สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 18 ตุลาคม 2568

ภาพชาวเขมรประท้วงเกาหลีใต้ กรณีนักศึกษาเสียชีวิตในกัมพูชา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/36khfqn4xr44i


คลิปมวลน้ำจากเวียดนามไหลเข้าท่วมกัมพูชา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2b3yxo6x2r90


เปิดข้อเท็จจริง “ผลข้างเคียงไฟเซอร์” และการถอนพิษวัคซีน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/t9jhviatj8qx


ก.คลัง เตรียมชง เที่ยวไทยลดหย่อนภาษี สูงสุด 20,000 บาท เที่ยวเมืองรองลดหย่อนได้ 1.5 เท่า คาดเริ่มใช้ 29 ต.ค. – 15 ธ.ค. 68 

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2hm7t0ew3ku5v


 มาแล้ว ‘คนละครึ่ง 2568’ กรุงไทย เปิดเช็กสิทธิ – เงินเหลือ G-Wallet

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1ouzca7kv4vcd


 มาแล้ว ‘คนละครึ่ง 2568’ กรุงไทย เปิดเช็กสิทธิ – เงินเหลือ G-Wallet

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1ouzca7kv4vcd


 ‘30 บาทรักษาทุกที่ ฟอกไตฟรีทุกแห่ง’ เริ่มนัดหมายออนไลน์ 17 ต.ค. 68

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2plw1obvjnqik


 อย. เปิดลงทะเบียน ‘ร้านยา สุขกาย สบายกระเป๋า’ ทางออนไลน์ เริ่ม 14 ต.ค. 

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/15e592e6pivgt


‘คมนาคม’ ดึงรถไฟฟ้าเพิ่ม 3 สาย ร่วมโครงการ ‘คนละครึ่งพลัส’ 

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2fhomvw6zhegq


 ไม่สามารถกินน้ำยาล้างห้องน้ำ ล้างท้องได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2pqrexsfptqxb

รับมือ‘มหาสงครามข้อมูล’ถามหาความรับผิดชอบ‘แพลตฟอร์ม’เมื่อโลกถูกปั่นโดย‘อภิมหาทุนเทคโนโลยี’

15 ต.ค. 2568 ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับอีกหลายองค์กรเครือข่าย จัดงาน Cofact Tea Talk เสวนานักคิดดิจิทัล ครั้งที่ 30 รับมือมหาสงครามข้อมูล บทเรียนจากเดือนตุลาฯ สู่ยุคปัญญาประดิษฐ์ ที่วิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) พร้อมถ่ายทอดสดผ่านเพจเฟซบุ๊ก “Cofact โคแฟค” และช่องยูทูบ “Thai PBS” 

โดยในช่วงบ่าย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค ประเทศไทย กล่าวว่า กิจกรรมในช่วงเช้าที่ผ่านพ้นไปมีวงเสวนาซึ่งนำเสนอผลงานตรวจสอบข้อเท็จจริงของทีมกองบรรณาธิการโคแฟค โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งไทย – กัมพุชา ที่เห็นทั้งข่าวลวงนำไปสู่ความเกลียดชัง และความเกลียดชังที่นำมาสู่ข่าวลวงที่บางคนก็เชื่อ หรือแม้แต่ข่าวจริงแต่ถูกบิดเบือน ไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นก่อน – หลัง ขณะที่ผลงานของ Neo Momentum ก็ชี้ให้เห็นว่าบางครั้งข้อเท็จจริงอย่างเดียวไม่เพียงพอ เพราะสิ่งที่คนมีคืออารมณ์ความรู้สึก 

แน่นอนข้อเท็จจริงยังจำเป็น แต่มันอาจไม่เพียงพอในสถานการณ์ความขัดแย้งที่ตึงเครียด แล้วก็โดยเฉพาะสิ่งที่เราเรียกรวมๆ ว่ามหาสงครามข้อมูลหมายถึงมีทั้งข้อเท็จจริง ความคิดเห็น เรื่องเล่า วาทกรรม เรื่องจริง เรื่องแต่ง เต็มไปหมดแล้วผสมผสานแล้วก็ส่งผลต่อความคิดจิตใจคน แล้วเราจะรับมืออย่างไร สิ่งเหล่านี้ก็คือเป็นข้อท้าทายมากๆ สุภิญญา กล่าว 

ญาณี รัชต์บริรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมระบบสื่อและ สุขภาวะทางปัญญา (สำนัก 11)สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สสส. โดยสำนัก 11 ร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดตั้งแพลตฟอร์มโคแฟคขึ้นเพื่อช่วยพัฒนาพลเมืองเท่าทันสื่อ ให้ทุกคนมาร่วมตรวจสอบข้อมุล – ข้อเท็จจริง ให้พลเมืองเท่าทันทั้งสื่อ ข้อมูลและดิจิทัล หรือที่เรียกว่า MIDL (Media Information and Digital Literacy) ซึ่งเป็นทักษะสำตัญในโลกยุคปัจจุบันและอนาคต เพื่อให้ทุกคนได้เข้ามาหาความจริงร่วมกัน 

ทั้งนี้ ในปัจจุบันปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นปัญหาที่มาแรงคู่กับข้อมูลบิดเบือน – คลาดแคลื่อน (Disinformation – Misinformation) ซึ่งรายงานความเสี่ยงโลกในปี 2568 ก็จัดปัญหาข้อมูลบิดเบือน – คลาดแคลื่อน ให้เป็นความเสี่ยงอันดับ 1 ของโลกและยืนยาวไปอีก 10 ปีข้างหน้า ควบคู่กับปัญหาสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ (Climate Change) และ AI ทำให้การแพร่ระบาดของข้อมูลทวีความรุนแรงขึ้น 

ถ้าเราย้อนกลับไปช่วงโควิด-19 เราจะเห็นปรากฏการณ์ของสิ่งที่เราเรียกว่า Infodemic การระบาดของข้อมูลข่าวสาร ซึ่งมีผลกระทบกับสุขภาพ สังคมและเศรษฐกิจในยุคนั้นอย่างมากๆ แล้วก็ประกอบกับการเข้ามาของ AI ในช่วงนี้ 2  3 ปี เราจะเห็นความก้าวหน้าของการใช้ AI ที่ประชาชนทุกคนที่เข้ามาถึงสื่อออนไลน์หรือสื่อดิจิทัลได้ใช้เครื่องมือของ AI ฉะนั้นก็จะเป็นเหรียญ 2 ด้าน ทั้งเชิงบวกที่ทำให้เราเกิดความสะเดวกสบายในการใช้งานชีวิตประจำวันและในหน้าที่การงาน แต่ก็มีด้านลบในแง่ที่ AI ไปกระตุ้นให้เกิดการแพร่ระบาดของข้อมูลข่าวสารที่เป็นความเท็จความลวงต่างๆญาณี กล่าว 

ดร.จันจิรา สมบัติพูนศิริ สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ German Institute for Global and Area Studies บรรยายหัวข้อ “สงครามข่าวสาร บทเรียนจากเดือนตุลาฯ สู่ยุคปัญญาประดิษฐ์” ฉายภาพการที่ทุนใหญ่ด้านเทคโนโลยี ที่บั่นทอนทั้งอำนาจรัฐในพื้นที่ข้อมูลข่าวสาร และอำนาจของสังคมในการกำหนดวาระการรับรู้ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าทุนใหญ่ด้านเทคโนโลยีมีมูลค่าสูงมาก อย่างข้อมูลในปี 2564 เฟซบุ๊กเพียงบริษัทเดียวก็มีมูลค่าการตลาดสูงถึง 393 พันล้านเหรียญสหรัฐ มากกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของไทยและอีกหลายประเทศ 

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่รัฐหรือรัฐบาลต้องแสดงความรับผิดชอบหากดำเนินนโยบายผิดพลาด..ทุนใหญ่ด้านเทคโนโลยีกลับไม่ต้องทำแบบเดียวกันการกำกับดูแลของรัฐหรือสังคมต่อทุนใหญ่เหล่านี้ทำได้ยาก ซึ่งอำนาจของทุนใหญ่ด้านเทคโนโลยีมาจากการเฝ้ามอง เก็บและใช้พฤติกรรมของผู้บริโภค นำไปคำนวณเพื่อประเมินว่าใครชอบหรือสนใจเนื้อหาแบบใด เช่น คนคนหนึ่งเพียงจ้องดุเนื้อหาหนึ่งบนอินสตาแกรม ไม่กี่นาทีอาจมีโฆษณาเข้ามา ทั้งที่ไม่ได้กดถูกใจหรือติดตามเสียด้วยซ้ำไป 

ดังนั้นจึงมีคำถามว่า แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์จัดเป็นสื่อหรือเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์ เพราะข้อมูลพฤติกรรมของผู้ใช้งานสามารถถูกเก็บรวบรวมเพื่อนำไปขายต่อได้ ซึ่งเป็นรายได้หลักของทุนกลุ่มนี้ อย่างที่หลายคนน่าจะเคยซื้อพื้นที่โฆษณาหรือเพิ่มการมองเห็น (Boost) เนื้อหาที่ตนผลิตขึ้นในเฟซบุ๊ก อำนาจของแพลตฟอร์มยังรวมไปถึงการกำหนดพฤติกรรมของผู้ใช้งาน โดยผู้ใช้งานจะรู้ว่าหากอยากได้รับความสนใจจะต้องผลิตเนื้อหาอย่างไร อย่างที่ล่าสุดมีข้อค้นพบว่า เนื้อหาที่คนจะสนใจไม่ควรมีความยาวเกิน 8 วินาที เป็นต้น 

