. คุกคามทางเพศ (sexual harassment) เช่น นำภาพบุคคลอื่นมาสร้างความเข้าใจผิดว่าเป็นภาพของ น.ส.รักชนก คิดเป็น 12% ของข้อความทั้งหมด
  4. สแปม (spam) เช่น แนบภาพไปกับการขายสินค้าที่ไม่เกี่ยวข้อง คิดเป็น 8% ของข้อความทั้งหมด
  5. การข่มขู่คุกคาม (threat) เช่น ชี้เป้าว่าเป็นบุคคลที่ไม่จงรักภักดี ให้พรรคพวกพิจารณาเองว่าจะจัดการอย่างไร คิดเป็น 4% ของข้อความทั้งหมด

เนื่องจากชุดข้อมูลและข้อสังเกตนี้จะได้มาจากการเก็บตัวอย่างเนื้อหาออนไลน์ที่โจมตีนักการเมืองหญิงเพียงหนึ่งคน ในช่วงเวลาไม่กี่เดือน จึงไม่สามารถที่จะอธิบายปรากฏการณ์ทั้งหมดที่นักการเมืองหญิงคนอื่น ๆ ต้องเจอได้ แต่ในจังหวะที่ประเทศไทยยังคงมีจำนวนนักการเมืองหญิงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก สื่อมวลชนรวมถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้งยังคงให้ความสนใจกับเรื่องรูปร่างหน้าตาและการแต่งตัวของนักการเมืองหญิงมากกว่าสิ่งที่พวกเธอสื่อสารหรืออภิปรายในสภา ดังนั้นการตระหนักรู้ว่าอคติในใจเรานั้นเกิดจากการไม่ชอบท่าทีของนักการเมืองคนหนึ่ง อาจเป็นเพราะสิ่งที่เธอแสดงออก หรือเป็นเพราะเพศของเธอ จึงเป็นเรื่องสำคัญ

และอย่าลืมว่า เนื้อหาออนไลน์ที่เรารวบรวมมาในการศึกษาครั้งนี้ เป็นการโจมตี นักการเมืองหญิงเพียง 1 คน ในช่วงเวลาเพียง 6 เดือน หากรวมข้อความทั้งหมดที่คุกคาม โจมตี ใส่ร้ายป้ายสี ลดทอนคุณค่านักการเมืองหญิง รวมถึงผู้หญิงจำนวนมากในโลกออนไลน์ ย่อมมีปริมาณมหาศาลและมีผู้ที่ได้รับผลกระทบจำนวนมากอย่างแน่นอน

เรื่องแนะนำ

เปิดเบื้องหลัง STALKER สัมพันธ์ลึกแต่ไม่ลับกับ TOP NEWS

คนที่ติดตามข่าวสารผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียน่าจะเคยเห็นวิดีโอของ “STALKER” ผู้ผลิตคอนเทนต์ที่นำเสนอประเด็นการเมืองในรูปแบบวิดีโอสั้น และมักนำความเห็นของอินฟลูเอนเซอร์และคลิปวิจารณ์การเมืองของผู้ใช้โซเชียลมีเดีย (user-generated content) มาเผยแพร่ต่อในลักษณะหวือหวา เร้าอารมณ์ ทั้งทางเฟซบุ๊ก ยูทูป ทวิตเตอร์และติ๊กต็อก

STALKER เป็นหนึ่งในแบรนด์ย่อยของท็อปนิวส์ วิดีโอทั้งหมดของ STALKER ถูกรวบรวมและเผยแพร่อยู่ใน playlist ของ เฟซบุ๊ก TOP News Online ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 5 แสนราย และยูทูปช่อง TOP NEWS LIVE ที่มีผู้ติดตามเกือบ 1 ล้านราย วิดีโอชิ้นแรกเผยแพร่ทางยูทูปของช่องท็อปนิวส์เมื่อเดือนมกราคม 2566 ปัจจุบันมีวิดีโอที่เผยแพร่แล้วเกือบ 3,000 ชิ้น ยอดการรับชมส่วนใหญ่อยู่ในหลักหมื่นไปจนถึงหลักแสน วิดีโอที่มียอดวิวสูงสุดคือ “ ‘แอ๊ด คาราบาว’ ดีดกีตาร์โชว์ร้องเพลง ‘ก้าวไกล-เพื่อไทย’ จัดตั้งรัฐบาล” เผยแพร่เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2566 มีผู้เข้าชมแล้วกว่า 1 ล้านครั้ง       

แนวเนื้อหาวิดีโอของ STALKER ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นไปในแนวทางเดียวกับท็อปนิวส์ กล่าวคือเชิดชูสถาบันกษัตริย์-สนับสนุนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา-วิจารณ์พรรคก้าวไกล เพื่อไทย และคนรุ่นใหม่ที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย

STALKER ในแพลตฟอร์ม TikTok

ในช่วงเวลาที่การเมืองร้อนแรง โซเชียลมีเดียเต็มไปด้วยเนื้อหาทางการเมือง ผู้ผลิตคอนเทนต์หน้าใหม่ปรากฏตัวขึ้นทุกวัน การได้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ผลิตเนื้อหาอาจช่วยประเมินความน่าเชื่อถือและมองเห็นเจตนาในการเผยแพร่เนื้อหานั้น เหมือนการได้อ่านฉลากสินค้าที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ผลิตและที่มาของวัตถุดิบ

ต่อไปนี้คือข้อมูลเกี่ยวกับ STALKER จากการเปิดเผยของนายฉัตรชัย ภู่โคกหวาย กรรมการผู้จัดการและหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ บริษัท ท็อปนิวส์ ดิจิตัล มีเดีย จำกัด ซึ่งให้สัมภาษณ์โคแฟคช่วงกลางเดือนสิงหาคม 2566  

STALKER เป็น “แบรนด์ย่อย” ของท็อปนิวส์  

STALKER เกิดจากแนวคิดในการผลิตคอนเทนต์เพื่อตอบสนองกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ (segment) ที่ติดตามประเด็นการเมืองในโลกออนไลน์ ซึ่งมีพฤติกรรมการเสพรับข่าวสารที่แตกต่างจากผู้ชมโทรทัศน์ ท็อปนิวส์เริ่มผลิตและเผยแพร่เนื้อหาโดยใช้แบรนด์ STALKER มาได้ประมาณ 7 เดือน ในช่วงแรกอาศัยการเผยแพร่ผ่านช่องทางหลักของท็อปนิวส์ ทั้งเฟซบุ๊กและยูทูปซึ่งมีฐานผู้ชมจำนวนมาก เปรียบเหมือนบ่อที่มีปลาอยู่แล้ว ในระหว่างที่สร้างบ่อใหม่ รอปลาใหม่ ก็เอา STALKER ไปฝากไว้เพื่อให้คนรู้จัก เมื่อ STALKER ได้รับการจดจำ มีกลุ่มผู้ชมของตัวเองแล้ว ก็จะแยกช่องทางการเผยแพร่ที่เป็นอิสระจากท็อปนิวส์ และในระยะยาว ท็อปนิวส์ตั้งใจจะให้ STALKER แยกเป็นหน่วยธุรกิจผลิตคอนเทนต์ที่สร้างรายได้ด้วยตัวเอง

เลือกประเด็นจากสถิติและเทรนด์

สถิติความสนใจของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่ดูได้จากเครื่องมือต่างๆ เช่น กูเกิลเทรนด์และทวิตเตอร์เทรนด์ เป็นตัวกำหนดประเด็นที่ STALKER จะนำเสนอ โดยเลือกแง่มุมและเนื้อหาที่แตกต่างจากทีวี เช่น นำคลิปของผู้ใช้ติ๊กต็อกที่พูดถึงประเด็นที่กำลังได้รับความสนใจในขณะนั้นมาตัดต่อใหม่ (re-edit) STALKER มีกองบรรณาธิการที่แยกจากท็อปนิวส์ มีบรรณาธิการข่าวและทีมผลิต-ตัดต่อของตัวเอง ซึ่งเป็นทีมคนรุ่นใหม่ที่เข้าใจพฤติกรรมและความสนใจของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต

ฉัตรชัย ภู่โคกหวาย กรรมการผู้จัดการและหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่
บริษัท ท็อปนิวส์ ดิจิตัล มีเดีย จำกัด

มั่นใจไม่เผยแพร่ข่าวลวง

เนื้อหาที่ STALKER นำเสนอล้วนผ่านการคัดกรองมาแล้วว่าไม่เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง เวลานำความเห็นของบุคคลคนอื่นมาเผยแพร่ต่อก็จะดูว่าไม่สุ่มเสี่ยงหรือหมิ่นเหม่ที่จะถูกฟ้องร้อง มีการตรวจสอบย้อนกลับไปที่ต้นทาง หากเปรียบโลกออนไลน์เป็นสนามยิงปืน ท็อปนิวส์ก็เหมือนเป็นเป้า เราพร้อมที่จะถูกยิงและถูกเอาไปขยายผล เอาศพไปแขวนประจานอยู่แล้ว ดังนั้น นับตั้งแต่เปิดตัวมาจะครบ 3 ปี ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 นี้ ท็อปนิวส์จึงระมัดระวังเรื่องเนื้อหามากที่สุด แต่หากมีการทักท้วงเรื่องข้อมูลที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน ทีมงานก็พร้อมจะตรวจสอบและแก้ไข ยังไม่ถูกฟ้องร้องเรื่องเนื้อหาที่นำเสนอ 

ยอดการรับชมสูง-รายได้ดี   

STALKER เป็นโปรเจกต์หนึ่งของท็อปนิวส์ที่ให้ทีมงานคนรุ่นใหม่ทดลองผลิตเนื้อหา โดยมีผู้บริหารและบรรณาธิการอาวุโสของท็อปนิวส์คอยดูภาพรวม ผ่านไป 7 เดือนปรากฏว่าได้รับความนิยมและสร้างรายได้ในระดับที่น่าพอใจ โดยทั่วไปทีมผลิตเนื้อหาออนไลน์แต่ละทีมของท็อปนิวส์ รวมทั้งทีม STALKER มีค่าใช้จ่ายประมาณ 3-4 แสนบาทต่อเดือน แต่ STALKER ทำรายได้ประมาณ 1 ล้านบาทเศษ ซึ่งทางผู้บริหารมีนโยบายว่าถ้าทีมผลิตคอนเทนต์ทำรายได้มาก พนักงานก็จะได้ค่าตอบแทนพิเศษเหมือนเป็นค่า commission เพื่อเป็นกำลังใจในการผลิตคอนเทนต์ที่มีคุณภาพและได้รับความนิยมมากขึ้น

