‘โคแฟค’ ร่วมจัดประชุม‘วิทยุชุมชน’เอเชีย-แปซิฟิก ย้ำเป็นอีกสื่อสำคัญต่อสู้ปัญหาข่าวลวง

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ AMARC Asia-Pacific  และภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) จัดการประชุมวิทยุชุมชนภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ 5 ประจำปี 2566 “ความท้าทายและโอกาสในการเสริมความเข้มแข็งวิทยุชุมชน” ระหว่างวันที่ 27 – 30 กันยายน 2566 ณ หอประชุมศรีบูรพา   ห้องประชุมสถาบันไทยคดีศึกษา และคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าประจันทร์) กรุงเทพฯ  มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 180 คนจาก 19 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและที่อื่นๆ 

Suman Basnet ผู้อำนวยการภูมิภาคภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (AMARC-AP)   กล่าวรายงานในพิธีเปิดว่า  การประชุมครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่จะแบ่งปันเรื่องราวการต่อสู้ดิ้นรน ชัยชนะของวิทยุชุมชน และมุ่งสู่การพัฒนาการกระจายข่าวโดยชุมชนในระยะต่อไป และเป็นช่วงเวลาแห่งการใคร่ครวญที่เราจะมองย้อนกลับไปยังประวัติศาสตร์ เพื่อระลึกถึงปรัชญาการก่อตั้งวิทยุชุมชน  การประชุมใหญ่นี้เป็นเวทีเปิดสำหรับการใคร่ครวญ ตั้งคำถามกับตัวเอง การเปิดรับคำแนะนำ การสร้างเครือข่าย และนำพาเราก้าวไปข้างหน้า 

ปีนี้เป็นปีพิเศษสำหรับ AMARC ที่มีอายุครบ 40 ปี AMARC ในฐานะเครือข่ายสถานีวิทยุชุมชน นานาชาติที่ได้รับการจัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2526 (ค.ศ.1983) ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่าน ขบวนการวิทยุชุมชนได้เติบโตขึ้นจนมีขนาดใหญ่ในแอฟริกา ละตินอเมริกาและแคริบเบียน เอเชียแปซิฟิก ยุโรป และอเมริกาเหนือ สถานีวิทยุเป็นเครือข่ายที่มีประโยชน์ในการเสริมสร้างและขยายงานด้านการสื่อสาร เช่น สิทธิในการสื่อสาร การป้องกันและการส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออก การจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติอย่างเร่งด่วนและจำเป็น ตลอดจนการเคารพสิทธิมนุษยชน 

ด้าน Dr. Ramnath Bhat ประธาน AMARC-AP  กล่าวว่า ปีนี้เป็นปีที่ 40 ของ AMARC และปีที่ 25 ของวิทยุชุมชนวิทยุในเอเชีย  หากย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์วิทยุชุมชนในเอเชียแปซิฟิก โครงการริเริ่มในช่วงแรก ๆ บางส่วนดำเนินการโดยนักข่าวสิ่งแวดล้อมในเนปาล ผู้หญิงในวรรณะจัณฑาลในอินเดีย หรือกลุ่มเกษตรกรในชนบทในประเทศศรีลังกา และอื่น ๆ ในช่วงปลายทศวรรษที่ 90 หรือต้นทศวรรษ 2000 วิทยุชุมชนเป็นแนวคิดที่พัฒนาศักยภาพการสื่อสารของคนในชุมชนที่ยิ่งใหญ่ ทั้งในด้านการปฏิวัติและการเปลี่ยนแปลงทางสังคม  เมื่อพูดถึงวิทยุชุมชน  ความหมายของชุมชนและความหมายของวิทยุโดยพื้นฐานได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ดังนั้นในสภาพแวดล้อมที่ลื่นไหลและไม่แน่นอนนี้ ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องท้าทายมากที่จะเข้าใจว่าเราจะเป็นผู้กระจายข่าวชุมชนต่อไปได้อย่างไร และผมขอยกย่องวิทยุชุมชนจำนวนมากที่ทำงานที่เหลือเชื่อและน่าทึ่งในช่วงที่มีการระบาดใหญ่ของโควิด -19  โดยมักจะให้การดูแลและสนับสนุนชุมชนเมื่อไม่มีสื่ออื่นใดอยู่ในระดับรากหญ้าจริง ๆ

ผมคิดว่าการกระจายข่าวโดยชุมชนมีบทบาทเร่งด่วนในการเป็นสื่อที่มีจริยธรรม ไม่ว่าจะเป็นการคอร์รัปชันและข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง แต่ก็มีข้อควรระวังเช่นกัน ผมเชื่อว่าวิทยุชุมชนยังมีอนาคต เราต้องประกันความยั่งยืนทางสังคมของภาคส่วนนี้ เราจะต้องเป็นการเคลื่อนไหวแบบมีส่วนร่วม จากล่างขึ้นบนอย่างแท้จริง ผู้ฟังควรรู้สึกว่าตนเองเป็นเจ้าของวิทยุ พวกเขาเป็นเจ้าของสื่อ วิทยุยืนหยัดเพื่อผลประโยชน์ของพวกเขา เพื่อสาธารณประโยชน์ และไม่แสวงหาผลกำไร พลังหลักวิธีเดียวที่เราจะดึงเอาความเป็นเจ้าของของชุมชนและความยุติธรรมทางสังคมออกมาได้ก็คือ การกระจายข่าวโดยชุมชนยืนหยัดอย่างมั่นคงเพื่อกลุ่มที่ถูกกดขี่มากที่สุดในสังคมของเรา เราต้องการการกระจายข่าวโดยชุมชน ที่ชุมชนจัณฑาล ชุมชนพื้นเมือง ผู้หญิงเป็นเจ้าของวิทยุมากขึ้น มีวิทยุที่ LGBTI เป็นเจ้าของมากขึ้น

นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) และกรรมการ AMARC-AP กล่าวต้อนรับผู้เข้าประชุม  และแนะนำโคแฟค ประเทศไทย  (Cofact Thailand)  ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา โดยมีสโลแกน คือ ทุกคนเป็นผู้ตรวจสอบข่าวได้  โดยมีการทำงานร่วมกันในการตรวจสอบเพื่อจัดการกับข้อมูล ในสังคมที่มีความเป็นประชาธิปไตย การตรวจสอบข้อมูลจะต้องได้รับการมีส่วนร่วมจากทุกคน โคแฟคเป็นนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ที่เป็นฐานข้อมูล ที่ทุกคนสามารถเข้าสู่ระบบและบันทึกข่าวลือและข้อมูลที่ได้รับมาจากแหล่งต่างๆ  นอกจากนี้ ยังมี Line Chabot ที่จะสามารถค้นหาข้อมูลข่าวลวง มากไปกว่านั้นโคแฟคได้ทำงานร่วมกับวิทยุชุมชน สื่อชุมชนทั่วประเทศ และ NGOs ซึ่งเป็นเหมือนเครือข่ายชุมชนสำหรับการเสริมสร้างความฉลาดทางดิจิทัล (Digital intelligence) และ ทักษะความเข้าใจ และความสามารถในการใช้เทคโนโลยี (Digital Literacy)  เพื่อสร้างภูมิปัญญาร่วมกันในการจัดการกับข้อมูล ในยุคนี้เป็นเรื่องง่ายมากที่จะถูกหลอกด้วยเรื่องราว ข่าวลือ ทฤษฎีสมคบคิด และข้อมูลบิดเบือนทุกประเภท หน้าที่ของเราคือการมีจิตใจที่มีวิจารณญาณ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ  การเท่าทันสื่อ ความยืดหยุ่น และความชาญฉลาดในการทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกออนไลน์และต้องวิเคราะห์ทุกสิ่งที่เราอ่านบนอินเทอร์เน็ต ในขณะเดียวกัน เราต้องทำให้แน่ใจจริง ๆ ว่าข้อมูลเหล่านั้นถูกต้องก่อนที่จะแบ่งปันข้อมูลต่อไป

นอกจากนี้ อาจารย์ ดร. คันธิรา ฉายาวงศ์ ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  ซึ่งเป็น 1 องค์กรเจ้าภาพร่วมจัดงานประชุมดังกล่าว กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมการประชุมจากทุกประเทศ ทุกองค์กร ที่เข้าร่วมงานประชุมในครั้งนี้  นับเป็นการรวมพลังของวิทยุชุมชนจากหลายประเทศ  มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ ศาสนาและวัฒนธรรม  แต่มีความมุ่งมั่นในการรวมพัฒนาวิทยุชุมชนที่เหมือนกัน  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นเจ้าภาพงานประชุมที่สำคัญเช่นนี้  

หลังจากพิธีเปิดเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว บนเวทีจัดให้มีการแสดงวัฒนธรรมเพื่อให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้ชม  บนแนวคิด ‘หลากหลายสำเนียงสู่สันติภาพโลก’ (Many Voices, One World’s Peace)   โดยมีการแสดง เพลง ‘อย่าเพิ่งเชื่อ’ โดย Deep South Cofact  จาก  3  จังหวัดชายแดนภาคใต้     เพลง ‘หยุดข่าวลวงทวงความจริง’ โดย หมอลำอีสานโคแฟค   การแสดง Drag Queen โดย ผู้แทนกลุ่ม LGBT  การแสดงพิณแก้ว โดย อาจารย์วีระพงศ์  ทวีศักดิ์ นักดนตรีพิณแก้วคนแรกของประเทศไทยและเอเชีย และปิดท้ายด้วยการการแสดงธรรมะ Peace Talk: Many Voices, One World’s Peace โดย พระมหานภันต์ ประธานกรรมการ มูลนิธิสถาบันการจัดการวิถีพุทธเพื่อสุขและสันติ (มูลนิธิ สกพ.)  

‘3 ตุลาคม 2566’หลากหลายข่าวร้ายเกิดขึ้น แต่ก็มีทั้ง‘จริง’และ ‘ลวง’

Cofact Special Report 18/66

“3 ตุลาคม 2566 สำหรับประเทศไทยดูจะมีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย และข่าวสารหลายเรื่องในวันนั้นก็เป็น ข่าวร้าย สร้างความตื่นตระหนกหรือสลดหดหู่ ส่งผลให้เกิดการ แชร์ ข้อมูลข่าวสารเหล่านั้นออกไปอย่างรวดเร็ว  อย่างไรก็ตาม ในข่าวที่แชร์กันไปนั้นก็มีทั้ง ข่าวจริง และที่เป็น ข่าวลวง ดังนี้

1.กราดยิงที่สยามพารากอน : เป็น ข่าวจริง และมีผู้เสียชีวิต 2 ราย เป็นชาวจีน 1 ราย และชาวเมียนมา 1 ราย และมีผู้บาดเจ็บ 5 คน โดยมีรายงานข่าว ผู้ก่อเหตุมาถึงห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน ในเวลาประมาณ 15.30 น. ก่อนที่ตำรวจจะควบคุมตัวผู้ก่อเหตุ ซึ่งเป็นเด็กชายอายุเพียง 14 ปี ไว้ได้ ในเวลาประมาณ 17.00 น. 

2.สามย่านมิตรทาวน์มีคนเอามีดไล่แทง : เป็น “ข่าวลวง” โดยเป็นข้อมูลที่ถูกแชร์ในเวลาไล่เลี่ยกับที่มีเหตุกราดยิงที่ห้างสยามพารากอน อ้างว่ามีบุคคลวิกลจริตถืออาวุธมีดไล่แทงคนที่เดินผ่านไป-มา บริเวณห้างสามย่านมิตรทาวน์ ใกล้กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อย่างไรก็ตาม มีรายงานจาก นสพ.มติชน ว่า ผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์ไปสอบถามแหล่งข่าวที่อยู่ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทราบข้อมูลว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง เช่นเดียวกับเพจเฟซบุ๊ก สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว อ้างอิงข้อมูลจากทวิตเตอร์ HOUSE SAMYAN ซึ่งเป็นโรงภาพยนตร์ที่อยู่บนชั้น 5 ของห้างสามย่านมิตรทาวน์ ว่า ตรวจสอบแล้วไม่มีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้น นอกจากนั้นยังมีรายงานจากสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 ที่ระบุว่าได้สอบถามกับตำรวจ ทราบว่าเป็นเหตุการณ์เก่าแต่ถูกนำกลับมาแชร์ใหม่ในวันดังกล่าว

3.สยามไฟไหม้ : เป็น “ข่าวลวง” จากการค้นหาข่าวในรอบ 24 ชั่วโมง และขยายเป็น 1 สัปดาห์ล่าสุด ไม่พบสำนักข่าวที่เป็นสื่อกระแสหลักใดๆ ที่รายงานข่าวดังกล่าวแต่อย่างใด ขณะที่ นสพ.เดลินิวส์ รายงานโดยอ้างคำชี้แจงจากห้างสรรพสินค้า MBK (มาบุญครอง) หลังมีผู้โพสต์ข้อความว่า MBK มีไฟไหม้ ว่า MBK Center ขอชี้แจงกรณีมีข่าวลือเรื่องไฟไหม้ 3 ต.ค. 2566 จากการตรวจสอบแล้วไม่เป็นความจริง ภาพดังกล่าวที่ถูกแชร์ในโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เกิดจากการทำงานของเครื่อง Cooling Tower ที่ทำให้เกิดกลุ่มไอน้ำในอากาศ 

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 3 ต.ค. 2566 มีข่าวเพลิงไหม้ที่เป็นข่าวใหญ่ คือที่อาคารภายในเรืองจำกลางคลองเปรม เขตจตุจักร ซึ่งอยู่ห่างจากย่านสยามสแควร์ ในเขคปทุมวันไปไกลพอสมควร และเกิดขึ้นในช่วงดึก 

4.สยามน้ำท่วม : อาจเป็นได้ทั้ง “ข่าวลวง” หรือ “ข่าวจริงบางส่วน” ก็ได้ เนื่องจากคำว่า “สยาม” หรือ “สยามสแควร์” ไม่พบแหล่งข้อมูลที่อ้างอิงได้ชัดเจนไปในทางเดียวกันว่าครอบคลุมบริเวณใดบ้าง แต่เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 3 ต.ค. 2566 สำนักงานเขตปทุมวัน ในฐานะผู้รับผิดชอบพื้นที่ดังกล่าว รายงานทางเพจเฟซบุ๊ก ว่า น.ส.สุขวิชญาณ์ นสมทรง ผู้อำนวยการเขตปทุมวัน พร้อมด้วยผู้ช่วยผู้อำนวยการเขต หัวหน้าฝ่ายรักษาความสะอาดและสวนสาธารณะ หัวหน้าฝ่ายเทศกิจ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายโยธา ลงพื้นที่ตรวจสอบน้ำท่วมขังรอการระบายในพื้นที่เขตปทุมวัน มีปริมาณฝนตกปานกลางอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ผู้อำนวยการเขตปทุมวัน ได้มอบหมายให้ฝ่ายโยธา จัดเจ้าหน้าที่หน่วย best เข้าประจำจุดเฝ้าระวังน้ำท่วมในพื้นที่เขต ฝ่ายรักษาความสะอาดฯ เก็บขยะหน้าตะแกรง และฝ่ายเทศกิจอำนวยความสะดวกประชาชน ในพื้นที่เขตปทุมวัน มีน้ำรอการระบายในถนนสายหลัก ดังนี้ (1) ถนนพระรามที่ 4 ตั้งแต่เเยกมหานคร ถึงบ่อนไก่ (2) ถนนพระรามที่ 1 บริเวณใต้สถานีรถไฟฟ้า BTS สนามกีฬาแห่งชาติ (3) ถนนพญาไท บริเวณหน้าศูนย์การค้า MBK (มาบุญครอง) และ (4) ถนนสายรอง บริเวณซอยรองเมือง 5 

