ถกปัญหา‘มายาคติกับความรุนแรงทางเพศ’ ชี้‘ยุคสมัยเปลี่ยนไวแต่ความเข้าใจไม่เท่ากัน’ปัจจัยทำแก้ไขได้ยาก

29 พ.ย. 2566 สถาบันนิติวัชร์ สำนักงานอัยการสูงสุด ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และโคแฟค (ประเทศไทย) จัดเสวนาสาธารณะในหัวข้อ “มายาคติ ความเข้าใจผิดที่ส่งผลต่อความรุนแรงทางเพศ” เนื่องในวันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากล ณ ห้องประชุม 301สำนักงานอัยการสูงสุด ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะอาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (อาคาร A) และเปิดให้ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมงานผ่านช่องทางออนไลน์ระบบ ZOOM

ม.ล.ศุภกิตต์ จรูญโรจน์ เลขาธิการสถาบันนิติวัชร์กล่าวเปิดการเสวนา ระบุว่า ในความเข้าใจของตน สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในระบบหรืออยู่ในโลกมนุษย์ สิ่งมีชีวิตที่มีกำลังชอบมีอำนาจเหนือสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอกว่าเป็นปกติ แม้กระทั่งมนุษย์ที่มองว่าตนเองเป็นสัตว์   เป็นสิ่งมีชีวิตที่สูงส่งมีศีลธรรมและอารยธรรม แต่จิตใต้สำนึกของสิ่งชีวิตที่มีกำลังที่กระทำต่อสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอกว่าก็ยังอยู่ แม้จะมีระบบศีลธรรม คุณธรรมและกฎหมายครอบอยู่ก็เพียงแต่กดทับอยู่ภายนอก 

ดังนั้นหากมองตามความเป็นจริง คนที่มีอำนาจเหนือกว่าแค่มองตาแล้วบอกให้ไป ก็ทำให้คนที่อ่อนแอกว่าก้มหน้าแล้วก็เดินไปทางที่สายตาของผู้มีอำนาจมองไป บางคนอาจบอกว่าก็ในเมื่อไม่ได้ขัดขืนก็แสดงว่ายินยอม แต่ก็มีข้อถกเถียงว่าจริงๆ ที่ยอมก็เพราะอีกฝ่ายมีอำนาจเหนือกว่า ตัวอย่างนี้ไม่ใช่ความรุนแรงทางกายภาพแต่เป็นความรุนแรงทางจิตใจ และเป็นมายาคติหรือความเข้าใจว่าการกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งที่ผู้แข็งแรงกว่าหรือมีอำนาจมากกว่าสามารถกระทำกับผู้ที่อ่อนแอกว่าได้

ทั้งนี้ องค์การสหประชาชาติ (UN) กำหนดให้วันที่ 25 พฤศจิกายน ของทุกปี เป็นวันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากล ซึ่งคำว่าสตรีสากลในความหมายตน ไม่ใช่สตรีเพียงทางร่างกาย กล่าวคือ บางคนกายไม่ใช่สตรีแต่ใจเขาเป็นสตรี คำว่าสตรีนี้ไม่ใช่มีตามเพศกำเนิด ไม่ใช่ดูจากอวัยวะที่อยู่ใต้กระโปรงหรือกางเกง แต่ดูที่สภาพจิตใจ และเหตุที่มีวันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากล เพราะทั่วโลกตระหนักว่าความรุนแรงแบบนี้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถกระทำได้

“มีการรณรงค์ทุกภาคส่วน จนกระทั่งมีกิจกรรมต่างๆ ด้วยเหตุความรุนแรงทางเพศ เริ่มตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน จนไปจบวันที่ 10 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันสิทธิมนุษยชนสากล เพราะฉะนั้นใน 16 วันนี้เป็นวันที่ดำเนินกิจกรรมต่อต้านความรุนแรงด้วยเหตุทางเพศ และวันนี้เป็นวันหนึ่งที่เราดำเนินกิจกรรมด้วยเหตุนี้” เลขาธิการสถาบันนิติวัชร์ กล่าว

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค(ประเทศไทย) กล่าวว่า เวลาเราพูดถึงวันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากล ในยุคนี้ความเป็นสตรี-บุรุษ มีความลื่นไหลมากขึ้น บางคนอาจไม่อยากเรียกตนเองว่าเป็นหญิงหรือชาย เราก็ต้องเข้าใจว่าบริบทสังคมได้เปลี่ยนแปลงไป อย่างการลงทะเบียนทำกิจกรรมต่างๆ ทางออนไลน์ ก็มีให้เลือกระบุตัวตนเพียงเพศหญิงกับเพศชาย แต่ปัจจุบันมีให้เลือกมากกว่านั้น เช่น LGBT หรือไม่ต้องการบอก ดังนั้นหัวข้อการเสวนาครั้งนี้จึงจะเน้นไปที่ประเด็นความรุนแรงทางเพศ ซึ่งจริงๆ อาจเกิดกับใครก็ได้

และเมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงไป สิ่งที่เคยเป็นบรรทัดฐาน (Norm) หรือความจริงร่วมที่คนในสังคมเคยยอมรับร่วมกันในอดีต ปัจจุบันอาจกลายเป็นมายาคติหรือสิ่งที่สังคมไม่ยอมรับอีกแล้วก็ได้ ส่วนมายาคติและความรุนแรงทางเพศคืออะไร งานในครั้งนี้จะค่อยๆ หาคำตอบ ส่วนหนึ่งก็เพื่อรณรงค์ให้สังคมตื่นตัวและระมัดระวัง เพราะความคิดดูเหมือนจะไม่เป็นอันตราย แต่เมื่อความคิดแปรเปลี่ยนเป็นคำพูด สุดท้ายก็อาจกลายเป็นการกระทำและส่งผลกระทบต่อผู้อื่นโดยที่เราไม่ตั้งใจก็ได้ โดยเฉพาะในเรื่องเพศที่เป็นเรื่องละเอียดอ่อน

ขณะที่ประเด็นความรุนแรงในครอบครัว หลายครั้งผู้หญิงเลือกที่จะปิดปากเพราะไม่อยากทำลายความสมานฉันท์ของครอบครัว หรืออาจกลัวกระแสสังคม แต่ระยะหลังๆ ก็จะเห็นว่าผู้หญิงมีความกล้ามากขึ้นที่จะสะท้อนปัญหาของตนเอง อย่างไรก็ตามสังคมมีความซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะการมีสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) มุมหนึ่งผู้หญิงอาจไม่กล้าร้องเรียนก็ยกประโยชน์ให้ แต่อีกมุมหนึ่ง ผู้ชายหรือบุคคลที่ถูกกล่าวหาก็อาจโต้แย้งว่าไมได้กระทำหรือไม่ได้ตั้งใจกระทำ คำถามคือเส้นแบ่งบางๆ แบบนี้จะตั้งหลักกันอย่างไร

ทั้งนี้ ตนเคยมีประสบการณ์ไปร่วมสัมมนาระดับนานาชาติ ซึ่งเป็นงานที่ละเอียดอ่อนเรื่องประเด็นทางเพศอย่างมาก มีผู้เข้าร่วม 200-300 คน จากหลายประเทศ และบางประเทศอาจถูกมองว่าผู้ชายมีความละเอียดอ่อนเรื่องนี้น้อย จึงมีแนวปฏิบัติ (Code of Conduct) ให้ผู้เข้าร่วมระมัดระวังเรื่องการคุกคามทางเพศ (Sexual Harassment) ในตอนแรกตนก็คิดว่าต้องขนาดนี้เลยหรือ แต่ก็มีเรื่องร้องเรียนจริงๆ จากทีมที่มาช่วยจัดงาน 

แต่จากการสอบสวนก็พบว่า เข้าทำนองสำนวน หมาหยอกไก่ ในภาษาไทย หมายถึงยังไม่ถึงขั้นสัมผัสทางกายถึงเนื้อถึงตัว (Skinship) แต่เป็นการใช้สายตาหรือใช้คำพูด แล้วผู้หญิงที่มาช่วยงานรับไม่ได้จึงร้องเรียน ซึ่งเวทีดังกล่าวก็ตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างจริงจังมาก ด้านหนึ่งเชิญผู้หญิงที่ร้องเรียนมาให้ข้อมูล แต่อีกด้านก็ให้ผู้ชายซึ่งถูกกล่าวหาได้มาชี้แจงด้วย กระทั่งได้ข้อเท็จจริงที่พบว่าเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนเรื่องการใช้ถ้อยคำ โดยฝ่ายชายยืนยันว่าไม่มีเจตนา โดยเป็นการชวนพูดคุยแต่ฝ่ายหญิงรู้สึกว่าถูกคุกคาม

ตอนแรกเขาก็คุยกันว่าถ้าผลสรุปออกมาว่าเป็นการละเมิดคุกคามแม้จะโดยวาจาก็จริง เขาก็จะมีมาตรการขั้นรุนแรงคือขับออกจากงานเสวนา แต่พอฟังฝ่ายชายแล้วก็เหมือนมีความคลุมเครือ ถามฝ่ายหญิงว่าผู้ชายเขายืนยันว่าแบบนี้จะเอาอย่างไรต่อ เขาก็ยังคิดว่าเขาถูกคุกคามแต่ก็พอใจแล้วที่ให้ความเป็นธรรมกับเขา ก็ไม่เรียกร้องอะไรต่อจากนี้ คนนั้นก็ยังได้ร่วมสัมมนาต่อแต่โดนขึ้นบัญชีไว้ แล้วก็มีการแถลงในที่ประชุมว่าต้องระวังเรื่องเหล่านี้ มันก็เป็นกระบวนการที่ดี ซึ่งในเมืองไทยไม่แน่ใจว่ามีลักษณะแบบนี้มาก-น้อยแค่ไหนเวลามีเคสเกิดขึ้นสุภิญญา กล่าว

จะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่า ความรุนแรงทางเพศที่เกิดขึ้นกับผู้หญิง นอกจากมาจากทัศนคติชายเป็นใหญ่ รวมถึงวิธีคิดแบบโทษเหยื่อ เช่น เมื่อไปแจ้งความตำรวจจะถามผู้หญิงว่าแต่งตัวล่อแหลมหรือไม่? ไปอยู่ในที่เปลี่ยวหรือไม่? หรือในกรณีบุคลากรทางการศึกษา ที่ครูจะปกป้องกันเอง บอกว่าเด็กมาชอบครูแต่เมื่อครูไม่ชอบก็ไปแจ้งความ หรือมองว่าเด็กที่ถูกกระทำเป็นเด็กที่ทำตัวก๋ากั่นหรือเด็กไม่ดี ตลอดจนคนในสังคมก็ตีตราเหยื่อเป็นคนไม่ดี เข้าหาผู้ชาย โดยดูจากลักษณะการแต่งตัว จึงไม่อยากไปเป็นพยานให้ เป็นต้น

ซึ่งเมื่อรวมกับการที่ผู้มีอำนาจมากกว่ากระทำต่อผู้มีอำนาจน้อยกว่าก็ทำให้การต่อสู้เป็นไปได้ยากเช่น เคยมีกรณีสายการบินแห่งหนึ่ง ครูฝึกสอนแอร์โฮสเตสลวนลามพนักงานที่มาฝึกอบรม เรื่องนี้ไม่มีใครอยากเข้าไปช่วยเหลือเพราะกลัวมีปัญหา โดยเมื่อมีเรื่องร้องเรียนมาที่มูลนิธิฯ อย่างมากที่สุดจึงทำได้เพียงทำหนังสือไปให้สายการบินต้นสังกัดให้ดำเนินการทางวินัย แต่ก็จบลงด้วยครูคนนี้ลาออกไป แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปทำพฤติกรรมแบบเดียวกันที่อื่นอีกหรือไม่ หรือเคยมีกรณีผู้จัดการธนาคารกระทำกับพนักงานที่มีอำนาจน้อยกว่า 

ผอ.มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวต่อไปว่า การคุกคามทางเพศเป็นเรื่องใหญ่ ไม่เหมือนกับการข่มขืน เนื่องจากการข่มขืนมักจะมีหลักฐาน มีการต่อสู้ โดยเฉพาะคดีข่มขืนเด็ก หากญาติพี่น้องไม่ยอมก็มักจะมีหลักฐานและมีการต่อสู้ แต่การอนาจารหรือคุกคามทางเพศเป็นเรื่องที่ค่อนข้างไม่ง่าย และกฎหมายไทยก็ยังมีความคลุมเครือค่อนข้างสูง เช่น กฎหมายอาญาแม้จะกล่าวถึงการคุกคามทางเพศ แต่ไม่ชัดเจนว่าคุกคามทางเพศมีลักษณะสถานการณ์อย่างไร นอกจากนั้น การคุกคามทางเพศยังถูกมองว่าเป็นการยินยอม หรือมองว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา

“มายาคติที่เราเจอคือเรื่องคุกคามทางเพศเป็นการยินยอม เพราะผู้หญิงอาจชอบผู้ชาย หรือเวลาผู้ชายใช้สายตา วาจา หรือใช้ Social Media ก็เหมือนกับเป็นเรื่องหมาหยอกไก่ เป็นเรื่องอะไรธรรมดามาก คุณก็ต้องอดทนเอา เพราะมันก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนทั่วไปที่เขาก็มีสิทธิ์ที่จะมองคุณแบบนี้ อย่างเช่นเราแต่งตัวมาธรรมดา แต่เขามองเราไปบางทีบางคนก็มองถึงขั้นหน้าอก หรือบางคนก็ใช้คำพูดที่มันค่อนข้างที่จะหมาหยอกไก่ หรือบางคนก็มีลักษณะเป็นแบบหัวงู เวสาจะเอาผิดคนกลุ่มนี้มันเป็นเรื่องค่อนข้างยาก แล้วในแง่กฎหมายก็ไม่รู้จะฟ้องร้องอย่างไร” จะเด็จ กล่าว

วสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติกล่าวว่า สาเหตุที่ผู้ถูกกระทำความรุนแรงไม่ไปแจ้งความกับตำรวจ หรือไม่ได้ไปพบแพทย์ ทำให้ไม่มีการรายงานในฐานข้อมูลสถิติต่างๆ นั้น คือผู้กระทำอาจเป็นคนใกล้ตัว เป็นผู้มีพระคุณจึงไม่อยากเอาเรื่อง หรือมีความหวาดกลัวจึงไม่กล้าไปแจ้งความ ซึ่งในวันที่ 25 พ.ย. 2566 กสม. ได้ออกแถลงการณ์เนื่องในวันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากล เรียกร้องให้ทุกภาคส่วนในสังคมร่วมกันดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ

ซึ่งได้มีข้อเสนอแนะต่อประเทศไทย เพื่อให้คุ้มครองสิทธิ สวัสดิภาพ และความปลอดภัยของผู้หญิงและเด็กทุกคนจากความรุนแรงทั้งทางกาย ทางจิตใจ และทางเพศ และสนับสนุนให้ทุกคนร่วมกันหยัดยืนเพื่อพิทักษ์สิทธิและเสรีภาพของผู้หญิงและเด็ก เป็นพลังในการขับเคลื่อนสังคม ที่จะไม่ให้มีใครตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงอีกต่อไป นอกจากนั้น รัฐบาลไทยยังมีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตั้งแต่เมื่อปี 2542 ให้เดือนพฤศจิกายนของทุกปี เป็นเดือนรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรีด้วย แต่ความรุนแรงก็ยังเกิดขึ้นไม่เฉพาะสังคมไทยแต่เป็นกันทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ระยะหลังๆ มีความพยายามต่อสู้มากขึ้น เช่น เมื่อหลายปีก่อนมีการใช้ทวิตเตอร์ รณรงค์ด้วยแฮชแท็ก #MeToo จุดเริ่มต้นมาจากคนในวงการบันเทิง ดารานักแสดง ออกมาเปิดเผยประสบการณ์ถูกล่วงละเมิดทางเพศขณะอยู่ในกองถ่ายจนนำไปสู่การดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด ก่อนขยายวงออกไปเป็นกระแสให้ผู้หญิงทั่วโลกกล้าออกมาเปิดเผยเรื่องราวทำนองเดียวกัน หรือในประเทศไทย มีกรณีการแนะนำว่าผู้หญิงไม่ควรแต่งตัวล่อแหลมไปเล่นสาดน้ำวันสงกรานต์เพื่อจะได้ไม่ถูกลวนลาม ก็ถูกตั้งคำถามว่าควรจะไปเฝ้าระวังผู้ที่อาจกระทำผิดจะดีกว่าหรือไม่

“ในเมืองไทยถ้าพูดถึงเรื่องความรุนแรงทางเพศ เรื่องการกระทำต่อเด็กและผู้หญิง จริงๆ เกิดขึ้นเยอะ แต่มีการรายงาน การแจ้งความ การดำเนินคดีไม่มาก ในส่วนของ กสม. ก็เช่นเดียวกัน เรื่องที่ร้องเรียนเข้ามาไม่ได้เยอะมาก  อาจมีบ้างแต่ละปีมีไม่กี่เรื่อง แต่เมื่อเราได้รับเรื่องเข้ามาเราก็จะให้ความสำคัญในเรื่องการดูแล และเปิดเวทีรับฟังจากผู้ร้อง-จากผู้ถูกร้อง และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง แล้วก็พยายามที่จะมีข้อเสนอแนะที่เป็นเชิงระบบ-เชิงนโยบาย หรือข้อเสนอแนะในการแก้ไขกฎหมายหรือกฎระเบียบต่างๆ เนื่องจากเรามองว่าอันนั้นจะเป็นเชิงป้องกันไม่ให้เกิดลักษณะแบบนี้ขึ้นอีก”วสันต์ กล่าว

ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สส.) กรุงเทพฯ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า เหมือนสังคมไทยเราอยู่แบบนี้กันมานานมากจนเป็นเรื่องปกติ ซึ่งคำว่าเรื่องปกติเป็นเรื่องอันตรายมาก อย่างการที่มองว่าการคุกคามทางเพศเป็นเรื่องปกติ ทำให้เห็นว่าเป็นความท้าทายในการแก้ไขปัญหา เพราะ วัฒนธรรมกับกฎหมายอาจไปไม่ทันกันกฎหมายบางฉบับมีมาหลายสิบปี แต่สังคมบางครั้งเปลี่ยนไวมาก และความเข้าใจของคนก็จะยึดโยงกับกฎหมาย แม้กระทั่งในพรรคเองก็มีมุมมองเรื่องนี้ที่ไม่ตรงกัน 