ซึ่งในเวลาที่สั้นแต่เนื้อหานั้นต้องกระตุกอารมณ์คน อารมณ์ที่กระตุกได้ง่ายที่สุดก็คือความโกรธกับความกระวนกระวาย ลองนึกถึงการดูข่าวไม่ว่าการเมืองไทยหรือการเมืองระหว่างประเทศมากๆ แต่เป็นการขายข่าวที่สร้างความกังวลใจ ลองนึกว่า 8 วินาทีทำอย่างไรให้คนกังวลและโกรธให้ได้มากๆ ทั้งนี้ ทุนใหญ่ด้านเทคโนโลยีมักจะให้น้ำหนักกับกฎหมายของประเทศที่บริษัทแม่ของตนเองตั้งอยู่ (เช่น สหรัฐอเมริกา) และประเทศที่มีตลาดขนาดใหญ่ (เช่น กลุ่มสหภาพยุโรป – EU) แต่ประเทศอื่นๆ มักไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายกับแพลตฟอร์มของทุนกลุ่มนี้ได้ 

ดังจะเห็นจากกรณีของบราซิล เมื่อแพลตฟอร์ม X (หรือทวิตเตอร์เดิม) ถุกฟ้องฐานสนับสนุนให้เกิดการจลาจลช่วงหลังการเลือกตั้ง แต่ในทางปฏิบัติมีคำถามว่าทำอะไรได้มากหรือไม่ หรืออย่างข้อมูลที่นำไปสอนปัญญาประดิษฐ์ให้ทำงานได้ ก็มีคำถามว่าได้ขออนุญาตเจ้าของข้อมูลหรือไม่ รวมถึงหากเป็นข้อมูลที่อาจกระทบต่อความมั่นคงของประเทศก็มีคำถามว่านำไปใช้ได้อย่างไร เรื่องของอธิปไตยทางข้อมูล (Data Sovereignty) เริ่มถูกตั้งคำถาม แต่การตั้งศูนย์ข้อมูล (Data Center) ก็ใช้ทุนและทรัพยากรมากก็ไม่ใช่ทุกประเทศที่สามารถทำได้ 

แม้กระทั่งความเชื่อของเหล่านักพัฒนาเทคโนโลยีและทุนเทคโนโลยี ที่เห็นว่าเทคโนโลยีแก้ปัญหาได้ทุกอย่างและจะนำมนุษย์ไปสู่จุดสูงสุดของอารยธรรม เช่น เชื่อว่าปัญญาประดิษฐ์หรือ AI จะมาแทนแรงงานมนุษย์ อย่างน้อยก็ในงานระดับต้น (Entry Level) นำไปสู่การปลดคนงานในระดับนี้ออกหมด แม้กระทั่งวิศกรรมคอมพิวเตอร์ เรียนจบมาใหม่ๆ ก็อาจไม่มีงานทำเพราะให้ AI เขียนโค้ดแทนโปรแกรมเมอร์ ปัญหาคือเมื่อทั้งรัฐและเอกชนต่างเชื่อในเรื่องนี้ ก็นำไปสู่การออกนโยบายระยะสั้นโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบระยะยาว 

ตอนนี้บริษัทที่เอา Generative AI เขาไปแทนแรงงานคนเริ่มรู้แล้วมันไม่เวิร์ค แล้วคนที่ไล่ออกไปทำอย่างไร? คนที่ตกงานไปแล้วทำอย่างไร? ปัญหาคือเวลาที่ทุนเทคฯ ใหญ่เหล่านี้มีอิทธิพลทางนโยบาย เมื่แล้วนโยบายผิดพลาดแล้วลอยตัวได้เพราะสุดท้ายแล้วผู้ที่ต้องรับผิดชอบคือรัฐและประชาชน ดัวนั้นการลอยตัว การไม่รับผิด หรือบอกว่าฉันเป็นแค่ฝ่ายที่ 3 (Third Party) อันนี้เป็นปัญหาที่ใหญ่มากของการขอให้ทุนเทคฯ ใหญ่เหล่านี้รับผิดชอบ เช่น เรื่องการให้พื้นที่สร้างความเกลียดชัง ให้พื้นที่ในการทำร้ายผู้เห็นต่าง ดร.จันจิรา กล่าว 

จากนั้นเป็นวงเสวนา รับมือมหาสงครามข้อมูลในยุคปัญญาประดิษฐ์ โดย ธนกร วงษ์ปัญญา บรรณาธิการข่าวไทย สำนักข่าว The Standard ยกตัวอย่างเมื่อเร็วๆ นี้ กรณีข่าวประชาสัมพันธ์โดยสำนักงานศาลยุติธรรม แจ้งให้คู่ความทั้งโจทก์และจำเลยทราบว่า หากใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ช่วยร่างคำร้อง – คำฟ้อง ต้องระบุไว้ด้วย ซึ่งผลสะท้อนจากความเห็นของประชาชนคือการย้อนถามกลับว่าหากผู้พิพากษาใช้ AI ช่วยร่างคำพิพากษาแล้วจะบอกด้วยหรือไม่ 

เรื่องนี้สะท้อนความไม่เชื่อมั่นหรือไม่ไว้วางใจกันในเชิงข้อมูลข่าวสาร เพราะเครื่องมืออาจทำให้ง่ายขึ้นแต่ก็มีคำถามเรื่องความถูกต้อง แต่หากว่ามหาสงครามข้อมูลวันนี้คืออะไร สนามรบที่ไวที่สุดคือสนามอารมณ์ สำหรับตนมองว่าเรากำลังรบอยู่กับระบบที่หมายถึงแพลตฟอร์มหรือสิ่งต่างๆ ที่เราใช้เป็นเครื่องมือ เพราะสุดท้ายแล้วไม่ว่าข้อมูลข่าวสารหรือเครื่องมือล้วนถูกผลิตโดยคน หากคนมีเส้นมาตรฐานจริยธรรมก็อาจได้ผลลัพธ์อีกแบบหนึ่ง แต่หากใช้เพื่อทำลายกับผลลัพธ์ก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง 

ผมเคยพูดในงานโคแฟคที่หอศิลป์ บอกว่าความจริงสำคัญแต่สนามรบนี้ความไว้วางใจสำคัญกว่า คือข้อมูลมันเยอะแต่วางใจจะเชื่อใคร วางใจจะเสพข้อมูลจากตรงไหน หรือไม่เลือกไม่เชื่อเลยก็เป็นปัญหาอีกแบบหนึ่ง ธนกร กล่าว 

รศ.ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การผนวกรวมกันระหว่างทุนใหญ่ด้านเทคโนโลยีกับนโยบายเป็นสิ่งที่น่ากลัว ซึ่งไม่เพียงอาณาบริเวณเฉพาะกลุ่มชาติตะวันตกแต่ครอบคลุมทั้งโลก ในขณะที่เราบอกว่าระหว่างที่เท่าทันอารมณ์ เท่าทันข่าว เท่าทันอัลกอริทึม แต่ท้ายที่สุดอำนาจเกิดจากอัลกอริทึม ก็คือทุนใหญ่ด้านเทคโนโลยีที่เป็นคนปั่น แต่ประเทศของเราไม่เคยมีผู้นำประเทศพุดถึงเรื่องนี้ทั้งที่การเลือกตั้งกำลังจะมาถึงและอยู่ภายใต้การกำหนดของทุนใหญ่ด้านเทคโนโลยี

ขณะที่หน่วยงานกำกับดูแล เช่น สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จะทำอย่างไรในแง่ของมาตรฐานการรับข้อมูล จะช่วยอย่างไรเพราะเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะยังไม่เห็นนโยบายใดๆ มีเพียงบอกว่าอีก 4 เดือนจะเลือกตั้ง แล้วแต่ละพรรคการเมืองก็จัดสรรกันใหญ่อย่างสนุกสนาน แต่ไม่เห็นกลไกกำกับที่จะเกิดขึ้น ที่ท้ายสุดแล้วประชาชนจะได้อะไรกับครั้งนี้

นอกจาก กสทช. แล้ว ในส่วนของสื่อจะรุ้เท่าทันไหม? ตรงนี้น่ากลัวมาก เพราะทุกวันนี้คุณเล่นกัน Engage (ยอดการเข้าถึง) เล่นกับยอด View (ู้ชม) คุณก็คกอยู่ในการกำกับ Structure (โครงสร้าง) ของทุนเทคฯ ใหญ่ รศ.ดร.วิไลวรรณกล่าว 

ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. กล่าวว่า สมัยก่อนอินเตอร์เน็ตเรียกว่า Web Base การกำกับดูแลจะคล้ายกับสิ่งที่เห็นใน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ คือเมื่อพบการนำเข้าเนื้อหาที่เป็นเท็จแล้วก่อให้เกิดผลกระทบ แช่น เกิดความตื่นตระหนก กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ที่มาก่อนกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) จะดำเนินการนำเนื้อหานั้นออก (Remove) หรือปิดกั้นการเข้าถึง (Block)

แต่เมื่อมาถึงยุคแพลตฟอร์ม สิ่งที่เปลี่ยนไปคือผลกระทบจากแพลตฟอร์มที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางขณะที่ในยุคเว็บไซต์จะมีคนดูแลเว็บ (เว็บมาสเตอร์) แต่ปัจจุบันเราอยู่ในโลกของแพลตฟอร์ม หลายคนบอกว่าเนื้อหาจะดีเพียงใดแต่หากไม่เข้ากับระบบของแพลตฟอร์มเนื้อหานั้นก็จะไปไม่ถึงเป็นวงกว้าง นอกจากนั้น อัลกอริทึมซึ่งถือเป็น AI ประเภทหนึ่ง การกำกับดุแลก็เปลี่ยนไปจากการนำเนื้อหาออกหรือบล็อกเว็บไซต์ ก็กลายเป็นเกิดสิ่งที่เรียกว่าข้อกำหนดมาตรฐานชุมชน (Community Standard)

เพราะวัฒนธรรมของอินเตอร์เน็จคือเสรีภาพ ต้องการให้ทุกอย่างเสรีเพื่อจะได้เกิดนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ แต่เมื่อเข้ายุคแพลตฟอร์มก็ไม่ใช่เพียงปัจเจกบุคคล (Individual) เท่านั้นที่มีส่วนร่วม แต่แพลตฟอร์มหรืออัลกอริทึมจะกำหนดว่าอะไรจะปรากฏ ใครจะอ่านอะไร จะเกิดปรากฏการณ์ห้องเสียงสะท้อน (Echo Chamber) หรือไม่ จนมาถึงปัจจุบันที่มีเทคโนโลยีทำคลิปวิดีโอปลอมแปลงใบหน้าและเสียง (Deepfake) ซึ่งเราบอกไม่ได้แล้วว่าอะไรจริง – ไม่จริง ความน่าสะพรึงของพื้นที่นี้จึงไปไกล

