ตรวจสอบ 3 โพสต์เท็จเรื่อง “กัมพูชาเสริมกำลังพลที่ชายแดนไทย”

กองบรรณาธิการโคแฟค

ครบรอบ 2 เดือนเหตุปะทะที่ชายแดนไทย-กัมพูชาเมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568 ผู้ใช้โซเชียลมีเดียทั้งในไทยและกัมพูชายังคงผลิตและเผยแพร่เนื้อหาเท็จเพื่อปลุกปั่นสถานการณ์และความเกลียดชังกันอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดโคแฟคพบว่าเนื้อหาเท็จ “ยอดนิยม” ที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียชาวไทยแชร์กันจำนวนมากช่วงสัปดาห์นี้ (22-25 ก.ย. 2568) คือโพสต์เท็จที่อ้างว่ากองทัพกัมพูชาเสริมกำลังพลที่ชายแดน โดยนำคลิปเก่าจากหลายเหตุการณ์ รวมทั้งคลิปในเมียนมา มาอ้างเท็จว่าเป็นภาพการเคลื่อนกำลังพลในปัจจุบัน

โคแฟคตรวจสอบ 3 โพสต์เฟซบุ๊กที่นำคลิปเก่าที่เคยถูกเผยแพร่ตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุปะทะไทย-กัมพูชา และคลิปที่ถ่ายในเมืองชเวโก๊กโก่ จังหวัดเมียวดีของเมียนมา มาอ้างเท็จว่าเป็นการเสริมกำลังพลของกัมพูชา

1) เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปกัมพูชาเติมกำลังพลสู่แนวหน้า 

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ นำคลิปเก่ามาบิดเบือน**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 22 ก.ย. 68 เพจเฟซบุ๊ก “ดู ไป เรื่อย” โพสต์คลิปวิดีโอทหารกัมพูชาในเครื่องแบบจำนวนมากเดินแถวไปบนถนน ฝังข้อความว่า “ด่วนๆ เลย กัมพูชาเติมกำลังพบสู่แนวหน้า 22/9/68” 

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการใช้เครื่องมือ Google Lens ค้นหาภาพพบว่าคลิปนี้เคยถูกโพสต์โดยผู้ใช้ติ๊กตอกชาวกัมพูชาตั้งแต่วันที่ 8 มิ.ย. 68 แต่ผู้โพสต์ไม่ได้ให้ข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ในคลิป เมื่อสืบค้นเพิ่มเติมพบว่ามีผู้ใช้โซเชียลมีเดียหลายรายโพสต์ภาพเหตุการณ์เดียวกันนี้ หนึ่งในนั้นเขียนคำบรรยายภาษาอังกฤษว่าเป็นภาพวันเฉลิมฉลองครบรอบ 31 ปีของการสถาปนากองอาวุธราชหัตถ์ของกัมพูชา (Royal Gendarmerie) เมื่อเดือน ก.ค. 2567 ซึ่งเมื่อตรวจสอบสัญลักษณ์บนเครื่องแบบในคลิปพบว่าเป็นตราสัญลักษณ์ของหน่วยดังกล่าวจริง

📌 หมายเหตุ: โคแฟคไม่ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นที่ว่ากัมพูชาเติมกำลังพลสู่แนวหน้าจริงหรือไม่ แต่ตรวจสอบคลิปที่นำมาประกอบคำกล่าวอ้างนี้ ซึ่งพบว่าเป็นคลิปเก่า ไม่ใช่ภาพเหตุการณ์ปัจจุบัน คาดว่าน่าจะเป็นภาพกิจกรรมในวันสถาปนากองอาวุธราชหัตถ์ของกัมพูชา

2) เนื้อหาที่ตรวจสอบ: กองกำลังพิทักษ์ “ฮุน เซน” เคลื่อนพล

❌ ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ นำคลิปเก่ามาบิดเบือน**

📝  เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 21-22 ก.ย. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “มาดามปู Channel” โพสต์คลิป Reel เป็นภาพขบวนรถหุ้มเกราะของทหารกัมพูชา โดยอ้างว่าเป็นภาพกองกำลังพิทักษ์สมเด็จฮุน เซน “ออกมาเต็มท้องถนน” คลิปนี้ยังถูกเผยแพร่โดยบัญชีผู้ใช้ติ๊กตอกรายหนึ่งพร้อมคำบรรยายที่ทำให้เข้าใจว่าเป็นภาพการเคลื่อนย้ายกำลังพลของกัมพูชา 

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการค้นหาภาพด้วยเครื่องมือ Google Lens พบว่าคลิปนี้เคยถูกเผยแพร่โดยผู้ใช้เฟซบุ๊กชาวกัมพูชามาตั้งแต่วันที่ 2 ก.ค. 2568 หรือเกือบหนึ่งเดือนก่อนการสู้รบไทย-กัมพูชาระหว่างวันที่ 24-28 ก.ค. 2568 ผู้โพสต์ไม่ได้ให้ข้อมูลว่าภาพในคลิปเป็นภาพเหตุการณ์ใด

โคแฟคตรวจสอบพบว่าตราสัญลักษณ์ที่ติดข้างรถหุ้มเกราะเป็นสัญลักษณ์ของกองอาวุธราชหัตถ์ของกัมพูชา (Royal Gendarmerie) ในขณะที่ถนนที่ขบวนรถหุ้มเกราะเคลื่อนไปนั้นคล้ายกับบริเวณที่ปรากฏในคลิปที่เคยมีการเผยแพร่ก่อนหน้านี้ซึ่งผู้โพสต์ระบุว่าเป็นกิจกรรมในวันเฉลิมฉลองครบรอบ 31 ปีของการสถาปนากองอาวุธราชหัตถ์

โคแฟคไม่สามารถยืนยันได้ว่าคลิปที่ถูกนำมาอ้างเท็จนี้เป็นภาพเหตุการณ์ใด เกิดขึ้นเมื่อใด แต่ยืนยันได้ว่าไม่ใช่ภาพการเคลื่อนกำลังพลกัมพูชาในปัจจุบัน เนื่องจากคลิปนี้เคยถูกเผยแพร่มาตั้งแต่วันที่ 2 ก.ค. 2568

3) เนื้อหาที่ตรวจสอบ: กองทัพเขมรหลายพันนายเคลื่อนพลเข้าสู่ชายแดนไทย

❌ ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ นำมาภาพจากเมียนมามาบิดเบือน**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 23 ก.ย. 68 บัญชีเฟซบุ๊ก “เดชา นฤนารท” โพสต์ภาพนิ่งจำนวน 3 ภาพ เป็นภาพกลุ่มคนนั่งบนรถกระบะ บางส่วนสวมเครื่องแบบทหาร ข้อความในโพสต์ระบุว่า “ภาพกองทัพเขมรหลายพันนายเคลื่อนพลเข้าสู่เขตชายแดนไทยในทางของแม่ทัพภาค 2 อุบลราชธานี ศรีสะเกษและสุรินทร์” และอ้างว่ากองทัพภาคที่ 2 ของไทยพร้อมสนับสนุนการอพยพประชาชนที่อาศัยอยู่ติดชายแดนไปอยู่ในจุดที่ปลอดภัยแล้ว โพสต์นี้ถูกแชร์ไปมากกว่า 1 พันครั้ง (ณ วันที่ 24 ก.ย. 68)

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการค้นหาด้วยเครื่องมือ Google Lens พบว่าภาพชุดดังกล่าวเป็นภาพที่แคปเจอร์จากวิดีโอความยาว 25 วินาที ที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กทั้งชาวไทยและกัมพูชานำมาโพสต์บิดเบือนเมื่อวันที่ 25 ก.ค. 68 โดยบัญชีเฟซบุ๊กชื่อ “ธนกฤต ส้มส้า” อ้างว่าคลิปนี้เป็นภาพการเสริมกำลังของทหารเขมร ขณะที่บัญชีเฟซบุ๊กชาวกัมพูชาอ้างว่าเป็นภาพทหารพม่าเตรียมปะทะทหารไทย

โคแฟคตรวจสอบภาพในคลิปอย่างละเอียดพบว่าช่วงท้ายของคลิปมีวงเวียนพร้อมป้ายขนาดใหญ่เขียนด้วยภาษาพม่า เมื่อนำภาพป้ายนี้ไปสืบค้นในกูเกิลและให้ผู้รู้ภาษาพม่าแปลพบว่าเป็นป้ายที่ระบุชื่อเมืองชเวโก๊กโก่ จังหวัดเมียวดี

ป้ายภาษาพม่าที่ปรากฏในช่วงท้ายของคลิปมีชื่อเมืองชเวโก๊กโก่ จังหวัดเมียวดี (ภาพจากเฟซบุีก Chan Bro Pov)

เมื่อนำภาพป้ายทะเบียนรถของรถกระบะในคลิปวีดีโอไปตรวจสอบกับเว็บไซต์ worldlicenseplates.com ซึ่งเป็นฐานข้อมูลลักษณะป้ายทะเบียนรถจากทั่วโลก พบว่าเป็นป้ายทะเบียนที่ใช้ในเมียนมา ไม่ใช่ในกัมพูชา

📌 ข้อสรุปโคแฟค: ภาพนิ่งที่ผู้ใช้เฟซบุ๊ก “เดชา นฤนารท” นำมาอ้างเท็จว่าเป็นการเคลื่อนพลของทหารเขมรนั้น เป็นภาพที่นำมาจากคลิปที่ถ่ายในเมืองชเวโก๊กโก่ จังหวัดเมียวดี สหภาพเมียนมา ไม่ใช่ภาพ “ทหารเขมร” ตามที่ผู้โพสต์อ้าง อย่างไรก็ตาม โคแฟคยังไม่สามารถระบุที่มา เหตุการณ์และวัน/เวลาที่ถ่ายคลิปได้

นอกจากนี้เพจเพซบุ๊ก “กองทัพภาคที่ 2” ไม่มีการประกาศให้ประชาชนตามแนวชายแดนอพยพ โดยประกาศศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาประจำวันที่ 23 ก.ย. ว่า “ปัจจุบันกองกำลังทั้งสองฝ่ายยังคงวางกำลังตามแนวที่มั่นของตนเอง” แต่มีเหตุการณ์ที่ทหารกัมพูชายิงปืนเล็กยาวจำนวน 3 นัดซึ่งกองทัพภาคที่ 2 ระบุว่าเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างชัดเจน

เรื่องอื่นที่เกี่ยวข้อง

คลิปชาวกัมพูชาเดินขบวนเรียกร้องสันติภาพ ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นการประท้วงขับไล่รัฐบาลฮุน มาเนต

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: ชาวกัมพูชาใช้ “เนปาลโมเดล” ประท้วงขับไล่รัฐบาล 

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ นำคลิปการเดินขบวนเรียกร้องสันติภาพเมื่อวันที่ 2 ส.ค. 68 มาบิดเบือน** 

📝 เนื้อหาโดยสรุป:  วันที่ 14 ก.ย. 68 ผู้ใช้เฟซบุ๊กและติ๊กตอกเผยแพร่คลิปวิดีโอการเดินขบวนของชาวกัมพูชา พร้อมกับเขียนคำบรรยายที่ทำให้เข้าใจว่าเป็นการประท้วงขับไล่รัฐบาลฮุน มาเนต ที่เกิดขึ้นโดยมีการประท้วงลุกฮือของคนรุ่นใหม่ในเนปาลเป็นต้นแบบ

บัญชีเฟซบุ๊ก “ธนกฤต รุ่งกิจจานนท์” โพสต์คลิปวิดีโอเป็นภาพการเดินขบวนของชาวกัมพูชา ระบุข้อความ “ชาวเขมรรณรงค์ใช้เนปาลโมเดลต่อต้านตระกูลฮุน” และบรรยายว่าชาวกัมพูชาเริ่มออกมารณรงค์ใช้ “เนปาลโมเดล” โค่นอำนาจตระกูลฮุน

ขณะที่บัญชีผู้ใช้ติ๊กตอก “tikparamotor” ได้โพสต์คลิปเดียวกัน ฝังข้อความว่า “Gen Z @ Khmer” เพื่อเชื่อมโยงเหตุการณ์ในภาพเข้ากับการประท้วงของคนหนุ่มสาว Gen Z ในเนปาลเพื่อขับไล่รัฐบาลที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 8-13 ก.ย. 68 

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: เมื่อค้นหาด้วย Google Lens พบว่าเหตุการณ์ในคลิปดังกล่าวเป็นการชุมนุมเรียกร้องสันติภาพเมื่อวันที่ 2 ส.ค. 68 หรือราวหนึ่งสัปดาห์หลังจากข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ โดยเพจเฟซบุ๊ก “FK MEDIA TV” โพสต์คลิปวีดีโอพร้อมข้อความภาษาเขมรแปลเป็นไทยได้ว่า ชาวกัมพูชารวมตัวกันบริเวณบึงกักในกรุงพนมเปญเพื่อแสดงให้โลกเห็นว่ากัมพูชารักสันติภาพ

รายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” นำคลิปเดียวกันนี้มาเผยแพร่ทางยูทูบโดยรายงานว่าชาวกัมพูชาชุมนุมกลางกรุงพนมเปญ แสดงพลังเรียกร้องสันติภาพ ต่อต้านสงคราม

สรุปว่าคลิปที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กและติ๊กตอกโพสต์เมื่อวันที่ 14 ก.ย. โดยอ้างว่าเป็นเดินขบวนขับไล่รัฐบาลของชาวกัมพูชาที่เกิดขึ้นหลังจากเหตุประท้วงที่เนปาลนั้น เป็นภาพการชุมนุมเรียกร้องสันติภาพเมื่อวันที่ 2 ส.ค. ไม่ใช่การชุมนุมขับไล่รัฐบาลกัมพูชา

เรื่องอื่นที่เกี่ยวข้อง

‘ไทย’เป้าหมาย‘สหรัฐฯ’ตั้งฐานยิงขีปนาวุธ : เมื่อ2บทความต่างประเทศถูกมัดรวมและนำเสนออย่างเกินเลย

By : Zhang Taehun

ภาพ 01 : คลิป TikTok อ้างรายงานของ RAND Corporation ไทยเหมาะสมตั้งฐานขีปนาวุธของสหรัฐฯ

ข้อมูลจาก RAND Corporation สถาบันวิเคราะห์ทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ที่เป็นเบื้องหลังการวางหมากของกองทัพสหรัฐ เคยระบุไว้ตั้งแต่ปี 2565 แล้วว่าประเทศไทยคือจุดยุทธศาสตร์อันดับ 1 ที่เหมาะสมต่อการติดตั้งขีปนาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลางของสหรัฐฯ ระยะยิง 5,500 กิโลเมตร ที่ว่ามานี้ไม่ใช่แค่ป้องกันภัยใกล้ตัว แต่มันครอบคลุมทุกมณฑลของจีน ตั้งแต่ยูนนานไปจนถึงซินเจียง 

พูดให้ชัดคือกรุงเทพฯจะเป็นชนวนสงครามนิวเคลียร์เอเชีย หากฐานยิงขีปนาวุธของสหรัฐฯ เกิดขึ้นที่ จ.พังงา แล้วใครคือคนที่ RAND รอคอยเปิดดีล คำตอบคือรัฐบาลไทยภายใต้ผู้นำที่สหรัฐฯหนุนหลัง ทักษิณ และธนาธร นี่ไม่ใช่ทฤษฎีสมคบคิด แต่คือเอกสารจริงจาก RAND ที่ยังสามารถค้นอ่านได้จนถึงวันนี้

ตามที่ปรากฏคลิปวีดีโอในTikTok ที่ถูกโพสต์โดยบัญชีผู้ใช้งานชื่อ “satangkomonjinda” เมื่อวันที่ 25 ส.ค. 2568 พร้อมกับภาพแผนที่ประเทศไทย และ คำบรรยาย “ทำไมยุทธศาสตร์ของมะกันถึงเกี่ยวกับไทย” โดยมีการอ้างรายงานRAND Corporation สถาบันวิเคราะห์ทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐที่แนะนำรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ว่าประเทศไทยเหมาะสมกับการติดตั้งขีปนาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลาง ซึ่งยิงได้ทุกพื้นที่ของจีน และยังอ้างชื่อนักการเมืองไทยที่รัฐบาลสหรัฐฯ น่าจะเจรจาให้อนุมัติได้ด้วย 

คลิปดังกล่าวมีที่มาอย่างไร?

