รายงานพิเศษ (ตอนที่ 2) ‘เกาะกูด’เป็นของใคร? ‘MOU44’ยกดินแดนไทยให้กัมพูชาจริงไหม? Special Report 50/67 (2/3)

By : Zhang Taehun

MOU44 คือการที่ไทยยอมรับการลากเส้นเขตแดนทางทะเลของกัมพูชาจริงหรือ?

นอกจากเรื่องเสียเกาะกูดให้กัมพูชาแล้ว ข้อกังวลอีกประการหนึ่งคือ อาณาเขตและผลประโยชน์ทางทะเล ซึ่งเป็นเหตุผลของฝ่ายออกมาเรียกร้องให้ยกเลิก MOU44 อาทิ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊กวันที่ 4 พ.ย. 2567 ก่อนหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศจะแถลงข่าวเพียงไม่กี่ชั่วโมง โดยอ้างว่า ได้ฟังคำชี้แจงจากบุคคลท่านหนึ่งที่เป็นคณะทำงาน MOU 44 แล้วบอกได้อย่างเต็มปากว่าเคลียร์ทุกเรื่อง เว้นแต่การกำหนดเส้นไหล่ทวีปเป็นการอ้างสิทธิของกัมพูชา ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ เฉพาะเส้นนี้ที่แปลกใจ ฝ่ายไทยไปยอมรับได้อย่างไร ซึ่งไทยไม่เคยยอมรับตั้งแต่ปี 2515 จนมาบันทึกใน MOU 44

นพ.วรงค์ ตั้งข้อสังเกตว่า สิ่งที่ต้องถามคือการอ้างสิทธิในเส้นไหล่ทวีปต้องมีเหตุผล แม้จะอ้างข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ที่กฎหมายระหว่างประเทศยอมรับ เส้นไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ลากผ่านเกาะกูดก็ไม่สมเหตุผล เพราะประวัติศาสตร์ระบุไว้ชัดเจนว่าเกาะกูดเป็นของไทย เส้นที่เล็งจากจุดสูงสุดของเกาะกูด ก็เพื่อกำหนดหลักหมุดที่ 73 ซึ่งเป็นเขตแดนทางบกไม่ใช่ทางทะเล

ปัญหาที่นำไปสู่พื้นที่ทับซ้อนที่มีขนาดใหญ่เท่ากับจังหวัดสงขลา พัทลุง ตรัง ยะลา นราธิวาสและปัตตานี รวมกัน 26,000 ตร.กม. ก็เกิดจากการที่ฝ่ายเราไปยอมรับว่าเขาอ้างสิทธิ ซึ่งเป็นการอ้างสิทธิที่ตามใจชอบ ยังไม่นับรวมเงื่อนไขใน MOU 44 ที่บ่งบอกว่าไทยเสียเปรียบเรื่องดินแดนในอนาคต นี่คือจุดที่ต้องทบทวน MOU 44 เพราะจะนำไปสู่ปัญหาทุกอย่าง รวมทั้งดินแดนทางทะเล ส่วนของทะเล ผืนทราย และทรัพยากรโดยรอบเกาะกูดด้านประชิดกัมพูชา เกาะกูดเราจะเหลือแค่เกาะ แต่รอบเกาะด้านประชิดกัมพูชากลายเป็นพื้นที่ทับซ้อนนพ.วรงค์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในบทความ “พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา ปัญหาและพัฒนาการ” ฉบับเต็ม ในหน้า 6-12 สุรเกียรติ์ บรรยายไว้ว่า กัมพูชาได้ประกาศเขตไหล่ทวีปแต่ฝ่ายเดียวครั้งแรกเมื่อวันที่6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) แต่เส้นเขตไหล่ทวีปที่กัมพูชาประกาศนั้นไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายระหว่างประเทศ ประเทศไทยจึงไม่ยอมรับ ต่อมารัฐบาลกัมพูชาประกาศกฤษฎีกากำหนดเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาในอ่าวไทย ลงนามโดย ลอนนอล ประธานาธิบดีของกัมพูชาในขณะนั้น เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) 

โดยการประกาศเขตไหล่ทวีปในครั้งนี้มีพื้นที่ประมาณ 16,200 ตารางไมล์ เขตไหล่ทวีปของกัมพูชานั้นเริ่มต้นจากจุด A ซึ่งอ้างว่าเป็นหลักเขตแดนไทย-กัมพูชาที่ 73 จากนั้นเส้นเขตไหล่ทวีปลากไปทางทิศตะวันตกเฉียงลงใต้เล็กน้อย ผ่านกึ่งกลางเกาะกูดเลยออกไปในอ่าวไทย ถึงประมาณกลางอ่าว แล้วหักลงทางใต้ไปเกือบสุดอ่าวไทย จึงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ โอบล้อมเกาะฟูกว๊อกของเวียดนาม แล้ววกขึ้นทางเหนือเข้าบรรจบฝั่งที่จุด B ซึ่งอ้างว่าเป็นจุดเขตแดนของเวียดนาม-กัมพูชาที่ริมฝั่งทะเล ดัง รูป 1

รูป 1 และรูป2

กัมพูชาไม่เคยอ้างอธิปไตยเหนือเกาะกูด

ประเด็นที่น่าพิจารณาเกี่ยวกับแผนที่แนบท้ายกฤษฎีกากำหนดเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาในอ่าวไทยนั้น เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ลากผ่านกึ่งกลางเกาะกูดนั้นเป็นการอ้างสิทธิอธิปไตยเหนือเกาะกูดหรือไม่ แผนที่แนบท้ายกฤษฎีกาในครั้งนั้นเป็นเพียงแผนที่โดยสังเขปที่กระทรวงต่างประเทศกัมพูชา ใช้ในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) แต่หากพิจารณากฤษฎีกาที่ 439/72/PRK ที่แผนที่ผนวกเป็นแผนที่เดินเรือขนาดมาตรฐานของกรมอุทกศาสตร์ฝรั่งเศส แสดงเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาทั้งหมด ลงนามโดยประธานาธิบดีลอนนอล ลงวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) จะเห็นว่าเส้นเขตไหล่ทวีปไม่ได้ลากผ่านกึ่งกลางเกาะกูด ดัง รูป 2

จากรูปที่ 2 เห็นได้ว่าเส้นเขตไหล่ทวีปที่กัมพูชาลากจากจุด A บริเวณชายฝั่งมายังเกาะกูดนั้น เส้นได้มาหยุดอยู่บริเวณขอบของเกาะกูดด้านตะวันออก และเริ่มต้นใหม่ทางขอบเกาะกูดด้านทิศตะวันตกออกไปกลางอ่าวไทยไม่มีการลากเส้นผ่านเกาะกูดแต่อย่างใด นอกจากนั้นหากสังเกตบริเวณเส้นทางทิศตะวันตกจะเห็นอักษรภาษาอังกฤษกำกับว่า “Koh Kut (Siam)” ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่าเกาะกูดเป็นของประเทศไทย

หลังจากนั้นประเทศกัมพูชาได้ประกาศกฤษฎีกากำหนดทะเลอาณาเขตของกัมพูชา หมายเลข 518/72/PRK ในวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2515 โดยประกาศกฤษฎีกาดังกล่าวมีแผนที่แนบท้ายและลงนามโดยประธานาธิบดีลอนนอล โดยประกาศกฤษฎีกาดังกล่าวจะแสดงให้เห็นชัดเจนถึงเส้นเขตไหล่ทวีปที่กัมพูชาอ้างว่าได้ลากผ่านกึ่งกลางเกาะกูดหรือไม่ ตาม รูปที่ 3

รูป 3 และ รูป4

เมื่อพิจารณาแผนที่แนบท้ายประกาศทะเลอาณาเขต มีการลากเส้นจากจุด A มายังจุด E1 โดยการลากเส้นดังกล่าวเป็นเส้นเดียวกับเส้นกำหนดเขตไหล่ทวีป ตรงจุด E1 จะมีเครื่องหมายบวก (++++) ทอดชิดกับขอบเกาะกูดด้านตะวันออกลงมาทางใต้จนถึงจุด E2 ที่ปลายเกาะกูดด้านใต้เครื่องหมายบวกตามเครื่องหมายในแผนที่หมายความถึง เขตแดนระหว่างประเทศ จะเห็นได้ว่า การลากเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชานั้นเป็นการลากเส้นจากจุด ยังเกาะกูด โดยหยุดอยู่บริเวณขอบของเกาะกูดด้านตะวันออก และเริ่มต้นใหม่ทางขอบเกาะกูดด้านทิศตะวันตกออกไปกลางอ่าวไทย ไม่ได้ลากผ่านกึ่งกลางเกาะกูดอย่างที่เข้าใจกัน

ดังนั้น กัมพูชาก็ไม่เคยอ้างอธิปไตยเหนือเกาะกูด ประเทศไทยต่างหากที่มีอธิปไตยเหนือเกาะกูดตามสนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 ข้อ 2 ซึ่งระบุว่า “รัฐบาลฝรั่งเศสยอมยกดินแดนเมืองด่านซ้าย และเมืองตราดกับเกาะทั้งหลายซึ่งอยู่ภายใต้แหลมสิงห์ลงไปจนถึงเกาะกูดนั้นให้แก่กรุงสยาม” กรณีการลากเส้นของกัมพูชาที่ลากเส้นจากจุด A ไปยังเกาะกูดนั้น เส้นดังกล่าวกัมพูชาได้อ้างสนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 หนังสือสัญญาไทยฝรั่งเศส ลงวันที่ 23 มีนาคม ร.ศ. 125 (พ.ศ. 2450 หรือ ค.ศ. 1907) ซึ่งมีสัญญาต่อท้ายว่าด้วยการปักปันเขตแดนทางบกระหว่างไทยกับดินแดนกัมพูชาของฝรั่งเศส 

ซึ่งข้อ 1 ของสัญญาต่อท้ายนี้ได้ระบุว่า “เขตแดนในระหว่างกรุงสยามกับอินโดจีนของฝรั่งเศสนั้น ตั้งแต่ชายฝั่งทะเลที่ตรงข้ามจากยอดเขาสูงที่สุดของเกาะกูดเป็นหลักแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไปทางตะวันออกเฉียงเหนือถึงสันเขาพนมกระวานแล” ว่าเป็นข้อความที่กำหนดเส้นแบ่งเขตทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา โดยวิธีการลากเส้นจากยอดเขาสูงที่สุดของเกาะกูดตรงไปยังเส้นเขาพนมกระวานแล และถือว่าเส้นที่ลากดังกล่าวเป็นเส้นแบ่งเขตทะเลซึ่งมีผลผูกมัดไทย

กัมพูชาได้ตีความหนังสือสัญญาในลักษณะตีความตามตัวอักษร โดยอ้างว่าข้อความดังกล่าวเป็นการแบ่งเขตทางทะเล แต่ถ้าหากพิจารณาเจตนารมณ์ของหนังสือสัญญาและสัญญาต่อท้ายว่าด้วยการปักปันเขตแล้ว จะเห็นได้ว่าหนังสือดังกล่าวเป็นหนังสือที่รัฐบาลฝรั่งเศสทำขึ้นเพื่อคืนดินแดนทางบกที่เคยยึดไปจากประเทศไทย โดยไม่มีข้อความใดที่เกี่ยวกับการกำหนดเขตแดนทางทะเล การที่สัญญาแนบท้ายระบุเส้นเขตแดนเริ่มจากทะเลนั้นไม่ได้หมายความว่า ภาคีมีเจตนาแบ่งเขตทางทะเล แต่เพียงแสดงว่าแนวเขตหันทิศจากทะเลไปสู่ผืนแผ่นดินมิใช่จากผืนแผ่นดินมายังทะเล 

การที่สัญญาแนบท้ายระบุให้ใช้จุดยอดเขาสูงสุดของเกาะกูดเป็นหลักในการกำหนดเขตแดน ก็เพื่อใช้เล็งกับสันเขาพนมกระวาน เนื่องจากในการปักปันเขตแดนจำต้องอาศัยจุดเด่นในทางภูมิศาสตร์ที่มั่นคงเป็นหลัก ดังนั้น เส้นตรงที่เล็งระหว่างยอดเขาสูงที่สุดของเกาะกูดกับสันเขาพนมกระวานจะต้องถือว่าเป็นเส้นสมมติ (Imaginary Line) ที่ใช้สำหรับกำหนดที่ตั้งของจุดเริ่มต้นของแนวเขตแดนทางบก การถือว่าเป็นเส้นแบ่งเขตทางทะเลจึงไม่ถูกต้องนัก 

ในขณะที่ประเทศไทยได้มีประกาศพระบรมราชโองการกำหนดเขตไหล่ทวีปด้านอ่าวไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 โดยยึดหลักเขตแดนที่ 73 เป็นจุดเริ่มต้นในการลากเส้นเขตทางทะเลออกไปในอ่าวไทยเช่นเดียวกับประเทศกัมพูชา แต่เป็นการลากเส้นลงไปจากจุด 1 ที่ละติจูดเหนือ11°39´.0 ลองติจูดตะวันออกที่ 102°55´.0 ไปยังจุด 2ที่ละติจูดเหนือ 09°48´.5 ลองติจูดตะวันออก 101°46´.515

ซึ่งจะเห็นว่าเส้นเขตไหล่ทวีปของไทยลากลงระหว่างเกาะกูดกับเกาะกง (Koh Kong) ของกัมพูชาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประกาศพระบรมราชโองการกำหนดเขตไหล่ทวีปของไทยดังกล่าวถือเป็นการสงวนสิทธิของประเทศไทยตามบทบัญญัติแห่งอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยไหล่ทวีป ค.ศ. 1958 (และได้รับการรับรองโดยอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982) เหนือเขตพื้นที่ไหล่ทวีปตามที่ได้ประกาศไว้ดัง รูป 4”

ภาพที่ 1 และ 2 : แผนที่กัมพูชาลากเส้นเขตแดนทางทะเลซึ่งมีข้อขัดแย้งกับไทย

เมื่อไปดูสาระสำคัญคือ MOU เมื่อปี 2544 หรือ MOU44 ซึ่งมีชื่อเต็มว่า บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน” ลงนามเมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2544 ที่กรุงพนมเปญของกัมพูชา โดยผู้แทนฝ่ายไทยคือ สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (ในขณะนั้น) ส่วนผู้แทนฝ่ายกัมพูชาคือ สก อัน  (บางแหล่งเขียนว่า ซก อาน) รัฐมนตรีอาวุโส ประธานการปิโตรเลียมแห่งชาติกัมพูชา

หนังสือ ประมวลสนธิสัญญา : อนุสัญญา ความตกลง บันทึกความเข้าใจและแผนที่ ระหว่างสยามประเทศไทยกับประเทศอาเซียนเพื่อนบ้าน : กัมพูชา-ลาว-พม่า-มาเลเซีย โดย ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุเนื้อหาของ MOU ดังกล่าว ไว้ในหน้า 240-241 ดังนี้ 

1.ภาคีผู้ทำสัญญาพิจารณาว่าเป็นที่พึงปรารถนาที่จะทำข้อตกลงชั่วคราว ซึ่งมีลักษณะที่สามารถปฏิบัติได้ในเรื่องพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน

2.เป็นเจตนารมณ์ของภาคีผู้ทำสัญญา โดยการเร่งรัดการเจรจาที่จะดำเนินการดังต่อไปนี้ไปพร้อมกัน

(ก)จัดทำความตกลงสำหรับการพัฒนาร่วมทรัพยากรปิโตรเลียมซึ่งอยู่ในพื้นที่พัฒนาร่วมดังปรากฏตามเอกสารแนบท้าย (สนธิสัญญาการพัฒนาร่วม) และ

(ข) ตกลงแบ่งเขตซึ่งสามารถยอมรับได้ร่วมกันสำหรับทะเลอาณาเขต ไหล่ทวีปและเขตเศรษฐกิจจำเพาะในพื้นที่ที่ต้องแบ่งเขต ดังปรากฏตามเอกสารแนบท้าย

เป็นเจตนารมณ์ที่แน่นอนของภาคีผู้ทำสัญญาที่จะถือปฏิบัติบทบัญญัติของข้อ (ก) และ (ข) ข้างต้นในลักษณะที่ไม่อาจแบ่งแยกได้

3.เพื่อวัตถุประสงค์ตามข้อ 2 จะมีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ของประเทศไทยและประเทศกัมพูชา ซึ่งได้รับการเสนอชื่อจากแต่ละประเทศแยกต่างหากกัน

คณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคมีหน้าที่รับผิดชอบ สำหรับการกำหนด

(ก) เงื่อนไขที่ตกลงร่วมกันของสนธิสัญญาการพัฒนาร่วม รวมถึงพื้นฐานซึ่งยอมรับกันในการแบ่งปันค่าใช้จ่ายและผลประโยชน์ของการแสวงประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่พัฒนาร่วม และ

(ข) การแบ่งเขตทะเลอาณาเขต ไหล่ทวีปและเขตเศรษฐกิจจำเพาะ ระหว่างเขตที่แต่ละฝ่ายอ้างสิทธิอยู่ในพื้นที่ที่ต้องแบ่งเขตตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศซึ่งใช้บังคับ

4.คณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคจะประชุมกันโดยสม่ำเสมอเพื่อให้การดำเนินการในเรื่องนี้เสร็จสิ้นโดยเร็ว คณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคอาจจัดตั้งคณะอนุกรรมการตามที่เห็นว่าเหมาะสม

5.ภายใต้เงื่อนไขการมีผลบังคับใช้ของการแบ่งเขตสำหรับการอ้างสิทธิทางทะเลของภาคีผู้ทำสัญญาในพื้นที่ที่ต้องมีการแบ่งเขต บันทึกความเข้าใจนี้และการดำเนินการทั้งหลายตามบันทึกความเข้าใจนี้จะไม่มีผลกระทบต่อการอ้างสิทธิทางทะเลของแต่ละภาคีผู้ทำสัญญา

