เอ๊ะก่อนงับ: 6 วิธีรับมือ ‘ข่าวลวง’ ในปี 2024 ที่สื่อไทยต้องรู้ COFACT Special Report 28/67

โดย ธีรนัย จารุวัสตร์ สมาชิกโคแฟค

หลายคนบอกว่า อะไรที่ลงท้ายด้วยคำว่า “งับ” ก็น่ารักไปหมด แต่เวลาสื่อมวลชน “งับ” หรือพลาดเอาข่าวลวง-ข่าวบิดเบือนมาเผยแพร่ต่อ คงไม่ใช่เรื่องน่ารักอย่างแน่นอน บทความนี้ขอนำเสนอ 6 รูปแบบข่าวลวง-ข่าวบิดเบือนที่สื่อมวลชนต้องคอยจับตา เพื่อที่จะได้ฉุกคิด หรือ “เอ๊ะ” ก่อนที่จะเอามาเล่นเป็นข่าว 

หรือพูดอย่างน่ารักก็คือ ตลอดปี 2024 นี้ สื่อต้อง “เอ๊ะก่อนงับ” 

“ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน พึงระมัดระวังกระบวนการหาข่าวหรือภาพจากสื่อสังคมออนไลน์ ควรมีการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน รอบด้าน และอ้างอิงแหล่งที่มาเมื่อนำเสนอ เว้นแต่สามารถตรวจสอบและอ้างอิงจากแหล่งข่าวได้โดยตรง” – ข้อความจาก “แนวปฏิบัติการใช้สื่อสังคมออนไลน์ของสื่อมวลชน พ.ศ. ๒๕๖๒” (ข้อที่ ๑๘) ออกโดย สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ 

ข้อความข้างต้น เป็นเพียงหนึ่งในความพยายามของนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญด้านจริยธรรมสื่อ และองค์กรวิชาชีพสื่อ ที่พูดย้ำมาโดยตลอดว่า สื่อมวลชนมีหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนที่จะนำเสนอข่าวสารใดๆออกไป แต่ในความเป็นจริง เรายังเห็นกรณีสื่อมวลชนเอาเรื่องที่ไม่มีมูลในโซเชียลมีเดียหรืออินเทอร์เน็ตมาเผยแพร่ต่อ โดยไม่ตรวจสอบใดๆ จนหลายคนก็รู้สึกเอือมระอา

หรือถ้าใช้ภาษาอินเทอร์เน็ต ก็คือการรีบ “งับ” เอาเรื่องไม่จริง มาเล่นเป็นข่าวใหญ่โต โดยไม่นึกสงสัย หรือ “เอ๊ะ” แม้แต่นิดเดียวนั่นเอง

วัฒนธรรมการ “งับโดยไม่เอ๊ะ” ของสื่อไทย ถือเป็นเรื่องน่ากังวล เพราะถึงแม้เราจะมีเครือข่ายผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริง (factcheck) อย่างโคแฟคหรือ AFP Factcheck ประจำประเทศไทย คอยตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริงเวลาสื่อไทย(หรือสื่อโซเชียลมีเดีย)เอาเรื่องไม่จริงมาเผยแพร่ต่อ แต่องค์กรเช่นนี้ยังถือว่ามีจำนวนค่อนข้างน้อย และกว่าจะตรวจสอบข้อเท็จจริงได้อย่างครบถ้วน หลายครั้งๆก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว 

(อ่านเพิ่มเติม: มองตัวอย่าง ‘5 + 2 ข่าวลวงปี 2566’ ปัจจัยเดิมทำ ‘เชื่อชังชอบ-แชร์’ ยังอยู่ แต่ ‘ข้อท้าทายใหม่’ ทำตรวจสอบยากก็กำลังมา)

ดังนั้น ผู้เขียนมองว่าการ factcheck ที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง ควรจะเริ่มจากสื่อมวลชน ตั้งแต่ก่อนที่จะนำข้อมูลใดๆมานำเสนอเป็นข่าว เพื่อเป็นการป้องกันตั้งแต่ที่ต้นทางของกระบวนการผลิตข้อมูลข่าวสาร 

ในบทความนี้ ผู้เขียนได้สรุป 6 แหล่งที่มาของข่าวปลอม-ข่าวบิดเบือนยอดฮิตในโลกอินเทอร์เน็ต ซึ่งสื่อไทยมักจะ “งับ” เอามาเล่นเป็นข่าวบ่อยๆ พร้อมคำแนะนำวิธีการ “เอ๊ะ” สำหรับคนทำงานสื่อมวลชน 

ด้วยความหวังว่าสื่อมวลชนไทยในปี 2024 จะช่วยเสริมสร้างวัฒนธรรม factcheck และการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนนำเสนอข่าวให้เข้มแข็งอย่างจริงจัง

แทนที่จะใช้วิธี “รีบๆเล่นข่าวไปก่อน แล้วค่อยว่ากันทีหลัง” และผลักภาระการ factcheck ให้ไปตกอยู่กับภาคประชาชนแต่เพียงฝ่ายเดียว แบบที่เกิดขึ้นเป็นประจำในปีก่อนๆ 

  1. เพจดัก-เพจปั่น (Parody and satire accounts) 

ในปัจจุบัน บุคคลสาธารณะและองค์กรต่างๆ มักจะมีช่องทางในโซเชียลมีเดียไว้สื่อสารกับประชาชนเป็นเรื่องปกติ แต่ขณะเดียวกัน ก็มักจะมีเหตุการณ์ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอื่นๆทำกัน “สวมรอย” บุคคลหรือองค์กรดังกล่าว ด้วยการเปิด “เพจปลอม” เช่นกัน 

สาเหตุของการกระทำดังกล่าวก็แตกต่างกันไป ในบางครั้งเป็นการแอบอ้างสวมรอยเพื่อแสวงหาผลประโยชน์หรือต้มตุ๋น เช่น ทำเพจปลอม อ้างว่าเป็นฝ่ายการตลาดของธุรกิจขนาดใหญ่ เพื่อหลอกลวงโฆษณาให้ประชาชนเอาเงินมาลงทุน 

แต่ในบางครั้งก็เป็นการทำเพจปลอม เพื่อล้อเลียนบุคคลชื่อดังหรือเหตุการณ์ในข่าว เป็นการเล่นตลกกันภายในกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ตามที่เรียกว่า “parody” ในภาษาอังกฤษ ซึ่งในที่นี้ผู้เขียนจะขอเรียกโดยรวมว่า “เพจดัก-เพจปั่น”

ยกตัวอย่างเช่น เพจที่อ้างตัวว่าเป็นทนายความของดาราหรือบุคคลผู้มีชื่อเสียง เพจที่อ้างตัวเป็นบุคคลในข่าวฉาว เพจที่อ้างว่าเป็นตำรวจปราบปรามเว็บพนัน (แต่จริงๆ มีจุดประสงค์ล้อเลียนอินฟลูเอนเซอร์) เพจที่อ้างว่าเป็นของสมาคมคนขับรถแท็กซี่ และล่าสุด ก็มีเพจที่อ้างตัวว่าเป็นของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง ที่เผยแพร่อินโฟกราฟิกส์เกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ในท่าต่างๆ จนกลายเป็นที่ฮือฮาและเข้าใจผิดกันว่า เป็นของโรงเรียนแห่งนั้นจริงๆ เป็นต้น 

ซึ่งแน่นอนว่าเคยมีกรณีสื่อมวลชน “งับ” เอาคอนเทนต์เชิงล้อเลียนของ “เพจดัก-เพจปั่น” มารายงานเป็นข่าวขึ้นมาจริงๆ หรือถ้าใช้ภาษาอินเทอร์เน็ตก็เรียกว่า “โดนดัก” นั่นเอง

สื่อควร “เอ๊ะ” ยังไง?

  • ตรวจสอบว่าเพจดังกล่าวเป็นของบุคคลมีชื่อเสียงหรือองค์กรนั้นๆจริงหรือไม่ เช่น สะกดชื่อถูกต้อง มีเครื่องหมายติ๊กถูก มีประวัติการใช้งานมานาน ไม่ใช่เพิ่งเปิดเพจตอนที่เป็นข่าว (ทั้งนี้ คำต่อท้ายว่า “เฟซจริง” ไม่ได้แปลว่าเพจนั้นเป็นของจริงเสมอไป)
  • เพจที่เป็นของทางการ มักจะมีจำนวนผู้ใช้สูงกว่าเพจปลอมหลายเท่าตัว
  • เพจดัก-เพจปั่น มักจะใช้สำนวนหรือคำที่เป็นมุขตลกในโซเชียลมีเดีย เช่น “พรุ่งนี้ตอนเที่ยงๆ” หรือ “จงวิเคราะห์” เป็นต้น 
  • หรือทางที่ดีที่สุด คือติดต่อสอบถามไปยังบุคคลหรือองค์กรนั้นๆด้วยตัวเอง เพื่อยืนยันว่าเพจหรือบัญชีผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียของพวกเขาคืออันไหนกันแน่ 
  1. ภาพ-คลิปวิดิโอผิดบริบท (Out-of-context photos and videos) 

ข่าวปลอมรูปแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ (โดยเฉพาะในข่าวต่างประเทศ) เช่น สื่อไปเจอภาพที่อ้างว่าเป็นเหตุการณ์หนึ่ง แล้วสื่อเอามารายงานต่อ จริงๆแล้วเป็นเหตุการณ์อื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยในอีกประเทศหนึ่ง หรือคลิปที่อ้างว่าแสดงให้เห็นเหตุการณ์หนึ่ง แต่ตามจริงแล้วเป็นการเอาคลิปแค่บางส่วนมาแสดง ทำให้ไม่เห็นเหตุการณ์หรือบริบททั้งหมด 

ยิ่งถ้าเป็นกรณีที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สงครามหรือความขัดแย้งทางเชื้อชาติ-ศาสนา ยิ่งสุ่มเสี่ยงที่จะกลายเป็นข่าวลวงที่สร้างความเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงหรือลดทอนความเป็นมนุษย์ด้วย ดังเช่นกรณีสื่อแห่งหนึ่งในประเทศไทย เสนอข่าวว่าปาเลสไตน์จ้าง “นักแสดง” มาแกล้งเจ็บหรือเสียชีวิต โดยอ้างว่าชายชาวปาเลสไตน์คนหนึ่งถูกตัดขา ทั้งที่จริงๆแล้ว เป็นคลิปคนละบุคคลและคนละเหตุการณ์กัน 

ดังนั้น ผู้เขียนมองว่า ข่าวปลอมลักษณะนี้ถือว่าน่ากังวลที่สุด และมักจะ “หลอกตา” สื่อมวลชนได้บ่อยครั้งที่สุด เพราะความ ทำให้ดูน่าเชื่อถือยิ่งกว่าภาพตัดต่อที่ทำขึ้นเสียอีก ตามที่มีสำนวนในวงการสื่อมวลชนต่างชาติไว้ว่า “คำโกหกที่ฟังดูน่าเชื่อถือที่สุด คือคำโกหกที่มีพื้นฐานอยู่บนความจริง” (The most convincing lies are based on some truth) สื่อมวลชนจึงยิ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

“เอ๊ะ” ยังไง?

  • พึงระลึกว่าภาพหรือคลิปที่เผยแพร่ในโซเชียลมีเดีย โดยไม่ได้ระบุที่มาชัดเจน มีความเสี่ยงว่าเป็นภาพหรือคลิปผิดบริบท ดังนั้น ควรเลือกใช้ภาพและคลิปจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือเท่านั้น เช่น สำนักข่าวต่างประเทศที่มีนโยบายเผยแพร่ภาพและคลิปเฉพาะที่ได้รับการตรวจสอบแล้วอย่าง AP, AFP, Reuters เป็นต้น 
  • ใช้วิธี “ค้นหาย้อนกลับ” (reverse image search) ของกูเกิ้ลหรือโปรแกรมอื่นๆ เพื่อตรวจสอบว่าภาพหรือคลิปดังกล่าว มีที่มาจากไหน และเผยแพร่ครั้งแรกในปีใด อ่านเพิ่มเติม: ตรวจสอบภาพลวง ด้วยวิธี “ค้นหาย้อนกลับ” ง่ายๆ ที่ทุกคนทำได้
  • หากเป็นเหตุการณ์ในต่างประเทศ สำนักข่าวหรือเว็บไซต์ที่ factcheck มักจะคอยติดตามและรายงานกรณีภาพหรือคลิปวิดิโอบิดเบือนบริบทเป็นระยะๆ  ดังนั้น สื่อควรตรวจสอบรายงานข่าวและเว็บไซต์ factcheck เหล่านี้ เพื่อดูว่าเหตุการณ์ที่ภาพหรือคลิปวิดิโอนั้นๆ อ้างถึง เป็นความจริงหรือไม่ 
  • หากไม่มีข้อมูลว่าภาพหรือคลิปนั้นๆ แสดงเหตุการณ์ตามที่อ้างจริงหรือไม่ ควรชะลอไว้ก่อนและอย่าเพิ่งเผยแพร่จนกว่าจะพิสูจน์ทราบได้
  1. คอนเทนต์ที่ทำขึ้นโดย AI (AI-generated content) 

ที่ผ่านมาเราได้เห็นกรณีการเผยแพร่ภาพตัดต่อเพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงกันมาแล้วหลายครั้ง และในปัจจุบัน ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการจำนวนหนึ่งได้ส่งเสียงเตือนว่าเทคโนโลยี AI จะยิ่งทำให้การบิดเบือนข้อมูลข่าวสารซับซ้อนขึ้น และตรวจสอบยากขึ้นด้วย ซึ่งภายในปี 2024 นี้ เราอาจจะได้เห็นตัวอย่างในลักษณะดังกล่าวมากขึ้นตามมาด้วย เป็นอีกหนึ่งรูปแบบข่าวลวงที่สื่อมวลชนควรติดตามอย่างใกล้ชิด 

“เอ๊ะ” ยังไง?

  • ภาพที่ AI ทำขึ้นยังมีข้อจำกัดและบกพร่องอยู่หลายประการ ซึ่งสามารถเอามาเป็นจุดสังเกตได้ เช่น หน้าผู้คนคล้ายกัน, หน้าผู้คนเบลอในพื้นหลังเบลอบิดเบี้ยว, เหตุการณ์ผิดบริบท (อย่างกรณี ThaiPBS ใช้ AI สร้างภาพฉลองสงกรานต์ แต่กลับกลายเป็นเทศกาลโฮลี), ตัวหนังสือบิดเบี้ยว, นิ้วมือหรือร่างกายของมนุษย์บิดเบี้ยว เป็นต้น
  • เช่นเดียวกัน คลิปที่ AI ทำขึ้น (อย่าง deepfake) ยังมีข้อจำกัดในเรื่องใบหน้าของมนุษย์ โดยให้สังเกตว่าสีหน้า ใบหน้า และการขยับปากของผู้พูดจะไม่ค่อยตรงหรือสอดคล้องกับคำพูด หรือมักจะเป็นการใช้โทนเสียงเดียวตลอด ทำให้ฟังดูไม่เป็นธรรมชาติ 
  • อย่างไรก็ตาม วิธีป้องกันที่ดีที่สุดก็คือ ถ้าหาที่มาหรือพิสูจน์ทราบความถูกต้องของคอนเทนต์นั้นๆไม่ได้ ก็ไม่ควรนำมารายงานเป็นข่าวแต่แรก 

หมายเหตุ: ผู้เขียนไม่แนะนำให้ใช้บรรดาเว็บไซต์ที่อ้างว่าตรวจสอบได้ว่าคอนเทนต์ใด AI ทำขึ้น เพราะเท่าที่ผู้เขียนเคยทดลองใช้งาน ผลการตรวจสอบของเว็บไซต์เหล่านี้เชื่อถือไม่ค่อยได้ 

  1. ‘ชาวเน็ต’ เขาเล่าว่า… (Online anecdotes) 

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าสำนักข่าวทุกวันนี้ มักจะเอาโพสต์จากผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่เล่าเหตุการณ์หรือประสบการณ์ของตนมาลงเป็นข่าว เช่นในเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ (เอ็กซ์) หรือ TikTok แต่ในหลายๆครั้ง คำบอกเล่าของผู้ใช้โซเชียลมีเดียที่สื่อนำมารายงานเป็นข่าวใหญ่โต ก็กลับกลายว่าไม่ได้เกิดขึ้นจริง หรือเล่าเหตุการณ์ไม่หมด หรือไม่มีหลักฐานใดๆบ่งชี้ว่าเกิดขึ้นจริงแต่อย่างใด 

ถ้าหากใช้ภาษาสื่อมวลชนแบบเก่าหน่อย ก็คงต้องเรียกว่า “กลายเป็นเรื่องโอละพ่อ” หรือถ้าใช้ภาษาอินเทอร์เน็ตสมัยใหม่ ก็คือ “คดีพลิก” นั่นเอง ซึ่งผู้ที่มักจะเสียเครดิตหรือความน่าเชื่อถือ ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากสื่อมวลชนที่รีบ “งับ” เอาเรื่องแบบนี้มารายงานแต่แรก โดยไม่ได้ตรวจสอบเสียก่อน

“เอ๊ะ” ยังไง?