โคแฟคได้ตรวจสอบคลิปดังกล่าวพบว่า ในช่วงประมาณ 1 นาที 15 วินาทีแรกของคลิป ใช้ภาพประกอบจากช่องยูทูบ “Why History” ซึ่งเป็นช่องการสื่อสารความรู้เชิงประวัติศาสตร์ ก่อนจะต่อด้วยการใช้ภาพข่าวต่างๆ รวมถึงภาพที่สร้างจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) 

อย่างไรก็ตาม คลิปต้นฉบับในช่อง Why History ถูกตั้งชื่อว่า “ทำไมสหรัฐอเมริกาต้องการตั้งฐานทัพเรือที่พังงา?” โพสต์เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2568 โดยเนื้อหาอธิบายปัจจัยและเหตุผลหากสหรัฐฯ สามารถขอใช้พื้นที่ จ.พังงา ของไทยเพื่อตั้งฐานทัพเรือไว้ดังนี้ คือ 1.ทำเลที่ตั้งของ จ.พังงา เปรียบเหมือนประตูควบคุมเส้นทางเดินเรือสำคัญของโลก เชื่อมระหว่างมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิกผ่านช่องแคบมะละกา

2.เติมเต็มช่องว่างของฐานทัพสหรัฐฯ ในฝั่งมหาสมุทรอินเดีย เนื่องจากปัจจุบันสหรัฐฯ มีเพียงฐานทัพในฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก การมีฐานทัพใน จ.พังงา จะทำให้สหรัฐฯ สามารถปิดล้อมจีนได้ทั้ง 2 ฝั่ง 

3.ฐานทัพเรือสหรัฐฯ ใน จ.พังงา หากเกิดขึ้นจะเป็นการตอบโต้การขยายอิทธิพลของจีน ซึ่งมีการสร้างฐานทัพใน จ.พระสีหนุ (สีหนุวิลล์) ของกัมพูชา และ

4.เชื่อมโยงกับโครงการแลนด์บริดจ์ ซึ่งเป็นโครงการของไทยที่ต้องการสร้างถนน ท่าเรือและเส้นทางรถไฟเชื่อมทะเลอันดามันกับอ่าวไทย อย่างไรก็ตาม “คลิปของช่อง Why History ไม่มีการกล่าวถึงการตั้งฐานยิงขีปนาวุธของสหรัฐฯ แต่อย่างใด” โดยทิ้งท้ายไว้เพียงว่า ไทยไม่มีแผนที่จะให้สหรัฐฯใช้ จ.พังงา ตั้งฐานทัพเรือ เพราะอาจตกเป็นเป้าหมายของความขัดแย้งทางทหารระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่เริ่มก่อตัวขึ้น

ภาพ 02 : บทความของ RAND และของ New Eastern Outlook ที่น่าจะถูกนำมาเชื่อมโยงกัน
 

บทความ 2 บท” ที่น่าจะถูกนำมาเชื่อมโยงกันกับประเด็นการตั้งฐานยิงจรวดในไทย?

โคแฟคได้ค้นหาเพิ่มเติมด้วยข้อความ “RANDUS Thailand missiles” พบโพสต์เมื่อวันที่ 15 ก.ค. 2568 จากบัญชีเฟซบุ๊กชื่อ “Stapnavatr Vajira” ที่เนื้อหาคล้ายกับคลิป TikTok ของบัญชีsatangkomonjinda ที่กล่าวถึงข้างต้น โดยในโพสต์กล่าวถึงข้อมูลจากบริษัทวิเคราะห์วิจัยทางการทหารของสหรัฐ คือ RAND corporation เมื่อปี 2565 ว่าประเทศไทยไม่ใช่จุดมุ่งหมายของการตั้งฐานทัพ แต่ประเทศไทยเป็นลำดับที่ 1 ในเชิงกลยุทธที่สหรัฐต้องหาทางมาติดตั้งฐานยิงขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์พิสัยกลาง คือ ยิงได้ไกลถึง 5,500 กิโลเมตร ซึ่งระยะขนาดนี้ คือ สามารถยิงครอบคลุมได้ไกลไปถึงซินเจียง หรือหมายความว่าครอบคลุมพื้นที่ได้ทั้งประเทศจีน โดยในบทวิเคราะห์ ระบุชัดว่าเขารอคอยการต่อรองกับรัฐบาลที่สหรัฐให้การสนับสนุนเบื้องหลังอยู่ คือ ทักษิณ หรือ ธนาธร คนไทยจึงต้องจับตาการเคลื่อนไหวของพรรคแดงส้มในครั้งนี้ ที่อาจนำพาซึ่งความเสียหายใหญ่หลวงกับประเทศไทยได้ จีนจะไม่อยู่เฉยแน่ ถ้ามีฐานยิงนิวเคลียร์ไปได้ทุกมณฑลของจีนในไทย

โพสต์ดังกล่าวแม้จะอ้างอิงบทความจาก RAND แต่ภาพประกอบมีการกล่าวถึงบทความ 2 บท คือ 1.Ground-Based Intermediate-Range Missiles in the Indo-Pacific Assessing the Positions of U.S. Allies เขียนโดย Jeffrey W. Hornung เป็นบทความที่เผยแพร่บน www.rand.org เว็บไซต์ทางการของ RAND corporation ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองซานตาโมนิกา รัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2565 และ 2.Washington’s Indo-Pacific “Allies” Refuse to Host US Missiles เขียนโดย Brian Berletic เป็นบทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ journal-neo.su ของวารสารด้านภูมิรัฐศาสตร์ New Eastern Outlook ซึ่งมีสำนักงานอยู่ที่กรุงมอสโกของรัสเซีย เมื่อวันที่ 6 พ.ค. 2565  

ในบทความแรก Jeffrey ได้วิเคราะห์ความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯจะขอเข้าไปใช้พื้นที่ในประเทศพันธมิตร 5 ชาติ ประกอบด้วย ไทย ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ ออสเตรเลียและญี่ปุ่น เพื่อติดตั้งฐานยิงขีปนาวุธพิสัยกลางจากภาคพื้นดิน (GBIRM) ในส่วนของประเทศไทย เขากล่าวถึงปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการที่สหรัฐจะเจรจากับไทยเรื่องขอตั้งฐานยิงจรวด GBIRM ถึงแม้ว่าไทยเป็นพันธมิตรระดับภูมิภาคอินโดแปซิฟิกที่เก่าแก่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา โดยได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตในปี 2361 และได้ลงนามในสนธิสัญญาไมตรีและพาณิชย์ ในปี 2376 ซึ่งถือเป็นสนธิสัญญาฉบับแรกของสหรัฐฯ กับประเทศในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกและยังมีมีความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นผ่านกรอบความร่วมมือด้านการทหารและความมั่นคงระดับภูมิภาค เช่น สนธิสัญญามะนิลา (Manila Pact) ในปี 2497 ซึ่งนำไปสู่การก่อตั้งองค์การสนธิสัญญาป้องกันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEATO)และแถลงการณ์วิสัยทัศน์ถนัด-รัสก์ (Thanat-Rusk communique) ระหว่างดร.ถนัด คอมันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย และนาย ดีน รัสก์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐ ในปี 2505 และแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมสำหรับพันธมิตรด้านการป้องกันประเทศไทย-สหรัฐฯ ปี 2555 ซึ่งถือเป็นรากฐานของพันธกรณีด้านความมั่นคงของสหรัฐฯที่มีต่อประเทศไทย ทั้งนี้การที่กองทัพไทยทำรัฐประหารในวันที่ 22 พ.ค. 2557 ส่งผลให้ความสัมพันธ์ไทย – สหรัฐฯ สะดุดลง ซึ่งรวมถึงการลดความช่วยเหลือด้านความมั่นคงกับไทย  และการฟื้นฟูความสัมพันธ์อันดีแบบเดิมก็ทำได้ยากขึ้น

Jeffry กล่าวถึง “เหตุผล 2 ประการที่ทำให้ประเทศไทยยังคงมีโอกาสน้อยมากที่จะยอมให้ใช้พื้นที่เป็นฐานติดตั้ง GBIRM” คือ 1. การที่รัฐบาลหลังการเลือกตั้งปี 2562 ยังคงเป็นรัฐบาลที่อยู่เบื้องหลังการรัฐประหารที่ขึ้นสู่อำนาจผ่านการเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรม และทำให้สถาบันประชาธิปไตยของไทยอ่อนแอลง ทำให้สหรัฐไม่อาจกลับมามีความสัมพันธ์ขั้นปกติได้ และ 2. รัฐบาลไทยแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่จะกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับจีน นับตั้งแต่เกิดรัฐประหาร โดยงานวิจัยเผยให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ไทยไม่ว่าฝ่ายทหารหรือไม่ก็ตาม มองว่าอิทธิพลของจีนที่มีต่อนโยบายความมั่นคงของไทยในปัจจุบันเทียบเท่ากับอิทธิพลของสหรัฐฯ และนักวิเคราะห์หลายคนมองจีนเป็นประเทศที่อ่อนโยนมากกว่าที่จะเป็นมหาอำนาจที่เน้นการแก้ไขหรือเป็นภัยคุกคามทางทหาร โดยปัจจัยเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงการพี่งพาทางทหารระหว่างกันที่เพิ่มสูงขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องจากการซื่อรถถังและเรือดำน้ำจากจีนหรือการอนุญาตให้กองทัพเรือจีนเข้าถึงฐานทัพเรือสัตหีบ (ซึ่งเป็นท่าเรือที่เรือรบสหรัฐฯ มักแวะจอด) รวมถึงการฝึกซ้อมรบกับจีนเป็นประจำทุกปี โดยความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นเหล่านี้ถือเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้สหรัฐฯ ไม่ควรมีภาพลวงตาว่าไทยจะเป็นพันธมิตรที่แข็งขันในการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับจีน

เมื่อพิจารณาปัจจัยเหล่านี้โดยรวมแล้ว ถือเป็นเหตุผลที่หนักแน่นที่จะสรุปได้ว่าสหรัฐฯ คงไม่ต้องการให้ไทยเป็นที่ตั้ง GBIRM และแม้สหรัฐฯ จะร้องขอก็คงเป็นไปได้สูงที่ไทยจะไม่ยินยอม Jeffrey W. Hornung ผู้เขียนบทความเรื่องนี้ของ RAND กล่าว

ส่วนบทความที่สองซึ่งเขียนโดย Brian เน้นวิพากษ์วิจารณ์ข้อค้นพบและการวิเคราะห์ของJeffryในบทความแรก โดยในช่วงแรกเขาอ้างถึงเรื่องสหรัฐฯได้ถอนตัวจาก Intermediate-Range Nuclear Forces (INF) Treaty หรือ สนธิสัญญากำลังนิวเคลียร์พิสัยกลาง และวัตถุประสงค์ของบทความของ Jeffry คือการพิจารณาตำแหน่งที่ดีที่สุดในการติดตั้งฐานยิงขีปนาวุธพิสัยกลางจากภาคพื้นดิน (GBIRM) ใน5 ประเทศที่เป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ ในภูมิภาคอินโด – แปซิฟิก คือไทย ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ ออสเตรเลียและญี่ปุ่น และในส่วนของประเทศไทย Brianได้ยกข้อความจากบทความของJeffry ที่อ้างถึงการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ซึ่งเกิดขึ้นหลังรัฐประหารว่าเป็นการเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรม และหากรัฐบาลที่สนับสนุนโดยกองทัพยังอยู่ ก็จะเป็นอุปสรรคต่อความสัมพันธ์ทางการทหารระหว่างไทยกับสหรัฐฯ นั่นหมายถึงความเป็นไปได้น้อยมากที่สหรัฐฯ จะขอใช้พื้นที่ประเทศไทยติดตั้งระบบ GBIRM

อย่างไรก็ตาม เนื้อหาหลังจากนั้นเป็นทรรศนะของ Brian เอง ไม่ได้ปรากฏอยู่ในเนื้อหาที่ Jeffryเขียนไว้ในบทความข้างต้นของ RAND” โดย Brian ได้วิจารณ์ความคิดเห็นของ Jeffry ที่ว่าการเลือกตั้งในประเทศไทย “ไม่ยุติธรรมเลย” นั้น ตั้งอยู่บนข้อเท็จจริงที่ว่าขั้วอำนาจที่สหรัฐฯเป็นผู้เลือก ซึ่งประกอบไปด้วยกลุ่มพันธมิตรของมหาเศรษฐีที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ อย่างทักษิณ ชินวัตร และธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ไม่ได้ชนะเลือกตั้งอย่างเด็ดขาดและฟอร์มรัฐบาลเสียงข้างมาก โดยกลุ่มการเมืองที่เป็นตัวแทนผลประโยชน์สูงสุดของไทยกลับได้เข้ารับตำแหน่ง ทำให้นโยบายต่างประเทศของไทยถูกกำหนดขึ้นในลักษณะที่นำไปสู่อุปสรรคประการที่ 2 (ท่าทีของไทยที่อิงเข้าหาจีน ตามบทความของ Jeffry) ในการที่ขีปนาวุธของสหรัฐฯ จะถูกติดตั้งในไทย

ทั้งนี้ Brian ได้ขยายความต่อไปอีกในประเด็นความสัมพันธ์จีน – ไทย ว่า จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุด นักลงทุนรายใหญ่ที่สุด และแหล่งการท่องเที่ยวรายใหญ่ที่สุดของไทย จึงเป็นผู้มีส่วนร่วมโดยตรงในพัฒนาอุตสาหกรรมของไทยที่หลากหลาย อีกทั้งยังเป็นพันธมิตรที่สำคัญยิ่งขึ้นเรื่อยๆในการลดการพึ่งพาอาวุธและความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศจากสหรัฐฯ และถึงแม้ว่าการสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับจีนนั้นจะเป็นไปเพื่อรักษาผลประโยชน์สูงสุดของประเทศเท่านั้น แต่การดำเนินความสัมพันธ์ก็กระทำอย่างมีสติเพื่อรักษาระดับความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ เอาไว้

อาจสันนิษฐานได้ว่าผู้กำหนดนโยบายที่อยู่เบื้องหลังรายงาน RAND ฉบับนี้อยากเห็นนโยบายของไทยและรัฐบาลเปลี่ยนแปลงนโยบายดังกล่าว แต่นั่นก็หมายความว่านโยบายของไทยจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่จะทำลายผลประโยชน์สูงสุดของไทย เพียงเพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของวอชิงตัน เนื่องจากกลุ่มผู้มีอำนาจทางการเมืองและการทหารของไทยในปัจจุบันปฏิเสธที่จะให้ผลประโยชน์ของวอชิงตันเหนือกว่าผลประโยชน์ของตนเอง วอชิงตันจึงได้ดำเนินนโยบายเพื่อเปลี่ยนแปลงกลุ่มผู้มีอำนาจทางการเมืองและการทหารของไทย Brian ให้ความเห็นในบทความของตน 

หมายเหตุ : สามารถอ่านประวัติ Brian Berleticและความเกี่ยวข้องกับ New Eastern Outlook ได้จากงานเขียนของโคแฟค เรื่อง “กกต.-ไอลอว์ ร่วมจับตาเลือกตั้ง 2566 กับการกลับมาของข้อกล่าวหา “อเมริกาแทรกแซงการเมืองไทย”” เผยแพร่เมื่อวันที่ 2 พ.ค. 2566 https://blog.cofact.org/article-election2023-brian-berletic/