อดีตรมต.ตปท.ยืนยัน กรอบMOU44รักษาผลประโยชน์สูงสุด ไม่ใช่การยอมรับเส้นเขตแดนทางทะเลตามกัมพูชาอ้าง

บทความ “พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา: ปัญหาและพัฒนาการ” ในหน้า 27-40 สุรเกียรติ์เสถียรไทย อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ อธิบายประโยชน์ที่ฝ่ายไทยได้รับจาก MOU44 ดังนี้ 

1.การจัดตั้งคณะกรรมการร่วมทางด้านเทคนิคขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่เจรจา ถือว่ายังไม่เป็นการผูกพันประเทศไทยว่าจะต้องมีการแบ่งปันผลประโยชน์ในทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลเหนือพื้นที่ทับซ้อน หรือต้องกำหนดเส้นเขตทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชาแต่อย่างใด เพราะเป็นการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อเจรจาหลักการทั้งสองเรื่องว่าแต่ละฝ่ายมีความเห็นและจุดยืนอย่างไร เพื่อจะให้บรรลุถึงข้อตกลง ซึ่งหากมีจุดยืนที่สอดคล้องที่จะนำ ไปสู่ข้อตกลงกันได้แล้วแต่ละฝ่ายก็ต้องดำ เนินการตามขั้นตอนของกฎหมายภายในของแต่ละประเทศ เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งต่างหากในอนาคต

การมีคณะกรรมการร่วมทางด้านเทคนิคขึ้นมาทำหน้าที่เจรจา จะทำให้ฝ่ายไทยสามารถรับทราบถึงจุดยืนต่าง ๆ ของฝ่ายกัมพูชาได้อย่างชัดเจน ทั้งในด้านกฎหมายและด้านการแบ่งผลประโยชน์เหนือน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ เพื่อที่จะได้ให้ผู้เชี่ยวชาญและหน่วยงานของไทยที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงานได้ร่วมกันวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งถึงแนวทางของความร่วมมือระหว่างกันอย่างเหมาะสม เพื่อประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ ซึ่งจะต้องมีการพิเคราะห์ถึงผลดีผลเสียในแต่ละทางเลือกของไทย ตลอดจนการกำหนดยุทธศาสตร์ในการเจรจา 

ซึ่งแตกต่างจากการเจรจาที่เกิดขึ้นในอดีตที่ผ่านมาก่อนการจัดทำบันทึกความเข้าใจนี้ ที่ไม่มีการเสนอท่าทีของฝ่ายตนในเรื่องวิธีการและหลักการการกำหนดสัดส่วนการแบ่งปันผลประโยชน์ที่ชัดเจนและเป็นทางการ ซึ่งทำ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของฝ่ายไทยไม่สามารถกำหนดท่าทีและจุดยืนทั้งทางกฎหมายและทางเศรษฐศาสตร์ร่วมกันอย่างจริงจัง

2.บันทึกความเข้าใจนี้ทำให้ปัญหาข้อขัดแย้งที่เกิดจากการอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกันระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ (ก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน) อีกทั้งยังสุ่มเสี่ยงต่อการเผชิญหน้าอันอาจนำ ไปสู่ข้อขัดแย้งที่รุนแรงจนกลายเป็นปัญหาทางการเมืองที่กระทบต่อความสัมพันธ์ในภาพรวมระหว่างทั้งสองประเทศระหว่างกัน สามารถแก้ไขร่วมกันได้ด้วยการเจรจาแบบสันติวิธี และแยกเป็นเอกเทศจากปัญหาความสัมพันธ์ด้านอื่นๆ โดยให้นำความเห็นหรือท่าทีที่แตกต่างกันในเรื่องการลากเส้นเขตทางทะเลและการแบ่งปันผลประโยชน์ในพื้นที่ทับซ้อนนั้น มาสู่เวทีของการเจรจาทางด้านเทคนิค หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นการแปรข้อขัดแย้งมาเป็นความร่วมมือ (turn conflict into cooperation) ซึ่งก็เป็นวิธีการในการแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศในเรื่องทับซ้อนทางทะเลที่ประเทศจำนวนมากในโลกปัจจุบันใช้กัน

3.บันทึกความเข้าใจนี้ได้ผูกประเด็นเรื่องการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (Overlapping Area) หรือที่บันทึกความเข้าใจนี้เรียกว่า พื้นที่พัฒนาร่วม (Joint Development Area) กับการเจรจาเส้นแบ่งเขตทางทะเล (Maritime Boundary Delimitation) เอาไว้ด้วยกัน โดยได้ระบุไว้ในบันทึกความเข้าใจอย่างชัดเจนว่าการเจรจาทั้งสองเรื่องนี้จะแยกต่างหากจากกันมิได้ (Indivisible Package) กล่าวคือจะต้องเจรจาพร้อมกันไป ซึ่งฝ่ายไทยแม้จะเห็นว่าการสำรวจและขุดเจาะน้ำ มันและก๊าซธรรมชาติก็เป็นความประสงค์ของฝ่ายไทยที่ต้องการสร้างความมั่นคงทางด้านอุปทาน (Security of Supply) และต้องการกระจายการใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ (Diversity of Sources of Supply) ในอ่าวไทยและทะเลอันดามันก็ตาม 

แต่ผลประโยชน์ที่สำคัญของไทยที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันก็คือ ความชัดเจนในจุดเริ่มของการลากเส้นเขตทางทะเล ดังนั้น ในแง่มุมของการเจรจาแล้ว ฝ่ายไทยจึงได้อาศัยความต้องการของฝ่ายกัมพูชาที่ต้องการเร่งรัดการเจรจาพื้นที่พัฒนาร่วม เป็นปัจจัยในการผลักดันให้การเจรจาเส้นเขตทางทะเลมีความคืบหน้าและเป็นที่ตกลงกันได้ของทั้งสองฝ่ายโดยเร็วเช่นกัน

ประเด็นสำคัญอีกประเด็นหนึ่ง คือ หากไม่มีการผูกประเด็นเรื่องการเจรจาพื้นที่พัฒนาร่วมกับการเจรจาพื้นที่ที่ต้องการแบ่งเส้นเขตทางทะเลเอาไว้ให้ต้องดำเนินการเจรจาควบคู่กันไปแล้ว ก็มีข้อห่วงกังวลว่ากลุ่มเศรษฐกิจการเมืองอาจเข้ามามีบทบาทและผลักดันจนทำให้การตกลงในเรื่องการพัฒนาร่วมเกิดขึ้นได้โดยง่าย โดยอาจทำให้ฝ่ายไทยต้องสูญเสียอำนาจต่อรองในการเจรจาเรื่องเส้นเขตแดนกับกัมพูชา

สุรเกียรติ์ อ้างถึงบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญไทย (ฉบับ 2540 ในขณะที่ดำรงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ และฉบับ 2550 ในขณะที่เขียนบทความนี้) โดยอธิบายว่า.. 

การเจรจาแบ่งปันผลประโยชน์ทางด้านน้ำ มันและก๊าซธรรมชาติ โดยไม่กระทบต่อเรื่องเส้นเขตแดนนั้น อาจไม่จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา แต่ในกรณีการเจรจาเส้นเขตทางทะเลนั้น แม้จะเป็นเพียงการตกลงกันเกี่ยวกับจุดที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการลากเส้นเขตทางทะเล ก็จะถือว่าเป็นหนังสือสัญญาซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ด้วยเหตุนี้ การผูกประเด็นการเจรจาเรื่องการแบ่งปันผลประโยชน์ในทรัพยากรเหนือพื้นที่พัฒนาร่วมเอาไว้กับเรื่องการเจรจาแบ่งเส้นเขตแดนโดยไม่อาจแยกออกจากกันได้ดังที่ระบุไว้ในข้อ 2วรรค 2 ของบันทึกความเข้าใจนั้น จึงมีผลทำให้รัฐบาลไทยไม่สามารถที่จะรวบรัดทำการตกลงที่มีผลเป็นการแบ่งปันผลประโยชน์เหนือทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล

เพราะแม้จะมีการตกลงในรายละเอียดของการแบ่งปันผลประโยชน์จนเสร็จสิ้นแล้วก็ยังไม่สามารถดำเนินการให้เกิดผลใดๆ ในทางปฏิบัติได้ เนื่องจากจะต้องนำความตกลงเกี่ยวกับการแบ่งปันผลประโยชน์เหนือทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่พัฒนาร่วม เสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบควบคู่กับความตกลงเกี่ยวกับการกำหนดเส้นเขตทางทะเล

หมายเหตุ : สำหรับรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ก็กำหนดเงื่อนไขเช่นเดียวกันกับรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 และฉบับ 2550 โดยอยู่ในมาตรา 178 ระบุว่า 

มาตรา 178 (วรรคสอง) หนังสือสัญญาใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือเขตพื้นที่นอกอาณาเขตซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญาหรือตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญา และหนังสือสัญญาอื่นที่อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้าหรือการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวาง ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา ในการนี้ รัฐสภาต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่อง หากรัฐสภาพิจารณาไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ให้ถือว่ารัฐสภาให้ความเห็นชอบ

นอกจากนั้นยังกำหนดเพิ่มเติมในส่วนของการใช้ประโยชน์ด้านทรัพยากร ซึ่งไม่มีในรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 (มาตรา 224) และเป็นการอธิบายความในส่วนนี้ตามรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 (มาตรา 190) ให้ชัดเจนขึ้นด้วยว่า

มาตรา 178 (วรรคสาม) หนังสือสัญญาอื่นที่อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้า หรือการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวางตามวรรคสอง ได้แก่ หนังสือสัญญาเกี่ยวกับการค้าเสรี เขตศุลกากรร่วม หรือการให้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติ หรือทำให้ประเทศต้องสูญเสียสิทธิในทรัพยากรธรรมชาติทั้งหมดหรือบางส่วน หรือหนังสือสัญญาอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ

มาตรา 178 (วรรคสี่) ให้มีกฎหมายกำหนดวิธีการที่ประชาชนจะเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและได้รับการเยียวยาที่จำเป็นอันเกิดจากผลกระทบของการทำหนังสือสัญญาตามวรรคสามด้วย

4.แผนผังกำหนดเขตพื้นที่พัฒนาร่วมและเขตพื้นที่ที่ต้องแบ่งเส้นเขตแดนซึ่งจัดทำแนบท้ายบันทึกความเข้าใจนี้ เป็นสิ่งที่กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ กรมแผนที่ทหาร กระทรวงกลาโหม และผู้เชี่ยวชาญด้านเขตทางทะเลของฝ่ายไทย ได้ให้ความสำคัญในการเจรจามาโดยตลอด กล่าวคือ ฝ่ายไทยต้องการยืนยันจุดยืนที่กำหนดให้เส้นแบ่งเขตทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชาต้องลากออกจากหลักเขตแดนที่ 73 เพื่อให้เขตพื้นที่ทับซ้อน (Overlapping Area) ไม่ครอบคลุมอาณาเขตที่กว้างขวางเกินไป และยืนยันจุดยืนว่าเกาะกูดอยู่ในเขตแดนของไทย ซึ่งเป็นไปตามสนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907

สุรเกียรติ์ ยังอ้างไว้ในบทความด้วยว่า ในการเจรจาก่อนการจัดทำบันทึกความเข้าใจฉบับนี้(MOU44) ฝ่ายกัมพูชาตั้งแต่ระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสจนถึงระดับสูงได้กล่าวถึงเกาะกูดว่าอย่างน้อยกึ่งหนึ่งของเกาะกูดอยู่ในเขตแดนของกัมพูชาอยู่เนืองๆ มีครั้งหนึ่งในช่วงระหว่างการเจรจาบันทึกความเข้าใจนี้ ตนเคยพูดกับผู้กำหนดนโยบายระดับสูงของกัมพูชาว่า “ถ้าเส้นเขตทางทะเลลากจากฝั่งและผ่ากลางเกาะกูดแล้ว ในทางปฏิบัติก็คงจะแปลกดี เพราะคนไทยขึ้นบนเกาะกูดจากฝั่งไทย ถ้าจะลงมาเล่นน้ำ อีกฝั่งของเกาะต้องถือพาสปอร์ต (หนังสือเดินทาง) มาด้วย” 

และครั้งหนึ่งในการหารือข้อราชการกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา นายกรัฐมนตรีกัมพูชาได้กล่าวกับตนว่า “กัมพูชาจะยกเลิกข้อเรียกร้อง (Claims) ที่ถือว่าเกาะกูดเป็นของกัมพูชากึ่งหนึ่ง และถือว่าเกาะกูดเป็นของไทย คือ จะยกอธิปไตยเหนือเกาะกูดให้ไทย แต่อย่าเพิ่งประกาศ เพราะจะเกิดปัญหาทางการเมืองภายในกัมพูชาได้” 

ซึ่งแม้ตนจะเห็นว่าข้อเรียกร้องเหนือเกาะกูดกึ่งหนึ่งนั้นจะไม่มีฐานทางกฎหมายระหว่างประเทศรองรับ แต่ข้อเรียกร้องนั้นก็เป็นสิ่งที่สามารถเรียกร้องกันได้ เพราะในกฎหมายระหว่างประเทศ การเรียกร้องสิทธิกับการมีสิทธินั้นเป็นคนละเรื่องกัน ดังนั้น ในการเจรจาระหว่างประเทศนั้น เมื่อคู่เจรจายอมถอนข้อเรียกร้องก็ย่อมถือเป็นสิ่งที่ดีนอกจากนั้น ยังนำ ไปสู่การที่ฝ่ายกัมพูชายินยอมให้มีแผนผังแนบท้ายบันทึกความเข้าใจที่แสดงให้เห็นว่าเกาะกูดเป็นของไทยอีกด้วย

ถึงแม้ว่าบันทึกความเข้าใจนี้จะไม่ถือว่าเป็นที่สิ้นสุดของการเจรจาที่จะมีผลผูกพันทั้งสองประเทศเกี่ยวกับเส้นเขตทางทะเล แต่อย่างน้อยที่สุด ก็ถือเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงการที่รัฐบาลกัมพูชาในปัจจุบันได้ยอมรับอย่าเป็นลายลักษณ์อักษรว่า ประเทศไทยมีอธิปไตยเหนือเกาะกูด ดังนั้น แผนผังแนบท้ายบันทึกความเข้าใจนี้จึงเป็นสิ่งที่ฝ่ายไทยพอใจ เพราะแสดงถึงความคืบหน้าในการเจรจาจุดเริ่มต้นของการลงเส้นเขตทางทะเลจากหลักเขตแดนทางบกที่ตรงกับจุดยืนของไทย และเส้นที่ลากนั้นได้ยอมรับอธิปไตยของไทยเหนือเกาะกูด และยังยอมรับอธิปไตยของไทยเหนือทะเลอาณาเขตรอบๆเกาะกูดอีกด้วย

5.บันทึกความเข้าใจดังกล่าวได้ลงนามโดยผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจเต็มจากรัฐบาลของทั้งสองประเทศ จึงมีสถานะเป็นสนธิสัญญาตามอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ. 1969และนับเป็นความสำเร็จของรัฐบาลไทยที่สามารถเจรจาเพื่อให้รัฐบาลกัมพูชายอมรับอย่างเป็นทางการและเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นครั้งแรก ถึงการอ้างสิทธิในไหล่ทวีปของไทย ตามประกาศพระบรมราชโองการกำหนดเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 อันก่อให้เกิดเขตทับซ้อนทางทะเลกับกัมพูชาที่ได้ประกาศเขตไหล่ทวีปไปก่อนหน้านี้ 

โดยบันทึกความเข้าใจนี้ได้ระบุว่า ตราบใดที่ยังไม่มีการตกลงในเรื่องสิทธิเรียกร้องทางทะเลในเขตที่จะมีการกำหนดเส้นเขตทางทะเล หรืออีกนัยหนึ่งคือ ในช่วงที่อยู่ระหว่างการเจรจาพื้นที่พัฒนาร่วมและเขตพื้นที่ที่ต้องแบ่งเขตทางทะเลตามข้อ 2 (aหรือ ก) และ (b หรือ ข) นั้น ข้อความต่างๆ ที่ระบุไว้ในบันทึกความเข้าใจนี้ก็ดี และการดำ เนินการทั้งหลายตามบันทึกความเข้าใจนี้ก็ดีจะไม่มีผลกระทบต่อข้อเรียกร้องสิทธิทางทะเลของทั้งสองประเทศ ซึ่งอยู่ในข้อ 5 ของ MOU44

สุรเกียรติ์ ย้ำว่า บทบัญญัติดังกล่าวข้างต้นย่อมเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายไทย เพราะเป็นการที่ฝ่ายกัมพูชายอมรับเป็นลายลักษณ์อักษรว่า ฝ่ายไทยก็มีข้อเรียกร้องสิทธิต่างๆ เกี่ยวกับเส้นเขตทางทะเล และในระหว่างการเจรจาภายใต้บันทึกความเข้าใจนี้ ไม่ว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถบรรลุข้อตกลงใดๆ ได้หรือไม่ก็ตาม สิ่งที่ตกลงกันนี้ และสิ่งที่ไม่อาจตกลงกันได้ก็จะไม่กระทบต่อสิทธิเรียกร้องต่างๆ ที่ฝ่ายไทยมีอยู่มาก่อน 

ดังนั้น ข้อตกลงข้อ 5 ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ฝ่ายไทยได้โน้มน้าวฝ่ายกัมพูชาจนยอมเห็นชอบให้มีบทบัญญัตินี้ในบันทึกความเข้าใจ ย่อมเป็นข้อป้องกันสถานะทางกฎหมายของไทยทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต จนกว่าจะมีการบรรลุข้อตกลงกันทั้งในเรื่องพื้นที่พัฒนาร่วมและเรื่องเส้นแบ่งเขตทางทะเล ซึ่งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ทั้งฉบับ 2540 และ 2550 (รวมถึงฉบับ 2560) ข้อตกลงดังกล่าวจะต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อนจึงจะมีผลใช้บังคับได้