แพลตฟอร์มออนไลน์ของท็อปนิวส์ทำรายได้มากขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันราว 40% ของรายได้ของท็อปนิวส์มาจากยูทูป โดยคอนเทนต์ของแบรนด์ย่อยอย่าง STALKER, Insight Hot Social และ TOP DARA สร้างรายได้จนเกือบเท่ารายได้จากทีวี ทั้งที่ต้นทุนการผลิตต่ำกว่ามาก ขณะนี้รายได้จากช่องทางออนไลน์ของท็อปนิวส์อยู่ที่ประมาณเดือนละ 6-7 ล้านบาท ซึ่งท็อปนิวส์มีแผนจะผลิตเนื้อหาออนไลน์ให้มากขึ้นอีก เพื่อทำรายได้ให้ถึงเดือนละ 10 ล้านบาท ภายในสิ้นปี 2566 ตามที่ตั้งเป้าไว้

เรื่องแนะนำ

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 26 สิงหาคม 2566

เป็นตะคริวขา/น่องกลางดึกบ่อย เป็นสัญญาณโรคไตวาย เบาหวาน หัวใจและหลอดเลือด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/28jzadofyfpo1


หากทานแคลเซียมจะเสี่ยงหลอดเลือดหัวใจ หรือเกิดหินปูนเกาะหัวใจ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/pd0awveam4ww


กินเม็ดลิ้นจี่แทนการล้างไตได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/23th1zj9aj4nj


 กสพท. ปรับเกณฑ์ใหม่ นักเรียนทุกสายสามารถสอบแพทย์ได้

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2o6oak07s7d01


ใบสั่งจราจรปลอมระบาด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/px8lzzxw8e64


ห้ามดื่มกาแฟ ก่อนหรือหลังรับประทานอาหารเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ไม่เช่นนั้นกาแฟจะออกฤทธิ์ทำลายสารอาหารที่มีประโยชน์นั้นหมดเลย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/alay1rk888mk


คลิปกระบวยใส่น้ำแข็งแช่น้ำซุปชาบูจนเกิดไขมันเป็นก้อนแข็งเกาะอยู่ ไม่ได้ไปเป็นก้อนแข็งอยู่ในกระเพาะในลำไส้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/18yn55xlxb1jn


ใบสั่งจราจรปลอมระบาด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/px8lzzxw8e64


 ห้ามดื่มกาแฟ ก่อนหรือหลังรับประทานอาหารเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ไม่เช่นนั้นกาแฟจะออกฤทธิ์ทำลายสารอาหารที่มีประโยชน์นั้นหมดเลย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/alay1rk888mk


‘แอปพลิเคชั่นปลอม’ หากหลงกลมิจฉาชีพติดตั้ง..เงินเก็บทั้งชีวิตอาจหายเกลี้ยงได้ในชั่วพริบตา Cofact Report 13/66

By : Zhang Taehun

มิจฉาชีพออนไลน์ ยังคงเป็น ภัยร้าย ของพลเมืองยุคดิจิทัล และมีการปรับกลยุทธ์เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถ ฉกทรัพย์สิน ของเหยื่อได้อย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้จะเห็นข่าว แก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรศัพท์ไปพูดจาหว่านล้อมให้ปลายสาย ใช้วาทศิลป์ทั้งขู่ทั้งปลอบโดยหวังให้หลงเชื่อแล้วโอนเงิน จนภายหลังเมื่อมีการเตือนและผู้คนเริ่มรู้เท่าทันมากขึ้นเรื่อย ๆ มิจฉาชีพหลอกไม่สำเร็จแถมบางครั้งยังกลายเป็นตัวตลกถูกนำมาล้อเลียนอีกต่างหาก

เหล่าร้ายทั้งหลายจึงหันมาใช้ แอปพลิเคชั่นดูดเงิน เราจะเห็นข่าวในระยะหลังๆ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้หันไปแนะนำให้เหยื่อดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นซึ่งถูกออกแบบมาให้มีหน้าตาภายนอกคล้ายกับแอปฯ จริง ซึ่งหากใครหลงเชื่อดาวน์โหลดมาติดตั้งในโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน ก็เตรียมตัวถูก ล้วงข้อมูลส่วนบุคคล (แน่นอนว่ารวมถึงข้อมูลที่ต้องใช้ในการทำธุรกรรมทางการเงินด้วย) ไปจนถึง เข้าควบคุมการใช้งานอุปกรณ์ แล้วเงินเก็บทั้งชีวิตในบัญชีของเหยื่อก็จะถูกมิจฉาชีพโอนออกอย่างรวดเร็วเข้า บัญชีม้า เป็นทอดๆ จนไปถึงปลายทางที่ส่วนใหญ่อยู่ในต่างประเทศ

ดังเรื่องราวที่เป็นอุทาหรณ์ครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นกับผู้ประกาศข่าวสาวคนดัง ซึ่งเมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2566 ได้เข้าแจ้งความที่ สน.ภาษีเจริญ กรุงเทพฯ ว่า มีบุคคลโทรศัพท์มาอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ของ กรมที่ดิน บอกให้ปรับปรุงข้อมูลที่ดินเพื่อประกอบกับการเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยให้แอดบัญชีแอปพลิเคชั่นไลน์ (Line) ซึ่งก็ ทำเนียน เหมือนกับบัญชีไลน์ทางการ (Line Official Account) ของกรมที่ดินอีกต่างหาก จึงแอดเข้าไปสอบถาม และได้รับคำแนะนำให้ติดตั้งแอปพลิเคชั่น และให้ใส่ข้อมูลส่วนบุคคลในแอปฯ ดังกล่าว อ้างว่าเป็นการปรับปรุงข้อมูล จนท้ายที่สุดกว่าจะรู้ตัว เงินในบัญชีก็หายไปแล้วประมาณ 1 ล้านบาท

ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ยังมีรายงานข่าวจาก สถานีตำรวจภูธรบางบัวทอง จ.นนทบุรี ว่า ในวันที่ 8 ส.ค. 2566 มีพระสงฆ์ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่งในพื้นที่ เดินทางมาแจ้งความเรื่องถูกมิจฉาชีพอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน โดยพระรูปนี้เล่าว่า เมื่อวันที่ 27 ก.ค. 2566 มิจฉาชีพได้อ้างเรื่องการปรับปรุงข้อมูลโฉนดที่ดิน และขอให้ทำรายการผ่านแอปพลิเคชั่นชื่อ แลนด์สมาร์ท (Land Smart) เมื่อหลงเชื่อดาวน์โหลดมาแล้วทำตามที่มิจฉาชีพบอก ซึ่งรวมถึงการ สแกนใบหน้า ครู่ต่อมาก็มีข้อความเตือนมาในโทรศัพท์มือถือ ว่าเงินถูกโอนออกไปจากบัญชีธนาคารมากกว่า 1 แสนบาท โดยเหตุที่ตัดสินใจดาวน์โหลด เพราะแอปฯ ดังกล่าวมีตราสัญลักษณ์ของกรมที่ดินและกำลังจัดการเรื่องโอนที่ดินของวัดที่ยังไม่เสร็จสิ้น

จากเรื่องราวข้างต้น ผู้เขียนจึงลองค้นหาข่าวเก่าๆ เกี่ยวกับช่องทางการติดต่อสื่อสารทางออนไลน์ พบว่า สำหรับช่องทางไลน์ กรมที่ดินเคยมีการเปิดตัวบัญชีไลน์ทางการ (Line Official Account) ชื่อ @teedin เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 2563 อันเป็นการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน ไม่ต้องมาแออัดใกล้ชิดในสำนักงานที่ดินเพื่อป้องกันการระบาดของโรค

รูปที่ 1 : โครงการ “BOKDIN” ของกรมที่ดิน และบัญชีไลน์ @bokdin

นอกจากนั้นยังมีไอดีไลน์ @bokdin ซึ่งเปิดตัวเมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2563 ตามข้อมูลจากเพจเฟซบุ๊ก กระทรวงมหาดไทย PR”  ของกระทรวงมหาดไทย อันเป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลกรมที่ดิน ณ วันที่ 14 ก.พ. 2563 ระบุว่า เป็นโครงการ “BOKDIN” Project on Survey of Land Information to Accommodate Governments สำรวจข้อมูลที่ดินสำหรับประชาชนที่มีที่ดิน แต่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ หรือมี สค 1, นส 3, นส.3ก และต้องการให้ภาครัฐเข้าไปบริหารจัดการที่ดินให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยเปิดให้ประชาชนแจ้งตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. – 30 มิ.ย. 2563 และจะแจ้งกลับระหว่างวันที่ 1 มี.ค. – 31 ก.ค. 2563

โครงการ BOKDIN หรือ “บอกดิน” ยังมีการดำเนินการในระยะที่ 2 ระหว่างวันที่ 5 มี.ค.-30 มิ.ย. 2564 แต่ครั้งนี้กรมที่ดินเปลี่ยนจากการแจ้งผ่านไลน์ @bokdin มาเป็นผ่านแอปพลิเคชั่น “SmartLands” ซึ่งทางกรมที่ดินได้เปิดตัวแอปฯ ดังกล่าวเมื่อเดือน พ.ย. 2563 ในเบื้องต้นมีบริการ 15 ด้าน และต่อมาได้เพิ่มเป็น 17 ด้าน กระทั่งล่าสุดเมื่อเดือน มิ.ย. 2566 มีรายงานว่าเพิ่มเป็น 18 ด้าน ซึ่งรวมถึงโครงการบอกดิน ระบบให้บริการค้นหาตำแหน่งรูปแปลงที่ดินด้วยระบบภูมิสารสนเทศทางอินเตอร์เน็ต (LandsMaps) ขณะเดียวกันก็ยังคงใช้บัญชีไลน์ทางการ @teedin เป็นอีกช่องทางสื่อสาร (หมายเหตุ : ในวันที่ 12 ส.ค. 2566 ผู้เขียนลองแอดไลน์ @bokdin พบว่าไม่มีบัญชีดังกล่าวแล้ว)