ภาพ 03 : หน้าบทความ 2 บท ที่เผยแพร่ใน RAND (ซ้าย) และ New Eastern Outlook (ขวา)

Brian ตั้งข้อสังเกตว่า บทความของ RAND ไม่ได้เพียงแค่ชี้ให้เห็นข้อบกพร่องในประเทศไทยที่ขัดขวางไม่ให้สหรัฐฯ ติดตั้งขีปนาวุธในดินแดนของตน รวมถึงความพยายามอื่นๆ ที่จะปิดล้อมและจำกัดจีนทางทหารและเศรษฐกิจ แต่ยังสะท้อนให้เห็นว่าสหรัฐฯ กำลังพยายามอย่างแข็งขันที่จะแก้ไขข้อบกพร่องเหล่านี้ผ่านการแทรกแซงทางการเมืองตั้งแต่การบังคับขู่เข็ญไปจนถึงการพยายามเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง

เขาได้ให้ข้อสรุปว่า เป็นเพราะแนวทางของสหรัฐฯ ไม่เพียงแต่กับไทยเท่านั้น แต่กับประเทศต่างๆ ที่กล่าวถึงในรายงานของ Jeffry ที่ทำให้หลายประเทศเหล่านี้เริ่มกระจายการลงทุนออกจากการพึ่งพาเศรษฐกิจและการทหารจากตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสหรัฐฯ และการค้าที่เพิ่มขึ้นกับจีนและนโยบายต่างประเทศที่ไม่แทรกแซงของจีนทำให้การหันไปพึ่งจีนเป็นทางเลือกที่ง่ายดาย ในขณะที่สหรัฐฯ จะพยายามโน้มน้าวประเทศต่างๆ ในอินโด-แปซิฟิกให้ทบทวนจุดเปลี่ยนนี้ด้วยการบีบบังคับและการแทรกแซงอย่างจริงจังเท่านั้น

ภาพ 04 : โพสต์บทความของ รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย และสื่อที่นำไปแชร์ต่อ

ผู้นำทางความคิดร่วมแชร์  สื่อร่วมเสนอข่าว

ในวันที่ 15 ก.ค. 2568 รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขียนบทความ เมืองไทยตกอยู่ในสถานะ “ยูเครน 2” ไปครึ่งตัวแล้ว ยังไม่รู้ตัวกันอีกหรือ?” เผยแพร่ผ่านบัญชีเฟซบุ๊กของตนเอง อ้างถึงประเทศยูเครนที่สหรัฐฯ บอกว่าเข้าไปช่วยสร้างประชาธิปไตย แต่สุดท้ายกลายเป็นสนามรบและประชาชนต้องสูญเสีย โดยในโพสต์ของเขาได้อ้างรายงานของ RAND ในลักษณะเดียวกับโพสต์บัญชีเฟซบุ๊ก “Stapnavatr Vajira” ที่โพสต์ในวันเดียวกัน อย่างไรก็ตาม โคแฟคไม่สามารถตรวจสอบช่วงเวลาได้ว่าใครเป็นผู้โพสต์ก่อน อนึ่ง ในวันที่ 16 ก.ค. 2568 พบสื่อนำบทความดังกล่าวไปนำเสนอ อาทิ เว็บไซต์ นสพ.แนวหน้า และเว็บไซต์ นสพ.ไทยโพสต์

ที่มาของประเด็นสหรัฐฯ ขอตั้งฐานทัพเรือที่ จ.พังงา

ในเดือน ก.ค. 2568 ซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายที่คณะผู้แทนไทยต้องหาทางเจรจากับรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เพื่อให้ลดภาษีนำเข้าสินค้า โดยเมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2568 มีรายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยืนยันจะเก็บภาษีสินค้าไทยเข้าสหรัฐฯ ที่อัตราร้อยละ 36 เท่ากับที่ประกาศไปก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2568 และไทยมีเวลาเจรจาจนถึงวันที่ 1 ส.ค. 2568 อันเป็นวันที่มาตรการภาษีจะมีผลบังคับใช้ (ก่อนที่ไทยจะได้ลดภาษีลงเหลืออัตราร้อยละ 19 ซึ่งสหรัฐฯ ประกาศในวันที่ 1 ส.ค. 2568)

หลังจากนั้นเริ่มมีกระแสข่าวว่าสหรัฐฯ นำเรื่องภาษีมาต่อรองให้ไทยยอมให้สหรัฐฯ ใช้ จ.พังงา ตั้งฐานทัพเรือ ซึ่งในวันที่ 15 ก.ค. 2568 เว็บไซต์ นสพ.ไทยรัฐ รายงานข่าว พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม (ในขณะนั้น) ชี้แจงกับสื่อที่ทำเนียบรัฐบาล ว่า กระทรวงกลาโหมยังไม่ได้รับการติดต่อมา เห็นเพียงจากการนำเสนอของสื่อ ยืนยันว่าไม่ใช่หนึ่งในเงื่อนไขที่สหรัฐฯ ยื่นให้กับประเทศไทยในการเจรจาเรื่องภาษีและการค้า ยังไม่มีการพูดคุยเจรจากันเลย และเมื่อกระทรวงกลาโหมไม่รับทราบ ก็ไม่ทราบว่าจะมาจากทางไหน

ในวันเดียวกัน สำนักข่าว ThaiPBS รายงานโดยระบุว่า ยังไม่มีเอกสารยืนยันว่าสหรัฐฯ เสนอขอตั้งฐานทัพเรือที่ฐานทัพเรือทับละมุ จ.พังงา เป็นเงื่อนไขเจรจากำแพงภาษี ทั้งนี้ รักษาการนายกรัฐมนตรี(ในขณะนั้น) ภูมิธรรม เวชยชัย กล่าวว่า ยังไม่มีความชัดเจนในประเด็นนี้ แต่ยอมรับว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องชี้แจงหากเป็นจริง ขณะที่กองทัพเรือ ก็ยืนยันเช่นกันว่าไม่มีแผนอนุญาตให้สหรัฐฯ ใช้ฐานทัพเรือทับละมุเป็นฐานถาวร

นายภูมิธรรมอธิบายว่า การที่เรือรบสหรัฐฯ เข้ามาเทียบท่าหรือใช้พื้นที่เป็นไปตาม “ข้อตกลงว่าด้วยการส่งกำลังบำรุงไทย-สหรัฐฯ” ที่มีมานาน และไม่เคยมีข้อเสนอหรือเอกสารอย่างเป็นทางการจากสหรัฐฯ เรื่องการสนับสนุนงบประมาณหรือร่วมพัฒนาฐานทัพทับละมุ อย่างไรก็ตาม กองทัพเรือมีแผนพัฒนาฐานทัพทับละมุอยู่แล้ว เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในฝั่งอันดามัน ซึ่งปัจจุบันมีขนาดเล็กและรองรับภารกิจได้จำกัด

ผกล่าวโดยสรุป เรื่องสหรัฐฯ ต้องการตั้งฐานยิงขีปนาวุธพิสัยกลางจากภาคพื้นดิน (GBIRM) ตามบทความของ RAND ที่ถูกอ้างถึง เป็นเพียงการประเมินความเป็นไปได้เท่านั้น (ซึ่ง ณ ช่วงเวลาที่บทความเผยแพร่ ถูกประเมินว่าเป็นไปได้น้อยมาก) แต่มีการนำไปขยายความต่อในบทความที่เผยแพร่ใน New Eastern Outlook ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ในปี 2565กระทั่งเวลาผ่านเกือบ 3 ปี เมื่อรัฐบาลไทยเปลี่ยนแปลง ประกอบกับแรงกดดันจากนโยบายภาษีของรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ทำให้ 2 บทความดังกล่าวถูกนำกลับมาแชร์อีกครั้งในลักษณะ “จับมัดรวม” ราวกับเป็นบทความเดียวกันโดยผู้ใช้งานสื่อสังคมออนไลน์รวมทั้งนักวิชาการทางการเมือง-ความมั่นคงและสื่อมวลชนบางสำนักที่มีทัศนะที่เห็นแย้งกับบทบาทของสหรัฐในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิค อย่างไรก็ตาม โคแฟคไม่สามารถระบุได้ว่าบัญชีผู้ใช้งานเหล่านี้มีพฤติกรรมที่ประสานงานกันหรือเกี่ยวโยงกันหรือไม่ อย่างไร นอกจากความเชื่อมโยงในเนื้อหา และเวลาที่โพสต์ข้อความ!!!

หมายเหตุ : ลำดับเหตุการณ์ 
– สิงหาคม 2562 : สหรัฐอเมริกา ถอนตัวออกจากสนธิสัญญาอาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลาง หรือสนธิสัญญา INF (Intermediate-range Nuclear Forces Treaty) ที่เคยทำกับสหภาพโซเวียต (รัสเซีย) เมื่อปี 2530 และเริ่มทดสอบขีปนาวุธประเภทดังกล่าว 
– 28 เมษายน 2565 : RAND เผยแพร่บทความ Ground-Based Intermediate-Range Missiles in the Indo-Pacific ว่าด้วยความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะขอเข้าไปใช้พื้นที่ในประเทศพันธมิตร 5 ชาติ ประกอบด้วย ไทย ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ ออสเตรเลียและญี่ปุ่น เพื่อติดตั้งฐานยิงขีปนาวุธพิสัยกลางจากภาคพื้นดิน (GBIRM) ซึ่งในกรณีของไทย สหรัฐฯ จะไม่สามารถขอความร่วมมือในเรื่องนี้ได้ เพราะการเลือกตั้งของไทยในปี 2562 รัฐบาลที่ได้มายังคงเป็นรัฐบาลที่อยู่เบื้องหลังการรัฐประหารที่ขึ้นสู่อำนาจผ่านการเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรม และมีท่าทีหันเข้าหาจีน 
– 6 พฤษภาคม 2565 : New Eastern Outlook เผยแพร่บทความ Washington’s Indo-Pacific “Allies” Refuse to Host US Missiles เนื้อหาวิพากษ์บทความ Ground-Based Intermediate-Range Missiles in the Indo-Pacific ของ RAND โดยในกรณีของไทย ที่บทความของ RAND บอกว่าการเลือกตั้งจัดขึ้นอย่างไม่เป็นธรรม มีนัยแฝงหมายถึงไม่เป็นคุณกับบุคคลสำคัญทางการเมืองไทยที่สหรัฐฯ สนับสนุน โดยยกตัวอย่าง ทักษิณ ชินวัตร(ผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ซึ่งต่อมาคือพรรคพลังประชาชนและพรรคเพื่อไทย ตามลำดับ) และ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ (ผู้ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งต่อมาคือพรรคก้าวไกลและพรรคประชาชน ตามลำดับ)
– พฤษภาคม – สิงหาคม 2566 : การเลือกตั้ง สส. ในประเทศไทย แม้พรรคก้าวไกลจะได้ที่นั่ง สส. ในสภามาเป็นอันดับ 1 แต่ไม่สามารถรวมเสียง สส. จากพรรคการเมืองอื่นเพื่อจัดตั้งรัฐบาลได้ จึงต้องไปเป็นฝ่ายค้าน ขณะที่พรรคเพื่อไทยแม้จะได้ที่นั่ง สส. มาเป็นอันดับ 2 แต่สามารถรวมเสียง สส. ได้ ทำให้ได้เป็นฝ่ายรัฐบาล
–  เมษายน 2568 : โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศมาตรการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งประเทศไทยถูกเรียกเก็บอยู่ที่อัตราร้อยละ 36 แต่ได้ระงับมาตรการนั้นไว้เป็นเวลา 90 วัน เพื่อเปิดโอกาสให้แต่ละประเทศได้เข้ามาเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ 
– 7 กรกฎาคม 2568 : โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ส่งหนังสือแจ้งทางการไทย ยืนยันว่ายังคงเก็บภาษีสินค้าไทยที่จะนำเข้าไปขายในสหรัฐฯ ที่อัตราร้อยละ 36 มีผลบังคับใช้ 1 ส.ค. 2568 
– 15 กรกฎาคม 2568 : เริ่มพบการโพสต์และแชร์บทความของ RAND และ New Eastern Outlookในลักษณะผสมกันจนทำให้เข้าใจว่าทั้ง 2 เป็นบทความเดียวกัน และสื่อไปในทางว่าสหรัฐฯ ต้องการใช้ไทยเป็นที่ตั้งฐานยิงขีปนาวุธ โดยอ้างถึงการขอตั้งฐานทัพที่ จ.พังงา ซึ่งอาจทำให้ไทยตกอยู่ในสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่าง 2 ชาติมหาอำนาจ คือสหรัฐฯ กับจีน ขณะที่ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม(ในขณะนั้น) ชี้แจงว่า กระทรวงกลาโหมยังไม่ได้รับการติดต่อมา และยืนยันว่าไม่ใช่หนึ่งในเงื่อนไขที่สหรัฐฯ ยื่นให้กับประเทศไทยในการเจรจาเรื่องภาษีและการค้า
– 1 สิงหาคม 2568 : สหรัฐฯ ลดอัตราการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากไทย จากร้อยละ 36 เหลือร้อยละ 19 เท่ากับกัมพูชา ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังการสู้รบ 5 วันระหว่างไทย – กัมพูชา ช่วงวันที่ 24 – 28 ก.ค. 2568 และตกลงหยุดยิงกันในวันที่ 29 ก.ค. 2568 โดยสหรัฐฯ ได้แสดงบทบาทสนับสนุนมาเลเซีย ในการเป็นคนกลางเจรจาระหว่าง 2 ชาติคู่ขัดแย้ง
– 6 สิงหาคม 2568 : ช่องยูทูบ Why History เผยแพร่คลิปสั้นอธิบาย ทำไมสหรัฐอเมริกาต้องการตั้งฐานทัพเรือที่พังงา? แต่เนื้อหาไม่มีการพูดถึงเรื่องสหรัฐฯ ขอตั้งฐานยิงขีปนาวุธ 
– 25 สิงหาคม 2568 : บัญชี TikTok ชื่อ “satangkomonjinda” นำคลิปวิดีโอของช่อง Why History มาตัดต่อเพิ่มภาพข่าวและภาพจาก AI พร้อมบรรยายเนื้อหาที่อ้างเนื้อหาที่เกิดจากการผสมระหว่างบทความของ ของ RAND และ New Eastern Outlook