6.บันทึกความเข้าใจนี้ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนในข้อ 3 (b หรือ ขว่า การเจรจาที่จะนำไปสู่การกำหนดเขตทางทะเลนั้น จะต้องกระทำโดยอยู่ภายใต้หลักการของกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นจุดยืนที่ประเทศไทยยึดถือมาโดยตลอด และเป็นการผูกมัดฝ่ายไทยเองด้วย ว่าในการเจรจาตกลงอย่างไรนั้นต้องเป็นไปตามหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศ ส่งผลทำให้ทุกฝ่ายในขณะนั้นและในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใดก็ต้องผูกพันตามแนวทางและหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศที่ได้กำหนดไว้

7.บันทึกความเข้าใจดังกล่าวเป็นการเจรจาเพื่อนำไปสู่การเจรจาแนวทางการพัฒนาร่วมและการแบ่งปันผลประโยชน์ในทรัพยากรปิโตรเลียมเหนือพื้นที่พัฒนาร่วม ซึ่งหากสามารถเจรจาจนได้ข้อยุติโดยเร็วและสามารถนำ เอาทรัพยากรปิโตรเลียมขึ้นมาใช้ประโยชน์ได้แล้ว ฝ่ายไทยย่อมจะได้รับผลประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียมดังกล่าวมากเนื่องจากประเทศไทยมีความต้องการทางด้านพลังงานและปริมาณพลังงานสำรอง อีกทั้งไทยยังมีความพร้อม มีประสบการณ์และมีศักยภาพในการร่วมลงทุนเพื่อสำรวจและขุดเจาะปิโตรเลียมในพื้นที่พัฒนาร่วม และมีบริษัทสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเป็นของตนเองอีกด้วย

ภาพที่ 3 : สุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งดำรงตำแหน่งในช่วงที่ไทย-กัมพูชา ร่วมลงนาม MOU44 และเป็นผู้เขียนบทความ “พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา: ปัญหาและพัฒนาการ” เผยแพร่ในจุลสารความมั่นคงศึกษา ของสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ฉบับที่ 92 ปี 2554 (ขอบคุณภาพจาก นสพ.ฐานเศรษฐกิจ)

ในรายงานข่าว “เปิดเบื้องลึก MOU ไทย-กัมพูชา เรื่องเกาะกูด จากปากอดีต รมว.ต่างประเทศ” ของ นสพ.ฐานเศรษฐกิจ วันที่ 5 พ.ย. 2567 ได้สรุปมุมมองจากบทความของ สุรเกียรติ์ เสถียรไทย ไว้ว่า MOU44 มีกลไกคุ้มครองผลประโยชน์ของไทยหลายประการ 1.การเจรจาต้องเป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ 2.ไม่กระทบต่อสิทธิเรียกร้องของทั้งสองฝ่ายจนกว่าจะมีข้อตกลงสุดท้าย3.ข้อตกลงสุดท้ายต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา และ 4.มีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคเพื่อศึกษาและเจรจารายละเอียด

อย่างไรก็ตาม บทความนี้ซึ่งเขียนขึ้นในปี 2554 สุรเกียรติ์ ชี้ประเด็นท้าทายไว้ด้วยว่า บริษัทน้ำมันข้ามชาติของประเทศมหาอำนาจได้สำรวจพบแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ในพื้นที่ทับซ้อนบริเวณตอนใต้ของกัมพูชา ซึ่งบริษัทน้ำมันข้ามชาติของมหาอำนาจหลายประเทศให้ความสนใจและต้องการเข้ามาแสวงประโยชน์จากแหล่งน้ำ มันและก๊าซในพื้นที่ทับซ้อนผ่านทางรัฐบาลกัมพูชามากขึ้น เพื่อขายให้แก่ประเทศไทยเป็นหลักและกัมพูชาเป็นอันดับรอง 

ซึ่งการพบแหล่งพลังงานและความสนใจของบริษัทข้ามชาติที่มีต่อแหล่งพลังงานในกัมพูชานี้ อาจส่งผลให้ประเทศไทยต้องประสบกับปัญหาความยุ่งยากในการเจรจาแบ่งปันผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชาเพิ่มมากขึ้นในอนาคต จึงเป็นเหตุผลที่รัฐบาลไทยควรเร่งการเจรจาเพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาและแบ่งปันผลประโยชน์จากแหล่งปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อนระหว่างกันให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว พร้อมๆ ไปกับการกำหนดเส้นแบ่งเขตทางทะเลในส่วนพื้นที่ที่ต้องแบ่งเขตซึ่งเป็นส่วนบนของพื้นที่ทับซ้อนตามจุดยืนของประเทศไทย

โดยสรุปแล้ว การจะบอกว่า MOU44 คือการที่ไทยยอมรับการลากเส้นเขตแดน (ทางทะเล) ของกัมพูชา อันอาจทำให้ไทยเสียดินแดนได้ จึงไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เพราะ MOU44 เป็นเพียงบันทึกว่าไทยและกัมพูชา ฝ่ายใดมีมุมมองหรือข้อเรียกร้องอย่างไรบ้าง แต่สิ่งเหล่านั้นจะได้รับการยอมรับหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการที่ทั้ง 2 ชาติต้องเจรจากันจนกระทั่งได้ข้อสรุป และต้องเจรจากันภายใต้กรอบของกฎหมายระหว่างประเทศ อีกทั้งในกรณีของไทย แม้คณะผู้แทน (คณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคจะไปเจรจากันมาแล้ว ก็ยังต้องมาผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมร่วมของรัฐสภา อันประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และสมาชิกวุฒิสภา (สว.)ประกอบกับกลไกรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ยังเพิ่มเติมในส่วนของกผลประโยชน์ทางทรัพยากรธรรมชาติ ต้องมีช่องทางให้ประชาชนได้ร่วมแสดงความคิดเห็น และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบด้วย 

          ​ ——

อ้างอิง

https://www.thansettakij.com/business/economy/611121 (เปิดเบื้องลึก MOU ไทย-กัมพูชา เรื่องเกาะกูด จากปากอดีต รมว.ต่างประเทศ : ฐานเศรษฐกิจ 5 พ.ย. 2567)

https://www.thairath.co.th/news/politic/2823643(“หมอวรงค์” ชี้ ยิ่งฟังคำชี้แจง ต้องยิ่งยกเลิก MOU 44 หากยอม ส่อเสียดินแดน : ไทยรัฐ 4 พ.ย. 2567)

http://textbooksproject.org/wp-content/uploads/books/book_1.pdf (ประมวลสนธิสัญญา : อนุสัญญา ความตกลง บันทึกความเข้าใจและแผนที่ ระหว่างสยามประเทศไทยกับประเทศอาเซียนเพื่อนบ้าน : กัมพูชา-ลาว-พม่า-มาเลเซีย : ชาญวิทย์ เกษตรศิริ)

https://medias.thansettakij.com/media/pdf/2024/BjcSxq7eTLxq7Qod0I85.pdf (พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา: ปัญหาและพัฒนาการ : สุรเกียรติ์ เสถียรไทย , จุลสารความมั่นคงศึกษา ของสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ฉบับที่ 92 ปี 2554)


(อ่านต่อ) รายงานพิเศษ (ตอนที่ 1) ‘เกาะกูด’เป็นของใคร? ‘MOU44’ยกดินแดนไทยให้กัมพูชาจริงไหม? Special Report 50/67(1/3) | Cofact
https://blog.cofact.org/special-report50-67-1/

(อ่านต่อ) รายงานพิเศษ (ตอนที่ 3) ‘เกาะกูด’เป็นของใคร? ‘MOU44’ยกดินแดนไทยให้กัมพูชาจริงไหม? Special Report 50/67(3/3) | Cofact
https://blog.cofact.org/special-report-50673-3/


รายงานพิเศษ (ตอนที่ 3) ‘เกาะกูด’เป็นของใคร? ‘MOU44’ยกดินแดนไทยให้กัมพูชาจริงไหม? Special Report 50/67(3/3)

By : Zhang Taehun

ไทยจำเป็นต้องยกเลิก MOU44 หรือไม่?

ในช่วงที่มีการถกเถียงเรื่อง MOU44 ในฝ่ายที่กังวลกับบันทึกความเข้าใจฉบับดังกล่าว บางส่วนอ้างว่า รัฐบาลไทยสมัยนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (2552-2554) ได้ยกเลิกไปแล้ว อาทิ รายงานข่าว ย้อนมติ ครม. ยุคอภิสิทธิ์ เห็นชอบให้ยกเลิก MOU 2544 ไปแล้ว เตือนรัฐบาลอย่าฝืน” ของ นสพ.ไทยโพสต์ วันที่ 1 พ.ย. 2567 อ้างความเห็นของ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ที่ระบุว่า ครม.อภิสิทธิ์ มีมติเมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2552 ให้ยกเลิก MOU44 

“จริงอยู่ที่ว่าการยกเลิก MOU 2544 จนปัจจุบันยังไม่แล้วเสร็จ แต่มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 มีผลผูกพันทางกฎหมายอย่างแน่นอน และยังมีผลจนถึงปัจจุบันหากยังไม่มีมติคณะรัฐมนตรีเป็นอย่างอื่น ดังนั้นการปฏิบัติหน้าที่ของทุกกระทรวงจะดำเนินการไปในหลักการอื่นโดยฝ่าฝืนต่อมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 จะทำต่อไปได้อย่างไร ยกเว้นเสียแต่ว่ามีการขอความเห็นชอบต่อคณะรัฐมนตรีเสียใหม่ จริงหรือไม่?” ปานเทพ กล่าวในโพสต์เฟซบุ๊ก

จากข้อมูลข้างต้น สรุปได้ว่าปัจจุบัน MOU44 ยังมีผลบังคับใช้อยู่ ซึ่งสอดคล้องกับการแถลงข่าวของกระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 4 พ.ย. 2567 ตามรายงานข่าวของ ThaiPBS ที่ระบุว่า ประเด็นยกเลิก MOU 44 เข้าสู่การพิจารณาของ ครม.ในปี 2552 ซึ่งเสนอให้ยกเลิก เพราะขณะนั้นไม่มีความคืบหน้า และ ครม.รับในหลักการ แต่ได้ขอให้มีพิจารณาให้รอบคอบและได้หารือกับที่ปรึกษาทีมต่างชาติ และประชุมคณะกรรมการพิเศษที่เป็นภาคี และหน่วยงานด้านความมั่นคง อาทิ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กระทรวงพลังงาน รวมทั้งคณะกรรมการกฤษฎีกา 

โดยปี 2557 ได้ข้อสรุปว่า MOU 44 ยังมีประโยชน์ที่จะนำไปสู่การเจรจา จึงเสนอ ครม.ให้ทบทวนมติ ครม.ปี 2552 ว่าเรื่องนี้ต้องใช้ MOU 44 ต่อ ทุกครั้งที่มีรัฐบาลใหม่ยังขอให้กรอบ MOU 44  เป็นพื้นฐานในการเจรจาข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา เป็นกลไกที่เหมาะสมที่สุด และรักษาผลประโยชน์สูงสุดของประเทศ ซึ่งทุกรัฐบาลก็ยอมรับและหลักการยังเหมือนเดิม

นอกจากนั้น รายงานข่าว “‘บิ๊กป้อมประชุมลับ! ฟื้นเจรจาพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา’ แบ่งเขตทะเล-พัฒนาปิโตรเลียม” โดยสำนักข่าวอิศรา วันที่ 4 ต.ค. 2564 อันเป็นยุคสมัยของรัฐบาลนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เวลานั้นมีรายงานว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค (JTC) ไทย-กัมพูชา (ฝ่ายไทย) เพื่อพิจารณาร่างกรอบการเจรจากับฝ่ายกัมพูชา ในการพัฒนาพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน (Overlapping Claims Area-OCA) รวมถึงการพิจารณาแต่งตั้งคณะทำงานว่าด้วยการแบ่งเขตทางทะเล และคณะทำงานเกี่ยวกับระบอบพัฒนาร่วม

อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุที่เป็นการประชุมลับ จึงไม่มีการแถลงผลการประชุมกับสื่อ แต่ทางสำนักข่าวอิศรา สรุปร่างกรอบการเจรจากับฝ่ายกัมพูชา ในการพัฒนาพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน (OCA) ที่เสนอให้ที่ประชุม JTC ฝ่ายไทย พิจารณา กำหนดวัตถุประสงค์ของการเจรจาไว้ 3 ประเด็น ได้แก่

1.การแก้ปัญหาพื้นที่ที่ไทยกับกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อน ซึ่งมีขนาดประมาณ 26,000 ตารางกิโลเมตร

2.การดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามบันทึกข้อตกลง (MOU) ระหว่างรัฐบาลไทยและกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยกับกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อน เมื่อปี 2544 (MOU 2544) ซึ่งประกอบด้วย การเจรจาจัดทำข้อตกลงแบ่งเขตทางทะเลในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนกันเหนือเส้นละติจูด 11 องศาเหนือ และการเจรจาจัดทำข้อตกลงสำหรับการพัฒนาร่วมทรัพยากรปิโตรเลียม ซึ่งอยู่ในพื้นที่ทับซ้อนกันใต้เส้นละติจูด 11 องศาเหนือ

3.ในการดำเนินการเจรจาให้ใช้กลไกภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคไทย-กัมพูชา (JTC) ตามที่ตกลงกับฝ่ายกัมพูชาไว้แล้ว

รวมถึงในวันที่ 5 พ.ย. 2567 รายงานข่าว กษิต อัดแรง พวกปลุกเสียเกาะกูด เล่ายิบเหตุรบ.มาร์ค ยกเลิก MOU44 แต่ไม่สำเร็จ-หนุนเจรจาต่อ โดย นสพ.มติชน อ้างคำกล่าวของ กษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ในสมัยรัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์ ที่ระบุว่า เหตุที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ ตัดสินใจยกเลิก MOU 44 มาจากการที่ ฮุนเซน นายกฯ กัมพูชาในขณะนั้น ได้ตั้ง ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ของไทย เป็นที่ปรึกษากัมพูชา 

ซึ่งรัฐบาลในเวลานั้นเห็นว่าการกระทำของนายฮุนเซนนั้น ไม่น่ารัก ไม่เป็นมิตร และแทรกแซงกิจการภายในของไทย รัฐบาลขณะนั้นจึงต้องการแสดงออกว่าไม่พึงพอใจ ด้วยการยกเลิก MOU 44 แล้วก็ต้องการบอกกับอดีตนายกฯ ทักษิณด้วยว่า การกระทำดังกล่าวไม่น่ารักเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น เมื่อมีมติ ครม.ออกมา ก็ต้องมีกระบวนการต่างๆ เพื่อจะนำเรื่องเข้าสู่รัฐสภา ซึ่งเป็นเรื่องที่ข้าราชการประจำ นำโดยกระทรวงการต่างประเทศก็ดำเนินการอยู่ 

“แต่ว่ารัฐบาลในขณะนั้นก็ยุบสภาพ้นจากตำแหน่งไป ก็เท่ากับว่าเรื่องนี้ยังค้างอยู่ โดยผ่านรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน กระทั่งรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร ก็เท่ากับว่า MOU 44 ยังมีชีวิตอยู่ และล่าสุด นายกฯ แพทองธารก็ได้ยืนยันว่า MOU 44 ยังมีชีวิต และยังอยู่ในการเตรียมการที่จะแต่งตั้งหัวหน้าคณะเจรจาฝ่ายไทยต่อไป” กษิต กล่าว

จากข้อมูลที่รวบรวมมาข้างต้น จึงสรุปได้ดังนี้ 1.เกาะกูดเป็นของไทยแน่นอน ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 ที่ระบุไว้ชัดเจน 2.บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน ที่ทำขึ้นในปี 2544 หรือ MOU44 ยังไม่ใช่ข้อตกลงที่ฝ่ายใดจะยอมรับเส้นเขตแดนหรือผลประโยชน์ที่ต่างฝ่ายต่างกล่าวอ้าง ซึ่งจะต้องอาศัยกระบวนการเจรจาผ่านกลไกคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค (JTC) ที่ทั้งไทยและกัมพูชาจะส่งตัวแทนเข้ามา อีกทั้งเมื่อได้ข้อสรุปแล้ว ยังต้องมาผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา และการมีส่วนร่วมของประชาชนตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญของไทย 

และ 3.ปัจจุบัน MOU44 ยังไม่ถูกยกเลิก และรัฐบาลชุดล่าสุดภายใต้การนำของนายกฯ แพทองธาร ก็กล่าวชัดเจนว่าไม่ยกเลิก โดยในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2567 ได้ย้อนถามว่า “ถ้ายกเลิกแล้วได้อะไร” ซึ่งการยกเลิกแล้วได้อะไร ต้องกลับมาที่เหตุและผล ทุกประเทศอาจคิดไม่เหมือนกันได้ เมื่อคิดไม่เหมือนกันก็ต้องมีข้อตกลงเพื่อมาพูดคุยกัน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาระหว่างประเทศซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญ การรักษาความสงบของประเทศเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นใน MOU นี้ เปิดให้ทั้งสองประเทศพูดคุยกัน ซึ่งหากไทยยกเลิกอาจโดนฟ้องร้องจากกัมพูชาอย่างแน่นอน ไม่มีประโยชน์ใดๆ

หลังจากนี้ก็ต้องรอติดตามกันว่า คณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค (JTC) ในฐานะคณะผู้แทนฝ่ายไทยไปเจรจากับฝ่ายกัมพูชานั้นจะมีใครบ้าง? การเจรจาจะเริ่มต้นเมื่อใด? และผลการเจรจาจะเป็นอย่างไร?