กระทรวงยังมองว่าถ้ามีอะไรเฟคเราก็ตีตราแล้วก็บล็อกไป มันไม่ใช่แล้ว มันถึงยุคที่เราจะต้องใช้คำว่า Systematic (มองทุกอย่างเป็นระบบ) แล้วก็เป็นลักษณะที่ Proactive (เชิงรุก) แล้วก็อ่างกรณีของกฎหมายที่พยายามจะทำให้เกิด ก็คือเรื่องของ Digital Service Act (กฎหมายการให้บริการดิจิทัลของ EU (หสภาพยุโรป) หรือ Online Safety Act ของอังกฤษ ซึ่งพยายามจะมองว่ามันต้องเป็นระบบของการประเมินความเสี่ยง ศ.ดร.พิรงรอง กล่าว

อดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ รองผู้อำนวยการ ThaiPBS กล่าวว่า ยุคอินเตอร์เน็ตผ่านมาหลายยุค ตั้งแต่ 1.0 2.0 3.0 จากยุคที่ผู้ใช้งานเป็นผู้สร้างสรรค์เนื้อหา (User Generated Content) เป็นยุคเนื้อหาที่สร้างสรรค์โดยปัญญาประดิษฐ์ (AI Generated Content) ซึ่งน่ากลัวมาก การเกิดขึ้นของแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ เช่น Facebook เป็นยุคที่ทุกคนเป็นสื่อได้ เวลานั้นคนทำสื่อก็คิดว่าความสำคัญของสื่อค่อยๆ หายไป เดี๋ยวนี้ไม่มีใครพูดคำว่าฐานันดร 4 แล้วเพราะเชยมาก 

เมื่อเปรียบอดีตกับปัจจุบัน เหตุการณ์เดือนตุลา แม้ตนจะยังเด็กแต่ก็รับรู้บทบาทของสื่อในการสร้างความเกลียดชัง เช่น วิทยุยานเกราะ เพลงหนักแผ่นดิน และยุคนี้ก็เช่นกันจากสถานการณ์ความขัดแย้งไทย – กัมพุชา แต่ยุคนี้ไม่ใช่สื่อแต่เป็นทุกคนสามารถทำให้เกิดความเกลียดชังได้โดยมีแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลนืรองรับ และจะหนักข้อขึ้นในยุคที่เนื้อหาถูกสร้างด้วย AI ซึ่งเราไม่สามารถเชื่อได้ว่าอะไรจริง – ไม่จริง 

ทั้งนี้ แพลตฟอร์มไม่ใช่เรื่องใหม่ อย่างในอดีตแพลตฟอร์มของวงการสื่อหนังสือพิมพ์คือเจ้าของแผงหนังสือซึ่งมีอำนาจกำหนดว่าหนังสือพิมพ์ฉบับใดจะได้วางจำหน่าย แต่ปัจจุบันมาอยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์ คนทำสื่อก็ไม่สามารถต่อสู้กับพลังอำนาจของแพลตฟอร์มได้ แพลตฟอร์มกำหนดคนดู – คนอ่าน คนทำสื่อต้องซื้อคนมาอ่านสิ่งในสิ่งที่ทำ จากเดิมที่คนอ่านซื้อหนังสือพิมพ์ หรือแม้แต่ที่เคยสอนกันว่าเว็บไซต์เหมือนบ้าน แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์เป็นเพียงการไปเช่าเขาอยู่ แต่วันนี้คนสอบถาม AI ที่ไปกวาดข้อมูลมา คนก็ไม่จำเป็นต้องกลับเข้าเว็บไซต์

ยิ่งมองยิ่งมืดมน ยิ่งมองยิ่งอยู่กลางมหาสมุทรมองไม่เห็นฝั่ง แต่ว่าในที่สุดแล้วคนทำสื่อเองก็ต้องคิดว่าเราจะอยู่กับมันอย่างไร จะใช้ประโยชน์จากมันอย่างไร ซึ่งตอนนี้ผมก็คิดว่ายังอาจเร็วเกินไปที่เราจะพูดว่าเราจะอยู่รอดในมหาสงครามนี้ได้อย่างไร ตอนนี้ก็คือแค่ประคับประคองเอาตัวรอดไปวันๆ หนึ่งไปก่อน ขอร้องสังคมอย่ามาคาดหวังว่าสื่อจะต้องช่วยปกป้อง ตรวจสอบข่าวปลอมข่าวเท็จอะไรต่างๆ ผมว่าดูแล้วเป็นไปไม่ได้เลย แต่ละคนคงต้องเอาตัวรอดเอง สื่อยังเอาตัวไม่รอดเลย อดิศักดิ์ กล่าว

จีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง  เลขาธิการสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากที่ฟังมารู้ได้เลยว่าภาครัฐของเรายังไม่สามารถไปดักหน้าเทคโนโลยี ยังอยู่กับการไล่จับข่าวปลอมแบบโบราณ ประเภทพูดมาแล้วผิดก็ตีว่าผิด แต่ไม่มีกฎหมายไปดักในเรื่องของ AI ตนมีโอกาสไปคุยกับกรมทรัพย์สินทางปัญญา ก็ไม่ทัน ซึ่งทางกรมฯ กำลังศึกษาเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย AI เพิ่งเริ่มศึกษาในขณะที่โลกไปอีกระดับหนึ่งแล้ว เป็นการสะท้อนว่าข่าวสารเร็วมากจนรัฐไม่ทัน ซึ่งก็ไม่ทันตั้งนานแล้ว 

หรืออย่างบทบาทของ กสทช. กับกระทรวงดิจิทัลฯ ก็รู้สึกว่าพึ่ง กสทช. ได้ง่ายกว่า เพราะในวันที่รู้จักศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ตนเชื่อว่าสื่อมวลชนส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสได้ล้อมวงคุยกับเขาว่าพัฒนาการไปขนาดไหน ในขณะที่เมื่อเกิดอะไรขึ้น กสทช. เรียกอีกแล้วซึ่งเป็นเรื่องที่ดี ในขณะที่ข่าวปลอมคือมหาสงครามที่วิวัฒนาการ กระทรวงดิจิทีลฯ ศุนย์ต่อต้านข่าวปลอมก็ตรวจสอบ ลองไปดูเพจของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมว่ามีคนตามเท่าใด ซึ่งไม่ครอบคลุมตราบใดที่ยังไม่จับมือกับสื่อ ทำให้สื่อมีความรู้ ให้สื่อเป็นช่องทางส่งต่อข่าวปลอมเหล่านี้ให้โลกได้รู้ 

ขณะที่ในส่วนของสื่อมวลชน อาจเป็นข่าวดีล่าสุดสมาคมนักข่าวฯ ร่วมกับโคแฟค จัดอบรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อมูล (Fact Checking)ซึ่งเดิมตั้งเป้ารับไว้ 10 คน แต่มีมาสมัครถึง 30 คน ตนอยากให้มีนักตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อมูลมากกว่าโยแวร์ (พีรพล อนุตรโสตถิ์ – ชัวร์ก่อนแชร์ อสมท.) หรือ ThaiPBS Verify โดยการอบรมครั้งนี้ได้เชิญทีมของ ThaiPBS Verify มาช่วยสอนด้วย 

ผมว่าเวลามันเกิดเหตุหรืออะไรก็แล้วแต่ คนจะถวิลหาข้อเท็จจริงจากสื่อมวลชนที่เป็นมืออาชีพมากที่สุด ผมก็เลยคิดว่าถ้าสื่อมวลชนใช้ความได้เปรียบของ Influencer  Content Creator (บุคคลมีชื่อเสียงหรือนักผลิตเนื้อหาบนโลกออนไลน์) ที่เข้าไม่ถึงแหล่งข่าว เขาไม่เจอนายกฯ เขาไม่เจอรัฐมนตรี เขาไม่เจอผู้บริหารหน่วยงานต่างๆ เลย แต่เราดึงนักข่าวที่อยู่ทุกจุด สมมติมีข่าวปลอมอะไรบ้างในวงการอาชญากรรม ในวงการเศรษฐกิจ ดึงเขามาทำความเข้าใจก่อนว่าข่าวปลอมบางทีคุณอาจละเลยไป จีรพงษ์ กล่าว

ในช่วงท้าย ธีรดา ศุภะพงษ์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค ประเทศไทย และ Centre for humanitarian dialogue (HD) กล่าวปิดงาน ไล่เรียงจากวงเสวนาช่วงเช้าที่พูดถึงกลุ่มซึ่งตกเป็นเหยื่อความเกลียดชัง เช่น หลุ่มทางการเมือง แรงงานข้ามชาติ หรือสถานการณ์ความขัดแย้งไทย – กัมพูชา ส่งผลให้เวลานี้เราอยู่ในหลายๆ วงจรของข้อมูลข่าวสารที่มีการใช้ข้อมูลเพื่อวัตถุประสงค์อะไรก็ตามที่ขับเคลื่อนด้วยอำนาจทางการเมือง อำนาจทางเศรษฐกิจหรือธุรกิจ ขณะที่ภาคประชาสังคมต้องการสร้างพื้นที่รู้เท่าทัน พื้นที่ของสันติวิธี 

ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้ได้พูดถึงสิ่งที่เห็นและที่อยู่บนยอดภูเขาน้ำแข็ง เป็นปัญหาที่กำลังเผชิญกันอยู่ วิเคราะห์โครงสร้างที่เราได้รับผลกระทบจากภาคส่วนต่างๆ ภาคนโยบาย ภาคกำกับดูแล ภาคที่ออกกฎหมายนิติบัญญัติต่างๆ ภาคสื่อสารมวลชน ประชาสังคม ประชาชนเองที่ต้องผชิญกับข้อมูลข่าวสารที่ไม่รู้ว่าเราสามารถไว้วางใจใครที่จะขอใช้ข้อมูลหรือเชื่อข้อมูลนั้นได้ หรือบางทีเราก็ตกเป็นเหยื่อข้อมูล เพราะมีเครื่องมือที่ถูกออกแบบโดยมนุษย์มาเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง 

ได้ยินได้ฟังการคุยกันถึงว่าเราต้องเรียนรู้ ต้องตระหนักรู้  ต้องร่วมมือกัน ต้องเข้าใจบทบาทแต่ละฝ่ายว่าใครทำอะไรอยู่ในระบบนิเวศของข้อมูลข่าวสารนี้ แล้วทำอย่างไรนอกจากรู้เท่าทันแล้วยังต้องคิดประเมินล่วงหน้าด้วยว่ามันกำลังจะมีอะไรเกิดขึ้นในโลกทางกายภาพ แล้วเราก็ต้องเข้าใจว่าแล้วโลกออนไลน์มันเป็นอย่างไรอยู่แล้วจะส่งผลอย่างไรต่อกันและกัน ธีรดา กล่าว 

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

ถอดรหัส AI Disruption:ใช้มัน…อย่าให้มันใช้เรา

โดย ระวี ตะวันธรงค์

ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีในวงการสื่อสารมวลชน ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงมานับครั้งไม่ถ้วน ตั้งแต่การร่วมก่อตั้งสถานีโทรทัศน์ไปจนถึงวันที่ต้องปิดตัวลง การปรับเปลี่ยนองค์กรสิ่งพิมพ์และโทรทัศน์สู่ยุค “ออนไลน์เฟิร์ส” (Online first) ล้วนเป็นบทเรียนที่สอนเราว่า การหยุดนิ่งคือการถอยหลัง แต่การเปลี่ยนแปลงที่เรากำลังเผชิญอยู่ในวันนี้ รุนแรงและรวดเร็วกว่าครั้งไหน ๆ เรากำลังก้าวข้ามจากยุค Digital Disruption ไปสู่ AI Disruption อย่างเต็มตัว

รายการ “Media Code” ถือกำเนิดขึ้นจากความตั้งใจที่จะสร้างความเข้าใจในเทคโนโลยี โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งไม่ได้เป็นเพียง “เครื่องมือ” (Tool) อีกต่อไป แต่ได้กลายเป็น “พลังแห่งการเปลี่ยนรูป” (Transformative Force) ที่กำลังจะพลิกโฉมทุกวงการ หลักการสำคัญที่เราต้องยึดไว้ให้มั่นคือ “เราต้องเป็นผู้ใช้ AI อย่าปล่อยให้ AI ใช้เรา” เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน ควบคุมมัน และไม่ตกเป็นทาสของข้อมูลที่มันป้อนให้โดยไม่รู้ตัว

คลื่นสึนามิ AI: ภัยคุกคามต่อตำแหน่งงานที่ไม่อาจมองข้าม

ข้อมูลล่าสุดชี้ให้เห็นภาพอนาคตที่น่ากังวล ภายในปี 2030 คาดการณ์ว่าบริษัททั่วโลกจะลดการจ้างงานพนักงานลงถึง 41% เพื่อนำ AI เข้ามาทดแทน แม้แต่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง McKinsey ที่มีพนักงานเกือบหมื่นคนทั่วโลก ยังคาดการณ์ว่าจะลดพนักงานลงเกือบ 30% ภายในปี 2025 เหตุผลนั้นชัดเจน เพราะงานที่เคยต้องอาศัยทักษะมนุษย์ในการให้คำปรึกษา ค้นคว้าข้อมูลเชิงลึก และทำวิจัย กำลังจะถูก AI เข้ามาทำหน้าที่แทนได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำกว่า พนักงานที่เหลือรอดจึงต้องยกระดับประสิทธิภาพการทำงาน (Productivity) และที่สำคัญที่สุดคือ ต้องสามารถ “ควบคุม AI” ได้

หลายอาชีพกำลังตกอยู่ในความเสี่ยงสูงที่จะถูกทดแทน:

● ฝ่ายบริการลูกค้า (Customer Service): แชทบอทอัจฉริยะสามารถตอบคำถามที่ซับซ้อนและหลากหลายได้อย่างน่าทึ่ง

● นักบัญชีและนักกรอกข้อมูล (Data Entry): AI สามารถรวบรวม แปล และสรุปข้อมูลจากทั่วโลกได้ในเวลาไม่กี่นาที

● นักพิสูจน์อักษร: ความผิดพลาดจากสายตามนุษย์จะลดน้อยลง เมื่อ AI เข้ามาทำหน้าที่ตรวจสอบ

● ทหาร: เทคโนโลยีการทหารก้าวล้ำไปมาก โดรนและ AI ถูกใช้ในการตรวจจับและจำลองสถานการณ์รบ ทำให้บริษัทอย่าง Palantir ซึ่งพัฒนา AI ให้กับกองทัพสหรัฐฯ กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามหาศาล

● สายงานอาหาร: แม้แต่การทำอาหารก็ไม่เว้น ร้านก๋วยเตี๋ยวบางแห่งเริ่มใช้แขนกลหุ่นยนต์ที่ป้อนสูตรด้วย AI เพื่อควบคุมรสชาติและคุณภาพให้คงที่

AI ในห้องข่าว: ระหว่างโอกาสและความท้าทาย

ในวงการสื่อสารมวลชน AI ไม่ใช่เรื่องใหม่อีกต่อไป องค์กรสื่อทั่วโลกกว่า 79% ได้นำ AI มาปรับใช้ในห้องข่าว (Newsroom) แล้ว แต่ปัญหาใหญ่ที่ตามมาคือ การขาดนโยบายกำกับดูแลที่ชัดเจนซึ่งสร้างความเสี่ยงทั้งในแง่ข้อมูลรั่วไหลและปรากฏการณ์ “Hallucination” ที่ AI สร้างข้อมูลเท็จขึ้นมาเอง

น่าประหลาดใจที่ผลสำรวจจาก Reuters Institute ในปี 2024 พบว่า ประเทศไทยเป็นอันดับ 2 ของโลก (39%) ที่ผู้คนรู้สึกสบายใจและเชื่อถือข่าวสารที่มาจาก AI ซึ่งเป็นสัญญาณที่น่ากังวลและตอกย้ำถึงความจำเป็นในการสร้างความรู้เท่าทันสื่อยุคใหม่

สำนักข่าวระดับโลกต่างนำ AI ไปประยุกต์ใช้ในรูปแบบที่แตกต่างกัน:

● Reuters: ใช้ Gemini ในการตรวจสอบและคัดแยกรูปภาพข่าวนับหมื่นภาพต่อวัน เพื่อจำแนกภาพจริงออกจากภาพที่สร้างโดย AI

● Times.com และ Bloomberg: ใช้ AI ในการสร้าง Personalized News เพื่อนำเสนอข่าวสารที่ตรงกับความสนใจของสมาชิกแต่ละรายโดยเฉพาะ

● Associated Press (AP): ใช้ Chat GPT พัฒนาระบบค้นหาคลังข่าวในอดีต (Archive) ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจคือ ปัจจุบันทราฟฟิกบนเว็บไซต์สื่อกว่า 63% ไม่ได้มาจากมนุษย์ แต่มาจาก AI ที่เข้ามาเก็บข้อมูล (Information Scraping) นี่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้การสร้างคอนเทนต์ต้องเปลี่ยนจากการทำเพื่อ SEO (Search Engine Optimization) ให้คนค้นหา มาเป็นการทำเพื่อให้ AI อ่านและเรียนรู้

ทางรอดของมนุษย์: ยึดมั่นในหลักการ “Human in the Loop”

เมื่อ AI สามารถเข้ามาแทรกแซงกระบวนการผลิตคอนเทนต์ได้ตั้งแต่การคิดคอนเซ็ปต์ ร่างสคริปต์ ไปจนถึงการสร้าง “อวตาร” (Avatar) ขึ้นมาพูดแทนเราได้อย่างแนบเนียน คำถามสำคัญคือบทบาทของมนุษย์อยู่ตรงไหน?

แม้แต่งานที่เคยต้องการทักษะสูงและมีรายได้มหาศาลอย่าง Data Engineer หรือ Data Scientist ก็กำลังถูกเปลี่ยนบทบาท จากเดิมที่ต้องออกแบบโครงสร้างข้อมูลที่ซับซ้อน ปัจจุบันหน้าที่หลักของมนุษย์กลับกลายเป็นการ “ป้อนข้อมูลและควบคุม AI” ให้ทำงานตามที่ต้องการ

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงนี้ ทางรอดเดียวของมนุษย์คือการยึดมั่นในหลักการ “Human in the Loop” (HITL) ซึ่งหมายความว่ามนุษย์จะต้องเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทำงานของ AI เสมอ โดยมีหัวใจสำคัญ 3 ประการ:

1. การป้อนข้อมูล (Input): มนุษย์ต้องเป็นผู้คัดเลือกและป้อนข้อมูลที่มีคุณภาพให้ AI เรียนรู้ ไม่ใช่ปล่อยให้ AI ไปหาข้อมูลมาเองอย่างไร้การควบคุม

2. การตรวจทาน (Review): ก่อนนำผลลัพธ์ที่ได้จาก AI ไปใช้งาน มนุษย์ต้องทำหน้าที่ตรวจทานความถูกต้องและความเหมาะสมเสมอ

3. การตัดสินใจขั้นสุดท้าย (Final Decision): มนุษย์ต้องเป็นผู้ตัดสินใจ “คนสุดท้าย” ก่อนที่จะกดปุ่ม Enter เพื่อเผยแพร่ข้อมูลนั้นออกไปสู่สาธารณะ