อย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพรรคก้าวไกล เมื่อสำรวจความคิดเห็นในสื่อสังคมออนไลน์ ด้านดีคือพบคนที่เข้าใจมากขึ้น แต่อีกมุมก็มีคนที่เข้าใจผิดเรื่องนี้อยู่อีกมาก จึงต้องใช้เวลาในการค่อยๆ ปรับเปลี่ยน อย่างในแวดวงกฎหมาย ในอดีตมีแต่ผู้ชายทั้งผู้พิพากษา อัยการ ทนายความ เนื่องจากมีผู้หญิงที่เข้าสู่อาชีพเหล่านี้ยังมีน้อย อยู่กันแบบสังคมที่มีผู้ชายเป็นส่วนใหญ่มาตลอดทำให้ปรับตัวไม่ทัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็มีการปรับตัวมากขึ้น ถึงกระนั้นก็ยังอาจไม่ทันกับโลกที่ปรับไปไว จึงมองว่าเป็นหน้าที่ของผู้แทนราษฎรที่ต้องเป็นกระบอกเสียงในเรื่องนี้ 

หรือแม้แต่ในพรรค แม้จะมีจุดที่เชื่อมกันได้ เช่น เรื่องประชาธิปไตย เรื่องรัฐธรรมนูญ เรื่องความเท่าเทียม แต่พอเป็นเรื่องความรุนแรงทางเพศอาจจะมีบางส่วนที่มีความเข้าใจไม่เท่ากัน แน่นอนว่าทุกคนรู้ว่าการคุกคามทางเพศนั้นไม่ถูกต้อง หรือรู้ว่าความรุนแรงทางเพศเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ แต่ด้วยระดับ (Level) ความเข้าใจเนื้อหาของแต่ละคนไม่เท่ากัน เช่น บางคนอาจจะมองว่าการแตะเนื้อต้องตัวเป็นเรื่องปกติ เป็นต้น

“อย่างเคยได้ฟังคนที่จบต่างประเทศมา เขาก็ถึงเนื้อถึงตัวกันปกติ เขาไม่ได้มองเป็นเรื่องคุกคามทางเพศ หรือบางทีมองว่าผู้หญิงก็ไมได้อะไร คงจะเป็นความยินยอมหรือเปล่า อันนี้เรามองว่าประเด็นสำคัญ เพราะทำให้เราเห็นว่าเป็นสิ่งที่คนเข้าใจผิดเยอะมาก เพราะพอเราได้คุยกับผู้หญิงหลายๆ คน จริงๆ คือฉันก็ไม่อยากจะด่าคุณต่อหน้าคนอื่น มันก็เพื่อนกันจะให้ไปด่าต่อหน้าคนอื่นก็เกรงใจ แต่ถามว่าชอบไหมก็ไม่ได้มีใครชอบ” ศศินันท์ กล่าว 

สันทนี  ดิษยบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานเลขาธิการสถาบันนิติวัชร์ กล่าวว่า มายาคติหรือความเชื่อนำไปสู่ความคิดและสุดท้ายก็ไปที่การกระทำ ความเชื่อหรือทัศนคติจึงเป็นปัจจัยที่ส่งผลมาก เช่น ตำรวจอาจไม่รับแจ้งความกรณีความรุนแรงทางเพศของคู่รักที่แต่งงานใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเพราะมองว่าน่าจะเป็นเรื่องสมยอม ทั้งนี้ หลักการดำเนินคดีอาญาคือการมุ่งพิสูจน์ความผิด แต่เมื่อเป็นคดีที่เกี่ยวกับเพศกลับมุ่งไปที่ความน่าเชื่อถือของผู้เสียหาย เนื่องจากมีทัศนคติว่าด้วย “ความเป็นเหยื่อที่สมบูรณ์แบบ (Perfect Victim)” ควรจะมีลักษณะอย่างไร

เช่น เป็นคนที่อ่อนแอไร้ทางสู้ หรือดูจากพฤติกรรมทางเพศหรือความประพฤติที่เคยเป็นมา ซึ่งผู้เสียหายที่ไม่เข้าข่ายทัศนคติแบบนี้ก็จะต้องออกแรงมากขึ้นเพื่อให้ได้รับความเป็นธรรม แต่มายาคติก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ โดยมีตัวอย่างของอาชีพอัยการ ในอดีตเคยมีกฎหมายไม่อนุญาตให้ผู้หญิงรับราชการในส่วนนี้โดยให้เหตุผลว่าไม่เหมาะสมกับลักษณะงาน ก่อนจะมีการยกเลิกข้อห้ามดังกล่าวในปี 2518 ซึ่งสังคมไทยในอดีตก็มีความเชื่อว่าผู้หญิงควรอยู่เหย้าเฝ้าเรือน แต่เมื่อความเชื่อในสังคมเปลี่ยนไปกฏหมายก็ถูกแก้ไขไปด้วย

ทั้งนี้ องค์การสหประชาชาติ เคยทำการศึกษากระบวนการยุติธรรมในคดีล่วงละเมิดทางเพศในหลายประเทศ ซึ่งกรณีของประเทศไทย พบว่า ร้อยละ 87 ของผู้เสียหายไม่แจ้งความ และเมื่อวิเคราะห์สาเหตุก็พบปัจจัยเรื่องทัศนคติของผู้ปฏิบัติงานในกระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่ตำรวจที่ถามเรื่องการแต่งตัวหรือสาเหตุที่ไปอยู่ในที่เกิดเหตุนั้น แทนที่จะถามลักษณะของเหตุการณ์ ทำให้ผู้เสียหายรู้สึกว่าตนเองมีส่วนผิดและถอนตัวออกจากการดำเนินคดี 

หรือความเชื่อเรื่องผู้ก่อเหตุและสถานที่เกิดเหตุ พบว่า ร้อยละ 80 ของผู้ต้องสงสัยเป็นคนรู้จักกับผู้เสียหาย อีกทั้งมักเกิดเหตุในพื้นที่ส่วนตัว เช่น บ้านของผู้กระทำหรือของผู้เสียหาย เนื่องจากมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด ขณะที่ความเชื่อเรื่องผู้เสียหายต้องมีการต่อสู้ขัดขืนหรือผู้กระทำต้องใช้อาวุธ แต่ตามสถิติก็พบเรื่องการใช้อาวุธน้อยมากและผู้เสียหายเองก็ไม่ได้ลงบันทึกว่าตนเองได้รับบาดเจ็บอะไร

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยจากสื่อ ที่แม้จะไม่ได้เป็นผู้สร้างมายาคติโดยตรง แต่ก็ช่วยโหมกระพือ เช่น ในอดีตมีละครที่นำเสนอว่าพระเอกข่มขืนนางเอกสุดท้ายก็รักกันและแต่งงานกัน ซึ่งในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมาก จะมีใครที่รักคนที่ข่มขืนตนเอง หรืออีกด้านหนึ่ง ตัวร้ายถูกตัวร้ายข่มขืนก็เป็นสร้างสร้างมายาคติว่าคนไม่ดีก็สมควรถูกกระทำแล้ว ซึ่งก็มีผลต่อทัศนคติในกระบวนการยุติธรรมด้วย เพราะผู้ที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมก็เป็นคนทั่วไป

ไม่ว่าจะปฏิเสธการรับแจ้งความตั้งแต่ต้น หรือมองว่าเป็นเรื่องในครอบครัวเดี๋ยวคุณก็ยอมกันแล้ว เสียค่าใช้จ่าย เสียเวลาในการดำเนินคดีไปเปล่าๆ ฉะนั้นก็กลับไปก่อนแล้วกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันทำให้ผู้เสียหายก็ท้อถอยไปเอง” ผู้อำนวยการสำนักงานเลขาธิการสถาบันนิติวัชร์ กล่าว

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 25 พฤศจิกายน 2566

คลิปวิดีโอแชร์ เรื่องน้ำแข็งไม่ละลายที่ขั้วโลกใต้ เพราะอุณหภูมิเฉลี่ยต่ำกว่า 0 องศา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/tcou7nfs4grb


ภาพดอกไม้บานที่ขั้วโลกใต้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3i6hqx4ky3yoc


วิตามินแก้ตาเหลือง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/5kavd2gc0c4o


การทดสอบ PCR เป็นการสร้างความเสียหายต่อสมอง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2qwxvwapbrqnd#_=_


ใช้กระดาษทิชชูซับน้ำมันจากของทอด เป็นอันตรายต่อร่างกายและเป็นสารก่อมะเร็ง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่

https://cofact.org/article/1jfrd9rz7mc0h#_=_


กระทรวงอุตสาหกรรมจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/2c9lrhh5cqwsg#_=_


พิพิธภัณฑ์เปิดให้เที่ยวตอนกลางคืน 48 แห่ง เปิดปีละครั้งเท่านั้น

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/w3yp3yruesqu


ครม. ขึ้นราคาน้ำตาลทราย ทั้งราคาส่งและขายปลีก 2 บาทต่อกิโลกรัม

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/11gof47zu5qmu


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 18 พฤศจิกายน 2566

ไม่ใส่รองเท้าในพื้นที่ปูกระเบื้องหรือหินอ่อน จะทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2ev7gfi1te6g9


 เพจ PR เปิดเรทราคา ลงโฆษณาสื่อใหญ่ 10 สำนักข่าว…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/288vtt4xn89nd


เว็บสล็อตออนไลน์ถูกกฎหมายและจดลิขสิทธิ์เป็นเจ้าแรกในไทย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/xnuwluol1sou


 เส้นเลือดขอดที่ขาเป็นสัญญาณเตือนหลอดเลือดกำลังมีปัญหา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/183dwfse856th


ม.ธรรมศาสตร์อนุมัติ นักศึกษาที่มีประจำเดือน ลาหยุดเรียนได้

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/1s46bxdvss1k5#_=_


ใส่คอนแทคเลนส์ทำให้กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/2r6b8spvoc10k


กินหอยนางรมสด เสี่ยงเจอแบคทีเรียกินเนื้อ

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/1kkohu31cnqwn


โรคที่ต้องหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำมะพร้าว

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2xvnydikk5k81


ประโยชน์ของหัวไซเท้า…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/gskvfcm338r3#_=_


ชาวปาเลสไตน์จ้างนักแสดง ‘แกล้งตาย-เจ็บ’ ในศึกกาซาจริงหรือ?