  • ใช้คำในการรายงานข่าวอย่างระมัดระวัง ใครเป็นคนพูด มีหลักฐานใดยืนยันบ้าง สื่อสามารถยืนยันข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวได้หรือไม่ แทนที่จะรีบด่วนสรุป และรายงานราวกับว่าเหตุการณ์นั้นๆ ได้รับการยืนยันหรือตรวจสอบข้อเท็จจริงจากสื่อแล้ว 
  • ติดต่อไปยังเจ้าของบัญชีผู้ใช้ต้นเรื่องโดยตรง เพื่อสัมภาษณ์และขอข้อมูลเพิ่มเติม เช่น ภาพหรือคลิปในโพสต์ ถ่ายเองหรือไม่ เหตุการณ์นั้นๆ เกิดขึ้นเมื่อใด  มีหลักฐานใดๆ ที่สามารถยืนยันเหตุการณ์ได้บ้างหรือไม่ มีข้อมูลเพิ่มเติมใดๆ ที่จะช่วยให้เข้าใจบริบทเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากขึ้นบ้างหรือไม่ เป็นต้น
  1. ข่าวพาดหัวยั่วให้คลิกและข่าวหวือหวาจากต่างประเทศ (Clickbait and tabloid content)

นอกจากสื่อไทยจะมีประวัติรายงานข่าวเกี่ยวกับประเทศตัวเองถูกบ้างผิดบ้าง เวอร์หรือคลิกเบตบ้าง ปัญหาดังกล่าวยังลามไปถึงข่าวต่างประเทศด้วย เพราะมีหลายกรณีที่สื่อไทยมักเอาข่าวหวือหวาจากสื่อที่ไม่มีความน่าเชื่อถือในต่างประเทศ มาแปลและรายงานต่ออีกที ทำให้ประชาชนที่อ่านหรือดูข่าวนั้นๆ รับเอาข้อมูลเท็จหรือความเข้าใจผิดไปอีกต่อด้วย 

ยกตัวอย่างเมื่อปีที่แล้ว สื่อไทยจำนวนหนึ่งรายงานข่าวใหญ่โตว่า เกิดรัฐประหารที่ประเทศจีน ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงถูกควบคุมตัว กรุงปักกิ่งและเมืองสำคัญในจีนห้ามเครื่องบินและรถไฟเข้าออกอย่างสิ้นเชิง ฯลฯ แต่เมื่อตรวจสอบดู กลับพบว่าที่มาของข่าวดังกล่าวมาจากข่าวแทบลอยด์ในประเทศอินเดีย และบัญชีทวิตเตอร์จำนวนหนึ่งเท่านั้น

และเมื่อไม่นานมานี้ สื่อแทบลอยด์ในตะวันตกจำนวนหนึ่งรายงานว่า ‘คิมจองอึน’ ผู้นำเกาหลีเหนือ ร่ำไห้ขณะกล่าววิงวอนให้ผู้หญิงเกาหลีเหนือมีลูกให้เยอะขึ้น แต่หากตรวจสอบคลิปวิดิโอการประชุมดังกล่าว จะพบว่าคิมจองอึนร้องไห้ในช่วงที่ฟังข้อมูลเกี่ยวกับวีรกรรมและความเสียสละของผู้หญิงเกาหลีเหนือในช่วงสงครามเกาหลี ไม่ได้ร้องไห้ขณะพูดถึงนโยบายส่งเสริมการมีลูกแต่อย่างใด

“เอ๊ะ” ยังไง?

  • หลีกเลี่ยงการนำเอาข่าวจากสำนักข่าวเชิงแทบลอยด์ในต่างประเทศ เช่น The Sun, Daily Mail, Telegraph ฯลฯ มาแปลเป็นข่าวและเผยแพร่ต่อ เนื่องจากสำนักข่าวเหล่านี้มีประวัติเผยแพร่ข่าวที่เป็นเท็จ ไม่มีที่มาหรือหลักฐานยืนยันชัดเจน และมักจะใส่สีตีไข่ให้ “เวอร์” เกินความเป็นจริงอยู่บ่อยครั้ง
  • สื่อมวลชนควรเลือกแปลข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศที่มีความเคร่งครัดต่อจริยธรรมและความถูกต้องของข้อมูลอย่างสูง เช่น สำนักข่าวประเภท wire service อย่าง AP, AFP, Reuters หรือสำนักข่าวมืออาชีพที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในวงการวิชาชีพสื่อสากลอย่าง BBC, New York Times, The Guardian เป็นต้น
  • พึงระลึกว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ระดับ “เขย่าโลก” สื่อต่างประเทศประเภท wire service มักจะรายงานอย่างฉับไวเป็นประจำ ดังนั้น ถ้าหากเจอคลิป หรือภาพ หรือโพสต์ในโซเชียลมีเดียที่อ้างว่าเกิดเหตุการณ์สำคัญในต่างประเทศ แต่สื่อประเภท wire service มิได้รายงานหรือพูดถึงเหตุการณ์ดังกล่าวเลย ให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่า คำกล่าวอ้างนั้นๆ ไม่น่าเชื่อถือ และไม่ควรเอามารายงานเป็นข่าว
  • พึงระลึกว่าในปัจจุบัน บัญชีทวิตเตอร์ (เอ็กซ์) ที่มีเครื่องหมายติ๊กถูกสีฟ้า (bluecheck) ไม่ได้แปลว่ามีความน่าเชื่อถือเสมอไป ซ้ำร้าย บัญชีเหล่านี้มักจะเอาข่าวลวงหรือข่าวบิดเบือนมาเผยแพร่ต่อด้วย เพราะใครๆก็สามารถ “ซื้อ” เครื่องหมายดังกล่าวได้ ต่างจากทวิตเตอร์สมัยก่อนที่จะให้เครื่องหมายติ๊กถูกสีฟ้าเฉพาะกับสื่อมวลชนและผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือเท่านั้น
  1. คำอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง (Pseudoscience) 

ถึงแม้ประเทศไทยเราอาจจะยังไม่ได้มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์เทียบเท่ากับหลายชาติมหาอำนาจ และยังไม่เคยมีคนไทยชนะรางวัลโนเบลแม้แต่คนเดียว 

แต่เรากลับเห็นกรณีบุคคลหรือธุรกิจบางประเภทที่อ้างว่าได้ค้นพบนวัตกรรมที่ท้าทายความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในโลกสากลอยู่บ่อยครั้ง เช่น ประดิษฐ์เครื่องยนต์ที่ไม่ต้องใช้น้ำมัน, ผลิตยาสมุนไพรรักษาโรคมะเร็ง, อาหารเสริมที่ทำให้ลดความอ้วนได้ภายในเวลาไม่กี่เดือน ฯลฯ และสื่อไทยมักจะเอาคำอวดอ้างเช่นนี้มารายงานต่อโดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงเสียก่อนอยู่เป็นประจำ นับว่านอกจากจะขัดต่อหลักจริยธรรมพื้นฐานของวิชาชีพสื่อมวลชนแล้ว ยังอาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนจำนวนมากด้วย

“เอ๊ะ” ยังไง?

  • ใช้ความรู้วิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน ตั้งข้อสังเกตว่าคำกล่าวอ้างนั้นๆ ฟังดูสมเหตุสมผลหรือเป็นไปได้หรือไม่ หรือใช้กูเกิ้ลตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น 
  • ติดต่อไปยังบุคคลหรือธุรกิจที่กล่าวอ้าง เพื่อขอหลักฐานเชิงประจักษ์ งานวิจัย และเอกสารการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าสินค้าหรือผลิตภัณฑ์นั้นๆ ทำงานตามอ้างได้จริง  
  • ติดต่อไปยังผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญ และนักวิชาการ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอความเห็นหรือคำอธิบายเกี่ยวกับคำอวดอ้างนั้นๆ พร้อมชี้แจงข้อเท็จจริงให้ประชาชนได้รับทราบ 
  • หากเป็นคำอวดอ้างที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ ยา หรือการรักษาโรค สื่อมวลชนควรใช้วิจารณญาณไม่เผยแพร่คำอวดอ้างนั้นๆต่อโดยไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน เพราะอาจจะสุ่มเสี่ยงสร้างความเสียหายในวงกว้างต่อสาธารณชนได้ 

สรุปส่งท้าย 

สังเกตได้ว่าไม่ว่าข่าวลวงหรือข่าวบิดเบือนจะมาในรูปแบบใด จะเป็นแบบเก่าหรือแบบใหม่ จะเป็นภาพผิดบริบทหรือคอนเทนต์ที่ AI ทำขึ้น วิธีการรับมือที่ง่ายและชัวร์ที่สุดสำหรับสื่อมวลชนก็คือ ใช้เวลาตรวจสอบที่มาและพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงเสียบ้าง แทนที่จะรีบลงข่าวทันทีเพื่อแข่งขันกันอย่างเดียว

ดังที่นักวิชาการด้านสื่อมวลชนท่านหนึ่ง เคยให้คำแนะนำกับผู้เขียนไว้ว่า ผลงานของสื่อมวลชนที่มีคุณภาพและยึดมั่นตามหลักจริยธรรม มักจะเป็นงานที่ให้โอกาสคนทำงานได้ใช้เวลา ขณะที่กรณีความผิดพลาดและละเมิดหลักจริยธรรมของสื่อมวลชน มักจะเกิดจากความรีบร้อน 

ดังนั้น สื่อมวลชนควรพึ่งระลึกว่านอกจาก “ความฉับไวของข่าว” แล้ว ยังต้องมี “ความถูกต้องของข่าว” เป็นหลักด้วย

ท้ายนี้ ผู้เขียนขอเป็นกำลังใจให้คนทำงานสื่อทุกคนให้หมั่นตรวจสอบข้อเท็จจริง ยึดมั่นในหลักวิชาชีพพื้นฐาน และช่วยกันเสริมสร้างวัฒนธรรม factcheck ให้เกิดขึ้นตั้งแต่ในกองบรรณาธิการ เพื่อลดโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาด หรือเผยแพร่ข่าวลวง-ข่าวบิดเบือนให้ได้มากที่สุด 

นะงับ


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 6 มกราคม 2567

 ใช้น้ำนมแม่หยอดตา ช่วยรักษาอาการเจ็บตา เคืองตา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3perasyajjv2v


ใช้โรลออนทำให้เป็นมะเร็งเต้านม…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3p5lgqkx577qb


 เจาะ “โควิดพันธุ์ระบาดปี 2024” แพร่เร็ว ไม่ได้ลงแค่ปอด-ลามเกาะลำไส้!!

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/15l3coqf5vhie


กรมควบคุมโรค ผลักดันยาทากันยุงเป็นเวชภัณฑ์โรงพยาบาล เบิกจ่ายให้ผู้ป่วยไข้เลือดออกสิทธิ์บัตรทองฟรี

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/beacgdxd1wwx


กรมควบคุมโรค ผลักดันยาทากันยุงเป็นเวชภัณฑ์โรงพยาบาล เบิกจ่ายให้ผู้ป่วยไข้เลือดออกสิทธิบัตรทองฟรี

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/3epwhcu2p3ium


WHO เตือน! ห้ามเหยียบแมลงสาบโดยตรง เสี่ยงอันตรายกว่าที่คิด

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/2vn2s8daq1php


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 30 ธันวาคม 2566

ฉีดวัคซีน mRNA แล้วเป็นมะเร็ง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1yabsjqwndekt#_=_


มะเร็งระยะสุดท้ายหายได้ เพียงใช้ใบมะละกอต้มดื่ม…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3rxi6oyxkdatc#_=_


(ผลไม้)กีวี่ป่วยเป็นโควิด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/334wl0pviq79i


มีมติเห็นชอบพักหนี้ช่วงวิกฤติโควิด ตรึงค่าไฟฟ้าไม่เกิน 4.20 บาท/หน่วย และราคาดีเซล 30 บาท

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/2767kpxpdxz4


เคลียร์ดราม่าเติมน้ำมันไม่เต็มลิตร ส่งดำเนินคดีเติมเกิน-เติมขาด

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/3kqp3vat691hl


ชวนอ่าน! Cofact Journal สื่อกระดาษสู่สื่อกระจก กับการสื่อสารในสังคมไทย

1/2566

‘ยาความดัน’ กินแล้วเสี่ยงมะเร็ง  เชื่อได้จริงหรือ? COFACT Special Report 27-66

By : Zhang Taehun

“เกือบเสียแม่ เพราะไลน์กลุ่มสวัสดีวันจันทร์ ปกติแม่จะเป็นโรคความดัน ไขมัน อยู่แล้ว ต้องกินยาควบคุมประจำ อยู่มาวันหนึ่งมีไลน์กลุ่มเพื่อนๆ แม่ส่งข้อความต่อๆ กันมาว่า ถ้ากินยาลดความดัน ลดไขมันมากๆ จะเสี่ยงเป็นมะเร็ง หลังจากได้อ่านแม่ผมหยุดกินยาเองเลยโดยไม่ปรึกษาใครทั้งสิ้น เมื่อคืน 9 ธันวาคม 2566 เกิดอาการเจ็บหน้าอก หายใจไม่ออกถูกนำส่ง รพ วัดความดันได้เกือบ 250 และมีอาการหัวใจขาดเลือดกระทันหัน (ถ้าส่ง รพ ช้าไป มีสิทธิ์หัวใจล้มเหลวเสียชีวิตได้) ปัจจุบันต้องอยู่ในห้อง icu เพราะความดันยังไม่ลง อันตรายมาก”

เรื่องเล่าข้างต้นเป็น อุทาหรณ์ จากผู้ใช้เฟซบุ๊กท่านหนึ่งที่มีคุณแม่ป่วยเป็นโรคความดันและไขมันต้องกินยาเป็นประจำ แต่อยู่ดีๆ ก็ไปเชื่อข้อความที่แชร์กันต่อมาในกลุ่มไลน์ กินยาความดันมากๆ เสี่ยงป่วยเป็นมะเร็ง แล้วก็หยุดกินยาเอง ส่งผลให้ความดันขึ้นสูงมากจนต้องถูกส่งเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล และนี่เป็นอีกครั้งที่ “การส่งต่อข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง” ส่งผลกระทบต่อผู้คนในระดับถึงชีวิต 

ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจก่อนว่า โรคความดันคืออะไร? โรคความดัน หรือชื่อเต็มๆ คือ โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension)” ข้อมูลจาก กรมควบคุมโร อธิบายว่า เป็นโรคที่ตรวจพบได้จากการวัดความดันโลหิต ได้ในระดับที่สูงกว่าปกติอย่างเรื้อรังอยู่เป็นเวลานาน โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดไว้ตั้งแต่ พ.ศ.2542 ว่า ผู้ใดก็ตามที่มีความดันโลหิตวัดได้มากกว่า 140/90มม.ปรอท ถือว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง 

ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงและไม่รักษาให้ถูกต้องจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคอัมพาตจากหลอดเลือดในสมองตีบ โรคหลอดเลือดในสมองแตก โรคหัวใจขาดเลือด โรคหัวใจวาย โรคไตวาย หลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง เป็นต้น โรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยปัจจุบันสำรวจพบว่าคนไทยประมาณร้อยละ 20 เป็นโรคความดันโลหิตสูง 

คนส่วนใหญ่ที่มีความดันโลหิตสูงมักจะไม่รู้ตัวว่าเป็นโรค แม้เมื่อรู้ตัวว่าเป็น ส่วนมากจะไม่ได้รับการดูแลรักษา ส่วนหนึ่งอาจจะเนื่องจากไม่มีอาการทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสนใจ เมื่อเริ่มมีอาการหรือภาวะแทรกซ้อนแล้วจึงจะเริ่มสนใจและรักษา ซึ่งบางครั้งก็อาจจะทำให้ผลการรักษาไม่ดีเท่าที่ควร การควบคุมความดันโลหิตให้ปกติอย่างสม่ำเสมอ สามารถลดโอกาสเกิดโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ได้อย่างชัดเจน เป็นข้อเท็จจริงทางการแพทย์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วและเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก

สำหรับความดันโลหิตสูง แบ่งระดับความรุนแรงของโรคไว้ดังนี้ ระดับ 1 ความดันโลหิตสูงระยะเริ่มแรก ค่าความดันโลหิต ระหว่าง 140 – 159/90 – 99 มม.ปรอท , ระดับ 2 ความดันโลหิตสูงระยะปานกลาง ค่าความดันโลหิต ระหว่าง 160 – 179/100 – 109 มม.ปรอท และ ระดับ 3 ความดันโลหิตสูงระยะรุนแรง ค่าความดันโลหิต มากกว่า 180/110 มม.ปรอทขึ้นไป

ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคความดัน คือ อายุ –ช่วงเวลา –สุขภาพจิต – เพศ – พันธุกรรม – สิ่งแวดล้อม – เกลือ

อายุ ส่วนใหญ่เมื่ออายุมากขึ้น ความดันโลหิตจะสูงขึ้น ช่วงเวลา “ หากวัดความดันหลายครั้งตลอดทั้งวัน อาจเห็นค่าความดันขึ้นๆ ลงๆ ก็ได้ สุขภาพจิต ความเครียดทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ในทางกลับกันเมื่อพักผ่อนค่าความดันที่สูงนั้นก็ลดลงไปสู่เกณฑ์ปกติได้ พศ พบผู้ชายเป็นโรคความดันโลหิตสูงได้บ่อยกว่าผู้หญิง

พันธุกรรม เด็กที่เกิดจากพ่อแม่ซึ่งเป็นโรคความดันโลหิตสูง เมื่ออายุมากขึ้นมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้มากกว่าเด็กที่เกิดจากพ่อแม่ที่ไม่ป่วยเป็นโรคดังกล่าว นอกจากนี้ยังพบว่า ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน (ชาวอเมริกันผิวดำ) มีความดันโลหิตสูงมากกว่าชาวอเมริกันผิวขาว “สิ่งแวดล้อม” หากเอื้อให้เกิดภาวะเคร่งเครียด ก็เป็นปัจจัยทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงขึ้นได้ ซึ่งก็พบว่า ผู้ที่อยู่ในสังคมเมืองจะพบภาวะความดันโลหิตสูงมากกว่าผู้ที่อยู่ในสังคมชนบท และ เกลือ ผู้ที่กินเกลือมากจะมีโอกาสเกิดโรคความดันโลหิตสูงมากกว่าผู้ที่กินเกลือน้อย

ผศ.นพ.ภาวิทย์ เพียรวิจิตร อาจารย์สาขาวิชาโรคหัวใจ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายไว้ในบทความ รู้แล้วรอดโรค ความดันเลือดสูง ภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม ว่า แม้โรคความดันเลือดสูงจะเป็นโรคที่อันตราย แต่ก็เป็นโรคที่สามารถควบคุมได้ในระยะยาว หากได้รับการรักษาที่ทันท่วงที โดยเบื้องต้นจะรักษาด้วยวิธีการให้ยาลดความดันเลือด เพื่อรักษาระดับความดันให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน นอกจากการรับประทานยาแล้ว ผู้ป่วยควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนี้

สิ่งที่ควรทำ 1.หมั่นตรวจวัดความดันเลือดอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง 2.รับประทานอาการให้ครบ 5หมู่ เน้นผักและผลไม้ชนิดที่ไม่หวาน 3.ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ 4.ออกกำลังเป็นประจำ5.พักผ่อนให้เพียงพอ และ 6.รักษาสุขภาพจิตให้ดีอยู่เสมอ ไม่เครียด

สิ่งที่ไม่ควรทำ 1.สูบบุหรี่ เพราะสารพิษในควันบุหรี่ ส่งผลให้เกิดการอักเสบ การตีบตันของหลอดเลือดต่าง ๆ รวมทั้งหลอดเลือดหัวใจ และหลอดเลือดไต 2.ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะทำให้มีโอกาสเป็นโรคความดันเลือดสูงถึงร้อยละห้าสิบ3.กินอาหารที่มีรสเค็ม หรืออาหารที่มีโซเดียมมากเกินไป เช่น กะปิ นํ้าปลา ของหมักดอง 4.กินอาหารที่มีไขมันสูง เช่น เนื้อติดมัน หนังสัตว์ ไข่แดง หอยนางรม อาหารประเภทผัดหรือทอด และ 5.กินอาหารที่มีรสหวานหรือมีน้ำตาลสูง เช่น น้ำหวาน ขนมหวาน

ทั้งนี้ โดยทั่วไปแล้วผู้ที่มีความดันเลือดปกติจะวัดค่าความดันได้ 120/80 มิลลิเมตรปรอท แต่ผู้ที่มีความดันเลือดสูงจะวัดค่าความดันได้ตั้งแต่ 140/90 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป และถือว่าเป็นสภาวะที่ต้องได้รับการควบคุมตั้งแต่เนิ่นๆ เนื่องจากอาจนำมาซึ่งภาวะแทรกซ้อนและโรคต่างๆ มากมาย เช่น โรคหัวใจขาดเลือด โรคหัวใจล้มเหลว โรคหลอดเลือดในสมอง โรคไตเสื่อม เป็นต้น

มาถึงคำถามสำคัญของเรื่องราวนี้ กินยาควบคุมความดันมากๆ เสี่ยงเป็นมะเร็งจริงหรอ?รศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) อธิบายเมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 2566 ว่า ยังไม่มีข้อมูลทางการแพทย์ใดที่สรุปชัดเจนว่า การทานยาลดความดันโลหิตสูงและยาลดไขมันมากๆ เป็นเวลานานๆ จะเสี่ยงเป็นมะเร็งมีแต่ข้อมูลที่เคยระบุว่า

1) ยาลดความดันโลหิตสูงที่เรียกว่า “เออบีซาแทน” (Irbesartan) ได้ถูกตรวจสอบและเฝ้าระวังเนื่องจากพบการปนเปื้อนสารที่อาจก่อมะเร็งเอแซดบีที (Azidomethyl biphenyl tetrazole; AZBT) ในวัตถุดิบที่ใช้ผลิตยา ซึ่งทั้งหมดได้ถูกเรียกคืนแล้ว ปัจจุบันจึงไม่มีข้อมูลเรื่องเสี่ยงเป็นมะเร็งอีก

2) นอกจากนี้ยังมีการศึกษาที่ชี้ว่าการกินยารักษาความดันโลหิตสูง กลุ่มแคลเซียมแชนแนลบล็อกเกอร์ (calcium channel blockers) ในระยะยาว อาจทำให้ผู้หญิงเป็นมะเร็งเต้านมได้ แม้การศึกษาแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ แต่ไม่ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสัมพันธ์เชิงสาเหตุและผลลัพธ์ โดยเมื่อปี 2014 Intermountain Heart Institute ในประเทศสหรัฐอเมริกา เผยผลการศึกษาว่า ยากลุ่มแคลเซียมแชนแนลบล็อกเกอร์ไม่สัมพันธ์กับมะเร็งเต้านม

3) ยาลดไขมันในเลือดกลุ่มสแตติน (statins) ที่มีบทบาทสำคัญในการลดความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจและสมองขาดเลือดในผู้ที่ดังกล่าวหรือผู้ที่มีภาวะแอลดีแอล-โคเลสเตอรอล (LDL-cholesterol) ในเลือดสูงมาก อย่างไรก็ตาม ยานี้มีผลไม่พึงประสงค์ต่อกล้ามเนื้อจนอาจทำให้ผู้ใช้ยาบางรายเกิดความกังวลหรือเลิกใช้ยา ยาในกลุ่มสแตตินอาจทำให้เกิดอาการผิดปกติเกี่ยวกับกล้ามเนื้อได้ แต่ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับการที่ยาลดไขมันจะทำให้เกิดมะเร็ง

สรุปการทานยาลดความดันโลหิตสูงและยาลดไขมัน มากๆ เป็นเวลานานๆ จะเสี่ยงเป็นมะเร็ง หรือไม่ เป็นเรื่องที่ยังไม่มีข้อเท็จจริงทางการแพทย์รองรับ แต่ที่ชัดเจนคือการหยุดยาลดความดันโลหิตสูงและยาลดไขมันด้วยตนเอง มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งเมื่อมีข้อสงสัยหรือมีอาการไม่พึประสงค์ ก่อนที่จะหยุดทานยา นะครับ  รศ.นพ.วีระศักดิ์ กล่าว

อนึ่ง ผู้เขียนสันนิษฐาน (ย้ำว่าเป็นเพียงข้อสันนิษฐานโดยส่วนตัว) ว่าการโพสต์และแชร์ข้อมูลเรื่องหากกินยาลดความดัน ลดไขมันมากๆ แล้วจะเสี่ยงเป็นมะเร็ง อาจมาจากข่าวที่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ตรวจสอบและเรียกเก็บคืนยาความดันที่พบการปนเปื้อนสารก่อมะเร็งอยู่เป็นระยะๆ เช่น ในเดือน ก.ค. 2561 มีการเรียกเก็บคืนยา วาลซาร์แทน (Valsartan)” จำนวน 5 ตำรับ ซึ่งสืบเนื่องจากบริษัทผู้ผลิตยาในยุโรปมีการตรวจสอบพบว่า มีสารก่อมะเร็งในหนูทดลอง จึงได้ประกาศเก็บยาดังกล่าวออกจากท้องตลาด และแจ้งเตือนไปยังเครือข่าย อย.ทั่วโลก อย.ไทยก็ได้รับแจ้งและดำเนินการสั่งเก็บออกจากท้องตลาด

อย่างไรก็ตาม นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองเลขาธิการ อย. (ในขณะนั้น) ก็ให้คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยที่ใช้ยาดังกล่าวอยู่ 1.ไปเปลี่ยนยา ณ โรงพยาบาล คลินิก หรือสถานพยาบาลที่ได้รับการจ่ายยา 2.หากยังไม่สามารถไปเปลี่ยนยาได้ในระยะนี้ ขออย่าได้หยุดการใช้ยา เนื่องจากผลิตภัณฑ์ยาวาลซาร์แทน (กลุ่ม Angiotensin II Receptor Blocker: ARB) เป็นยารักษาโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นโรคเรื้อรังที่มีความจำเป็นต้องใช้ยาอย่างต่อเนื่องซึ่งสารปนเปื้อนที่พบในผลิตภัณฑ์ยาดังกล่าว จากการศึกษาข้อมูลความปลอดภัยย้อนหลัง ยังไม่พบว่าผู้ป่วยมีประเด็นการเกิดมะเร็งจากยานี้ที่ใช้วัตถุดิบจากจีน

3.ผู้ป่วยที่เคยได้รับผลิตภัณฑ์ยาวาลซาร์แทนในการรักษามาอย่างต่อเนื่อง ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนไปใช้ยารักษาโรคความดันโลหิตสูงตัวอื่น โดยยังคงสามารถใช้ผลิตภัณฑ์ยาวาลซาร์แทน เลขทะเบียนตำรับอื่นที่ไม่มีการปนเปื้อนได้ และ 4.สามารถใช้ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ ในยายี่ห้ออื่นที่ไม่ใช่ใน 5 ตำรับดังกล่าว ทั้งนี้ ในช่วงเวลาดังกล่าว มีบริษัทผู้รับอนุญาตผลิตหรือสั่งยาวาลซาร์แทนเข้ามาในประเทศไทย จำนวน 7 บริษัท และมีทะเบียนตำรับยาที่ได้รับอนุญาตให้จำหน่าย จำนวนทั้งสิ้น 16 ชื่อการค้า ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า มีบริษัทผู้รับอนุญาตที่ใช้วัตถุดิบจากบริษัทในปรแทศจีน เพียง 2 ราย รวมเลขทะเบียนตำรับยาของทั้ง 2 รายนี้คือ 5 ตำรับ

มีข่าวการตรวจสอบเกิดขึ้นอีกครั้งในเดือน ต.ค. 2566 คราวนี้ อย. เรียกเก็บคืนยา เออบีซาแทน(Irbesartan)” ที่ใช้สำหรับรักษาโรคความดันโลหิตสูง ใน 42 รุ่นการผลิต เนื่องจากพบว่ามีวัตถุดิบปนเปื้อนสารที่อาจก่อมะเร็ง เอแซดบีที(Azidomethyl biphenyl tetrazole; AZBT)” ในวัตถุดิบที่ใช้ผลิตยาเกินเกณฑ์สากลที่ยอมรับได้อย่างไรก็ตาม นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิชเลขาธิการ อย. (ขณะนั้นยังเป็นรักษาราชการแทน) ได้แนะนำว่า สำหรับผู้ป่วยที่ใช้ยาเออบีซาแทนอยู่ไม่ควรหยุดยาทันที เนื่องจากยารักษาโรคความดันโลหิตสูงเป็นยาที่จำเป็นต้องใช้อย่างต่อเนื่อง และขอให้ตรวจสอบยาที่ใช้อยู่ หากพบว่าเป็นรุ่นการผลิตที่เรียกเก็บคืน ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร และขอเน้นย้ำว่าผู้ป่วยยังคงสามารถใช้ผลิตภัณฑ์ยาเออบีซาแทนยี่ห้อเดิมในรุ่นการผลิตอื่นที่ไม่มีการปนเปื้อนได้

ขณะที่ พญ.มิ่งขวัญ สุพรรณพงศ์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม ในฐานะหนึ่งในผู้ผลิตยาที่ถูกตรวจพบสารดังกล่าว ชี้แจงว่า ปัญหาอยู่ที่วัตถุดิบที่นำมาทำเป็นยา น่าจะมีการซื้อรวมจากบริษัทเดียวกัน เป็นสารกลุ่มไนโตซามีน เดิมจะไม่มีตัว AZBT อยู่ในรายการที่ต้องเฝ้าระวัง แต่ทาง อย.เฝ้าระวังความปลอดภัยในการใช้ยาอยู่ตลอดและทราบว่ามีปัญหานี้เกิดขึ้นในต่างประเทศ จึงได้เพิ่มการตรวจสอบสาร AZBT เพิ่มเติมในประเทศไทย และพบว่าน่าจะมีในบางลอตการผลิต โดยวัตถุดิบที่นำมาทำยานั้น เป็นการนำเข้ามาจากจีนและอินเดีย

ซึ่งจะเห็นว่า คำแนะนำจาก อย. ทั้ง 2 ครั้ง เน้นย้ำว่า แม้จะมีคำสั่งเรียกเก็บยาที่เสี่ยงอันตราย แต่หากผู้ป่วยกำลังใช้ยานั้นอยู่ก็ใช้ไปก่อน อย่าเพิ่งหยุดยาในทันที แล้วค่อยรีบนำยานั้นไปขอเปลี่ยนที่โรงพยาบาล เพราะโรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคที่ต้องกินยาต่อเนื่อง แต่ผ็เขียนขอสันนิษฐานว่า ผู้ที่เผยแพร่รวมถึงแชร์ต่อข้อมูลดังกล่าว อาจทำไปด้วยความกลัว ไม่ว่าจะด้วยการอ่านเฉพาะแต่พาดหัวข่าวแล้วรีบแชร์ หรือแม้แต่อ่านเนื้อข่าวแล้วก็ยังรู้สึกไม่เชื่อในคำแนะนำของแพทย์ก็ตาม 