ท้ายที่สุดแล้ว AI ได้เรียนรู้พฤติกรรมของเราและสร้าง “ห้องเสียงสะท้อน” (Echo Chamber) ที่คอยกล่อมเกลาให้เราเชื่อในสิ่งที่มันป้อนให้ซ้ำ ๆ สิ่งสำคัญที่สุดจึงไม่ใช่แค่การใช้ AI ให้เป็น แต่คือการ “รู้เท่าทัน” ทั้งสื่อและ AI เพื่อให้เราสามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งที่เรากำลังเสพอยู่นั้นเป็นความจริงหรือสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น เพราะในยุคที่เส้นแบ่งระหว่างความจริงกับสิ่งสังเคราะห์เลือนลางลงทุกขณะ การมี Critical Thinking คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุดที่จะทำให้เราเป็นนายของเทคโนโลยี ไม่ใช่ทาสของมัน

คลิปเก่าชาวเขมรประท้วงไทย ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นการชุมนุมกรณี นศ. เกาหลีใต้เสียชีวิตในกัมพูชา

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: ภาพชาวเขมรประท้วงเกาหลีใต้ กรณีนักศึกษาเสียชีวิตในกัมพูชา 

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาบิดเบือน เป็นภาพเก่าที่ชาวกัมพูชาในเกาหลีใต้ประท้วงไทย** 

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 15 ต.ค. 68 เพจเฟซบุ๊ก “ตะลอน ทั่วกรุง” โพสต์ภาพกลุ่มชาวกัมพูชาถือธงชาติ ฝังข้อความ “แรงงานเขมรในเกาหลีประท้วง ขู่ไม่ทำงาน ลั่นกัมพูชาไม่ได้ฆ่าผู้บริสุทธิ์” และเขียนบรรยายเพิ่มเติมในโพสต์ว่า แรงงานเขมรที่ทำงานอยู่ในประเทศเกาหลีใต้รวมตัวกัน “เพื่อประกาศให้ชาวเกาหลีรู้ว่ากรณีนักศึกษาที่เสียชีวิตในกัมพูชา คนเขมรไม่ได้ทำ แต่เป็นแก๊งค์อาชญากรข้ามชาติซึ่งเป็นคนจีน”

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: เมื่อค้นหาภาพด้วย Google Lens พบว่า ภาพดังกล่าวมาจากคลิปวิดีโอที่ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ชาวกัมพูชาจำนวนมากโพสต์ไว้เมื่อวันที่ 27 ก.ค. 68 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการปะทะทางทหารบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาระหว่างวันที่ 24-28 ก.ค. ผู้โพสต์ระบุตรงกันว่าเป็นภาพเหตุการณ์ที่ชาวกัมพูชาในเกาหลีใต้รวมตัวกันประท้วงประเทศไทยโดยกล่าวหาว่าไทยเป็นฝ่ายโจมตีกัมพูชาก่อน 

สรุปได้ว่าคลิปนี้เป็นคลิปเก่าที่ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นการประท้วงของชาวกัมพูชาในเกาหลีใต้ โดยอาศัยช่วงที่สังคมกำลังให้ความสนใจข่าวการเสียชีวิตของนักศึกษาชาวเกาหลีใต้ในกัมพูชา ซึ่งสันนิษฐานว่าถูกล่อลวงและกักขังเพื่อเรียกค่าไถ่และทรมานจนเสียชีวิต นำมาสู่การออกคำเตือนของทางการเกาหลีใต้ต่อพลเมืองในการเดินทางไปกัมพูชา

‘พลาสเตอร์-แผ่นแปะ’ ติดตามร่างกายแก้ ‘เมารถ- เมาเรือ’ จริงหรือไม่?

By : บัญชา จันทร์สมบูรณ์

พลาสเตอร์ติดสะดือ แก้อาการเมารถได้ จริงหรือไม่?” เป็นคำถามที่ทางเครือข่ายใน จ.มหาสารคาม เลือกมาตรวจสอบข้อเท็จจริง หลังพบการแชร์เรื่องนี้ในสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งข้อมูลล่าสุด พบว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เคยเตือนไว้ตั้งแต่ปี 2561 ว่า ไม่เป็นความจริง เนื่องจากเวลานั้นมีการแชร์ความเชื่อแปลกๆ ว่า การนำพลาสเตอร์ปิดแผลมาปิดตามอวัยวะต่างๆ เช่น สะดือ ใต้สะดือ หลังหู จะช่วยแก้อาการเมารถ – เมาเรือได้ 

อย่างไรก็ตาม ณ ปัจจุบัน (เดือนตุลาคม 2568) จากการลองค้นหาในอินเตอร์เน็ต ผู้เขียนพบว่า ยังมีการโฆษณาขาย “แผ่นแปะหลังหูแก้อาการเมารถ – เมาเรือ” หลากหลายยี่ห้อ และหลายคนก็นำมารีวิวกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว จึงมีคำถามตามมาว่า ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ทำงานอย่างไร? มีการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องในประเทศไทยหรือไม่? รวมถึงเคยมีรายงานผลข้างเคียงหรือไม่?

– เมารถ  เมาเรือเกิดจากอะไร? : ผู้เชี่ยวชาญ อาทิ ศ.พญ.สุจิตรา ประสานสุข ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายไว้ในบทความ เมารถ เมาเรือ” ว่า อาการเมารถ – เมาเรือ เป็นเรื่องเฉพาะตัวของแต่ละบุคคล (ใครที่เมาก็จะเมา แต่ใครที่ไม่เมาก็จะไม่เมา) “อาการเมาเกิดจากประสาททรงตัวทำงานไม่สมดุล” ซึ่งความไม่สมดุลนี้อาจจะเกิดจาก ได้รับแรงกระตุ้นที่มากเกินไป เช่น นั่งรถที่เหวี่ยง หรือนั่งเรือที่โคลงเคลงไป – มาตามลูกคลื่นเป็นเวลานาน จนไปกระตุ้นประสาทการทรงตัวของคนคนนั้น

ถ้าประสาทการทรงตัวของเราไม่มีความไวผิดปกติ เราก็อาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่ในคนหลายๆคน เกิดมารู้สึกว่าประสาททรงตัวไวเป็นพิเศษ พอนั่งรถไปได้สักพักจะรู้สึกว่าเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียนศ.พญ.สุจิตรา กล่าว

เช่นเดียวกับบทความ เมารถ เมาเรือ ป้องกันได้ ซึ่งเขียนโดย ผศ.ภก.ดร.บดินทร์ ติวสุวรรณและ รศ.ภญ.ดร.ณัฏฐดา อารีเปี่ยม คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า อาการเมารถ เมาเรือ (Motion Sickness) เกิดจากความไม่สอดคล้องระหว่างข้อมูลทางประสาทสัมผัสที่สมองได้รับจากหูชั้นใน ซึ่งรับรู้การเคลื่อนไหว กับตาที่มองเห็นสภาพโดยรอบ รวมถึงส่วนอื่นๆ ของร่างกาย อาการเมาแบบนี้ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเมื่อเดินทางด้วยรถ เรือ และเครื่องบิน บางรายเกิดอาการได้ เมื่อเล่นเครื่องเล่นในสวนสนุกที่มีการหมุนเหวี่ยง หรือเคลื่อนที่เร็วมากๆ อาการที่เกิดคือ คลื่นไส้ อาเจียน เวียนหัว ปวดหัวเหงื่อแตก น้ำลายไหล หายใจติดขัด หน้าซีด เป็นต้น 

แต่อาการเมารถ เมาเรือนั้น ยังไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนว่า ทำไมบางคนเป็น แล้วบางคนไม่เป็น แต่มีการรวบรวมข้อมูลและทราบถึงปัจจัยเสี่ยงขั้นต้นได้แก่ เด็กช่วงอายุ 2-12 ปี มักมีอาการเมารถเมาเรือได้ง่าย ผู้หญิงที่กำลังมีประจำเดือน หรืออยู่ในระหว่างตั้งครรภ์ หรือรับประทานยาฮอร์โมน จะมีอาการเมารถ เมาเรือได้ง่ายกว่าปกติ ปัจจัยเสี่ยงอีกข้อหนึ่งที่น่าสนใจคือข้อมูลทางกรรมพันธุ์ คนที่มีญาติสายตรงมีอาการเมารถ เมาเรือ จะมีความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป บทความดังกล่าวระบุ 

– พลาสเตอร์แปะหลังหูแก้อาการเมารถ  เมาเรือ มีจริงหรือไม่? : คำตอบตือ มีจริง เช่น บทความ เมารถ เมาเรือ เมาเครื่องบิน … รับมือได้อย่างไรเขียนโดย ผศ.ดร.ฉัตรชากร เอื้อติวงศ์ ภาควิชาเภสัชเคมี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลระบุว่า สโคโปลามีน (Scopolamine)” เป็นรูปแบบแผ่นแปะผิวหนังที่บริเวณหลังใบหู ปริมาณการใช้อยู่ที่ 1 มิลลิกรัม โดยให้แปะ 4-6 ชั่วโมง ก่อนออกเดินทาง ยาจะค่อยๆ ออกฤทธิ์ มีผลนาน 3 วัน

เว็บไซต์ medlineplus.gov ฐานข้อมูลความรู้ด้านสุขภาพซึ่งจัดทำโดย หอสมุดการแพทย์แห่งชาติสหรัฐอเมริกา (NLM) กล่าวถึงในบทความ “Scopolamine Transdermal Patch (สโคโปลามีนแบบแผ่นแปะผิวหนัง) ว่า สโคโปลามีน ใช้เพื่อป้องกันอาการคลื่นไส้และอาเจียนที่เกิดจากอาการเมารถหรือยาที่ใช้ระหว่างการผ่าตัด โดย สโคโปลามีนจัดอยู่ในกลุ่มยาที่เรียกว่าแอนติมัสคารินิก (Antimuscarinics) ซึ่งออกฤทธิ์โดยการยับยั้งผลของสารบางชนิด (Acetylcholine) ต่อระบบประสาทส่วนกลาง