รูปที่ 2 : แอปพลิเคชั่น “SmartLands” รวมบริการต่างๆ ของกรมที่ดิน

ดังนั้นโดยสรุปแล้วในกรณีของกรมที่ดิน ปัจจุบันแอปพลิเคชั่นจริงของกรมที่ดินคือ SmartLands และบัญชีไลน์จริงของกรมที่ดินคือ @teedin (ต้องมี @ นำหน้าด้วย) เท่านั้น อีกทั้งในวันที่ 12 ส.ค. 2566 กรมที่ดินยังมีประกาศ เรื่อง เตือนภัยกลุ่มมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมที่ดินหลอกลวงผู้เสียหาย ย้ำว่า กรมที่ดินไม่มีนโยบายในการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงโทรศัพท์ไปหาเจ้าของที่ดิน เพื่อจะให้ปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน หรือในช่องทางแอปพลิเคชันไลน์ขณะที่การดาวน์โหลดแอปฯ ขอให้ทำผ่านช่องทางที่เชื่อถือได้อย่าง App Store หากใช้โทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการ iOS หรือ Google Play Store หากใช้โทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการ Android

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนมีข้อสังเกตว่า ข่าวประกาศเตือนที่นำเสนอผ่านสื่อรวมถึงเพจเฟซบุ๊กทางการของกรมที่ดินอย่าง “กรมที่ดิน Fanpage” ตอนหนึ่งใช้คำว่า “แอปพลิเคชัน Landsmaps”  แต่เนื่องจาก Landsmaps เป็นเพียงฟังก์ชั่นหนึ่งของแอปฯ SmartLands โดยหากจะใช้งานก็ต้องดาวน์โหลดแอปฯ SmartLands มาติดตั้งก่อน นอกจากนั้นยังสามารถใช้งาน Landsmaps ผ่านเว็บไซต์ https://landsmaps.dol.go.th/ ได้อีกช่องทางหนึ่ง ดังนั้นจึงอยากให้เพิ่มความระมัดระวัง เพราะมิจฉาชีพอาจฉวยโอกาสจากจุดเล็กๆ นี้ ไปสร้างแอปฯ ปลอมมาหลอกลวงเหยื่อได้อีก

รูปที่ 3 : ถ้อยคำ แอปพลิเคชัน Landsmaps” บนเพจเฟซบุ๊ก กรมที่ดิน Fanpage” (เผยแพร่ ณ วันที่ 12 ส.ค. 2566) อันเป็นเพจทางการของกรมที่ดิน ซึ่งจริงๆ แล้ว Landmaps เป็นฟังก์ชั่นหนึ่งในแอปพลิเคชั่น “SmartLands” โดยต้องดาวน์โหลดแอปฯ ดังกล่าวมาติดตั้งก่อน

เรื่องราวของกรมที่ดินถูกแอบอ้างโดยมิจฉาชีพ เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น เพราะคนร้ายอาจปลอมเป็นหน่วยงานอื่นๆ ของรัฐ บริษัทเอกชน รวมถึงธนาคารใดๆ ก็ได้เพื่อหลอกลวงเหยื่อ ดังการเปิดเผยเมื่อวันที่ 11 เม.ย. 2566 โดย พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษกกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ว่า มีหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ ธนาคารและบริษัทเอกชน ถึง 29 หน่วยงาน-โครงการ (ซึ่งกรมที่ดินก็เป็นหนึ่งในนั้น) ถูกนำชื่อไปแอบอ้างเพื่อหลอกลวงทรัพย์สินจากประชาชน

โดยคำแนะนำที่ทางโฆษก บก.สอท. แนะนำไว้ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับแอปพลิเคชั่น อาทิ ไม่ติดตั้งโปรแกรม หรือแอปพลิเคชันที่ผู้อื่นส่งมาให้โดยเด็ดขาด แม้จะเป็นโปรแกรมที่รู้จักก็ตาม เพราะอาจเป็นแอปพลิเคชันปลอม โดยหากต้องการใช้งานให้ทำการติดตั้งผ่าน App Store หรือ Play Store เท่านั้น , ไม่อนุญาตให้ติดตั้งแอปพลิเคชันที่ไม่รู้จัก หรือไฟล์ที่อาจเป็นอันตราย เช่นไฟล์นามสกุล .Apk , ไม่อนุญาตให้เข้าถึงอุปกรณ์ และควบคุมอุปกรณ์ หรือโทรศัพท์มือถืออย่างเด็ดขาด , ไม่กรอกข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลทางการเงินใดๆ ลงในลิงก์ หรือแอปพลิเคชันในลักษณะดังกล่าวโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งรหัสผ่าน 6 หลัก ที่ซ้ำกับรหัสแอปพลิเคชันของธนาคารต่างๆ ,  หากติดตั้งแอปพลิเคชันปลอมแล้ว ให้รีบทำการ Force Reset หรือการบังคับให้อุปกรณ์นั้นรีสตาร์ต (ส่วนใหญ่เป็นการกดปุ่ม Power พร้อมปุ่มปรับเสียงค้างไว้) ในกรณีเกิดอาการค้างไม่ตอบสนอง หรือเปิดโหมดเครื่องบิน (Airplane Mode) หรือปิดเครื่องเพื่อตัดสัญญาณไม่ให้โทรศัพท์สามารถเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตได้ ถอดซิมการ์ดโทรศัพท์ออก หรือทำการปิด Wi-fi Router

ขณะที่การเฝ้าระวังบัญชีไลน์ ให้สังเกตบัญชีที่ผ่านการรับรองจะมีสัญลักษณ์โล่สีเขียว หรือโล่สีน้ำเงิน หากเป็นโล่สีเทาหรือไม่มีโล่เลยจะเป็นบัญชีทั่วไปยังไม่ได้ผ่านการรับรอง ต้องตรวจสอบยืนยันให้ดีเสียก่อน ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัย ควรตรวจสอบโดยการโทรศัพท์ไปสอบถามผ่านหมายเลขโทรศัพท์หรือเว็บไซต์ทางการของหน่วยงานนั้นโดยตรง รวมถึงตรวจสอบว่ามีการประกาศแจ้งเตือนการหลอกลวงในลักษณะดังกล่าวหรือไม่

จากคำเตือนข้างต้น หลักการที่ยังใช้ได้เสมอคือ ตั้งสติแล้วตรวจสอบให้ชัดก่อนตัดสินใจทำรายการโดยเฉพาะหนึ่งในข้อสังเกตคือ มิจฉาชีพจะพยายามไม่ให้เหยื่อได้มีโอกาสตรวจสอบทั้งการค้นหาข้อมูลจากแหล่งอื่นหรือสอบถามบุคคลอื่นที่ไว้ใจได้ โดยพยายามจะให้คุยกับบุคคลที่มิจฉาชีพได้วางตัวไว้แล้วเท่านั้น เช่น กรณีของผู้ประกาศข่าวสาวคนดังกล่าว ให้ข้อมูลว่า 

ขณะที่ตนเองพยายามจะใช้คอมพิวเตอร์ แต่มิจฉาชีพบ่ายเบี่ยงให้ใช้โทรศัพท์มือถือ โดยบอกว่าจะอัพเดทข้อมูล จึงขอให้ตนอัปเดทข้อมูลผ่านแอปพลิเคชันของกรมที่ดิน เมื่อติดตั้งแอปพลิเคชันแล้ว ปลายสายมีการแนะนำให้ทำตามขั้นตอนการลงทะเบียนในระบบแอปพลิเคชัน มีการยืนยันรหัส OTP และสแกนหน้า 2-3 ครั้ง แต่ก็ยังไม่สำเร็จ จนเวลาล่วงเลยไปนานกว่า 1 ชั่วโมง ซึ่งตลอดการพูดคุยมีการประวิงเวลา เพื่อไม่ให้ตัววางสายและออกจากแอปพลิเคชัน

รวมถึงล่าสุดที่มิจฉาชีพมีวิธีหลอกลวงแบบใหม่คือ สร้างเรื่องขู่ให้เด็กหรือเยาวชนกลัว เพื่อบีบให้แกล้งสร้างเรื่องว่าถูกจับตัวเรียกค่าไถ่ แล้วนำเรื่องนี้ไปหลอกให้พ่อแม่ผู้ปกครองโอนเงิน เรื่องนี้ถูกเปิดเผยเมื่อวันที่ 11 ส.ค. 2566 โดย พล.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่า ทางตำรวจพบ 4 กรณี ที่มิจฉาชีพใช้วิธีการโทรศัพท์หาพ่อแม่ แล้วส่งรูปลูกหลานที่ถูกควบคุมตัวไว้ไปให้ โดยที่พ่อแม่ไม่สามารถติดต่อลูกหลานได้ จึงจำเป็นต้องโอนเงินให้ไป 

ซึ่งหลังจากโอนเงินแล้ว ลูกหลานก็สามารถติดต่อกลับมาได้ ซึ่งเบื้องต้นพ่อแม่คาดว่าเป็นเรื่องการเรียกค่าไถ่ แต่เมื่อเจ้าหน้าที่สอบสวนเชิงลึก พบว่า เป็นคดีที่ลูกหลานถูกแก็งค์คอลเซ็นเตอร์โทรมาข่มขู่ว่าเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดและบังคับให้ถ่ายคลิปหรือภาพถ่าย ส่งให้กลุ่มมิจฉาชีพนำไปเรียกค่าไถ่จากพ่อแม่อีกครั้ง โดยให้โอนเงินผ่านบัญชีลูกหลานของตนเอง หรือเข้าบัญชีม้าแล้วหลบหนีไป โดยมิจฉาชีพจะพยายามตัดการเชื่อมต่อทุกช่องทางระหว่างผู้ปกครองและบุตรหลาน ดังที่ พล.ต.อ.สมพงษ์ ให้ข้อมูลว่า

หลอกให้ผู้เสียหายย้ายหรือเปลี่ยนที่พัก ไปหาเช่าที่พักใหม่ เพื่อไม่ให้พ่อแม่ผู้ปกครองตามหาตัวได้ และหลอกผู้เสียหายว่ามีตำรวจนอกเครื่องแบบสะกดรอยเฝ้าดูอยู่ ห้ามออกไปจากห้องเช่าที่พักใหม่ , หลอกให้ผู้เสียหายลบแอปฯ ที่เป็นช่องทางติดต่อสื่อสารออกจากเครื่อง เช่น Line FB Twitter TikTok เป็นต้น เพื่อไม่ให้ติดต่อกับคนอื่น , หลอกให้ผู้เสียหายปิดมือถือเบอร์เดิม เพื่อไม่ให้พ่อแม่ติดต่อได้ และหลอกให้เปิดเบอร์ใหม่ใช้ติดต่อกับมิจฉาชีพ รวมถึงให้สแกน QR Code เพื่อใช้และควบคุม Line ของผู้เสียหายผ่าน PC-iPad ตลอดเวลา