ธีรนัย จารุวัสตร์

สมาชิกเครือข่าย Cofact Thailand 

ขณะที่ภาพข่าวความสูญเสียของชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาได้รับการตีแผ่ไปทั่วโลก แต่โลกโซเชียลมีเดียกลับเต็มไปด้วยคลิปที่อ้างว่าผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตชาวปาเลสไตน์เป็นเพียงการ “จัดฉาก” เพื่อเรียกร้องความเห็นใจจากชาวโลก หรือที่เรียกกันในวงการสื่อว่า ทฤษฎีสมคบคิด “Pallywood”

หากใครจำกันได้ หลังจากที่กองทัพรัสเซียรุกรานยูเครนในต้นปี 2022 และเริ่มมีรายงานว่าประชาชนยูเครนจำนวนหนึ่งเสียชีวิตจากปฏิบัติการทางทหารของรัสเซีย พิธีกรข่าวของช่อง “ททบ. 5” ในประเทศไทย ได้นำคลิปวิดิโอหนึ่งมาเผยแพร่ออกอากาศ โดยระบุว่าเป็นการจับผิด “ศพ” ชาวยูเครนที่ถูกทหารรัสเซียสังหาร แต่ “ศพ” กลับขยับเขยื้อนได้ ดูเหมือนเป็นการ “จัดฉาก” ซะมากกว่า

อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงปรากฎว่าวิดิโอดังกล่าวเป็นคลิปจากเหตุการณ์การประท้วงสภาวะโลกร้อน ซึ่งนักกิจกรรมได้แสดงท่าทางเป็นศพเท่านั้น ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับสงครามในยูเครนเลย และในเวลาต่อมา ได้มีหลักฐานและภาพข่าวประชาชนยูเครนที่ถูกคร่าชีวิตโดยกองทัพรัสเซียปรากฎสู่สายตาชาวโลกอย่างล้นหลาม จนไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป การกล่าวหาในทำนองว่ายูเครน “จัดฉาก” ผู้เสียชีวิตเพื่อป้ายสีรัสเซีย จึงค่อยๆเงียบหายไป…

เวลาผ่านมาปีกว่า วาทกรรมดังกล่าวกลับขึ้นมาแพร่หลายในโซเชียลมีเดียอีกครั้ง แต่เปลี่ยนบริบท 

จากสงครามในยูเครน สู่สงครามในฉนวนกาซาและอิสราเอล จากที่เคยพุ่งเป้าจับผิดว่าชาวยูเครน “จัดฉาก” หรือแกล้งตาย กลายมาเป็นการกล่าวหาว่าชาวปาเลสไตน์กำลังใช้ “นักแสดง” สวมบทบาทเป็นผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการโจมตีของกองทัพอิสราเอล ซึ่งในปัจจุบัน ข้อมูลจากทางการกาซาระบุว่าชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 10,000 ราย ตั้งแต่กองทัพอิสราเอลเริ่มปิดล้อมและถล่มฉนวนกาซา หลังฮามาสก่อเหตุสังหารประชาชนในอิสราเอลจำนวนมากเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา

ตัวอย่างเช่น คลิปที่อ้างว่าชายคนหนึ่งที่สูญเสียขาในโรงพยาบาลกาซ่า กลับกลายว่ายังมีขาอยู่ในวันถัดมา หรืออ้างว่าศพเยาวชนในกาซาขยับเขยื้อนตัวได้ หรืออ้างว่ามีนักแสดงชาวปาเลสไตน์ปรากฎตัวในคลิปการโจมตีของอิสราเอลหลายครั้ง ฯลฯ 

ทั้งหมดเหล่าเป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีสมคบคิดที่เรียกว่า “Pallywood” ซึ่งเป็นการรวมกันของคำว่า “Hollywood” กับ “Palestine” เพื่อที่จะสื่อว่า ภาพและข่าวความสูญเสียในปาเลสไตน์นั้น เป็นการจัดฉากขึ้นเพื่อตบตาชาวโลก มีการใช้นักแสดงหรือวางบทบาทกันเป็นเรื่องเป็นราว ไม่ต่างจากการถ่ายภาพยนตร์ Hollywood

ที่น่ากังวลคือทฤษฎีสมคบคิดเช่นนี้ถูกส่งต่อในโซเชียลมีเดียหลายช่องทาง แม้แต่ทางการอิสราเอลและสำนักข่าวจำนวนหนึ่ง (รวมถึงสื่อไทยอย่างน้อยหนึ่งแห่ง) ก็หยิบมาเผยแพร่ต่อ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดแต่เคลือบแคลงใจต่อวิกฤติมนุษยธรรมในกาซาขณะนี้อย่างแพร่หลาย ทั้งที่ผู้เชี่ยวชาญและ factcheckers จำนวนมากได้พิสูจน์ทราบแล้วว่าไม่มีมูลความจริง 

จากปาเลสไตน์ สู่กลุ่มขวาจัดอเมริกัน

แนวคิด Pallywood เริ่มปรากฎขึ้นครั้งแรกในช่วงต้นทศวรรษ 2000 ระหว่างการลุกฮือครั้งใหญ่ของชาวปาเลสไตน์เพื่อต่อต้านการยึดครองเขตเวสต์แบงก์และกาซาโดยกองทัพอิสราเอล 

การลุกฮือ (หรือที่เรียกว่า intifada) ดังกล่าวประกอบด้วยทั้งการประท้วงและการใช้อาวุธโจมตีเป้าหมายในอิสราเอล นำไปสู่การโต้ตอบอย่างรุนแรงจากกองทัพอิสราเอล ทำให้ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตจำนวนมาก โดยเฉพาะพลเรือน ภาพข่าวความสูญเสียของชาวปาเลสไตน์เริ่มปรากฎขึ้นในสื่อมวลชนต่างประเทศหลายแห่ง กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอิสราเอล 

เหตุการณ์หนึ่งที่สร้างความสะเทือนใจไปทั่วโลก คือวิดิโอข่าวเหตุการณ์สองพ่อลูกชาวปาเลสไตน์ที่พยายามซุกตัวในมุมถนนแห่งหนึ่ง เพื่อหลบการต่อสู้กันระหว่างทหารอิสราเอลกับกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ ก่อนที่ทั้งสองพ่อลูกจะถูกยิงเสียชีวิตในที่สุด ซึ่งทีมข่าวระบุว่าเป็นฝีมือทหารอิสราเอล สร้างความโกรธแค้นไปทั่วในปาเลสไตน์และนานาประเทศ

สองพ่อลูกชาวปาเลสไตน์ Jamal และ Muhammad al-Durrah ขณะพยายามหลบกระสุนปืนท่ามกลางการต่อสู้กันระหว่างทหารอิสราเอลและกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา เมื่อปี 2000 ที่มา: France 2

อย่างไรก็ตาม นักวิชาการจำนวนหนึ่งในสหรัฐฯ เริ่มตั้งคำถามต่อวิดิโอดังกล่าวว่าเชื่อถือได้จริงหรือไม่ โดยได้หยิบยกข้อสังเกตต่างๆมาวิจารณ์ เช่น ดูเหมือนคลิปมีการตัดต่อ, มุมกล้องไม่ได้แสดงเหตุการณ์ทั้งหมด, ลำดับเหตุการณ์ไม่ตรงกับคำให้การของพยาน ไปจนถึงกระทั่งว่า สองพ่อลูกในข่าวไม่ได้เสียชีวิตจริง แต่อาจจะเป็นการ “จัดฉาก” ขึ้นเท่านั้น 

แนวคิดนี้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว จากเดิมที่เป็นการตั้งข้อสังเกตกับข่าวเหตุการณ์เดียว กลายเป็นการตั้งคำถามกับภาพและข่าวความสูญเสียอื่นๆของชาวปาเลสไตน์ด้วย พร้อมโจมตีว่าสื่อมวลชนหลายแห่งสมคบคิดกันเพื่อจัดฉากป้ายสีอิสราเอล หรือจ้างนักแสดงปาเลสไตน์มาแกล้งตายเพื่อจะได้ภาพข่าวที่ต้องการ เป็นที่มาของคำว่า Pallywood 

กระแส Pallywood เริ่มลดลงไปบ้างหลังการกำเนิดขึ้นของโซเชียลมีเดีย ซึ่งช่วยให้ประชาชนผู้เสพข่าวทั่วโลกได้เห็นเหตุการณ์ความรุนแรงต่างๆในปาเลสไตน์กับตาตัวเองโดยตรง แต่องค์ประกอบบางส่วนในแนวคิด Pallywood ได้วิวัฒนาการกลายเป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีสมคบคิดอื่นๆ ที่มักจะเผยแพร่ในกลุ่มขวาจัดอเมริกันในเวลาต่อมา 

ยกตัวอย่างเช่นเมื่อมีเหตุโศกนาฏกรรมกราดยิงหรือสังหารหมู่ในอเมริกา กลุ่มอนุรักษ์นิยมสุดโต่งมักจะเผยแพร่ข้อกล่าวหาว่า การกราดยิงต่างๆนั้นเป็นเพียงการ “จัดฉาก” โดยหน่วยงานความมั่นคงสหรัฐ เพื่อใช้เป็นข้ออ้างจำกัดสิทธิ์การครอบครองอาวุธปืนหรือลิดรอนเสรีภาพประชาชน 