———————

อ้างอิง

https://www.thaipost.net/hi-light/683187/ (ย้อนมติครม.ยุคอภิสิทธิ์ เห็นชอบให้ยกเลิก MOU 2544 ไปแล้ว เตือนรัฐบาลอย่าฝืน : ไทยโพสต์ 1 พ.ย. 2567) 

https://isranews.org/article/isranews-news/103045-gov-JTC-thailand-Cambodia-OCA-Dialogue-framework-news.html (‘บิ๊กป้อม’ประชุมลับ! ฟื้นเจรจาพื้นที่ทับซ้อน‘ไทย-กัมพูชา’ แบ่งเขตทะเล-พัฒนาปิโตรเลียม : สำนักข่าวอิศรา 4 ต.ค. 2564)

https://www.matichon.co.th/politics/news_4883301 (กษิต อัดแรง พวกปลุกเสียเกาะกูด เล่ายิบเหตุรบ.มาร์ค ยกเลิก MOU44 แต่ไม่สำเร็จ-หนุนเจรจาต่อ : มติชน 5 พ.ย. 2567)

https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/89854 (นายกรัฐมนตรี ยืนยันเกาะกูดเป็นของประเทศไทย ไม่มีการยกเลิก MOU 44 เตรียมตั้งคณะกรรมการฝ่ายไทย คุย กัมพูชา ยืนยันรัฐบาล รักษาผลประโยชน์ให้คนไทย : Thaigov 4 พ.ย. 2567)


(อ่านต่อ) รายงานพิเศษ (ตอนที่ 1) ‘เกาะกูด’เป็นของใคร? ‘MOU44’ยกดินแดนไทยให้กัมพูชาจริงไหม? Special Report 50/67(1/3) | Cofact
https://blog.cofact.org/special-report50-67-1/

(อ่านต่อ) รายงานพิเศษ (ตอนที่ 2) ‘เกาะกูด’เป็นของใคร? ‘MOU44’ยกดินแดนไทยให้กัมพูชาจริงไหม? Special Report 50/67 (2/3) | Cofact
https://blog.cofact.org/special-report-2-3/

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 16 พฤศจิกายน 2567

รัฐบาลประกาศให้งดทำนาปรัง เนื่องจากน้ำมีน้อย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1wb5shmib81kn


ท่านอนคว่ำ ทำให้เสี่ยงเสียชีวิตเฉียบพลัน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1qccg6ww53spy#_=_


ผลิตภัณฑ์ ONEO ป้องกันมะเร็งกระเพาะปัสสาวะสำหรับผู้ปัสสาวะบ่อยช่วงกลางคืน ด้วยเทคโนโลยี Go-less ของสวิตเซอร์แลนด์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/23l8eamjhwk1z#_=_


ครม.เคาะวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ 3 วัน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3t0a74kjcv2kk


กรมศุลกากร เตือน ประชาชนอย่ารับหิ้วของข้ามประเทศ เสี่ยงถูกซุกยาเสพติด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3tmrxnooo5irh


บัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถใช้จ่ายค่าโดยสาร BTS ได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3r858z7inj49q


 “มอเตอร์เวย์ฟรี”ยาว 8 วัน ของขวัญปีใหม่ 2568 จาก กระทรวงคมนาคม

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/wv62llv8u4lb


 แจ้งปิดเบี่ยงถนน 4 เส้นทาง ตั้งแต่ 15 พ.ย. 67 ลุยรถไฟฟ้าสายสีส้ม

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/39kj2xoirao3


‘โคแฟค’ เสริมความรู้ผู้สูงวัยรู้เท่าทันข่าวลวง-มิจฉาชีพออนไลน์

โคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับชมรมสมองใส ใจสบาย หอภาพยนต์ (องค์การมหาชน) และ กองบังคับการตรวจสอบและวิเคราะห์อาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ตอท.) ร่วมเป็นวิทยากรรู้เท่าทันสื่อดิจิทัลสำหรับผู้สูงวัย หัวข้อ “สูงวัยยุคใหม่ รู้เท่าทัน ภัยกลลวงมิจฉาชีพ อย่าเพิ่งเชื่อ อย่าเพิ่งแชร์ อย่าเพิ่งโอน” ให้กับสมาชิกชมรมสมองใสใจสบาย ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) เริ่มต้นด้วยการชวนคิดด้วยคำถาม ทำไมเราจึงหลงเชื่อ (และ/หรือ) ส่งต่อข้อมูลที่ดูอย่างไรก็ไม่จริงแน่ๆ? เช่น มะนาวโซดารักษามะเร็ง ดูอย่างไรก็ไม่น่าเชื่อว่าเป็นไปได้ แต่หลายคนก็ยังแชร์ไปให้คนอื่นๆ ซึ่งก็อาจเป็นเพราะ ความหวังดี กลัวคนใกล้ชิดจะไม่ได้รับสิ่งดีๆ ก็แชร์ต่อโดยที่ไม่ได้อ่านให้ถี่ถ้วนและพิจารณาว่าน่าเชื่อถือหรือไม่ ซึ่งหากไม่นับการกระทำของมิจฉาชีพ ข่าวลวงส่วนใหญ่ก็มักถูกแชร์ต่อด้วยความรู้สึกหวังดี โดยเฉพาะข่าวลวงที่เกี่ยวกับสุขภาพ

นอกจากนั้น ด้วยความที่วันหนึ่งตนเองกลายมาเป็นผู้ป่วยโรคมะเร็ง ผ่านการทำเคมีบำบัด 8 ครั้ง มีช่วงเวลาที่ร่างกายบอบช้ำ ไม่ค่อยอยากกินอาหาร บางครั้งอยากกินของเปรี้ยวๆ ซ่าๆ และคำตอบคือมะนาวโซดานั่นเอง เพราะกินแล้วรู้สึกสดชื่น เกิดความมั่นใจที่จะเข้ารับการรักษาตามกระบวนการต่อไป แต่เพราะแบบนี้ที่ทำให้ขยายความกันจนเกินไปว่ามะนาวโซดารักษามะเร็ง ซึ่งจริงๆ ควรจะบอกว่า มะนาวโซดา ผู้ป่วยดื่มได้ช่วยให้สดชื่น แต่ต้องระวังความหวาน และกินตอนท้องว่างก็ระวังกรดไหลย้อน เป็นต้น  เช่นเดียวกับกัญชา ที่อาจจะเหมาะกับผู้ป่วยมะเร็งบางระยะและบางคนช่วยบรรเทา แต่กับบางคนไม่เหมาะที่จะใช้ ซึ่งไม่สามารถคิดเองได้เพราะเราไม่ใช่แพทย์ แต่เข้าใจได้ว่าคนไทยค่อนข้างเชื่อเรื่องการแพทย์ทางเลือก และนี่เป็นอีกเหตุผลของการเกิดข่าวลวง อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่การพบแพทย์มีข้อจำกัด หลายคนเข้าไม่ถึง หรือแม้จะเดินทางมาได้แต่ก็มีเวลาพบแพทย์จริงๆ ไม่นานนัก ทำให้คนจำนวนไม่น้อยเลือกจะค้นหาและเชื่อข้อมูลที่ปรากฏบนอินเตอร์เน็ต

ทั้งนี้ สมัยที่ตนเองเป็นหนึ่งในคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เวลานั้น กสทช. พยายามส่งเสริมให้คนไทยเข้าถึงอินเตอร์เน็ตระดับ 3G 4G และ 5G ตามลำดับ เพื่อให้ทุกคนมีโอกาสเข้าถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากมาย แต่ทุกอย่างมีด้านบวกย่อมมีด้านลบ ปัจจุบันคนไทยเข้าถึงอินเตอร์เน็ตกันมากแล้ว เช่น ย้อนไปเมื่อ 10 ปีก่อน จะมีสักกี่คนที่ใช้บริการโอนเงินทางออนไลน์ แต่กลับกันคือทุกวันนี้ยังมีสักกี่คนที่ไม่ใช้บริการดังกล่าว

เดี๋ยวนี้นานๆ จะเจอคนที่ไม่ทำธุรกรรมออนไลน์ เพราะใช้กันเยอะมากรวมทั้งผู้สูงอายุ  คนที่ไม่ทำก็ไม่ได้ผิดอะไร ปลอดภัยกว่าด้วยซ้ำ แต่คนที่ใช้ไม่ได้ผิดอะไรเช่นเดียวกัน แต่ต้องตื่นตัวให้มันปลอดภัยมากขึ้น สุภิญญา กล่าว

ขณะที่ ร.ต.ท.กฤษกรณ์ ก้องศักดิ์ศรี รองสารวัตร กลุ่มงานป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี บท.ตอท. กล่าวว่า คดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากมิจฉาชีพโจมตีระบบโดยตรง แต่เกิดจากมิจฉาชีพสามารถทำให้เหยื่อกดติดตั้งโปรแกรมที่ทำให้มิจฉาชีพสามารถควบคุมอุปกรณ์ของเหยื่อจากระยะไกลได้ หรือทำให้เหยื่อบอกข้อมูลสำคัญกับมิจฉาชีพ เช่น รหัสผ่าน 

เมื่อดูสถิติรับแจ้งความออนไลน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 2565 – 31 ต.ค. 2567 มีจำนวนคดีทั้งหมด 708,141 คดี มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 7 หมื่นล้านบาท หรือเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 77 ล้านบาท 5 อันดับคดีออนไลน์ อันดับ 1หลอกซื้อ-ขายสินค้า อันดับ 2 หลอกให้โอนเงินโดยอ้างว่าจะมีงานให้ทำ อันดับ 3 หลอกให้กู้เงิน อันดับ 4 หลอกให้ลงทุน และอันดับ 5 การข่มขู่ทางโทรศัพท์ หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์

โดยกลโกงที่พบบ่อยๆ เช่น หลอกซื้อ-ขายสินค้า มิจฉาชีพมักใช้วิธีตั้งราคาถูกกว่าที่เคยพบเห็นโดยทั่วไปอย่างมาก อาทิ ของชิ้นหนึ่งเคยเห็นวางขายและเคยซื้อในราคา 800 บาท แต่มีเพจหนึ่งโฆษณาว่าขาย 500 บาท และบอกว่าใครสั่งซื้อไวจะได้ไปเลยเพราะมีเพียงชิ้นเดียว เร้าให้คนเรามีสติน้อยลงเพราะอยากได้ของถูก การขายสินค้าปลอมในราคาเท่าของแท้ เช่น รองเท้ากีฬา ทองคำ การปลอมเพจหรือบัญชีเฟซบุ๊กแอบอ้างเป็นร้านค้า ห้างสรรพสินค้า หรือบุคคลมีชื่อเสียง เป็นต้น

วิธีการตรวจสอบ อาทิ 1.ตรวจสอบนอกแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ สามารถนำชื่อบุคคลหรือชื่อบัญชีธนาคารไปค้นหาในเว็บไซต์อย่าง Google ว่าเคยมีประวัติการโกงหรือไม่ หรือที่เว็บไซต์อย่าง www.chaladohn.com หรือ www.blacklistseller.com ซึ่งเป็นฐานข้อมูลผู้ค้าที่เชื่อถือได้และผู้ค้าที่มีประวัติการโกง 2.การดูเพจเฟซบุ๊ก ซึ่งมีเพจปลอมเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ขั้นแรกของการสังเกตคือ “ต้องมีเครื่องหมายถูกสีฟ้าต่อหลังชื่อเพจเท่านั้น” เพราะปัจจุบันมีมิจฉาชีพหัวใสใช้วิธีตัดต่อเครื่องหมายถูกสีฟ้าใส่เข้าไปในรูปโปรไฟล์เพจให้ดูเหมือนเป็นเพจจริง  หรืออีกวิธีหนึ่งคือ “ดูประวัติการตั้งเพจ (และ/หรือ) เปลี่ยนชื่อเพจ”สามารถเข้าไปดูโดยเริ่มจากคลิกที่ “เกี่ยวกับ (About)” แล้วตามด้วย “ความโปร่งใสของเพจ (Page transparency)” และ “ดูทั้งหมด (See all)”ซึ่งเพจที่ดูแล้วน่าสงสัยจะเป็นเพจปลอม คือมีการเปลี่ยนชื่อบ่อยๆ และชื่อที่เปลี่ยนไม่มีอะไรสอดคล้องกันเลย ดังตัวอย่างที่เคยพบ เช่น บางเพจตั้งชื่อมาตอนแรกขายอาหารเกาหลี สักพักเปลี่ยนชื่อไปขายระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ สักพักเปลี่ยนชื่อไปขายกระดาษทิชชู่ และเปลี่ยนไปอื่นๆ อีกมากมาย

ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งที่เห็นแล้วให้สงสัยไว้ก่อนเลยว่าอาจเป็นเพจปลอม คือระยะเวลาการตั้งเพจที่สั้นผิดปกติ เช่น มีเพจปลอมแอบอ้างหน่วยงานตำรวจไซเบอร์ เพิ่งตั้งได้เพียง 1 เดือน ทั้งที่หน่วยงานดังกล่าวมีมาแล้วหลายปี เป็นต้น หรือห้างสรรพสินค้าบางเจ้าเปิดกิจการในไทยมาแล้วหลายสิบปี จู่ๆ มีเพจห้างฯ นั้นที่ระบุว่าเพิ่งตั้งได้เพียง 1-2 เดือน ก็คงไม่น่าเป็นไปได้ว่าจะเป็นเพจจริง

รวมถึงที่อยู่ของแอดมินหรือผู้ดูแลเพจ โดยทั่วไปหากเป็นเพจจริง หากองค์กรหรือกิจการนั้นเปิดทำการในประเทศใด แอดมินทุกคนหรือเกือบทั้งหมดต้องอยู่ในประเทศนั้น เช่น มีเพจปลอมแอบอ้างหน่วยงานรัฐของไทย เมื่อกดเข้าไปดูความโปร่งใสของเพจ พบว่ามีแอดมินอยู่ในประเทศไทยเพียงคนเดียว นอกนั้น 8 คนอยู่ในเมียนมา 1 คนในโคลอมเบีย และอีก 1 คนในอินโดนีเซีย ซึ่งทั้งประวัติการตั้งและเปลี่ยนชื่อเพจ ระยะเวลาการตั้งเพจ และที่อยู่แอดมินเพจ เป็น 3 เรื่องที่ต้องดูควบคู่กันก่อนตัดสินใจว่าจะเชื่อและติดต่อกับเพจนั้นหรือไม่

มิจฉาชีพก็เริ่มมีการซื้อเพจจากที่มีเครื่องหมายถูกสีฟ้าอยู่แล้ว ซื้อต่อมาแล้วก็เอามายิงโฆษณารับแจ้งความร้องทุกข์หรือเป็นหน่วยงาน คือเวลาเราเตือนภัยอะไรไป มิจฉาชีพจะปรับรูปแบบการทำงานตามที่เตือนภัยเลย ฉะนั้นก็พยายามอัปเดตข่าวสารกันไว้ด้วย ร.ต.ท.กฤษกรณ์ กล่าวถึงกลอุบายใหม่ในการสร้างเพจปลอมของมิจฉาชีพ

ร.ต.ท.กฤษกรณ์ กล่าวต่อไปว่า เมื่อรู้ตัวว่าถูกหลอกซื้อ-ขายสินค้าทางออนไลน์ หลักฐานที่ต้องเตรียมไว้สำหรับนำไปแจ้งความ เช่น ภาพโปรไฟล์ของผู้ค้า , โพสต์ที่ประกาศขายสินค้า , ข้อความสนทนาเพื่อซื้อ-ขายสินค้า , ชื่อและเลขบัญชีธนาคารที่โอนเงินไป พร้อมหลักฐานการโอนเงินหลักฐานเหล่านี้ควรมีให้ครบถ้วนเพื่อให้ตำรวจทำการสืบสวนได้ง่าย

ขณะที่การหลอกลวงทางโทรศัพท์ หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีตัวอย่าง เช่น อ้างว่าเป็นญาติสนิทมิตรสหายมาขอยืมเงิน โดยใช้หมายเลขโทรศัพท์ปลอมติดต่อไปยังเหยื่อ อ้างว่าเปลี่ยนเบอร์ใหม่ และหลายครั้งมิจฉาชีพไม่ได้ปลอมเสียงให้เหมือนบุคคลนั้น แต่ที่เหยื่อหลงเชื่อก็เพราะในความเป็นจริงเราไม่สามารถจำเสียงคนได้ทุกคน แต่ ณ เวลานั้นเราได้เผลอนึกตามไปที่มิจฉาชีพบอก ทำให้เชื่อว่าปลายสายเป็นคนที่เรารู้จักจริงๆ ซึ่งวิธีป้องกันคือ หากมีหมายเลขโทรศัพท์ของคนคนนั้นอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว ให้ลองโทรศัพท์ไปสอบถามว่าได้ติดต่อมาขอยืมเงินจริงหรือไม่

ส่วนการแอบอ้างเป็นหน่วยงานต่างๆ พร้อมกับหาช่องทางส่งเอกสารมาให้เหยื่อเพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ ความยากคือการตรวจสอบว่าเอกสารที่ส่งมาเป็นของจริงหรือไม่ เช่น คนที่เป็นตำรวจอาจรู้เฉพาะแบบเอกสารหรือบัตรประจำตัวของตำรวจ แต่ไม่รู้ว่าแบบเอกสารของการไฟฟ้าหรือบัตรเจ้าหน้าที่การไฟฟ้ามีหน้าตาเป็นอย่างไร วิธีการที่ดีที่สุดคือหากได้รับเอกสารมาก็ให้ไปถามกับหน่วยงานนั้นโดยตรง ซึ่งเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด

ส่วนการส่ง SMS แอบอ้างเป็นธนาคารหรือหน่วยงานต่างๆ ประการแรกคือ ปัจจุบันธนาคารยกเลิกการส่ง SMS พร้อมกับแนบ Link ไปแล้ว หลังมิจฉาชีพใช้อุปกรณ์ False Base Station สวมรอยเป็นธนาคารส่ง SMS ปลอมกันมาก ส่วนหน่วยงานหรือองค์กรอื่นๆ ที่ยังใช้ SMS แนบ Link อยู่ ขอให้ดู URL ของ Link ที่แนบมาให้ดีๆ ว่าใช่ของหน่วยงานนั้นจริงหรือไม่ก่อนคลิก เช่นเดียวกับเว็บไซต์ปลอม ที่ต้องดู Link โดยละเอียดว่าสะกดถูกหรือไม่