5.อินดอร์สเตเดียมหัวหมากถล่ม : เป็น ข่าวจริง โดยเหตุเกิดขึ้นในเวลาประมาณ 17.00 น. ของวันที่ 3 ต.ค. 2566 หลังคาของสนามกีฬาอินดอร์ สเตเดี้ยม หัวหมาก ภายในการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ บางส่วนพังถล่มลงมา เนื่องจากเกิดฝนตกหนักในทั่วทุกพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร ซึ่งตามรายงานของเว็บไซต์ Siamsport.co.th ของ นสพ.สยามกีฬา ระบุว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นก่อนจะมีเปิดการแข่งขันศึก ไอดับเบิลยูบีเอฟ วีลแชร์บาสเกตบอลคนพิการชิงแชมป์โลก 2023 รุ่นอายุไม่เกิน 25 ปี เกิดขึ้นในช่วงเวลา 17.00 น. รายการนี้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดชิงชัยระหว่างวันที่ 3-9 ตุลาคม 2566 และทัวร์นาเมนต์นี้มี 10 ประเทศ ชั้นนำเดินทางร่วมแข่งขัน ทำให้ต้องอพยพนักกีฬาออกจากสถานที่ดังกล่าวและยกเลิกการจัดพิธีเปิด เบื้องต้นมีผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 2 ราย

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

https://www.bangkokbiznews.com/business/business/1091922 (ไล่ไทม์ไลน์ลำดับเหตุยิงสยามพารากอน อัปเดต ผู้เสียชีวิต-บาดเจ็บ ล่าสุด : กรุงเทพธุรกิจ 4 ต.ค. 2566)

https://www.bbc.com/thai/articles/c0kxql0ggwro (ผบ.ตร. สรุปยอดผู้เสียชีวิต 2 ราย บาดเจ็บ 5 ในเหตุคนร้ายใช้อาวุธยิงกลางพารากอน : BBC ไทย 3 ต.ค. 2566)

https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_4212816 (เฟคนิวส์! เหตุไล่แทงที่สามย่าน ไม่เป็นความจริง หลัง #สามย่าน พุ่งเทรนด์ทวิตเตอร์ : มติชน 3 ต.ค. 2566)

https://www.facebook.com/photo/?fbid=930720425081564&set=a.328293581990921&locale=th_TH (ข่าว ไล่แทงที่ สามย่านมิตรทาวน์ เป็น เฟคนิวส์! : สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว 3 ต.ค. 2566)

https://twitter.com/houseSamyan/status/1709157152802353184?ref_src=twsrc%5Egoogle%7Ctwcamp%5Eserp%7Ctwgr%5Etweet (#สามย่าน ทางศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ และโรงภาพยนตร์เฮ้าส์ สามย่านได้เข้าตรวจสอบแล้ว ไม่มีเหตุการณ์ใดๆเกิดขึ้นนะครับ : HOUSE SAMYAN 3 ต.ค. 2566)

https://www.youtube.com/watch?v=bkXYu4-IMoA (ชัวร์ก่อนแชร์ ลือว่อนโซเชียล “เหตุผู้ป่วยจิตเวชไล่แทงคน กลางสามย่าน” : ช่องยูทูบ CH7HD News 4 ต.ค. 2566)

https://www.dailynews.co.th/news/2774969/ (‘MBK Center’ ประกาศชี้แจงกรณีมีผู้ไม่หวังดีปล่อยข่าวไฟไหม้ตึก : เดลินิวส์ 3 ต.ค. 2566)

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid02maLqQxafnNePYZ1CBzimBSpNuzrte6t4Y8gHnakTdoNGfWQ5nNaJrHXX6iFgwN5fl&id=100064850371491&eav=Afbgj1_Ud2hN4QqqmWDX3SynMNhCHTpjs7D4v6vVixi-EKfxP0i9-NH5QJu7VQLoEQQ&m_entstream_source=timeline&refid=17&_ft_=encrypted_tracking_data.0AY-9CVvBJ4jaTKHJ8GqumUtbu3hkkKedfQoO_3Eba8hqkjrjNUz87uc7IZJedAgkx1A2gxFDdydA6kXlLo3Z3lHhM-Bs5WWc7perMjTEl5Zb9CdLKpQI_-Atmoce9OkfVctj4wcx7I0nBisE1aM6WfHfZCNHDWXjOSjew5y-2MH2-aQuqLwN6Xmb1r737cZmJkaWI2qJs3RNIhtSE6fEHBC1VgZUEnSML9TkymMTHkNz6OYt3JfySMau4PSX-GZTsFL05HTW_fQd91P0CWOkxBI4eXMkZ8h3y6QXQ8Wshiv9kaIM5w-ui0ctvILxbLSHxYVeFgecFjcuo7x2FPPbkxnBz3U6lR-WHIgIXApUY-K6vcc82ILhOaIO4FCpZQSd6MxS3BnmYHjjigMRqVysw7TFrFV9wQw5FLY1W-4Wi_0gJfLrbd4lcRk4zOfGvVMnFCzuQnya_Fk0JoyATCLpj4E2ASnVbXw-IG-jzaUi0U16oKV4VkmXo8D2ayEg7BBAhQ2dLqwfkYiAshJckRZ-QWiZFqC4cNDhLGNRhlsg6JO9kzzLulJAaRDMXQ8IXYa8F51TXgU2pV-Bzr7owXv_etR31qVqE8UNOoRSgCYQLeaDoimd-G6pKIGW-gN-vF5zR0wQ-h4AbZmeZt5lLcq2x_S-zHNawqx2dyC0njt1NduM5m_WY7Znkp0JJSoANjYf9Gha6oy4PzBMcgpNGh1MUjob4YdfVlF-KOUZsq02eVuNN0AYx-PYl2q1QSzkkwcuGRz-2I-JCeilIrSSYiIjRhCB4vXoRW-9B__jHN4QcA_MNYHatXvCSHr1vuDn8SkRyt34ZL8Nujy18p9CFK6C-xB12mXXdMprOjbk9tBlsZ6juEiTXlIjqm9a9VmfZSb_xHz-UrcV1Sj_o-Xz76rSa60ofPLho74dohTTUC3NBTN3eUkpKdR7Lf_C-do8aBSaLH3Kkag93UoPHeHfJ6buzuX2o-gH785pYFAoWz5zmYPbturiaI_JL54zbzFByBOrHyJwMMcAITJ9ZfqyNUrL3K5Df-pHoN7XBELBPjFTQrKYvIRyVYR5hLhFqxlsoKVFaIeAtuVnk5r-8lMxLdwQP_FnF7q-nZbyPRoDrpgomvrc1Ec35HUmyjif279-uITTnEUJGnxKRSW45CB-j22_6LfR1e9XiB8GnpawFOC7c9fMPwbOvw4g0CZRJeKLpdIFTc_Q_ha246mHgZM_JH_-EvhAaEab3JbLD_916L0uOti_nv-9aIu0hnZsfsAICEMIziFIsM66VaaBIGn6T4E-OZeSmeLNFqdJL-9nixon6t8tlJmeYwfbZIjDJbERYAxCrofw&paipv=0 (เพจเฟซบุ๊ก MBK Center 3 ต.ค. 2566)

https://www.thaipbs.or.th/news/content/332400 (ไฟไหม้แดน 4 เรือนจำกลางคลองเปรม ส่งชุดผจญเพลิงดับไฟ : ThaiPBS 3 ต.ค. 2566)

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid0GPhLo2qtQuXN9vRTu3DSSWdCcZvG2uwQz2nubnMTQahKq1PoqiYLii6rdiFFQsGwl&id=100028295540431&eav=AfaNCRO6ivyXsIAa56MHts1-uyy21VzZ8eW2vDizhUsCvgoN3Mc_iVwSnz8B4D3TXVg&refid=17&paipv=0 (#ปทุมวันลงพื้นที่ตรวจสอบพื้นที่มีน้ำรอการระบาย : สำนักงานเขตปทุมวัน Pathumwan District Office 3 ต.ค. 2566)

https://www.siamsport.co.th/other-sports/basketball/33225/ (เกิดเหตุระทึก!หลังคาสนามอินดอร์สเตเดี้ยมถล่ม ยกเลิกพิธีเปิดศึกวีลแชร์บาสคนพิการโลก : Siamsport 3 ต.ค. 2566)


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 30 กันยายน 2566

ขี้เถ้าช่วยให้ผลไม้หวานขึ้น…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/6i6kpfnjdeaf


ห้ามดื่มน้ำอัดลมผสมเครื่องดื่มชูกำลัง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1zkle5g0slfw2


ใช้ที่ชาร์จฉุกเฉินบ่อย ระบบไฟฟ้ารถ EV จะเสียหาย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/36p53k455lr7z


แบงค์พันปลอมหมายเลขเดียวกันจากต่างประเทศระบาดเข้าไทย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/37neqoso5vjmn


เตือนภัย ลำไส้โป่งพอง จากยาปฏิชีวนะ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2l9v66lpl6z3o


พาราเซตามอล กินมากไปเสี่ยงทำลายตับ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1z65ncv5m5p7x


ซาอุฯ เล็งลงทุนครั้งใหญ่ ตั้งคลังน้ำมันภาคใต้ของไทย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2hd1ws65swq52


ชำแหละข่าวลวงวนซ้ำเรื่อง “บำเหน็จบำนาญ สส.” ตัวเลข (เท็จ) นี้มีที่มา

เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีแล้วที่ข่าวลวงว่าด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ได้รับเงินบำนาญหลักหมื่นถึงหลายหมื่นบาท ถูกเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียและส่งต่อกันในแอปพลิเคชันไลน์ แม้หลายหน่วยงาน รวมทั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมของรัฐบาลจะออกมาชี้แจงหลายครั้งว่าเป็นข้อมูลเท็จ แต่ดูเหมือนข้อมูลนี้จะกลายเป็นอีกหนึ่งข่าวลวงวนซ้ำที่ฆ่าไม่ตาย

ข้อมูลเท็จเรื่อง สส. ได้รับเงินบำนาญ กลับมาอีกระลอกระหว่างการประชุมรัฐสภาเพื่ออภิปรายนโยบายรัฐบาล “เศรษฐา 1” เมื่อวันที่ 11-12 ก.ย. 2566 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนกำลังให้ความสนใจติดตามการทำหน้าที่ของ สส.

“สภาช่วยยกเลิกกฎหมายบำนาญ สส. ด้วย” ส่วนหนึ่งของข้อความระบุ “ข้าราชการต้องมีอายุราชการนาน 25 ปี ถึงมีสิทธิ์ได้รับบำนาญ แต่ สส.สุมหัวกันออกกฎหมายให้สิทธิ์ สส. ให้ได้รับเงินบำนาญ ตามระยะเวลาการเป็น สส.” 

ข้อมูลเท็จชิ้นนี้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนเงินบำนาญที่ สส. จะได้รับซึ่งจะเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง คือ เป็น สส. 2 ปี รับบำนาญ 22,712 บาท, 3 ปี 34,068 บาท, 7 ปี 45,424 บาท, 11 ปี 58,280 บาท, 15 ปี 68,136 บาท และเป็น สส. 20 ปี รับบำนาญ 79,492 บาท

“ผมรับราชการนาน 33 ปี มีสิทธิ์ได้รับบำนาญ 15,000 บาท มันยุติธรรม กันดีอยู่หรือ…” เจ้าของข้อความซึ่งใช้ชื่อว่า “พัน มโนเทพ” ระบุ ลงวันที่ 15 ก.พ. 2566

ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ ชี้แจงแล้วไม่ต่ำกว่า 4 ครั้ง

ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย ภายใต้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โพสต์เฟซบุ๊กชี้แจงข้อมูลเท็จเรื่องบำนาญ สส. ไม่ต่ำกว่า 4 ครั้ง ครั้งแรกโพสต์เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 2565 ระบุว่า “ตามที่มีการส่งต่อข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ ประเด็นเรื่อง สส. ที่มีอายุงาน 4 ปี มีสิทธิได้รับเงินบำนาญตลอดชีพ ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง พบว่าข้อมูลดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ”

สำหรับข้อความที่เขียนโดยผู้ที่ใช้ชื่อว่า “มโน พันเทพ” ที่ระบุจำนวนเงินบำนาญนั้น ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ ชี้แจงเมื่อวันที่ 2 มี.ค. , 2 เม.ย. และ 19 ก.ค. 2566 อ้างอิงการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา สรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้

  • สส. หรือ สว. ไม่มีสิทธิได้รับบำเหน็จหรือบำนาญ ยกเว้น 2 กรณี คือ 1) กรณีที่ สส. หรือ สว. ผู้นั้นเคยเป็นข้าราชการและได้รับบำนาญมาแต่เดิมก่อนมาเป็น สส. หรือ สว. และ 2) กรณีที่ สส. หรือ สว. นั้นเป็นข้าราชการการเมือง  

ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535 มาตรา 4 ข้าราชการการเมือง ได้แก่ บุคคลซึ่งรับราชการในตําแหน่งข้าราชการการเมือง ดังต่อไปนี้ นายกรัฐมนตรี, รองนายกรัฐมนตรี, รัฐมนตรีว่าการกระทรวง, รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี, รัฐมนตรีว่าการทบวง, รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง, รัฐมนตรีช่วยว่าการทบวง, ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี, ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี, ที่ปรึกษารัฐมนตรี และที่ปรึกษารัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี, เลขาธิการนายกรัฐมนตรี, รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง, โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี, รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี, เลขานุการรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี, ประจําสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี, เลขานุการรัฐมนตรี, และผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรี

  • สำหรับ สส. หรือ สว. ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นข้าราชการการเมือง เมื่อพ้นจากตำแหน่ง สามารถรับบำเหน็จบำนาญได้แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขและสูตรการคำนวณตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ

ตัวเลขบำเหน็จบำนาญ (เท็จ) มาจากไหน?

หากไม่นับความกระตือรือร้นในการตรวจสอบนักการเมืองที่ทำให้ข้อมูลเท็จนี้ “โดนใจ” ใครหลายคนที่พร้อมจะส่งต่อโดยไม่ตรวจสอบความถูกต้อง สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ข้อความนี้ดูน่าเชื่อถืออาจอยู่ที่การให้ข้อมูลเชิงตัวเลขที่ละเอียด เพิ่มจำนวนเป็นขั้นบันไดตามระยะเวลาการเป็น สส.

คำถามก็คือตัวเลขนี้มาจากไหน? โคแฟคตรวจสอบพบว่า ข้อมูลเท็จนี้ประกอบสร้างขึ้นจากข้อมูล 2 เรื่อง

1) ร่างพระราชกฤษฎีกาบำเหน็จบำนาญสมาชิกรัฐสภาที่เสนอในสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร

ในสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ได้มีการยกร่างได้ยกร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) บำเหน็จบำนาญ หรือผลประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของประธาน และรองประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกรัฐสภา พ.ศ. …. มีสาระสำคัญคือกำหนดให้ สส. และ สว. มีสิทธิได้รับบำเหน็จบำนาญเมื่อสิ้นสุดสมาชิกภาพ โดยคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 23 พ.ย. 2547 เห็นชอบสูตรการคำนวณเงินบำเหน็จบำนาญให้ สส. แล สว. ที่สิ้นสุดสมาชิกภาพหรือพ้นจากตำแหน่ง ดังนี้ 

  • ดำรงตำแหน่ง 2-3 ปี       มีบำเหน็จหรือบำนาญ 20% ของเงินประจำตำแหน่งเดือนสุดท้าย
  • ดำรงตำแหน่ง 3-7 ปี       มีบำเหน็จหรือบำนาญ 30% ของเงินประจำตำแหน่งเดือนสุดท้าย
  • ดำรงตำแหน่ง 7-11 ปี     มีบำเหน็จหรือบำนาญ 40% ของเงินประจำตำแหน่งเดือนสุดท้าย
  • ดำรงตำแหน่ง 11-15 ปี   มีบำเหน็จหรือบำนาญ 50% ของเงินประจำตำแหน่งเดือนสุดท้าย    
  • ดำรงตำแหน่ง 15-20 ปี   มีบำเหน็จหรือบำนาญ 60% ของเงินประจำตำแหน่งเดือนสุดท้าย      
  • ดำรงตำแหน่ง 20 ปีขึ้นไป มีบำเหน็จหรือบำนาญ 70% ของเงินประจำตำแหน่งเดือนสุดท้าย          

ต่อมาในปี 2548 สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้พิจารณาร่าง พ.ร.ฎ. ฉบับนี้แล้วเสร็จและเผยแพร่ต่อสาธารณะ ซึ่งยังคงสามารถเข้าถึงได้ ที่นี่ ร่างกฎหมายนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในขณะนั้น และสุดท้ายก็ไม่ได้ไปต่อ

2) ข้อมูลเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งของ สส.