อ้างอิง
https://www.tiktok.com/@satangkomonjinda/video/7542442960885959954 (คลิปต้นทางจากบัญชี TikTok ชื่อ “satangkomonjinda” อ้างรายงานRAND เผยแพร่ในวันที่ 25 ส.ค. 2568)
https://www.youtube.com/shorts/99jKd5528UM (ทำไมสหรัฐอเมริกาต้องการตั้งฐานทัพเรือที่พังงา? : Why History 6 ส.ค.2568)
https://web.facebook.com/share/p/15g2DuKyN3/(โพสต์ของ Stapnavatr Vajira 15 ก.ค. 2568)
https://www.rand.org/pubs/research_reports/RRA393-3.html (Ground-Based Intermediate-Range Missiles in the Indo-Pacific : RAND 28 เม.ย. 2565
)
https://journal-neo.su/2022/05/06/washington-s-indo-pacific-allies-refuse-to-host-us-missiles/ (Washington’s Indo-Pacific “Allies” Refuse to Host US Missiles : New Eastern Outlook 6 พ.ค. 2565)
https://web.facebook.com/share/p/1RfTkcpeQS/ (เมืองไทยตกอยู่ในสถานะ “ยูเครน 2” ไปครึ่งตัวแล้ว ยังไม่รู้ตัวกันอีกหรือ? : สุวินัย ภรณวลัย 15 ก.ค. 2568)

https://www.naewna.com/politic/899405 (‘สุวินัย’เปิดข้อมูล‘RAND สหรัฐ’ เปรียบไทยไทยตกอยู่ในสถานะ‘ยูเครน 2’ไปครึ่งตัวแล้ว : แนวหน้า 16 ก.ค. 2568) 

https://www.thaipost.net/x-cite-news/824781/ (‘นักวิชาการ’ เตือน เมืองไทยตกอยู่ในสถานะ ‘ยูเครน 2’ ไปครึ่งตัวแล้ว : ไทยโพสต์ 16 ก.ค. 2568)

https://www.thaipbs.or.th/news/content/354045 (ปฏิกิริยา “ภาษีทรัมป์” หลังร่อนจดหมายคงอัตราเก็บภาษีไทย 36% : ThaiPBS 8 ก.ค. 2568)
https://www.thaipbs.or.th/news/content/354924(“ทรัมป์” ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทย 19% เท่ากัมพูชา มาเลเซีย มีผล 1 ส.ค. : ThaiPBS 1 ส.ค. 2568)

https://www.thairath.co.th/news/politic/2870465 (“บิ๊กเล็ก” ปัดสหรัฐฯ ขอใช้ฐานทัพเรือพังงา เงื่อนไขภาษีทรัมป์ โต้ข่าวสร้างรั้วตาเมือนธม : ไทยรัฐ 15 ก.ค. 2568)

https://www.thaipbs.or.th/news/content/354256 (ทัพเรือไทยยืนยัน สหรัฐฯ ไม่มีข้อเสนอตั้งฐานทัพที่ทับละมุ จ.พังงา 15 ก.ค. 2568)
https://www.thaipbs.or.th/news/content/283126 (สหรัฐฯ ทดสอบขีปนาวุธพิสัยกลางหลังออกจากสนธิสัญญา INF : ThaiPBS 20 ส.ค. 2562)
https://www.naewna.com/inter/874663 (‘ทรัมป์’จัดชุดใหญ่‘กำแพงภาษี’สินค้านำเข้าทั่วโลก ‘ไทย’โดนไปจุกๆ36% : แนวหน้า 3 ส.ค. 2568)

https://www.naewna.com/politic/876709 (‘ทรัมป์’ประกาศยืดเวลาอีก90วัน เลื่อนรีดภาษีโหด เปิดช่องหลายปท.เข้าเจรจา : แนวหน้า 11 เม.ย.2568)

https://www.prd.go.th/th/content/category/detail/id/39/iid/404132 (“ทรัมป์” ส่งจดหมายถึงไทย ยืนยันเก็บภาษีนำเข้าสหรัฐฯ 36% มีผล 1 สิงหาคมนี้ : กรมประชาสัมพันธ์ 8 ก.ค. 2568)

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 20 กันยายน 2568

งูสวัดใช้เนื้อกล้วยรักษาได้ & งูสวัดขึ้นรอบเอวแล้วต้องตาย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3kqrdpj3o6elx


วิธีปฐมพยาบาลเมื่อถูกแก๊สน้ำตา ให้ใช้ของเหลวที่มีฤทธิ์เป็นกรดล้างตา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1o5dregako6ql


คลิปทหารกัมพูชายิงเครื่องบินรบของไทยตก…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2rt4xnc1urtau


“ไวรัสพาราโบลา” ติดจากหมาแมว…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1ik1aaudt2aus


“สาวน้อย Alyssa Carson จะเป็นนักบินอวกาศ  ไปสู่ดาวอังคาร โดยเดินทางเที่ยวเดียว ไม่กลับมา”…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2e94kpakk7ma


“ดร. รุ่ง จากโรงพยาบาลจุฬา แนะนำรักษาโรคมะเร็ง ไม่ให้ไปทำคีโมรักษา แต่ให้กำหนดลมหายใจและกินอาหารที่ไม่เป็นกรด”…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1pai0x5qqwdjk


คลิปแผ่นดินไหวในประเทศอัฟกานิสถาน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2fmdi22bplmc1


มรสุมถล่ม 40 จังหวัด ฝนตกหนัก กทม. 70% อัปเดตล่าสุด เส้นทาง “พายุมิแทก”

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1ckv1icxwza2h


เขมรผวา จีนประกาศซ้อมรบร่วมกับไทย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3v7swt8h6xgzr


 ข่าวประกาศจากกรมบังคับคดี วันที่ 12 ถึง 15 กันยายน 2568…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/37qofz2eerdqr


กลับมาอีกแล้ว มิจฯ ลวงเป็น “การไฟฟ้า” คืนเงินประกันมิเตอร์ 2,500 บาท หากแอดไลน์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3v7m7e2469egy


‘ไทย-กัมพูชา’ชายแดนขัดแย้ง ‘สงครามข้อมูล’คนถูกปั่นได้ง่าย น่าห่วง‘เชื่อ-แชร์แม้ไม่จริง’เพราะตรงใจ

17 ก.ย. 2568 ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ สถาบัน ChangeFusion มูลนิธิฟรีดริช เนามัน (ประเทศไทย)The Centre for Humanitarian Dialogue (HD)Tratpost news The Reporters และ ThaiPBS จัดเสวนานักคิดดิจิทัล ครั้งที่ 29 (ภูมิภาค #1/2568)หัวข้อ สงครามข้อมูลกับแนวรบออนไลน์: ถอดบทเรียนวารสารศาสตร์แห่งความจริง กรณีความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา” ณ ห้องพิบูลสงคราม อาคาร 60 พรรษามหาราชินี 2 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา จ.ชลบุรี

รศ.ดร.สุชาดา พงศ์กิตติวิบูลย์ คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพากล่าวว่า ปรากฎการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา อาจรู้สึกว่าไกลจาก ม.บูรพา แต่ข้อมูลข่าวสารที่ได้รับรู้นั้นทำให้ไม่ไกลเพราะทะลุทะลวงติดตามเราไปทุกที่ ดังนั้นเราจะเรียนรู้จากปรากฏการณ์สงครามข้อมูลข่าวสาร และจะปรับตัวอยู่ในสังคมดิจิทัลที่ข้อมูลข่าวสารมาจากหลากหลายทิศทางนี้ได้อย่างไร 

เวทีนี้เป็นความร่วมมือที่สำคัญระหว่างสถาบันอุดมศึกษา หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการที่เราจะสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ร่วมกันในการที่จะรู้เท่าทันข้อมูลข่าวสาร เตรียมความพร้อมที่เราจะอยู่ร่วมกับสังคมดิจิทัลได้อย่างดี คิดว่าในการจัดเวทีในครั้งนี้จะเป็นการที่เราได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แบ่งปันประสบการณ์จากหลายภาคส่วน ก็คิดว่าเราจะได้มุมมองหรือข้อมูลอันเป็นประโยชน์ทั้งในเชิงที่เราจะขับเคลื่อนงานด้านนี้ต่อไป รศ.ดร.สุชาดา กล่าว

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า แม้เราจะขัดแย้งกันแต่การจะย้ายแผ่นดินหรือย้ายบ้านหนีก็คงยาก ท้ายที่สุดก็น่าจะมีทางที่จะกลับมาอยู่ร่วมกัน อย่างไรก็ตาม จากความขัดแย้งที่ผ่านมา การสู้รบไม่ได้มีแต่ในส่วนของกองทัพหรือทหารเท่านั้น แต่ยังมีสมรภูมิบนโลกออนไลน์ที่ร้อนแรงมากจากทั้ง 2 ประเทศ นักรบออนไลน์ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและทำหน้าที่ของตนเอง ทั้งที่เป็นไปโดยธรรมชาติ (Organic) และที่เหมือนจะมีการเตรียมการมา หรือปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (ไอโอ – Information Operation) อีกทั้งมาพร้อมกับการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) สร้างภาพและเสียงปลอม (Deepfake) เกิดเป็นภาพหรือคลิปวิดีโอที่หลายคนอาจหลงเชื่อ

ไม่ใช่แค่ความขัดแย้งไทย  กัมพูชาเท่านั้น เราได้เห็นว่าทั่วโลกมีความขัดแย้ง มีสงครามเกิดขึ้นที่โน่นที่นี่เยอะแยะไปหมด และสิ่งที่ตามมาจากปรากฎการณ์ทั่วโลกเหมือนกันคือ Information Warfare (สงครรมข้อมูลข่าวสาร) เต็มไปด้วยข่าวจริงบ้าง – ไม่จริงบ้าง ทุกคนต้องตั้งสติมากๆ เลยว่าตกลงเราจะเชื่ออะไร แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น หลายต่อหลายเรื่องมีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงแล้วแต่คนก็ยังเลือกเชื่อตามความชื่อของตัวเอง พยายามมองข้ามไปไม่อยากคิดว่ามันไม่จริงเพราะตอบสนองอุดมการณ์ของเรา สุภิญญา กล่าว

จากนั้นเป็นการเสวนาหัวข้อ “สงครามข้อมูลกับแนวรบออนไลน์: ถอดบทเรียนวารสารศาสตร์แห่งความจริง กรณีความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา”มีวิทยากร 5 ท่าน โดย ดร.วศิน ปั้นทอง อาจารย์ภาควิชาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายปรากฏการณ์ข่าวลวง ว่า แบ่งได้ทั้ง 1.รูปแบบ ที่มีทั้ง “มุ่งเป้า” ส่งสารเจาะจงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เช่น กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มที่มีแนวคิดทางการเมืองอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือกลุ่มช่วงอายุ และ “ทั่วไป” คือเผยแพร่แบบไม่เจาะจงกลุ่มเป้าหมาย

กับ 2.ช่องทาง พบได้มากในสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ทั้งที่เผยแพร่เป็นสาธารณะและที่เป็นกลุ่มปิด ซึ่งในกรณีของกลุ่มปิด ข่าวลวงจะถูกสร้างให้ตรงกับความเชื่อของคนในกลุ่มนั้นและทำให้ยิ่งเชื่อแบบถอนตัวไม่ขึ้น นอกจากนั้นยังพบในแอปพลิเคชั่นส่งข้อความ แพลตฟอร์มแชร์วิดีโอ ที่จะพบการใช้ AI สร้างวิดีโอเสมือนว่าเป็นเรื่องจริงทั้งที่ไม่จริง ตลอดจนเว็บไซต์และบล็อก (Website & Blog) ที่แม้จะเป็นช่องทางเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารในยุคทศวรรษ 2000 (ปี 2543 – 2552) แต่ปัจจุบันก็ยังพบเห็นได้อยู่จำนวนหนึ่ง 

ถ้าเราจัดเป็นกลุ่ม เราจะเห็น 3 กลุ่มที่เป็นข้อมุลลวง 1.Text Base Disinformation (ข้อมูลลวงที่สื่อสารด้วยตัวอักษร) 2.Video Base Disinformation (ข้อมูลลวงที่เผยแพร่แบบคลิปวิดีโอ) และ 3.Image Base Disinformation (ข้อมูลลวงที่ใช้รูปภาพ) ทั้ง 3 อย่างนี้ผมจะใส่วงให้ซ้อนกันอยู่ เพราะในบางครั้ง Disinformation (ข้อมูลลวง) 1 ชิ้นอาจจะผสมทั้ง 3 อย่างนี้ อาจจะมี 2 ใน 3 ส่วนใหญ่เท่าที่ผมไปเจอมาจะใช้ทั้ง 3 อย่างนี้ไปพร้อมๆ กัน ดร.วศิน กล่าว

สมคิด เพชรประเสริฐ อาจารย์ภาควิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา กล่าวถึงมุมมองของผู้รับสารต่อการรับมือข่าวลือหรือโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) ว่า ท้ายที่สุดจะเกิดภาวะสับสนอลหม่านในการกรองข้อมูลว่าตกลงแล้วอะไรจริง – ไม่จริง แต่ด้วยธรรมชาติของมนุษย์จะมีสิ่งที่เรียกว่า อคติแบบเข้าข้างความเชื่อของตนเอง (Confirmation Bias)เช่น กรณีของตนมีพื้นเพเป็นคนที่เติบโตมาในบริเวณชายแดนไทย – กัมพุชา ฟังภาษาเขมรรู้เรื่องและคุ้นชินกับชาวกัมพูชา เมื่อรับรู้ข่าวสารเชิงลบเกี่ยวกับกัมพูชาก็จะยิ่งตอกย้ำ 

อาทิ มีคำพูดกันว่าเขมรเชื่อไม่ได้หลังเพล หมายถึงชาวกัมพูชามาขอข้าวปลาอาหารจากชาวไทย แต่เมื่อชาวกัมพูชากินอิ่มแล้วก็เชื่อถือไม่ได้อีก ซึ่งคำกล่าวนี้เป็นอคติอย่างหนึ่งที่อาจทำให้เราตัดสินไปก่อนล่วงหน้า  ขณะที่เมื่อเราเลือกรับข้อมูลข่าวสาร เราก็อาจเลือกรับที่ยืนยันตรงกับอคติของเรา อย่างที่มีสำนวนไทยว่า ไม่มีมูลหมาไม่ขี้ ข้อมูลข่าวสารนั้นอาจมีข้อเท็จจริงเพียงร้อยละ 10 ที่เหลือเป็นการใส่สีตีไข่ แต่ผู้รับสารก็เลือกจะเชื่อไว้ก่อน นี่คือทุกขลาภของคนยุคปัจจุบัน และอย่าคิดว่าข้อมูลข่าวสารหรือสื่อไทยเป็นแบบเปิด (Open Gateway) ส่วนกัมพูชาเป็นแบบปิด (Single Gateway) แล้วข้อมูลข่าวสารในไทยจะน่าเชื่อถือไปทุกเรื่อง ผู้รับสารต้องมีความตระหนัก

พอสื่อสารออนไลน์ ทุกคนเป็นผู้สื่อข่าวได้ ปัญหาคือพอไม่ได้เรียนเรื่องของหลักการจริยธรรมเรื่องของความรับผิดชอบในแง่ของข้อมูล บวกกับยอดรายได้จาก Viral (การกระจายของข้อมูลอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง) มันก็เป็นปัญหาอยู่พอสมควร ถ้าเราดูในระบบของข้อมูลมันจะทำให้คนเกิดภาวะที่จะถูกปั่นได้ง่าย ในการปั่นไป  มาบางทีก็ทำให้เกิดการทะเลาะกัน สมมติแฟนลิเวอร์พูลปั่นแฟนแมนฯ ยูฯ (ทีมฟุตบอลในอังกฤษ) ก็ทะเลาะกัน ไม่ต้องพูดถึงไทยกับกัมพูชา ทั้งที่เราไม่เคยไปเมืองแมนเชสเตอร์ ไม่เคยไปเมืองลิเวอร์พูล เรายังตีกันได้ที่นี่ อาจารย์สมคิด กล่าว

จักรกฤชณ์ แววคล้ายหงษ์ นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดตราด ตั้งข้อสังเกตในประเด็น นักข่าวเลือกข้าง เรียกว่านักข่าวสายนั้นบ้าง สายนี้บ้าง เปลี่ยนรัฐบาลก็นำเสนอข้อมูลด้านลบ เช่น ทำกันจนบอกว่าเกาะกูดเป็นของกัมพูชา จนมีกลุ่มอาชีวะรักสถาบันฯ มาทำกิจกรรมใน จ.ตราด มีรัฐมนตรีที่ไม่เคยเดินทางมา จ.ตราด ให้ความสนใจไปลงพื้นที่เกาะกูด ซึ่งชาวบ้านบนเกาะกูดรู้ดีว่าเกาะกูดเป็นของไทย 

แต่ปัญหาคือรัฐบาลไทยไปทำข้อตกลงที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ส่วนตัวหรือไม่ อาทิ เรื่องน้ำมัน – ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเรื่องแผนที่ 1 ต่อ 50,000 หรือ 1 ต่อ 200,000 ชาวบ้านไม่เข้าใจ แต่ชาวเกาะกูดและชาว จ.ตราด รู้ว่าเกาะกูดเป็นของไทย ทุกวันนี้กระแสสงครามข่าวสาร ข้อมูลโต้กันไป – มาจนไม่รู้ว่าอะไรจริง – ไม่จริง แม้กระทั่งตนเองก็เคยพลาด อาจเป็นเพราะเก็บข้อมูลได้ไม่ทั่วถึง 