เพราะอันที่จริงแล้ว “หลายเรื่องที่มิจฉาชีพหลอกลวง สามารถตรวจสอบได้ง่ายๆ เพียงแค่มีเวลาค้นหาในอินเตอร์เน็ต” เช่น ชื่อเว็บไซต์ ที่อยู่เว็บไซต์ (URL) เพจเฟซบุ๊ก หรือบัญชีไลน์ที่ถูกต้องของหน่วยงาน แม้กระทั่งหมายเลขโทรศัพท์ที่น่าสงสัย หลายครั้งพบเป็น “ข่าวเก่า” เคยมีคนถูกหลอกและมีคำเตือนจากผู้เกี่ยวข้องกันมาแล้ว หรือในกรณีมีหมายเลขโทรศัพท์หรือมีบัญชีเฟซบุ๊ก-ไลน์ที่ไม่คุ้นเคยโทรหรือทักเข้ามา อ้างเป็นคนรู้จักขอยืมเงิน หากเรามีหมายเลขโทรศัพท์ บัญชีเฟซบุ๊กหรือไอดีไลน์ของบุคคลที่ถูกอ้างถึงนั้นอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว ลองเสียเวลาสักเล็กน้อยโทร.หรือทักไปสอบถามย้ำอีกครั้ง อาจจะได้ทราบว่านั่นไม่ใช่ตัวจริงแต่เป็นมิจฉาชีพสวมรอยก็เป็นได้

รูปที่ 4 : ตัวอย่างแอปพลิเคชั่น Google Play (แอปฯ ปลอม) กับ Google Play Store (แอปฯ จริง)

อนึ่ง ในช่วงท้ายของบทความนี้ ผู้เขียนขอฝากเตือนจากข่าวเล็กๆ ที่รายงานโดย The Rakyat Post สำนักข่าวออนไลน์ของมาเลเซีย เมื่อวันที่ 15 เม.ย. 2566 ว่า ที่ประเทศสิงคโปร์ ในช่วงปลายเดือน ม.ค. 2566 มีชายวัยเกษียณคนหนึ่งไปดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น Google Play Store ที่เป็นแอปฯ ปลอม จนสูญเงินไปราว 7.1 หมื่นเหรียญสิงคโปร์ (ประมาณ 1.8 ล้านบาท) และต่อมาในวันที่ 11 เม.ย. 2566 ตำรวจสิงคโปร์ได้หยิบยกเรื่องนี้มาเป็นอุทาหรณ์แจ้งเตือนประชาชน โดยเผยให้เห็นว่า แอปฯ ปลอมนั้นชื่อ Google Play ในขณะที่แอปฯ จริงนั้นชื่อ Google Play Store

ทั้งนี้ แอปพลิเคชั่น Google Play Store อันเป็นแหล่งรวมการดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นต่างๆ ที่ถูกพัฒนาให้ใช้งานสำหรับโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนซึ่งใช้ระบบปฏิบัติการ Android โดยแอปฯ ที่เข้ามาอยู่ใน Google Play Store ถือว่าค่อนข้างน่าเชื่อถือและไว้วางใจได้ในด้านความปลอดภัย ปกติแล้ว Google Play Store จะถูกติดตั้งมากับเครื่องโทรศัพท์ตั้งแต่ต้น แต่ก็พบว่ามีมือถือ Android บางยี่ห้อหรือบางรุ่นที่ไม่ได้ติดตั้งมา ดังนั้นผู้ที่ต้องการดาวน์โหลดแอปฯ ต่างๆ จึงต้องทำผ่านเว็บไซต์ โดย URL ที่ถูกต้องของ Google Play Store คือ https://play.google.com/ 

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

บอกกล่าวกับผู้อ่าน : ข่าวและข้อมูลในบทความนี้ ผู้เขียนทำการสืบค้น ณ วันที่ 12 ส.ค. 2566 ซึ่งหลังจากนั้นข้อมูลอาจมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปได้ 

อ้างอิง

https://www.thaipbs.or.th/news/content/330482 (ผู้ประกาศข่าวถูกหลอกติดตั้งแอปฯ ดูดเงินสูญกว่า 1 ล้านบาท : ThaiPBS 9 ส.ค. 2566)

https://www.naewna.com/local/748779 (พระวัดดังบางบัวทองถูก’แก๊งคอลเซนเตอร์’ตุ๋นเงินกว่า1แสนบาท อ้างเป็นจนท.จากกรมที่ดิน : แนวหน้า 8 ส.ค. 2566)

https://thainews.prd.go.th/th/news/detail/TCATG200625092920849 (กรมที่ดิน เปิดบริการรูปแบบใหม่บนแอปพลิเคชันไลน์ สร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 : สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ 25 มิ.ย. 2563)

https://www.facebook.com/prmoithailand/photos/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A-line-official-account-%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99-%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%88%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1/1389479277907953/ (เพจ “กระทรวงมหาดไทย PR” แจ้งโครงการ BOKDIN 14 ก.พ. 2563)

https://www.thansettakij.com/real-estate/470769 (เริ่มแล้วโครงการ “บอกดิน 2” ลุยสำรวจข้อมูลออกโฉนดที่ดินในพื้นที่)

https://www.khaosod.co.th/monitor-news/news_6568491 (กรมที่ดิน ดำเนินการโครงการ “บอกดิน” (ระยะที่ 2) : ข่าวสด 17 ส.ค. 2564)

https://www.thansettakij.com/real-estate/493377 (เช็คเลย “บอกดิน”  2 กรมที่ดิน ตรวจสอบสิทธิ์ ได้โฉนด ช่องทางไหนบ้าง : ฐานเศรษฐกิจ 25 ส.ค. 2564)

https://www.naewna.com/local/531414 (กรมที่ดิน เล็งจดทะเบียนออนไลน์ต่างสำนักงาน นำร่องในพื้นที่กทม.ปี64 : แนวหน้า 12 พ.ย. 2563)

https://www.khaosod.co.th/monitor-news/news_6354780 (กรมที่ดิน ปลื้มยอดดาวน์โหลดแอป “SMARTLANDS” พุ่งเกิน 100,000 ครั้ง : ข่าวสด 22 เม.ย. 2564)

https://www.thansettakij.com/business/economy/568272 (รู้จัก “SmartLands” แอปฯเดียวจบครบทุกเรื่องเกี่ยวกับที่ดิน : ฐานเศรษฐกิจ 16 มิ.ย. 2566)

https://www.js100.com/en/site/news/view/132202 (กรมที่ดินยืนยัน! ข้อมูลที่มิจฉาชีพใช้หลอกลวงประชาชนไม่ได้หลุดจากกรมที่ดิน : จส.100 12 ส.ค. 2566)

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid02xMsKf44vWenaMnWqmC8KbMMDZzAYHtuq5n58rv54MBcSmTknFGibwUVuPcn5vmFGl&id=100067538825832&eav=AfaH3lWHeDuH7sXghuelOq-rkXRR3v2UpbGoeTA-ZahO2lpB9RuxQ9bjDSMYOm_LwQg&refid=17&paipv=0 (เพจ “กรมที่ดิน Fanpage” แจ้งเตือนมิจฉาชีพแอบอ้าง 12 ส.ค. 2566)

https://news.ch7.com/detail/534342 (เตือนภัย ระวังแอปพลิเคชันธนาคารปลอมหลอกกู้เงิน ถอนเงินออกจากบัญชีเกลี้ยง : ช่อง 7 6 ธ.ค. 2564)

https://www.thaipost.net/hi-light/358135/ (ตรวจสอบด่วน! รายชื่อ 29 หน่วยงานรัฐ-เอกชน ที่มิจฉาชีพใช้อ้างหลอกลวงประชาชน : ไทยโพสต์ 11 เม.ย. 2566)

https://www.thaipbs.or.th/news/content/330541 (เบอร์แปลกอย่ารับ! เตือนภัยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข่มขู่ นศ.เรียกค่าไถ่ : ThaiPBS 11 ส.ค. 2566)

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid02nb4UWD7u15AqD8oXfjHVo4KE3RwA3zHUEEtPwCNzDnj9qDfKfKdVG7id2hCwFiDil&id=100069795866839&eav=Afbe6UaIu6CB57VhCPCrvpd-4v0iXC-RGpfZqRjm_T8JwpAOdP7CTeewvRIgf8DjIGs&paipv=0 (ตำรวจไซเบอร์ เผยสารพัดกลโกงมิจฉาชีพออนไลน์ ยอมรับจับยากเพราะอยู่ต่างประเทศ-ป้องกันตัวเองดีที่สุด : Cofact 14 เม.ย. 2566)

https://www.therakyatpost.com/tech/2023/04/15/beware-of-fake-google-play-app-retiree-loses-more-than-200k-in-life-savings/ (Beware Of Fake Google Play App, Retiree Loses More Than 200k In Life Savings : The Rakyat Post 15 เม.ย. 2566)


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 19 สิงหาคม 2566

กระท่อมแก้โรคเบาหวาน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/dp4s20njthop#_=_


เตือนภัยมุกใหม่มิจฉาชีพ! ทักไลน์หาเรื่อง ก่อนส่งลิงก์ดูดเงินให้กด

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/27a7nr92jsy8m


การบริโภคน้ำอัดลมมาก จะทำให้อิ่มและรับประทานอาหารได้น้อยลง อาจเป็นเหตุให้ขาดสมดุลทางโภชนาการ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/acg0wugh83vk#_=_


 นอนมากเกินไป เสี่ยงสมองช้าและซึมเศร้า…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/28gmbx5mysr7e


เตือนภัย! หลอกส่งพัสดุสแกนชิงโชค ดูดเงินเกลี้ยงบัญชี จ.นนทบุรี…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/212mdd6rlwk44


เกณฑ์จ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุฉบับใหม่ รัฐประหยัดงบหรือลดสวัสดิการประชาชน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/he3t2c24dssh


รับสายไร้เสียงพูด อย่าตอบ เสี่ยงโดนปลอมเสียง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/313s4u7jec3dm