เท่านั้นยังไม่พอ ยังกล่าวหาด้วยว่าบรรดาเหยื่อกราดยิงและครอบครัวผู้เสียชีวิต เป็นเพียงนักแสดงเฉพาะกิจ (crisis actors) ที่เล่นบทบาทตบตาสื่อและประชาชน สร้างความเจ็บปวดให้แก่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ดังเช่นในเหตุกราดยิงโรงเรียนประถม Sandy Hook เมื่อปี 2012 จนครอบครัวเหยื่อเหตุกราดยิงครั้งนั้นถึงกับรวมตัวฟ้องร้องนาย Alex Jones เจ้าของสำนักข่าวแนวขวาจัดรายใหญ่ ซึ่งมีบทบาทในการเผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิดดังกล่าว จนชนะคดีในเวลาต่อมา 

นอกจากนี้ ทฤษฎีสมคบคิดในลักษณะเดียวกันยังกลับมาปรากฎขึ้นในช่วงสั้นๆ หลังเหตุการณ์กองทัพรัสเซียทิ้งระเบิดใส่โรงพยาบาลผดุงครรภ์ในเมือง Mariupol ประเทศยูเครน เมื่อต้นปี 2022 ซึ่งกลุ่มชาตินิยมและสื่อในสังกัดรัฐของรัสเซียพยายามบิดเบือนว่า ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็น “นักแสดง” ที่ยูเครนจัดฉากขึ้น เป็นต้น

เมื่อ ‘Mr. FAFO’ ระบาดมาถึงสื่อไทย

การสู้รบระหว่างกองทัพอิสราเอลและกลุ่มฮามาสรอบล่าสุด ได้ทำให้กระแส Pallywood กลับมาแพร่ระบาดในสังคมออนไลน์อย่างไม่ต้องสงสัย ท่ามกลางกระแสข่าวบิดเบือนจำนวนมากเกี่ยวกับสงครามกาซาที่กระจายอยู่เต็มโซเชียลมีเดีย มีทั้งเพื่อสร้างและทำลายความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรงของคู่ขัดแย้งบนความเข้าใจผิดของผู้เสพย์ข้อมูล

ตัวอย่างหนึ่งซึ่งมักจะปรากฎอยู่บ่อยๆ คือชายชายปาเลสไตน์คนหนึ่งที่กลุ่มผู้ใช้โซเชียลมีเดียที่สนับสนุนรัฐบาลอิสราเอล ระบุว่าเป็น “นักแสดง” มากบทบาท เป็นทั้งทหารฮามาส สื่อมวลชน เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ผู้บาดเจ็บจากการโจมตีของอิสราเอล แม้กระทั่งศพผู้เสียชีวิต

ชายคนนี้ได้รับฉายาจากกลุ่มขวาจัดอเมริกันว่า “Mr. FAFO” ซึ่งเป็นคำแสลงอเมริกันหมายถึงคนที่รนหาที่ตาย (Fuck Around, Find Out – FAFO) ข่าวนี้ได้กระจายออกจากโซเชียลมีเดียของกลุ่มขวาจัดไปสู่สังคมออนไลน์ทั่วโลกอย่างรวดเร็ว รวมถึงแอคเคาท์ทวิตเตอร์ทางการของรัฐบาลอิสราเอลด้วย โดยระบุเป็นเสียงเดียวกันว่า Mr. FAFO คนนี้เป็นหลักฐานปฏิบัติการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารของชาวปาเลสไตน์

ในกรณีประเทศไทย พบข้อมูลบิดเบือน คลิปปลอม เกี่ยวกับสงครามอิสราเอล-ฮามาส ที่มีคนดูหลายล้านวิวในโซเชียลมีเดียไทยด้วยกัน  ส่วนในภาพรวมของสื่อมวลชนไทยจะเน้นการรายงานข่าวหรือข้อมูลการสู้รบระหว่างกองทัพอิสราเอลและกองกำลังติดอาวุธกลุ่มฮามาสจากแหล่งข้อมูลทางการหรือสำนักข่าวต่างประเทศที่มีความน่าเชื่อถือ จะมีบางสื่อที่รายงานโดยให้น้ำหนักไปทางข้างใดข้างหนึ่ง เช่นกรณี เว็บไซต์ของช่อง Bright TV ได้หยิบยกเรื่องของ Mr. FAFO มาเผยแพร่ต่อ โดยเนื้อข่าวตอนนี้ระบุว่า:

“ทั้งนี้ ท่ามกลาง Saleh Aljafarawi นามแฝงของนาย FAFO ที่บงการอย่างสิ้นหวังและวิดีโอที่ทำให้เข้าใจผิดและการกล่าวอ้างทางโซเชียลมีเดีย เป็นที่น่าสังเกตว่ากลุ่มฮามาสใช้กลยุทธ์การโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ เพื่อสร้างความเห็นอกเห็นใจและฉายภาพอิสราเอลว่าเป็นผู้กดขี่ กลไกที่น่าละอายอย่างหนึ่งของฮามาสก็คือการอ้างว่ามีผู้เสียชีวิตกว่า 500 รายในโรงพยาบาลฉนวนกาซา อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จากกองกำลังป้องกันประเทศอิสราเอล (IDF) ชี้ให้เห็นอย่างรวดเร็วว่านี่ไม่ใช่การโจมตีทางอากาศของอิสราเอล แต่เป็นจรวดที่ยิงผิดจากในฉนวนกาซา 

เห็นได้ชัดว่า นอกเหนือจากการทำสงครามกับฮามาส เฮาซี และฮิซบอลเลาะห์แล้ว อิสราเอลยังต้องต่อสู้กับสงครามข้อมูลที่บิดเบือน/บิดเบือนด้วยเช่นกัน”

อย่างไรก็ตาม หากได้มีการสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติม ก็จะพบว่านาย Saleh มีอาชีพเป็นอินฟลูเอนเซอร์และคอนเทนต์ครีเอเทอร์ชื่อดังในกาซาตั้งแต่ก่อนเริ่มสงครามแล้ว โดยเขาได้เผยแพร่คลิปวิดิโอ สตอรี่ และผลงานเพลงจำนวนมาก ซึ่งก็ไม่ต่างจากอินฟลูเอนเซอร์ในประเทศอื่นๆทั่วโลก อีกทั้งยังทำงานอาสาเป็นเจ้าหน้าที่ให้แก่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกาซาด้วย (จึงเป็นที่มาของภาพนาย Saleh ในเครื่องแบบโรงพยาบาล) 

มิได้มีเจตนาแฝงตัวเป็นบุคคลหลากหลายอาชีพแบบที่เข้าใจกัน และไม่เคยอ้างตัวว่าเป็นผู้บาดเจ็บจากเหตุโจมตีของอิสราเอล

นอกจากนี้ บางภาพที่นำมายำรวมกันและอ้างว่าเป็น Mr. FAFO ไม่ใช่ภาพของนาย Saleh ด้วยซ้ำ ดังเช่นภาพด้านขวามือที่ปรากฎข้างบนนี้ ซึ่งจริงๆแล้วเป็นภาพของ Mohammad Zendeq ชาวปาเลสไตน์อีกคนหนึ่ง ที่บาดเจ็บจากปฏิบัติการทางทหารโดยกองทัพอิสราเอลในเขตเวสต์แบงก์ (ไม่ใช่ฉนวนกาซา) ตั้งแต่เมื่อเดือนสิงหาคม หรือก่อนหน้าสงครามกาซารอบล่าสุดเสียอีก 

ด้านทีมข่าว AFP Fact Check ในประเทศไทย ได้พิสูจน์แล้วว่า ภาพ “ศพ” ที่หลายคนอ้างว่าเป็น Mr. FAFO แกล้งตายนั้น จริงๆแล้วเป็นภาพเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่แต่งชุดประกวดงานวันฮาโลวีนในจังหวัดนครราชสีมา ประเทศไทย เมื่อเดือนตุลาคม 2565 ต่างหาก

นอกจาก Mr. FAFO แล้ว ข่าวบิดเบือน Pallywood เช่นนี้ยังปรากฎขึ้นในอีกหลายรูปแบบ เช่น เอาคลิปเบื้องหลังการถ่ายภาพยนตร์ในเลบานอน มาอ้างว่าชาวปาเลสไตน์กำลังแต่งหน้าและแต้มสีเลือด ให้ดูเหมือนว่าบาดเจ็บจากการโจมตีของอิสราเอล, เอาภาพนักกิจกรรมในประเทศอียิปต์นอนแกล้งตายเพื่อประท้วงรัฐบาล มาอ้างว่าชาวปาเลสไตน์แต่งกายเป็นศพ เพื่อหลอกตาสื่อมวลชน เป็นต้น

เครื่องมือทางจิตวิทยา?