สงครามข่าวสารยังไม่จบ แล้วมันเป็นสงครามข่าวสารที่เราไม่สามารถจะบอก อาจมีข่าวลวงเยอะมากกว่าที่มีความจริงด้วยซ้ำ ก็ผสมปนเปกันแล้วเราจะทำอย่างไร? โคแฟคเป็นองค์กรหนึ่งที่ต้องการจะตรวจสอบข้อเท็จจริง ใช้วิธีการอะไรต่างๆ AFP (สำนักข่าวฝรั่งเศส) ก็เป็นหน่วยงานหนึ่งที่ทำเรื่องนี้ แม้กระทั่ง DE (กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) ก็กำลังทำ ชัวร์ก่อนแชร์ (อสมท.ก็เป็นจุดหนึ่ง แต่ผมอยากเห็นว่าอย่าพึ่งองค์กรพวกนี้ แต่พึ่งพวกเรา ให้ทุกคนช่วยกันตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนจะนำเสนออะไร เพราะวันนี้ทุกคนเป็นสื่อได้หมดจักรกฤชณ์ กล่าว

ชุตินธรา วัฒนกุล บรรณาธิการบริหารด้านข่าวออนไลน์ ThaiPBS เล่าถึงความยากในการนำเสนอข่าวสถานการณ์ความขัดแย้งไทย – กัมพูชา ในยุคที่ใครก็สามารถสื่อสารได้ ว่า ข้อมูลที่ ณ เวลานี้บอกว่าจริง ผ่านไปไม่กี่นาทีก็อาจกลายเป็นเท็จได้ เช่น เพจทางการของกองทัพให้ข้อมูลอย่างหนึ่ง สื่อก็นำเสนอไป ต่อมามีอีกเพจที่ก็เป็นเพจทางการเหมือนกัน หรือไม่ก็เป็นโฆษกของหน่วยงานออกมาบอกว่าไม่จริง แต่ในวันเดียวกันก็มีการออกมาแก้ข่าวอีกว่าเป็นเรื่องจริง สถานการณ์แบบนี้ทำให้คนทำสื่อสับสนมาก 

ซึ่งจากการคุยกันภายในทีมงาน ได้ข้อสรุปว่าเราไม่สามารถนำเสนออย่างรวดเร็วได้ นอกจากข่าวลวงยังมีเรื่องของชุดความจริง หมายถึงเป็นความจริง ณ ช่วงเวลานี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปก้อาจไม่ใช่ความจริงอีก เพราะถูกหักล้างโดยชุดความจริงหรือข้อมูลอีกประเภทหนึ่งเพื่อวัตถุประสงค์อะไรบางอย่าง หรือความเข้าใจที่แตกต่างกันของคำว่า พิกัด ระหว่างทหารกับสื่อมวลชน มีการถกเถียงกันว่าพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากการโจมตีของฝ่ายกัมพูชาสามารถรายงานได้หรือไม่ 

โดยฝ่ายทหารมองว่าไม่ควรเผยแพร่เพราะทำให้ฝ่ายกัมพูชารู้ว่าปฏิบัติการสำเร็จ แต่สื่อมวลชนก็อยากรายงานให้เห็นผลกระทบของคนในพื้นที่ แต่เมื่อนำเสนอไปแล้วก็มีประชาชนตำหนิสื่อว่าไปบอกพิกัดทำไมเดี๋ยวกัมพูชาก็รู้ แม้จะบอกเพียงกว้างๆ ไม่ได้ระบุตำแหน่งที่ชัดเจน ปรากฏการณ์แบบนี้ตนก็ไม่เคยพบเห็นมาก่อนในการทำงานข่าว ในการมีบริบทสังคมบางอย่างที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและคล้ายกับเป็นการควบคุมว่าไม่ควรทำ ทั้งที่จริงๆ แล้วเป็นหน้าที่ของสื่อ การทำงานในบริบทสังคม ณ เวลานั้นก็ต้องประนีประนอมพอสมควร

เชื่อไหมว่าเวลาผ่านไปหลังจากเจรจาหยุดยิง สิ่งที่ประชาชนกังวลเรื่องพิกัดหายไปเลย ไม่มีใครพูดถึงเลย ใช้เวลาแค่ไม่ถึง 2 อาทิตย์เรื่องนี้หายไปเลย เห็นไหมว่าการนำเสนอไม่ได้เป็นแค่เรานำเสนอ ในฐานะที่เป็นสื่อไม่ได้นำเสนอแค่ข้อเท็จจริงอย่างเดียว เรื่องของความรอบด้านหรือข้อมูลต่างๆ เรายังต้องคำนึงถึงเรื่องของบริบทสังคม ณ ช่วงเวลานั้นๆ ด้วยว่า ณ วันนี้เรานำเสนออะไรได้  ไม่ได้บ้าง แล้วจะต้องนำเสนอด้วยความรอบคอบอย่างไร ชุตินธรา กล่าว

ระวี ตะวันธรงค์ ที่ปรึกษาสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP) กล่าวถึงคำว่า การสร้างความได้เปรียบทางข้อมูล (ไอเอ  Information Advantage)” ซึ่งมาจากเอกสารผลการศึกษาชื่อ “ADP 3-13” โดยกองทัพสหรัฐอเมริกา การทำไอเอจะแตกต่างจากการทำไอโอ กล่าวคือ ไอโอหรือปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร จะเป็นการระดมกำลังเพื่อสนับสนุนฝ่ายตนเองและลดทอนความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงข้ามหรือคู่แข่งเท่านั้น หรือคิดได้เพียงใช่หรือไม่ (Yes or No) ในขณะที่ไอเอเป็นการใช้ข้อมูลจริง แต่จะใช้อย่างไรให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ 

เช่น หากต้องการสื่อสารข้อมูลชุดหนึ่งกับกลุ่มคนที่ชอบกีฬาฟุตบอล ก็จะเริ่มด้วยการเล่าเรื่องเกี่ยวกับฟุตบอลก่อน เพราะหากเริ่มด้วยเรื่องสงครามในทันทีกลุ่มเป้าหมายอาจไม่เข้าใจ หรือหากจะสื่อสารกับคนเป็นครูบาอาจารย์ก็ต้องเริ่มด้วยการกล่าวถึงทฤษฎี หรือหากเป็นการทำบนพื้นที่สื่อสังคมออนไลน์ ก็ต้องควบคุมให้กลุ่มความเห็นที่ได้รับความนิยมสูงสุด (Top Comments) หรือความเห็นแรกๆ อยู่ในทิศทางที่เป็นบวกกับฝ่ายเรา เพราะพฤติกรรมผู้รับสารในแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์มักมีแนวโน้มจะเชื่อความเห็นกลุ่มนี้ 

อนึ่ง มีตัวอย่างจากความขัดแย้งไทย – กัมพุชา ที่เมื่อออกไปดูกระแสสังคมระดับโลก พบว่าชาวโลกมีแนวโน้มเชื่อกัมพูชามากกว่าไทย เนื่องจากอินเตอร์เน็ตเป็นพื้นที่ที่ใครปักธงก่อนได้เปรียบฝ่ายกัมพูชาสื่อสารออกไปก่อนเป็นภาษาอังกฤษ แต่ฝ่ายไทยการสื่อสารภาษาอังกฤษยังกระท่อนกระแท่น ซึ่งเมื่อทดลองค้นหาในอินเตอร์เน็ต ตั้งเงื่อนไขคัดกรองว่าไม่นับข้อมูลจากสื่อมวลชนของไทยและกัมพูชา พบผลการค้นหาเป็นไปในทางไทยเป็นฝ่ายทำร้ายกัมพูชา ไม่ใช่กัมพูชาเป็นฝ่ายโจมตีไทย 

ใครบอกว่านักนิเทศศาสตร์กำลังจะตาย ผมว่าไม่ใช่ นักนิเทศศาสตร์นี่ละคือเรื่องใหญ่ที่ต้องสร้างตัวตนขึ้นมาให้ได้ แต่นิเทศศาสตร์จะทำอย่างไรที่ต้องเข้าใจคนอื่นและเข้าใจบริบท ไม่ใช่แค่ใช้เฟซบุ๊กเป็น ใช้ทวิตเตอร์ ใช้ติ๊กค๊อกเก่ง มันต้องเข้าใจว่าเรากำลังจะขายของหรือขายข้อมูลนี้ให้คนประเภทไหน โดยข้อมูลประโยคเดียวกัน บิดนิดหนึ่งได้นักศึกษา ได้อาจารย์ ได้นักข่าว ระวี กล่าว 

ยังมีการสวนาหัวข้อ ถอดบทเรียนการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากกรณีความขัดแย้งไทย – กัมพูชาจากวิทยากร 4 ท่าน โดย กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการ ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ตั้งข้อสังเกต 3 ประการเกี่ยวกับปรากฏการณ์ข่าวลวงในสถานการณ์ไทย – กัมพูชา คือ 1.พบการใช้วิธีการทุกรูปแบบ ตั้งแต่ 1.0 เช่น กุคำพูดขึ้นมาดื้อๆกรณีโพสต์ภาพ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม (ในขณะนั้น) พร้อมข้อความบอกว่าเขมรไม่ใช่ญาติ หากจะตายก็ให้ตายไป ซึ่ง พล.อ.ณัฐพล ไม่ได้พูดถ้อยคำดังกล่าว 

หรือกรณีโพสต์ภาพ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน พร้อมข้อความว่าขอประณามโรงพยาบาลที่ไม่รับรักษาผู้ป่วยชาวกัมพูชา ซึ่งแม้ทางพรรคประชาชนจะเคยให้ความเห็นเกี่ยวกับท่าทีของโรงพยาบาลในประเด็นการรักษาผู้ป่วยชาวกัมพูชา แต่ไม่มีคำพูดดังกล่าวแต่อย่างใด การใช้ภาพที่ไม่เกี่ยวข้อง กรณีฝ่ายกัมพูชาใช้ภาพเครื่องบินโปรยสารเคมีดับเพลิงกล่าวหาไทยใช้อาวุธเคมีโจมตีกัมพูชา หรือภาพฝูงนกที่ถูกนำมาทำให้เข้าใจว่าเป็นฝูงแร้งกินซากศพทหารกัมพูชา ไปจนถึง การใช้ AI สร้างภาพปลอม เช่น ภาพของ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี (ในขณะนั้น) ยกมือไหว้และยอมให้ ฮุน เซน อดีตนายกฯ กัมพูชา ใช้มือลูบศีรษะ เป็นต้น

2.สื่อมวลชนมีส่วนเผยแพร่เนื้อหาเท็จ เช่น รายการกรรมกรข่าวคุยนอกจอ แชร์ข้อมูลจากเพจเฟซบุ๊ก “Army Military Force – สำรอง” บอกว่าฝ่ายไทยเข้ายึดปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งต่อมาทางกองทัพบกได้ออกมาปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง , รายการไทยรัฐนิวส์โชว์ แชร์คลิปจากเพจเฟซบุ๊ก “Army Military Force – สำรอง” ที่อ้างว่าเป็นชายชราชาวกัมพูชาวัย 87 ปี บอกลาลูกหลานเตรียมไปออกรบ แต่ต่อมาผู้ถ่ายคลิปดังกล่าวได้โพสต์คลิปชี้แจงว่าชายชราคนนี้เป็นเพียงอดีตทหารที่แต่งเครื่องแบบมาซื้อยาที่ร้านขายยา ล่าสุดทางไทยรัฐนิวส์โชว์น่าจะลบข่าวนี้ไปแล้ว , 

สถานีโทรทัศน์ PPTV นำภาพจากสื่อสังคมออนไลน์ที่ถูกแชร์ต่อกันมาว่าทหารกัมพูชากำลังซ้อมตาย ทั้งที่จริงๆ เป็นภาพการฝึกปฐมพยาบาลที่เกิดขึ้นก่อนหน้าการสู้รบระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งแม้ผู้ประกาศข่าวจะบอกในระหว่างการนำเสนอว่าไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์ในภาพข้อเท็จจริงคืออะไร แต่การเป็นสื่อนั้นสิ่งใดที่ไม่ชัดเจนก็ไม่ควรนำเสนอหรือไม่  และ 3.คนบางส่วนรับได้กับเนื้อหาเท็จหากสอดคล้องกับความเชื่อหรือความคิดของตนเอง เช่น ทำให้ฝ่ายที่เป็นศัตรูดูแย่ 

อย่างกรณีข่าวนกแร้งที่เราตรวจสอบว่าภาพไม่ใช่นกแร้ง ก็มีคนมาบอกว่ารู้มันไม่จริงแต่มันสะใจดี ปั่นประสาทเขมรดี หรือว่าเอาฮาคุณจะไปสนใจอะไร หรือข่าวปลอมว่ากรมศิลปากรไฟเขียวให้ทำลายปราสาทได้เพื่อรักษาดินแดน รักษาอธิปไตย ซึ่งกรมศิลปากรไม่เคยออกมาพูดแบบนั้น คนที่มาแสดงความเห็นบอกว่าเนื้อหาอาจเป็นเท็จแต่เห็นด้วยในสาระสำคัญ เพราะมันก็จริงว่าปราสาททำลายไปเถอะมันไม่สำคัญ ดินแดนของเราสำคัญกว่า กุลธิดา กล่าว

กมล หอมกลิ่น อีสานโคแฟค กล่าวว่า ในความยากของการสื่อสารคือจะทำอย่างไรให้คนในพื้นที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด แต่จากการพูดคุยกับคนทำงานสื่อในพื้นที่ด้วยกัน เช่น ผู้สื่อข่าวคนหนึ่งใน อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ได้รับคำตอบว่า พูดอะไรไม่ได้ เพราะหากพูดออกไปว่าเสียงคนชายแดนเรียกร้องอย่ายิงกันเลยแล้วจะถูกทัวร์ลง ความยากคือไม่รู้จะสื่อสารแบบไหนเพราะมีกระแสบางอย่างอยู่ แต่คนในพื้นที่ที่กำลังเตรียมตัวอพยพคาดหวังอย่างเดียวว่าเมื่อใดเหตุการณ์จะสงบ จะได้กลับไปทำไร่ทำนา ลูกหลานจะได้กลับไปเรียนหนังสือ เป็นต้น 

โดยในช่วงที่ผ่านมา อีสานโคแฟคพยายามทำงานค่อนข้างมาก แต่ก็มีคำถามว่ายังทำไม่ถึงหรือไม่ เพราะหลายอย่างเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นก็ไม่สามารถไปรายงานให้เกิดการหักล้างข้อมูลได้ หรือเจอข่าวในพื้นที่ก็ไม่สามารถรายงานให้เป็นกระแสได้เพราะเป็นเพียงทีมงานกลุ่มเล็กๆ ช่องทางที่ทำคนติดตามก็ยังมีไม่มาก แต่ก็ได้พูดคุยกันว่าในเมื่อเป็นทีมสื่อเล็กๆ ก็คงไม่ต้องเน้นยอดการติดตามที่ทำให้มีชื่อเสียงมากขึ้น แต่ขอให้การสื่อสารออกไปเป็นประโยชน์กับชาวบ้านให้มากที่สุด 

เราจะต้องให้ชาวบ้านเขาได้เหมือนกับมีสิทธิ์มีเสียงในการส่งเสียงของพวกเขาบ้าง อย่างเช่นเราจะต้องลงไปทำข่าวในจุดที่มีการอพยพ เราก็ต้องไปถามว่าเขามีสุขมีทุกข์เกี่ยวกับอะไร มากกว่าที่จะเล่าเรื่องของตัวเอง ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่เทรนด์ มากกว่าเรื่องเทรนด์ของสังคม ซึ่งมันไม่ใช่เทรนด์แต่เป็นวิถีชีวิตที่พวกเขาจะได้ประโยชน์มากที่สุด กมล กล่าว 