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 13 สิงหาคม 2566

ดื่มน้ำน้อยเสี่ยงสมองเสื่อม…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/32gzyhfgm6qkz


 “ห้ามเติมน้ำมัน ใส่ขวดพลาสติกเครื่องดื่ม เพราะจะเกิด “ไฟฟ้าสถิตย์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2fz9yuwa4vtps


กระทรวงสาธารณสุขห้ามจำหน่ายขนมที่มีส่วนผสมไขมันทรานส์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1ncqexgiataq9


กสิกรไทย แจง จดหมายส่งถึงลูกค้า มอบสิทธิพิเศษของขวัญ THE WISDOM Delight Gift ปี 2566 ผู้ถือบัตรเดอะวิสดอมกสิกรไทย เป็นของจริง ไม่ใช่มิจฉาชีพ หลังออนไลน์แชร์ว่อน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1rihzaha54fvs


ดื่มน้ำมากเกินไป ก็เป็นอันตราย จากภาวะน้ำเป็นพิษได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3uvpqkd7byiev


บริษัทอีสท์วอเตอร์ จะทำการสูบผันน้ำจากแม่น้ำบางปะกงเพื่อส่งไปกักเก็บไว้ยังที่อ่างเก็บน้ำบางพระ จ.ชลบุรี โดยการสูบน้ำอาจจะทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำบางปะกงลดลง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3tz83kxqqv9rk


อย่าซื้อ “ ปากกาฉีดยาลดน้ำหนัก ” มาใช้เองโดยเด็ดขาด เสี่ยงอันตราย ยาดังกล่าวจัดเป็นยาควบคุมพิเศษ ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2xdghuseklq84


‘การลงทุนมีความเสี่ยง’ โปรดตรวจสอบว่าเป็น ‘เพจเฟซบุ๊กปลอม’หรือไม่ก่อนตัดสินใจลงทุน Cofact Report 12/66

By : Zhang Taehun

“1.15 หมื่นล้านบาท คือจำนวนเงินที่เป็น มูลค่าความเสียหาย จากมิจฉาชีพประเภท หลอกลงทุน ในรอบ 14 เดือนล่าสุด ตามการเปิดเผยของ ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2566 โดยอ้างอิงข้อมูลจาก กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) และที่น่าห่วงคือ ปัจจุบันพบ มิจฉาชีพใช้วิธีแอบอ้าง องค์กร ชื่อ ภาพ ของผู้บริหารหลายหน่วยงาน รวมถึงบุคคลที่มีชื่อเสียง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือหลอกลวงให้มาลงทุน โดยสร้างความเสียหายให้ประชาชนและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและสังคมเป็นวงกว้าง

เช่นเดียวกับ ธวัชชัย ทิพยโสภณ รองเลขาธิการ รักษาการแทนเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ที่เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ทางสำนักงาน ก.ล.ต.ได้มีการเตือน Investor Alert ไปแล้วกว่า 80 ราย และมีการกล่าวโทษเพจที่มีการอ้างอิงโลโก้ชื่อสำนักงาน ก.ล.ต.ไปกว่า 10 ราย และที่เหลืออีก 37 ราย มีการส่งไปยังศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม

ก่อนหน้าที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะออกมาเตือน สัจจะ โชคบุญส่งสวัสดิ์ ผู้อำนวยการกองป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดทางเทคโนโลยีสารสนเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ก็เคยกล่าวถึงเรื่องนี้เช่นกัน ในงานรับฟังความคิดเห็น เพื่อสร้างความเป็นธรรมในสังคม (PLACE OF JUSTICE) และเสวนาหัวข้อ อาชญากรรมไซเบอร์กับบทบาทผู้ตรวจการแผ่นดินในยุคดิจิทัลภายใต้โครงการส่งเสริมธรรมาภิบาลและการมีส่วนร่วมของภาครัฐและภาคประชาสังคม จัดโดย สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 2566 ฝากประชาชนระมัดระวัง เพจปลอมหลอกลงทุน ที่เกลื่อนโลกออนไลน์

ผมยกตัวอย่าง ขออนุญาตเอ่ยชื่อ อย่าง JD Central ที่เพิ่งเลิกกิจการไป ก็จะมีผู้ร้ายเขาสบช่อง เห็นว่าเลิกก็น่าจะเอา (สินค้า) มาเซลส์ เขาก็สร้างเพจปลอมอะไรอย่างนี้ มาลงโฆษณา ไม่น่าเชื่อว่ามีคนพร้อมที่จะเชื่อเพราะเหมาะเจาะกับสถานการณ์ ก็ไปคลิกซื้อ ซึ่งบริษัทจริงๆ เขาเลิกไปแล้ว วิธีการสังเกตคือเพจมีติ๊กถูก มั่นใจว่านี่ตัวจริง ส่วนใหญ่ทางผู้ร้ายก็จะก็อปมาเหมือนเลย แต่มันไม่มีติ๊กถูก ก็อปทุกคำพูดแต่ก็จะมีข้อความที่เขาไว้ใช้หลอก ส่วนใหญ่เพจที่จะหลอกให้สังเกตว่าเพิ่งเปิดไม่นาน อาจจะเป็นย้อนไปไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำไป 

แล้วยอดผู้ติดตามก็น้อย ยอดไลค์ ยอดคอมเมนต์น้อยหมด มันก็แปลกๆ นะ ถ้ากับแบรนด์ดังมันจะผู้ติดตามเยอะ มีคอมเมนต์มีสอบถามอะไรเยอะแยะ เปิดมานานแล้วอะไรอย่างนี้ ซึ่งพักนี้ก็จะเป็นแบรนด์ใหญ่ๆ หลอกลงทุน ไม่ว่าจะเป็นทางเซเว่น (เซเว่น-อีเลฟเว่น) ทางอมตะ IKEA ก็มี King Power อะไรอย่างนี้ ขออนุญาตเอ่ยเพื่อไม่ให้ถูกหลอก สัจจะ กล่าว

ในงานเดียวกัน ยังมีการเปิดเผยจาก พ.ต.อ.เจษฎา บุรินทร์สุชาติ ผู้กำกับการกลุ่มงานรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ว่า ข้อมูลวันที่ 1 มี.ค. 2565-31 พ.ค. 2566 พบการร้องทุกข์หรือแจ้งเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดทางออนไลน์ 270,306 เรื่อง จากทั้งหมด 296,243 เรื่อง โดยการหลอกลงทุนนั้นแม้จำนวนการรับแจ้งเหตุจะอยู่ในอันดับ 4 แต่มูลค่าความเสียหายอยู่อันดับ 1 (ในขณะที่การหลอกลวงเกี่ยวกับการซื้อ-ขายสินค้าทางออนไลน์ จะเป็นเรื่องที่มีการแจ้งเหตุมากที่สุด)

การหลอกลวงของเขามันจะมี Story ที่ดูแล้วมีความฉลาดหลักแหลม คนทั่วไปเข้าไม่ถึง แต่คนที่โดนหลอกคือทุกสาขาอาชีพ หมอ ตำรวจ คนที่มีความรู้ทั้งนั้นที่จะถูกหลอกเข้าไปในแพลตฟอร์มพวกนี้ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเนื้อหาการลงทุนที่น่าเชื่อถือ สร้างแอปพลิเคชั่นมาเพื่อที่บางครั้งสร้างยอดเงิน สร้างยอดเครดิตให้เราหลงเชื่อว่าลงทุนแล้วได้เงินจริง แต่สุดท้ายก็ถอนไม่ได้ พ.ต.อ.เจษฎา กล่าว

จากคำเตือนข้างต้น เชื่อว่าผู้อ่านหลายท่านที่ใช้เฟซบุ๊กน่าจะเคยผ่านตากันมาบ้าง เมื่อหน้า Feed ของเราปรากฏโฆษณาชวนให้ลงทุน (หรือไม่ก็ชวนให้ซื้อสินค้า) อ้างบริษัทเอกชนระดับยักษ์ใหญ่ที่คุ้นชื่อเป็นอย่างดี อย่างกรณีที่ผู้เขียนจะยกมาเป็นตัวอย่างคือ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด หรือ Yuanta เนื่องจากโผล่มาอยู่หน้า Feed เฟซบุ๊กของผู้เขียนถี่มากทั้งๆ ที่ผู้เขียนไม่ได้สนใจเรื่องการลงทุนในหุ้นมาก่อน วันหนึ่งทนไม่ไหวเลยลองค้นหาดูแล้วก็พบเพจปลอมอยู่หลายเพจด้วยกัน จึงเป็นที่มาของการเขียนบทความนี้) ซึ่งเมื่อสังเกตระหว่างเพจปลอมกับเพจจริง พบว่า เพจจริงระบุไอดี Line @yuantathai ส่วนเพจปลอมจะระบุไอดีอื่น 

รูปที่ 1 : เพจปลอมของหยวนต้า จะเห็นว่าช่องทางติดต่อเชื่อมไปยังไอดีไลน์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับบริษัท

รูปที่ 2 เพจจริงของหยวนต้า : ช่องทางการติดต่อ คือไอดีไลน์ทางการ (Official) ของบริษัท

โดยเมื่อทดลองนำ @yuantathai ไปค้นหาใน Google จะพบว่ามีความเชื่อมโยงกับเว็บไซต์หลักของหยวนต้า คือ https://www.yuanta.co.th/ ในขณะที่เมื่อนำไอดี Line จากเพจปลอมไปค้นหา กลับเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ของ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในส่วนของ รายชื่อบุคคลหรือนิติบุคคลที่มิใช่ผู้ประกอบธุรกิจภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. ชี้ว่าไอดีไลน์ดังกล่าว (จากเพจปลอม) ไม่น่าไว้วางใจ

สำหรับพฤติกรรมของเพจเฟซบุ๊กปลอมที่แอบอ้างชื่อบริษัทต่างๆ นั้น จะว่าไปแล้วก็ไม่ใช่อะไรใหม่ เพราะจะเรียกว่าเป็น ฟิชชิ่ง (Phishing)” ก็ได้ โดยฟิชชิ่งคือกลโกงของมิจฉาชีพด้วยการปลอมแปลงเว็บไซต์ให้ดูเหมือนเว็บไซต์ของจริง เมื่อเหยื่อไม่สังเกตเผลอกรอกข้อมูลส่วนบุคคลเข้าไป (โดยเฉพาะรหัสผ่านที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมทางการเงิน) ก็อาจถูกนำข้อมูลไปใช้สวมรอยก่อเหตุร้ายกับบุคคลอื่น หรือถูกหลอกให้โอนเงิน หรือคนร้ายสามารถนำรหัสผ่านมาควบคุมให้โอนเงินออกไปได้ 