แน่นอนว่าคำถามหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นในใจหลายคนคือ ผู้ที่เผยแพร่และปั่นกระแส Pallywood เช่นนี้ มีจุดประสงค์เพื่ออะไร

ผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่งได้แสดงความกังวลไว้ว่า ผลกระทบหนึ่งจากทฤษฎีสมคบคิด Pallywood คือจะค่อยๆทำให้ประชาชนที่รับข่าวสารเกี่ยวกับสงครามกาซาเกิดความเคลือบแคลงใจ และเริ่มคิดว่าสื่อหรือโซเชียลมีเดียที่เผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับชาวปาเลสไตน์ไม่น่าเชื่อถือ จนทำให้เส้นแบ่งระหว่าง “ความจริง” กับ “ความเท็จ” ค่อยๆเลือนลงไป ทั้งที่มีหลักฐานจำนวนมากที่บ่งชี้ถึงวิกฤติมนุษยธรรมที่กำลังเกิดขึ้นในกาซา 

ดังที่ Sam Doak นักวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับข่าวบิดเบือน ให้สัมภาษณ์ไว้กับ Rolling Stone ว่าแนวคิดเช่นนี้เสี่ยงทำให้ผู้ที่รับชมข่าวสารมีทัศนคติเชิงลบต่อชาวปาเลสไตน์ เพราะปักใจเชื่อว่าชาวปาเลสไตน์พยายามหลอกลวงประชาชนทั่วโลก และมองว่าข่าวเกี่ยวกับความสูญเสียของพลเรือนปาเลสไตน์เป็นเพียงโฆษณาชวนเชื่อเท่านั้น

“นี่คือการลดทอนความเป็นมนุษย์” Doak กล่าวสรุป

ข้อมูลสำหรับอ่านเพิ่มเติม

No, Palestinians Are Not Faking the Devastation in Gaza | Rolling Stone 

Clip shows teenager in West Bank hospital, not faked injuries in Gaza | AFP Fact Check

A thread on Pallywood conspiracy theory | Matt Binder 

พบข้อมูลบิดเบือน คลิปปลอม เกี่ยวกับสงครามอิสราเอล-ฮามาส มีคนดูหลายล้านวิวในโซเชียลมีเดียไทย I BBC Thai 


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 11 พฤศจิกายน 2566

โควิดสายพันธ์ุใหม่ เดลตาครอล XBC ระบาด …จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3urqgvaaardsp#_=_


ห้ามกินลูกพลับกับนมเปรี้ยวและกล้วยหอม…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/noyrsp5qyit5


ผักชีลาว ว่านกาบหอยแครง ขมิ้น บรรเทากรดไหลย้อนได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3fjl75b4ktyic


เว็บไซต์ดาวน์โหลดแอปฯ Digital Pension ของกรมบัญชีกลาง ให้บริการเกี่ยวกับการขอรับเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จบำนาญ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2udotm32rcw8m#_=_


ตื่นมาปัสสาวะตอนกลางคืนแล้วไม่ดื่มน้ำทดแทน ทำให้เกิดภาวะการอุดตันของหัวใจและสมอง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/jlyebgtmonzu#_=_


 ครม. ลดราคาน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล์ 91 และ 95 เป็นเวลา 3 เดือน เริ่ม 7 พ.ย. นี้

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/21aipwf93osi2


เตือนประชาชนที่ซื้อยางรถยนต์ให้เลือกที่มีเครื่องหมาย มอก.

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/30qdhlix14hur


ตำรวจเตือน ! ระวัง เพจขายลอตเตอรี่ปลอม

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/3he5pknyxc85


จีนยกเลิกการยื่นแบบฟอร์มด้านสุขภาพสำหรับนักเดินทางข้ามแดน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1mmi2ic94j02h#_=_

แนะนำรายการใหม่!! รู้มั้ย? by Cofactสาระดีๆที่ช่วยกรองข้อมูลสุขภาพสำหรับผู้สูงวัย โดยผู้เชี่ยวชาญ

EP.1 ตอน ล้มอย่างไรให้เป็นท่า
เรียนรู้วิธีการ

  • ป้องกันไม่ให้ล้ม
  • ล้มอย่างไรให้ปลอดภัย
  • การลุกที่ถูกต้อง

‘ลวงซ้ำ..หลอกซ้อน’ โจรเปิดเพจตีเนียนช่วยเหลือเหยื่อมิจฉาชีพ หลงเชื่อเมื่อไรได้ถูกล้วงข้อมูล-สูญเงิน : COFACT Special Report 22/66

By : Zhang Taehun

ต้องบอกว่า มิจฉาชีพมันขยันจริงๆ กับการสรรหา มุกใหม่ๆ มาหลอกเหยื่อโดยเฉพาะทางออนไลน์ ซึ่งก่อนหน้านี้หลายคนน่าจะคุ้นเคยกับข่าว การปลอมแปลงเพจเฟซบุ๊กของหน่วยงานทั้งรัฐและเอกชน โดยหากปลอมเป็นเพจของรัฐมักจะอ้างเรื่องการอำนวยความสะดวกอย่างการจัดหางานไม่ว่าในประเทศหรือส่งไปทำงานต่างประเทศ การขอรับสิทธิต่างๆ ตามนโยบายของรัฐ (เช่น อ้างว่าธนาคารของรัฐหรือแม้แต่ประกันสังคมให้กู้เงิน) หรือหากปลอมเป็นเพจบริษัทเอกชน (โดยเฉพาะบริษัทหลักทรัพย์หรือบริษัทมหาชน) มักเป็นการหลอกให้ลงทุน 

เมื่อมีการเตือนกันมากๆ เข้าว่าพจปลอมระบาด บรรดาโจรผู้ร้ายก็คงเห็นว่าจำนวนคนตกเป็นเหยื่อลดลง (หรือเปล่า?) แล้วก็คงมีพวก หัวใส (ในทางที่ผิด) คิดกลอุบายออกมาว่า อย่ากระนั้นเลย เรามาเปิดเพจรับเรื่องร้องทุกข์กันดีกว่า เป็นการ วางกับดักซ้อนกับดัก เหยื่อไปโดนหลอกไม่ว่ารูปแบบใดก็แล้วแต่ หรือมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจใดๆ เดี๋ยวก็คงมีหลงเข้ามาขอความช่วยเหลือ เรา (มิจฉาชีพ) ก็แค่ขอให้เขาให้ข้อมูลสำคัญ หรือขอค่าดำเนินการ หรือขอให้ติดตั้งแอปพลิเคชั่น จากนั้นก็เสร็จโจร! หลอกซ้ำหลอกซ้อน เงินไหลออกจากบัญชีเหยื่อเรียบร้อย

นี่ไม่ใช่เรื่องเกินจริง เพราะในช่วงไม่กี่เดือนมานี้มีรายงานข่าวเพจปลอมประเภทนี้ระบาดหนัก อาทิ ในวันที่ 1 ต.ค. 2566 เวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ออกมาเตือนประชาชน ว่า มีการตั้งเพจ สำนักงานช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย โดยอ้างว่าเป็น ตำรวจไซเบอร์ รับแจ้งความออนไลน์ ซึ่งเมื่อสอบถามไปยัง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ได้รับคำยืนยันว่าเป็นเพจปลอมที่มิจฉาชีพสร้างมาล้วงข้อมูลประชาชน

หรือก่อนหน้านั้น ในวันที่ 1 ส.ค. 2566 รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ในขณะนั้น) เปิดเผยว่า ทางกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) หรือ ตำรวจไซเบอร์ แจ้งเตือนการปลอมเพจเฟซบุ๊กอ้างเป็นหน่วยงานของรัฐ อาทิ 1.เพจ #ศูนย์ดำรงธรรมภาครัฐ 2.เพจศูนย์ร้องทุกข์คนไทย 3.เพจศูนย์ช่วยเหลือประชาชน 4.เพจศูนย์ดำรงธรรมเคลื่อนที่และ 5.ศูนย์เพจดำรงธรรมจังหวัดต่างๆ มีการใช้ตราสัญลักษณ์ของหน่วยงานราชการโดยไม่ได้รับอนุญาต และมีการคัดลอกข้อความรูปภาพของหน่วยงานรัฐจริงมาใช้เตือนภัยประชาชน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ แสร้งหวังดีประสงค์ร้ายต่อผู้เสียหาย

มิจฉาชีพที่สร้างเพจปลอมเหล่านี้ จะสอบถามข้อมูลของเหยื่อเกี่ยวกับการถูกหลอกลวง ความเสียหายที่เกิดขึ้น และขอหลักฐานที่เกี่ยวข้อง เช่น ข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลทางการเงิน หลักฐานการพูดคุยกับคนร้าย หลักฐานการโอนเงิน เป็นต้น หลังจากนั้น จะให้เพิ่มเพื่อนทางแอปพลิเคชันไลน์เพื่อไปติดต่อกับทนายความปลอม ที่อ้างว่าสามารถช่วยเหลือ และติดตามเร่งรัดคดีที่ผู้เสียหายเคยตกเป็นเหยื่อได้ แต่ต้องโอนเงินค่าทนายมาให้ก่อนถึงจะได้รับความช่วยเหลือ เมื่อหลงเชื่อโอนเงินไปก็จะถูกตัดขาดการติดต่อ รัชดา กล่าว

ผู้เขียนลองค้นหาด้วยคำว่า ช่วยเหลือประชาชน ในเพจเฟซบุ๊ก (ณ วันที่ 7 พ.ย. 2566) พบทั้งเพจที่เชื่อถือได้ (เพจจริงของหน่วยงานภาครัฐ) กับเพจที่น่าสงสัย (ไม่ชัดเจนว่าเป็นเพจจริงของหน่วยงานหรือไม่ จึงให้ระมัดระวังไว้ก่อนว่าอาจเป็นเพจปลอม) ซึ่งการตรวจสอบนั้นให้สังเกตดังนี้

1.ระยะเวลาการตั้งเพจ-การเปลี่ยนชื่อเพจ-ผู้ดูแลเพจที่ไม่สมเหตุสมผล  โดยเข้าไปในหมวด เกี่ยวกับ ตามด้วย ความโปร่งใสของเพจ” และ ดูทั้งหมด ตามลำดับ ดังตัวอย่างเพจหนึ่งที่ผู้เขียนพบ ใช้ชื่อเพจว่า ศูนย์ช่วยเหลือสังคมเคลื่อนที่ มีการใช้ภาพ สายด่วน 1300 ของกระทรวงการพัฒนาสังคมแหละความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นภาพของเพจ 