อนึ่ง ในอดีตมิจฉาชีพจะใช้วิธีโทรศัพท์ข้ามประเทศผ่านอินเตอร์เน็ต ซึ่งเหยื่ออาจสังเกตและระวังตัวได้ง่ายเพราะหมายเลขโทรศัพท์จะดูแปลกๆ เช่น มีเครื่องหมายบวกนำหน้า หรือมีตัวเลขจำนวนมากกว่าหมายเลขโทรศัพท์ปกติในประเทศไทย ทำให้ระยะหลังๆ มิจฉาชีพหันมาใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า Sim Box วิธีการคือนำซิมโทรศัพท์ไปใส่ ซึ่ง 1 ซิมสามารถโทรหาผู้รับได้หลายสิบหรือเป็นร้อยเครื่องแล้วแต่สเปคของอุปกรณ์ Sim Box โดยเหยื่อจะเห็นเป็นหมายเลขโทรศัพท์ 10 หลักซึ่งใช้เป็นปกติในไทย 

ที่น่าห่วงคือ ยังมีคนที่พร้อมเอาชีวิตไปเสี่ยงกับการรับจ้างเปิดบัญชีม้า แม้ปัจจุบันกฎหมายไทยมีลักษณะ ยาแรง คือ หากพบบุคคลใดขายหรือปล่อยให้นำบัญชีธนาคารของตนเองไปให้บุคคลอื่นใช้ทำผิดกฎหมาย บุคคลนั้นจะถูกอายัดทุกบัญชีธนาคารที่มี แม้กระทั่งบัญชีที่ไว้ใช้รับเงินเดือนหรือทำธุรกิจตามปกติ แต่ปัจจุบันก็ยังพบโฆษณาชักชวนให้เปิดบัญชีแล้วนำไปขายอยู่เนืองๆ โดยคนเหล่านี้จะไปแฝงตัวอยู่ในกลุ่มหางาน ซึ่งสำหรับคนที่กำลังลำบากเรื่องการหาเงิน-หางาน ก็อาจยอมเสี่ยงถูกจับกุมฐานเปิดบัญชีม้าโดยแลกกับเงินเพียงไม่กี่ร้อยบาท

“ไลน์” ก็เป็นอีกช่องทางที่มิจฉาชีพใช้หลอกลวงเหยื่อ เนื่องจากเป็นแอปพลิเคชั่นสนทนาที่ได้รับความนิยมมาก อีกทั้งมีบริการ “บัญชีธุรกิจ” ที่แบ่งสัญลักษณ์เป็น 3 ระดับ คือ “โล่สีเทา” ลงทะเบียนได้ง่ายและไม่เสียค่าใช้จ่าย ในขณะที่อีก 2 ระดับที่สูงกว่าอย่าง “โล่สีน้ำเงิน – โล่สีเขียว” ต้องส่งเอกสารยืนยันตัวตนที่ค่อนข้างยุ่งยากและต้องเสียค่าบริการรายเดือน ดังนั้นหากเป็นธุรกิจหรือหน่วยงานที่ต้องการความน่าเชื่อถือ ก็มักจะลงทุนเพื่อให้ไลน์รับรองเป็นเครื่องหมายโล่สีน้ำเงินหรือสีเขียว เพื่อป้องกันมิจฉาชีพสร้างบัญชีไลน์ปลอมขึ้นมาแอบอ้าง

แต่ไม่ว่าจะเป็นการหลอกลวงแบบใด ระวังไว้ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อจะดีที่สุด” เพราะเงินที่โอนไปจะถูกส่งผ่านบัญชีม้าเป็นทอดๆ อย่างรวดเร็วเพียงไม่กี่นาที และหลายครั้งยังพบการแปลงเป็นสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) จนติดตามกลับคืนได้ยาก อีกทั้งไม่ว่าจะสืบสวนอย่างไรแต่สุดท้ายก็ไม่สามารถสาวไปถึงตัวการใหญ่ เนื่องจากมิจฉาชีพเหล่านี้มีฐานปฏิบัติการอยู่ในต่างประเทศ แม้จะใกล้กันในระดับเพื่อนบ้าน แต่ก็อยู่นอกเขตอำนาจหน้าที่ที่ตำรวจไทยจะเข้าไปจับกุมดำเนินคดี

หมายเหตุ : สามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ https://www.facebook.com/100051119811082/videos/571601168590964/?locale=th_TH

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 9 พฤศจิกายน 2567

ดื่มน้ำโซดาช่วยย่อยอาหารได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2n2rm2544h6s3#_=_


จำหน่ายบัตรราคาพิเศษพร้อมการเดินทางไม่จำกัดบนระบบขนส่งสาธารณะทุกประเภทในกรุงเทพฯ และพื้นที่โดยรอบเป็นเวลา 6 เดือน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2kzt593uvjxeq


การดื่มสารละลายคลอรีนไดออกไซต์ (CDS) ผสมน้ำทุกวันจะช่วย‘ล้างสารพิษ’จากไวรัส…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/k5r26g6xuj7w


บุหรี่ไฟฟ้าอันตรายน้อยกว่าบุหรี่มวน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2um4wzpkbpw2l


ลอยกระทง 2567 เที่ยวงาน Bangkok River Festival จัด 10 ท่าน้ำ มีเรือรับ-ส่งฟรี

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/14xli072l92vm


ลุ้นอีกปี! ขึ้นค่าแรง 400 บาทของขวัญปีใหม่ 68

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3h18j1q9c349s



‘สิทธิประกันสังคม’ เช็กเลย สถานพยาบาล 77 แห่ง ฟอกไตด้วย ‘เครื่อง APD’ ฟรี

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1lpb5yrx6so09


กทม.เตรียมบังคับฝังไมโครชิป “สุนัข-แมว” ทุกตัว ลดปัญหาสัตว์จร

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/21g5nefw8am10u


กทม. ปรับปรุงค่าธรรมเนียมค่าเก็บขยะรายเดือนใหม่ แยกขยะจ่าย 20 บาท ไม่แยก 60 บาท

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/255i8ab4by732


ตัดสายโจรหรือมิจฉาชีพ กด *1185# แจ้งปุ๊บ บล็อกไว

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/19zgzyfmr5f16


การใส่หูฟังนานๆทำให้หูหนวกได้

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/kb4sotwhve7x


ห้ามรถบรรทุกเข้ากรุงเทพฯ หากค่าฝุ่น PM 2.5 สีแดง

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/j42x5ae817al


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 2 พฤศจิกายน 2567

ธนาคารกรุงไทย ส่งเอกสารแจ้งตรวจพบความผิดปกติแอปพลิเคชัน Krung  NEXT…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/ndrv5jyy4m2s



อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ประกาศปิดแหล่งท่องเที่ยวน้ำตกสิริธารชั่วคราว

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2xn3mm0f4tb4h


AOT เตรียมเปิดใช้ระบบสแกนหน้าเช็คอินก่อนขึ้นเครื่อง เริ่ม 1 พ.ย. 67 นี้

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/18ityjqu87xxb


สวมทองคำตอนฟ้าคะนองทำให้ฟ้าผ่า

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2m3gvcbam7ezk


รับประทาน“เนื้อแดง”ในปริมาณมากเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/110vah0qxbqf4


เข้าวัด ฟังธรรม นั่งสมาธิ รักษาโรคซึมเศร้าได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1nq0dl9vocdwz


เตรียมพบกิจกรรม‘เดือนการฟังแห่งชาติ’พฤศจิกายนนี้! เพราะ‘การฟังอย่างเข้าใจ’ดีต่อทั้งตนเองและคนรอบข้าง

รายการ “Cofact Live Talk” ทางเพจเฟซบุ๊ก “Cofact โคแฟค ดำเนินรายการโดย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย)ในวันที่ 17 ต.ค. 2567 ชวนพูดคุยกับ ดร.สรยุทธ รัตนพจนารถ ผู้อำนวยการธนาคารจิตอาส ในประเด็น เดือนแห่งการฟัง ซึ่งตรงกับเดือนพฤศจิกายนของทุกปี

ดร.สรยุทธ อธิบายว่า เดือนพฤศจิกายนนั้นถูกกำหนดเป็น เดือนการฟังแห่งชาติ (National Month of Listening) ในขณะที่ต่างประเทศแม้จะส่งเสริมการฟังอยู่บ้าง แต่จะส่งเสริมในลักษณะกำหนดเป็นวัน  ใน 1 ปีมี 365 วัน กำหนดให้มีเพียงวันเดียว ประกอบกับปัจจุบันมีข้อมูลที่ท่วมท้น จริงบ้างเท็จบ้าง พริบตาเดียววันแห่งการฟังก็ผ่านไปแล้ว นำมาซึ่งการพูดคุยกัน จะเอาเป็นสัปดาห์ดีหรือไม่ ก่อนจะมาสรุปที่เป็นเดือนจะดีกว่า อีกทั้งเดือนพฤศจิกายนเป็นเดือนที่ 11 ซึ่งตัวเลขมีลักษณะเหมือนคนคู่กัน 

จริงๆ เดือนนี้หลายประเทศในโลกให้ความสำคัญ จะมี World Hello Day หรือวันสวัสดีโลก มี World Kindness Day หรือวันความเมตตาโลก มี International Day of Tolerance หรือวันที่เรายอมรับความแตกต่างหลากหลาย รวมถึงจริงๆ ในอเมริกา จะมี Thanksgiving (วันขอบคุณพระเจ้า) แล้วก็จะมี Black Friday  ที่ผู้คนออกไปชอปปิ้ง หลังจากนั้น 1 วัน เขาจัดเป็นวันแห่งการฟัง” 

 ดร.สรยุทธ กล่าวต่อไปว่า ในวงสนทนานั้นจะมีทั้งการฟังและการพูด แต่หากสังเกตให้ดีๆ เมื่อมีคนมารวมตัวกัน เช่น ลองนึกถึงวันที่กลุ่มเพื่อนสมัยเรียนกลับมารวมกลุ่มสังสรรค์ ความสนใจของคนส่วนใหญ่คือ การคิดว่าเมื่อไหร่ตนเองจะมีช่องให้พูดบ้าง น้อยคนที่จะอยากรู้จักและตั้งใจฟังคนที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งวัตถุประสงค์ของการกำหนดเดือนแห่งการฟัง (หรือเดือนการฟังแห่งชาติ) ขึ้นมา คือเพื่อทำให้ความสัมพันธ์ดีขึ้น เป็นของที่เราสามารถมอบให้แก่กันและกันได้ตลอดเวลา เพราะ การฟังและความเข้าใจก็เหมือนของขวัญที่ให้ได้กับทุกคนโดยไม่ต้องใช้เงินทองซื้อหา แต่ใช้เพียงสิ่งที่มีอยู่แล้วคือความตั้งใจและเวลา ด้านหนึ่งเป็นการช่วยเหลือผู้อื่น แต่อีกด้านก็ทำให้เข้าใจตนเองด้วย เพราะนอกจากการฟังผู้อื่นแล้วยังมีการฟังโลก ธรรมชาติและสังคม โลกเป็นอย่างไร? ร้อนหรือว่าเดือด? ความเป็นไปของคนในสังคมเป็นอย่างไร? หรือในระดับลงมาก็คือคนที่อยู่ตรงหน้าเช่น ในที่ทำงาน ในครอบครัว

แต่ก่อนจะไปฟังผู้อื่นหรือโลก ต้องเริ่มจาก ฟังตนเองก่อน บางครั้งเราฟังคนที่อยู่ตรงหน้าได้ไม่ดีเพราะเราอยู่กับโลกในความคิดของเรา จึงเป็นที่มาของหนึ่งในแนวคิดที่นำมารณรงค์ในเดือนแห่งการฟัง ว่าด้วย หลักการฟังที่ดี ที่มี 3 ประการ ได้แก่ 1.ให้ 100% กับคนตรงหน้า 2.เท่าทันเสียงความคิดของเรา ไม่ไหลไปตามความคิด และ 3.ให้ความสำคัญกับอารมณ์ความรู้สึกของทั้งคนที่กำลังพูดคุยอยู่และตนเอง

“เดี๋ยวนี้เรามีเครื่องมือถอดจิตกันเยอะ ก็คือโทรศัพท์มือถือ บางทีหัวหน้าคุยกับลูกน้อง แต่ไม่ได้อยู่กับเขา 100% ดังนั้นวิธี 100% ที่ง่ายที่สุดคือวางมือถือลง มีผู้เชี่ยวชาญเรื่องการสื่อสารพูดคุย เขาบอกว่าแค่วางบนโต๊ะก็ไม่สุภาพ เพราะเป็นการบอกว่าในวงสนทนา ในโต๊ะอาหารที่เรากิน การวางมือถือแม้จะคว่ำหน้าลง มันบอกคนตรงหน้าว่าเราให้ความสำคัญกับสิ่งนี้มากกว่า หากเก็บใส่ในกระเป๋าเลย คนก็จะรู้สึกว่าคนตรงหน้าอยู่กับเรา 100%”

ประการต่อมาคือการเท่าทันความคิดที่อยู่ในหัวสมองของเรา ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ความคิดทำงานอยู่ตลอดเวลา เพราะเราถูกฝึกถูกสอนมาทั้งในครอบครัวและในภาคการศึกษาให้อยู่กับความคิด แต่การพูดคุยกันบ่อยครั้งคนเราก็ไม่ค่อยจะใส่ใจกับคนที่อยู่ตรงหน้า คือหูฟังผ่านๆ พลางพยักหน้าไปด้วย แต่ในใจไปคิดในเรื่องอื่น อาทิ สังเกตการแต่งกายของคู่สนทนาแล้วคิดในใจว่าวันนี้แต่งตัวดีเลือกเสื้อผ้าหน้าผมได้ดี

โดยเฉพาะเมื่อต้องฟังเรื่องที่มีความเห็นต่าง เช่น เลือกพรรคการเมืองคนละพรรค หรือคน 2 คนจะไปเที่ยวด้วยกัน คู่สนทนาอยากไปทะเลแต่ตัวเราอยากไปภูเขา อีกฝ่ายพูดเรื่องทะเลไปแต่เราที่ฟังอยู่ใจก็คิดถึงแต่ภูเขา หรือในทางกลับกัน พอคุยกับคนที่มีความเห็นเหมือนกันก็จะไหลไปกับความคิดที่สอดคล้องกับอีกฝ่ายไปเสียทั้งหมด การฝึกเข้าใจตนเองเพื่อเข้าใจคนที่อยู่ตรงหน้า ยังช่วยป้องกันหรือลดความเสี่ยงจากการถูกหลอกลวงได้ด้วย”เพราะมิจฉาชีพจะใช้ประโยชน์จากกิเลสหรือความอยากได้ของตัวเรา เช่น เมื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรศัพท์มาหลอกลวงก็จะอ้างเรื่องราวต่างๆ อาทิ บอกว่าสายโทรศัพท์กำลังจะถูกตัดเพราะค้างชำระค่าบริการ สิ่งแรกหลังจากได้ฟังคือเราจะตกใจและตื่นเต้น สภาวะแบบนี้จะทำให้ไม่ได้สังเกตตนเองแต่เอาใจไปอยู่กับเรื่องราว ซึ่งมิจฉาชีพก็จะบอกให้แก้ไขและแน่นอนว่าต้องมีการโอนเงิน แต่เมื่อเปลี่ยนจากตื่นเต้นเป็นตื่นตัว จะนำไปสู่การตั้งใจฟังและมักตามด้วยการจับสิ่งผิดปกติได้ อาทิ น้ำเสียง วิธีการพูด  

ประการสุดท้ายคือการให้ความสำคัญกับอารมณ์ความรู้สึกของทั้งคนที่กำลังพูดคุยอยู่และตนเอง หากไม่ฝึกในเรื่องนี้เราก็จะไปมุ่งใส่ใจกันแต่ข้อความที่ได้ฟัง มีตัวอย่างของคนที่เป็นคู่รัก ฝ่ายหนึ่งบอก ไปไกลๆ เลย’ อาจไม่ได้หมายความว่าจะไล่อีกฝ่ายไปจริงๆ แต่มีนัยว่าให้มาดูแลกันหน่อยแม้ไม่ต้องประชิดตัวกันก็ได้เพราะกำลังหงุดหงิดแต่หากเราไม่ใส่ใจอารมณ์ความรู้สึกก็จะพลาดความหมายตรงนี้ไป 

“คนจีบกันใหม่ๆ เขาคุยกันระดับเสียงเป็นอย่างไร? มันจะกระซิบกระซาบ ที่เขากระซิบกระซาบกันเพราะอะไร? แค่กระซิบมันก็ได้ยิน แล้วจริงๆ แค่จะอ้าปากมันก็ได้ยินเสียงที่ออกมาจากใจ-จากแววตา หรือคนที่คุยกันไปเสียงดังทะเลาะกันมากขึ้นเรื่อยๆ ทำไมต้องเสียงดังขึ้น? เพราะเขารู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ได้ยินสิ่งที่จะพูด เลยต้องเสียงดังขึ้นเผื่อคนตรงหน้าจะได้ยินสิ่งที่บอก แต่ถ้าคนข้างหน้ารับฟัง พยักหน้าแล้วทวนสิ่งที่เขาพูดมาว่าอย่างนี้ใช่ไหม? เขาก็จะเบาลงเย็นลงตามธรรมชาติ เพราะเขารู้สึกว่าสิ่งที่พูดคนข้างหน้าได้ยินแล้ว”

 ดร.สรยุทธ อธิบายประเด็นนี้เพิ่มเติมว่า ไม่มีเหตุผลที่มนุษย์จะพูดซ้ำย้ำประโยคเดิมด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นเมื่ออีกฝ่ายได้ยินและทวนคำพูดนั้นแล้วเพราะการที่ทวนคำพูดได้ก็แสดงว่าได้ยินแล้ว การพูดคุยก็จะง่ายขึ้น ทั้งนี้ การทำงานของธนาคารจิตอาสา งานเบื้องหน้าคืองานอาสา หรือการทำเรื่องความสุขของประเทศไทย สร้างเนื้อหาการเรียนรู้เรื่องความสัมพันธ์ แต่งานเบื้องหลังคือเรื่อง สุขภาวะทางปัญญา อธิบายง่ายๆ ก็คือความสุขที่เกิดจากการเข้าใจตนเอง เห็นความเชื่อมโยงระหว่างตนเองกับผู้อื่น รวมถึงกับโลกและธรรมชาติ