แถมยุคนี้ทำได้ง่ายกว่าเดิมเพราะการสร้างเพจเฟซบุ๊กปลอมไม่ยุ่งยากเหมือนเว็บไซต์ปลอมคนร้ายไม่จำเป็นต้องเข้าใจคำสั่งทางคอมพิวเตอร์ในการเขียน Webpage Code เหมือนการทำเว็บไซต์ เพียงสมัครบัญชีเฟซบุ๊กแล้วสร้างเพจขึ้นมา จากนั้นคัดลอกโลโก้และข้อมูลพื้นฐาน (เช่น ที่ตั้งสำนักงาน หมายเลขโทรศัพท์ อีเมล ไอดีไลน์) ของบริษัท รวมถึงภาพและข่าวประชาสัมพันธ์ต่างๆ ที่เพจเฟซบุ๊กจริงของบริษัทนั้นโพสต์ไว้มาโพสต์ในเพจปลอมเพื่อให้ดูเนียน แต่หากตั้งใจสังเกตกันจริงๆ ก็จะพบความผิดปกติ ดังกรณีไอดีไลน์ของเพจปลอม บ.หยวนต้า ที่ชื่อไอดีไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับบริษัทเลยแม้แต่น้อย หรือเพจปลอมของบางบริษัท ซึ่งรายละเอียดอื่นๆ เลียนแบบเพจจริงเกือบหมด ยกเว้นอีเมลที่ดูจะเป็นชื่อบุคคลไม่ใช่ชื่อบริษัท และเมื่อนำอีเมลไปค้นใน Google ก็เชื่อมโยงไปยังเพจหรือบัญชีเฟซบุ๊กขายของออนไลน์อื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทใหญ่ที่ถูกนำชื่อมาใช้ทำเพจนั้นเช่นกัน

ถึงกระนั้น บางครั้งมิจฉาชีพลักษณะนี้ก็เนียนมาก โดยข้อมูลเพจทุกอย่างเป็นจริงหมดไม่ว่าโลโก้ ที่ตั้งบริษัท หมายเลขโทรศัพท์ อีเมล ไอดีไลน์ แถมคัดลอกข่าวประชาสัมพันธ์จากเพจจริงมาโพสต์ถี่ๆ แต่แฝงข้อความในช่องแสดงความคิดเห็น (Comment) ใต้ข่าวนั้นว่าผู้สนใจลงทุนกับบริษัทสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น หรือแอดไอดีไลน์ซึ่งไม่ใช่แอปฯ หรือไอดีของบริษัทนั้นจริง แต่เป็นแอปฯ หรือไอดีไลน์ปลอมที่มิจฉาชีพสร้างขึ้นมา หรือไม่มีการให้ข้อมูลไว้อย่างครบถ้วน แต่ใช้การทิ้งข้อความไว้ว่าหากสนใจลงทุนให้สอบถามผ่านการส่งข้อความ (Inbox) แล้วจะมีแอดมิน (Admin) หรือผู้ดูแลเพจคอยตอบ (ซึ่งหากเอะใจสักนิดผู้เขียนคงไม่ตกเป็นเหยื่อ หากพบว่าแอปฯ ที่ให้ดาวน์โหลด หรือไอดีไลน์ที่ให้มาไม่ตรงกับที่ประกาศในเว็บไซต์หลักทางการของบริษัท)

นอกจากนี้ ยังมีวิธีสังเกตเบื้องต้นอื่นๆ เช่น ที่อยู่ของแอดมินเพจ จากตัวอย่างข้างต้น แม้จะเป็นทุนข้ามชาติ (ทุนไทยไปลงทุนต่างประเทศ หรือทุนต่างประเทศมาลงทุนในไทย) หากเป็นเพจที่บริษัทตั้งใจสื่อสารกับลูกค้าชาวไทยในประเทศไทย แอดมินทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดจะอยู่ในไทย แต่หากเป็นเพจปลอม แอดมินจะกระจายกันไปในหลายประเทศ ตั้งแต่เพื่อนบ้านไปไกลถึงทวีปแอฟริกาหรืออเมริกาใต้ก็มี ซึ่งจะคล้ายกับที่วิทยากรจากทางตำรวจเคยแนะนำไว้ในวงเสวนา รับมือด้านมืดออนไลน์ในยุคห้าจี เมื่อวันที่ 4 เม.ย. 2566 เกี่ยวกับการสังเกตความน่าเชื่อถือของเพจซื้อ-ขายสินค้าออนไลน์ ว่า ให้กดดูหมวด ความโปร่งใสของเพจหากร้านค้าระบุที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยแต่แอดมินเพจอยู่ต่างประเทศ หากเจอเพจลักษณะนี้เลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยงเพราะมีโอกาสสูงที่จะเป็นมิจฉาชีพ 

นอกจากนั้น ในหน้าความโปร่งใสของเพจ ยังมีประวัติการ เปลี่ยนชื่อเพจ ให้ดูด้วย เนื่องจากหลายครั้งมิจฉาชีพไปซื้อเพจที่มียอดคนติดตามจำนวนมาก เช่น เพจคำคม เพจธรรมะ ฯลฯ แล้วมาเปลี่ยนเป็นเพจร้านค้า ให้ดูเหมือนมียอดคนติดตามจำนวนมากเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ บางเพจเปลี่ยนมาแล้วหลายชื่อ ตั้งแต่ขายรถหลุดจำนำ ขายตู้เย็นมือสอง ขายชุดเครื่องนอน ฯลฯ เป็นอีกจุดที่น่าสงสัยและต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ 

หรือแม้แต่ ระยะเวลาการเปิดเพจความสมเหตุสมผลของการเปลี่ยนชื่อเพจ ผู้เขียนสังเกตว่า หากเป็นเพจจริงของบริษัทมักเปิดมาแล้วหลายปีและแทบไม่มีการเปลี่ยนชื่อ (และแม้เปลี่ยนชื่อ หากนำชื่อเก่าไปค้นหาก็ยังพบความเชื่อมโยงกับบริษัทจริง เช่น เพจจริงของ บ.หยวนต้า เคยใช้ชื่อว่า KkTrade แต่เปลี่ยนชื่อเพจเพราะมีการเปลี่ยนชื่อบริษัท อีกทั้งเปลี่ยนในช่วงปลายเดือน ส.ค.2559 ซึ่งสอดคล้องกับข่าวที่นำเสนอผ่านสื่อมวลชนว่าบริษัทจะเปลี่ยนชื่อจาก KkTrade เป็นหยวนต้า ในวันที่ 1 ก.ย. 2559 

แต่หากเป็นเพจปลอม เท่าที่พบมักเพิ่งเปิดใหม่เพียงไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์ และการเปลี่ยนชื่อเพจก็มักไม่มีความเชื่อมโยงที่สมเหตุสมผลเลยระหว่างชื่อเก่ากับชื่อใหม่ (เช่น เดิมเป็นเพจคำคม-ธรรมะ แต่ต่อมากลายเป็นเพจบริษัทยักษ์ใหญ่ชักชวนให้ลงทุน เป็นต้น) รวมถึง ชื่อเพจเป็นของบริษัทหนึ่ง แต่ใช้รูปของผู้บริหารอีกบริษัทหนึ่ง แบบนี้ให้คิดไว้ก่อนได้เลยว่าน่าจะเป็นเพจปลอมแน่นอน เพราะไม่มีความสมเหตุสมผลใดๆ เลยที่บริษัทหนึ่งจะต้องไปนำภาพของผู้บริหารบริษัทอื่นมาใช้โฆษณาให้ลงทุนหรือซื้อสินค้าของบริษัทตนเอง

ทั้งนี้ ก.ล.ต. แนะนำให้ประชาชนตรวจสอบรายชื่อบุคคลที่แนะนำการลงทุน ผู้ประกอบธุรกิจ หรือหลักทรัพย์ว่าได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. หรือไม่ โดยสามารถทำได้ผ่านแอปพลิเคชัน SEC Check First หรือที่เว็บไซต์ www.sec.or.th/licensecheck นอกจากนั้น ก.ล.ต. จะตรวจสอบผลิตภัณฑ์ บุคคลหรือผู้ให้บริการที่ชักชวนให้ลงทุนหรือใช้บริการ ตามที่มีการร้องเรียน หากพบว่าไม่ใช่ผู้ได้รับอนุญาตหรือประกอบธุรกิจภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. จะมีการเปิดเผยรายชื่อดังกล่าวไว้ที่หน้าเว็บไซต์ ก.ล.ต. ในหัวข้อ Investor Alert และปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบันอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ “ศูนย์บริการประชาชน ก.ล.ต.” โทร. 1207 หรือ SEC Live Chat ที่เว็บไซต์ ก.ล.ต. 