หลังการเลือกตั้ง 14 พ.ค. 2566 ไอลอว์ได้เผยแพร่บทความเรื่อง “เปิดค่าตอบแทน สส.ผู้ทรงเกียรติ เงินเดือนหลักแสน ผู้ช่วยพร้อม สวัสดิการครบ” ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งของ สส. ที่อ้างอิงจาก พระราชกฤษฎีกาเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานและรองประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และกรรมาธิการ พ.ศ. ๒๕๕๕ ซึ่งกำหนดว่า สส. ได้เงินประจำตำแหน่ง 71,230 บาท/เดือน และเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่ง สส. 42,330 บาท/เดือน รวมเป็น 113,560 บาท/เดือน

เมื่อนำสูตรการคำนวณบำเหน็จบำนาญที่ระบุในร่าง พ.ร.ฎ. บำเหน็จบำนาญ หรือผลประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของ สส.ฯ ที่ยกร่างสมัยรัฐบาลทักษิณและตกไปแล้ว มาคำนวณกับรายรับต่อเดือนของ สส. ปัจจุบัน คือ 113,560 บาท/เดือน โคแฟคพบว่าได้ตัวเลขที่ตรงกับข้อมูลเท็จเงินบำนาญ สส. ที่เขียนโดย “มโน พันเทพ” เกือบทั้งหมด ดังนี้

สรุปได้ว่า ข้อมูลเท็จว่าด้วยเงินบำนาญ สส.-สว. นี้ น่าจะเกิดจากเอาข้อมูล 2 ส่วนมาเชื่อมโยงและคำนวณแบบผิด ๆ รวมทั้งให้ข้อมูลที่สร้างความเข้าใจผิดว่า กฎหมายบำเหน็จบำนาญสมาชิกรัฐสภานั้นมีผลบังคับใช้แล้ว

บทเรียนจากข่าวลวง

ข่าวเท็จเรื่องบำเหน็จบำนาญ สส. เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจในหลายประเด็น

  1. ข่าวลวงหรือข้อมูลเท็จมักมีส่วนผสมของความจริงหรือข้อมูลที่เป็นจริงบางส่วน ทำให้ดูน่าเชื่อถือและคนคิดว่าเป็นข้อมูลจริงจึงเผยแพร่ต่อ ข้อมูลเท็จเรื่องบำเหน็จบำนาญ สส. นี้มีส่วนประกอบของเนื้อหาจากร่าง พ.ร.ฎ. บำเหน็จบำนาญ สส.-สว. ที่ยกร่างขึ้นในสมัยรัฐบาลทักษิณ และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเงินประจำตำแหน่งของสมาชิกรัฐสภา จึงอาจทำให้ผู้ที่ได้รับข่าวลวงนี้เชื่อว่าเป็นข้อมูลจริง
  2. ข่าวลวงบางชิ้น แม้จะมีการชี้แจงหรือหักล้างจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว แต่ก็ยังกลับมาวนซ้ำ  โดยผู้เผยแพร่จงใจอาศัยช่วงจังหวะเวลาที่ผู้คนจะสนใจในเรื่องนั้น ๆ เช่น ข่าวลวงชิ้นนี้กลับมาแพร่หลายอีกระลอกในช่วงที่ สส. และ สว. ทำหน้าที่อภิปรายในการประชุมรัฐสภาเพื่ออภิปรายนโยบายรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน เมื่อวันที่ 11-12 ก.ย. 2566 ดังนั้นการประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าเพื่อช่วงชิงให้ข้อมูลข้อเท็จจริงในบางเรื่องก่อนหรือที่เรียกว่า pre-bunking จึงมีความสำคัญ
  3. บางครั้ง การชี้แจงหรือหักล้างข้อเท็จจริงด้วยการปฏิเสธและให้ข้อมูลที่ถูกต้องอาจไม่เพียงพอ แต่ควรมีการวิเคราะห์อย่างละเอียดเพื่อชี้ให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่าข้อมูล/ข่าวลวง/ความเท็จนั้นถูกประกอบสร้างขึ้นมาอย่างไร

เรื่องแนะนำ

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 23 กันยายน 2566

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดโอกาสให้ลงทุนหุ้นโรงพยาบาล เริ่มต้นเพียง 899 บาท…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/uh6vvverw9e9


“คอลดาต้า” (ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร น้ำพลูคาว) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสามารถรักษาโรคทางตาได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/jw494utoi3nt


“น้ำคลอรีน” หรือ”สารละลาย CDS”ใช้กันป้องกันรักษาโรคโควิด-19 ได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/29n4r987rtjma


ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร Super Height ช่วยเพิ่มความสูง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3j0ahyv88kfey


นำนิ้วโป้ง นิ้วกลาง และนิ้วนางมาชนกัน จะช่วยป้องกันโรคตับ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3i0blydjhm6o9


หน้ากากอนามัยผ้าสปันบอนด์ เป็นไมโครพลาสติก สูดดมอาจเสี่ยงมะเร็ง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/xr9ven6ejekc


นำเจลสารพัดประโยชน์มาอุดฟันและซ่อมฟันที่มีรอยแตกบิ่น…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/excuijr7sfg2


ธ.ก.ส. ยืดชำระหนี้ 5 ปี ช่วยลูกหนี้โควิด

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2bvq3fi0w4gn9


ประเทศจีนยกเลิกขอผลตรวจโควิด 19 ก่อนเข้าประเทศ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1dum2ypbgi3rz


สปสช. เพิ่มสิทธิแผ่นปิดกะโหลกศีรษะไทเทเนียมสำหรับผู้ป่วยผ่าตัดสมอง

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2h351usrgilv3


คลิปวิดีโอ “นี่คือการเลียนแบบ “ศพมนุษย์ต่างดาว” ที่ทำเป็นเค้ก…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1zwlyqhctamv0


10 อันดับข่าวลวง ‘มะเร็ง’ วนซ้ำ (ไม่นับเรื่องยาสมุนไพรรักษาโรค) เชื่อหรือไม่? บางเรื่องแชร์ยาวนานกว่า10ปี

By : Zhang Taehun

บทความนี้ ขอเสนอการจัดอันดับ 10 ข่าวลวงเกี่ยวกับ มะเร็ง ที่มีการนำเสนอวนซ้ำหลายครั้งและเป็นระยะเวลานานจากฐานข้อมูลของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยผู้เขียนเลือกประเด็นข่าวลวงที่ไม่เกี่ยวข้องกับการใช้สมุนไพรมานำเสนอ เนื่องจากฐานข้อมูลกว่า 3 ปีของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ มีข่าวลวงเรื่องสมุนไพรรักษามะเร็งเป็นส่วนใหญ่ และมีจำนวนมากในระดับที่เกินกำลังของผู้เขียนที่จะเรียบเรียงและสรุปได้ในเวลาที่จำกัด ทั้งนี้ การจัดอันดับจะพิจารณาจาก 3 เรื่อง คือ 1.จำนวนครั้งที่พบและชี้แจงข่าวลวง 2.ระยะเวลาตั้งแต่ข่าวลวงเข้าสู่ระบบของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ ครั้งแรกจนถึงครั้งล่าสุด และ 3.ข่าวลวงนั้นเริ่มถูกแชร์ครั้งแรกเมื่อใดและครั้งล่าสุดเมื่อใด 

หมายเหตุ : ข้อมูลทั้งหมดสืบค้นจากฐานข้อมูลของ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ณ วันที่ 9 ก.ย. 2566 เป็นหลัก เนื่องจากเป็นฐานข้อมูลที่ค่อนข้างจัดเรียงได้เป็นระบบจนสืบค้นได้ง่ายที่สุด โดยอ้างอิงประกอบกับแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่สามารถตรวจสอบได้ ซึ่งหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับ มะเร็ง นั้นมีข่าวลวงจำนวนมากและศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ ต้องทำ Tag พิเศษไว้ให้โดยเฉพาะเพื่อรวมเนื้อหาที่เกี่ยวข้องเรื่องนี้ให้ง่ายต่อการค้นหา 

———————————————————

อันดับ 10 หากสัมผัสสารกันบูดที่อยู่บนผิวปลาทูนึ่งจะทำให้ป่วยเป็นมะเร็งผิวหนังได้ 

(พบว่ามีการนำเสนอข่าวลวงนี้ 4 ครั้ง โดยครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 2564 พบครั้งล่าสุดวันที่ 29 ม.ค. 2566 ระยะเวลาการเสนอข่าวลวงวนซ้ำ 1 ปี 1 เดือน)

หน่วยงานผู้ตรวจสอบ : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

คำอธิบาย : ยังไม่มีหลักฐานหรือข้อมูลวิชาการที่บ่งชี้ว่าการสัมผัสสารกันบูดส่งผลให้เกิดมะเร็งผิวหนัง ขณะเดียวกันกระบวนการผลิตปลาทูนึ่งถือเป็นการถนอมอาหารอยู่แล้ว ซึ่งจะช่วยรักษาคุณภาพปลาทูไว้ทำให้สามารถเก็บไว้ได้ในระยะหนึ่งโดยไม่จำเป็นต้องใส่สารกันบูด ทั้งนี้ สารกันบูดเป็นสารที่ช่วยยืดอายุการเก็บรักษาโดยการทำลายหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุการเน่าเสียของอาหาร ตัวอย่างของสารกันบูด เช่น กรดเบนโซอิก กรดซอร์บิก พาราเบนส์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์และซัลไฟต์ เป็นต้น โดยสารกันบูดที่อนุญาตให้ใช้จะผ่านการประเมินความปลอดภัยและมีการกำหนดปริมาณที่บริโภคได้ต่อวัน นอกจากนี้ยังมีการการสุ่มตรวจหรือสำรวจปริมาณการตกค้างของสารเหล่านี้ให้อยู่ในค่าไม่เกินมาตรฐานอย่างสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม การเลือกซื้อปลาทูนึ่งควรซื้อจากแหล่งผลิตที่น่าเชื่อถือ และก่อนรับประทานควรนำมาผ่านความร้อนทุกครั้ง

———————————————————

อันดับ 9 อาหารค้างคืนก่อมะเร็ง

(พบว่ามีการนำเสนอข่าวลวงนี้ 4 ครั้ง โดยครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 ก.ย. 2563 พบครั้งล่าสุดวันที่ 12 พ.ย. 2565 ระยะเวลาการเสนอข่าวลวงวนซ้ำ 2 ปี 2 เดือน)

หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

คำอธิบาย : การรับประทานอาหารค้างคืน และนำกลับมาอุ่นซ้ำไม่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคมะเร็ง แต่อันตรายอาจเกิดจากการเก็บรักษาที่ไม่ถูกวิธี เช่น เก็บในตู้เย็นที่มีความเย็นไม่เพียงพอทำให้มีเชื้อจุลินทรีย์เจริญเติบโตจนสร้างสารพิษขึ้นมา เมื่อทานอาหารเหล่านั้นเข้าไปก็จะมีผลต่อระบบทางเดินอาหารได้ นอกจากนี้อาหารที่ทำทิ้งไว้นาน และมีการอุ่นซ้ำซากอาจทำให้คุณค่าทางโภชนาการลดลง รวมถึงมีรสชาติเปลี่ยนไป โดยการรับประทานอาหารที่ค้างคืน และนำกลับมาอุ่นซ้ำควรคำนึงถึงอุณหภูมิของการเก็บรักษา และการอุ่นด้วยความร้อนอย่างทั่วถึง เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ อย่างไรก็ตามเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด ควรรับประทานอาหารที่สดใหม่ ไม่ปนเปื้อนสารก่อมะเร็ง และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ

———————————————————

อันดับ 8 กระทะเทฟลอนทำให้เกิดโรคมะเร็ง

(พบว่ามีการนำเสนอข่าวลวงนี้  5 ครั้ง โดยครั้งแรกเมื่อวันที่  21 ม.ค. 2564 พบครั้งล่าสุด 28 มี.ค. 2566 ระยะเวลาการเสนอข่าวลวงวนซ้ำ 2 ปี 2 เดือน)

หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข 

คำอธิบาย : สารเทฟลอนที่นิยมใช้เคลือบกระทะ คือ Polytetrafluoroethylene (PTFE) ที่สังเคราะห์มาจาก Tetrafluoroethylene (TFE) เป็นสารที่เสถียรและทนความร้อนได้สูงมาก กรณีได้รับความร้อนสูงจนเกิดความเสียหายเท่านั้นจะเกิดการหดตัวและหลุดร่อน เมื่อได้รับเข้าสู่ร่างกายจะถูกขับถ่ายออกมาพร้อมกับอุจจาระ โดยไม่ได้ทำปฏิกิริยาหรือดูดซึมเข้าร่างกาย ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่า เทฟลอนเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ กระทะเทฟลอนสามารถนำมาใช้ในการทำอาหารได้

ทั้งนี้ อาจมีข้อจำกัดสำหรับอายุการใช้งาน ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและเหมาะกับการใช้งานตามคำแนะนำ อย่างไรก็ตาม ในกระบวนการผลิตเทฟลอนอาจมีการใช้สาร Perfluorooctanoic acid หรือ PFOA (ซึ่งขณะนี้ไม่นิยมนำมาใช้แล้ว) สารดังกล่าวถูกจัดให้เป็นกลุ่มสารที่มีความเป็นไปได้ในการก่อมะเร็งในสัตว์ทดลอง โดยเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเนื้องอกของตับ ตับอ่อน อัณฑะ และเต้านมของสัตว์ แต่ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยที่ศึกษาในมนุษย์ ดังนั้น ยังคงต้องรอการศึกษาวิจัยต่อไปในอนาคต

———————————————————

อันดับ 7 ริดสีดวงกับมะเร็งลำไส้ใหญ่

(พบว่ามีการนำเสนอข่าวลวงนี้ 5 ครั้ง โดยครั้งแรกเมื่อวันที่  15 ต.ค. 2563 พบครั้งล่าสุดวันที่ 23 ก.พ. 2566 ระยะเวลาการเสนอข่าวลวงวนซ้ำ 2 ปี 4 เดือน)

หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

คำอธิบาย : โรคริดสีดวงไม่ได้เป็นสาเหตุของมะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งริดสีดวง เป็นโรคที่เกิดจากเส้นเลือดดำทวารหนัก หรือส่วนปลายสุดของลำไส้ใหญ่มีการบวมพองยื่นนูนเป็นติ่งออกมาจากทวารหนัก สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ ริดสีดวงภายใน เกิดบริเวณเนื้อเยื่อทวารหนักที่อยู่สูงกว่าระดับหูรูดทวารหนัก และริดสีดวงภายนอก เกิดบริเวณทวารหนักส่วนล่าง มีอาการนูนเป็นติ่งออกจากทวารหนัก

โดยปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่ ได้แก่ การสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การรับประทานเนื้อแดง เนื้อแปรรูปเป็นประจำ อาหารกากใยน้อย อาหารปิ้งย่างรมควัน ตลอดจนขาดการออกกำลังกาย เป็นต้น และอาการของโรคที่พบบ่อย ได้แก่ การถ่ายอุจจาระมีมูกปนเลือดหรืออาจถ่ายเป็นเลือดสด ๆ มีอาการท้องผูกสลับท้องเสีย ถ่ายอุจจาระบ่อยครั้ง/ถ่ายไม่สุด ขนาดของลำอุจจาระเล็กลง และมีอาการปวดท้อง แน่นท้อง ท้องอืด จุกเสียด เป็นต้น

สาระน่ารู้เพิ่มเติม : นพ.พรเทพ ประทานวณิช แพทย์เฉพาะทางอนุสาขาศัลยศาสตร์ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก โรงพยาบาลสมิติเวช อธิบายในบทความ ถ่ายเป็นเลือด ริดสีดวงทวาร หรือ มะเร็งลำไส้ใหญ่?” ว่า ริดสีดวงทวาร คือ การที่เส้นเลือดบริเวณทวารหนักมีการโป่งพองจากการเบ่งหรือแรงดันอย่างต่อเนื่อง บางครั้งเส้นเลือดที่โป่งพองมีขนาดใหญ่จนไม่สามารถยุบตัวลงไปเองได้ อาจเกิดการแตก หรือมีเลือดออกเป็นหยดหลังการถ่ายหรืออาจพบเมื่อทำความสะอาด และอาจเกิดความเจ็บปวดได้ในบางราย บางรายอาจคลำได้ก้อนบริเวณทวารหนัก มีอาการคัน หรือขับถ่ายไม่สะดวก  