และพอยิ่งถูกแชร์กันใน กลุ่มไลน์ ซึ่งมีลักษณะพิเศษคือ 1.คนในกลุ่มมักรู้จักคุ้นเคยกัน เช่น เป็นเพื่อนบ้าน ญาติพี่น้อง เพื่อนร่วมงาน ฯลฯ ก็ทำให้เชื่อโดยง่ายเพราะเห็นว่าเป็นคนรู้จักไม่ใช่คนอื่นไกล กับ 2.เป็นกลุ่มปิด ทำให้ตรวจสอบได้ยาก ยิ่งบวกกับคนในกลุ่มรู้จักกัน ทำให้บางคนแม้รู้ความจริงแล้วก็ไม่อยากหักหน้าคนที่เผยแพร่เพราะห่วงเรื่องสัมพันธภาพในกลุ่มก็อาจปล่อยเลยตามเลย ช้อมูลลวงจึงไม่ถูกหักล้างและยังแชร์กันต่อไป

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://ddc.moph.go.th/disease_detail.php?d=52(โรคความดันโลหิตสูง (Hypertention) : กรมควบคุมโรค)

https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/article/โรคความดันเลือดสูง/ (รู้แล้วรอดโรค ความดันเลือดสูง ภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม : คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล)

https://mgronline.com/onlinesection/detail/9660000112455 (“หมอหมู” ยันยังไม่มีข้อเท็จจริงทางการแพทย์ กรณีคนไข้กินยาลดความดัน-ลดไขมัน เป็นเวลานานแล้วเสี่ยงมะเร็ง : ผู้จัดการ 15 ธ.ค. 2566)

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=867252395403182&set=a.471900284938397&type=3&ref=embed_post (กินยาลดความดัน ลดไขมัน มากๆ นานๆ เสี่ยงเป็นมะเร็ง? : เพจเฟซบุ๊ก หมอหมู วีระศักดิ์)

https://workpointtoday.com/อย-เตือน-5-ยาความดันอันต/ (อย.เตือน “5 ยาความดันอันตราย” ปนเปื้อนสารก่อมะเร็ง เปลี่ยนคืน รพ.ได้ตามสิทธิ : Workpoint Today 16 ก.ค. 2561)

https://www.thansettakij.com/health/579213 (เช็คชื่อ “ยาลดความดัน” เสี่ยงก่อมะเร็ง 42 รุ่น อย.เรียกเก็บ : ฐานเศรษฐกิจ 23 ต.ค. 2566)

https://www.thairath.co.th/news/local/2734677(อย.ขอคืนยาความดัน ปนเปื้อนสารมะเร็ง 8 พันกล่อง ในท้องตลาด-คลินิก-โรงพยาบาล : ไทยรัฐ 22 ต.ค. 2566)

https://blog.cofact.org/cofact-press-may-27-21/(งานวิจัยพบ‘ข่าวลวง’เสี่ยงระบาดหนักใน‘กลุ่มปิด’ แนะแพลตฟอร์มหาวิธีแก้ไข-สร้างอาสาฯร่วมตรวจสอบ : Cofact 27 พ.ค. 2564)


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 23 ธันวาคม 2566

วิธีการตรวจมะเร็งง่าย ๆ โดยการเอาน้ำมันพืชมาทาแขน แล้วเอาเล็บขูด ๆ เกา ๆ…จริงหรือ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/11juhokvni806


ผู้ที่เป็นโรคไมเกรน เสี่ยงเส้นเลือดสมองแตกมากกว่าคนปกติถึง 46%…จริงหรือ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3sl0i7hddgx6z


ผู้ที่กระเพาะมีปัญหา กินของเย็น ผลไม้ให้น้ำมาก อาการจะยิ่งรุนแรง ทำให้ใจสั่น และเต้นแรง…จริงหรือ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/4njp5jdnlpd4


 กรมทรัพย์สินฯ ขึ้นทะเบียนปลานิลกระชังแม่น้ำโขงหนองคายเป็นสินค้า GI จริง

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/2dw0qi2wi44ps


กิ้งกือหากโดนกัดจะเกิดผลกระทบ…จริงหรือ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/n3n16btmrtcr


ขึ้นภาษีน้ำมัน จูงใจใช้รถไฟฟ้า…จริงหรือ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/mx0hj18wwco9


มองตัวอย่าง‘5 + 2 ข่าวลวงปี2566’ ปัจจัยเดิมทำ‘เชื่อ ชัง ชอบ- แชร์’ยังอยู่ แต่‘ข้อท้าทายใหม่’ทำตรวจสอบยากก็กำลังมา

COFACT Special Report 26-66

By : Zhang Taehun

วันคืนผ่านไปเร็วเหลือเกิน!..เผลอแปบเดียวปี 2566 ก็กำลังจะผ่านไปแล้ว หลายคนคงกำลังเตรียมวางแผนเดินทางท่องเที่ยวพักผ่อนหรือกลับไปพบหน้าครอบครัวในภูมิลำเนา แน่นอนว่าสำหรับ Cofact สิ่งที่ทำกันเป็นประเพณีช่วงท้ายปีแบบนี้คือการ “ทบทวน” กันว่าตลอดทั้งปีที่ผ่านมา เราเจอ “ข่าวลวง” อะไรกันมาบ้าง สำหรับในปีนี้ก็มีหลายเรื่องเช่นกันจากหลากหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ภาพที่ 1 : แชทไลน์อ้างเว็บไซต์กรมการปกครอง ตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง 14 พ.ค. 2566 เป็นเว็บไซต์ปลอม

– ตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง (จากเว็บไซต์จริงแต่ถูกกล่าวหาว่าปลอม) : ปี 2566 นี้ สำหรับการเมืองไทยถือเป็นปีที่สำคัญเพราะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) โดยมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรกันในวันที่ 20 มี.ค. 2566 ก่อนหน้าครบวาระ 4 ปี เพียง 3 วัน (23 มี.ค. 2566) จากนั้น สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ประกาศให้จัดการเลือกตั้ง สส. ในวันที่ 14 พ.ค. 2566

ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งนี้ นอกจากทางสำนักงานเขตหรืออำเภอจะส่งเอกสารมาที่บ้าน อันเป็นขั้นตอนแบบดั้งเดิมแล้ว ทาง กกต. ได้จับมือกับ สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ใช้เว็บไซต์ https://www.bora.dopa.go.th ของสำนักบริหารการทะเบียน ในการตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง เป็นการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการเตรียมตัวให้พร้อม ดูว่าตนเองต้องไปลงคะแนนเสียงที่หน่วยเลือกตั้งใดจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปผิดสถานที่

แต่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ ก็มีการแชร์กัน (ซึ่งจากตามภาพน่าจะเป็นการแชร์ทางแอปพลิเคชั่นไลน์) เป็นข้อความที่บอกว่า “ตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งได้แล้วตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2566 อย่าตรวจนะ มันให้กรอกเลขบัตรประชาชน เดี๋ยวเขตส่งมาให้เราเอง (เว็บไซต์อันตราย)” อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้จบลงได้รวดเร็ว เพราะ Link https://boraservices.bora.dopa.go.th/election/enqelection/ ที่ถูกอ้างว่าเป็นเว็บไซต์ปลอมนั้น ได้รับการยืนยันจากทั้ง ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมาย​ประชาชน (iLaw) ในวันที่ 21 เม.ย. 2566 ว่าเว็บนั้นเป็นของจริง สามารถเข้าไปตรวจสอบได้จริง

ภาพที่ 2 : Steepling Hands ท่ามือเสริมบุคลิก ถูกโยงว่าเป็นสัญลักษณ์ขององค์กรลับ “อิลลูมินาติ”

– เหล่าผู้นำระดับโลกล้วนเป็นสมาชิก อิลลูมินาติ” โดยดูได้จากท่ามือที่พวกเขาแสดง : เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินชื่อของ อิลลูมินาติ (Illuminati)” องค์กรลับที่ว่ากันว่าประกอบด้วยชนชั้นนำ (Elite) ในแวดวงต่างๆ ทั้งการเมือง ธุรกิจ สื่อมวลชน บันเทิง ฯลฯ เพื่อบงการความเป็นไปของโลกอยู่ในเงามืด นี่คือหนึ่งใน ทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory)” ที่มีคนเชื่อมากที่สุดในโลก แม้ที่ผ่านมาจะไม่เคยมีหลักฐานใดๆ ที่ชื้ชัดได้เลยว่าองค์กรอิลลูมินาติมีอยู่จริงก็ตาม

สำหรับประเทศไทย ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2566 นอกจากจะเกิดเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดอย่าง พรรคก้าวไกล ได้ที่นั่ง สส. ในสภา มากเป็นอันดับ 1 แล้ว ชื่อขององค์กรอิลลูมินาติก็กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง เมื่อมีการแชร์ภาพ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ในเวลานั้น) และภาพผู้นำของอีกหลายประเทศ เช่น อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ , อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงของเยอรมนี อังเกลา แมร์เคิล , ประธานาธิบดีตุรกี (ทูร์เคีย) เรเจป ไตยิป แอร์โดอัน เป็นต้น ทำท่ามือในลักษณะที่คล้ายกัน โดยอ้างว่านั่นเป็นการส่งสัญญาณบางอย่างขององค์กรลับดังกล่าว

แต่จริงๆ ท่ามือที่เห็นไม่ใช่เรื่องลึกลับอะไร โดยมันถูกเรียกว่า The Hand Steeple (หรือ The Hand Steeple Gesture , Steepling Hands) และได้รับการอธิบายจากผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาและบุคลิกภาพ ว่าเป็นท่าที่บรรดาผู้นำทั้งแวดวงการเมืองและธุรกิจชอบใช้เพื่อแสดงความมั่นใจของตนเอง อาทิ บทความ 5 body language behaviors from a retired FBI agent to help improve your confidence เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2561 อ้างอิงเนื้อหาจากหนังสือ The Dictionary of Body Language (ฉบับแปลไทยใช้ชื่อว่า “พจนานุกรมอ่านคนตั้งแต่หัวจรดเท้า”)  

หนังสือเล่มดังกล่าวซึ่งเขียนโดย โจ นาวาร์โร (Joe Navarro) อดีตเจ้าหน้าที่สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ (FBI) ได้อธิบายความหมายของ The Hand Steeple ไว้ว่า The Hand Steeple คือการทำท่ามือโดยวางประกบปลายนิ้วของมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน กางฝ่ามือสองข้างออก แล้วงอมือเพื่อให้ปลายนิ้วมือดูเหมือนยอดแหลมของโบสถ์ นี่เป็นการแสดงความมั่นใจแบบสากลและมักใช้โดยผู้ที่อยู่ในตำแหน่งผู้นำ และท่ามือนี้ยังเป็นท่าที่ อังเกลา แมร์เคิล ผู้นำเยอรมนี มักใช้บ่อยครั้ง

หรือบทความ 7 HAND GESTURE BODY LANGUAGE TIPS TO INFLUENCE COMMUNICATION บนเว็บไซต์ sandygerber.com ของ แซนดี เกอร์เบอร์ (Sandy Gerber) ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารชาวแคนาดา อธิบายไว้ว่า Steepling Hands เป็นคำที่บัญญัติโดย ศ.เรย์ เบิร์ดวิสเทล (Prof.Ray Birdwhistell) นักมานุษยวิทยาชาวอเมริกัน ที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาภาษากายของมนุษย์ ว่า เป็นท่าที่นิ้วของมือข้างหนึ่งกดเบาๆ กับนิ้วของมืออีกข้างและก่อตัวเป็นยอดแหลมของโบสถ์ 

โดย ศ. เบิร์ดวิสเทล ตั้งข้อสังเกตว่า คนที่มองว่าตัวเองมีชื่อเสียงและอยู่ในกลุ่มชนชั้นสูงจะใช้ท่าทางที่เรียบง่าย และมักจะใช้ตำแหน่งนิ้วชี้ที่จำกัดเพื่อแสดงทัศนคติที่มั่นใจ อีกทั้ง ท่า The Hand Steeple ยังมี 2 รุปแบบ คือ “Raised Steeple” เมื่อยกนิ้วขึ้นที่ด้านหน้าของหน้าอก ผู้พูดกำลังแสดงความคิดเห็นและความคิด ขอแนะนำให้ใช้ท่านี้ด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากท่านี้อาจสื่อถึงความเย่อหยิ่งหรือทัศนคติที่รู้ทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากศีรษะของบุคคลนั้นเอียงไปด้านหลัง กับ “Lower Steeple” เมื่อนิ้วอยู่ในตำแหน่งท่อนล่างรอบเอว บุคคลนั้นมักจะฟังมากกว่าพูด ที่น่าสนใจคือ การวิจัยระบุว่าผู้หญิงมักจะใช้ท่า Lower มากกว่า Raised

ภาพที่ 3 : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดระยอง วอนหยุดแชร์ข่าวลวงวนซ้ำเรื่องแบคทีเรียกินเนื้อคน


– ระยองกับข่าวลวงวนซ้ำเรื่องแบคทีเรียกินเนื้อคน 
: อย่างที่ทราบกันดีว่าระยองเป็นหนึ่งในจังหวัดท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับคนรักการพักผ่อนริมชายหาดและกินอาหารทะเล และข้อมูลข่าวสารนั้นก็ถือเป็นเรื่องอ่อนไหวอาจกระทบต่อการท่องเที่ยวได้ ซึ่งในปี 2566 ทางสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดระยอง และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระยองชี้แจงติดต่อกันทั้งในเดือนกันยายนและเดือนตุลาคมว่าไม่เป็นความจริง เนื่องจากยังมีการแชร์วนซ้ำ

โดยเนื้อหาข่าวลวงนั้นคือ เชื้อ vibrio valnificus ระยองมีแล้ว 2 ราย เสียชีวิตทั้ง 2 ราย รพ.ระยอง 1 ราย รพ.แกลง 1 ราย แบคทีเรียในนํ้าทะเลกำลังบูม ช่วงนี้งดทานพวกหอยสดทุกชนิด โดยเฉพาะหอยนางรมสด หอยแครง และอาหารทะเลสุกๆดิบๆ พร้อมกับภาพผู้ป่วยดูน่าสยดสยอง ขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใน จ.ระยอง ก็ชี้แจงในวันที่ 13 ก.ย. และ 6 ต.ค. 2566 ย้ำว่า ภาพที่แชร์นั้นเป็นภาพผู้ป่วยเมื่อ 5 ปีที่แล้ว จากการถูกของทิ่มแทง ได้รับการรักษาช้าจนมีเนื้อเยื่อตาย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับข่าวแบคทีเรียกินเนื้อคนของ Centers for Disease Control and Prevention (CDC) หรือสำนักงานควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกา โดยปัจจุบัน จ.ระยอง ยังไม่พบผู้ป่วยเสียชีวิตจากเชื้อ vibrio valnificus ตามที่เป็นข่าว อย่างไรก็ตาม ขอความร่วมมือประชาชนที่มีบาดแผลเปิด งดลงเล่นน้ำในแหล่งน้ำที่ไม่สะอาด เพราะแผลอาจติดเชื้อได้