มีลักษณะเป็นแผ่นแปะสำหรับแปะบนผิวหนังที่ไม่มีขนหลังใบหู ในกรณีใช้เพื่อป้องกันอาการคลื่นไส้และอาเจียนที่เกิดจากอาการเมารถ ให้แปะแผ่นแปะอย่างน้อย 4 ชั่วโมงก่อนที่จะออกฤทธิ์ และทิ้งไว้นานถึง 3 วัน หากจำเป็นต้องใช้ยานานกว่า 3 วัน ให้ลอกแผ่นแปะเดิมออกแล้วแปะแผ่นแปะใหม่หลังใบหูอีกข้างหนึ่ง แต่หากเป็นกรณีใช้เพื่อป้องกันอาการคลื่นไส้และอาเจียนจากยาที่ใช้ในการผ่าตัด ให้แปะแผ่นแปะตามคำแนะนำของแพทย์ และทิ้งไว้นานถึง 24 ชั่วโมงหลังการผ่าตัด

 สถานะของสโคโปลามีนและยาแก้เมารถ – เมาเรือในประเทศไทย : จากการสืบค้น (ณ วันที่ 7 ต.ค. 2568) ในฐานข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยใช้คำว่า Scopolamineพบทั้งหมด 44 รายการ แบ่งเป็น เภสัชเคมีภัณฑ์ 43 รายการ ส่วนอีก 1 รายการ ขึ้นทะเบียนในฐานะยาสำเร็จรูป โดยเป็นยาชนิดฉีด

ขณะที่เมื่อใช้คำว่า แผ่นแปะ” พบทั้งสิ้น 215 ราบการ ส่วนใหญ่เป็นเครื่องมือแพทย์ 180 รายการ เครื่องสำอาง 13 รายการ ยาสำเร็จรูป 11 รายการ ผลิตภัณฑ์สมุนไพร 5 รายการ และวัตถุอันตราย 6 รายการ และเมื่อใช้คำว่า เมาเรือ พบทั้งสิ้น รายการ เป็นยาสำเร็จรูปทั้งหมด และเป็นยรับประทาน ไม่ใช่แผ่นแปะผิวหนัง รวมถึงเป็นตัวยา ไดเมนไฮดริเนต (Dimenhydrinate) หมายเหตุ : ทั้ง 5 รายการ แม้จะระบุว่าเป็นยาแก้เมารถ – เมาเรือ แต่ต้องใช้คำค้นว่า เมาเรือ เท่านั้น หากใช้คำว่า เมารถ จะค้นหาไม่พบ 

อนึ่ง ทีมงานโคแฟคได้สอบถามไปยัง อย. และได้ทราบข้อมูลเพิ่มเติมว่า ครั้งหนึ่งเคยมีการขอขึ้นทะเบียนยาสโคโปลามีนรูปแบบแผ่นแปะ ในชื่อ SCOPODERM TTS เลขที่รับคำขอ 1C 1232/26 วันที่รับคำขอ 10 ต.ค. 2526 เลขทะเบียน 1C 242/28 วันที่อนุมัติ 1 มี.ค. 2528 ลักษณะเป็นยาแผ่นปิดผิวหนังหลังหู แผ่นบาง แบ่งเป็นชั้นๆ ตรงกลางเป็นแผ่นกลม สีชมพูอ่อน มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 17.8 มม. ใช้เพื่อป้องกันอาการเมารถ เมาเรือ เวลาเดินทาง ซึ่งการขึ้นทะเบียนนี้เดิมจะหมดอายุในวันที่ 12 ต.ค. 2567 แต่ได้ยกเลิกไปก่อนเมื่อวันที่ 15 ก.พ. 2550 และจนถึงขณะนี้ (7 ต.ค. 2568) ยังไม่พบการขึ้นทะเบียนยาสโคโปลามีนรูปแบบแผ่นแปะอีก

– เตรียมตัวก่อนเดินทางอย่างไรให้ดลเสี่ยงอาการเมารถ  เมาเรือ? : คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ อาทิ บทความ “เมารถ เมาเรือ” โดย ศ.พญ.สุจิตรา ประสานสุข ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล , บทความ “เมารถ เมาเรือ ป้องกันได้” โดย ผศ.ภก.ดร.บดินทร์ ติวสุวรรณ และรศ.ภญ.ดร.ณัฏฐดา อารีเปี่ยม คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สรุปได้ดังนี้ 

1.พักผ่อนให้เพียงพอก่อนการเดินทาง หากพักผ่อนไม่เพียงพอจะทำให้เกิดอาการได้ง่ายและรุนแรงขึ้น 2.อย่าปล่อยให้ท้องว่างก่อนออกเดินทางมีความเชื่อกันว่าควรปล่อยให้ท้องว่างจะได้ไม่อาเจียนระหว่างทาง ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด เพราะยิ่งท้องว่างก็จะทำให้เมาเร็วยิ่งขึ้น โดยสามารถรับประทานอาหารตามปกติ แต่อย่ารีบร้อน ให้รับประทานช้าๆ และควรเว้นระยะพักสักครึ่งชั่วโมงก่อนออกเดินทาง

3.เลือกที่นั่งให้เหมาะสม หากเดินทางด้วยรถควรนั่งด้านหน้าเพราะจะทำให้สายตามองไปด้านหน้า อาการเมาจะเกิดช้ากว่าการนั่งด้านหลังที่ต้องมองทิวทัศน์จากด้านข้าง , หากเดินทางด้วยเรือ ควรเลือกที่นั่งบริเวณกลางลำเรือ ไม่ควรเลือกที่นั่งเอียงไปฝั่งใดฝั่งหนึ่ง เพราะเรือจะโยกตัวตามความแรงของคลื่น , หากเดินทางด้วยเครื่องบิน ให้เลือกที่นั่งบริเวณปีก และเลือกที่นั่งริมหน้าต่างเพื่อสามารถมองออกไปข้างนอกได้ 4.รับประทานยาแก้เมาเตรียมไว้ อย่างน้อยครึ่งชั่วโมงก่อนออกเดินทาง 

โดยสรุปแล้ว การนำพลาสเตอร์สำหรับปิดแผลมาปิดตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย (เช่น สะดือ หลังหู) ไม่สามารถแก้อาการเมารถ – เมาเรือได้ ส่วนแผ่นแปะแก้อาการเมารถ  เมาเรือนั้น โดยแปะที่บริเวณหลังหูนั้นมีอยู่จริง มีใช้ในบางประเทศ แต่ ณ ปัจจุบัน ไม่มีทะเบียนอนุมัติให้ใช้ในประเทศไทย!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

https://dis.fda.moph.go.th/detail-infoGraphic?id=1607 (พลาสเตอร์ปิดสะดือแก้เมารถ ไม่จริง : อย. 20 ส.ค. 2561)

https://www.si.mahidol.ac.th/th/healthdetail.asp?aid=107 (เมารถ เมาเรือ : คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล 6 ต.ค. 2553)

https://www.pharm.chula.ac.th/th/News_content/preventing-car-and-boat-sickness/ (เมารถ เมาเรือ ป้องกันได้ : คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 20 พ.ค. 2567)

https://pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/703 (เมารถ เมาเรือ เมาเครื่องบิน … รับมือได้อย่างไร : คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 29 ต.ค. 2567)

https://medlineplus.gov/druginfo/meds/a682509.html (Scopolamine Transdermal Patch : MedlinePlus 15 ก.ค. 2568)

https://www.fda.gov/drugs/drug-safety-and-availability/fda-adds-warning-about-serious-risk-heat-related-complications-antinausea-patch-transderm-scop (FDA adds warning about serious risk of heat-related complications with antinausea patch Transderm Scōp (scopolamine transdermal system) : FDA 18 มิ.ย. 2568)

https://www.fda.moph.go.th/?op=kwssl&lang=1&skin=s&db=Main&ww=(ระบบค้นหาข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่ได้รับอนุญาตจากอย.)

AI เขย่าโลกสื่อ: เมื่อ ‘ความเร็ว’ คือเดิมพัน และ ‘มนุษย์’ คือผู้คุมเกม

ภูมิทัศน์สื่อ (Media Landscape) กำลังถูกเปลี่ยนนิยามใหม่ด้วยความเร็วที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน การมาถึงของ Generative AI ไม่ใช่แค่การ Disrupt แต่มันคือการ “เปลี่ยน” กฎของเกมทั้งหมด โดยเฉพาะหลังจากการเปิดตัว ChatGPT ที่ทะยานขึ้นเป็นเว็บไซต์ที่มีผู้เข้าชมสูงสุดอันดับ 5 ของโลก แซงหน้ายักษ์ใหญ่ที่ดำเนินธุรกิจมานับสิบปี ทั้งที่เป็นระบบสมัครสมาชิก (Subscription-based) สิ่งนี้คือสัญญาณเตือนว่า ใครก็ตามที่ไม่ปรับตัว กำลังจะถูกทิ้งไว้ข้างหลังอย่างถาวร

บทความนี้สรุปประเด็นสำคัญจากรายการ Media Code โดยคุณก้าวโรจน์ สุตาภักดี ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี เพื่อให้คนในวงการสื่อเห็นภาพว่า AI ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นเครื่องมือสำคัญที่กำหนดผู้แพ้-ผู้ชนะในสนามรบ Content วันนี้

AI: ไม่ใช่แค่ ‘เครื่องทุ่นแรง’ แต่คือ ‘ตัวคูณ’ โอกาสทางธุรกิจ

หัวใจของ AI ในงานสื่อมีเพียง 2 ข้อ คือ ลดเวลา และ เพิ่มโอกาส/รายได้ คุณก้าวโรจน์ สุตาภักดี ได้สาธิตให้เห็นว่า AI สามารถทำงานที่ซับซ้อนให้เสร็จสิ้นในหลักนาที:

● สร้างภาพเสมือนจริง (Image Generation): เทคโนโลยีอย่าง Nano Banana ของ Google สามารถเปลี่ยนภาพคนธรรมดาให้กลายเป็นภาพระดับ “พระเอกเกาหลี” ได้ใน 2 นาที นี่คือเครื่องมือสร้างสรรค์และในขณะเดียวกันก็คือความท้าทายด้านข่าวปลอมที่ต้องรับมือ