การฟังเป็นเครื่องมือที่ใช้ได้ทุกที่-ทุกเวลา แม้กระทั่งตอนนอน เพราะเมื่อเราฝึกฟังตนเองให้ดีไม่เป็น ก็จะเก็บเรื่องราวต่างๆ ไปคิดไปฝัน เมื่อตื่นขึ้นมาก็ไม่สดชื่น แต่หากฟังตนเองและผ่อนคลายให้เป็นก็จะทำให้นอนหลับได้สบาย แม้จะใช้เวลาไม่นานแต่ตื่นมาก็สดชื่นได้ โดยกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นในเดือนแห่งการฟังจะมี 3 อย่าง 1.Listenian Space 2.Listenian Class และ 3.Listenian Challenge ซึ่ง Listenian หมายถึงคนที่จะมาฝึกฝนตนเอง พัฒนาศักยภาพและกลายเป็นผู้ฟังที่ดี

โดย Listenian Space คือพื้นที่ที่จะให้คนมามีประสบการณ์ได้ฟังการรับฟังที่ดี ซึ่งตลอดเดือนตุลาคม 2567 ธนาคารจิตอาสาได้ฝึกอบรมอาสาสมัครหลายร้อยคน รวมถึงจัดการฝึกอบรมเรื่องการฟังอยู่ทุกเดือนต่อเนื่องมา 10 ปีแล้ว โดยเฉพาะช่วงสถานการณ์โรคระบาดก็จัดผ่านโปรแกรม Zoomทุกวัน ซึ่งการสร้าง Listenian นี้ก็เพื่อให้ไปจัดพื้นที่รับฟังในที่ต่างๆ ตั้งแต่พื้นที่ธรรมชาติอย่างสวนรถไฟ พื้นที่รวมกลุ่มของวัยรุ่นอย่างสามย่านมิตรทาวน์ ห้างสรรพสินค้าเอ็มควอเทียร์ สถานปฏิบัติธรรมสวนโมกข์กรุงเทพ ฯลฯ

รวมถึงการจัดพื้นที่รับฟังแบบเฉพาะกลุ่ม เช่น พ่อแม่ที่กำลังต้องเลี้ยงลูก ผู้หญิง LGBTQ+ ทั้งกรุงเทพฯ ต่างจังหวัดและผ่านช่องทางออนไลน์ ทั้งหมดนี้สามารถเข้าร่วมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยหวังสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมเห็นว่าการมีผู้ฟังที่ดีนั้นเป็นอย่างไร เมื่อไปฟังผู้อื่นก็จะได้เป็นผู้รับฟังที่ดีแบบนี้บ้าง ขณะที่ Listenian Class สำหรับคนที่เห็นประโยชน์ของการฟังที่ดีแต่ไม่รู้จะไปเรียนที่ไหน ตลอดทั้งเดือนพฤศจิกายน 2567 จะมีการเปิดอบรมทั้งวันธรรมดาและวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย 

สุดท้ายคือ “Listenian Challenge” เป็นการท้าทายตนเองโดยออกจากพื้นที่คุ้นชิน เช่น คนเป็นพ่อแม่ ลูกเดินกลับบ้านมาเสียงดัง ถอดรองเท้าวางไม่เรียบร้อย หากความคุ้นชินคือการโวยวายออกไป อยากให้ลองฝึกรับมือในรูปแบบอื่น หรือนั่งรับประทานอาหารกับคนอื่นๆ ที่บ้าน ปกติจะชอบเล่นโทรศัพท์มือถือไปด้วยก็ลองไม่ใช้ดู การลองใช้เวลากับคนตรงหน้าสัก 5 นาที ฟังอย่างเดียวโดยไม่ทำอย่างอื่นเลย ไปจนถึงการฟังคนที่เราไม่เห็นด้วยและอาจทำให้หัวร้อนได้ ให้เวลาสัก 5 นาที แล้วมาเล่าว่าเป็นอย่างไรบ้าง เป็นต้น

ผมคิดว่าการฟัง จะพูดได้ว่ามันแก้ปัญหาได้ทุกอย่างในโลกเลย เพราะหลายปัญหาในใจเรามันเกิดจากเรื่องของการฟัง แม้เป็นปัญหาที่อาจจะอยู่นอกตัวแล้วเรารู้สึกว่ามันไกลไม่ใช่เรื่องการฟังปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาสุขภาพ ปัญหาการเรียน ปัญหาความสัมพันธ์ ทุกอย่างสามารถทำให้คลี่คลายและดีขึ้นด้วยการฟัง ก็อยากเชิญชวนให้พวกเราทุกคนได้มาลองฝึกฟัง และลองมอบของขวัญของการรับฟังให้กับตัวเราและคนที่อยู่รอบๆ ตัวเราได้” ดร.สรยุทธ ฝากทิ้งท้าย

หมายเหตุ : ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ https://www.happinessisthailand.com/หรือเพจเฟซบุ๊ก “ความสุขประเทศไทย” https://www.facebook.com/happinessisthailand/?locale=th_TH

รับขมคลิป https://www.facebook.com/share/r/fdxSLKJGbm83ANMT/?mibextid=qDwCgo

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

การ์ด Fact Check เด้อ ดาวน์โหลดฟรี

ท่านที่ต้องการการ์ด Fact Check เด้อ วันนี้เรามีให้โหลด  เพื่อนำไปเป็นการ์ดชวนตั้งคำถามและข้อสงสัยในการวิเคราะห์ว่าเนื้อหาไหนจริงหรือเท็จ  ให้เราไม่ตกเป็นเหยื่อข่าวปลอมหรือแก๊งค์มิจฉาชีพ  หรือใครสนใจนำไปเป็นหลักสูตรในการสอนต่อก็ยินดีเลย

ดาวน์โหลดได้ตามลิ้งค์นี้เลย

https://drive.google.com/drive/folders/1EwxSbuPIcauHiD8RvfXMDewJIbLQ

ขอบคุณข้อมูล

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 26 ตุลาคม 2567

 เว็บไซต์พนันออนไลน์ในประเทศไทยยังคงผิดกฎหมาย  

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3f5w3i4wy5jxn#_=_


กรมอุตุฯ ประกาศเมืองไทย เข้าสู่ฤดูหนาว 29 ต.ค. อุณหภูมิต่ำ6-8 องศา

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/amwibgu07tw0


 องุ่นไชน์มัสแคท” ทานได้ อย.แนะล้างให้ถูกวิธีเพื่อลดสารตกค้าง

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/272iz5pa6w6fa


  รายชื่อ 42 จังหวัด ลดเงินสมทบประกันสังคม ม.33 และ ม.39 เหลือ 283 บาท ถึง มี.ค. 68

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3q4fkro2hi6i0


   WI-FI สาธารณะอันตราย

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/2mu5kmh4bk2iu#_=_


จาก‘สัปดาห์รู้เท่าทันสื่อ’สู่‘เดือนการฟังแห่งชาติ’ ทักษะ‘ตระหนักรู้ใจตน-ฟังคนอย่างมีคุณภาพ’สำคัญในยุคดิจิทัล

รายการ “Cofact Live Talk” ทางเพจเฟซบุ๊ก “Cofact โคแฟค” ดำเนินรายการโดย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย)ในวันที่ 21 ต.ค. 2567 ชวนพูดคุยกับ ญาณี รัชต์บริรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมระบบสื่อและสุขภาวะทางปัญญา (สำนัก 11) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ในหัวข้อ “จากสัปดาห์การรู้เท่าทันสื่อ MIDL สู่เดือนการฟังแห่งชาติ”

โดยคุณญาณี เริ่มต้นด้วยการอธิบายคำว่า “MIDL” ที่หมายถึง Media Information Digital Literacy เป็นการรู้เท่าทันสื่อสารสนเทศและเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในยุคปัจจุบันและอนาคตที่เครือข่ายหลายๆ ประเทศเห็นความสำคัญของทักษะนี้  ทางองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ(UNESCO) จึงได้จัดสัปดาห์การรู้เท่าทันสื่อในเดือนตุลาคมของทุกปีในระดับสากล ส่วนแต่ละประเทศก็จะจัดงานภายในประเทศตนเอง  สำหรับประเทศไทย จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-25 ต.ค. 2567 ณ อาคาร KX Knowledge Xchange (สถานีรถไฟฟ้า BTS กรุงธนบุรี) นอกจากนั้นจะมีกิจกรรมกระจายในต่างจังหวัดด้วย จนถึงวันที่ 31 ต.ค. 2567 โดยภาคีเครือข่าย มีรูปแบบกิจกรรมทั้งออนไซต์และออนไลน์ โดยวัตถุประสงค์ของงานสัปดาห์การรู้เท่าทันสื่อ ในระดับสากลมุ่งเน้นการเชื่อมโยงเครือข่ายที่ขับเคลื่อนงานสร้างทักษะเท่าทันสื่อ การเฝ้าระวังสื่อ การป้องกันภัยจากสื่อออนไลน์กับเด็กและเยาวชน

จุดสำคัญคือ ประเทศไทยเองยังขาดการบูรณาการในการขับเคลื่อนเรื่องทักษะเท่าทันสื่อ  ดังนั้นงานสัปดาห์การรู้เท่าทันสื่อที่จัดขึ้นจึงเป็นโอกาสในการเชื่อมต่อคนทำงานขับเคลื่อนด้านของ MIDL ในประเทศ ให้มารวมกันแล้วได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ได้เชื่อมโยงงานกัน มีโอกาสได้ผลักดันข้อเสนอเชิงนโยบาย

สำหรับงานสัปดาห์การรู้เท่าทันสื่อ เจ้าภาพหลักคือสถาบันสื่อเด็กและเยาวชน (สสย.) ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ นอกจากนั้นยังมีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) โดยคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี อีกทั้งยังมี 30 เครือข่ายที่เกี่ยวข้อง จะมารวมตัวกันสร้างพื้นที่ที่มีความหลากหลายในประเด็นที่เกี่ยวข้อง มาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้และเชื่อมร้อยกัน

คุณญาณี เล่าต่อไปว่า หากย้อนกลับไปราว 10 กว่าปีก่อน เรื่องการรู้เท่าทันสื่อจะแตกต่างกับในปัจจุบันอย่างมาก เช่น ยุคนั้นจะเน้นเรื่องสื่อหลัก เช่น โทรทัศน์ วิทยุ แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปความซับซ้อนของสื่อมากขึ้น ข้อดีคือได้ใช้ประโยชน์ทั้งการเรียนรู้ ความบันเทิง การเชื่อมความสัมพันธ์ แต่ก็ต้องระวังภัยคุกคามที่เข้ามา เช่น ภัยต่อเด็กและเยาวชน เรื่องเพศ การพนันออนไลน์ ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ดีต่อสุขภาพ การระรานทางออนไลน์ (Cyberbullying) ถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) ซึ่งนอกจากรู้เท่าทันแล้วต้องทำงานเชิงรุก ไม่ใช่ตั้งรับอย่างเดียว โดยเฉพาะการสร้างความเข้มแข็งของภาคพลเมือง ให้คนทั่วไปซึ่งทุกคนใช้โทรศัพท์มือถือเป็นพลเมืองที่เท่าทันสื่อและใช้สื่ออย่างเป็นประโยชน์ต่อตนเอง หรือยกระดับขึ้นไปกว่านั้นคือการเป็นพลเมืองที่สร้างสรรค์สื่อออกไปยังชุมชนหรือสภาพแวดล้อมที่คนคนนั้นอยู่ได้ด้วย  

และเนื่องจากยุคปัจจุบันเป็นยุคเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ดังนั้นสัญลักษณ์ของงานสัปดาห์การรู้เท่าทันสื่อ จึงออกแบบมาสค็อตของงานคือ “A (m) I” ที่พ้องกับคำว่า “Ami” ที่แปลว่า เพื่อน ในภาษาฝรั่งเศส ให้มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับ แมงมุม สื่อถือการเชื่อมโยงเครือข่ายต่างๆ โดยเริ่มจากตนเองก่อน เช่น เมื่อจะใช้สื่อต้องตระหนักรู้ถึงความรู้สึกในขณะนั้นว่าเป็นอย่างไร หรือก็คือ มีสติ ก่อนตัดสินใจโต้ตอบหรือสื่อสารกลับไป 

“ที่สำคัญคือ งานนี้จะไม่ใช่คนทำงานที่เป็นผู้ใหญ่ จะมีเครือข่ายแกนนำเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นพลเมืองในยุคที่ดิจิทัลที่ขับเคลื่อนแล้วก็ใช้สื่อเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในชุมชนในพื้นที่ของเขา ฉะนั้นถ้าเราดูจากวาระของงาน โดยเฉพาะในวันแรกที่มีตัวแทนทั้งจาก UNESCO แล้วก็จะมีผู้แทนที่เป็นเยาวชนคนหนุ่ม-สาว ได้เป็นผู้พูดหลัก ที่จะเข้ามาพูดถึงการใช้เทคโนโลยีโดยเฉพาะ AI ในการสร้างสรรค์ ในการสร้างการเปลี่ยนแปลง แล้วก็การรู้เท่าทันทั้งโลกภายในและโลกภายนอก”

จากงานสัปดาห์การรู้เท่าทันสื่อ หรือ MIDL Week สู่ เดือนการฟังแห่งชาติ ที่มีธนาคารจิตอาสา และทีมงานเพจความสุขประเทศไทย เป็นผู้ริเริ่มชักชวนเครือข่ายเข้ามาร่วมกิจกรรม ที่มาที่ไปของงานนี้เนื่องจากการฟังเป็นจุดเริ่มต้นของการทำความสัมพันธ์ในทุกระดับให้ดีขึ้น โดยเฉพาะในปัจจุบันที่คนพูดหรือสื่อสารผ่านช่องทางต่างๆ กันมาก แต่ฟังกันไม่เป็น แม้กระทั่งการฟังเสียงความต้องการ คุณค่าและความรู้สึกภายในของตนเอง รวมถึงการฟังผู้อื่นที่มาพูดคุยกับเรา ซึ่งการฟังอย่างมีคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญและต้องเป็นทักษะ

“คนปัจจุบันมีความเหงาโดดเดี่ยวเยอะ และยิ่งเรามาใช้ชีวิตอยู่ในโลกดิจิทัลหรือโลกออนไลน์เยอะมากๆ เราอยู่กับมือถือ อยู่กับโน้ตบุ๊กต่างๆ มันทำให้คุณภาพของความสัมพันธ์นั้นมันค่อยๆ ถอยลงไป คุณภาพมันไม่ดีเพราะเราอยู่กับอะไรที่มันไม่ใช่คน เราไม่มีโอกาสได้วางมือถือหรืออุปกรณ์สื่อสาร ได้สื่อสารแบบมนุษย์กับมนุษย์ นี่คือช่องว่างของปัญหาหรือความสัมพันธ์”

คุณญาณี กล่าวว่า การฟังเป็นทักษะที่ต้องใช้การฝึกฝน อย่างข้อแรกที่เป็นหลักคือ การอยู่กับคนตรงหน้าแบบ 100%” ไม่มีการทำอย่างอื่นไม่ว่าจะเป็นใช้โทรศัพท์มือถือ รับประทานอาหาร ขับรถ ฯลฯ  ประการต่อมาคือ คนเรามักฟังแล้วตกร่องเช่น ฟังแล้วสอดแทรก ไม่ว่าตั้งคำถาม แนะนำ ตัดสิน ฯลฯ ซึ่งบางทีอีกฝ่ายอาจต้องการเพียงการระบาย อีกประการหนึ่ง เท่าทันอารมณ์ของตนเอง” รู้ว่ากำลังรู้สึกอย่างไรขณะฟัง หากสามารถฝึกทักษะการรับฟังได้ดี ก็จะทำให้ความสัมพันธ์ทั้งกับตนเองและคนรอบข้างดีขึ้น 

ทั้งนี้ ในส่วนของกิจกรรมสัปดาห์การรู้เท่าทันสื่อ (MIDL Week) ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดของกิจกรรมได้ที่เพจเฟซบุ๊ก สถาบันสื่อเด็กและเยาวชน Child and Youth Media Institute” ซึ่งนอกจากการเข้าร่วมทางออนไซต์แล้ว บางกิจกรรมยังสามารถรับชมได้ทางออนไลน์ เช่น กิจกรรมบนเวทีใหญ่  หรือในแต่ละห้องย่อยก็จะมีภาคีเครือข่ายร่วมถ่ายทอดสด ขณะที่กิจกรรมเดือนแห่งการฟังแห่งชาติ สามารถติดตามรายละเอียดได้ที่เพจเฟซบุ๊ก ความสุขประเทศไทย

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

‘บัญชีล้อเลียน’คล้ายคนดัง! ‘อีลอน มัสก์’เปิดให้เล่นสนุกบน‘X’ ผู้ใช้งานพึงสังเกต-โพสต์เกินขอบเขตระวังผิดกฎหมาย : Cofact Report 49/67

By : Zhang Taehun

ภาพที่ 1 : โพสต์จากบัญชี X ใช้ชื่อว่า Elon Musk (Parody) @ElonMuskAOC ซึ่งเป็นบัญชีล้อเลียน อีลอน มัสก์ เจ้าของแพลตฟอร์ม X ระบุว่าจะซื้อ “หมูเด้ง” ฮิปโปแคระในประเทศไทย

“Should I buy Moo Deng?”