ขณะที่ มะเร็งลำไส้ใหญ่ คือเนื้องอกชนิดร้ายแรงที่มีการเจริญเติบโตที่บริเวณลำไส้ใหญ่ และมักสัมพันธ์กับติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่ โดยในบางราย อาจพบมีเลือดปนมากับอุจจาระ โดยมีลักษณะเป็นเลือดปนอยู่ในเนื้ออุจจาระ หรือเคลือบอยู่กับอุจจาระ บางรายมีอาการถ่ายเป็นเลือด หรือถ่ายดำ ท้องผูกสลับท้องเสีย อาจมีอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด หรือหากเป็นในระยะรุนแรงอาจมีอาการของระบบอื่นที่มีการแพร่กระจายของมะเร็ง เช่น ภาวะเหลือง น้ำในท้อง น้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด หรืออาการทางระบบประสาทจากการแพร่กระจายไปที่สมอง เป็นต้น

ทั้งนี้ เนื่องจากอาการของริดสีดวงทวารหนัก และเนื้องอก/มะเร็งลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย บางครั้งมีความคล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะถ้ามีอาการดังนี้ ควรมาพบแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยแยกโรคให้ชัดเจนและนำไปสู่การรักษาที่เหมาะสม (เพราะในปัจจุบันมะเร็งลำไส้ใหญ่ไม่ได้เกิดกับผู้สูงอายุเท่านั้น คนที่มีอายุน้อยก็สามารถเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้เช่นกัน) ได้แก่ ถ่ายมีมูกขาวๆ ปนกับเลือดสีคล้ำๆ , มีภาวะซีดร่วมด้วย , ถ่ายอุจจาระบ่อย ถ่ายไม่สุด หรืออาการถ่ายไม่ค่อยออก , รู้สึกปวดในรูทวารหนักตลอดเวลา , มีอาการท้องผูก สลับท้องเสีย , ขนาดของอุจจาระเล็กลงอย่างต่อเนื่อง , น้ำหนักลดลง , มีประวัติเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ในครอบครัว

———————————————————

อันดับ 6 ใช้หม้อทอดไร้น้ำมันปรุงอาหาร ทำให้เกิดมะเร็ง 

(พบว่ามีการนำเสนอข่าวลวงนี้ 4 ครั้ง โดยครั้งแรกเมื่อวันที่  16 พ.ค. 2563 พบครั้งล่าสุดวันที่ 11 พ.ย. 2565 ระยะเวลาการเสนอข่าวลวงวนซ้ำ 2 ปี 5 เดือน) 

หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข , นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ

คำอธิบาย : จากการตรวจสอบข้อมูลวิชาการไม่พบว่าการใช้หม้อทอดไร้น้ำมันปรุงอาหารเป็นสาเหตุของการก่อโรคมะเร็ง สำหรับประเด็นการเกิดสารก่อมะเร็ง เช่น สารอะคริลาไมด์ (acrylamide) จากการปรุงอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตหรืออาหารที่มีแป้งเป็นส่วนผสม และประเภทเนื้อสัตว์นั้น ในความเป็นจริงสารเหล่านี้เกิดขึ้นจากกระบวนการทอด ปิ้ง ย่าง อบ หรือวิธีใด ๆ ที่ใช้อุณหภูมิสูงเป็นระยะเวลานาน ดังนั้นจึงไม่ควรใช้อุปกรณ์ชนิดใดปรุงอาหารด้วยความร้อนสูงเป็นระยะเวลานานเพราะอาจส่งผลให้เกิดสารก่อมะเร็งปนเปื้อนสู่อาหารได้ เช่นเดียวกันการปิ้งหรือย่างเนื้อสัตว์ที่ไหม้เกรียม การอบหรือทอดมันฝรั่ง/อาหารที่มีแป้งเป็นส่วนผสมจนกรอบเกิดเป็นสีน้ำตาลเข้ม เป็นต้น และควรบริโภคอาหารที่ปรุงด้วยความร้อนระดับปานกลางและระยะเวลาสั้น อาหารประเภทเนื้อสัตว์ไม่ควรปิ้งย่างจนไหม้เกรียม การลวกมันฝรั่งก่อนการทอดจะช่วยลดการเกิดสารอะคริลาไมด์ได้ ระมัดระวังการทานอาหารที่ไหม้เกรียมเพื่อความปลอดภัยด้วยและสิ่งสำคัญเราควรบริโภคอาหารให้หลากหลายโดยเพิ่มวิธีปรุงด้วยการต้ม

หรือนึ่งและเน้นอาหารประเภทผักผลไม้ให้มากขึ้นจะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน

นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ให้ข้อมูลว่า การใช้หม้อทอดไร้น้ำมันจะไม่เสี่ยงมะเร็งหากใช้อย่างถูกต้อง หม้อทอดปกติหรือกระทะหากทอดผิดวิธีก็เสี่ยงได้เช่นกัน ฉะนั้นการใช้หม้อทอดไร้น้ำมันปรุงอาหารเสี่ยงก่อมะเร็ง จึงเป็นเรื่องไม่จริงหากใช้ให้ถูกวิธี ถ้าเป็นปลาเราอยากได้น้ำมันดีก็เอาไปทอดในกระทะ แต่ถ้าเป็นไก่ หมู หมูสามชั้น เบคอน แฮม เราอยากรีดน้ำมันร้ายออก หม้อทอดน้ำมันก็เป็นพระเอกสำหรับการทำอาหารประเภทนี้ได้ และที่สำคัญให้เราควรเลือกหม้อทอดที่มีฉลากปลอดจาก BPA สารเคมีอันตรายที่พบในบรรจุภัณฑ์อาหาร ซึ่งมีผลเสียกับต่อมไร้ท่อในร่างกาย ท้ายที่สุดสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะใช้หม้อทอดไฟฟ้า หรือเตาถ่านรุ่นคุณย่า กระบวนการทอด ปิ้ง ย่าง อบ ที่ใช้อุณหภูมิสูงเป็นระยะเวลานาน จนไหม้เกรียม ส่งผลให้เกิดสารก่อมะเร็งปนเปื้อนสู่อาหารได้ทั้งสิ้น จึงควรบริโภคอาหารที่ปรุงด้วยความร้อนระดับปานกลางและใช้ระยะเวลาสั้น อาหารสุกก็เพียงพอแล้ว

———————————————————

อันดับ 5 โรลออนทำให้เกิดมะเร็งเต้านม 

(พบว่ามีการนำเสนอข่าวลวงนี้  4 ครั้ง โดยครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 พ.ค. 2563 พบครั้งล่าสุดวันที่ 4 ธ.ค. 2565 ระยะเวลาการเสนอข่าวลวงวนซ้ำ 2 ปี 6 เดือน)

หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข 

คำอธิบาย : ยังไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่าการใช้โรลออนระงับกลิ่นกาย (Deodorant) และระงับเหงื่อ (Antiperspirant) ส่งผลให้เกิดมะเร็งเต้านม โดยผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายใช้ลดการเกิดกลิ่นตัวซึ่งมีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งมีส่วนประกอบ เช่น สารลดเหงื่อ กรดเบนโซอิค สารฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และน้ำหอม เป็นต้น ส่วนผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อเป็นสารที่ใช้ลดการหลั่งเหงื่อทำให้ผิวหนัง และรูขุมขนบริเวณที่ทาอุดตัน สารนี้มักจะมีส่วนประกอบของโลหะ เช่น อลูมิเนียมคลอไฮเดรท ซึ่งมีความกังวลว่าสารนี้อาจตกค้างที่ผิวหนังบริเวณใต้วงแขนส่งผลต่อการเพิ่มความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม 

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังไม่มีงานวิจัยที่ยืนยันแน่ชัดว่าการใช้สารระงับเหงื่อ/สารระงับกลิ่นกายมีความเชื่อมโยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม อีกทั้งการใช้สารระงับการหลั่งเหงื่อเป็นการใช้ในช่วงเวลาสั้นๆ และใช้เฉพาะจุดซึ่งเหงื่อยังคงถูกขับออกบริเวณอื่นของร่างกายได้จึงไม่ก่อให้เกิดอันตราย ทั้งนี้ แนะนำให้ควรดูสารเคมีที่เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์โรลออน เช่น น้ำหอม สารกันบูด เพื่อสังเกตอาการแพ้หรืออาการระคายเคืองต่าง ๆ บริเวณผิวหนัง นอกจากนี้ในผู้ที่มีกลิ่นตัวมากควรรักษาสุขอนามัยให้สะอาด และอาบน้ำด้วยสบู่ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุกลิ่นตัวเป็นประจำ

———————————————————

อันดับ 4 หายใจเข้าลึกๆ ทำจิตใจไม่ให้เครียด และงดรับประทานอาหารที่เป็นกรด” 3 วิธีรักษามะเร็งด้วยตนเอง ไม่ต้องใช้ยาและไม่ต้องทำคีโม

(พบว่ามีการนำเสนอข่าวลวงนี้ 5 ครั้ง โดยครั้งแรกเมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2563 พบครั้งล่าสุดวันที่ 8 ต.ค. 2565 ระยะเวลาการเสนอข่าวลวงวนซ้ำ 2 ปี 6 เดือน)

หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

คำอธิบาย : วิธีรักษามะเร็งด้วยตนเองได้แก่ การหายใจเข้าลึก ๆ การทำจิตใจไม่ให้เครียดและการไม่กินอาหารที่เป็นกรดนั้นไม่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรคมะเร็ง ซึ่งปัจจุบันการรักษาโรคมะเร็งมีหลายแนวทาง เช่น การผ่าตัด รังสีรักษา การทำเคมีบำบัด การรักษาด้วยยามุ่งเป้าและการรักษามะเร็งเฉพาะจุด เป็นต้น แนวทางการรักษาดังกล่าวถือว่าเป็นวิธีมาตรฐานที่ทั่วโลกยอมรับ ส่วนการหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อให้ได้ออกซิเจนปริมาณมาก การทำจิตใจไม่ให้เครียด การงดบริโภคอาหารที่เป็นกรดและให้บริโภคอาหารที่เป็นด่างนั้น ยังไม่มีหลักฐานหรืองานวิจัยที่ยืนยันว่ามีส่วนในการรักษาโรคมะเร็ง

———————————————————

อันดับ 3 น้ำแข็งยูนิค/น้ำแข็งยูนิตใส่ฟอร์มาลีนก่อมะเร็งทำให้คนไทยเป็นมะเร็งอันดับหนึ่งของโลก

(พบว่ามีการนำเสนอข่าวลวงนี้ 6 ครั้ง โดยครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2564 พบครั้งล่าสุดวันที่ 19 ส.ค. 2566 ระยะเวลาการเสนอข่าวลวงวนซ้ำ  2 ปี 6 เดือน)

หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

คำอธิบาย : ฟอร์มาลีนไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในอาหาร และไม่มีคุณสมบัติทำให้น้ำแข็งตัวได้เร็วหรือละลายช้า ซึ่งน้ำแข็งผลิตจากกระบวนการเปลี่ยนสถานะของน้ำจากของเหลวเป็นของแข็ง น้ำที่อุณหภูมิต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียสไม่จำเป็นต้องเติมสารอื่นเพิ่มเติม โดยฟอร์มาลีน หรือ สารละลายฟอร์มัลดีไฮด์ เป็นสารเคมีชนิดหนึ่งซึ่งมีพิษ ประกอบด้วยก๊าซฟอร์มาลดีไฮด์ละลายน้ำด้วยความเข้มข้นร้อยละ 37 มีลักษณะเป็นน้ำใส มีกลิ่นฉุน แสบจมูกและตา ฟอร์มาลีนถูกนำมาใช้ประโยชน์หลายด้าน เช่น เป็นสารตั้งต้นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ในทางการแพทย์นำมาใช้ในการรักษาสภาพร่างกายมนุษย์ที่เสียชีวิต ใช้ในห้องปฏิบัติการพยาธิวิทยา ในขั้นตอนการคงสภาพของเนื้อเยื่อในเทคนิคทางด้านเนื้อเยื่อวิทยา เพราะทำให้โปรตีนแข็งตัว 

สำหรับประเด็นเรื่องที่คนไทยเป็นมะเร็งมากที่สุดในโลกนั้น ในด้านสถิติการเสียชีวิตของประชากรไทย ข้อมูลจากสถิติสาธารณสุขรายงานว่าโรคมะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของคนไทย อย่างไรก็ตามอุบัติการการเกิดโรคมะเร็งของไทยไม่ได้เป็นอันดับ 1 ของโลก รายงานจากองค์การอนามัยโลก (Globocan 2020) ประเทศไทยมีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่จัดเป็นอันดับที่ 89 ของโลก

———————————————————

อันดับ 2 : สบู่เหลวมีสารซักฟอก หากจะร่วมกับสารประกอบตระกูลเอมีน จะเป็นสารก่อมะเร็ง 

(พบว่ามีการนำเสนอข่าวลวงนี้ 4 ครั้ง โดยครั้งแรกเมื่อวันที่  6 ก.พ. 2561 พบครั้งล่าสุดวันที่ 19 พ.ค. 2565 ระยะเวลาการเสนอข่าวลวงวน 4 ปี 3 เดือน)

หน่วยงานผู้ตรวจสอบ : สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข , เพจเฟซบุ๊ก “อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์” ของ รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

คำอธิบาย : ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยที่ยืนยันแน่ชัดว่าการใช้สบู่เหลวที่มีส่วนผสมของสารซักฟอกในชีวิตประจำวันทั่วไปทำให้เกิดสารก่อมะเร็ง ซึ่งสบู่เหลวทำมาจากปฏิกิริยาระหว่างไขมันกับด่าง และอาจมีการเติมสารเคมีหลายชนิด เช่น สารลดแรงตึงผิวหรือสารซักฟอก สารเพิ่มฟอง สารเพิ่มความหนืด สารกันเสีย สารเพิ่มความชุ่มชื้น และสารปรับความเป็นกรดด่าง เพื่อให้มีความเหมาะสมต่อการใช้งาน สบู่เหลวบางประเภทมีส่วนประกอบของสารลดแรงตึงผิวที่ชื่อว่า โซเดียมลอริลซัลเฟต (Sodium Lauryl Sulfate , SLS) และโซเดียมลอเรตซัลเฟต (Sodium Laureth Sulfate, SLES) สารเหล่านี้ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาว่ามีความปลอดภัยสามารถใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางได้หากใช้ในปริมาณที่กฎหมายกำหนด

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลทางวิชาการพบว่า สารเอสแอลเอสสามารถทำปฏิกิริยากับสารตระกูลเอมีนแล้วเกิดเป็นสารไนโตรซามีนได้ แต่จะต้องมีองค์ประกอบหรือสภาวะที่เหมาะสม เช่น ต้องทำปฏิกิริยากันภายใต้อุณหภูมิที่สูงกว่า 100 องศาเซลเซียส ดังนั้นการใช้สบู่เหลวในชีวิตประจำวันทั่วไปจะทำให้มีโอกาสเกิดสารก่อมะเร็งได้น้อยมาก อย่างไรก็ตามการใช้สบู่เหลวที่มีส่วนผสมของสารเอสแอลเอสอาจจะก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อดวงตาและผิวหนัง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารนี้และระยะเวลาที่ผลิตภัณฑ์สัมผัสร่างกาย รวมถึงสภาพผิวของแต่ละคนด้วย ซึ่งสบู่เหลวจัดเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง จึงแนะนำให้เลือกซื้อจากร้านค้าที่น่าเชื่อถือและมีใบรับจดแจ้งเครื่องสำอางที่ฉลากทุกครั้ง หากผู้บริโภคต้องการหลีกเลี่ยงสารเอสแอลเอสในผลิตภัณฑ์ สามารถเลือกใช้เครื่องสำอางที่ฉลากระบุว่า “Sodium Lauryl Sulfate Free” ได้