ณัฐพล ทุมมา เจ้าหน้าที่เนื้อหาสื่อดิจิทัลอาวุโสThaiPBS เล่าว่า จาการจับตาสถานการณ์ขัดแย้งไทย – กัมพูชา ตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2568 พบข่าวในช่วงแรกๆ เป็นภาพปลอม ภาพ AI ทำขึ้น เป็นการสร้างความไม่ชอบฝ่ายเรา – ฝ่ายเขา ต่อมาจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ทางออนไลน์ในรูปแบบข่าวลวงจากมวลชนทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชา กระทั่งเมื่อเกิดการปะทะกันจะเริ่มเห็นข่าวลวงทั้งจากสื่อไทยและกัมพูชา 

โดยในกรณีของสื่อไทย ช่วงที่หลงไปนำเสนอข่าวลวงเพราะการเข้าถึงข้อมูลหรือแหล่งข่าวทำได้จำกัด เพราะช่วงที่ปะทะกันกองทัพกำลังยุ่งอยู่กับภารกิจการปะทะ และสื่อเข้าใจว่าเพจบางแห่งนำเสนอภาพที่กองทัพปล่อยออกมา ทั้งนี้ ลักษณะของข่าวลวงมีทั้งภาพปลอม คลิปวิดีโอปลอม หรือภาพเก่า คลิปวิดีโอเก่าที่ไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ไทย – กัมพูชา อย่างล่าสุดที่เจอคือนำคลิปวิดีโอการประท้วงที่เนปาล มาอ้างว่าเป็นการประท้วงในไทยขอให้เปิดพรมแดน ในช่วงที่มีการประชุม GBC ระหว่างไทยกับกัมพูชา  

เรื่องการตรวจสอบเราจะเน้นไม่เดินไปตามเขา เพราะเราไม่ต้องการความเร็ว เราต้องการความถูกต้อง เราเสนอข่าวช้าได้แต่เสนอข่าวที่ผิดไม่ได้ เพราะการที่ปล่อยเขาเดินไปก่อนเหมือนกับเราถอยมา 1 ก้าว ข่าวที่บอกว่า ร.31 รอ. ยิงถล่ม ที่เป็นคลิปภาพสีเขียวๆ ยิงถล่มตอนกลางคืน อันนั้นก็เล่นกันหลายช่อง แต่ไปตรวจสอบแล้วเป็นคลิปการซ้อมรบในเวลากลางคืน ต้องเข้าใจก่อนว่าช่วงที่เกิดเหตุทุกคนอยากเป็นคนที่อยู่แนวหน้า อยากใกล้ชิดกับเหตุการณ์มากที่สุด อยากจะแชร์ แต่อย่าลืมว่าเรื่องเหล่านี้ถ้าเราไปแชร์ผิดๆ โดยเฉพาะเราเป็นสื่อ เราจะยิ่งเหมือนถูกผลกระทบ 2 เท่า ความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับสื่อ” ณัฐพล กล่าว 

สุชานาถ อินทปิ่น  นิสิตวาขานิเทศศาสตร์ชั้นปีที่ 3 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทาลัยบูรพา กล่าวว่า ข่าวที่มีแนวโน้มเป็นข้อมูลเท็จ มักตั้งพาดหัวแบบล่อเป้าให้เข้าไปติดตาม (Clickbait) เมื่อกดเข้าไปอ่านจะมีการอ้างแหล่งข้อมูลที่ไม่รู้ที่มาที่ไป แต่ไม่พบเนื้อหาข่าวเดียวกันปรากฏในสื่อกระแสหลักในว่าสำนักข่าวของไทยหรือของต่างประเทศ ดังนั้นเด็กยุคนี้ต้องได้รับการส่งเสริมทักษะการรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) อย่างมาก 

หรืออย่างโพสต์ข่าวแล้วมีผู้มาแปะ Link อ้างอิงในช่องแสดงความคิดเห็น ซึ่งอาจเป็น Link เว็บไซต์ที่รายงานข่าวจริงหรือข่าวลวงก็ได้ จึงแนะนำว่าอยากให้ทุกคนจำ URL เว็บไซต์ของสำนักข่าวที่เชื่อถือได้ไว้ ส่วน URL ชื่อแหล่งข่าวที่ดูแปลกๆ มีตัวเลขแปลกๆ ไม่ควรกด ก่อนจะกดอะไรเข้าไปก็สังเกตดีๆ ว่าชื่อ URL เป็นชื่อสำนักข่าวจริงๆ ใช่หรือไม่ รวมถึงตรวจสอบจากสำนักข่าวหรือแหล่งข้อมูลหลายแหล่ง ว่ารายงานตรงกันหรือไม่

อย่างต่ำๆ เลยเราจะหาอย่างน้อย 2 แหล่งที่มา คือถ้าเราเห็นอะไรสักอย่างใน Social Media เราก็จะเริ่มหาข้อมูล ค้นหาเว็บไซต์ว่าเรื่องนี้จริงไหม? ออกข่าวสำนักไหนบ้าง? หรือมีใครพูดถึงเกี่ยวกับอะไรของมันอีกไหม? ใน Comment (ช่องแสดงความเห็น) บอกว่าอย่างไร? อย่างน้อยๆ คือ 2 แหล่งที่มา ถึงจะชัวร์ว่าอันนี้ดูจะจริ สุชานาถกล่าว 

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

เพจเฟซบุ๊กโพสต์เนื้อหาเท็จวิธีปฐมพยาบาลเมื่อโดนแก๊สน้ำตา

กองบรรณาธิการโคแฟค

❓ เนื้อหาที่ตรวจสอบ: วิธีปฐมพยาบาลเมื่อถูกแก๊สน้ำตา ให้ใช้ของเหลวที่มีฤทธิ์เป็นกรดล้างตา

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ แม้มีเจตนาให้ตลกขบขัน แต่อาจสร้างความใจผิดและก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ที่อาจหลงเชื่อ** 

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 18 ก.ย.  68 เพจเฟซบุ๊ก “โม่งดำ-Black Hood Operator” ซึ่งเป็นเพจของผู้สนใจกีฬายิงปืนและยุทธวิธีทางการทหาร-ตำรวจ มีผู้ติดตามเกือบ 2 แสนราย โพสต์ข้อความภาษาไทยและภาษาเขมรเรื่อง “วิธีการปฐมพยาบาลเมื่อถูกแก๊สน้ำตา” โดยอ้างว่าให้ใช้สารที่เป็นกรด เช่น น้ำยาล้างห้องน้ำ น้ำส้มสายชู น้ำยาล้างจานหยอดที่บริเวณดวงตาเพื่อช่วยลดอาการแสบร้อน (ลิงก์บันทึก)

โพสต์นี้ถูกเผยแพร่หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ตำรวจควบคุมฝูงชนของไทยใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยางควบคุมผู้ชุมนุมชาวกัมพูชาในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว เมื่อวันที่ 17 ก.ย. 2568

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการปฐมพยาบาลเมื่อถูกแก๊สน้ำตาว่า “ให้รีบล้างตาด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำเกลือในปริมาณมาก” โดยเอียงหน้าเทน้ำล้างให้ไหลจากหว่างคิ้วไปทางหางตา นานอย่างน้อย 10-15 นาที 

สพฉ. ระบุว่าการออกฤทธิ์ของแก๊สน้ำตาจะเกิดขึ้นทันทีที่สัมผัสหรือภายใน 30 วินาที และจะคงอยู่นานราว 10-30 นาทีหลังการสัมผัส เมื่อถูกร่างกายจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อเยื่อบุผิวที่สัมผัส ไม่ว่าจะเป็นผิวหนัง เยื่อบุตา เยื่อบุช่องปาก เยื่อบุจมูกและทางเดินหายใจ 

การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อสัมผัสแก๊สน้ำตา คือ 

1. นำผู้ถูกแก๊สน้ำตาออกมาอยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก

2. หากถูกผิวหนัง ควรถอดเสื้อผ้าออก จากนั้นให้ล้างตัวด้วยน้ำประปาหรือน้ำสะอาด โดยให้น้ำไหลผ่านจำนวนมากอย่างน้อย 10-15 นาที 

3. หากมีการระคายเคืองตา ถ้าใส่คอนแทคเลนส์อยู่ ต้องถอดออกก่อน แล้วจึงล้างตาด้วยน้ำประปาหรือน้ำสะอาด โดยเอียงหน้าเทน้ำล้างให้ไหลจากหว่างคิ้วไปทางหางตา นานอย่างน้อย 10-15 นาที 

4. บ้วนปากหลายครั้งด้วยน้ำสะอาด หลังจากนั้นสามารถดื่มน้ำหากรู้สึกระคายคอ 

เนื้อหาจากเพจเฟซบุ๊ก “โม่งดำ-Black Hood Operator” ที่ระบุว่าให้ใช้สารที่มีฤทธิ์เป็นกรดล้างตาจึงเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้องและอาจเป็นอันตรายต่อผู้ที่หลงเชื่อ ซึ่งขณะนี้โพสต์ยังถูกแชร์ไปมากกว่า 140 ครั้ง

📢 ข้อสังเกตโคแฟค: แม้ว่าโพสต์นี้จะจงใจเผยแพร่ข้อมูลเท็จโดยมีเจตนาล้อเล่นหรือสร้างความตลกขบขัน แต่การเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการปฐมพยาบาลเช่นนี้มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความสับสนและเข้าใจผิด ทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายและชีวิตหากมีผู้หลงเชื่อ  

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 68 สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติการสร้างข่าวปลอม ข้อมูลลวง และข้อมูลอันเป็นเท็จทุกรูปแบบที่นำไปสู่การยั่วยุปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชัง ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการเจรจาทางการทูตและการสร้างความร่วมมือในการแก้ปัญหาด้านความมั่นคงบริเวณชายแดน โดยขอให้ประชาชนรับและส่งต่อข้อมูลข่าวสารอย่างมีสติ ตรวจสอบข้อมูลที่อาจเป็นเท็จทุกครั้ง ใช้สื่อทุกแพลตฟอร์มอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมและคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทุกคน 

เรื่องอื่นที่เกี่ยวข้อง

มองสถานการณ์ขัดแย้ง‘ไทย-กัมพูชา’ น่าห่วง‘ความเกลียดชัง’ถูกปั่นด้วย‘ข่าวลวง’

By : Zhang Taehun

เป็นเวลากว่า 1 เดือนแล้วสำหรับสถานการณ์ความตึงเครียดไทย – กัมพูชา ตั้งแต่รุ่งเช้าเมื่อฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากโจมตีจนมีพลเรือนไทยบาดเจ็บและเสียชีวิต นำไปสู่การตอบโต้ของฝ่ายไทย กลายเป็นการสู้รบต่อเนื่อง 5 วัน ระหว่างวันที่ 24 – 28 ก.ค. 2568 ตามด้วยการหยุดยิงที่มีผลตั้งแต่วันที่ 29 ก.ค. 2568 เป็นต้นมา มีการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และการประชุมมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) 

แต่นอกจากสมรภูมิที่เป็นทางการทั้งของฝ่ายทหารและรัฐบาลของทั้ง 2 ประเทศแล้ว ตลอดห้วงเวลาที่ผ่านมา พื้นที่ออนไลน์ ได้กลายเป็นสนามรบเชิงข้อมูลข่าวสาร มีการเผยแพร่ทั้งข่าวจริง ข่าวลวง ข้อมูลบิดเบือนจากทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งเป็นไปได้ทั้งปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (IO) การมีอารมณ์ร่วมของปัจเจกบุคคล ไปจนถึงแรงจูงใจด้านรายได้จากแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) นำไปสู่ผลข้างเคียงที่น่ากังวลอย่าง การสร้างความเกลียดชัง ในระดับประชาชน ดังตัวอย่างการตรวจสอบของโคแฟคต่อไปนี้

ภาพที่ 1 : คลิปรื้อบ้านในอินโดนีเซีย ถูกอ้างว่าเป็นการรื้อบ้านชาวกัมพูชาในบริเวณชายแดนไทย

– รื้อบ้านชาวกัมพูชารุกล้ำเขตประเทศไทย : วันที่ 20 ส.ค. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “ข่าวด่วน ทันทุกเหตุการณ์” โพสต์คลิปรถแบ็คโฮกำลังรื้อถอนบ้านหลังหนึ่ง พร้อมบรรยายว่า “แม่ทัพสั่งบุกรื้อบ้านเขมรสั่งรื้อ 80 หลังคาเรือน ประชาชนคิดเช่นไร?” มียอดเข้าชมกว่า 1.2 ล้านครั้งและถูกแชร์มากกว่า 1,300 ครั้ง และยังมีผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์อีกหลายคนที่แชร์คลิปนี้ด้วยคำบรรยายในทำนองเดียวกัน 

โดยในช่วงดังกล่าว มีรายงานข่าวฝ่ายไทยยึดพื้นที่บ้านหนองจาน ซึ่งกองทัพบกยืนยันว่าเป็นเขตแดนของไทย แต่ได้ให้ชาวกัมพูชาซึ่งลี้ภัยสงครามกลางเมืองได้อยู่อาศัยมาตั้งแต่ปี 2520 และหลังจากนั้นพบว่า ฝ่ายกัมพูชาละเมิดข้อตกลงในพื้นที่อ้างสิทธิ์และนอกบริเวณพื้นที่อ้างสิทธิ์ในฝั่งประเทศไทย โดยการสนับสนุนให้ประชาชนมาสร้างถิ่นฐานอย่างถาวร และมีกระแสเรียกร้องจากชาวไทยให้ขับไล่ชาวกัมพูชาที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวออกไปโดยเร็ว 

อย่างไรก็ตาม จากการใช้เครื่องมือ Google Lens ค้นหาภาพพบว่าคลิปนี้ถูกแชร์อย่างกว้างขวางพร้อมคำบรรยายภาษาอินโดนีเซียตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว (อ้างอิงจาก KARO News วันที่ 16 ตรงกับวันเสาร์ ส่วนวันที่ 20 คลิปที่เอามาแชร์ เป็นวันพุธ)หนึ่งในนั้นเป็นคลิปความยาว 4.24 นาทีที่เผยแพร่โดยเพจเฟซบุ๊ก “KARO News” เมื่อวันที่ 16 ส.ค. 2568 บรรยายคลิปเป็นภาษาอินโดนีเซีย แปลสรุปเป็นภาษาไทยได้ว่า เจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานในอินโดนีเซียสนธิกำลังเข้ารื้อถอนสถานบันเทิงชื่อ Diskotik Marcopolo และโรงแรมขนาด 30 ห้องพักในจังหวัดสุมาตราเหนือ 

ซึ่งหลังการสอบสวนพบว่าเป็นแหล่งมั่วสุมและมีการจำหน่ายยาเสพติด ระหว่างการรื้อถอนมีคนกลุ่มหนึ่งมาประท้วง รวมถึงเจ้าของสถานที่ซึ่งอ้างว่าอาคารแห่งนี้ (ที่อยู่ในบริเวณเดียวกับสถานบันเทิง) เป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษของเขา นอกจากนี้เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น Bangka Pos ของอินโดนีเซีย รายงานว่าเจ้าหน้าที่สนธิกำลังเข้ารื้อถอนอาคารสถานบันเทิง Diskotek Marcopolo เมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2568 เนื่องจากตำรวจพบว่ามีการค้ายาเสพติดที่สถานที่แห่งนี้

ภาพที่ 2 : คลิปเจ้าหน้าที่ไทยส่งยาให้ผู้ป่วยเขมร ซึ่งเป็นคลิปเก่านำมาเผยแพร่ผิดบริบท