● โคลนเสียง (Voice Cloning): จากที่เคยต้องใช้ไฟล์เสียงต้นฉบับหลายชั่วโมง ปัจจุบันต้องการเพียง 60 วินาที เพื่อโคลนเสียงที่แม่นยำ และเมื่อนำไปผสานกับวิดีโอด้วยเครื่องมืออย่าง Gen-2 จะสามารถลดกระบวนการผลิตที่เคยใช้เวลา 4 ชั่วโมง ให้ เหลือเพียง 10 นาที

ความสามารถเหล่านี้คือการปลดล็อกศักยภาพการผลิตคอนเทนต์ในสเกลที่ไม่เคยทำได้มาก่อน

กรณีศึกษา TNN: พลิก Workflow ห้องข่าว สู่ยุค ‘Content Automation’

TNN ได้นำ AI เข้ามาผนวกกับกระบวนการทำงานจริง เพื่อแก้ปัญหาคอขวดในการผลิตคอนเทนต์สั้น (Snack Content) ที่ต้องป้อนหลายแพลตฟอร์ม

● กระบวนการเดิม: การผลิตคลิปสั้น 1 คลิป ต้องใช้ทีมงานครบชุด (พิธีกร, ช่างกล้อง, โปรดิวเซอร์) และสตูดิโอ ใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วโมง

● AI Solution: TNN เปลี่ยนวิธีโดยให้พิธีกรเข้ามา “อัดลุค” (ภาพลักษณ์) เพียงครั้งเดียว ซึ่งสามารถสร้างรูปแบบได้ถึง 300 แบบ หลังจากนั้น พิธีกรไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศอีก เพียงส่งสคริปต์และอัดเสียง (Voice Over) จากสมาร์ทโฟน แล้วให้ AI จัดการแมตช์ภาพและเสียงเข้าด้วยกัน

● ผลลัพธ์: ลดเวลาการผลิตต่อคลิป เหลือเพียงหลักนาที โดยยังคงกระบวนการยืนยันตัวตนและขอความยินยอม (Consent) จากเจ้าของเสียงและภาพ เพื่อรักษามาตรฐานทางจริยธรรม

‘Human-in-the-Loop’: ทำไมมนุษย์ยังเป็นหัวใจในสมการ AI

แม้ AI จะสามารถทำงานได้อัตโนมัติเต็มรูปแบบ เช่น กรณีศึกษา “หลวงตาบุญจริง” ที่ใช้บอทค้นหาบทสวด สร้างสคริปต์ และโพสต์ลง TikTok เองทั้งหมด แต่มนุษย์ยังคงเป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ใน 2 จุดยุทธศาสตร์สำคัญ:

1. จุดเริ่มต้น (Initiative): มนุษย์คือ ผู้กำหนดกลยุทธ์ ว่าจะใช้ AI เพื่อ “ลดอะไร” หรือ “เพิ่มอะไร” AI เป็นเครื่องมือ แต่มนุษย์คือผู้บัญชาการ

2. จุดตรวจสอบ (Verification): มนุษย์คือ ปราการด่านสุดท้ายในการตรวจสอบความถูกต้องและจริยธรรมของเนื้อหาก่อนเผยแพร่ ความรับผิดชอบสุดท้ายยังคงอยู่ที่มนุษย์

AI อาจมี Global Ethics ในตัว แต่จรรยาบรรณสื่อในบริบทของแต่ละสังคมยังเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องกำกับดูแล

วิกฤตใหม่ที่น่ากลัวกว่าเทคโนโลยี: ‘AI Gap’ และสงคราม ‘การรับรู้’

ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดไม่ใช่ตัวเทคโนโลยี แต่คือ วิธีคิดของผู้รับสาร สังคมกำลังเผชิญกับ AI Gap ซึ่งเป็นช่องว่างทางความรู้ที่น่ากลัวกว่า Digital Gap ในอดีต ผู้คนจำนวนมากมีแนวโน้มที่จะ เลือกเชื่อ ข้อมูลที่สอดคล้องกับอคติหรือความเชื่อเดิมของตนเอง (Perception) แม้จะรู้ว่าข้อมูลนั้นอาจสร้างจาก AI ก็ตาม

นี่คือสนามรบใหม่ของข่าวปลอม ที่ Deepfake และ Misinformation สามารถเข้าถึงคนทั้งประเทศผ่านสมาร์ทโฟน โดยที่หลายคนยังขาดทักษะการรู้เท่าทัน

ทางรอดของคนสื่อและสังคม: ต้องทำอะไร?

ความเร็วของ AI บังคับให้ทุกคนต้อง “เก็บคอ งอเข่า” เพื่อเตรียมรับแรงปะทะ

สำหรับคนทำสื่อ:

● เรียนรู้และอยู่กับมัน: ต้องลงมือใช้เครื่องมือ AI ให้เป็น และใช้ประสบการณ์ของมนุษย์ในการกำกับดูแล

● ทำให้เป็น Norm: ทักษะ AI กำลังจะกลายเป็นทักษะพื้นฐาน เหมือนการใช้โซเชียลมีเดียในทศวรรษก่อน

● สร้าง Human Touch: ในวันที่คอนเทนต์ถูกผลิตได้ราวกับสายน้ำ สิ่งที่จะมีค่าที่สุดคือ “สัมผัสของความเป็นมนุษย์” ที่ AI ไม่สามารถลอกเลียนได้

สำหรับประชาชนทั่วไป:

● อย่าตื่นตระหนก: AI เข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของเราแล้วอย่างเงียบๆ

● เปลี่ยนจาก “เช็กก่อนแชร์” เป็น “เช็กก่อนเชื่อ”: นี่คือกฎเหล็กข้อใหม่ เพราะก่อนที่เราจะแชร์อะไรออกไป เราได้ผ่านกระบวนการ “เชื่อ” มาก่อนแล้ว ดังนั้น การตั้งคำถามกับความเชื่อของตัวเองเป็นด่านแรก คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุดในยุค AI

จาก‘14ตุลา16’ถึง‘พิพาทไทย-กัมพูชา68’สังคมไทยยังติดหล่มความคิด‘เห็นต่างคือศัตรู’

14 ต.ค. 2568 รายการ “โคแฟคสนทนา : รวมพลคนเช็กข่าว” ร่วมจัดโดยภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) และ Ubon Connect  EP21 ชวนพูดคุยในหัวข้อ “บทเรียนการตรวจสอบข้อมูล 14 ตุลา 16 ถึง 68 จุดเหมือน : จุดต่าง” โดย นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และอดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) กล่าวว่า ปัจจุบันตนอายุ 74 ย่าง 75 ปีแล้ว ได้รับรู้ความจริงบางอย่าง ตนยังรู้สึกสนุกกับสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ที่มีความเปลี่ยนแปลง เพียงแต่เลือกตามในสิ่งที่ตามได้ อะไรที่ตามไม่ได้ก็อาศัยลูกช่วย ซึ่งสรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้ 

1.กระแสของสื่อสังคมออนไลน์ขณะนี้การรับรู้ความจริงคงไม่พอ เพราะในความจริงบางครั้งก็มีปัญหาความเกลียดชัง (Hate Speech) ปัญหาของสื่อที่ไม่ตรงกับความจริง (Fake News) อิทธิพลของคนดังบนโลกออนไลน์ (Influencer) ดังนั้นแล้ว นอกจากรับรู้ความจริงยังต้องรู้เท่าทันด้วย รับรู้สื่อในกระแสต่างๆ ที่มีความหลากหลาย นักวิชาการบุคคลมีชื่อเสียงที่ออกมาพูดมีหลากหลาย แม้กระทั่งข่าวที่เจาะสภาพความเป็นจริงในพื้นที่ ก็ต้องใช้กระบวนการคิดว่าอะไรจริง – ไม่จริง ถูก – ไม่ถูก เป็นเรื่องท้าทายกระบวนการคิดและจิตสำนึกของเราพอสมควร การเสพสื่อในปัจจุบัน ประการแรกจึงต้องรู้เท่าทัน มีข้อมูลองค์ความรู้ที่ชัดเจน 

2.สังคมไทยติดกับดักหรือหลุมพราง โดยเฉพาะในช่วง 20 ปีล่าสุด อย่างช่วงที่ทำงานเรื่องปฏิรูปสื่อ มีการตั้งความหวังไว้มากเรื่องวิทยุชุมชน นำไปสู่กระแสของการเกิดสื่อชุมชนขึ้นจำนวนมากและปัจจุบันก็ยังมีอยู่ แต่องค์กรที่เข้ามาจัดการ เช่น กสทช. หรือ ThaiPBS ก็ยังไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องการ เพราะปัญหาในสังคมไทย อย่างตนเคยเป็น สว. ช่วงปี 2543 – 2549 ในช่วงที่เกิดรัฐประหาร (ปี 2549) เป็นช่วงที่สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลง คืออยู่ในวังวนของสังคมที่เกิดความคิดเห็นแตกต่างและมีความขัดแย้งกันมาก 

ทั้งนี้ ความแตกต่างหรือความขัดแย้งมิได้เป็นปัญหาในตัวของมันเอง เพราะเราอยู่ในยุคแห่งความหลากหลาย แต่วิธีการเข้าถึงความคิดเห็นที่แตกต่าง สังคมไทยติดกับดักของคู่ตรงข้าม..คือมองคนเห็นางเป็นศัตรู ต้องกำจัดหรือขับไล่ออกไป เกิดลัทธิคลั่งชาติและชังชาติ หรือแม้แต่นำไปสู่การทารุณกรรม อย่างที่เคยเกิดขึ้นในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ตนจึงเห็นว่าสังคมไทยยังไม่เปลี่ยนผ่านและเป็นจุดที่อันตรายมาก ยิ่งในปัจจุบันที่มีความขัดแย้งหลากหลายเกิดขึ้น 