ส่วนที่มีการอ้างถึง CDC นั้น เนื่องจากในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน (1 ก.ย. 2566) ทาง CDC ได้เผยแพร่บทความ Severe Vibrio vulnificus Infections in the United States Associated with Warming Coastal Waters : Emergency Preparedness and Responseเนื่องจากช่วงเดือน ก.ค. – ส.ค. 2566 สหรัฐฯ เผชิญกับอุณหภูมิพื้นผิวทะเลชายฝั่งที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยและคลื่นความร้อนที่แผ่กว้าง และบรรดามลรัฐชายฝั่งตะวันออกหลายแห่ง เช่น คอนเนตทิคัต นิวยอร์ก และนอร์ทแคโรไลนา พบรายงานการติดเชื้อ Vibrio valnificus ซึ่งจำนวนมากเกิดขึ้นหลังจากบาดแผลเปิดสัมผัสกับน่านน้ำชายฝั่ง หรือบางส่วนเกี่ยวข้องกับการบริโภคอาหารทะเลดิบหรือปรุงไม่สุก หรือมีสาเหตุที่ไม่ชัดเจน

ทั้งนี้ ข้อมูลจากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ (ประเทศไทย) ระบุว่า Vibrio valnificus เป็นเชื้อแบคทีเรีย อยู่ในตระกูล (Family) Vibrionaceae ติดสีแกรมลบ รูปร่างแท่ง เชื้อนี้ทำให้เกิดโลหิตเป็นพิษ พบอัตราการป่วยตายสูงถึงร้อยยละ 75 โดยธรรมชาติเชื้อนี้อาศัยอยู่ในน้ำทะเลและน้ำกร่อย ผู้ป่วยได้รับเชื้อจากการกินอาหารทะเลดิบ (โดยเฉพาะหอยนางรม) และทางบาดแผลที่สัมผัสกับเชื้อในแหล่งน้ำ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการกินอาหารทะเลดิบ และการสัมผัสน้ำทะเลและน้ำกร่อยเมื่อมีบาดแผล

 ภาพ 04 : หลากหลายเหตุการณ์ (ทั้งจริงและลวง) ที่อ้างว่าเกิดขึ้นพร้อมกันในวันที่ 3 ต.ค. 2566 
 

– “3 ตุลา 2566 วันสยาม (สแควร์) วิปโยคเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นพร้อมกัน : ตามภาพจะเห็นการแชร์กันถึง 5 เหตุการณ์ แต่ในความเป็นจริง มีเพียงเหตุกราดยิงที่สยามพารากอน เพียงเหตุการณ์เดียวเท่านั้นที่เกิดขึ้นในวันที่ 3 ต.ค. 2566 และเกิดขึ้นในสถานที่ที่ถูกเรียกว่าสยามสแควร์อย่างชัดเจนในขณะที่เหตุการณ์อื่นๆ ไล่ตั้งแต่ สามย่านมิตรทาวน์มีคนเอามีดไล่แทง เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันอื่นก่อนหน้าวันที่ 3 ต.ค. 2566 , 

สยามไฟไหม้ ในวันที่ 3 ต.ค. 2566 ไม่มีสำนักข่าวใดรายงานข่าวนี้ มีเพียงกรณีที่ห้างสรรพสินค้ามาบุญครอง (MBK) ชี้แจงภาพกลุ่มควันบริเวณอาคารของห้างที่ถูกแชร์กันไปว่าเกิดไฟไหม้ ว่าเกิดจากการทำงานของเครื่อง Cooling Tower ที่ทำให้เกิดกลุ่มไอน้ำในอากาศ , สยามน้ำท่วม เรื่องนี้เป็นได้ทั้งข่าวลวง หรือจะว่าข่าวจริงบางส่วนก็ได้ เพราะคำว่าสยาม (หรือสยามสแควร์) ไม่ได้แหล่งข้อมูลใดระบุไว้ชัดเจนว่าครอบคลุมถึงไหนบ้าง 

โดยในวันดังกล่าว ทางสำนักงานเขตปทุมวัน ส่งเจ้าหน้าที่เข้าแก้ไขสถานการณ์น้ำท่วมขังในบริเวณ(1) ถนนพระรามที่ 4 ตั้งแต่เเยกมหานคร ถึงบ่อนไก่ (2) ถนนพระรามที่ 1 บริเวณใต้สถานีรถไฟฟ้า BTS สนามกีฬาแห่งชาติ (3) ถนนพญาไท บริเวณหน้าศูนย์การค้า MBK (มาบุญครอง) และ (4) ถนนสายรอง บริเวณซอยรองเมือง 5 , อินดอร์สเตเดียมหัวหมากถล่ม แม้จะเกิดขึ้นจริงในวันที่ 3 ต.ค. 2566 แต่สถานที่ดังกล่าวอยู่ในเขตบางกะปิ ไม่ใช่บริเวณที่ถูกเรียกว่าสยาม (หรือสยามสแควร์) ที่อยู่ในเขตปทุมวันแต่อย่างใด

ภาพ 05 : ‘สวีเดน’ บรรจุ ‘เซ็กซ์’ เป็นกีฬา ข่าวที่ลือกันสนั่นช่วงเดือนมิถุนายน 2566 แต่สุดท้ายแค่เข้าใจคลาดเคลื่อน

– เซ็กซ์” ก็เป็นกีฬาได้นะสวีเดนเขารับรองแล้ว : ย้อนไปในเดือน มิ.ย. 2566 มีข่าวที่ฮือฮากันมากคือ ประเทศสวีเดนบรรจุให้ เซ็กซ์ หรือการมีเพศสัมพันธ์ เป็นกีฬาแล้วอย่างเป็นทางการ โดยอ้างถึงการแข่งขันเซ็กซ์ชิงแชมป์ยุโรป (European Sex Championship) แถมมีการก่อตั้ง สหพันธ์เซ็กซ์แห่งสวีเดน (The Swedish Sex Federation หรือ Svenska Sexförbundet) เพื่อเป็นสมาคมกีฬาดังกล่าวของแดนไวกิ้งอีกต่างหาก จนเป็นข่าวฮือฮาไปทั่วโลกไม่เว้นแม้แต่สื่อมวลชนไทยก็ยังแปลมาเผยแพร่ต่อ

อย่างไรก็ตาม แอนนา เซ็ทซ์แมน (Anna Setzman) โฆษกของสมาพันธ์กีฬาสวีเดน (Swedish Sports Confederation) องค์กรกลางในแวดวงกีฬาของสวีเดนที่รับจดทะเบียนสมาคมกีฬาชนิดต่างๆ (เช่นเดียวกับในไทยที่มีการกีฬาแห่งประเทศไทย หรือ กกท. เป็นองค์กรกลางรับจดทะเบียน) ที่ออกมายืนยันว่าข่าวดังกล่าวเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน และสวีเดนยังไม่มีการรับรองเซ็กซ์เป็นกีฬาอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด

เรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของเนื้อหาที่สร้างความเข้าใจคลาดเคลื่อน (Misinformation) เพราะด้านหนึ่งมีการจัดการแข่งขันที่ว่านี้ไหม? คำตอบคือมี แต่ถูกจัดโดยสหพันธ์เซ็กซ์แห่งสวีเดน ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่ได้รับการรับรองจากสมาพันธ์กีฬาสวีเดน (ให้อธิบายง่ายๆ คือมีองค์กรและองค์กรนั้นพยายามจัดแข่ง แต่องค์กรที่ว่าไม่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่) ส่วนความเข้าใจคลาดเคลื่อนก็น่าจะเกิดมาจากกรณี The Times of India หนังสือพิมพ์ชื่อดังฉบับหนึ่งในอินเดีย พาดหัวข่าว Sweden Will Soon Host the European Sex Championship ในวันที่ 4 มิ.ย. 2566 

ปัญหาคือบรรทัดแรกของข่าวนี้เริ่มบรรยายว่า Sweden has formally recognised sex as a sport and will stage its first-ever sex tournament the following week. (สวีเดนยอมรับการมีเพศสัมพันธ์เป็นกีฬาอย่างเป็นทางการและจะจัดการแข่งขันการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกในสัปดาห์หน้า) มีการใช้คำว่า “formally” ที่แปลว่า “อย่างเป็นทางการ” ขยายความคำว่า “recognise” ที่แปลว่า “ยอมรับ” ซึ่งอาจทำให้ผู้รับสารเข้าใจคลาดเคลื่อนไปว่าทางการสวีเดนยอมรับเซ็กซ์เป็นกีฬาแล้ว

“มิตซูบิชิ (Mitsubishi)” หรือ “มิตูบิชิ (Mitubishi)”

– รถไฟฟ้าทรงกลมๆ น่ารัก ไม่ได้ผลิตโดยมิตซูบิชิ : เรื่องนี้ขอแถมให้เพราะเป็นเรื่องที่ผู้เขียนค้นหาข้อมูลแล้วพบว่าซับซ้อนกว่าที่คิด (อ่านได้ที่บทความ ‘รถไฟฟ้า2ที่นั่งรูปทรงน่ารัก’ไม่ได้ผลิตโดย‘มิตซูบิชิ’ โปรดสังเกต‘โลโก้-ชื่อ’ดูให้ชัวร์ก่อนแชร์) เริ่องราวเริ่มต้นเมื่อสำนักข่าวออนไลน์แห่งหนึ่งโพสต์ข้อความอ้างถึงงาน Motor Expo 2023 ว่า มิตซูบิชิเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า 2 ที่นั่ง รัศมีการมอง 360 องศา สีหวานพาสเทล 

แน่นอนข่าวนี้ถูกแชร์ออกไปอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งผู้เขียนเองยังเกือบแต่งตัวออกจากที่พักไปดูตัวจริงที่งาน แต่ก็สะดุดตากับตัวหนังสือเหนือโลโก้ และเมื่อลอง Crop ภาพมาซูมดู ก็พบว่า “ตัวอักษร S หลังตัวอักษร T” หายไป ดังนั้นแทนที่จะอ่านว่า “มิตซูบิชิ (Mitsubishi)” ก็เลยต้องอ่านว่า “มิตูบิชิ (Mitubishi)” แทน สุดท้ายเรื่องก็กระจ่างมาประการหนึ่งคือมิตซูบิชิไมได้ผลิตรถรุ่นนี้แน่นอน เพราะคงไม่มีผู้ผลิตรายใดยอมให้สะกดชื่อบริษัทตัวเองผิดแล้วนำสินค้ามาโชว์แบบนี้แน่ๆ 

อีกทั้งหากมาเปิดตัวจริง เพจเฟซบุ๊กของมิตซูบิชิ (ประเทศไทย) มีหรือจะไม่ถ่ายภาพมาโปรโมท เพราะก็บอกอยู่ว่าเปิดตัว และงานอย่าง Motor Expo ก็คือเวทีแสดงศักยภาพของบรรดาค่ายรถต่างๆ อยู่แล้ว และยิ่งชัดขึ้นเพราะสำนักข่าวออนไลน์แห่งนั้นน่าจะลบข่าวทิ้งไปแล้วเนื่องจากกลับไปไล่ค้นในเพจเฟซบุ๊กแต่ไม่เจอ (คงทราบภายหลังว่าเข้าใจผิด) เรื่องนี้สำหรับผู้เขียนมองว่าน่าสนใจใน 2 ประเด็น 

1.เป็นอุทาหรณ์ทั้งต่อสื่อมวลชนและคนที่ใช้สื่อสังคมออนไลน์ ก่อนจะแชร์อะไรคงต้องรอบคอบมากๆ ดูกันแบบละเอียดสุดๆ ซึ่งก็น่าเป็นห่วงเพราะปัจจุบันคนใช้อินเตอร์เน็ตผ่านจอโทรศัพท์มือถือมากกว่าจอคอมพิวเตอร์ ภาพตัวหนังสือจะดูเล็กกว่าการเปิดในเครื่องคอมพิวเตอร์ ทำให้สังเกตสิ่งผิดปกติได้ยากกว่า กับ 2.การตรวจสอบข้อมูลจริง –ลวง มีแนวโน้มยากขึ้นในอนาคต เพราะเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทำให้การปลอมแปลงเนียนยิ่งขึ้น อย่างภาพรถคันนี้ก็มีการกล่าวอ้างว่าใช้ AI ทำขึ้น แต่ผู้เขียนเองก็ไม่ทราบว่าจะตรวจสอบในประเด็นนี้ได้อย่างไร ยังดีว่าเขียนชื่อยี่ห้อผิดเลยรู้ว่าเป็นข่าวลวง ถ้าเขียนถูกขึ้นมานี่น่าเป็นห่วงเลยทีเดียว

นักการเมืองได้บำนาญเป็นกอบเป็นกำ (จริงหรือ?)

– บำนาญของนักการเมือง : เรื่องนี้ผู้เขียนไม่ได้ค้นหาข้อมูลเอง เป็นงานของคุณกุลธิดา สามะพุทธิที่ผู้เขียนอ่านแล้วน่าสนใจดีเลยอยากแถมให้อีกเรื่อง (ค้นหาได้ในชื่อบทความ “ชำแหละข่าวลวงวนซ้ำเรื่อง “บำเหน็จบำนาญ สส.” ตัวเลข (เท็จ) นี้มีที่มา) สรุปคร่าวๆ คือนี่เป็นหนึ่งในข่าวลวงที่ถูกแชร์วนซ้ำมากที่สุด (ซึ่งอาจเป็นเพราะภาพจำของนักการเมืองในสายตาคนไทยค่อนข้างไปทางลบอยู่แล้ว เลยอารมณ์ขึ้นทันทีเมื่อเห็นข้อมูลนี้แล้วก็อาจแชร์ต่อกันโดยไม่ตรวจสอบ) และที่น่าสนใจคือ เป็นข่าวที่ผสมกันระหว่างข้อมูลจริงกับเท็จ อย่างแนบเนียน

โดยข้อมูลตามภาพเป็นนำส่วนที่เป็นเรื่องจริง (เป็นกฎหมายที่ออกมาบังคับใช้จริง) คือ พ.ร.ฎ.เงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานและรองประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และกรรมาธิการ พ.ศ. 2555 มาผสมกับส่วนที่ไม่ใช่เรื่องจริง (เป็นเพียงร่างกฎหมายแต่ถูกตีตกไปแล้วไม่ได้ออกมาบังคับใช้) คือ “(ร่างพ.ร.ฎ.บำเหน็จบำนาญ หรือผลประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของประธาน และรองประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกรัฐสภา พ.ศ. .. ซึ่งร่างกฎหมายนี้มีสูตรคำนวณบำนาญนักการเมือง และเมื่อนำสูตรนี้ไปคำนวณจากรายได้ต่อเดือนตามกฎหมายที่บังคับใช้อยู่ ก็ได้เป็นจำนวนบำนาญตามที่ปรากฏในข้อมูลที่แชร์กันนั่นเอง

บทสรุปจากตัวอย่าง 5 + 2 เรื่อง ที่ยกมานี้ ผู้เขียน (Zhang Taehun) มองเห็นทั้ง ข้อกังวลเดิม คือ ข่าวลวงจะเก่าแค่ไหน  แปลกเพียงใด ก็มีคนพร้อมจะแชร์เสมอหากเข้ากับอารมณ์ขณะนั้น ไม่ว่าความโกรธ – ความชัง (ข่าวที่เกี่ยวกับการเมือง เช่น อิลลูมินาติ , เช็คสิทธิ์เลือกตั้ง , บำนาญนักการเมือง ซึ่งคนแชร์อาจไม่ชอบหรือไม่ไว้วางใจอยู่แล้ว เมื่อมีข่าวที่เห็นแล้วไม่พอใจเข้ามาก็แชร์ทันที) ความกลัว (ข่าวเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บ กรณีโรคเนื้อเน่าที่ระยอง หรือข่าวเหตุร้ายต่างๆ แถวสยาม อาจแชร์ด้วยความห่วงใยคนที่รัก อยากให้ระมัดระวัง) แม้กระทั่งความสนุกสนานตลกขบขัน (ข่าวเรื่องสวีเดนรับรองเซ็กซ์เป็นกีฬา , ข่าวรถไฟฟ้ามิตซูบิชิ) 