– คลิปเจ้าหน้าที่ไทยส่งยาให้ผู้ป่วยเขมร : วันที่ 22-23 ส.ค. 2568 ผู้ใช้ติ๊กตอกเผยแพร่คลิปเจ้าหน้าที่ไทยจากหลายหน่วยงานเตรียมส่งมอบสิ่งของให้เจ้าหน้าที่กัมพูชาบริเวณด้านหน้าป้ายจุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ มีการระบุคำบรรยายภาพ https://web.facebook.com/photo.php?fbid=1071074198562432&set=pb.100069795866839.-2207520000&type=3&locale=th_TH) ในคลิปเป็นภาษาอังกฤษแปลเป็นไทยว่า “โรงพยาบาลเอกชนของไทยส่งยาให้ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ไม่สามารถมารับยาเองได้” เสียงบรรยายในคลิปแสดงความไม่พอใจที่เจ้าหน้าที่ไทยใช้ภาษีของคนไทยไปให้ความช่วยเหลือชาวกัมพูชา คลิปนี้ถูกแชร์ต่อโดยมีการเติมข้อความเช่น “เงินคนไทยไปซื้อยาให้เขมร” และ “ดูข้าราชการไทยมันทำ”

อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบพบว่า คลิปนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่สองเดือนที่แล้ว (อ้างอิงจากข่าวของ ศบ.ทก. ที่โพสต์ 28 มิ.ย. 2568 https://web.facebook.com/AdHocCentreforThailandCambodiaBorderSituation/posts/pfbid02XaKcTspEVEzT4mMUbMx9T2Wj1dmhLFBjHUzpLEgrYBJitxBQ4qkTrEgCPLX6RPsCl) ซึ่งเป็นช่วงที่ทางการไทยและกัมพูชาเริ่มปรับเวลาเปิด-ปิดด่านชายแดน ทำให้ชาวกัมพูชาที่มารักษาพยาบาลในไทยไม่สามารถเดินทางมาพบแพทย์ตามนัดและรับยาที่ต้องกินต่อเนื่องได้ โดยเฟซบุ๊กศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) โพสต์ภาพเหตุการณ์นี้เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 2568 บรรยายภาพว่า เจ้าหน้าที่หน่วยทหารและสาธารณสุข “ดำเนินการส่งมอบยารักษาโรคให้กับผู้ป่วยชาวกัมพูชาจำนวน 33 คน โดยมีเจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรคฯ กัมพูชาเป็นผู้รับมอบ ณ จุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ”

นอกจากนั้น เมื่อสอบถามไปยัง นพ.ธวัชชัย ทองประเสริฐ รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ รพ.สรรพสิทธิประสงค์ เนื่องจากถุงบรรจุยามีชื่อ “SPS Premium รพ.สรรพสิทธิประสงค์” ได้รับการชี้แจงว่า ช่วงที่ทางการไทยเริ่มปรับเวลาเปิด-ปิดด่าน ทางโรงพยาบาลเคยจัดส่งยาให้ผู้ป่วยกัมพูชาที่ไม่สามารถเดินทางมารับยาได้จริง โดยผู้ป่วยกลุ่มนี้เป็นผู้ป่วยของคลินิกพรีเมียมที่จ่ายค่ารักษาและค่ายาเองทั้งหมด การส่งมอบยานี้เกิดขึ้นหลายสัปดาห์ก่อนจะมีเหตุปะทะเมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568

ภาพที่ 3 : คลิปชาวเขมรทำแกงกุ้งแม่น้ำอวดคนไทยซึ่งเป็นคลิปเก่าที่สถานสงเคราะห์เด็กในกัมพูชา

– คลิปชาวเขมรทำแกงกุ้งแม่น้ำอวดคนไทย :  วันที่ 25 ส.ค. 2568 ผู้ใช้เฟซบุ๊กและติ๊กตอกในไทยเผยแพร่คลิปกลุ่มคนทำอาหารด้วยการเทกุ้งลงไปในกระทะใบใหญ่ ก่อนจะตักใส่ถ้วยแบ่ง โดยระบุคำบรรยายภาพในคลิปว่า “ชาวเขมรทำแกงกุ้งอวดโชว์คนไทยฉ่ำ” ซึ่งคลิปนี้ถูกเผยแพร่หลังจากที่ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์และสื่อมวลชนไทยบางสำนักเผยแพร่ภาพโรงครัวในศูนย์พักพิงของชาวกัมพูชาที่หนีภัยสู้รบระหว่างทหารไทย-กัมพูชา โดยบรรยายว่าอาหารที่ทางการกัมพูชาจัดให้ผู้หนีภัยการสู้รบนั้นมีแต่ผัก ไม่มีเนื้อสัตว์ ซึ่งเป็นประเด็นที่ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ในไทยจำนวนมากนำมาเผยแพร่ในเชิงเย้ยหยัน

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่า คลิปนี้ถูกเผยแพร่ตั้งแต่ช่วงวันที่ 9 – 10 มิ.ย. 2568 โดยวันที่ 9 มิ.ย. 2568 เป็นคลิปที่โพสต์โดยเพจเฟซบุ๊กชื่อ “Ton ChanSeyma” ซึ่งเป็นเพจเฟซบุ๊กของนักร้องสาวกัมพูชาที่มีผู้ติดตามกว่า 3.3 ล้านคน และวันที่ 10 มิ.ย. 2568 โพสต์โดย TSM Vlog และ Ton ChanSeyma តន់ (https://web.facebook.com/watch/?v=1729432807778972&_rdc=2&_rdr#) ภาพในคลิปและข้อความบรรยายระบุว่าเป็นกิจกรรมทำอาหารเลี้ยงเด็กที่สถานสงเคราะห์เด็กชื่อ Ptea Clara ในจังหวัดกันดาลของกัมพูชา ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากองค์กรไม่แสวงกำไรในฝรั่งเศส

นอกจากนั้นเมื่อสอบถามไปยังผู้ประสานงานภาพสนามของ Ptea Clara ซึ่งได้รับคำยืนยันว่าภาพในคลิปเป็นภาพการเลี้ยงอาหารที่สถานสงเคราะห์เด็ก Ptea Clara เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 2568 ดังนั้นโดยสรุปแล้ว คลิป “ทำแกงกุ้งโชว์” ที่ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ในไทยนำมาเผยแพร่โดยอ้างว่าเป็นการทำอาหารอวดคนไทยว่ามีเนื้อสัตว์อย่างดีนั้น ไม่มีความเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาหรือศูนย์พักพิงของชาวกัมพูชาที่หนีภัยการสู้รบตามแนวชายแดนแต่อย่างใด

ภาพที่ 4 : คลิปอ้างชาวกัมพูชาขอให้ไทยช่วยเหลือเนื่องจากประสบภัยน้ำท่วม แต่แท้จริงเป็นคลิปน้ำท่วมในประเทศไทย

– คลิปชาวกัมพูชาขอให้ไทยช่วยเหลือเนื่องจากประสบภัยน้ำท่วม : วันที่ 29 ส.ค. 2568 บัญชีเฟซบุ๊ก “Nattida Sopimpa” โพสต์คลิปเหตุการณ์น้ำท่วม มีคำบรรยายภาษาไทยว่า “น้ำท่วมเขมรอย่างหนักขอให้ทางการไทยช่วยเหลือ” และคำบรรยายภาษาเขมร แปลด้วย Google Translate ได้ว่า “ท่วมไปหมดแล้ว ขอเทวดาคุ้มครอง” ใส่อิโมจิรูปธงชาติไทย ธงชาติกัมพูชา ยกมือไหว้และจับมือ คลิปนี้ถูกแชร์ไปมากกว่า 800 ครั้ง (ณ วันที่ 1 ก.ย. 68) และความเห็นมากกว่า 1,100 ข้อความ โดยความเห็นจำนวนมากแสดงถึงความเกลียดชังและไม่ต้องการให้ส่งความช่วยเหลือผู้ประสบภัย

ก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2568 บัญชีเฟซบุ๊ก “Virak Hin” เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2568 โดยฝังข้อความและคำบรรยายภาษาเขมรในลักษณะที่ปลุกปั่นความเกลียดชังต่อคนไทยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบด้วยเครื่องมือ Google Lens พบว่า คลิปนี้เคยถูกโพสต์เมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2568 โดยบัญชีเฟซบุ๊ก “Phanpaka Noo” พร้อมกับให้ข้อมูลว่าเป็นภาพเหตุการณ์แม่น้ำยมล้นพนังกั้นน้ำเข้าท่วมบริเวณหน้าวัดคูหาสุวรรณ อ.เมือง จ.สุโขทัย

และเมื่อสอบถามไปยังเพจเฟซบุ๊ก “วัดคูหาสุวรรณ – หลวงพ่อห้อม อำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย” ซึ่งเป็นเพจทางการของวัด ได้รับคำยืนยันว่า ภาพที่ปรากฏในคลิปเป็นวัดคูหาสุวรรณจริง โดยเป็นเหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2568 ซึ่งตรงกับการรายงานข่าวของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสว่าช่วงเช้าของวันที่ 26 ก.ค. 2568 เกิดเหตุแม่น้ำยมล้นตลิ่งไหลเข้าท่วมชุมชนวัดคูหาสุวรรณ

ข้อสรุปของโคแฟค

กรณีตัวอย่างข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่าการแพร่ระบาดของข้อมูลลวงในลักษณะนี้ ไม่ว่าโดยเจตนาหรือความรู้เท่าไม่ถึงการ นอกจากจะปลุกเร้าและตอกย้ำอารมณ์ความเกลียดชังระหว่างประชาชน 2 ประเทศแล้ว ยังไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาลทั้งสองประเทศในการหาแสวงหาแนวทางร่วมเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งชายแดนโดยสันติ !!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

https://web.facebook.com/photo.php?fbid=1067743818895470&set=pb.100069795866839.-2207520000&type=3&locale=th_TH (เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปอ้างแม่ทัพสั่งรื้อบ้านชาวเขมร : 21 ส.ค. 2568)

https://www.thaich8.com/news_detail/141498 (ทบ.ยืนยัน บ้านหนองจานอยู่ในเขตไทย : ช่อง 8 18 ส.ค. 2568)

https://web.facebook.com/KaroNews/videos/3004026773102391/ (คลิป KARO News 16 ส.ค. 2568)

https://bangka.tribunnews.com/2025/08/15/profil-samsul-tarigan-diduga-pemilik-diskotek-marcopolo-yang-dirobohkan-bobby-nasution-ketua-grib (Profil Samsul Tarigan, Diduga Pemilik Diskotek Marcopolo yang Dirobohkan Bobby Nasution, Ketua GRIB : Bangka Pos 15 ส.ค. 2568)

https://web.facebook.com/photo.php?fbid=1071074198562432&set=pb.100069795866839.-2207520000&type=3&locale=th_TH (เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปเจ้าหน้าที่ไทยส่งยาให้ผู้ป่วยเขมร : 25 ส.ค. 2568)

https://web.facebook.com/AdHocCentreforThailandCambodiaBorderSituation/posts/pfbid02XaKcTspEVEzT4mMUbMx9T2Wj1dmhLFBjHUzpLEgrYBJitxBQ4qkTrEgCPLX6RPsCl (เฟซบุ๊ก ศบ.ทก. โพสต์ภาพ “น้ำใจไทยผ่านชายแดน ส่งมอบยารักษาโรคให้ 33 ผู้ป่วยชาวกัมพูชา” เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 2568)

https://web.facebook.com/photo.php?fbid=1074318648237987&set=pb.100069795866839.-2207520000&type=3&locale=th_TH (เนื้อหาที่ตรวจสอบ: ชาวเขมรทำแกงกุ้งแม่น้ำอวดคนไทย : 29 ส.ค. 2568)

https://web.facebook.com/watch/?v=570699159123096&rdid=9OLoJMI2NiDq3czi (โพสต์ของ Ton ChanSeyma តន់ ចន្ទសីម៉ា , 9 มิ.ย. 2568)

https://web.facebook.com/watch/?v=1729432807778972&_rdc=2&_rdr# (โพสต์ของ TSM Vlog และ Ton ChanSeyma តន់  , 10 มิ.ย. 2568)

https://web.facebook.com/photo.php?fbid=1077107437959108&set=pb.100069795866839.-2207520000&type=3&locale=th_TH (เนื้อหาที่ตรวจสอบ: ชาวกัมพูชาขอให้ไทยช่วยเหลือเนื่องจากประสบภัยน้ำท่วม : 2 ก.ย. 2568)

https://web.facebook.com/reel/718953387565777(โพสต์ของ Phanpaka Noo 26 ก.ค. 2568)


ฝึกผสม Falcon Strike 2025 ของกองทัพอากาศไทย-จีน ถูกนำมาบิดเบือนในความขัดแย้งไทย-กัมพูชา

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิป “เขมรผวา จีนประกาศซ้อมรบร่วมกับไทย”

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาบิดเบือน การฝึกร่วมของกองทัพอากาศไทย-จีน เป็นการฝึกประจำปีที่มีมานานก่อนเกิดความขัดแย้งและการปะทะระหว่างไทยกับกัมพูชา** 

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 17 ก.ย. 68 เพจเฟซบุ๊กของสำนักข่าว Top News โพสต์คลิป Reel เป็นภาพเครื่องบินรบ ฝังข้อความ “เขมรผวาตัวสั่น จีนประกาศซ้อมรบทางอากาศร่วมกับไทย” พร้อมคำบรรยายใต้ว่า “เขมรผวาน่านฟ้า! จีนประกาศซ้อมรบร่วมทางอากาศกับไทยกันยายนนี้ ภายใต้ปฏิบัติการ ‘เหยี่ยวพิฆาต-2025’ กัมพูชามองตาปริบ ๆ เป็นได้แค่หมาเห่าเครื่องบิน” 

เสียงบรรยายในคลิประบุว่า สื่อจีนอ้างแถลงการณ์กระทรวงกลาโหมเมื่อวันที่ 15 ก.ย. 68 ว่ากองทัพอากาศจีนและกองทัพไทยจะเปิดการซ้อมรบช่วงกลางถึงปลายเดือนกันยายนนี้ที่ประเทศไทยภายใต้ปฏิบัติการ Falcon Strike 2025 หรือ “เหยี่ยวพิฆาต 2025” โดยจีนจะส่งเครื่องบินรบและทหารภาคพื้นดินสังกัดกองทัพอากาศเข้าร่วมซ้อมรบ มีเป้าหมายพัฒนาทักษะและยุทธวิธี รวมทั้งเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจและความร่วมมือของทั้ง 2 ประเทศ 

“การซ้อมรบนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เพราะเป็นการจับมือกันของ 2 กองทัพอากาศที่ทรงพลัง” ท็อปนิวส์ระบุในคลิป

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: การฝึกผสมกองทัพอากาศไทย-จีน Falcon Strike มีมาตั้งแต่ปี 2558 จัดขึ้นครั้งแรกที่ จ.นครราชสีมา จากนั้นก็จัดเป็นประจำเกือบทุกปี ณ กองบิน 23 จ.อุดรธานี ครั้งล่าสุดคือ Falcon Strike 2024 ในเดือน ส.ค. 67

สำหรับปีนี้ เพจเฟซบุ๊ก “RTAF News” ซึ่งเป็นเพจข่าวของกองทัพอากาศรายงานเมื่อเดือน มี.ค. 68 ว่า พล.อ.ต.สิทธิพล ป้อมตรี ผู้แทนกองทัพอากาศไทยและ น.อ. (พิเศษ) Sun Jun กับผู้แทนกองทัพอากาศจีน ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกันว่าการฝึกผสม Falcon Strike 2025 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 ก.ค.-8 ส.ค. 68 ณ กองบิน 23 จ.อุดรธานี 

ต่อมาในเดือน มิ.ย. 68 ผู้อำนวยการกองอำนวยการฝึกผสมของกองทัพอากาศไทยและจีนร่วมประชุมวางแผนขั้นสุดท้าย และลงนามบันทึกข้อตกลงการฝึก ณ เมืองคุณหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน  