———————————————————

อันดับ 1  กินเม็ดชานมไข่มุก ทำให้เป็นโรคมะเร็ง

(พบว่ามีการนำเสนอข่าวลวงนี้ 5 ครั้ง โดยครั้งแรกเมื่อวันที่14 พ.ย. 2561 พบครั้งล่าสุดวันที่ 4 ก.ค. 2566 ระยะเวลาการเสนอข่าวลวงวน 4 ปี 7 เดือน และอ้างอิงจากรศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ ข่าวลวงนี้อาจมีประวัติการตรวจสอบยาวนานมาตั้งแต่ปี 2555 หรือมากกว่า 10 ปี)

หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) , เพจเฟซบุ๊ก “อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์” ของ รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

คำอธิบาย : จากที่มีการแชร์ข้อความบนสื่อออนไลน์ว่าเม็ดไข่มุกบางยี่ห้อจากไต้หวันนั้นมีสารสไตรีน และสารกลุ่มโพลีคลอรีนเนตเต็ดไบฟีนีล (Polychlorinated Biphenyls ;PCBs) ซึ่งทำให้เกิดมะเร็งได้ ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่าไม่เป็นความจริง จากที่คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคไต้หวันได้มีการตรวจสอบแล้ว ไม่พบว่ามีสารสไตรีน (Styrene) แต่พบสารอะซิโตฟีโนน (Acetophenone) และสารประกอบกลุ่มโพลีโบรมีนเนตเต็ดไบฟีนีล (Polybrominated Biphenyl;PBBs) ซึ่งมีปริมาณน้อยมาก แต่ไม่ใช่สารประกอบกลุ่มโพลีคลอรีนเนตเต็ดไบฟีนีล (Polychlorinated Biphenyls ;PCBs) จึงไม่ได้ทำให้เป็นมะเร็งอย่างที่ได้มีการแชร์

โดยเม็ดชานมไข่มุกทำมาจากแป้งมันสำปะหลัง การกินเม็ดชานมไข่มุกก็เหมือนการกินแป้ง จึงยังสามารถกินชานมไข่มุกได้เหมือนเดิม แต่สิ่งที่น่ากลัว คือการกินชานมไข่มุกในปริมาณที่มากเกินไป อาจทำให้เกิดโรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจได้ เพราะนอกจากในเม็ดไข่มุกจะประกอบไปด้วยแป้งมันสำปะหลังแล้วนั้น ในน้ำชานมยังประกอบไปด้วยน้ำตาล น้ำเชื่อม ครีมเทียม นมข้นหวาน ซึ่งจัดได้ว่าชานมไข่มุกเป็นเครื่องดื่มที่มีแคลอรีสูง และมีคุณค่าทางสารอาหารน้อย จึงควรกินชานมไข่มุกนาน ๆ ครั้งเท่านั้น หรือหากต้องการกินอาจลดปริมาณน้ำตาล หลีกเลี่ยงการใส่ครีมเทียมในชานมไข่มุก

รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกเล่าไว้ในเฟจเฟซบุ๊ก “อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์” อ้างอิงข้อมูลจากวารสาร Wellness ของมหาวิทยาลัย University of California Berkeley ที่เผยแพร่ในวันที่ 26 ก.ค. 2556 ที่ระบุว่า เมื่อปี 2012 (พ.ศ. 2555) มีรายงานจากประเทศเยอรมันที่บอกว่า เม็ดไข่มุกนี้อาจจะก่อมะเร็ง และกลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก โดยการศึกษาที่ว่านั้นทำโดยนักวิจัยของมหาวิทยาลัย University Hospital Aachen โดยเอาเม็ดไข่มุกไม่ระบุยี่ห้อจากตัวแทนจำหน่ายชาวไต้หวัน และพบว่ามีสารเคมี เช่น สไตรีน (styrene) และ อะซิโตฟีโนน (acetophenone) และสารอื่นๆที่จับอยู่กับธาตุโบรมีน ทางนักวิจัยเลยบอกว่ามันน่าจะเป็นสารประกอบกลุ่ม โพลีคลอรีนเนตเต็ตไบฟีนีล (PCBs polychlorinated biphenyls หรือพีซีบี) ซึ่งสารพีซีบีนี้ เป็นที่ทราบกันมานานแล้วว่า สามารถทำให้เกิดมะเร็งในสัตว์ทดลองได้ และสารพีซีบีนั้นสัมพันธ์กับมะเร็งตับและมะเร็งผิวหนังของคนงานที่สัมผัสกับสาร ต่อมา คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ของทางรัฐบาลประเทศไต้หวัน ก็ได้ทำการพิสูจน์หาข้อเท็จจริง ได้เก็บตัวอย่างเม็ดไข่มุก 22 ตัวอย่างจาก 7 ผู้ผลิต ซึ่งผลที่ได้นั้น ไม่พบว่ามีสารสไตรีน ขณะที่พบสารกลุ่มโบรมีนเนตเต็ทไบฟีนิลและอะซิโตฟีโนน แต่มีปริมาณน้อยมาก จนไม่ต้องกังวลต่อสุขภาพ ส่วนองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกานั้น (U.S. FDA) ก็ได้ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า สารหอมระเหย กลุ่มอะซิโตฟีโนนและสารสไตรีนนั้น ไม่นับว่าเป็นสารกลุ่มพีซีบี เพราะมันไม่ได้มีส่วนประกอบเป็นคลอรีนหรือไบฟีนิล ความจริงแล้ว ทั้งสารกลุ่มอะซิโตฟีโนนและสไตรีนนั้น ได้รับอนุญาตอย่างถูกกฎหมายให้เติมลงไปในอาหารได้ด้วยซ้ำ เพื่อแต่งกลิ่นให้กับอาหาร


อ้างอิง

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-สารกันบูดที่อยู่บนผิวปลาทูนึ่ง-หากสัมผัสโดนทำให้เป็นมะเร็งผิวหนัง/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! สารกันบูดที่อยู่บนผิวปลาทูนึ่ง หากสัมผัสโดนทำให้เป็นมะเร็งผิวหนัง 3 ธ.ค. 2564)

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-สัมผัสสารกันบูดในปลาทูนึ่ง-ทำให้เป็นมะเร็งที่มือ/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! สัมผัสสารกันบูดในปลาทูนึ่ง ทำให้เป็นมะเร็งที่มือ 4 ก.พ. 2565)

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-สัมผั-2/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! สัมผัสสารกันบูดในปลาทูนึ่ง ทำให้เป็นมะเร็งที่มือ 31 ก.ค. 2565)

https://www.dms.go.th/Content/Select_Landding_page?contentId=38615 (ข่าวปลอม อย่าแชร์! สัมผัสสารกันบูดในปลาทูนึ่ง ทำให้เป็นมะเร็งผิวหนัง : กรมการแพทย์ 29 ม.ค. 2566)

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-กินอา-3/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! กินอาหารค้างคืนที่อุ่นซ้ำ ทำให้เป็นโรคมะเร็ง : 7 ก.ย. 2563)

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-กินอาหารค้างคืนที่นำไปอุ่นซ้ำ-ทำให้เป็นโรคมะเร็ง/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! กินอาหารค้างคืนที่นำไปอุ่นซ้ำ ทำให้เป็นโรคมะเร็ง : 24 พ.ย. 2563)

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-กินอาหารค้างคืนอุ่นซ้ำ-ทำให้เป็นโรคมะเร็ง/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! กินอาหารค้างคืนอุ่นซ้ำ ทำให้เป็นโรคมะเร็ง : 3 ธ.ค. 2564)

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-กินอา-5/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! กินอาหารค้างคืนอุ่นซ้ำ ทำให้เป็นโรคมะเร็ง : 16 พ.ย. 2565)

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-ใช้กระทะที่เคลือบสารเทฟลอน-ทำให้เกิดโรคมะเร็ง/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! ใช้กระทะที่เคลือบสารเทฟลอน ทำให้เกิดโรคมะเร็ง : 25 ม.ค. 2564)

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-กระทะเทฟลอน-เมื่อโดนความร้อนจะปล่อยสารก่อโรคมะเร็ง/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! กระทะเทฟลอน เมื่อโดนความร้อนจะปล่อยสารก่อโรคมะเร็ง : 8 พ.ย. 2564)

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-กระทะ-2/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! กระทะเทฟลอนที่โดนความร้อน ทำให้มีสารก่อมะเร็งปล่อยออกมา : 1 มี.ค. 2565)

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-กระทะ-3/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! กระทะเทฟลอนที่โดนความร้อน ทำให้มีสารก่อมะเร็งปล่อยออกมา : 1 ม.ค. 2566)

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-กระทะเทฟลอนที่โดนความร้อน-จะมีสารก่อมะเร็งปล่อยออกมา/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! กระทะเทฟลอนที่โดนความร้อน จะมีสารก่อมะเร็งปล่อยออกมา 26 มี.ค. 2566)

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-ริดสี/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! ริดสีดวงเป็นสัญญาณเตือนของมะเร็งลำไส้ใหญ่ 15 ต.ค. 2563)

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-ริดสีดวงเป็นสัญญาณเตือนของมะเร็งลำไส้ใหญ่/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! ริดสีดวงเป็นสัญญาณเตือนของมะเร็งลำไส้ใหญ่ 2 ต.ค. 2564)

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-ผู้ที่เป็นริดสีดวง-เสี่ยงเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! ผู้ที่เป็นริดสีดวง เสี่ยงเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ : 11 ธ.ค. 2564)

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-ริดสี-2/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! ริดสีดวงเป็นสัญญาณเตือนของมะเร็งลำไส้ใหญ่ : 14 มี.ค. 2565)

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-ริดสี-3/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! ริดสีดวงเป็นสัญญาณเตือนของมะเร็งลำไส้ใหญ่ : 23 ก.พ. 2566)

https://www.samitivejhospitals.com/th/article/detail/blood-in-stool (ถ่ายเป็นเลือด ริดสีดวงทวาร หรือ มะเร็งลำไส้ใหญ่? : 24 พ.ค. 2566)

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-หม้อท/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! หม้อทอดไร้น้ำมันใช้ปรุงอาหาร ทำให้ก่อมะเร็ง : 16 พ.ค. 2563)

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-หม้อทอดไร้น้ำมัน-เป็นสาเหตุทำให้เกิดสารก่อมะเร็งในอาหาร/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! หม้อทอดไร้น้ำมัน เป็นสาเหตุทำให้เกิดสารก่อมะเร็งในอาหาร 7 พ.ย. 2564) 

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-ใช้หม้อทอดไร้น้ำมันปรุงอาหาร-ทำให้ก่อมะเร็ง/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์!  ใช้หม้อทอดไร้น้ำมันปรุงอาหาร ทำให้ก่อมะเร็ง : 28 พ.ค. 2565)

https://www.pptvhd36.com/news/ไลฟ์สไตล์/127316 (หม้อทอดไร้น้ำมันทำให้เสี่ยงมะเร็งจริงหรือ? : PPTV 11 พ.ย. 2565)

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-ใช้โร/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! ใช้โรลออนทำให้เป็นมะเร็งเต้านม 16 พ.ค. 2563)

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-ใช้โรลออนเพื่อกำจัดกลิ่น-เสี่ยงทำให้เป็นมะเร็งเต้านม/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! ใช้โรลออนเพื่อกำจัดกลิ่น เสี่ยงทำให้เป็นมะเร็งเต้านม 7 ต.ค. 2564)

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-ใช้โรลออนเป็นประจำ-ทำให้เป็นมะเร็งเต้านม/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! ใช้โรลออนเป็นประจำ ทำให้เป็นมะเร็งเต้านม 4 ม.ค. 2565)

https://www.tnnthailand.com/news/health/132393/ (หมอตอบชัด “ใช้โรลออนเป็นประจำ” ก่อให้เกิดมะเร็งเต้านม จริงหรือไม่? : TNN Thailand 4 ธ.ค. 2565)

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-3-วิธีร/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! 3 วิธีรักษาโรคมะเร็งด้วยตนเอง 27 มี.ค. 2563)

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-วิธีร/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! วิธีรักษาโรคมะเร็งด้วยตนเอง 14 มิ.ย. 2563)

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-3-วิธีร-2/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! 3 วิธีรักษาโรคมะเร็งด้วยตนเอง 31 ส.ค. 2564)

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-3-วิธีรักษาโรคมะเร็งด้วยตนเอง/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! 3 วิธีรักษาโรคมะเร็งด้วยตนเอง 22 เม.ย. 2565)

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-วิธีรักษามะเร็งให้หายได้-ไม่ให้ทำคีโมแต่ให้กำหนดลมหายใจตัวเอง-และกินอาหารที่ไม่เป็นกรด/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! วิธีรักษามะเร็งให้หายได้ ไม่ให้ทำคีโมแต่ให้กำหนดลมหายใจตัวเอง และกินอาหารที่ไม่เป็นกรด 8 ต.ค. 2565)

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-น้ำแข็งยูนิคใส่สารฟอร์มาลีน-ทำให้คนไทยเป็นมะเร็งอันดับ-1-ของโลก/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! น้ำแข็งยูนิคใส่สารฟอร์มาลีน ทำให้คนไทยเป็นมะเร็งอันดับ 1 ของโลก : 6 ก.พ. 2564)

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-น้ำแข็งยูนิคใส่สารฟอร์มาลีน-ทำให้คนไทยเป็นโรคมะเร็งอันดับ-1-ของโลก/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! น้ำแข็งยูนิคใส่สารฟอร์มาลีน ทำให้คนไทยเป็นมะเร็งอันดับ 1 ของโลก : 24 ส.ค. 2564)

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-น้ำแข-2/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! น้ำแข็งยูนิคใส่สารฟอร์มาลีน ทำให้คนไทยเป็นโรคมะเร็งอันดับ 1 ของโลก : 8 ธ.ค. 2564)

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-น้ำแข-3/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! น้ำแข็งยูนิคใส่สารฟอร์มาลีน ทำให้คนไทยเป็นมะเร็งอันดับ 1 ของโลก : 15 ก.พ. 2565)

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-น้ำแข-4/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! น้ำแข็งยูนิคใส่สารฟอร์มาลีน ทำให้คนไทยเป็นมะเร็งอันดับ 1 ของโลก : 4 มิ.ย. 2565)

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-น้ำแข็งยูนิตใส่สารฟอร์มาลีนทำให้คนไทยเป็นมะเร็งอันดับ-1-ของโลก/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! น้ำแข็งยูนิตใส่สารฟอร์มาลีนทำให้คนไทยเป็นมะเร็งอันดับ 1 ของโลก 19 ส.ค. 2566)

https://www.facebook.com/OhISeebyAjarnJess/photos/a.220998438383217/352161125266947/?type=3&locale=th_TH (สบู่เหลว ไม่ได้ทำให้ตายเร็ว .. SLS ไม่ได้ก่อมะเร็ง : “อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์” 6 ก.พ. 2561)

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-สบู่เหลวมีสารซักฟอก-หากใช้ร่วมกับสารประกอบตระกูลเอมีน-จะเป็นสารก่อมะเร็ง/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! สบู่เหลวมีสารซักฟอก หากใช้ร่วมกับสารประกอบตระกูลเอมีน จะเป็นสารก่อมะเร็ง : 6 พ.ย. 2564)

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-สารซักฟอกในสบู่เหลว-ถ้าใช้ร่วมกับสารประกอบตระกูลเอมีน-จะกลายเป็นสารก่อมะเร็ง/ (สารซักฟอกในสบู่เหลว ถ้าใช้ร่วมกับสารประกอบตระกูลเอมีน จะกลายเป็นสารก่อมะเร็ง : 27 ธ.ค. 2564)

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-สบู่เหลวมีสารซักฟอก-หากใช้ร่วมกับสารประกอบตระกูลเอมีนจะเป็นสารก่อมะเร็ง/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! สบู่เหลวมีสารซักฟอก หากใช้ร่วมกับสารประกอบตระกูลเอมีนจะเป็นสารก่อมะเร็ง : 19 พ.ค. 2565)

https://www.facebook.com/OhISeebyAjarnJess/posts/518430751973316?ref=embed_post (“ไข่มุก (ในชานม) ไม่ได้ก่อมะเร็งครับ” : “อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์” 14 พ.ย. 2561)