“I would treat her well and post many funny videos of her”

ข้อความข้างต้นที่แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า ฉันควรซื้อหมูเด้งไหม และ ฉันจะดูแลเธออย่างดีและโพสต์วิดีโอตลก  ของเธออีกมากมาย มาจากโพสต์บนแพลตฟอร์ม X (ทวิตเตอร์เดิม) จากบัญชีที่หน้าตาคล้ายกับของ อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีผู้เป็นเจ้าของแพลตฟอร์มดังกล่าว เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2567 ในช่วงที่กระแสของ “หมูเด้ง” ฮิปโปแคระเพศเมีย ซึ่งจัดแสดงอยู่ที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียว อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี โด่งดังจากประเทศไทยไปไกลทั่วโลก ขนาดรายการตลกในสหรัฐอเมริกาอย่าง Saturday Night Live ก็ยังนำไปล้อเลียนเป็นที่ขบขัน

เพียงแต่ นี่ไม่ใช่บัญชีจริง..แต่เป็นบัญชีล้อเลียนสังเกตได้จากมีคำต่อท้ายว่า “Parody” ที่แปลว่าล้อเลียน นอกจากนั้น ชื่อหลังเครื่องหมาย @ ยังต่างกัน โดยบัญชีล้อเลียน อีลอน มัสก์ จะใช้ชื่อว่า Elon Musk (Parody) @ElonMuskAOC ในขณะที่บัญชีจริงของเจ้าตัว จะใช้ชื่อว่า Elon Musk @elonmusk แต่ถึงจะประกาศอย่างชัดเจนว่าไม่ใช่บัญชีจริงของอีลอน มัสก์ โพสต์จากบัญชีล้อเลียนดังกล่าวก็ยังถูกนำไปแชร์กันอย่างสนุกสนานทั้งในสื่อสังคมออนไสน์ รวมถึงสื่อหลักในประเทศไทยก็ร่วมแชร์ด้วย

อนึ่ง ก่อนหน้านี้เคยมีการตั้งข้อสังเกตกันว่า บัญชี Elon Musk (Parody) @ElonMuskAOC เป็นอีกบัญชีหนึ่งที่อีลอน มัสก์ ใช้บนแพลตฟอร์ม X ดังรายงานข่าว Elon Musk Responds To His Parody Account’s “Lizard Boy” Tweet โดยสถานีโทรทัศน์ NDTV ของอินเดีย เมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2566 มีการอ้างถึงบัญชี Elon Musk @elonmusk ซึ่งเป็นบัญชีทางการของ อีลอน มัสก์ ได้ตอบกลับโพสต์ของบัญชีล้อเลียนว่า “So many people think this account is me. (มีคนจำนวนมากคิดว่าบัญชีนี้คือตัวผมเอง)” 

อีลอน มัสก์ ยังตอบกลับบัญชีของ MrBeast ยูทูบเบอร์คนดัง ที่เข้ามาถามว่า “It’s not?(แล้วไม่ใช่หรือ?) ว่า “Nope (ไม่ใช่)” ดังนั้นตามความเข้าใจในปัจจุบัน บัญชี Elon Musk (Parody) @ElonMuskAOC คาดว่าคงมีแฟนคลับของมหาเศรษฐีเจ้าของแพลตฟอร์ม X รวมถึงแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Tesla และเทคโนโลยีอวกาศอย่าง SpaceX ทำขึ้นเพื่อความบันเทิง และเจ้าตัวก็ดูจะไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไร

ภาพที่ 2 : บัญชี Elon Musk @elonmusk ซึ่ง อีลอน มัสก์ ยืนยันว่าเป็นบัญชีจริงของเจ้าตัว โพสต์โต้ตอบกับบัญชี Elon Musk (Parody) @ElonMuskAOCที่ถูกทำขึ้นเพื่อล้อเลียน

ภาพที่ 3 : บัญชี Elon Musk @elonmusk ซึ่ง อีลอน มัสก์ ยืนยันว่าเป็นบัญชีจริงของเจ้าตัว โพสต์โต้ตอบกับ MrBeast ยูทูบเบอร์คนดัง

เมื่อไปดูกฎระเบียบการใช้งานแพลตฟอร์ม X ในหัวข้อ “Misleading and deceptive identities policy (นโยบายว่าด้วยการระบุตัวตนที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและการหลอกลวง)” ได้ระบุว่า การสร้างบัญชีล้อเลียน (Parody) ความคิดเห็น (Commentary) หรือแฟนคลับ (Fans) จะไม่ถือว่าละเมิดกฎการใช้งาน ตราบเท่าที่มีการระบุให้ชัดเจนเพียงพอเพื่อให้สามารถแยกแยะความแตกต่างกับบัญชีจริงของบุคคลหรือองค์กรนั้นๆ โดยมีคำแนะนำดังนี้  

การตั้งชื่อบัญชี (Account Name) และคำอธิบายประวัติ (Bio) ควรระบุอย่างชัดเจนว่าบัญชีนี้ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลหรือองค์กรที่อ้างถึง โดยสามารถใช้ถ้อยคำ เช่น ล้อเลียน (Parody) , ปลอม (Fake) , แฟนคลับ (Fans) , ความคิดเห็น (Commentary) เป็นต้น หรือจะใช้คำอื่นก็ได้ แต่ต้องเป็นถ้อยคำที่ทุกคนเห็นแล้วเข้าใจได้ง่าย และไม่ควรใช้ถ้อยคำที่สื่อไปในทางมีความเกี่ยวข้องกัน เช่น ทางการ (Official)

ภาพที่ 4 : กฎระเบียบการใช้งานแพลตฟอร์ม X ว่าด้วยการสร้างบัญชีล้อเลียน (Parody) ความคิดเห็น (Commentary) หรือแฟนคลับ (Fans)

แม้จะระบุไว้ชัดเจนว่าเป็นบัญชีล้อเลียนไม่ใช่บัญชีจริง ในบางกรณีหรือบางประเทศก็อาจ ไม่ตลกด้วย ดังรายงานข่าว “Gurdwara body sends legal notice to X over fake account, hurting Sikh sentiments” บนเว็บไซต์นิตยสาร India Today ของอินเดีย เมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2567 ระบุว่า Shiromani Gurdwara Parbandhak Committee (SGPC) ที่เป็นองค์กรของศาสนาซิกข์ ได้เปิดเผยว่าจะดำเนินการทางกฎหมายกับแพลตฟอร์ม X เนื่องจากไม่ยอมลบบัญชีทั้งที่ปลอม (Fake) และล้อเลียน (Parody) ที่ใช้ชื่อของ SGPC ออกจากระบบ 

รายงานข่าวอ้างถึงแถลงการณ์ของ SGPC ที่ระบุว่า บรรดาบัญชีปลอมและล้อเลียน มีการโพสต์ข้อความที่เข้าข่ายสร้างความเกลียดชังทางศาสนาทำให้ชาวซิกข์ไม่สบายใจ และกระทบต่อการอยู่ร่วมกันฉันท์พี่น้องในสังคม ซึ่งตามกฎหมายของอินเดีย การกระทำดังกล่าวจะเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา (Indian Penal Code) พ.ร.บ.เทคโนโลยีสารสนเทศ พ.ศ.2544 (Information Technology Act 2001) และกฎกระทรวงว่าด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ พ.ศ.2564 (Information Technology Rules 2021)

ปาร์ทัป ซิงห์ (Partap Singh) เลขาธิการ SGPCกล่าวว่า ก่อนหน้านี้ SGPC เคยทำเรื่องไปยังแพลตฟอร์มแล้ว แต่ไม่ได้รับการตอบสนอง โดยบัญชีปลอมหรือบัญชีล้อเลียนดังกล่าวกำลังแพร่กระจายโฆษณาชวนเชื่อสร้างความเกลียดชังต่อองค์กรศาสนาซิกข์และชุมชนซิกข์ ซึ่งไม่อาจยอมรับได้อีกทั้งยังเรียกร้องให้รัฐบาลอินเดียทั้งส่วนกลางและมลรัฐต่างๆ ดำเนินการกับแพลตฟอร์ม X ท่ามกลางการปั่นกระแสสร้างความเกลียดชังยังคงดำเนินต่อไป 

หรือกรณีการสร้างบัญชีล้อเลียน ครุป ราธี (Dhruv Rathee) ยูทูบเบอร์คนดังในอินเดีย ตามรายงานข่าว “Parody account’s post lands Youtuber Dhruv Rathee in legal trouble” โดย นสพ. The Hindu เมื่อวันที่ 15 ก.ค. 2567 ระบุว่า ยูทูบเบอร์คนดังกล่าวถูกตำรวจรัฐมหาราษฏระ จับกุมเมื่อวันที่ 13 ก.ค. 2567 ในข้อหาหมิ่นประมาท และความผิดตาม พ.ร.บ.เทคโนโลยีสารสนเทศ หลังพบมีบัญชีที่ระบุชื่อของเจ้าตัว โพสต์กล่าวหาลูกสาวของ ออม เบอร์ลา (Om Birla) ประธานสภาผู้แทนราษฎรของอินเดีย ว่าผ่านการสอบแข่งขันทั้งที่ไม่ได้มาสอบ

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่า บัญชีแพลตฟอร์ม X ดังกล่าว ใช้ชื่อว่า Dhruv Rathee (Parody) @dhruvrahtree และมีคำอธิบายประวัติว่า นี่คือบัญชีแฟนคลับและบัญชีล้อเลียน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับบัญชีต้นฉบับ @dhruv_rathee ไม่ได้แอบอ้างตัวเป็นบุคคลอื่น โดยบัญชีนี้เป็นบัญชีล้อเลียน” และในเวลาต่อมา ข้อความที่ถูกระบุว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายก็ถูกลบออกตามคำสั่งของตำรวจ โดยผู้ใช้บัญชีล้อเลียนดังกล่าว อ้างว่าไม่ทราบข้อเท็จจริงและเป็นการคัดลอกข้อความของบุคคลอื่นมาแชร์ต่อ ทั้งนี้ บัญชีจริงในแพลตฟอร์ม X ของ ครุป ราธี คือ Dhruv Rathee @dhruv_rathee

ภาพที่ 5 : ครุป ราธี (Dhruv Rathee) ยูทูบเบอร์คนดังในอินเดีย กับบัญชีแพลตฟอร์ม X โดยด้านซ้ายคือบัญชีล้อเลียนที่บุคคลอื่นทำขึ้น ส่วนด้านขวาคือบัญชีจริงของเจ้าตัว

สำหรับประเทศไทย แม้จะยังไม่มีการฟ้องร้องในลักษณะเดียวกันกับอินเดีย แต่การล้อเลียนในลักษณะนี้อาจเป็นความผิดตามกฎหมายอาญาของไทยใน 2 ประเด็น คือ 1.การสวมรอยแอบอ้างเป็นบุคคลอื่ โดยการสร้างบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ที่ทำให้ผู้พบเห็นเข้าใจผิดว่าบุคคลนั้นเป็นเจ้าของบัญชีจะเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (1) ที่ระบุว่า ผู้ใดโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา

กับ 2.การโพสต์ข้อความที่เข้าข่ายผิดกฎหมายเช่น พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (2) (3) (4) และ (5) ที่ระบุว่า ผู้ใดนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน

นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา , นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได , เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตาม (1) (2) (3) หรือ (4) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

อย่างไรก็ตาม ความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (1)

มิได้กระทำต่อประชาชน แต่เป็นการกระทำต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ผู้กระทำ ผู้เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ดังกล่าวต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้เป็นความผิดอันยอมความได้

ส่วนการโพสต์ในเรื่องเท็จ (หรือเรื่องจริงที่กฎหมายไม่อนุญาตให้พิสูจน์เพราะไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ) แล้วไปพาดพิงบุคคลใดให้ได้รับความเสียหาย ก็อาจถูกบุคคลนั้นฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ประกอบมาตรา 328   (หรือประกอบมาตรา 330 ว่าด้วยกรณีที่ศาลไม่อนุญาตให้พิสูจน์) ซึ่งจะมีโทษจำคุกไม่เกินสองปีและปรับไม่เกินสองแสนบาท

บทสรุปของเรื่องนี้ แม้เจ้าของแพลตฟอร์ม อย่าง อีลอน มัสก์ จะมองว่าการสร้างบัญชีเลียนแบบชื่อบุคคลหรือองค์กรอื่นจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ หากระบุให้ชัดเจนว่าบัญชีนั้นไม่เกี่ยวข้องกับบัญชีจริงของบุคคลหรือองค์กรที่ถูกอ้างถึง แต่ผู้ที่คิดจะสร้างและใช้บัญชีล้อเลียนก็ต้องพึงระวัง เพราะหากเล่นสนุกกันจนเลยเถิดไปทำให้บุคคลอื่นเสียหายหรือเกิดความเสียหายต่อสาธารณะหรือระดับความมั่นคงของชาติ ก็จะต้องรับผิดตามกฎหมายเช่นกัน!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://www.matichon.co.th/foreign/news_4818104(เกินต้าน! หมูเด้งโผล่รายการ แซทเทอเดย์ไนท์ไลฟ์ : มติชน 29 ก.ย. 2567)

https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000091395 (ขอเล่นด้วยคน! X ล้อเลียน “อีลอน มัสก์” ถามชาวเน็ต ซื้อ “หมูเด้ง” ดีมั้ย? : ผู้จัดการ 28 ก.ย. 2567)

https://www.thebangkokinsight.com/news/world-news/1390401/ (อย่าเข้าใจผิด! ‘อีลอน มัสก์’ ไม่ได้โพสต์ถามความเห็น ซื้อ ‘หมูเด้ง’ : The Bangkok Inside 30 ก.ย. 2567)

https://www.ndtv.com/world-news/elon-musk-on-his-parody-account-people-think-this-is-me-4189009 (Elon Musk Responds To His Parody Account’s “Lizard Boy” Tweet : NDTV 8 ก.ค. 2566)

https://help.x.com/en/rules-and-policies/x-impersonation-and-deceptive-identities-policy(Misleading and deceptive identities policy : กฎระเบียบการใช้งานแพลตฟอร์ม X ปรับปรุงล่าสุด เมษายน 2566)

https://www.indiatoday.in/india/story/shiromani-gurdwara-parbandhak-committee-sends-legal-notice-to-x-over-fake-account-2487626-2024-01-12(Gurdwara body sends legal notice to X over fake account, hurting Sikh sentiments : India Today 12 ม.ค. 2567)

https://www.thehindu.com/news/national/maharashtra/parody-accounts-post-lands-youtuber-dhruv-rathee-in-legal-trouble/article68400992.ece (Parody account’s post lands YouTuber Dhruv Rathee in legal trouble : The Hindu 15 ก.ค. 2567)


ถอดบทเรียนจากกรุงเทพฯถึงเชียงราย ถึงเวลาประเทศไทยต้องเอาจริงเรื่องระบบเตือนภัยพิบัติ

18 ต.ค. 2567 สภาองค์กรของผู้บริโภค จัดเสวนาหัวข้อ ผลักดันระบบแจ้งเตือนสาธารณภัย กรณีตัวอย่างน้ำท่วม ถ่ายทอดสดผ่านเพจเฟซบุ๊ก สภาองค์กรของผู้บริโภค โดยมีผู้ร่วมเสวนา 5 คน   เริ่มจาก  อาภา หน่อตา ศูนย์สิทธิผู้บริโภค อ.แม่สาย จ.เชียงราย กล่าวว่า อ.แม่สาย อยู่ติดกับแม่น้ำซึ่งอยู่บริเวณพรมแดนไทย-เมียนมา ในเดือนสิงหาคน-กันยายน ของทุกปี ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นและมีปัญหาน้ำท่วมอยู่แล้วเป็นปกติ แต่ปีก่อนๆ ไม่หนักเท่าปีนี้ที่ท่วมถึง 8 ครั้ง และครั้งสุดท้ายกระแสน้ำก็เชี่ยวมากบวกกับมีดินโคลนถล่มด้วย

ในขณะที่การเตือนภัย จะมีการแจ้งข่าวจากองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) แต่คนใน อ.แม่สาย ไม่ได้มีแต่คนไทยเท่านั้น ยังมีกลุ่มชาติพันธุ์ซึ่งมีข้อจำกัดด้านภาษา ส่วนการประกาศเสียงตามสายในหมู่บ้านบางพื้นที่มีและบางที่ไม่มี หรือประกาศแล้วแต่ไม่ทันกับสถานการณ์ นอกจากนั้นยังมีการตั้งกลุ่มไลน์ของเครือข่ายประชาชนในพื้นที่ คอยแจ้งสถานการณ์ต่างๆ เช่น ระดับน้ำ ฝนตก ซึ่งก็จะมีข้อมูลเป็นจำนวนมากจนไม่รู้ว่าจะเชื่อข้อมูลชุดใด หรือแม้แต่การแจ้งเตือนว่าเกิดน้ำท่วมแน่ๆ ก็ยังไม่รู้ว่าจะท่วมสูงแค่ไหน บางคนเก็บของขึ้นที่สูงแล้วก็ยังไม่พ้น

น้ำขึ้นเร็วมาก ครึ่งชั่วโมงท่วมเข้าไปเลย ยกของขึ้นสูงไม่พอ และที่วางไม่แข็งแรง ปกติบ้านชาวบ้านส่วนมากก็เป็นเฟอร์นิเจอร์น็อกดาวน์ทั้งนั้น เมื่อเอาของมีค่ายกขึ้นวาง  เช่น คอมพิวเตอร์ ก็ละลายไปกับน้ำ มันก็ยวบลงไป คือถ้าเตือนภัยให้รู้ว่าจะแรงหรือค่อย จะลดความเสียหายได้มากกว่านี้อาภา กล่าว