อย่างไรก็ตาม การฝึกผสม Falcon Strike 2025 ได้ถูกเลื่อนออกไปเป็นช่วงกลางเดือน ก.ย. 68 

วันที่ 15 ก.ย. 68 เว็บไซต์ภาษาอังกฤษของกระทรวงกลาโหมจีนเผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์เรื่อง “China, Thailand to hold ‘Falcon Strike 2025’ joint air force training” ระบุว่าการฝึกผสมประจำปีนี้จะจัดขึ้นในช่วงกลางเดือนถึงปลายเดือน ก.ย. โดยกองทัพจีนจะส่งเครื่องบินหลายชนิดและกองกำลังภาคพื้นดินเข้าร่วมการฝึกผสมในครั้งนี้

วันที่ 16 ก.ย. 68 เพจ RTAF News ของกองทัพอากาศไทยโพสต์ภาพ พล.อ.อ. พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ ให้การต้อนรับ พล.อ.ต. หลู่ หงโจว ผู้บัญชาการฐานทัพอากาศคุนหมิงและปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้อำนวยการกองอำนวยการฝึกผสม Falcon Strike 2025 ฝ่ายกองทัพอากาศจีน ณ กองบัญชาการกองทัพอากาศ พร้อมกับระบุว่า การฝึกผสม Falcon Strike 2025 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-25 ก.ย. 68 ณ กองบิน 23 จ.อุดรธานี เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการปฏิบัติการทางอากาศยุทธวิธี และเพื่อกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างกองทัพอากาศไทยและกองทัพอากาศสาธารณรัฐประชาชนจีน รวมถึงเพื่อดำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค

📌 สรุปว่าการฝึกผสม Falcon Strike ของกองทัพอากาศไทย-จีนดำเนินมานานนับสิบปีแล้ว สำหรับการฝึกประจำปี 2568 ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงและวางแผนร่วมกันมาตั้งแต่ต้นปี แต่คลิปของท็อปนิวส์นำการฝึกผสมนี้มาเชื่อมโยงกับความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าการฝึกผสมนี้เป็นการส่งสัญญาณบางอย่างถึงกัมพูชา

ก่อนหน้านี้เมื่อเดือน ส.ค. 68 โคแฟคพบคลิปวิดีโอในยูทูบและติ๊กตอกที่อ้างในลักษณะเดียวกันว่า การฝึกผสมร่วมกองทัพไทย-จีนภายใต้รหัส Falcon Strike และการซ้อมรบทางทะเล Blue Strike คือการที่จีนส่งสัญญาณเตือนกัมพูชา ซึ่งเป็นการนำการฝึกผสมระหว่างกองทัพไทยและจีนที่มีมานานแล้ว มาบิดเบือนให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับท่าทีของจีนต่อสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา

ถั่วลิสงเสี่ยงมะเร็งตับ? เปิดความจริงจากงานวิจัยและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ

เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2568 รายการ โคแฟคสนทนา: รวมพลคนเช็กข่าว EP.17 ได้ออกอากาศในหัวข้อ “มีสารก่อมะเร็งในถั่วลิสงจริงหรือ?” โดยมีผู้ร่วมเสวนาคือ นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งCOFACT, นายณัฐฐศรัณฐ์ วงศ์เตชะ หัวหน้างานโภชนบริการและการกำหนดอาหาร สถาบันมะเร็งแห่งชาติ และน้องออม สุมัณฑิรา ศรีสังวาลย์ ตัวแทนคนเช็กข่าว ดำเนินรายการโดยนายสุชัย เจริญมุขยนันท

ในรายการ นายณัฐฐศรัณฐ์ หรือ “พี่โด่ง” เปิดเผยว่าถั่วลิสงมีสารก่อมะเร็งที่เรียกว่า “อัลฟาท็อกซิน” (Aflatoxin) ซึ่งเกิดจากเชื้อรา Aspergillus flavus และ Aspergillus parasiticus สารนี้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มสารก่อมะเร็งระดับ 1 โดยองค์การอนามัยโลก(WHO) โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีความสัมพันธ์ชัดเจนกับการเกิดมะเร็งตับ โดยเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยงสูงเช่น ผู้ป่วยโรคตับอักเสบจากไวรัสตับอักเสบบีหรือซีซึ่งจะยิ่งเพิ่มโอกาสในการเกิดมะเร็งตับเมื่อได้รับสารนี้อย่างต่อเนื่องในปริมาณมาก

นายณัฐฐศรัณฐ์ อ้างอิงงานวิจัยของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งเก็บข้อมูลตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน2555 ถึงมกราคม 2556 และตีพิมพ์ในปี 2559 โดยสุ่มตัวอย่างถั่วลิสงจากตลาดค้าปลีกในกรุงเทพมหานครจำนวน 60 ตัวอย่าง ผลพบว่า ถั่วลิสงดิบมีการปนเปื้อนอัลฟาท็อกซินสูงถึง 80% ส่วนถั่วลิสงแปรรูป เช่น ถั่วคั่วและถั่วบด พบการปนเปื้อน100% โดยปริมาณอัลฟาท็อกซินในถั่วบดสูงถึง 362 นาโนกรัมต่อกรัม เฉลี่ย 68 นาโนกรัมต่อกรัม ซึ่งเกินกว่าค่ามาตรฐานที่ประเทศไทยกำหนดถึง 18 เท่า

เพื่อลดความเสี่ยง นายณัฐฐศรัณฐ์แนะนำให้ผู้บริโภคสังเกตถั่วลิสงก่อนรับประทาน โดยใช้ประสาทสัมผัสพื้นฐาน ดังนี้  

1. สายตา : ตรวจดูเปลือกถั่วลิสง หากมีจุดดำหรือรอยราบนเปลือก แสดงว่ามีความเสี่ยงการปนเปื้อนเชื้อรา 

2. กลิ่น : ถั่วที่มีกลิ่นเหม็นหืนหรือกลิ่นอับ อาจบ่งชี้ถึงการปนเปื้อนเชื้อรา  

3. รสชาติ : ถั่วมีรสขมผิดปกติ แทนที่จะมีรสมันตามธรรมชาติ ควรงดบริโภค  

4. การล้าง : เมื่อล้างถั่วลิสง เมล็ดที่ลอยน้ำมักเป็นเมล็ดเสีย ส่วนเมล็ดที่จมน้ำมีโอกาสปลอดภัยกว่า  

นอกจากนี้ เขายังแนะนำว่าไม่ควรเก็บถั่วลิสงไว้นานเกิน 3 วัน โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่ร้อนชื้นอย่างประเทศไทย ซึ่งเอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อรา การเก็บรักษาควรอยู่ในภาชนะที่แห้งและปิดมิดชิดเพื่อลดความชื้น และไม่แนะนำให้เก็บในตู้เย็นนานเกินไปเพราะความชื้นในตู้เย็นอาจกระตุ้นการเกิดเชื้อราได้

นายณัฐฐศรัณฐ์ ระบุว่า การปรุงอาหารด้วยความร้อนทั่วไป เช่น การต้มหรือนึ่งที่อุณหภูมิราว 100 องศาเซลเซียส ไม่สามารถทำลายอัลฟาท็อกซินได้เนื่องจากสารนี้จะถูกทำลายที่อุณหภูมิสูงถึง 260-270 องศาเซลเซียสเท่านั้น ดังนั้น ถั่วที่มีการปนเปื้อนตั้งแต่ต้นทาง เช่น ตั้งแต่การปลูกหรือเก็บเกี่ยว จะยังคงมีความเสี่ยง แม้จะผ่านการปรุงสุกแล้วก็ตาม

สำหรับผลิตภัณฑ์แปรรูปจากถั่วลิสง เช่น ขนมหรือถั่วบด นายณัฐฐศรัณฐ์แนะนำให้เลือกซื้อจากแบรนด์ที่เชื่อถือได้ มีบรรจุภัณฑ์ปิดมิดชิด และระบุวันหมดอายุชัดเจน โดยผลิตภัณฑ์จากโรงงานที่ได้มาตรฐาน เช่นผ่านการรับรอง ISO หรือกระทรวงสาธารณสุข มีโอกาสปนเปื้อนน้อยกว่าถั่วที่จำหน่ายแบบแบ่งใส่ถุงรัดยาง ซึ่งมักพบเชื้อราเกือบ 100%

นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ กล่าวเสริมว่า ประเด็นเรื่องถั่วลิสงและสารก่อมะเร็งเป็น “ข่าวลวงแบบคลาสสิก” ที่วนเวียนกลับมาเป็นกระแสซ้ำๆ แต่ครั้งนี้มีงานวิจัยรองรับ ทำให้เกิดความตื่นตัวในสังคม เธอแนะนำให้ผู้บริโภคมีสติในการเลือกบริโภค โดยเฉพาะผู้ป่วยมะเร็งหรือผู้ที่มีความเสี่ยงด้านสุขภาพ ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคถั่วลิสงในปริมาณมากและต่อเนื่อง รวมถึงระมัดระวังการเก็บรักษาอาหารอื่นๆ เช่น ข้าวโพดพริกแห้ง หรืองาดำ ซึ่งอาจมีการปนเปื้อนเชื้อราในลักษณะเดียวกัน

น้องออม สุมัณฑิรา ตัวแทนคนเช็กข่าว ถามถึงทางเลือกทดแทนถั่วลิสง โดยนายณัฐฐศรัณฐ์แนะนำให้พิจารณาถั่วชนิดอื่น เช่น อัลมอนด์ ซึ่งอาจมีความเสี่ยงน้อยกว่า แต่ก็มีราคาสูงกว่า เขายังชี้ว่า การบริโภคอาหารควรหลากหลายเพื่อลดความเสี่ยงจากการสะสมสารพิษ และแนะนำให้ผู้บริโภคเลือกซื้อจากแหล่งที่ได้มาตรฐาน เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีเครื่องหมายรับรองคุณภาพ (GAP) เพื่อความปลอดภัย

รายการปิดท้ายด้วยการย้ำเตือนให้ผู้บริโภคตระหนักถึงความเสี่ยงจากถั่วลิสง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบถั่วต้มหรือถั่วคั่วที่ซื้อจากร้านค้าทั่วไป รวมถึงแนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคและการเก็บรักษาอาหาร เพื่อลดโอกาสการสัมผัสสารก่อมะเร็งในระยะยาว


ขอบคุณที่มา ubon connect

คลิปอุบัติเหตุ ฮ.ตำรวจตกที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ถูกนำมาอ้างเท็จว่ากัมพูชายิงเครื่องบินรบไทยร่วง

กองบรรณาธิการโคแฟค

❓ เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปทหารกัมพูชายิงเครื่องบินรบของไทยตก

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ เป็นคลิปอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ของตำรวจไทยตกเมื่อเดือน พ.ค. 68**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 8 ก.ย. 68 บัญชีเฟซบุ๊ก “Lychee Tour” โพสต์คลิปวิดีโอ Reel เป็นภาพไฟไหม้วัตถุบางอย่างบนพื้นหญ้า พร้อมข้อความบรรยายภาษาเขมร ใช้ Google Translate แปลสรุปใจความได้ว่า ผู้โพสต์อ้างว่าเป็นภาพเหตุการณ์ที่กัมพูชายิงเครื่องบินรบของไทยที่ลุกล้ำอธิปไตยกัมพูชาตก 2 ลำ ในเหตุปะทะระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาเมื่อวันที่ 24-28 ก.ค. 68  

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการใช้เครื่องมือ Google Lens ตรวจสอบภาพในคลิปดังกล่าว พบว่าเป็นภาพเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ เบลล์ 212 #2215 ประจำหน่วยบินตำรวจกาญจนบุรี ตกที่ ต.เกาะหลัก อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 68 ทำให้นักบินและช่างเครื่องเสียชีวิตรวม 3 นาย ซึ่งสื่อมวลชนไทยหลายสำนักเผยแพร่ภาพและคลิปวิดีโอเหตุการณ์นี้ เช่น The Nation มติชน และช่อง Ch7HD  

สรุปได้ว่าคลิปนี้เป็นภาพอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตำรวจตกในประเทศไทยตั้งแต่เดือน พ.ค. 68 ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุปะทะไทย-กัมพูชาอย่างสิ้นเชิง 

แม้ว่าไทยกับกัมพูชาจะไม่มีการปะทะทางการทหารนับตั้งแต่ข้อตกลงหยุดยิงที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 68 แต่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียยังคงนำคลิปเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องมาอ้างเท็จว่าเป็นภาพจากเหตุปะทะวันที่ 24-28 ก.ค. 68 อย่างต่อเนื่อง 

#โคแฟค #FactCheck #ไทยกัมพูชา

โพสต์เท็จอ้าง อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ วิจารณ์แรง กรณีเปิดด่านไทย-กัมพูชา

กองบรรณาธิการโคแฟค

❓ เนื้อหาที่ตรวจสอบ: อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ด่าคนเสนอเปิดด่านไทย-กัมพูชา “เป็นพวกขายชาติ” 

❌ ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเป็นเท็จ อ.เฉลิมชัยปฏิเสธว่าไม่ใช่คำพูดของตน**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 14-15 ก.ย. 68 ผู้ใช้โซเชียลมีเดียแชร์ภาพนายเฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ จิตรกรชื่อดัง ฝังข้อความโจมตีเรื่องการเปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา โดยมีภาพนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและพล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช. กลาโหม ประกอบข้อความว่า “เห็นด้วยกับ อ.เฉลิมชัย” ทำให้เข้าใจว่าข้อความดังกล่าวเป็นคำพูดของนายเฉลิมชัยที่วิจารณ์นายอนุทินและ พล.อ.ณัฐพล ด้วยถ้อยคำรุนแรง

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: วันที่ 15 ก.ย. 68 นายเฉลิมชัยได้อัดคลิปวิดีโอโชว์ภาพโพสต์ดังกล่าวและชี้แจงว่าตนไม่ได้พูดเรื่องการเปิด-ปิดด่านอย่างที่ปรากฏในโพสต์นั้น นายเฉลิมชัยกล่าวด้วยว่าที่ผ่านมา เขาถูกนำไปอ้างเท็จว่าพูดวิจารณ์การเมืองหลายครั้งทั้งที่ย้ำมาตลอดว่าเขาไม่ยุ่งเรื่องการเมือง 

#โคแฟค #FactCheck #ไทยกัมพูชา

📣 17 กย.68 ติดตามเสวนานักคิดดิจิทัล (ภูมิภาค #1/68) : สงครามข้อมูลกับแนวรบออนไลน์: ถอดบทเรียนวารสารศาสตร์แห่งความจริงกรณีความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา

เสวนานักคิดดิจิทัล ครั้งที่ 29 (ภูมิภาค #1/2568)หัวข้อ: สงครามข้อมูลกับแนวรบออนไลน์: ถอดบทเรียนวารสารศาสตร์แห่งความจริงกรณีความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา

📍 วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2568 | เวลา 13.00 – 16.30 น.
ณ ห้องพิบูลสงคราม อาคาร 60 พรรษามหาราชินี 2
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา จ.ชลบุรี

🔍 เจาะลึกเบื้องหลังสนามข่าวในพื้นที่เปราะบาง
📌 ถอดบทเรียน “การตรวจสอบข้อเท็จจริง” ท่ามกลางกระแสข้อมูลปะทะกันบนแนวรบออนไลน์
🎙 พบกับนักสื่อสาร นักข่าว และนักวิชาการมากประสบการณ์ ที่จะร่วมเปิดมุมมองใหม่
ว่าด้วย “วารสารศาสตร์แห่งความจริง” ในโลกที่ข้อมูลคืออาวุธ

ถ่ายทอดสดทางเพจ The Reporters และ Cofact โคแฟค

เสวนานักคิดrดิจิทัล29 #DigitalThinkers #สงครามข้อมูล #ไทยกัมพูชา #BUU #FactChecking