แต่เมื่อกดเข้าไปดูตามขั้นตอนข้างต้น พบว่า เพจนี้ตั้งขึ้นวันที่ 26 พ.ย. 2021 (2564) ในชื่อ “ดัมมี่ ดัมมี่ออนไลน์ ไพ่ดัมมี่ ดัมมี่ทุนน้อย เกมไพ่ดัมมี่ เงินจริง” หรือก็คือ “เพจชวนเล่นเว็บพนันออนไลน์” ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อเป็นศูนย์ช่วยเหลือสังคมเคลื่อนที่ ในวันที่ 1 พ.ย. 2023 (2566) ซึ่ง “เพจจริง” ของสายด่วน พม. คือ “สายด่วน 1300 พม.” ประวัติของเพจคือตั้งขึ้นวันที่ 10 มี.ค. 2015 (2558) ในชื่อสายด่วน 1300 พม.และไม่มีการเปลี่ยนชื่อเพจ รวมถึงมีความเคลื่อนไหวข่าวสารใหม่ๆ ในประเด็นภารกิจของ พม. จนถึงปัจจุบัน

ภาพ 01 : เพจสายด่วน พม. ที่น่าสงสัยว่าอาจเป็นเพจปลอม ให้สังเกตว่าเพิ่งตั้งได้ไม่นาน อีกทั้งเปลี่ยนชื่อมาจากเพจอื่นที่ดูไม่สอดคล้องกัน

ภาพ 02 เพจสายด่วน พม. ของจริง สังเกตได้จากเป็นเพจที่ตั้งมานานแล้ว อีกทั้งไม่เคยเปลี่ยนชื่อ รวมไปถึงระบุที่อยู่ของแอดมินเพจว่าคือประเทศไทย

อนึ่ง ก่อนหน้านี้ผู้เขียนเคยเขียนบทความเรื่องการสั่งเกตเพจเฟซบุ๊กปลอมประเภทแอบอ้างเป็นบริษัทหลักทรัพย์หรือบริษัทมหาชนขนาดใหญ่เพื่อหลอกให้เหยื่อร่วมลงทุน โดยมีข้อสังเกตคือ ระยะเวลาการเปิดเพจที่ดูสั้นเกินไป เมื่อเทียบกับหน่วยงานหรือบริษัทที่ตั้งมานานแล้ว , การเปลี่ยนชื่อเพจที่ดูไม่สอดคล้องกัน โดยหากเป็นเพจจริง การเปลี่ยนชื่อมักสอดคล้องกับการเปลี่ยนชื่อหน่วยงาน เช่น กรณี เพจจริงของ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด หรือ Yuanta เคยใช้ชื่อว่า KkTrade แต่เปลี่ยนชื่อเพจเพราะมีการเปลี่ยนชื่อบริษัท 

อีกทั้งเปลี่ยนในช่วงปลายเดือน ส.ค.2559 ซึ่งสอดคล้องกับข่าวที่นำเสนอผ่านสื่อมวลชนว่าบริษัทจะเปลี่ยนชื่อจาก KkTrade เป็นหยวนต้า ในวันที่ 1 ก.ย. 2559 แต่, ที่อยู่ของผู้ดูแลเพจ หากเป็นเพจที่ให้บริการในประเทศไทย ผู้ดูแลเพจทุกคน (หรือเกือบทุกคน) โดยปกติแล้วควรอยู่ในประเทศไทย (แม้กรณีเพจช่วยเหลือประชาชนปลอมจะยังไม่เจอแอดมินอยู่ต่างประเทศเหมือนเพจหลอกลงทุน แต่ก็ขอหยิบยกมาเตือนไว้ก่อนด้วย)

ภาพ 03 เพจจริงของ บ.หยวนต้า จะเห็นประวัติการเปลี่ยนชื่อเพจที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนชื่อบริษัท

2.ข้อมูลการติดต่อในเพจไม่สอดคล้องกัน ดังตัวอย่างเพจ “ศูนย์ช่วยเหลือประชาชน” ที่พบว่า มีการใช้ภาพประกอบผสมกันทั้ง สหกรณ์ออมทรัพย์กระทรวงยุติธรรม จำกัด (ซึ่งสหกรณ์นี้มีอยู่จริง เป็นของเจ้าหน้าที่รัฐในกระทรวงยุติธรรม) , ID ไลน์@damrongtham (ซึ่งแม้จะดูเหมือนชื่อศูนย์ดำรงธรรมของกระทรวงมหาดไทย แต่เมื่อนำไอดีนี้ไปค้นหาก็ไม่พบว่าหน่วยงานใดๆ ในกระทรวงมหาดไทยเคยใช้ แต่ไปเจอบนแพลตฟอร็มยอดฮิตในระยะหลังๆ อย่าง TikTok แต่ก็เป็นบัญชีน่าสงสัยอีก เพราะไม่มีเครื่องหมายถูกสีฟ้า อันเป็นการยืนยันจากแพลตฟอร์มว่าเป็นบัญชีจริง อีกทั้งยังสะกดว่า “damrongdmaha” แทนที่จะเป็น damrongtham รวมถึงหากดูในเว็บไซต์จริงของศูนย์ฯ จะใช้คำว่า “damrongdhama” อีกต่างหาก) , ในช่องเว็บไซต์ยังใช้ URL ว่า ccib.go.th (ซึ่งเป็นทางไปยังเว็บไซต์ของตำรวจไซเบอร์ หรือ บช.สอท.)

ภาพ 04 : เพจน่าสงสัย หากดูในเส้นสีแดง จะพบการใช้ตราสัญลักษณ์ บัญชีแพลตฟอร์มออนไลน์ และเว็บไซต์ที่ผสมผสานกันหลายหน่วยงาน

ภาพ 05 บัญชี TikTok น่าสงสัย หากดูเส้นสีแดง จะเขียนคำว่า ดำรงธรรม ในภาษาอังกฤษไม่ตรงกันระหว่างชื่อบัญชีกับชื่อไอดีไลน์ ไม่มีเครื่องหมายถูกสีฟ้ายืนยันจากเพลตฟอร์ม อีกทั้งยังไม่ตรงกับ URL http://www.damrongdhama.moi.go.th/home/ อันเป็นการเขียนชื่อภาษาอังกฤษของเว็บไซต์จริงของศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย ที่ใช้คำว่า damrongdhama

3.ดีที่สุดคือเพจที่มี เครื่องหมายถูกสีฟ้า เพราะเป็นเครื่องยืนยันจากฟซบุ๊กว่าเพจนั้นเป็นเพจของหน่วยงานหรือบุคคลนั้นจริงไม่ใช่ถูกแอบอ้าง โดยการขอรับเครื่องหมายนี้เฟซบุ๊กจะมีระบบตรวจสอบ เมื่อผ่านการตรวจสอบรับรองแล้วก็จะเสียค่าบริการรายเดือนเพียงเดือนละไม่กี่ร้อยบาท บริษัทเอกชนและบุคคลสาธารณะจำนวนมากควรยอมจ่ายเพื่อสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าหรือผู้ติดตาม ขณะที่หน่วยงานภาครัฐยิ่งต้องจ่ายเพราะมีหน้าที่ดูแลประชาชน แต่ที่ผ่านมาแต่ยังพบหลายหน่วยงานที่ทำเพจขึ้นมาแล้วไม่ได้ขอรับเครื่องหมายยืนยันตัวตน อันทำให้เกิดความสับสนและมีความเสี่ยงที่ประชาชนจะตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพได้ 

ภาพ 06 เพจเฟซบุ๊กจริงของตำรวจไซเบอร์ (กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ บช.สอท.) สังเกตเส้นสีแดงนอกจากเครื่องหมายถูกสีฟ้า ซึ่งหมายถึงการรับรองจากเฟซบุ๊กว่าเป็นเพจจริงแล้ว ยังเชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์ ccib.go.th ของตำรวจไซเบอร์ด้วย

พ.ต.ท.ธนธัส กังรวมบุตร สารวัตรกลุ่มงานสนับสนุนทางไซเบอร์ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.)ให้ความเห็นในรายการ “Zoom สื่อ ทางคลื่นวิทยุจุฬาฯ เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 2566 ว่า อธิบายกลยุทธ์ของเพจปลอมในการหลบหลีกการตรวจจับจากเฟซบุ๊ก โดยเพจเหล่านี้จะมีการโพสต์หรือแชร์ข่าวที่เป็นข่าวจริงของหน่วยงานที่คนทำเพจตั้งใจแอบอ้าง ทำให้การปิดเพจทำได้ยาก ดังนั้นหน่วยงานไม่ว่ารัฐหรือเอกชน การสมัครเพจแบบยืนยันตัวตนให้ได้รับเครื่องหมายถูกสีฟ้าเป็นเครื่องรับรองจึงมีความสำคัญ

เวลาเราประสานขอให้เฟซบุ๊กช่วยปิดเพจปลอม เขาก็ตะสอบถามว่าแล้วไหนเพจจริง ถ้าบอกว่าอันนี้เพจจริงแต่ก็ไม่มีเครื่องหมายยืนยันว่าคือเพจจริง มันก็ต้องมีการเปรียบเทียบ มีการวิเคราะห์กันอีกหลายส่วนกว่าที่เขาจะปิดให้ หรือเขาอาจจะไม่ปิดให้ก็ได้ แต่ถ้าหน่วยงานคุณมีเครื่องหมายสีฟ้า นี่คือเพจจริงเพียงหนึ่งเดียว แล้วใครก็ตามที่สร้างเพจเลียนแบบ คุณสามารถบอกได้เลยว่าพวกนี้คือของปลอม เขาก็ปิดให้ทันที พ.ต.ท.ธนธัส กล่าว