แต่ขณะเดียวกันก็มี ความท้าทายใหม่” คือ “AI จะทำให้การปลอมแปลงข้อมูลทำได้แนบเนียนขึ้น” และเชื่อว่าหลังจากนี้คงเป็น งานหนัก  งานยาก” ของบรรดานักตรวจสอบข้อมูลทั้งหลายอย่างแน่นอน!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://ilaw.or.th/node/6428 (เลือกตั้ง 66: เปิดปฏิทินการเลือกตั้งอย่างช้า เมื่อนายกฯ ยุบสภา 20 มี.ค. : iLaw 20 มี.ค. 2566)

https://www.bbc.com/thai/articles/c108pq06mp8o(เลือกตั้ง 2566 : เปิดปฎิทินเลือกตั้ง หลัง กกต. เคาะ 14 พ.ค. เป็นวันเลือกตั้งทั่วไป : BBC 21 มี.ค. 2566)

https://thainews.prd.go.th/th/news/detail/TCATG230417201557885 (กกต. แจ้งให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ส.ส. สามารถตรวจสอบรายชื่อของตัวเองได้แล้ว ตั้งแต่ 18 เมษายนนี้ : สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ 17 เม.ย. 2566)

https://www.antifakenewscenter.com/นโยบายรัฐบาล-ข่าวสาร/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-อย่ากรอกข้อมูลตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง-เนื่องจากเว็บไซต์อันตราย/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! อย่ากรอกข้อมูลตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง เนื่องจากเว็บไซต์อันตราย : ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ 21 เม.ย. 2566)

https://twitter.com/iLawclub/status/1649293737632358400 (ทวิตเตอร์ iLaw 21 เม.ย. 2566)

https://www.insider.com/body-language-how-to-improve-confidence-2018-8#hand-steepling-2 (5body language behaviors from a retired FBI agent to help improve your confidence : Insider 29 ส.ค. 2561)

https://sandygerber.com/7-hand-gesture-body-language-tips-to-influence-communication/ (7 HAND GESTURE BODY LANGUAGE TIPS TO INFLUENCE COMMUNICATION)

https://www.naewna.com/likesara/761237(‘สสจ.ระยอง’วอนโซเชียล หยุดแชร์ข่าวปลอม‘แบคทีเรียกินเนื้อคน’ : แนวหน้า 6 ต.ค. 2566)

https://www.facebook.com/Rayonghandmade/videos/1299717640907660/ (คลิปวีดีโอคำชี้แจงจาก นพ.สุนทร เหรียญภูมิการกิจ นายแพทย์สาธารณสุข จ.ระยอง : เพจ รู้เรื่องเมืองระยอง 13 ก.ย. 2566)

https://www.dailynews.co.th/news/2715942 (ข่าวเก่า! ยันแชร์ว่อน ‘แบคทีเรียกินเนื้อ’ เป็นเรื่องจริง แต่เป็นเหตุการณ์เมื่อ 5 ปีก่อน : เดลินิวส์ 13 ก.ย. 2566)

https://emergency.cdc.gov/han/2023/han00497.asp(Severe Vibrio vulnificus Infections in the United States Associated with Warming Coastal Waters : Emergency Preparedness and Response , CDC 1 ก.ย. 2566)

http://nih.dmsc.moph.go.th/login/showimgdetil.php?id=866 (ภัยร้ายจากเชื้อ Vibrio vulnificus : สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ 4 ก.ย. 2561)

https://blog.cofact.org/specialrrport18-66/ (‘3 ตุลาคม 2566’หลากหลายข่าวร้ายเกิดขึ้น แต่ก็มีทั้ง‘จริง’และ ‘ลวง’ : Cofact 4 ต.ค. 2566)

https://blog.cofact.org/specialreport6610/ (‘สวีเดน’ บรรจุ ‘เซ็กซ์’ เป็นกีฬา! จากเนื้อหาคลาดเคลื่อน (MISINFORMATION) สู่ข้อมูลผิดพลาดที่ถูกแชร์ไวแบบไฟลามทุ่ง : Cofact 21 มิ.ย. 2566)

https://factcheckthailand.afp.com/doc.afp.com.33JQ42C (สมาพันธ์กีฬาแห่งสวีเดนปฏิเสธคำขอให้เซ็กส์เป็นกีฬาอย่างเป็นทางการ : AFP 10 ก.ค. 2566)

https://blog.cofact.org/specialreport25-66/(‘รถไฟฟ้า2ที่นั่งรูปทรงน่ารัก’ไม่ได้ผลิตโดย‘มิตซูบิชิ’ โปรดสังเกต‘โลโก้-ชื่อ’ดูให้ชัวร์ก่อนแชร์ : Cofact 14 ธ.ค. 2566)

https://blog.cofact.org/fake-news-on-parliamentarians-pension/ (ชำแหละข่าวลวงวนซ้ำเรื่อง “บำเหน็จบำนาญ สส.” ตัวเลข (เท็จ) นี้มีที่มา : Cofact 25 ก.ย. 2566)


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 16 ธันวาคม 2566

คนเป็นโรคเบาหวานกินยาเป็นจำนวนมากเสี่ยงเป็นโรคไต…จริงหรือ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/5ir6zcmr15yl


เติมน้ำมันดีเซลบนเรือกลางแม่น้ำโขงที่รับมาจากบริษัท ปตท. ถูกกว่าไทยลิตรละ 10 บาท…จริงหรือ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/5nswgofubzjj


ยาปลุกเซ็กซ์ทำให้ผู้ป่วยเอดส์เป็นมะเร็ง…จริงหรือ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/208yzbxc6xzpv


มะระขี้นกต้มรัอน แก้โรคมะเร็งได้…จริงหรือ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/c4jduji7yxwd


น้ำตาลปี๊บ”ปลอม” ระบาดหนัก ระวังกันด้วย…จริงหรือ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/goclzhug0os3#_=_


ท่าบิดกระดูกสันหลัง ทำให้หลับสบาย

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/3shq6c1c938jj


ข่อย แก้โรคฟัน รักษาฟันให้แข็งแรง แก้ปวดฟัน ใน 5 นาที…จริงหรือ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2trnram3ejofa#_=_


‘รถไฟฟ้า2ที่นั่งรูปทรงน่ารัก’ไม่ได้ผลิตโดย‘มิตซูบิชิ’ โปรดสังเกต‘โลโก้-ชื่อ’ดูให้ชัวร็ก่อนแชร์ COFACT Special Report 25/66

By : Zhang Taehun

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในฐานการผลิตรถยนต์ที่สำคัญของโลก ขณะที่ตลาดภายในก็ต้องบอกว่าคึกคักแทบจะตลอดเวลา โดยในแต่ละปีจะมี งานใหญ่ สำหรับ คนรักรถอยู่ 2 ครั้ง คือ “Bangkok International Motor Show” ที่จัดมาตั้งแต่ปี 2522 โดยจัดขึ้นในช่วงปลายเดือนมีนาคม-ต้นเดือนเมษายนของทุกปี กับอีกงานคือ “Thailand International Motor Expo” ที่เริ่มจัดงานครั้งแรกในปี 2527 โดยจะอยู่ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน-ต้นเดือนธันวาคมของทุกปี ซึ่งทั้ง 2 งาน บรรดาผู้ผลิตก็จะนำรถยนต์ภายใต้แบรนด์ของตนมาจัดแสดง มีตั้งแต่รถสำหรับจำหน่ายที่มาพร้อมเงื่อนไขพิเศษดึงดูดใจผู้มาเยี่ยมชม และรถต้นแบบที่มาเพื่ออวดโฉมความก้าวหน้าทางนวัตกรรม

อย่างไรก็ตาม ในงานใหญ่ครั้งล่าสุดของวงการยานยนต์เมืองไทยอย่าง Thailand International Motor Expo 2023 ซึ่งจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย. – 11 ธ.ค. 2566 มีเรื่องราวที่เรียกเสียงฮือฮาอย่างมาก เมื่อสำนักข่าวออนไลน์แห่งหนึ่ง โพสต์ภาพพร้อมข้อความอ้างว่า มิตซูบิชิ ค่ายรถยนต์ชื่อดังจากประเทศญี่ปุ่น เปิดตัว รถไฟฟ้าสองที่นั่ง รัศมีการมอง 360 องศา สีหวานพาสเทล” ซึ่งก็ดูจะได้รับความนิยมอย่างมาก มีการแชร์ข่าวดังกล่าวเป็นวงกว้าง รวมถึงมีผู้นำภาพเข้าไปถามในเพจเฟซบุ๊กทางการของมิตซูบิชิสาขาประเทศไทย

แต่ก็ต้องบอกว่าสำหรับคนที่เห็นภาพนี้แล้วรู้สึกว่า “รถอะไรเนี่ย?..ทำไมมันน่ารักตะมุตะมิเหลือเกิน?” แล้วรู้สึกอยากได้มาขับสักคัน เตรียมแต่งตัวเดินทางไปบูธของมิตซูบิชิที่งาน Thailand International Motor Expo เผื่อจะได้สิทธิ์เงื่อนไขพิเศษในการจองรถเฉพาะงานนี้กับเขาบ้าง เมื่อไปถึงงานก็คงรู้สึก “เก้อ” และอาจบ่นแบบงงๆ ว่า “ฉันมาทำอะไรที่นี่?” เพราะจริงๆ แล้ว “รถที่เห็นในภาพไมมีอยู่จริงในงาน และไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยกับมิตซูบิชิ” ในขณะที่อีกหลายคนอาจยังไม่ได้ออกจากบ้าน เพราะสังเกตเห็น “ความผิดปกติ” บางอย่างในภาพเสียก่อน

ภาพที่ 1 : รถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่อ้างว่า “มิตซูบิชิ (Mitsubishi)” นำมาเปิดตัวในงาน อย่าง Thailand International Motor Expo 2023 แต่เมื่อสังเกตดูดีๆ (ขีดเส้นสีแดง) จะเห็นว่าตัวรถมีตัวหนังสือคำว่า “มิตูบิชิ (Mitubishi)” ซึ่งหากเป็นสินค้าของมิตซูบิชีจริงๆ คงไม่ปล่อยให้สะดวกชื่อบริษัทตนเองผิดๆ แบบนี้

เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 7 ธ.ค. 2566 มีผู้ส่งภาพนี้มาถามผู้เขียนว่าตกลงแล้วเป็นข่าวจริงหรือไม่ ในตอนแรกผู้เขียนก็ตั้งใจจะออกไปดูที่งาน Thailand International Motor Expo 2023 เพราะที่พักไม่ห่างจากศูนย์ประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อันเป็นสถานที่จัดงานมากนัก แตจู่ๆ ก็สะดุดตากับตัวหนังสือเหนือโลโก้ และเมื่อลอง Crop ภาพมาซูมดู ก็พบว่า ตัวอักษร หลังตัวอักษร T” หายไป ดังนั้นแทนที่จะอ่านว่า มิตซูบิชิ (Mitsubishi)” ก็เลยต้องอ่านว่า มิตูบิชิ (Mitubishi)” แทน 

อีกทั้งเมื่อตรวจสอบกับเพจเฟซบุ๊ก “Mitsubishi Motors Thailand” ซึ่งเป็นเพจทางการของมิตซูบิชิประจำประเทศไทย (ในส่วนการผลิตและจำหน่ายรถยนต์) ในช่วงที่มีการจัดงาน Thailand International Motor Expo 2023 ก็ไม่มีภาพหรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ที่อ้างถึงในข่าวนั้นแต่อย่างใด นอกจากนั้น ยังมีบางโพสต์ที่มีผู้เข้าไปโพสต์ภาพรถยนต์ที่หน้าตาคล้ายๆ กันเพื่อสอบถาม ทางแอดมินหรือผู้ดูแลเพจตอบในทำนองเชิญชวนให้ดูรถรุ่นอื่นของค่ายแทน ในขณะที่รถซึ่งทางค่ายได้นำไปจัดแสดง หากมีผู้สนใจเข้ามาสอบถาม แอดมินจะเชิญชวนให้มาดูรถคันจริงที่บูธของมิตซูบิชิทันที (ซึ่งคงไม่มีเหตุผลอะไรหากมีรถโชว์ในงานจริงแล้วจะไม่เชิญให้ผู้สนใจมาชม) ที่สำคัญคือ “ไม่มีโพสต์ข่าวนี้อยู่ในเพจของสำนักข่าวต้นทาง” ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจลบข่าวไปแล้วหลังรู้ว่าไม่ใช่เรื่องจริง

ภาพที่ 2 : (ซ้าย) รถปริศนาหน้าตาคล้ายกับคันที่เป็นข่าวในภาพแรก กับ (ขวา) รถยนต์มิตซูบิชิรุ่น Xpander Cross ที่ถูกนำมาโชว์ในงาน Thailand International Motor Expo 2023 จะเห็นวิธีการตอบที่แตกต่างกันของผู้ดูแลเพจ
ภาพที่ 3 : เป็นอีกภาพที่อ้างว่าเป็นการเปิดตัวรถยนต์ของมิตซูบิชิ (Mitsubishi) ในช่วงเวลาเดียวกับภาพที่ 1 แต่เมื่อซูมดูจะพบความผิดปกติ 2 จุด คือ (1) โลโก้ในงานอ่านว่า “มิตูบิชิ (Mitubishi)”กับ (2) ที่ป้ายทะเบียนด้านหน้าตัวรถ อ่านได้ว่า “มิตูบิบิ (Mitubibhi)”

ยังมีผู้ส่งรูปซึ่งคล้ายกับที่ปรากฎในข่าวของสำนักข่าวออนไลน์แห่งนั้นมาให้ผู้เขียนดูอีก ซึ่งเป็นภาพที่แชร์กันในเพจอุปกรณ์ประดับยนต์ (และเป็นภาพที่มีผู้นำไปถามแอดมินเพจมิตซูบิชิประเทศไทย) เมื่อลองซูมดูดีๆ ก็จะพบว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับมิตซูบิชิเช่นกัน หรือแม้แต่ภาพที่ถูกแชร์กันบนแพลตฟอร์ม X (หรือเดิมคือทวิตเตอร์) ที่มีผู้สงสัยว่ามาจากงานแสดงรถยนต์ที่จัดในประเทศญี่ปุ่น เพราะบรรยายภาพเป็นภาษาญี่ปุ่น เมื่อซูมดูก็ไม่ได้อ่านว่ามิตซูบิชิอย่างถูกต้องแต่อย่างใด

ดังนั้นข้อสรุปในเบื้องต้นคือ “รถยนต์ไฟฟ้าหน้าตากลมๆ มนๆ น่ารัก” ที่ถูกแชร์ภาพแล้วบอกว่า “เป็นรถของมิตซูบิชิ” นั้น “ไม่เป็นความจริง” ส่วนที่มาของภาพนั้นยังมีเรื่องที่น่าสงสัย เพราะในขณะที่หลายความเห็นบอกว่าเป็นการใช้เทคโนโลยี “ปัญญาประดิษฐ์ (AI)” สร้างขึ้น แต่ผู้เขียนก็ยังไม่พบคำอธิบายในรายละเอียดมากไปกว่านั้น แต่อีกด้านหนึ่ง ผู้เขียนลองนำชื่อรถแปลกๆ ที่พบจากภาพเหล่านี้ไปค้นหาในอินเตอร์เน็ต ก็พบการกล่าวถึงอยู่บ้าง

ภาพที่ 5 : โพสต์จากเว็บบอร์ด SkyscraperCity วันที่ 27 ม.ค. 2549 ตอนหนึ่งมีการกล่าวถึงเครื่องยนต์ (Engine) ของรถยนต์ยี่ห้อ มิตูบิชิ (Mitubishi) ไม่ใช่ มิตซูบิชิ (Mitsubishi)
 

เช่น ในเว็บบอร์ดของเว็บไซต์ SkyscraperCityชุมชนออนไลน์สำหรับผู้สนใจตึกระฟ้าและการพัฒนาเมือง ที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2545 ในหัวข้อสนทนา “Chinese Auto Industry” หรืออุตสาหรรมยานยนต์ของประเทศจีน หัวข้อนี้เริ่มเปิดมาตั้งแต่วันที่ 6 ส.ค. 2547 ซึ่งในหน้าที่ 8 มีการโพสต์ภาพพร้อมข้อความ “Brilliance Auto’s own engine will be assembled in the new car this year. Right now the Mitubishi engine is installed in the new car.” โดยหากสังเกตดีๆ ผู้โพสต์ใช้คำว่า มิตูบิชิ (Mitubishi) ไม่ใช่ มิตซูบิชิ (Mitsubishi) โดยโพสต์ไว้ตั้งแต่วันที่ 24 ม.ค. 2549 หรือเมื่อกว่า 17 ปีก่อน