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-กินเม-2/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! กินเม็ดชานมไข่มุก ทำให้เป็นโรคมะเร็ง : 2 พ.ย. 2563)

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-กินเม็ดชานมไข่มุก-ทำให้เป็นโรคมะเร็ง/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! กินเม็ดชานมไข่มุก ทำให้เป็นโรคมะเร็ง 20 มี.ค. 2565)

https://www.antifakenewscenter.com/ผลิตภัณฑ์สุขภาพ/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-กินเม-3/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! กินเม็ดชานมไข่มุก ทำให้เป็นโรคมะเร็ง : 3 ม.ค. 2566)

https://www.nationtv.tv/news/social/378922037 (อย. รีบแจง หลังสะพัดหนัก กินเม็ดชานมไข่มุก เสี่ยงโรคมะเร็ง เรื่องนี้มีคำตอบ : เนชั่น 4 ก.ค. 2566)

เศรษฐา ทวีสิน “หลุดความลับ ชวนลงทุนคริปโตฯ” เป็นข่าวลวง อย่าแชร์-อย่ากดลิงก์

ธนาคารแห่งประเทศไทย ไทยรัฐ และอีจัน เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวลวงที่ระบุว่านายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยช่องทางการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลหรือคริปโตเคอร์เรนซี ที่ทำให้เขามีรายได้หลายสิบล้านบาทในเวลาเพียงไม่กี่เดือน

เนื้อหาเท็จดังกล่าวได้นำภาพนายเศรษฐาที่ให้สัมภาษณ์พิเศษสื่อออนไลน์ “อีจัน” ซึ่งเผยแพร่ทางยูทูปเมื่อวันที่ 12 เม.ย. 2566 มาประกอบข้อเขียนคล้ายสกู๊ปข่าว พาดหัวว่า “ธนาคารแห่งประเทศไทยกำลังดำเนินคดีกับเศรษฐา กับเรื่องที่เขาได้เปิดเผยกลางรายการทีวีถ่ายทอดสด” โดยจัดหน้าเว็บไซต์และใส่โลโกให้เข้าใจผิดว่าเป็นเนื้อหาของ “Thairath Money” ซึ่งเป็นคอลัมน์การเงินการลงทุนของสำนักข่าวไทยรัฐออนไลน์

ข่าวลวงชิ้นนี้เผยแพร่เมื่อวันที่ 12 และ 14 ก.ย. 2566 มีเนื้อหาโดยสรุปว่า ระหว่างการให้สัมภาษณ์ นายเศรษฐาได้เปิดเผยชื่อแพลตฟอร์มค้าขายเงินสกุลดิจิทัลชื่อ “XBT 3.0 Evex” ที่ทำให้เขามีรายได้มหาศาลในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งทันทีที่นายเศรษฐาเปิดเผยชื่อแพลตฟอร์ม เจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทยก็โทรศัพท์เข้ามาในรายการและสั่งให้ยุติการถ่ายทอดสดทันที

ตัวอย่างเนื้อหาที่มีการส่งต่อกันในแอปพลิเคชันไลน์

คำเตือนจากไทยรัฐ อีจัน และแบงก์ชาติ

หลังจากข่าวปลอมนี้ถูกเผยแพร่หน่วยงานและสื่อที่ถูกแอบอ้างในเนื้อหาเท็จนี้ได้ออกมาชี้แจงและเตือนภัยต่อสาธารณะ

14 ก.ย. 2566 สำนักข่าวไทยรัฐได้เผยแพร่คำเตือนเรื่องเว็บไซต์ปลอมที่ลอกเลียนแบบเว็บไซต์ Thairath Money ระบุว่า ไทยรัฐพบ “การโคลนนิ่งรูปแบบเพื่อสร้างข่าวปลอม บิดเบือนข้อมูลอันเป็นเท็จ” โดยใช้ภาพของนายเศรษฐากำลังนั่งบนโซฟา ให้สัมภาษณ์กับสื่อออนไลน์แห่งหนึ่ง พร้อมสร้างข้อความพาดหัวเป็นเท็จว่า “ธนาคารแห่งประเทศไทยกำลังดำเนินคดีกับเศรษฐา กับเรื่องที่เขาได้เปิดเผยกลางรายการทีวีถ่ายทอดสด” เผยแพร่เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2566 เวลา 15.26 น. และ 14 ก.ย. 2566 เวลา 16.24 น. ซึ่งเป็นการ “นำเสนอข่าวที่ไม่ได้มีการเผยแพร่ทางไทยรัฐมันนี เอามาโพสต์ สร้างความเข้าใจผิด”

15 ก.ย. 2566 อีจันเผยแพร่ข่าวทางเว็บไซต์และเฟซบุ๊ก ระบุว่า พบเว็บไซต์ปลอมที่นำเนื้อหาการสัมภาษณ์นายเศรษฐาในรายการ “Exclusive Talk กับ แคนดิเดต นายกฯ ของพรรคเพื่อไทย” ที่เผยแพร่ทางช่องยูทูปอีจันเมื่อ 12 เม.ย. 2566 มาปลอมแปลงเนื้อหาขึ้นใหม่ ซึ่งเป็นเนื้อหาที่ไม่ได้มีอยู่ในการสัมภาษณ์ และได้ใช้ภาพประกอบจากในรายการ ซึ่งถือเป็นการสร้างข่าวปลอม นำเข้าข้อมูลเท็จในลักษณะของการชักชวนหลอกลงทุนที่อาจทำให้ประชาชนเกิดความสับสน ทั้งยังเป็นการใส่ร้ายนายเศรษฐา นายกรัฐมนตรี รวมถึงรัฐบาลอีกด้วย

อีจันได้โพสต์ลิงก์ยูทูปสัมภาษณ์ฉบับเต็มประกอบและยืนยันว่า เนื้อหาในการสัมภาษณ์ นายเศรษฐา ในฐานะแคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทย ได้พูดถึงวิสัยทัศน์และนโยบายของพรรค ไม่ได้มีการกล่าวถึงการสร้างความมั่งคั่งด้วยการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลแต่อย่างใด

ล่าสุด เมื่อวันที่ 18 ก.ย. 2566 ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือแบงก์ชาติ ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอมจากเว็บไซต์ปลอมที่แอบอ้างชื่อแบงก์ชาติเรื่องการดำเนินคดีกับนายเศรษฐา

โคแฟคตรวจสอบ

ข่าวลวงเรื่องนายกฯ เศรษฐาชวนลงทุนคริปโตเคอร์เรนซีที่ปลอมแปลงเนื้อหาจากยูทูปอีจัน ลอกเลียนแบบเว็บไซต์ไทยรัฐ และแอบอ้างชื่อธนาคารแห่งประเทศไทย ถูกเผยแพร่ทั้งทางเว็บไซต์และทางแอปพลิเคชันไลน์ซึ่งเป็นภาพที่ถ่ายจากหน้าจอ (screen capture) จากเว็บไซต์ financeforyou.me

โคแฟคค้นหาข่าวลวงนี้ในอินเทอร์เน็ตเมื่อวันที่ 15 ก.ย. 2566 แต่ไม่พบทั้งเนื้อหาและเว็บไซต์ เมื่อนำ URL financeforyounow.me ไปสืบค้นในแพลตฟอร์มตรวจสอบความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยของเว็บไซต์เช่น  URLVOID ได้ข้อมูลว่า เว็บไซต์ financeforyounow.me เพิ่งจดทะเบียนเมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2566 มี IP Address อยู่บนเครือข่ายของ Cloudflare ในประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วน Norton Safe Web จัดเว็บไซต์นี้อยู่ในระดับ “ควรระวัง” (caution) ซึ่งหมายถึงเว็บไซต์ที่อาจจะไม่ปลอดภัย แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นอันตราย

โคแฟคยังพบด้วยว่า มีผู้ใช้ TikTok คนหนึ่ง ซึ่งมีผู้ติดตามเกือบ 15,000 บัญชี นำข่าวปลอมนี้ไปเผยแพร่ต่อโดยเขียนข้อความเชื่อมโยงกับนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ของรัฐบาลที่ต้องใช้งบประมาณ 560,000 ล้านบาท ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่านายเศรษฐาชักชวนให้คนมาลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลจริงเพราะมีผลประโยชน์ทับซ้อน โพสต์นี้มีผู้เข้ามาแสดงความเห็นนับร้อยคน ส่วนใหญ่เป็นไปในทางวิจารณ์และโจมตีนายเศรษฐา โดยไม่ได้ตั้งคำถามว่าเนื้อหานี้เป็นความจริงหรือไม่

ข้อสรุปโคแฟค: ข่าวลวง หยุดแชร์ อย่ากดลิงก์

ธนาคารแห่งประเทศไทย ไทยรัฐ และอีจัน ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกแอบอ้างในข่าวลวงชิ้นนี้ ได้ออกมายืนยันชัดเจนแล้วว่า เนื้อหาที่ปรากฏเป็นข้อความเท็จที่สร้างขึ้นมา (fabricated content) ลอกเลียนแบบเว็บไซต์ (impersonated content) รวมทั้งแอบอ้างชื่อหน่วยงานของรัฐ

แม้ปัจจุบันจะไม่พบเนื้อหาและลิงก์ข่าวปลอมนี้ในอินเทอร์เน็ต แต่มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะยังมีการส่งต่อในแอปพลิเคชันไลน์ ประชาชนจึงควรระวัง ไม่กดลิงก์ที่แนบมากับเนื้อหานี้ และไม่ส่งต่อ

ในกรณีนี้ โคแฟคมีข้อสังเกตเพิ่มเติม ดังนี้

  1. ข่าวลวงชิ้นนี้ถูกเผยแพร่ในช่วงที่สังคมกำลังให้ความสนใจกับนโยบายแจกเงินดิจิทัลของรัฐบาลเศรษฐา จึงเห็นได้ว่าผู้เผยแพร่ข่าวลวง มักเลือกจังหวะที่คนกำลังให้ความสนใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งในการปล่อยข่าวลวง หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม จึงควรมีการประเมินสถานการณ์และเฝ้าระวังเป็นพิเศษ
  2. สำหรับหลายคน ข่าวลวงชิ้นนี้อาจจะดูออกได้ง่ายว่าเนื้อหาเป็นเท็จ เพราะใช้ภาษาที่ไม่เป็นธรรมชาติ และข้อมูลที่ไม่สมจริง เช่น เจ้าหน้าที่แบงก์ชาติโทรศัพท์ให้ระงับการเผยแพร่ หรือ นายกฯ พูดถึงความร่ำรวยของตัวเองและชักชวนประชาชนมาลงทุน เป็นต้น แต่ก็ยังอาจมีบางคนที่หลงเชื่อ ดังนั้น การหักล้าง เตือนภัย และชี้แจงข้อเท็จจริงจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง จึงมีความสำคัญ ไม่ว่าข่าวลวงชิ้นนั้นจะดูออกได้ง่ายเพียงใดว่าเป็นข้อมูลเท็จ
  3. จากการที่มีผู้นำข่าวลวงชิ้นนี้ไปเผยแพร่ต่อใน TikTok แม้ว่าจะมีการชี้แจงแล้วว่าเป็นข้อมูลเท็จ แสดงให้เห็นอันตรายของข่าวลวง ที่ไม่เพียงถูกใช้เพื่อหลอกลวงประชาชนให้เสียทรัพย์สิน แต่ยังถูกใช้เพื่อโจมตีกันทางการเมืองอีกด้วย

เรื่องแนะนำ

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 16 กันยายน 2566

กรมการขนส่งทางบกรับทำใบขับขี่แบบเร่งด่วนทุกชนิดผ่านไลน์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/ltrlv6si8pq0


ผู้สูงอายุ 3 กลุ่ม จะได้รับเบี้ยพิเศษรายปีคนละ 1,000 บาท…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/32ckay6nqs92c#_=_


รัฐหลอกให้ลงทะเบียนรับเงินเยียวยา เพื่อจะเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2d4x8cm3jsltq#_=_


 ผู้ที่เป็นโรคไมเกรน เสี่ยงเส้นเลือดสมองแตกมากกว่าคนปกติถึง 46%…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3vy2idpd9fuly#_=_


กะทกรกป่า ห้ามกินดิบเพราะมีผลถึงชีวิต

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2ti6s0tiq8stt


 ธ.ก.ส. ยืดชำระหนี้ 5 ปี ช่วยลูกหนี้โควิด

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2bvq3fi0w4gn9


สธ.เตือน! หยุดส่งต่อข้อมูลเท็จ “โรคมะเร็ง” ต้องตรวจสอบก่อนแชร์

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/27uk401t3mm6t#_=_


มีการบุกรุกก่อสร้างเขื่อนหินถมหาดทราย รุกทะเลพื้นที่สาธารณะ บริเวณชายทะเล แถวแสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/i3s2jp96v9db#_=_


สธ. ขยายบริการตรวจคัดกรองทารกแรกเกิด 24 โรคฟรี ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/304lmj1kp2ngn


ทิชชูราคาถูกว่าจะมีอันตรายกับร่างกายว่าเสี่ยงมะเร็งผิวหนัง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/ecehc35zfmfn#_=_


แค่รับสาย ก็โดนแฮก…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/opn66yc6ieje


ซากปริศนาที่ถูกนำไปโชว์ในรัฐสภาเม็กซิโก ยังไม่มีข้อสรุปว่าเป็น “ศพมนุษย์ต่างดาว” หรือไม่

13 ก.ย. 2566 สื่อต่างประเทศพากันรายงานข่าว “ฟอสซิลมนุษย์ต่างดาวถูกนำไปแสดงในรัฐสภาของเม็กซิโก” และด้วยเรื่องนี้มั่นใจได้ว่าผู้คนต้องให้ความสนใจแน่นอน สื่อไทยจึงไม่รอช้าร่วมแปลข่าวมานำเสนอด้วย บางสื่อรายงานข่าวนี้โดยย่อ ไม่ได้ให้บริบทและเบื้องหลังของข้อเท็จจริงที่ปรากฏเป็นข่าว

โคแฟคได้ตรวจสอบจากรายงานข่าวต่างประเทศที่ติดตามเกี่ยวกับเรื่องนี้จากหลายสำนัก ณ วันที่ 14 ก.ย. 2566 ยังไม่พบข้อสรุปชัดเจนว่ามัมมี่ที่ถูกนำมาแสดงเป็นซากมนุษย์ต่างดาวจริง โดยสำนักข่าว SBS News สหรัฐอเมริกา รายงานเมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2566 ว่า เหตุการณ์เรียกเสียงฮือฮานี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2566 ตามเวลาท้องถิ่นของประเทศเม็กซิโก เจมี มอสซาน (Jamie Maussan) สื่อมวลชนที่ชอบศึกษาเกี่ยวกับ “ปรากฏการณ์ผิดปกติที่ไม่สามารถระบุสาเหตุได้ (Unidentified Anomalous Phenomena-UAP)” นำวัตถุ 2 ชิ้นที่อ้างว่าเป็นศพมนุษย์ต่างดาว ไปแสดงต่อหน้าที่ประชุมของรัฐสภาเม็กซิโก โดยกล่าวว่า สิ่งที่ตนนำมานั้นถูกค้นพบในประเทศเปรูเมื่อปี 2560

โดยวัตถุนี้มีการตรวจวัดอายุของวัตถุนั้นด้วยวิธี “คาร์บอน-14 (Carbon-14)” โดย National Autonomous University of Mexico (UNAM) มหาวิทยาลัยในกรุงเม็กซิโกซิตี้ พบอายุอยู่ที่ 700 และ 1,800 ปี ตามลำดับ ทั้ง 2 ร่างมีเพียงสามนิ้วในแต่ละมือและมีหัวที่ยาว อีกทั้งยังอ้างด้วยว่า มีหลักฐานรหัสพันธุกรรม (DNA) ที่ชี้ว่าซากศพนี้ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตบนโลก พร้อมกับเรียกร้องให้ฝ่ายนิติบัญญัติของเม็กซิโกพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง และอย่ามองเป็นเรื่องการเมืองเพราะนี่เป็นเรื่องของมนุษยชาติ ถึงกระนั้น “คำกล่าวอ้างของมอสซานก็ดูน่าสงสัย” รายงานของ CBS ตั้งข้อสังเกตว่า ยังไม่ชัดเจนว่าซากดังกล่าวมีการนำไปตรวจสอบ DNA จริงหรือไม่