(หมายเหตุ : ในกรณีของ ID ไลน์ หากสมัครยืนยันตัวตนในฐานะบัญชีทางการ หรือ LINE Official Account และผ่านการตรวจสอบได้รับการรับรอง จะได้รับ เครื่องหมายโล่สีน้ำเงิน  (Verified Account)” หรือ เครื่องหมายโล่สีเขียว (Premium Account)” เพื่อยืนยันว่าเป็นบัญชีจริงของหน่วยงานขณะที่แพลตฟอร์ม TikTok หากสมัครยืนยันตัวตนและได้รับการรับรอง จะได้รับเครื่องหมายถูกสีฟ้าแบบเดียวกับเฟซบุ๊ก)

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://www.prd.go.th/th/content/category/detail/id/b9/iid/219832 (ดีอี เตือน คนร้ายซื้อ sponsored ใน facebook เผยแพร่ วงกว้าง เพจปลอม รับแจ้งความ อ้างเป็นตำรวจไซเบอร์ : สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ 1 ต.ค. 2566)

https://www.bangkokbiznews.com/news/1081327 (ระวัง! 5 เพจปลอม แอบอ้างหน่วยงานราชการล้วงข้อมูลส่วนตัว ทำสูญเงิน : กรุงเทพธุรกิจ 1 ส.ค. 2566)

https://1300thailand.m-society.go.th (เว็บไซต์ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 : กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ , จะมีรายละเอียดครบว่าเพเฟซบุ๊กจจริงและ ID Line จริง โดยเลือกหมวด “บริการ” ตามด้วย “ช่องทางการติดต่อขอรับบริการ พม.”)

http://www.damrongdhama.moi.go.th/home/(เว็บไซต์ทางการของศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย)

https://blog.cofact.org/specialreport12-66/ (‘การลงทุนมีความเสี่ยง’ โปรดตรวจสอบว่าเป็น ‘เพจเฟซบุ๊กปลอม’หรือไม่ก่อนตัดสินใจลงทุน COFACT REPORT 12/66 : Cofact 13 ส.ค. 2566)

https://www.facebook.com/yuantathai (เพจจริงของ บริษัทหยวนต้า)

https://mgronline.com/stockmarket/detail/9590000086856 (“บล.เคเคเทรด” เปลี่ยนชื่อเป็น “บล.หยวนต้า” มีผล 1 ก.ย.นี้ พร้อมเพิ่มทุน 1.5 พันล้าน : ผู้จัดการ 30 ส.ค. 2559)

https://www.ccib.go.th/ (กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี , ตำรวจไซเบอร์ บช.สอท.)

https://www.facebook.com/help/1288173394636262 (ส่งคำขอเครื่องหมายการตรวจสอบยืนยันบน Facebook)

https://lineforbusiness.com/th/service/line-official-account/verified-account (LINE Official Account – Verified)

https://lineforbusiness.com/th/helpcenter/line-oa/manual/introduction (Line-ความหมายของสัญลักษณ์โล่สีต่างๆ)

https://support.tiktok.com/th/using-tiktok/growing-your-audience/how-to-tell-if-an-account-is-verified-on-tiktok (บัญชีที่ผ่านการยืนยันบน TikTok)

https://curadio.chula.ac.th/Radio-Demand.php?program=202311050905 (รายการ Zoom สื่อ : วิทยุจุฬาฯ วันที่ 5 พ.ย. 2566

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 4 พฤศจิกายน 2566

สมุนไพร-อาหารเสริม รักษาโรคซึมเศร้า…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/e1j0amv1dqda


ห้ามกินลูกพลับกับนมเปรี้ยวและกล้วยหอม เพราะจะทำให้เป็นพิษต่อร่างกาย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1rs6xel8lsu9n


บอระเพ็ดพุงช้างช่วยรักษาโรคมะเร็งต่าง ๆ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2nb3ofbwrzp5r


กระทรวงการคลังจัดทำเอกสารการเบิกถอนวงเงินฉุกเฉิน 840 ล้านบาท เพื่อให้ลูกค้า SME ธนาคารทหารไทย ได้สิทธิ์เงินกู้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3nzaiejo0sl3p


ไปรษณีย์ไทยเปิดสมัครคนทำงานพับซองไปรษณีย์ ไม่มีค่าจัดส่ง ค่าแรงตามขนาดซอง รายได้ 460-1,580 บาทต่อวัน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/36asnxgujjz09


หลอดเลือดตีบรักษาด้วยการฟอกเลือด และกระตุ้นการไหลเวียน ช่วยลดการเกิดอัมพฤกษ์ อัมพาตได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2upkbcdezupsi#_=_


เตรียมประกาศใช้มาตรฐาน เครื่องวัดปริมาณแอลกอฮอล์จากลมหายใจ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3jgj0soxtkik4


ครม. อนุมัติสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงขอนแก่น-หนองคาย

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/1bw4kox6ux0wo


ผู้ป่วยติดเตียงสามารถลงทะเบียนรับผ้าอ้อมผู้ใหญ่ จำนวนไม่เกิน 3 ชิ้นต่อวัน

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1efydizpomwmo


ขึ้นทะเบียนมังคุดทิพย์พังงาเป็นสินค้า GI

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1j4fmi2yff7ms


กัญชากับการรักษาโรคมะเร็ง ความหวัง vs. ความเป็นจริง

Cofact Cancer misinfo series EP.4 กัญชากับการรักษาโรคมะเร็ง ความหวัง vs. ความเป็นจริง

ซีรีส์ค้นหาความจริงร่วมในเดือนแห่งการรณรงค์ต้านมะเร็งเต้านม

ความกลัว ความจริง ความเชื่อเรื่องเคมีบำบัด ทางรอดหรือทางเลือก??

Cofact Cancer misinfo series EP.3 ความกลัว ความจริง ความเชื่อเรื่องเคมีบำบัด ทางรอดหรือทางเลือก

ซีรีส์ค้นหาความจริงร่วมในเดือนแห่งการรณรงค์ต้านมะเร็งเต้านม

คนป่วยมะเร็งไม่ควรกินเนื้อสัตว์จริงหรือ??

EP.2 คนป่วยมะเร็งไม่ควรกินเนื้อสัตว์จริงหรือ

ซีรีส์ค้นหาความจริงร่วมโรคมะเร็งในเดือนแห่งการรณรงค์ต้านมะเร็งเต้านม

ก่อนอื่นต้องขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านในช่วงบำเพ็ญบุญรับประทานเจ ลดการเบียดเบียน 🙏🤍

อย่างไรก็ตามที่มีข้อมูลความเชื่อเรื่องเนื้อสัตว์กับผู้ป่วยมะเร็งส่งวนในสื่อออนไลน์ เราอยากให้ทุกท่านลองตรวจสอบข้อมูลให้รอบด้าน และ แสวงหาความจริงร่วมก่อนจะเชื่อหรือแชร์ด้วยนะคะ
บุญรักษาค่ะ 🙏🤍

ติดตาม! ซีรีส์ค้นหาความจริงร่วมในเดือนแห่งการรณรงค์ต้านมะเร็งเต้านม

เดือนตุลาคมของทุกปี เป็นเดือนที่ทั่วโลกร่วมกันรณรงค์ต้านภัยมะเร็งเต้านม ความก้าวหน้าทางการแพทย์ในปัจจุบันทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสรักษาหายสูงโดยเฉพาะเมื่อตรวจเจอได้ตั้งแต่ในระยะเริ่มต้น หากทุกคนใส่ใจกับตนเองและทำการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมอย่างสม่ำเสมอก็จะลดโอกาสเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านมได้

อย่างไรก็ตามปัจจุบันในยุคข้อมูลข่าวสารที่ทำให้เกิดข่าวลือ ข่าวลวง ความเชื่อต่างๆ หรือที่เรียกว่า mis/disinformation ส่งต่อในกลุ่มสื่อสังคมออนไลน์ที่จำนวนไม่น้อยทำให้คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับแนวทางการรักษาโรคมะเร็ง

ทีมโคแฟคเข้าใจว่า การรักษาโรคมีหลายศาสตร์ทั้งแผนปัจจุบัน และ แผนทางเลือก อย่างไรก็ตามก่อนจะเชื่อหรือแชร์เราอยากให้ทุกคนค้นหาข้อมูลเพื่อแสวงหาความจริงร่วมที่อยู่บนฐานข้อเท็จจริง จากเหตุและผล

เพื่อร่วมรณรงค์ในเดือนนี้ โคแฟคผลิตซีรีส์คลิปสั้นเพื่อแสวงหาความจริงร่วมโรคมะเร็ง จำนวนสี่ตอนคือ

  1. ทำไมคนไทยถึงชอบแชร์ข้อมูล น้ำมะนาวโซดารักษามะเร็ง
  2. ผู้ป่วยมะเร็งไม่ควรรับประทานเนื้อสัตว์จริงหรือ
  3. ความจริง ความเชื่อ กับ ความกลัวเรื่องเคมีบำบัด
  4. กัญชากับการรักษาโรคมะเร็ง จริงหรือไม่ อย่างไร


    เช็กก่อนเชื่อ ตรวจสอบก่อนแชร์ ตั้งสติ เปิดใจ และ มาร่วมค้นหาความจริงร่วมที่โคแฟคค่ะ

    ขอให้ทุกท่านสุขภาพแข็งแรง ผู้หญิงที่ถึงวัยอันควร อย่าลืมไปตรวจคัดกรองโรคมะเร็งเต้านมกันนะคะ 🎀