หรือในเว็บไซต์ dubizzle แพลตฟอร์มประกาศซื้อ-ขาย (และเช่า) สิ่งของต่างๆ ที่เปิดให้บริการในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) มาตั้งแต่ปี 2548 ผู้เขียนพบประกาศขายรถมือ 2 ที่เมืองชาร์จาห์ (Sharjah) ทั้ง มิตซูบิชิ ปาเจโร (Mitsubishi Pajero) และ มิตับชิ ปาเจโร (Mitubshi Pajero) แต่เป็นรถทรงเดียวกัน หน้าตาเหมือนกัน อีกทั้งชื่อของรถยนต์ มิตับชิ (Mitubshi) ยังไปปรากฎในแพลตฟอร์มรวมข่าวสารของประเทศในจีเรียอย่าง Nairaland ที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2548 

โดยในเว็บไซตืดังกล่าว มีผู้มาลงประกาศ “High Grade L300 Mitubshi Short Frame For Sale In Awka” ไว้เมื่อวันที่ 5 ต.ค. 2555 โดยเป็นประกาศขายรถตู้รุ่น L300 ที่เมืองอาวคา (Awka) อย่างไรก็ตาม ในเว็บบอร์ดเดียวกัน ก็มีการลงประกาศ “Clean Mitsubishi L300 Delica Bus For Sale In PH” ในวันที่ 11 ธ.ค. 2565 ซึ่งมิตซูบิชินั้นมีการผลิตรถตู้รุ่น L300 รวมถึงรถ SUV อย่าง ปาเจโร ออกมาขายจริง

ภาพที่ 6 ประกาศขายรถ มิตับชิ (Mitubshi) และ มิตซูบิชิ (Mitsubishi) บนแพลตฟอร์ม dubizzle ที่เมืองชาร์จาห์ (Sharjah) สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทั้ง 2 ยี่ห้อใช้ชื่อรุ่น “ปาเจโร (Pajero)” เหมือนกัน
ภาพที่ 7 ประกาศขายรถ มิตับชิ (Mitubshi) และ มิตซูบิชิ (Mitsubishi) บนแพลตฟอร์ม Nairalandประเทศไนจีเรีย ทั้ง 2 ยี่ห้อใช้ชื่อรุ่น “L300” เหมือนกัน

ยังพบการกล่าวถึงรถยี่ห้อ มิตับชิ (Mitubshi) ในเพจเฟซบุ๊ก Jamaica Classified Online ซึ่งเป็นของแพลตฟอร์มชื่อเดียวกันที่ให้บริการลงประกาศซื้อ-ขาย (และเช่า) สิ่งของต่างๆ ในประเทศจาไมกา โดยในวันที่ 11 ม.ค. 2563 มีประกาศขายรถกระบะ Mitubshi L200 แต่เมื่อไปดูในส่วนของเว็บไซต์ ก็พบการขายรถยนต์ มิตซูบิชิ (Mitsubishi) รุ่น L200 เช่นกันในปี 2564 โดย Mitsubishi L200 สำหรับประเทศไทยจำหน่ายในชื่อ Mitsubishi Triton L200เมื่อปี 2561

ภาพที่ 8 : ประกาศขายรถกระบะในแพลตฟอร์ม Jamaica Classified Online ประเทศจาไมกา (ซ้าย) ระบุยี่ห้อ Mitubshi L200 (ขวา) ระบุยี่ห้อ Mitsubishi L200

ถึงกระนั้น ผู้เขียนก็ไม่สามารถค้นหาต่อไปได้อีกว่าตกลงแล้ว รถยนต์ยี่ห้อ มิตับชิ (Mitubshi) หรือแม้แต่ มิตูบิชิ (Mitubishi) มีจริงหรือไม่ (อาจเป็นเพียงการใส่ข้อมูลผิด) หรือหากมีจริงแล้วผลิตขึ้นที่ใดกันแน่ (เพราะไม่มีข้อมูลบริษัทชื่อนี้เลยในอินเตอร์เน็ต) แต่ที่แน่ๆ ข้อคิดขอการค้นหาข้อมูลในครั้งนี้ยังคงเหมือนเดิมคือ เช็คให้ชัวร์ก่อนแชร์” ยังคงสำคัญเสมอ 

ยิ่งโดยเฉพาะองค์กรที่ทำงานในฐานะ สื่อ ยิ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะยุคสื่อสังคมออนไลน์ ข้อมูลข่าวสารสามารถแพร่กระจายเป็นวงกว้างได้ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ และแม้จะรู้ตัวรีบลบออกในภายหลังก็ยับยั้งไม่ทันเสียแล้ว!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://www.facebook.com/MitsubishiMotorsTH(เพจเฟซบุ๊ก Mitsubishi Motors Thailand)

https://www.skyscrapercity.com/threads/chinese-auto-industry.614117/page-8 (หัวข้อสนทนา “Chinese Auto Industry” ในเว็บไซต์ SkyscraperCity)

https://sharjah.dubizzle.com/motors/search/?keyword=mitubshi

https://www.nairaland.com/1066091/high-grade-l300-mitubshi-short#12433864

https://www.nairaland.com/7475142/clean-mitsubishi-l300-delica-bus#119073817

https://www.facebook.com/JamaicaClassifiedOnline/posts/for-sale-mitubshi-l200-pick-up-in-spanish-town-st-catherine-call-now-18765700750/2681263438636095/

https://jamaicaclassifiedonline.com/auto/vans-suvs/l200-mitsubishi-205547.htm

https://www.mitsubishi-motors.co.th/th/about-us/heritage/explore-triton-l200


จริยธรรมอยู่ตรงไหน ในยุคที่สื่อไทยเริ่ม “ลองของ” กับ AI? COFACT Special Report 24/66

โดย ธีรนัย จารุวัสตร์ สมาชิก Cofact 

สื่อมืออาชีพในต่างประเทศ ถอดบทเรียนจากหลายกรณีการใช้ AI ที่ผิดหลักจริยธรรมสื่อ และได้เริ่มทยอยออกแนวปฏิบัติว่าด้วยการใช้ AI อย่างชัดเจนกันบ้างแล้ว แต่การเฝ้าระวังและป้องกันในลักษณะเช่นนี้ยังไม่เกิดขึ้นในวงการสื่อไทย กลายเป็น “สุญญากาศด้านจริยธรรม” ที่ควรจะเร่งแก้ไขโดยเร็ว

ภาพประกอบโดย Yasmin Dwiputri จากเว็บไซต์ Better Images of AI

ย้อนไปเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน สำนักข่าว ThaiPBS World ได้จัดเวทีเสวนาในหัวข้อ “AI and the Future of Newsroom” หรือแปลได้ว่า “AI กับอนาคตของการทำงานสื่อ” มีตัวแทนจากหลากหลายภาคส่วนร่วมงานดังกล่าว ซึ่งผู้จัดได้ระบุว่า งานนี้มีขึ้นเพื่อให้คนในอุตสาหกรรมสื่อและเทคโนโลยี มาพูดคุยกันเพื่อหา “กรอบจริยธรรม” ที่เหมาะสมในการใช้ AI ของสื่อมวลชน

ในช่วงเปิดงานเสวนา รศ.ดร.วิลาสินี พิพิธกุล ผู้อำนวยการ ThaiPBS ได้กล่าวตอนหนึ่งว่า AI เป็นความท้าทายของสื่อมวลชน รวมถึงสื่อสาธารณะอย่าง ThaiPBS ในการเตรียมความพร้อมปรับตัวเพื่อรับมือภายใต้ภูมิทัศน์สื่อที่เปลี่ยนแปลง การบูรณาการเทคโนโลยีเข้ากับแนวทางปฏิบัติด้านสื่อมวลชนเดิมโดยตั้งอยู่บนข้อพิจารณาด้านจริยธรรม เพื่อให้สามารถคงเจตนารมณ์คุณค่าที่ยึดโยงกับประชาชน และมีความน่าเชื่อถือ

แต่ทว่า หลังจากที่งานเสวนาผ่านไปไม่กี่สัปดาห์ ThaiPBS ได้ตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่าด้วยหลักจริยธรรมในการใช้ AI เสียเอง 

เหตุเกิดจากรายงานข่าวของ ThaiPBS ในวันที่ 9 ธันวาคม ในประเด็นข่าวที่ “ยูเนสโก้” ได้ขึ้นทะเบียนประเพณีการเฉลิมฉลองวันสงกรานต์ของไทยเป็น “มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้” อย่างเป็นทางการ 

แต่ผู้อ่านตาดีบางส่วนตั้งข้อสังเกตว่า ภาพประกอบข่าวชิ้นดังกล่าว กลับมีลักษณะหลายอย่างของภาพที่ทำขึ้นโดย AI (AI generated) เช่น มือและหน้าตาของบุคคลในรูปผิดธรรมชาติ อีกทั้งองค์ประกอบของรูป ดูเหมือนเป็นการเฉลิมฉลองเทศกาล “โฮลี” ของประเทศอินเดีย มากกว่าจะเป็นเทศกาลสงกรานต์ของไทย 

บุคคลในวงการสื่อมวลชนจำนวนหนึ่ง (รวมถึงผู้เขียนเองด้วย) ได้ทักท้วงการกระทำครั้งนี้ของ ThaiPBS ในทันที เพราะหมิ่นเหม่ต่อการละเมิดจริยธรรมว่าด้วยการใช้ AI ถึงสองเด้ง

เด้งที่หนึ่ง คือการใช้ภาพที่ AI ทำขึ้นมาประกอบข่าวเหตุการณ์ ทั้งที่สำนักข่าว ThaiPBS เองก็น่าจะมีแฟ้มภาพการฉลองสงกรานต์จำนวนมาก แต่ทำไมจึงกลับเลือกใช้ AI?

เด้งที่สอง คือการใช้ภาพที่ AI ทำขึ้น โดยไม่มีการเปิดเผย (disclaimer) ต่อผู้อ่านด้วย

ต่อมา ด้านทีมข่าว ThaiPBS ได้ลบภาพดังกล่าวออกอย่างเงียบๆ โดยยังไม่มีคำชี้แจงต่อสาธารณะแต่อย่างใด

รถทรงกลมกับกระดูกนก

ในห้วงเวลาเดียวกัน ได้เกิด “ดราม่า” เกี่ยวกับ AI ในสื่อไทยอีกกรณีไล่เลี่ยกัน นั่นคือโพสต์ของสำนักข่าว ThaiTribune ที่ระบุว่า “มิตซูบิชิ” เปิดตัวรถไฟฟ้ารูปแบบใหม่ที่มีรูปทรงกลม

“6 ธันวาคม 2566 ช่วงนี้มีงาน #มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40″ หรือ “MOTOR EXPO 2023” ระหว่างวันที่ 30 พ.ย. – 11 ธ.ค. 2566 ที่เมืองทองธานี ที่เห็น #มิตซูบิชิ ออกแบบรถไฟฟ้าสองที่นั่ง รัศมีการมอง 360 องศา สีหวานพาสเทลทีเดียว!” ThaiTribune ระบุ พร้อมด้วยภาพประกอบ

แต่เมื่อลองวิเคราะห์ต้นทางของภาพดังกล่าว ปรากฎว่าไม่ได้เป็นภาพจากงาน Motor Expo ตามที่ ThaiTribue กล่าวอ้าง และไม่ได้เป็นภาพจริงๆด้วยซ้ำๆ แต่เป็นภาพรถยนต์ทรงกลมที่ผู้ใช้ทวิตเตอร์ในประเทศญี่ปุ่นทำขึ้นจาก AI และนำมาเผยแพร่เท่านั้น 

ไม่แน่ชัดว่าเหตุใดกองบรรณาธิการของ ThaiTribune จึงนำภาพดังกล่าวมา แถมยังเขียนบรรยายเสร็จสรรพด้วยอีกต่างหากว่า มาจากงาน Motor Expo ที่ประเทศไทย ซึ่งในปัจจุบัน โพสต์นี้ของ ThaiTribune ยังคงเผยแพร่อยู่ และมียอดแชร์กว่า 2,000 ครั้ง

นอกจากนี้ เมื่อดูโพสต์ก่อนๆของ ThaiTribune จะพบว่าเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน สำนักข่าวดังกล่าวได้เผยแพร่รูปโครงกระดูกนกพร้อมข้อความว่า “อย่าจับสัตว์ทุกชนิด ใน #ฤดูผสมพันธุ์ เพราะนี่คือผลลัพธ์ที่นำมาให้ดู!!” ซึ่งมียอดแชร์กว่า 1,700 ครั้ง พร้อมคอมเมนต์แสดงความสะเทือนใจจำนวนมาก แต่ถ้าหากลองสังเกตดีๆ จะพบว่าภาพดังกล่าวมีลักษณะเป็นรูปที่ AI ทำขึ้นอีกนั่นเอง 

คนละเรื่องเดียวกัน

กรณีทั้งสองเป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับ AI และจริยธรรมของสื่อไทย แต่ผู้เขียนก็มองว่ามีความแตกต่างที่สำคัญอยู่เหมือนกัน

กรณีของ ThaiTribune นั้น ดูเหมือนจะเข้าข่ายเป็นการนำเอาภาพปลอมมาเผยแพร่ต่อ พร้อมด้วยข้อความที่ชวนสร้างความเข้าใจผิดว่าเป็นภาพเหตุการณ์จริง ซึ่งผู้เขียนเองก็ไม่ทราบว่ากองบรรณาธิการจงใจเผยแพร่ภาพปลอมเพื่อเรียกยอดไลค์-ยอดแชร์ หรือนำมาแชร์ต่อโดยไม่ทราบจริงๆว่าเป็นภาพปลอม และก็ไม่ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนด้วย 

ซึ่งไม่ว่าเหตุผลใด ก็ย่อมละเมิดหลักจริยธรรมพื้นฐานสื่อมวลชนเหมือนกันทั้งคู่ เพราะตามหลักจริยธรรมนั้น สื่อไม่ควรเอาสิ่งที่ทราบอยู่แล้วว่าเป็นเท็จมาเผยแพร่ต่อ และไม่ควรเอาข่าว เนื้อหา หรือภาพมาเผยแพร่ต่อโดยไม่ตรวจสอบหรือพิสูจน์ทราบที่มาเสียก่อน 

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนก็ยังมองว่า เคสนี้ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกใหม่มากนักในมาตรฐานจริยธรรมสื่อแบบไทยๆ เพราะที่ผ่านๆมา สื่อมวลชนไทยก็มักจะกระทำผิดลักษณะนี้ให้เห็นกันตลอด (หากจะให้ใช้ภาษาบ้านๆ ก็คงต้องพูดว่า “ผิดแบบเดิมๆ”) ไม่ต้องเป็นภาพที่ AI ทำขึ้น สื่อไทยก็เคย “โดนดัก” หรือรีบร้อนเอามารายงานต่อโดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงกันอยู่แล้ว 

ไม่ว่าจะเป็นภาพที่ตัดต่อขึ้น (photoshopped), ภาพข่าวจากอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยภาพหรือเนื้อหาข่าวที่ไม่ทราบที่มา เนื้อหาข่าวจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือไม่ได้ ไปจนถึงเพจดัก-เพจล้อเลียน ฯลฯ 

แต่กรณีของ ThaiPBS ผู้เขียนมองว่ามีความแปลกใหม่อยู่มาก เพราะเป็นการนำเอาเทคโนโลยี generative AI มาใช้ในการทำงานของกองบรรณาธิการเลยทีเดียว นั่นคือเอาภาพที่ AI ทำขึ้น มาเป็นภาพประกอบข่าว แทนที่จะใช้ภาพที่ช่างภาพ(ที่เป็นมนุษย์)ถ่าย แถมยังไม่มีข้อความ disclaimer ด้วย ตามที่ได้อธิบายมาแล้ว