ท้ายสุดคงต้องย้ำด้วยคำเตือนยอดฮิตของการลงทุนว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุนซึ่งบรรดาเพจปลอมทั้งหลายมักใช้ผลประโยชน์ประเภท ลงทุนน้อยแต่ได้กำไรมาก มาล่อตาล่อใจ ดังนั้นก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง ยอมเสียเวลาสักเล็กน้อยในการตรวจสอบความหน้าเชื่อถือของเพจ ดีกว่า ใจเร็วด่วนได้ แล้วต้องมาเสียใจภายหลังที่ถูกหลอกเสียเงินเสียทองไปแล้ว ขณะเดียวกัน หากบริษัทหรือองค์กรใหญ่ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ยอมลงทุนเพิ่มเพื่อให้ได้สัญลักษณ์ เครื่องหมายถูก อันเป็นการยืนยันสถานะ เพจจริง (Official)” บนเฟซบุ๊ก ก็จะช่วยป้องกันคนตกเป็นเหยื่อเพจปลอมหลอกลงทุนได้อีกทาง!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://www.nationtv.tv/economy-business/378924488 (ตลาดทุน จับมือเช็กลิสมิจฉาชีพ “หลอกลงทุน” ชี้เสียหายแล้วกว่า 1.1 หมื่นล้าน : เนชั่น 24 ก.ค. 2566)

https://www.facebook.com/thaiombudsman/videos/1985525515124824/ (สัมมนารับฟังความคิดเห็น “อาชญากรรมไซเบอร์กับบทบาทผู้ตรวจการแผ่นดิน” : สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน 14 มิ.ย. 2566)

https://www.tnnthailand.com/news/wealth/137682/ (“JD Central” ชี้แจงปิดตัว ไม่ใช่เพราะขาดทุน!! : TNN Thailand 2 ก.พ. 2566)

https://www.banmuang.co.th/news/marketing/327837 (อิเกียฯชี้แจงหลังพบเพจแอบอ้างใช้เครื่องหมายการค้า : บ้านเมือง 8 พ.ค. 2566)

https://www.thaipost.net/public-relations-news/337707/ (“อมตะ” เตือนภัยประชาชนกลุ่มมิจฉาชีพอ้างชื่ออมตะหลอกลวงไม่จบ พร้อมเปิดช่องแจ้งเบาะแสหนุนเจ้าหน้าที่ทะลายขบวนการให้หมดสิ้น : ไทยโพสต์ 8 มี.ค. 2566)

https://www.khaosod.co.th/crime/news_7645765 (จับยึดเกลี้ยงโกดัง! ปลอมเพจ”คิง เพาเวอร์”ลวงจัดโปรล่อลูกค้าอื้อเจอไม่ตรงปก : ข่าวสด 5 พ.ค. 2566)

https://www.prachachat.net/finance/news-1303234 (ตลาดหลักทรัพย์ฯ เตือนผู้ลงทุนอย่าหลงเชื่อเพจปลอมแอบอ้างเป็นผู้บริหาร : ประชาชาติ 26 พ.ค. 2566)

https://www.sec.or.th (สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์-ก.ล.ต.)

https://market.sec.or.th/public/idisc/th/InvestorAlert (รายชื่อบุคคลหรือนิติบุคคลที่มิใช่ผู้ประกอบธุรกิจภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต.)

https://www.cyfence.com/article/what-is-phishing/ (Phishing คืออะไร ป้องกันอย่างไร : NT cyfence ในเครือบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน)  8 พ.ค. 2563)

https://www.bangkokbiznews.com/pr-news/news/corporate-moves/1036849 (รู้จักกับ NT cyfence หน่วยงาน Cybersecurity ของ NT ที่ครอบคลุมทุกการป้องกันภัยไซเบอร์ : กรุงเทพธุรกิจ 9 พ.ย. 2565)

https://blog.cofact.org/forum6604042/ (ตำรวจไซเบอร์ เผยสารพัดกลโกงมิจฉาชีพออนไลน์ ยอมรับจับยากเพราะอยู่ต่างประเทศ-ป้องกันตัวเองดีที่สุด : Cofact 12 เม.ย. 2566)

https://mgronline.com/stockmarket/detail/9590000086856 (“บล.เคเคเทรด” เปลี่ยนชื่อเป็น “บล.หยวนต้า” มีผล 1 ก.ย.นี้ พร้อมเพิ่มทุน 1.5 พันล้าน : ผู้จัดการ 30 ส.ค. 2559)

https://www.khaosod.co.th/economics/news_7750355 (กลต.ฟันเพจปลอมชวนลงทุนหุ้น-ลุยดำเนินคดี พร้อมเตือนประชาชน : ข่าวสด 5 ก.ค. 2566)


ธรรมศาสตร์บังคับ นศ. ใส่เสื้อสีส้มเข้างานปฐมนิเทศ เป็นข้อมูลเท็จ

กองกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ปฏิเสธข้อมูลในโซเชียลมีเดียที่ระบุว่า มธ. บังคับให้นักศึกษาใหม่ทุกคนเข้าร่วมงานปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ประจำปีการศึกษา 2566 ที่มีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นแขกรับเชิญ และบังคับให้นักศึกษาใส่ชุดสีดำ-ส้มเท่านั้น โดยยืนยันว่างานนี้เปิดให้นักศึกษาเข้าร่วมด้วยความสมัครใจและไม่มีข้อบังคับเรื่องการแต่งกาย

งานปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ มธ. ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2566 ที่ มธ.ศูนย์รังสิต มีนักศึกษาใหม่เข้าร่วมทั้งหมด 7,802 คน ถูกวิจารณ์จากศิษย์เก่าและประชาชนบางส่วนที่ไม่เห็นด้วยกับการเชิญนายพิธามาเป็นแขกรับเชิญและกล่าวสุนทรพจน์กับนักศึกษาใหม่

นอกจากเสียงวิจารณ์แล้ว ยังมีการกล่าวหา มธ. ว่าบังคับให้นักศึกษาใหม่ทุกคนเข้าร่วมงานนี้และบังคับให้ใส่เสื้อสีดำหรือสีส้ม ซึ่งเป็นสีประจำพรรคก้าวไกล

ข้อกล่าวหานี้มีที่มาจากผู้ใช้ติ๊กต็อกที่ใช้ชื่อว่า “ยายขิ่น” ซึ่งโพสต์วิดีโอในบัญชีติ๊กต็อก @yaaikinV9 เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2566 ระบุว่า “มีเด็กนักศึกษาใหม่ที่เข้าปฐมนิเทศในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในครั้งนี้เล่าให้พ่อเขาฟังว่า ทางมหาวิทยาลัยบังคับให้ใส่เสื้อดำหรือเสื้อสีส้มโดยมีการถ่ายคอนเทนต์ให้ดูว่ามีคนสนับสนุน มีคนฟังเยอะ เด็กบอกว่าบังคับให้ใส่และบังคับให้ฟัง อันนี้เด็กเป็นคนเล่าเอง”

ในวิดีโอนี้ “ยายขิ่น” ยังได้แสดงภาพข้อความที่บุคคลที่อ้างว่าเป็นผู้ปกครองนักศึกษา ส่งให้เธอทางแอปพลิเคชันไลน์ ระบุว่า “ลูกเราโทรมาบอกว่าโดนบังคับให้ลูกสวมชุดดำ+ส้ม ไปนั่งฟังพิธาพูดตลอดวันเลย มีถ่ายคอนเทนต์ด้วยจะได้เอามาโชว์ว่ามีคนมาฟังและสนับสนุนเยอะ คือบังคับให้ใส่ บังคับให้ฟัง”

ณ วันที่ 8 ส.ค. 2566 วิดีโอนี้มีผู้ชมในติ๊กต็อกเกือบ 3 แสนครั้ง และยังถูกนำไปเผยแพร่ต่อทั้งในติ๊กต็อก ทวิตเตอร์และยูทูปของช่อง Top News ซึ่งมียอดผู้เข้าชมแล้วกว่า 122,000 ครั้ง

โคแฟคตรวจสอบ

วันที่ 8 ส.ค. 2566 โคแฟคตรวจสอบเรื่องนี้โดยการสัมภาษณ์นายคเณศ สัตตานุสรณ์ รักษาการแทนหัวหน้างานยุทธศาสตร์กิจการนักศึกษา กองกิจการนักศึกษา มธ. ผู้รับผิดชอบการจัดงานปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ประจำปีการศึกษา 2566 รวมทั้งตรวจสอบสื่อประชาสัมพันธ์ที่เผยแพร่โดยกองกิจการนักศึกษา รวมทั้งสอบถามผู้ปกครองและนักศึกษา มธ. ที่เข้าร่วมงานปฐมนิเทศ ได้ข้อมูลดังนี้

ประเด็นที่ 1: มธ. บังคับให้นักศึกษาเข้าร่วมงานปฐมนิเทศ?

  • นายคเณศกล่าวกับโคแฟคว่างานนี้เปิดให้นักศึกษาเข้าร่วมด้วยความสมัครใจ ไม่ได้เป็นการบังคับ โดยทางกองกิจการนักศึกษา ได้เปิดให้นักศึกษาที่ประสงค์จะร่วมงานลงทะเบียน 2 รอบ คือ 15-20 ก.ค. และ 30 ก.ค.  “งานปฐมนิเทศไม่ใช่กิจกรรมบังคับ เราให้ลงทะเบียนล่วงหน้าเข้ามา เป็นการประชาสัมพันธ์ให้นักศึกษาเข้าร่วมเฉย ๆ…และไม่จำเป็นต้องอยู่ร่วมกิจกรรมจนจบด้วย ใครมีความประสงค์หรือเหตุจำเป็นจะต้องออกจากห้องประชุมตอนไหนก็สามารถแจ้งรุ่นพี่ประจำจุดได้เลย” นายคเณศกล่าว
  • เพจเฟซบุ๊ก “ธรรมศาสตร์สุดสุด” ซึ่งเป็นช่องทางประชาสัมพันธ์ของ มธ. โพสต์ข้อความเชิญชวนให้นักศึกษาใหม่ลงทะเบียนเข้าร่วมงานพร้อมคิวอาร์โค้ดเข้าระบบลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค. 2566
  • ผู้ปกครองนักศึกษาใหม่ มธ. คนหนึ่งที่เข้าร่วมงานปฐมนิเทศ ยืนยันกับโคแฟคว่า ทางมหาวิทยาลัยไม่ได้บังคับให้เข้าร่วม และไม่ได้บังคับให้ใส่ชุดสีดำ-ส้ม

ประเด็นที่ 2: มธ.บังคับให้นักศึกษาทุกคนแต่งกายด้วยสีดำ-ส้ม?