วัตถุ 2 ชิ้นที่อ้างว่าเป็นศพมนุษย์ต่างดาว ไปแสดงต่อหน้าที่ประชุมของรัฐสภาเม็กซิโก

สถานีโทรทัศน์ Euronews ของกลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป (EU) รายงานคำกล่าวอ้างของ มอสซาน ที่ชี้แจงต่อรัฐสภาเม็กซิโก ว่า ตัวอย่างเหล่านี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของวิวัฒนาการบนโลก อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้ถูกค้นพบจากซากของจานบินต่างดาว (UFO) แต่พบเป็นฟอสซิลในเหมืองสาหร่าย (diatom moss mine) ถึงกระนั้น เขาก็ยังกล่าวต่อไปว่า เราไม่ได้อยู่คนเดียวในจักรวาลอันกว้างใหญ่ ต้องยอมรับความเป็นจริงนี้

แต่อีกด้านหนึ่ง Euronews ก็ยังรายงานด้วยว่า ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในแวดวงวิทยาศาสตร์และการเมืองว่ามีปรากฏการณ์ผิดปกติที่ไม่สามารถระบุได้ แต่ยังคงมีความขัดแย้งอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับที่มาของปรากฏการณ์เหล่านั้น รวมถึงกล่าวถึง มอสซาน ว่า แม้จะมีพิธีกล่าวคำสาบานก่อนชี้แจง แต่แต่คำกล่าวอ้างของเขาไม่ได้รับการพิสูจน์ และยังมีความเกี่ยวข้องกับการค้นพบที่อ้างว่าเคยถูกหักล้างแล้ว

รายงานข่าวของนิตยสาร Forbes สหรัฐอเมริกา สรุปการบรรยายของ มอสซาน และคณะ รวมถึงเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

1.เป็นศพมัมมี่ขนาดเล็กซึ่งมีศีรษะยาว มี 3 นิ้ว และมีรูปร่างคล้ายมนุษย์ต่างดาวในฮอลลีวูด อ้างว่าถูกพบที่เปรูในปี 2560 และมีอายุประมาณ 1,000 ปี

2.มอสซาน อ้างว่าศพเหล่านี้ถูกพบในเหมืองสาหร่าย และนักวิจัยจาก National Autonomous University of Mexico ได้ตรวจสอบทั้ง 2 ซาก โดยพบว่ามีหนึ่งตัวมีไข่อยู่ข้างใน

3.โฮเซ เดอ เฮซุส ซัลเซ เบนิเตซ (Jose de Jesus Zalce Benitez) ผู้อำนวยการสถาบันวิทยาศาสตร์เพื่อสุขภาพของกองทัพเรือเม็กซิโก นำเสนอการสแกนศพแก่สมาชิกรัฐสภา และอ้างว่าศพเหล่านี้มีคอที่หดได้ ไม่มีฟัน สมองใหญ่ และมีตาโตที่สามารถมองเห็นภาพสามมิติที่กว้าง

4.ก่อนหน้านี้ ในปี 2558 มอสซานเคยอ้างว่า พบสิ่งที่น่าจะเป็นศพมนุษย์ต่างดาวในเปรู แต่เมื่อตรวจสอบกลับพบเป็นเพียงศพมนุษย์โดยเป็นร่างของเด็กที่ถูกทำเป็นมัมมี่

5.เบนิเตซยังเคยเป็นหัวหน้านักวิจัยในการนำเสนอการค้นพบศพที่ถูกหักล้าง ซึ่งแสดงให้เห็นศพมัมมี่ 3 นิ้วจำนวน 6 ศพที่เผยแพร่เป็นวิดีโอบนเว็บไซต์ยูทูบ YouTube ที่โพสต์ในปี 2560 โดยช่อง Gaia.com (หรือช่อง Gaia) ซึ่งช่องยูทูบดังกล่าวถูกจัดให้เป็นศูนย์กลางของทฤษฎีสมคบคิด และ 6.ไรอัน เกรฟส์ (Ryan Graves) อดีตนักบินกองทัพเรือสหรัฐฯ ที่ชี้แจงกับรัฐสภาสหรัฐฯ ในเดือน ก.ค. 2566 เกี่ยวกับการถูกกล่าวหาว่าพบ UFO ก็เข้าร่วมชี้แจงในรัฐสภาเม็กซิโกเช่นกัน แต่เขาได้กล่าวว่า องค์กรของตนที่ชื่อ Americans for Safe Aerospace มุ่งเน้นไปที่ปรับปรุงการศึกษาสาธารณะของ UAP ทำลายตราบาป และทำงานเพื่อความโปร่งใสและการเปิดเผยที่ดีขึ้น

ชมคลิปการอภิปรายเรื่องซากปริศนาที่อ้างว่าเป็นซากมนุษย์ต่างดาวได้ ที่นี่

สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า ในวันที่ 14 ก.ย. 2566 มหาวิทยาลัย UNAM ที่ มอสซาน อ้างว่าเป็นผู้ตรวจสอบอายุของวัตถุปริศนาดังกล่าว เผยแพร่คำชี้แจงที่ระบุว่า “งานของห้องปฏิบัติการแห่งชาติด้านแมสสเปกโตรมิเตอร์พร้อมเครื่องเร่งอนุภาค (LEMA) มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดอายุของกลุ่มตัวอย่างเท่านั้น ไม่ว่าในกรณีใด เราจะไม่สรุปเกี่ยวกับที่มาของกลุ่มตัวอย่างดังกล่าว” ซึ่งเป็นคำชี้แจงเดียวกับที่เคยเผยแพร่ในปี 2560 ขณะที่ชาวเน็ตหลายคนพากันวิพากษ์วิจารณ์ มอสซาน ว่า “รีบด่วนสรุปเกินไปหรือไม่?” ดังความเห็นหนึ่งในทวิตเตอร์ ระบุว่า เหตุใดจึงไม่รอจนกว่าบทความทางวิทยาศาสตร์จะพร้อมตีพิมพ์

ในวันที่ 13 ก.ย. 2566 นสพ.The New York Times สหรัฐอเมริกา รายงานคำชี้แจงจาก เซอร์จิโอ กูเตียร์เรซ ลูนา (Sergio Gutierrez Luna) สมาชิสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ของเม็กซิโก ว่า ตนเป็นผู้เชิญ เจมี มอสซาน เข้าไปรายงานเรื่องซากศพมนุษย์ต่างดาวในรัฐสภา เพราะสนใจที่จะรับฟังมุมมองที่แตกต่างในหัวข้อที่เป็นที่สนใจในวงกว้าง สิ่งที่ทำนี้คือการ “ฝึกฟัง (exercise in listening)” และการเรียนรู้เกี่ยวกับวิชาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ทำได้โดยการค้นหาความคิดเห็นที่ขัดแย้งกัน

ส่วนหนึ่งของสไลด์ที่มีการนำมาประกอบการอภิปรายในรัฐสภาเม็กซิโก

แอนทิโกนา เซกูรา (Antigona Segura) นักชีวดาราศาสตร์ (Astrobiology) ที่มีชื่อเสียงอย่างมากคนหนึ่งในเม็กซิโก ซึ่งทำงานร่วมกับโครงการ Nexus for Exoplanet System Science ขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ (NASA) เพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกโลก กล่าวว่า ข้อสรุปเหล่านี้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากหลักฐาน เรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องน่าละอายมาก

The New York Times ยังสรุปเกี่ยวกับประวัติของ มอสซาน ว่า อาศัยอยู่ในเม็กซิโกและเป็นที่รู้จักกันดีจากการกล่าวอ้างในขณะที่กำลังศึกษาเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์เทียมทางโทรทัศน์และบนเว็บไซตยูทูบ รวมถึงจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพของตนเองด้วย การนำเสนอของเขาชี้ให้เห็นถึงความคลั่งไคล้ที่เพิ่มขึ้นในเม็กซิโกเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของชีวิตนอกโลก ซึ่งบางคนกล่าวว่าเป็นผลพลอยได้จากความพยายามของทางการสหรัฐฯ ในการเปิดม่านความลับในโครงการของรัฐบาลที่ศึกษาปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้

สื่อสหรัฐฯ ยังอ้างด้วยว่า ในปี 2560 รายงานของสื่อท้องถิ่นเปรู ระบุ มอสซาน ได้รับบางส่วนของมัมมี่จากนักขุดสุสานในเปรู แต่การวิเคราะห์ตัวอย่างที่เป็นปัญหาในเปรูแสดงให้เห็นว่าชิ้นงานเหล่านี้ผลิตขึ้นโดยใช้กระดูกมนุษย์และสัตว์ เส้นใยพืช และกาวสังเคราะห์ผสมกัน การวิเคราะห์อีกครั้งในปี 2564 ระบุว่าหัวของตัวอย่างชิ้นหนึ่งเป็นสมองลามะที่เสื่อมสภาพ แต่ถึงเรื่องศพมนุษย์ต่างดาวในครั้งนั้นจะถูกหักล้าง นักวิจัยก็ยังรู้สึกทึ่งกับสิ่งที่ค้นพบ เพราะเป็นผลงานการสร้างที่มีคุณภาพสูง จึงน่าสงสัยว่าเมื่อหลายศตวรรษก่อนมีการทำของแบบนี้ขึ้นมาได้อย่างไร

ข้อสรุปของโคแฟคเท่าที่มีการสืบค้นได้ ณ วันที่ 14 ก.ย. 2566 จากรายงานข่าวต่าง ๆ เกี่ยวกับมัมมี่มนุษย์ต่างดาวที่ถูกนำมาแสดงในรัฐสภาเม็กซิโก ยังไม่มีหน่วยงานหรือผู้เชี่ยวชาญใดที่เชื่อถือได้ ออกมายืนยันว่าเป็นซากศพของสิ่งมีชีวิตนอกโลก (รวมถึงระบุว่าเป็นสิ่งอื่นใดหากไม่ใช่) จึงต้องรอความชัดเจนกันต่อไป อย่าเพิ่งตื่นตระหนกหรือปักใจเชื่อว่าเป็นมัมมี่มนุษย์ต่างดาวจริง

อ้างอิง

Researcher shows bodies of purported “non-human” beings to Mexican congress at UFO hearing, CBS 13 ก.ย. 2566

1,000-year-old fossils of ‘alien’ corpses displayed in Mexico’s Congress as UFO expert testifies, Euronews 13 ก.ย. 2566

Aliens In Mexico? Not So Fast—Presenters Have History Of Being Debunked, Forbes 13 ก.ย. 2566

Mexican Congress holds hearing on UFOs featuring purported ‘alien’ bodies, รอยเตอร์ 14 ก.ย. 2566ฃ

Mummies From Outer Space? Mexico’s Congress Gets a Firsthand Look, The New York Times 13 ก.ย. 2566

ความจริงจากนักวิชาการ กรณีปลาตายและน้ำทะเลสีเขียวที่ชลบุรี

ภาพปลาตายเกลื่อนชายหาดและน้ำทะเลกลายเป็นสีเขียวในหลายพื้นที่ของจังหวัดชลบุรี ถูกเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียในช่วงต้นเดือนกันยายน 2566 กลายเป็นประเด็นที่สร้างความสงสัยและความตระหนกตกใจให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว โคแฟคตรวจสอบพบว่าเป็นภาพจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมระบุว่ามีสาเหตุจากปรากฏการณ์แพลงก์ตอนบลูม

หนึ่งในโพสต์ที่ถูกแชร์เป็นจำนวนมากคือภาพปลาตายจำนวนมากที่หาดบางแสนโดยผู้ใช้เฟซบุ๊กที่ชื่อว่า “ธนกร สุขศรี” เมื่อวันที่ 8 ก.ย. 2566 พร้อมข้อความว่า “…บริเวณชายหาดบางพระ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี พบปลาหลากหลายชนิด ตายเกลื่อนชายหาด จากการลงพื้นที่สำรวจที่บริเวณชายหาดบางพระ มีปลาหลากหลายชนิดถูกคลื่นซัดมาตายเกลื่อน อาทิเช่นปลากระบอก ปลาแป้น ปลาเจ๊กเล้ง ปลาคุด ปลากระพงเป็นต้น ได้ลอยมาติดบริเวณชายหาดบางพระ ส่วนสาเหตุปลาตายเกลื่อนครั้งนี้ คาดว่าอาจเกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ที่ทำให้น้ำทะเลเป็นสีเขียวและน้ำมีกลิ่นแรง”

ณ วันที่ 14 ก.ย. 2566 โพสต์นี้ถูกแชร์ไปมากกว่า 2,700 ครั้ง

โคแฟคตรวจสอบ

เครือข่ายตรวจสอบข้อเท็จจริงของโคแฟคในพื้นที่จังหวัดชลบุรีตรวจสอบภาพและเหตุการณ์ดังกล่าวแล้วยืนยันว่า ภาพที่เผยแพร่เป็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง

นอกจากเหตุการณ์ปลาตายที่หาดบางพระแล้ว ยังพบว่าเกิดเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันที่หาดวอนนภา ระยะทางกว่า 10 กิโลเมตร ในเขตเทศบาลเมืองแสนสุข ตำบลแสนสุข อ.เมือง จ.ชลบุรี และวันที่ 9 ก.ย. 2566 มีรายงานการพบคราบน้ำมันและแพลงก์ตอนบลูมบริเวณสะพานปลานาเกลือ เมืองพัทยา อ.บางละมุง จ.ชลบุรี อีกด้วย

นายสนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย เปิดเผยกับโคแฟคว่า สาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ทะเลตายเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ ขึ้นปรากฏการณ์แพลงก์ตอนบลูมที่ทำให้ปริมาณก๊าซออกซิเจนในทะเลลดลง

นายสนธิอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับปรากฏการณ์แพลงก็ตอนบลูม ดังนี้

แพลงก์ตอนบลูมเกิดจากอะไร?

แพลงก์ตอนบลูมหรือ “ขี้ปลาวาฬ” เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากการเพิ่มปริมาณขึ้นอย่างรวดเร็วของแพลงก์ตอนพืช จากการได้รับธาตุอาหารทั้งไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโปแตสเซียมที่ถูกชะลงทะเลมากในช่วงหน้าฝน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นธาตุอาหารที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น สารทางการเกษตร น้ำทิ้งจากชุมชน เป็นต้น แพลงก์ตอนบลูมเริ่มก่อตัวในทะเลนอก และขยายจำนวนขึ้น จนเข้าสู่ระยะสุดท้ายบริเวณชายฝั่ง โดยมรสุมตะวันตกเฉียงใต้จะพัดไปรวมที่อ่าวไทยตอนในแถวจังหวัดชลบุรี

คราบน้ำมันรั่วที่ไหลลงทะเลเกี่ยวข้องอย่างไร?