ผู้เขียนมองว่ากรณีนี้น่าเป็นห่วงเป็นพิเศษ เพราะในปัจจุบัน ยังไม่มีหลักการหรือแนวปฏิบัติว่าด้วยการใช้ AI ของสื่อมวลชนที่เป็นที่ยอมรับในวงกว้างในประเทศไทย แม้แต่บรรดาองค์กรวิชาชีพสื่อทั้งหลาย ซึ่งควรจะทำหน้าที่เป็นผู้ชี้แนะหลักการจริยธรรมให้แก่สื่อมวลชนอย่างแข็งขัน ก็ดูมะงุมมะงาหรากับเรื่องนี้ ยังไม่มีท่าทีหรือแนวทางปฏิบัติอย่างเป็นทางการ เรียกได้ว่าเป็นสุญญากาศทางจริยธรรมก็ว่าได้

อุทธาหรณ์จากต่างแดน

ตรงกันข้าม วงการวิชาชีพสื่อในต่างประเทศได้มีการวางแนวปฏิบัติว่าด้วยการใช้ภาพหรือเนื้อหาจาก AI กันอย่างแพร่หลายแล้ว เช่น ไม่นำเอาภาพที่ AI ทำขึ้นมาเป็นภาพประกอบข่าว เพราะจะทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ไม่นำเอา AI มาแทนที่คนทำงาน (เช่น ช่างภาพ) ไม่นำเอาเนื้อหาที่ AI ทำขึ้นมารายงานในข่าวโดยไม่ตรวจสอบก่อน เพราะ AI มีประวัติ “หลอน” และแสดงข้อมูลผิดพลาดบ่อยครั้ง หรือถ้าหากมีการใช้ภาพหรือเนื้อหาที่ AI ทำขึ้น จะต้องระบุ disclaimer ให้ผู้อ่านได้รับทราบอย่างชัดเจน เพื่อความโปร่งใส เป็นต้น 

เมื่อมีแนวปฏิบัติและกรอบจริยธรรมปรากฎขึ้นมาเช่นนี้ สำนักข่าวและสื่อมืออาชีพในต่างประเทศจึงเริ่มมีวัฒนธรรมเฝ้าระวังการใช้ AI ที่เข้มแข็ง และช่วยเป็นเกราะป้องกันจากการใช้ AI ในทางที่ผิดจริยธรรม แบบที่บางสำนักข่าวได้เคยกระทำมาแล้ว จนถูกวิจารณ์อย่างหนักและสูญเสียความน่าเชื่อถือของตนทั้งสิ้น

เช่นสำนักข่าว CNET ที่ใช้ AI เขียนข่าวธุรกิจ แต่ AI กลับคำนวนเลขผิด (บอกว่ารายได้ดอกเบี้ย 3% ของเงินฝาก 10,000 เหรียญ คือ 10,300 เหรียญ) สื่อในเครือ G/O Media ที่ถูกจับได้ว่าใช้ AI เขียนข่าวบันเทิง เพราะมั่วข้อมูลเกี่ยวกับลำดับของภาพยนตร์ Star Wars (บอกว่า Clone Wars เกิดหลังหนังไตรภาคของดีสนีย์) บทความที่ใช้ AI เขียนขึ้นของเว็บไซต์ MSN พาดหัวข่าวนักบาสเกตบอลที่เพิ่งเสียชีวิตด้วยคำว่า “ไร้ประโยชน์”  ฯลฯ 

ดังนั้น เป็นเรื่องน่าเสียดายอยู่เหมือนกันที่ว่า เรามีอุทธาหรณ์การที่สื่อมวลชนใช้ AI อย่างผิดหลักจริยธรรมมากมายจากในต่างประเทศ แต่สุดท้ายเราก็มีอุทธาหรณ์ในลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นในประเทศของเรา และดันมา “หวยออก” กับสื่อสาธารณะ ทั้งที่ควรจะมีบรรทัดฐานทางจริยธรรมที่เคร่งครัดกว่าสื่อทั่วๆไปด้วย

ปิดสุญญากาศทางจริยธรรม

ด้วยธรรมชาติของอุตสาหกรรมสื่อไทย ที่ผู้บริหารและฝ่ายการตลาดมักจะมองหา “ของเล่นใหม่ๆ” เพื่อตามเทรนด์หรือลดต้นทุน โดยไม่คำนึงถึงคุณภาพของเนื้อหาข่าวที่นำเสนอหรือจริยธรรมด้านสื่อมวลชนขั้นพื้นฐาน ผู้เขียนมองว่าถ้าหากการใช้ AI แบบในลักษณ​ะที่ไม่รอบคอบ​ ไม่ระมัดระวัง และ​ไม่รับผิดชอบ ดังที่กรณีต่างๆที่ยกมาข้างต้น ยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ​ อาจทำให้ยิ่งสุ่มเสี่ยงต่อจริยธรรมการนำเสนอข้อเท็จจริง อันเป็นหัวใจสำคัญของวิชาชีพสื่อมวลชน

กล่าวคือ ในอนาคต สำนักข่าวอาจจะเริ่มใช้ภาพที่ AI ทำขึ้น มาเป็นภาพประกอบข่าวเหตุการณ์บ่อยครั้งขึ้น ซึ่งอาจจะบิดเบือนองค์ประกอบไปจากข้อเท็จจริง จนสุดท้ายผู้ที่อ่านข่าวจะเริ่มแยกไม่ออกแล้วว่าภาพไหนเป็นภาพเหตุการณ์จริง 

ต่อมา เมื่อการใช้ภาพข่าวที่ AI ทำขึ้นกลายเป็นเรื่องปกติหรือบรรทัดฐานที่ยอมรับกัน (norm) สำนักข่าวก็อาจจะเริ่มขยายไปใช้เนื้อหาข่าวที่ AI ทำขึ้นด้วย โดยที่ไม่ได้ตรวจสอบก่อน (หรือตรวจสอบไม่หมด) ว่าเนื้อหาที่ AI ผลิตขึ้น มีความแม่นยำถูกต้องมากน้อยแค่ไหน กลายเป็นการผลักภาระให้ผู้ติดตามข่าวสาร ต้องคอยตรวจสอบเองว่าเรื่องใดจริงบ้าง 

ท้ายสุด เมื่อทั้งภาพและข่าวที่ AI ผลิตขึ้น กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ในวงการสื่อไปแล้ว บรรดาผู้บริหารสื่อก็อาจจะเริ่มมีแนวคิดว่า ไม่จำเป็นต้องจ้างนักข่าวหรือช่างภาพไว้อีกต่อไป เพราะให้ AI ผลิตภาพและเนื้อหาข่าวก็ได้ ซึ่งถึงแม้ว่าแนวคิดดังกล่าวจะนำไปสู่วิกฤติทางคุณภาพและจริยธรรมวิชาชีพสื่อ แต่ผู้เขียนมองว่าที่ผ่านมา การลดต่ำลงทางด้านคุณภาพหรือจริยธรรมมักจะถูกมองว่าเป็น “ราคาที่ยอมรับได้” ในอุตสาหกรรมสื่อไทย​ เมื่อเทียบกับโอกาสทางรายได้หรือผลประโยชน์ทางธุรกิจ​ อันเป็นสภาพการณ์ที่พอเห็นได้ในปัจจุบัน)

พูดโดยสรุปคือ กลายเป็น “เคราะห์กรรม” ร่วมกันทั้งองคาพยพ ทั้งผู้อ่านข่าว ทั้งคนทำงาน และทั้งหลักจริยธรรมวิชาชีพสื่อ 

ดังนั้น ผู้เขียนจึงมองว่า ทั้งคนทำงานสื่อมวลชนและผู้ที่เห็นความสำคัญของหลักวิชาชีพสื่อ ควรที่จะร่วมกันยืนยันว่าการใช้ AI ใดๆก็ตามในวงการสื่อมวลชน ต้องอยู่ในกรอบจริยธรรมและไม่ฉุดให้คุณภาพสื่อยิ่งลดต่ำลง เพื่อไม่ให้ฉากทัศน์ (scenario) เหล่านั้นกลายเป็นความจริงขึ้นมา 

เริ่มต้นด้วยการปิดสุญญากาศทางจริยธรรมว่าด้วยการใช้ AI ในวิชาชีพสื่อมวลชน เช่น การออกแนวปฏิบัติอย่างเป็นทางการจากองค์กรวิชาชีพสื่อ, การร่วมกันแสดงเจตน์จำนงจากคนทำงานและผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมสื่อ, การรณรงค์ให้ความรู้และสอดส่องจากหน่วยงานกำกับดูแลอย่าง กสทช. เป็นต้น

การแก้ไขและป้องกัน ควรเริ่มตั้งแต่วันนี้ เราไม่ควรปล่อยให้การใช้ AI อย่างผิดจริยธรรม กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ที่ “ใครๆเขาก็ทำกัน” ดังเช่นปัญหาด้านจริยธรรมอื่นๆ ที่กัดกินและฝังรากลึกในอุตสาหกรรมสื่อไทยมานาน

หมายเหตุ: ผู้เขียนได้เคยเขียนข้อเสนอเกี่ยวกับ “สื่อมวลชนไทย ควรมีแนวทางปฏิบัติในการใช้ ‘AI’ อย่างไร?” ไว้ในเว็บไซต์ของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ซึ่งรวบรวมขึ้นจากแนวปฏิบัติอื่นๆในสื่อต่างประเทศ หากท่านใดสนใจศึกษาแนวทางดังกล่าว สามารถอ่านได้ที่ลิงก์นี้ 


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 9 ธันวาคม 2566

เป็นตะคริวบ่อยจะทำให้เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/olm8ey5hkme2


ลุกจากที่นอนกระทันหัน ทำให้กระดูกกะโหลกศีรษะแตก หัวใจหยุดเต้น…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1ofe9mdxqfyhg


ผู้ป่วยโรคมะเร็งห้ามรับประทานปลา เพราะโปรตีนจากปลาทำให้เกิดการอักเสบระดับเซลล์ ไตทำงานหนัก เลือดเป็นกรด …จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2vxzyuc5qt1dg


 “แตงโมไร้เมล็ด” นั้น ไม่ได้หมายความว่า มันจะไม่มีเมล็ดเลยแม้แต่เมล็ดเดียว

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/35vki52trr2fe


กสทช. จัดระเบียบซิมโทรศัพท์ ปี 67 ใครถือครองเกิน 6 ซิม ต้องยืนยันตัวตน

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/2rjf4snoddsmn


สปสช. เผยใช้บัตรทองผ่าตัดแปลงเพศได้

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/38wv22u41fo2b


กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ยุติการขายบัตร E ticket เป็นการชั่วคราว

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/uem6a9z5vt9k


คณะทำงานคุ้มครองผู้บริโภคสื่อห่วงปัญหาจริยธรรมสื่อ เหตุคนดูข่าวลดลง AI ทำสับสนเรื่องไหนจริง-ไม่จริง

คณะทำงานคุ้มครองผู้บริโภคสื่อ สภาการสื่อมวลชนฯ สรุปการทำงานพบว่ายังมีปัญหาจริยธรรมสื่อที่น่ากังวล การแก้ปัญหาก็ยังล่าช้า คนสนใจดูข่าวลดลง ยังมีเรื่อง AI เข้ามา จนแยกลำบากเรื่องไหนจริง-ไม่จริง ต้นปีหน้าจัดมีเดีย ฟอรั่ม “อนาคตข่าวที่คนหลีกเลี่ยงข่าว อะไรคือทางออก” และร่วมมือภาคีเครือข่ายจัดเวิร์คชอปสื่อให้มีทักษะคัดกรองข้อมูลในยุค Generative AI

เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2566 นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ ประธานคณะทำงานคุ้มครองผู้บริโภคสื่อ สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ เปิดเผยหลังการประชุมคณะทำงานฯ ว่าที่ประชุมคณะทำงานฯ รับทราบการสรุปงานที่ทำร่วมกับคณะกรรมการจริยธรรม สภาการสื่อมวลชนฯ ในหลาย ๆ ประเด็น โดยปีที่ผ่านมาปัญหาจริยธรรมสื่อยังมีหลายเรื่องน่ากังวล การแก้ปัญหายังล่าช้าในกลไกการกำกับดูแลกันเอง ยังมีปัจจัยใหม่ ๆ ที่จะมาทําให้จริยธรรมสื่อมีข้อท้าทายมากยิ่งขึ้น ทั้งการแข่งขันกันสูงในยุคที่คนนิยมดูข่าวน้อยลง และยังเป็นข้อท้าทายเรื่องความน่าเชื่อถือของเทคโนโลยี AI ที่เข้ามาด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่สื่อเองต้องปรับตัว และสังคมก็ต้องร่วมกันช่วยสื่อด้วย โดยเฉพาะการช่วยสนับสนุนสื่อที่ทำงานอย่างมีคุณภาพ สนับสนุนข้อเท็จจริง เพราะแนวโน้มทิศทางทั่วโลกคนจะเสพข่าวที่เป็นข่าวจริงจังน้อยลงเรื่อย ๆ ซึ่งจะทําให้อนาคตของวารสารศาสตร์ค่อนข้างมืดมน จริยธรรมสื่อเองก็ลําบากไปด้วย เพราะสังคมเปลี่ยนแปลงไปเร็วมากโดยเฉพาะในยุคที่มีอินฟลูเซอร์ ยุคที่ทุกคนต่างเป็นสื่อได้

นางสาวสุภิญญา กล่าวอีกว่า ต้นปีหน้าคณะทำงานฯ จะจัดมีเดียฟอรั่มเรื่อง “อนาคตข่าวในยุคที่คนหลีกเลี่ยงข่าว อะไรคือทางออก” นอกจากนี้จะร่วมมือกับเครือข่าย จัดเวิร์คชอปให้สมาชิกของสภาการสื่อมวลชนฯ มีทักษะเพื่อคัดกรองข้อมูลในยุค Generative AI โดยเฉพาะภาพ ที่ตอนนี้ทำให้สับสนได้ว่าเป็นภาพจริงหรือตัดต่อจาก AI โดยการจัดเวิร์คชอปจะร่วมกับภาคีต่าง ๆ เช่น Cofact  สํานักข่าวเอเอฟพี และ Google News Initiative เพื่อที่จะให้กองบรรณาธิการข่าวและนักข่าวมีทักษะเบื้องต้นในการที่จะใช้เครื่องมือหรือเทคนิคที่จะตรวจสอบข้อมูล เป็นการกลั่นกรองให้ข้อมูลนั้นมีความน่าเชื่อถือต่อผู้บริโภค รวมทั้งจะร่วมกับภาคีจัดวงเสวนาพูดคุยในการรับมือกับยุค AI เพื่อให้แยกแยะได้ว่าอะไรจริงหรือไม่จริง เพราะปีต่อ ๆ ไปจะเป็นประเด็นร่วมสมัยและท้าทายการทํางานของสื่อมากขึ้นทั้งเรื่องของข้อเท็จจริงและจริยธรรม

ประธานคณะทำงานคุ้มครองผู้บริโภคสื่อ กล่าวอีกว่า ส่วนปัญหาเดิม ๆ ที่ยังคงเกิดขึ้น เช่น จริยธรรมของสื่อ ข้อกล่าวหาเรื่องการรับเงินจากแหล่งข่าว การละเมิดจริยธรรมขั้นพื้นฐานยังมีอยู่ อันนี้ก็เป็นปัญหาภายในขององค์กรวิชาชีพจะต้องยกเครื่องการทํางาน เช่น กระบวนการรับเรื่องร้องเรียน การให้คําตอบกับผู้ร้องเรียนให้มีความเป็นจริงมากขึ้น การกํากับดูแลกันเองอาจจะต้องทําให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น เพื่อให้สังคมเห็นว่าเราเองก็มุ่งมั่นทําหน้าที่ตรงนี้ และควรทํางานร่วมกับองค์กรผู้บริโภคเพื่อช่วยกันรายงานการร้องเรียนเชิงรุก และช่วยกันแก้ปัญหาภาพรวมต่อไป


ขอบคุณที่มาข่าว