  • นายคเณศยืนยันกับโคแฟคว่าทาง มธ. ไม่ได้บังคับเรื่องเครื่องแต่งกายของนักศึกษาที่เข้าร่วมงานปฐมนิเทศ ไม่ว่าจะใส่เสื้อสีอะไรก็เข้าร่วมงานได้ แต่โดยธรรมเนียมแล้ว แต่ละคณะจะขอความร่วมมือให้นักศึกษาใหม่ใส่เสื้อตามสีประจำคณะ เช่น คณะศิลปศาสตร์-สีส้ม คณะรัฐศาสตร์-สีดำ คณะพยาบาลศาสตร์-สีขาว คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี-สีฟ้า เป็นต้น
  • ข้อความและโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ที่กองกิจการนักศึกษา เผยแพร่ทางเฟจเฟซบุ๊ก “ธรรมศาสตร์สุดสุด” และอินสตาแกรมเมื่อวันที่ 29 ก.ค. ระบุว่า “สำหรับการแต่งกายเข้าร่วมกิจกรรม ไม่ได้มีการกำหนดให้ใส่ชุดนักศึกษา สามารถใส่ชุดสุภาพที่คล่องตัวต่อการทำกิจกรรม หรือเสื้อที่คณะนัดหมายให้ใส่เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมได้เลย”   
  • โคแฟคตรวจสอบภาพงานปฐมนิเทศวันที่ 4 ส.ค. 2566 ที่มีการเผยแพร่โดยทั่วไปในโซเชียลมีเดียและสื่อมวลชน เห็นได้ชัดว่านักศึกษาที่ร่วมงานใส่เสื้อหลากหลายสี ไม่ได้มีเฉพาะสีส้มหรือดำ

ข้อสรุปโคแฟค: ข้อมูลเท็จ หยุดแชร์

คำชี้แจงจากกองกิจการนักศึกษา มธ. รวมทั้งภาพและข้อความที่ มธ. เผยแพร่ในโซเชียลมีเดียก่อนงานปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ 4 ส.ค. 2566 สามารถพิสูจน์และยืนยันได้ว่า เนื้อหาในโซเชียลมีเดียที่ระบุว่า มธ. บังคับให้นักศึกษาใหม่ทุกคนเข้าร่วมงานปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่และทุกคนต้องแต่งกายด้วยสีดำ-ส้มเท่านั้น เป็นข้อมูลเท็จที่อาจเกิดจากความเข้าใจผิด แต่ถูกนำมาถ่ายทอดโดยไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน เพื่อเจตนาให้เกิดความเสียหายทางใดทางหนึ่งกับ มธ. ผู้ผลิตและเผยแพร่ข้อมูลนี้ควรนำข้อมูลออกจากระบบคอมพิวเตอร์ และผู้ใช้โซเชียลมีเดียที่พบเห็นข้อมูลไม่ควรเผยแพร่ต่อ

เรื่องแนะนำ

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 5 สิงหาคม 2566

สมุนไพรหญ้าพันงูขาว ช่วยรักษาโรคมะเร็งลำไส้ได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/22mv5otnuym63


ประเทศอิตาลีประกาศศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2ng18nq1w8cum


เตือนอันตราย! ผงชูรสฆ่าคน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3lg7s7usq6z62


เช็กช่องทางช่วย “มูโนะ” ขอบริจาคผ้าคลุม-เตือนคนนอกงดเข้าพื้นที่ จากเหตุโกดังพลุระเบิด!

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/qelacdvbxjmv


กกต.ระยอง พร้อมจัดเลือกตั้งซ่อม หลัง “นครชัย” สส.ก้าวไกล ลาออก

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3o9phkxxmfl0n


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 29 กรกฎาคม 2566

 ร้านไก่ทอดชื่อดัง ฉลองวันเกิด แจกไก่ 3,000 ชิ้น…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3la3knh890dhd


ใช้น้ำอัดลมเทใส่เนื้อหมูสด ทำให้หนอนหรือพยาธิออกจากเนื้อหมู…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1loxwera8j1sx


บิลค่าไฟรอบปี 2566 มีการใส่ค่า FT ผิดพลาด …จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3v9xbh1cal6jl


กรมการจัดหางานร่วมกับ DBD รับสมัครงานอาชีพเสริมหลังเลิกงาน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/arfo1duah9d3


 ทานไฟเบอร์ก่อนไข่และชีส ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/zzewzpkbtyqo


หลังตื่นนอนดื่มน้ำอุ่นวันละ 1 แก้ว ป้องกันได้หลายโรค

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3qs36ky8uh1dq


ครม.อนุมัติวันหยุดราชการเพิ่มเติม 31 ก.ค.2566

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2j37sy4x2xxcu


 เกิดการดื้อ-ขัดขืน! ‘ประธาน กสทช.’รวบอำนาจสั่ง‘พนง.’เบ็ดเสร็จ อ้างปย.สูงสุดต่อประเทศชาติ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/20mju55kilw0b


คลิปเสียงผู้ใช้ TikTok วิจารณ์พรรคเพื่อไทย ถูกนำไปอ้างเท็จว่าเป็นเสียง “จาตุรนต์ ฉายแสง”

คลิปเสียงของผู้ใช้ TikTok ที่วิจารณ์พรรคเพื่อไทยอย่างรุนแรง ถูกนำไปตัดต่อและให้ข้อมูลเท็จว่าเป็นเสียงของนายจาตุรนต์ ฉายแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ซึ่งเจ้าของคลิปต้นฉบับได้ออกมายืนยันแล้วว่าเป็นเสียงของตน ขณะที่นายจาตุรนต์ประณามผู้ที่เผยแพร่เนื้อหาอันเป็นเท็จและขอให้ผู้ใช้โซเชียลมีเดียหยุดแชร์คลิปดังกล่าว

โคแฟคตรวจสอบ

22 ก.ค. 2566 ผู้ใช้ TikTok ชื่อว่า “แอ๊ด สุทธิโรจน์” ได้โพสต์คลิปวิดีโอความยาวกว่า 8 นาที วิจารณ์ท่าทีของพรรคเพื่อไทยในการจัดตั้งรัฐบาล โดยเฉพาะการแถลงข่าวร่วม 8 พรรค เมื่อวันที่ 21 ก.ค. 2566 ซึ่งเขามองว่าพรรคเพื่อไทยและ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย แสดงท่าที “ไม่ให้เกียรติและเหยียบย่ำ” พรรคก้าวไกล

24 ก.ค. 2566 มีผู้นำเสียงของ “แอ๊ด สุทธิโรจน์” ไปตัดต่อประกอบภาพข่าวการเมือง และใส่ข้อความที่ทำให้เข้าใจผิดว่าเสียงในคลิปวิดีโอเป็นเสียงของนายจาตุรนต์ที่วิจารณ์พรรคเพื่อไทยและ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์

จากการตรวจสอบของโคแฟคเมื่อเวลา 21.30 น. วันที่ 25 ก.ค. 2566 พบว่ามีวิดีโอที่อ้างเท็จว่าเป็นเสียงของนายจาตุรนต์เผยแพร่อยู่ในแอปพลิเคชัน TikTok ไม่ต่ำกว่า 5 คลิป คลิปที่โพสต์โดยผู้ใช้ TikTok @p.wanwisa1 มียอดการเข้าชมถึง 1 ล้านครั้ง มีผู้แชร์ไปมากกว่า 5,100 ครั้ง และมีผู้เข้ามาให้ความเห็นเกือบ 6,000 ข้อความ ส่วนมากแสดงความชื่นชมนายจาตุรนต์ โดยไม่ได้ตั้งคำถามหรือสงสัยว่าเป็นเสียงของนายจาตุรนต์จริงหรือไม่

25 ก.ค. 2566 นายจาตุรนต์โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ชี้แจงว่า คลิปดังกล่าวไม่ใช่เสียงของเขา ยืนยืนว่าเขาไม่เคยให้ความเห็นเช่นนั้น และตั้งข้อสังเกตว่าผู้ผลิตและเผยแพร่คลิปปลอมนี้อาจมีเจตนาทำลายพรรคเพื่อไทยและยุยงให้ 8 พรรคที่ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลแตกกัน นอกจากนี้ทีมงานของนายจาตุรนต์ยังได้ชี้แจงเรื่องนี้ผ่านบัญชี TikTok @chaturon.team ด้วย

ทางด้าน “แอ๊ด สุทธิโรจน์” เจ้าของคลิปเสียงต้นฉบับวิจารณ์พรรคเพื่อไทย ได้โพสต์คลิปวิดีโอชี้แจงทาง TikTok ในช่วงสายวันนี้ (25 ก.ค.) ว่ามีผู้นำเสียงของเขา ไปตัดต่อและอ้างเท็จว่าเป็นเสียงของนายจาตุรนต์

“ได้มีการนำเสียงของกระผมที่วิจารณ์นักการเมืองไปใส่ภาพฟุตเทจ ทำให้เข้าใจว่าเป็นเสียงของคุณจาตุรนต์ ฉายแสง ขอสื่อสารให้ทุกคนช่วยกันกระจายข้อมูลนี้ออกไปว่า คลิปเสียงที่เอาไปกระจายกันให้เข้าใจว่าเป็นเสียงของคุณจาตุรนต์นั้นไม่ใช่นะครับ เป็นเสียงของกระผมเอง ซึ่งอาจจะมีการละม้ายคล้ายคลึงกับเสียงของคุณจาตุรนต์ ขอให้ทุกคนช่วยกันสื่อสารออกไปว่า ไม่ใช่เสียงของคุณจาตุรนต์นะครับ กลัวจะเกิดความเข้าใจผิด และการสื่อสารที่ผิดๆ ไปกระทบกับชื่อเสียงของคุณจาตุรนต์ เสียงที่กำลังแพร่กระจายอยู่ ณ เวลานี้ ไม่ใช่เสียงของคุณจาตุรนต์ เป็นเสียงของแอ๊ด สุทธิโรจน์” เขาระบุ

ข้อสรุปโคแฟค: เนื้อหาเป็นเท็จ หยุดแชร์

คลิปวิดีโอที่มีคำพูดขึ้นต้นว่า “วันนี้เป็นวันที่มีความรู้สึกเสียใจกับการเมืองของประเทศไทยมากขึ้นไปยิ่งกว่าเดิมอีก เมื่อเห็นพฤติกรรมของพรรคการเมืองที่เรียกว่าอยู่ฝั่งประชาธิปไตย ก็คือพรรคเพื่อไทยนั่นเอง เราได้เห็นพฤติกรรมตั้งแต่เปิดแถลงข่าวเมื่อวาน โดยที่ไม่ให้เกียรติ และก็ยังเหยียบย่ำพรรคที่เขายอมส่งไม้ต่อให้ พรรคที่ได้รับฉันทานุมัติเป็นอันดับ 1…” เป็นเสียงของผู้ใช้ TikTok คนหนึ่ง ไม่ใช่เสียงของนายจาตุรนต์ ส.ส. เพื่อไทย ซึ่งมีผู้นำเสียงไปตัดต่อโดยใส่ภาพและข้อความให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นคำพูดของนายจาตุรนต์

คลิปวิดีโอนี้มีเนื้อหาเป็นเท็จ ผู้ใช้โซเชียลมีเดียไม่ควรแชร์ต่อ และช่วยกันให้ข้อมูลที่ถูกต้อง

เรื่องแนะนำ