ก่อนที่จะเกิดแพลงก์ตอนบลูมในทะเลชลบุรีครั้งนี้เพียงไม่กี่วัน บริษัท ไทยออยล์ จำกัด ได้แจ้งข่าวต่อสาธารณะว่า เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 2566 เวลาประมาณ 21.00 น. เกิดเหตุน้ำมันดิบรั่วไหลจากเรือบรรทุกน้ำมัน ขณะขนถ่ายน้ำมันดิบบริเวณทุ่นผูกเรือกลางทะเลหมายเลข 2 ของโรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี บริษัทฯ ควบคุมสถานการณ์ด้วยการปิดวาล์วท่อน้ำมัน วางทุ่นล้อมคราบน้ำมันเพื่อป้องกันการแพร่กระจาย และใช้สารเคมีขจัดคราบน้ำมัน บริษัทฯ ประเมินว่าน้ำมันที่รั่วมีปริมาณ 60,000 ลิตร

เพจเฟซบุ๊กของกรมควบคุมมลพิษเผยแพร่ภาพจากกองทัพเรือ แสดงจุดที่เกิดเหตุน้ำมันดิบรั่วไหลระหว่างการขนถ่ายน้ำมันของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด เหตุเกิดเมื่อ 3 ก.ย. 2566

นายสนธิกล่าวว่าปรากฏการณ์แพลงก์ตอนบลูมมักจะเกิดขึ้นตามมาหลังจากเกิดเหตุน้ำมันรั่วไหลในทะเล โดยอ้างผลการวิจัยในต่างประเทศที่พบความเชื่อมโยงระหว่างคราบน้ำมันจำนวนมากในทะเลและการเจริญเติบโตของสาหร่ายที่มีพิษ (Harmful Algal Blooms) บริเวณอ่าวเม็กซิโกเหนือ การศึกษาพบว่าการใช้สารเคมีขจัดคราบน้ำมันจะทำให้น้ำมันดิบที่รั่วไหลกลายเป็นละอองน้ำมันตกลงไปปกคลุมใต้ทะเล ส่งผลกระทบต่อแพลงก์ตอนพืชและสัตว์ทะเล ขณะเดียวกันก็ทำให้สาหร่าย dinoflagelates ที่ทนทานต่อน้ำมันดิบและสารขจัดคราบน้ำมันเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นปรากฏการณ์แพลงก์ตอนบลูมหรือขี้ปลาวาฬในทะเล ซึ่งมักเกิดขึ้นภายใน 1 เดือนหลังเกิดเหตุน้ำมันรั่วไหล สาหร่ายชนิดนี้มีสีเหลือง-เขียว น้ำตาลหรือแดง และผลิตสารที่เป็นพิษต่อระบบนิเวศในทะเล

โลกร้อนกับแพลงก์ตอนบลูม

ปัจจุบันอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้นถึง 1.2 องศาเซลเซียสจากยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม ส่วนอุณหภูมิเฉลี่ยในมหาสมุทรสูงขึ้นถึง 21 องศาเซลเซียส ทำให้ธาตุอาหารไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโปแตสเซียมลอยขึ้นผิวน้ำ แพลงก์ตอนได้รับสารอาหารในปริมาณมากจึงเติบโตและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ประกอบกับน้ำทะเลจะดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ถึง 40%  ส่งผลให้พื้นที่ใต้ทะเลขาดอ็อกซิเจน สัตว์ทะเลจึงตายเป็นจำนวนมาก

“โลกร้อนขึ้น ก๊าซคาร์บอนไดอกไซด์เพิ่มขึ้น มีส่วนทำให้ทะเลอ่าวไทยในช่วงฤดูฝนเกิดแพลงค์ตอนบลูมทำให้น้ำทะเลเป็นสีเขียวบ่อยขึ้น..ระบบนิเวศในอ่าวไทยเปลี่ยนแปลง” นายสนธิระบุ

ข้อสรุปโคแฟค: ภาพจริง

ภาพและคลิปปลาตาย-น้ำทะเลเปลี่ยนเป็นสีเขียวที่เกิดขึ้นใน อ.ศรีราชา อ.เมือง และ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เป็นภาพจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในช่วงวันที่ 8-9 ก.ย. 2566 นายสนธิ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมให้ข้อมูลว่าเกิดจากปรากฏการณ์แพลงก์ตอนบลูม ซึ่งมักเกิดในช่วงฤดูฝน และอาจเชื่อมโยงกับเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลในทะเล อ.ศรีราชา ทำให้สถานการณ์แพลงก์ตอนบลูมและปลาตายรุนแรงยิ่งขึ้น พร้อมกับเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทบทวนมาตรการการใช้สารเคมีขจัดคราบน้ำมันในทะเล ซึ่งไม่ควรใช้ในพื้นที่น้ำตื้นเพราะอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเล และต้องตรวจสอบการปนเปื้อนของสารโลหะหนักในสัตว์น้ำด้วยเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค 

เรื่องแนะนำ

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 9 กันยายน 2566

เดือนกันยายนนี้ ผู้สูงอายุจะได้รับเงินเพิ่มคนละ 600บาท…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3tc1j3hag56jd


คลิปวิดีโอปลาตายเต็มทะเล เนื่องจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/257qvpkstii7s


1175 หากรับสายจะทำให้มิจฉาชีพเข้าสู่บัญชีและเอาเงินไปได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องพูดสายนั้น…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2dqsoy9uqbej8


กสทช. ร่วมกับ บช.สอท. และผู้ให้บริการเครือค่ายมือถือทุกราย ตัดสายแก๊ง Call Center หลอกลวง ไม่ให้โทรเข้าไทย

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/7gz1lu6bd220


เช็กด่วน เบอร์โทรศัพท์ “มิจฉาชีพ” ถ้าไม่อยากเงินหาย อย่ารับสายเด็ดขาด

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/ewlh84cl9k8g


หมูสับ (และเนื้อสัตว์) ไม่จำเป็นต้องล้างน้ำ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ “…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1b68069pxxghy#_=_


เตือนพ่อแม่ อย่าเลี้ยงลูกกับ “โทรศัพท์มือถือ” เสี่ยงทำลูกพิการได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/7ppf5z9vvfa2


อนุญาตให้สถานบริการเปิดบริการได้ 24 ชั่วโมง ในเขตส่งเสริมเมืองการบินภาคตะวันออกรวมทั้งเมืองพัทยา จ.ชลบุรี หรือพื้นที่อื่นใน จ.ระยอง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1ozvf1saubva5


ตำรวจ เตือนกระแสข่าวการส่ง QR Code ให้เหยื่อ แล้วดูดเงินในบัญชีทั้งหมดนั้น เป็นภัยออนไลน์ที่สามารถป้องกันได้ พร้อมแจ้งกลโกงคนร้าย และแนะแนวทางป้องกัน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/5joqdiax6m4


กฎหมายใหม่ ค่าปรับ 2000 รถคันไหนไม่เก็บสำเนาหน้าเล่มไว้ในรถ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/hutnk2uchzhf


น้ำที่ปล่อยจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะทำปลาตายเต็มหาด ?

คลิปวิดีโอและข้อความที่ส่งต่อกันในแอปพลิเคชันไลน์ที่ระบุว่า การปล่อยน้ำปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีที่ผ่านการบำบัดแล้วจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะทำให้ปลาตายจำนวนมหาศาล เป็นข้อมูลเท็จ โดยโคแฟคตรวจสอบพบว่า คลิปดังกล่าวเป็นภาพเหตุการณ์เก่าที่เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2566 ที่ชายหาดแห่งหนึ่งในเมืองอิโตอิกาวะ จังหวัดนีงะตะ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะซึ่งเริ่มดำเนินการปล่อยน้ำที่ผ่านการบำบัดเมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2566

ภาพคลิปวิดีโอความยาว 20 วินาที เผยให้เห็นปลานับแสนตัวลอยตายเป็นแพอยู่ในทะเลและถูกคลื่นซัดขึ้นมาเกลื่อนชายหาด โดยมีเสียงบรรยายเป็นภาษาญี่ปุ่น กำลังถูกส่งต่อกันในหมู่ผู้ใช้แอปพลิเคชันไลน์ในไทย พร้อมด้วยข้อความภาษาไทยระบุว่า “เพียงวันเดียวเท่านั้นหลังจากญี่ปุ่นปล่อยน้ำที่ปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ลงสู่ทะเล” และ “งดการไปเที่ยวญี่ปุ่น งดทานอาหารญี่ปุ่น โดยเฉพาะปลาดิบ อย่างน้อยเป็นเวลา 1 ปี”

คลิปวิดีโอและข้อความนี้ถูกเผยแพร่ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วันหลังจากที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิจิ ซึ่งได้รับความเสียหายจากเหตุแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อวันที่  11 มี.ค. 2554 เริ่มดำเนินการปล่อยน้ำปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีที่ผ่านการบำบัดแล้วปริมาณ 1.3  ล้านตัน ลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิก เริ่มตั้งแต่วันที่  24 ส.ค. 2566 และจะทยอยปล่อยออกมาจนกว่าจะหมด ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 30 ปี   

โคแฟคตรวจสอบ

โคแฟคตรวจสอบคลิปวิดีโอและข้อความดังกล่าวเมื่อวันที่ 27 ส.ค. 2566 โดยค้นหาที่มาของคลิปวิดีโอและข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ในภาพ รวมทั้งติดต่อเจ้าหน้าที่สถานทูตญี่ปุ่นในประเทศไทยเพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ล่าสุดของการปล่อยน้ำจากโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะ ได้ข้อมูลดังนี้

  ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ในคลิปวิดีโอ

คลิปวิดีโอนี้เป็นภาพจากการไลฟ์สตรีมของผู้ใช้แอปพลิเคชันติ๊กต็อกชาวญี่ปุ่น ที่บรรยายเหตุการณ์ฝูงปลาจำนวนมากลอยตายเกลื่อนอยู่ในทะเล เสียงบรรยายภาษาญี่ปุ่นสั้นๆ แปลเป็นภาษาไทยได้ใจความเพียงว่า ผู้ถ่ายวิดีโอเป็นคนท้องถิ่นที่ไม่เคยพบเห็นปรากฏการณ์ปลาตายจำนวนมหาศาลเช่นนี้ และขอบคุณที่ติดตามชม

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 28 ส.ค. 2566 Taiwan Fact Check ได้ตรวจสอบที่มาของคลิปวิดีโอนี้และรายงานว่าเป็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ก.พ. 2566 ที่ชายฝั่งทะเลในจังหวัดนีงะตะ เมื่อโคแฟคสืบค้นเพิ่มเติมพบว่ามีรายงานข่าวเหตุการณ์ปลาตายที่จังหวัดนีงะตะโดยสื่อมวลชนญี่ปุ่นหลายสำนัก หนึ่งในนั้นคือรายการ “News Every.” ของสถานีโทรทัศน์นิปปอนทีวี (Nippon TV) ซึ่งรายงานข่าวนี้ออกอากาศและช่องทางออนไลน์ทั้งยูทูปและติ๊กต็อกเมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2566 มีภาพที่เชื่อได้ว่าถ่ายจากสถานที่และเหตุการณ์เดียวกันกับคลิปวิดีโอปลาตายที่ถูกส่งต่อในกลุ่มผู้ใช้ไลน์ของไทยในขณะนี้

ภาพบนเป็นภาพจากคลิปที่อ้างว่าเป็นเหตุการณ์ปลาตายหลังการปล่อยน้ำจากโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะ ส่วนภาพล่างเป็นภาพจากรายงานข่าวปลาตายเกลื่อนชายหาดที่จังหวัดนีงะตะ ของสถานีโทรทัศน์นิปปอนทีวีเมื่อ 8  ก.พ. 2566
ภาพจากเว็บไซต์ https://www.yokohama-maruuo.co.jp/ เผยแพร่วันที่ 9 ก.พ. 2566

สำหรับเหตุการณ์นี้ NHK รายงาน ว่าปลาที่ตายจำนวนมหาศาลและถูกคลื่นซัดมาเกยหาดเมืองอิโตอิกาวะ จังหวัดนีงะตะ เป็นปลาซาร์ดีน เจ้าหน้าที่สถานีวิจัยประมงและมหาสมุทร สำนักงานประมงท้องถิ่นไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัดของปรากฏการณ์นี้ แต่สันนิษฐานว่าเกิดจากการที่ฝูงปลาซาร์ดีนถูกปลาโลมาไล่ต้อน หรืออาจเกิดจากกระแสอุณภูมิน้ำที่เปลี่ยนอย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้จังหวัดนีงะตะอยู่ทางตะวันตกของเกาะฮอนชู ฝั่งทะเลญี่ปุ่น ส่วนโรงไฟฟ้าฟูกุชิมะตั้งอยู่ในจังหวัดฟุกุชิมะ ทางตะวันออก ฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผลกระทบของการปล่อยน้ำจากโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะ

นับจากวันที่ 24 ส.ค. 2566 ซึ่งเป็นวันแรกที่โรงไฟฟ้าฟุกุชิมะเริ่มปล่อยน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดลงสู่ทะเล จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีรายงานการตายของสัตว์ทะเลจำนวนมาก ขณะที่สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยให้ข้อมูลกับโคแฟคว่า ทางการญี่ปุ่นเฝ้าระวังผลกระทบอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ สถานทูตญี่ปุ่นได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 30 ส.ค.2566 ระบุว่า  “รัฐบาลญี่ปุ่นให้ความสำคัญและยังคอยตรวจสอบเฝ้าระวังน้ำที่ผ่านกระบวนการบำบัดก่อนปล่อยลงสู่ทะเลด้วยความโปร่งใส สำนักงานการประมงแห่งประเทศญี่ปุ่นและกระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศญี่ปุ่นได้ประกาศผลการตรวจสอบระดับความความเข้มข้นของทริเทียมในวัตถุดิบจากท้องทะเล และในน้ำทะเลหลังจากปล่อยน้ำที่ผ่านระบบการบำบัดน้ำขั้นสูง (ALPS) พบว่ามีระดับอยู่ในมาตรฐานความปลอดภัย”

แถลงการณ์ระบุด้วยว่า ผลการตรวจสอบของสำนักงานการประมงแห่งประเทศญี่ปุ่นว่าไม่พบการปนเปื้อนของสารกัมมันตรังสีในตัวอย่างปลาที่จับได้ในระยะรัศมีประมาณ 4 กิโลเมตรทางทิศเหนือและในระยะรัศมีประมาณ 5 กิโลเมตรทางทิศใต้จากจุดปล่อยน้ำ ด้านกระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศญี่ปุ่นได้ทำการตรวจสอบน้ำทะเลในสถานีเฝ้าระวัง 11 แห่ง เมื่อวันที่ 27 ส.ค. พบว่าระดับความเข้มข้นของทริเทียมของน้ำทุกจุดอยู่ในมาตรฐานความปลอดภัย

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น นายฟูมิโอะ คิชิดะ ยังได้รับประทานปลาดิบโชว์สื่อมวลชนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นของผู้บริโภคว่าอาหารทะเลจากจังหวัดอิวาเตะ มิยางิ ฟุกุชิมะ และอิบารากิ ซึ่งเป็นพื้นที่ใกล้เคียงโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะ มีความปลอดภัย

ขณะที่ทางการไทย ได้แก่ คณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กรมประมง สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ  และสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ ได้ร่วมกันกำหนดมาตรการเฝ้าระวังและตรวจสอบอาหารทะเลนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น หลังการปล่อยน้ำที่ผ่านการบำบัดจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ซึ่งหากพบการปนเปื้อนจะใช้มาตรการส่งคืนหรือทำลาย

ข้อสรุปโคแฟค: เนื้อหาบิดเบือน สร้างความเข้าใจผิดและความตื่นตระหนก

คลิปวิดีโอภาพปลาตายในทะเลความยาว 20 วินาที ที่ถูกส่งต่อทางแอปพลิเคชันไลน์ เป็นภาพเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ก.พ. 2566 ที่จังหวัดนีงะตะ หรือราว 6 เดือน ก่อนที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะจะเริ่มการปล่อยน้ำปนเปื้อนกัมมันตรังสีที่ผ่านการบำบัดลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิก ข้อความที่ระบุว่าคลิปนี้เป็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียง 1 วันหลังการปล่อยน้ำจากโรงไฟฟ้าจึงเป็นข้อมูลเท็จที่สร้างความเข้าใจผิดและอาจทำให้ผู้บริโภคเกิดความตื่นตระหนก และส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหารทะเลได้

ผู้ที่พบเห็นวิดีโอนี้ที่ถูกนำมาให้ข้อมูลในลักษณะที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นผลกระทบจากการปล่อยน้ำจากโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะควรหยุดแชร์

อย่างไรก็ตาม ความกังวลของประชาชนต่อผลกระทบจากการปล่อยน้ำจากโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะและความปลอดภัยของอาหารทะเล เป็นเรื่องที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องให้ความสำคัญ จึงควรดำเนินมาตรการเฝ้าระวังตรวจสอบอย่างเข้มข้น และเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะอย่างต่อเนื่อง  

เรื่องแนะนำ