สมบัติ บุญงามอนงค์ ผู้อำนวยการมูลนิธิกระจกเงา เปิดเผยว่า ในการฟื้นฟูพื้นที่ อ.แม่สาย หลักๆ คือการเคลื่อนย้ายดินโคลนออกไป ต้องอาศัยทั้งกำลังคนและเครื่องจักร โดยในพื้นที่สาธารณะ ดินโคลนส่วนใหญ่ถูกเคลื่อนย้ายออกไปแล้ว ยังเหลือตามซอกในอาคารบ้านเรือนซึ่งมีความยากพอสมควร ขณะที่อาสาสมัครและเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานภาครัฐ แม้จะดูบางตาลงไป แต่ยังคงทำงานกันในบางพื้นที่ที่อยู่ช่วงท้ายๆ ตามแผนของทางราชการ ในส่วนของการเคลื่อนย้ายดินโคลนออก ประมาณวันที่ 21 ต.ค. 2567 จะถอนกำลังในส่วนนี้ เหลือบางหน่วยรั้งท้ายไว้สำหรับช่วยเหลือประชาชนล้างทำความสะอาดบ้าน โดยสรุปคือสิ้นเดือน ต.ค. 2567 ภาครัฐน่าจะปิดโครงการ ส่งไม้ต่อให้กับท้องถิ่นเก็บรายละเอียด ซึ่งยังมีโจทย์ยากอยู่ที่เรื่องของท่อระบายน้ำ เพราะโครงสร้างอยู่ใต้ดิน เปิดได้ก็เพียงฝาท่อ ต้องไปหาวิธีการว่าทำอย่างไรจะนำดินโคลนที่อยู่ในท่อออกมา ซึ่งทางสำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้ส่งรถดูดโคลนขึ้นมาช่วย พบว่าได้ผลค่อนข้างดี

แต่วิธีการนี้จำเป็นต้องมีเครื่องจักรเฉพาะทางและต้องใช้เวลาอย่างมาก ขณะนี้กำลังหาทางว่าทำอย่างไรจะทำให้ผู้รับเหมาท้องถิ่นเข้ามารับงานนี้ได้ เพราะท่อระบายน้ำมีระยะทางยาวพอสมควร ส่วนเรื่องระบบสื่อสารเตือนภัย หน่วยงานที่น่าชื่นชม คือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่จัดการตัดระบบไฟฟ้าได้ทันก่อนจะเกิดน้ำท่วมทุกครั้ง ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในพื้นที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ในขณะที่ จ.เชียงใหม่ มีร้องเรียนอยู่บ้างเรื่องไฟรั่ว 

ทั้งนี้ ภายหลังเหตุคลื่นยักษ์สึนามิในปี 2547 ประเทศไทยมีการก่อตั้งศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ คือมีระบบอยู่แล้ว แต่ไม่มั่นใจว่าปัจจุบันศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติอยู่ในสถานะใด เพราะภัยพิบัติรอบนี้แทบไม่มีบทบาทอะไรเลย ส่วนกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) แม้จะแจ้งเตือนด้วยการส่ง SMS แต่เป็นการส่งในระบบปกติทำให้เกิดปัญหาข้อมูลเดินทางล่าช้า จากที่ได้ฟัง ปภ. ชี้แจง และพูดคุยกับผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ เข้าใจว่าทางสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) เรียกประชุมแล้ว เข้าใจว่าระบบส่งข้อความแจ้งเตือนแบบ Cell Broadcast จะใช้การได้ในต้นปี 2568 หมายความว่าไม่ใช่ความเข้าใจผิดทางเทคโนโลยี แต่ไม่ได้ถูกออกแบบไว้

ขณะที่กองทัพไทยถือว่ามีบทบาทสูง โดยเริ่มปฏิบัติงานใน อ.แม่สาย ตั้งแต่วันแรกๆ ที่น้ำท่วม โดยผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นกลไกสำคัญในการประสานหน่วยปฏิบัติการพิเศษของกองทัพเรือ หรือหน่วยซีล (SEAL) และเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพอากาศเข้ามาช่วยเหลือ ซึ่งกองทัพมีความสนใจเรื่องการจัดการภัยพิบัติ และคาดว่าจะเข้ามามีบทบาทอย่างมากในเรื่องนี้ จึงเห็นว่าหากในอนาคตจะพูดคุยเรื่องการเตือนภัย ก็อาจต้องดึงกองทัพเข้ามาร่วมด้วย เพื่อดูว่าบทบาทนี้ควรจะอยู่ที่ใคร

จริงๆ ถ้าผมเทียบเรื่องพื้นฐานเลย คือการที่คนในท้องถิ่นสามารถเข้าถึงข้อมูลปริมาณน้ำฝนได้และต้องเป็นปริมาณน้ำฝน ณ จุดที่ตรวจวัดที่ใกล้กับชุมชน ที่จะส่งผลกระทบต่อชุมชน ผมคิดว่าเรื่องนี้สำคัญมากๆ เครื่องนี้มีอยู่แล้ว เพียงแต่ทำอย่างไรจะเข้าถึงได้ ทำอย่างไรประชาชนจะรู้ว่าเวลาฝนตกหนักๆ ควรที่จะมอนิเตอร์หรือมี SMS เช่น

ถ้าฝนยังไม่มากเราก็อาจจะมอนิเตอร์ ทำไมฝนตกหนักที่ภูเขาหลังบ้าน ก็มีความหวั่นใจว่าน้ำจะมาแรงหรือเปล่า ขอดูปริมาณน้ำฝนหน่อยได้ไหมว่ากี่มิลลิเมตรแล้ว ผอ.มูลนิธิกระจกเงา กล่าว

สมชาย นิยมราช ศูนย์สิทธิผู้บริโภคเขตวังทองหลาง กล่าวว่า ย้อนไปในปี 2554 ที่กรุงเทพฯ เผชิญกับอุทกภัยครั้งใหญ่ ในฐานะภาคประชาชนที่มีบ้านติดกับน้ำ และใกล้กับอุโมงค์ผันน้ำออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยาและออกทะเลตามลำดับ ประชาชนไม่ทราบปริมาณน้ำในคลองแสนแสบและคลองลาดพร้าว อันเป็นเส้นทางหลักในการผลักดันน้ำ มีแต่ประชาชนประสานงานกันเอง อาศัยความเป็นเครือข่าย แจ้งเตือนกันเองว่าน้ำมีปริมาณ ความแรงและความสูงเท่าใด อย่างบ้านของตนคือจุดชี้วัด หากน้ำลงอุโมงค์ไม่ทันบ้านตนก็กลายเป็นทะเล  ซึ่งคลองเหล่านี้เชื่อมกับหลายเขต เช่น คลองลาดพร้าวรับมวลน้ำมาจากเขตดอนเมือง ผ่านมาที่เขตจตุจักรถึงเขตห้วยขวาง-เขตวังทองหลาง ส่วนคลองแสนแสบก็รับน้ำจาก จ.ปทุมธานี ผ่านเขตหนองจอก เขตบึงกุ่ม เขตบางกะปิ มาถึงอุโมงค์ยักษ์ที่พระราม 9 แต่น้ำจาก 2 คลองดังกล่าวที่จะลงอุโมงค์มีอุปสรรคคือ ขยะและสิ่งของที่ลอยมากับน้ำ ปิดกั้นระบบดูดน้ำลงอุโมงค์ ชี้ให้เห็นว่าการบริหารจัดการน้ำภาครัฐยังไม่มีระบบประสานงานเท่าที่ควร เพราะกรุงเทพฯ มีคลองเชื่อมกันจำนวนมาก น้ำก็ไหลมาลงรวมกันที่คลองใหญ่ๆ อย่างคลองแสนแสบและคลองลาดพร้าว และแม้พื้นที่ที่น้ำท่วมแล้วก็ยังไม่มีแผนอพยพ ปล่อยให้บ้านเรือนและรถยนต์ของประชาชนเสียหาย ซึ่งเป็นผลมาจากการไม่บูรณาการงานร่วมกัน หากน้ำจะท่วมก็น่าจะมีการส่งสัญญาณ เช่น ส่งข้อความทาง SMS หรือทางไลน์ มีการประชาสัมพันธ์ที่ชัดเจน ที่ผ่านมาภาคประชาชนในการทำงานร่วมกับทั้งภาครัฐ รวมถึงองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) ที่น้ำเครื่องมือมาติดตั้งบริเวณท่าเรือตามแนวคลองแสนแสบ บอกให้ประชาชนช่วยกันดู หากระดับน้ำสูงจนถึงเครื่องแจ้งเตือนก็ให้เตรียมยกสิ่งของขึ้นที่สูงหรืออพยพ ซึ่งก็ใช้ได้ผล

น้ำจากข้างบนที่จะสูบออกต้องผ่านคลองย่อยมา คลองย่อยก็ต้องดูว่าคลองแสนแสบมีปริมาณสูงหรือเปล่า ถ้าทั้งคลองย่อยและคลองแสนแสบมีปริมาณน้ำสูงก็ไม่สามารถสูบออกได้เต็มที่ ทำให้เกิดการท่วมขังภายใน แต่สิ่งสำคัญคือประชาชนไม่ทราบเลยว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร ตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญที่อาจารย์หลายๆ ท่านบอกว่าการเตือนภัย แจ้งเตือน และทำงานบูรณาการร่วมกันเป็นสิ่งสำคัญที่สุด สมชาย กล่าว

รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า เมื่อพูดถึงระบบเตือนภัย คำถามแรกคือใครจะเป็นคนเตือน เพราะคนที่มีอำนาจเตือนไม่มีข้อมูล แต่คนที่มีข้อมูลก็ไม่มีอำนาจเตือน โดยหน่วยงานที่มีอำนาจเตือนคือ ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ซึ่งต้องอาศัยข้อมูลจากหน่วยงานอื่นๆ เช่น กรมชลประทาน กรมอุตุนิยมวิทยา กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรธรณี ฯลฯ 

โดยการปฏิบัติภารกิจให้ได้ผลอย่างมืออาชีพ จะประกอบด้วย 4 ภารกิจหลัก คือ 1.ระบบเตือนภัย หรือการเตรียมการป้องกันและรับมือผลกระทบ 2.การเตรียมแผนป้องกัน เช่น แผนการตอบโต้ แผนการอพยพ 3.การปฏิบัติตามแผนเมื่อเกิดภัยพิบัติ เช่น การอพยพ การค้นหาและช่วยชีวิต และ 4.การฟื้นฟู ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องอาศัยการทำงานแบบบูรณาการระหว่างกระทรวง แต่ความท้าทายคือผู้บริหารกระทรวงก็มาจากหลากหลายพรรคการเมือง จึงยากที่จะสั่งการกันได้ ตามกลไกจึงต้องมอบอำนาจให้นายกรัฐมนตรี หรือรองนายกฯ ที่ได้รับมอบหมายมาดูแล

ความยากอีกประการหนึ่งคือแต่ละกระทรวงก็มีภารกิจและกฎหมายของตนเอง หลายหน่วยงานก็มีศูนย์เตือนภัย ทำให้เมื่อเกิดเหตุขึ้นต่างคนก็ต่างประกาศ แล้วประชาชนจะต้องฟังหน่วยงานใด ข้อมูลที่แตกต่างกันก็ทำให้ประชาชนสับสน อีกทั้งตามหลักสากล การเตือนภัยจะเป็นระบบ End to End หมายความว่าที่ทำอยู่ไม่ใช่เพียงติดตามสถานการณ์ แจ้งเตือนแล้วจะจบ แต่ต้องไล่ตั้งแต่ 1.ให้ข้อมูลความเสี่ยงกับชุมชน (Disaster Risk Knowledge) 2.มีเครื่องมือในการสื่อสารและส่งผ่าน (Dissemination & Communication) 3.ติดตามสถานการณ์และแจ้งเตือน (Monitoring & Warning Service) และ 4.การตอบสนองของชุมชน (Response Capability) จะเห็นว่าในประเทศไทยทำเพียงภารกิจที่ 3 เท่านั้น แต่จะให้ครบทุกภารกิจ ชุมชนต้องเข้มแข็ง ต้องมีระบบเตือนภัยของชุมชน และจริงๆ ประเทศไทยก็มีแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ.2564-2570 เป็นแผนแม่บทและครอบคลุมทั้ง 4 ภารกิจ แต่ขาดการปฏิบัติตามแผน

ความหมายคือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามภารกิจของตัวเองหรือไม่? อย่างไร? ชุมชนมีแผนปฏิบัติการที่ปฏิบัติตามนั้นหรือไม่? ทำไมเราเห็นภาพประชาชนไปอยู่บนหลังคา ทำไมเราเห็นภาพความเสียหายที่เกิดขึ้นจากรถหรือผู้เสียชีวิต แสดงว่ามันมีช่องว่างอยู่ ข้อมูลที่ส่งไปไม่ได้รับการตอบสนองจากประชาชน บทเรียนของเราครั้งนี้ต้องมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมชุมชนไม่ตอบสนอง ตรงนี้ผมคิดว่าสำคัญมาก รศ.ดร.เสรี กล่าว

สุภิญญา กลางณรงค์ ประธานอนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาผู้บริโภค กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องทำทั้งระดับชาติและกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น เช่น ต้องออกแบบการสื่อสารให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่และกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งสภาผู้บริโภคเสนอเรื่องระบบ Thai Alert เป็นระบบเตือนภัยในเหตุฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที และใช้ได้มากกว่าเรื่องภัยพิบัติ แต่รวมถึงเหตุอาชญากรรมรุนแรงในกรณีพื้นที่เฉพาะ เช่น ใจกลางกรุงเทพฯ หรือในบางจังหวัด โดยระบบนี้ไม่จำเป็นต้องกวาดทั้งประเทศ แต่ส่งคำเตือนไปยังโทรศัพท์ของแต่ละคน    ซึ่งในทางเทคนิคสามารถทำได้ แต่เอกชนผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์จะกังวลด้านต้นทุน นอกจากนั้นยังไม่มีผู้มีอำนาจตัดสินใจแจ้งเตือนผ่านช่องทางต่างๆ แม้จะมีหน่วยงานที่รวบรวมข้อมูลไว้ให้แล้วก็ตาม หน่วยงานภาครัฐก็ต้องไปสรุปบทเรียน และมีแนวโน้มที่จะต้องเตรียมพร้อมไว้ทั้งปีเนื่องจากวิกฤติโลกร้อนทำให้ภัยพิบัติคาดการณ์ได้ยาก รวมถึงการทำงานของหน่วยงานภาครัฐยังขาดการบูรณาการ ขณะที่จุดแข็งของประเทศไทยคือภาคประชาสังคมเข้มแข็ง หลายเรื่องสามารถช่วยเหลือกันเองได้ แต่ไม่มีอำนาจตัดสินใจเช่น ระดับการแจ้งเตือน

ทั้งนี้ ระบบ Thai Alert ที่เป็นการส่ง SMS เตือนภัย ตนเห็นว่า กสทช. ควรผลักดันร่วมกับผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ รวมถึงกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม แล้วประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการเตือนภัยในแต่ละเรื่อง เช่น ตำรวจ หน่วยงานด้านอุทกภัย ต้องวางระบบไว้ว่าสุดท้ายใครจะเป็นผู้ตัดสินใจ โดย กสทช. อาจออกประกาศอีกฉบับก็ได้ อย่างที่ก่อนหน้านี้เคยออกประกาศให้สถานีโทรทัศน์ทุกช่องต้องแจ้งเตือนตามที่รัฐร้องขอโดยไม่มีข้ออ้างเรื่องธุรกิจ ซึ่งเกิดมาจากเหตุการณ์ที่รัฐแจ้งเตือนสึนามิแต่ช่องต่างๆ ยังคงออกอากาศรายการปกติ  แม้ปัจจุบันคนจะดูโทรทัศน์น้อยลง แต่เรื่องที่ต้องการความจริงจังระดับชาติ ยังมีสิ่งที่เรียกว่าตัววิ่งหรือรวมการเฉพาะกิจ โดยสามารถประกาศรวมการเฉพาะกิจเพื่อเตือนภัยก่อน บอกให้ประชาชนในพื้นที่ที่เกิดภัยพิบัติฟังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มอบหมายใครรับผิดชอบ หรือสร้างเพจเฟซบุ๊กขึ้นมาสักเพจหนึ่ง ตั้งเป็นเพจทางการให้ประชาชนเข้าไปตรวจสอบสถานการณ์ ขณะที่ระดับพื้นที่ก็ต้องวางระบบให้สอดรับกัน เช่น หน่วยงานระดับชาติประกาศเตือน ระดับพื้นที่ก็ต้องออกแบบระบบแจ้งเตือนให้สอดคล้องกับบริบทของตนเอง

อีกทั้งด้วยความที่ยุคนี้ข่าวลวงมีจำนวนมาก มีการรณรงค์กันเยอะให้ตรวจสอบให้แน่ใจแล้วค่อยส่งต่อ ทำให้แม้จะเป็นเรื่องจริงคนก็อาจไม่เชื่อและไม่อพยพตามคำเตือน มองว่าศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม น่าจะเป็นเจ้าภาพในส่วนนี้ เพราะไปทำเรื่องอื่น เช่น การเมือง คนก็มีคำถาม จึงน่าจะไปมุ่งเน้นทำเรื่องสุขภาพหรือภัยพิบัติเป็นหลัก ให้ประชาชนที่สงสัยข้อมูลข่าวสารที่ถูกส่งต่อกันสามารถสามารถตรวจสอบได้ 

หากทำงานบูรณาการกันอย่างนี้ ก็จะมีจุดรวมที่ประชาชนงงๆ อยู่ ส่งมาทางไลน์ไม่รู้จะไปเช็คที่ไหน เข้าไปเพจศูนย์ต้านข่าวลวงแล้วกัน หรือจะเป็นเพจใหม่ก็ได้ที่รัฐบาลตั้งมาให้สามารถเช็คข่าวเรื่องภัยพิบัติได้ทุกกรณี แล้วก็สามารถประมวลข้อมูลเข้ามาอยู่ในระบบแล้วเอาไปใช้อะไรต่อไปด้วย ซึ่งต้องใช้นวัตกรรม เรื่อง AI เรื่อง Machine Learning Chatbot อะไรที่พูดกันเอามาช่วยเสริมตรงนี้ เพื่อที่จะช่วยกรองข้อมูล วิเคราะห์และอัปเดตข้อมูลกับประชาชน ควรจะต้องมีศูนย์อำนวยความสะดวกแบบนี้ สุภิญญา กล่าว

หมายเหตุ : สามารถรับชมการเสวนาย้อนหลังได้ที่ https://www.facebook.com/tccthailand/videos/428624116923230/?locale=th_TH

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-