โดยสรุปแล้วประการที่ 2 คือไทยหนีไม่พ้นกระแสชาตินิยม ซึ่งก็ไม่ต่างจากในกัมพูชา หรือในประเทศในกลุ่มประชาคมภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ทั้งที่ไทยไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตกแต่รับลัทธิอาณานิคมเข้ามาโดยไม่รู้ตัว คือความเป็นชาตินิยมที่ไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เป็นเรื่องของรัฐประชาชาติ การเอาประชาชนเป็นตัวตั้ง ในขณะที่เรายึดถือชาตินิยมแบบยึดวัตถุที่เราเห็นว่าถูกต้อง เช่น ประวัติศาสตร์ที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง มองเป็นสรณะในการต่อสู้ช่วงชิง ซึ่งไม่เชิงเป็นความผิดของเรา แต่สังคมไทยยังก้าวไม่พ้น

และ 3.รูปแบบความรุนแรงที่เปลี่ยนไปในทางแย่ลง อย่างสิ่งที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เป็นความรุนแรงแบบดิบเถื่อน เป็นการฆ่าและทำร้ายร่างกายกัน ขณะที่ปัจจุบันเป็นความรุนแรงเชิงโครงสร้าง มีระบบโครงสร้างหลายอย่างที่ทำให้เกิดความรุนแรง เช่น รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 อำนาจตุลาการที่ทำให้เกิดตุลาการภิวัฒน์ หรือแม้แต่สิ่งที่เป็นความรุนแรงเชิงวัฒนธรรม ที่ซุกซ่อนอยู่ในกระแสของสังคมไทย เช่น ความเป็นคนดีมีศีลธรรม แล้วมองคนอื่นว่าเป็นคนเลวที่ต้องจัดการให้หมดไป 

ดังที่ เจมส์ ไวส์ (James Wise) อดีตอดีตเอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทยเขียนเล่าไว้ในหนังสือ Thailand : History, Politics and the Rule of Law (ประวัติศาสตร์ การเมือง และหลักนิติธรรมแบบไทยๆ) ว่า สังคมไทยยังยึดติดกับเรื่องของตัวบุคคล..ทั้งที่โลกเปลี่ยนแปลงไปเป็นเรื่องปัญหาเชิงระบบโครงสร้าง มุมนี้น่าสนใจ ซึ่งจากทั้ง 3 ประเด็นดังกล่าว เป็นการสรุปของทั้ง 49 ปี 6 ตุลา 2519 หรือ 52 ปี 14 ตุลา 2516 หรือแม้กระทั่ง 93 ปี หากนับจากปี 2475 ที่ประเทศไทยเปลี่ยนการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตย 

ทางออกจึงต้องเข้าใจว่าคนหนุ่ม – สาวยุคปัจจุบันคิดไม่เหมือนคนรุ่นก่อนหน้า และทำความเข้าใจว่าสังคมที่มีความหลากหลายไม่ใช่สังคมที่ผิดปกติ แต่ความหลากหลายคือการยอมรับฟังความคิดเห็น ต้องทำให้คนหนุ่ม – สาวได้ยอมรับว่าในความเห็นต่างจะอยู่ที่วิธีการมาพูดคุยถกเถียงกันแล้วพยายามหาข้อสรุป ในทางกลับกันก็ต้องทำให้คนที่อายุมากแล้วยอมรับว่าสังคมไทยและสังคมโลกได้เปลี่ยนไปแล้ว การทำให้เกิดการรักชาติหรือคลั่งชาติจนเกินเลยเป็นสิ่งที่ทำร้ายสังคม เป็นการตัดตอนการพัฒนาของประเทศที่ต้องการความหลากหลาย

หรืออย่างกรณีล่าสุดที่เกิดขึ้นกับคนที่ออกมาเตือนเรื่องการเปิดเครื่องเสียง ส่งเสียงผีหลอกในบริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา สะท้อนว่าสังคมไทยยังหมกมุ่นอยู่กับการสร้างความเกลียดชัง แต่การหลงเชื่อไปใช้วิธีการที่ไม่สอดคล้องกับหลักมนุษยธรรม ไม่ว่าการใช้เสียงหรือใช้ความรุนแรงนั้นไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง แต่ต้องจัดการบนพื้นฐานของหลักกฎหมายทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ จะทำให้การเจรจาดำเนินการต่อไปได้

การจะจัดการตรงนี้ได้ในทางการเมืองก็ต้องเข้ามามีส่วนช่วยในการค้ำยัน แต่การเมืองไม่ควรจะเป็นเรื่องของการที่มาทำตามกระแส ไม่ว่าจะเป็นการปลุกกระแสในเรื่องของการต้องทำให้เกิดการรับฟังความเห็นประชามติเรื่องของ MOU ซึ่งเป็นการมาโยนความรับผิดชอบให้ประชาชน หรือกระแสในการที่ต้องมีจุดยืนในการเมืองที่ชัดเจนว่าเราต้องการสันติสุข การเจรจา การพูดคุยที่เป็นทวิภาคี แล้วตรงนี้จะเป็นจุดที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราเป็นลูกพี่ที่โตกว่าัมพูชา ที่เราก็รู้ว่าเขาพยายามใช้ทุกวิถีทางจัดการ นพ.นิรันดร์ กล่าว

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า หากนับจนถึงปัจจุบัน ณ ปี 2568 เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ก็ผ่านมาแล้ว 52 ปี เทียบกับอายุขัยของมนุษย์ถือว่ากำลังเข้าสู่การเป็นผู้สูงวัย เป็นบุคคลที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ขณะที่สังคมไทยของเราที่มีทั้งความเห็นว่าวนอยู่ที่เดิม ดีกว่าเดิม หรือแม้แต่หนักกว่าเดิม ซึ่งการพูดคุยในครั้งนี้เป็นการย้อนดูว่าในช่วง 50 ปีผ่านมาเได้เห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างมากทั้งในเรื่องเทคโนโลยี การเมืองการปกครองและอื่นๆ แต่ในภาพรวมปัญหาบางอย่างก็ยังคงดำรงอยู่ 

ทั้งนี้ หากมองไปที่เรื่องข้อมูลข่าวสาร เมื่อ 50 ปีก่อนโจทย์คือการต่อสู้กับอำนาจเผด็จการ การถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพ สื่อโทรทัศน์ถูกเซ็นซอร์ สื่อหนังสือพิมพ์ถูกล่ามโซ่ คำถามคือผ่านมา 50 ปี มีความเปลี่ยนแปลงเพียงใด จึงอยากทบทวนความหลังเพื่อหันมามองปัจจุบัน ที่นอกจากจะขัดแย้งกันเองแล้วยังมีความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเด็นไทย- กัมพูชา หรือแม้แต่มองไปในระดับโลก สงครามข่าวสารเกิดขึ้นร้อนแรงไม่แพ้สงครามที่สู้รบกันจริงๆ จนหลายคนเบื่อหน่ายไม่อยากรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ถึงขนาดที่ซึมเศร้าไปก็มี 

อินเตอร์เน็ตที่หลายคนเคยคิดว่าเป็นพื้นที่แห่งอิสรเสรีภาพ กลับกลายเป็นพื้นที่ของด้านมืดมากขึ้นเรื่อยๆ หัวข้อการพุดคุยในครั้งนี้จึงเป็นการมองการตรวจสอบข้อมูลจากยุคอดีตจนถึงปัจจุบัน ตลอดจนการรับมือกับสงครามข้อมูลที่รวมทั้งข้อเท็จจริง ความคิดเห็นและความรู้สึก เรื่องที่พูดกันอาจไม่ใช่ความเท็จ (Fake) ทั้งหมด แต่เป็นเรื่องเล่า (Narrative) หรือวาทกรรม เป็นตำอธิบายที่ผสมเรื่องจริงกับความคิดเห็น กลายเป็นชุดความคิดที่ครอบงำและนำไปสู่การต่อสู้กัน ซึ่งในจุดนี้การนำข้อเท็จจริงบางอย่างไปแย้งก็เป็นเรื่องยาก คือเป็นวิธีคิดเชิงวัฒนธรรม

สำหรับบทเรียนของโคแฟคคือเป็นเรื่องที่แก้ยากมาก แต่ก็ต้องแก้กันต่อไปเพราะรู้ว่าบางทีข้อเท็จจริงอย่างเดียวไม่สามารถเปลี่ยนใจคนได้ แต่ก็กำลังหาอยู่ว่าแล้วอะไรจะเปลี่ยนใจ หมายถึงให้คนกลับมาอยู่กับความเป็นจริง ข้อเท็จจริงไม่ว่าทางไหน ตอนนี้ก็สู้กันอยู่ระหว่างชาตินิยมสุดโต่ง แล้วอีกฝ่ายหากไม่ถูกจัดเป็นกัมพูชาก็ถุกมองเป็นพวกโลกสวย ซึ่งจริงๆ น่าจะมี่จุดร่วมที่จะมาหาทางร่วมกันได้หรือไม่ เช่น ควรพุ่งเป้าไปที่การสืบค้นความเชื่อมโยงของกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอรื ซึ่งประชาชนจะได้ประโยชน์ คือพุ่งเป้าที่ผู้มีอำนาจในกัมพูชา ไม่ใช่ต่อคนเล็กคนน้อย 

ประชาชนก็คือประชาชน ท้ายที่สุดแล้วก็ลำบากทั้งคู่ไม่ว่าประชาชนไทยหรือกัมพูชาที่ได้รับผลกระทบ แต่ถ้าเราพุ่งตรวจสอบไปที่ผู้มีอำนาจอย่างน้อยมันก็สะเทือนเขา แต่ตอนนี้เหมือนกระแสชาตินิยมเหมือนทำให้เราเกลียดคนที่เป็นประชาชนตาดำๆ ชาวกัมพูชา ซึ่งก็ไม่รู้จะเกลียดทำไมเพราะว่าเขาก็ลำบากแลอยู่ในประเทศที่มีลักษณะแบบนี้ เขาก็น่าจะลำบากกว่าเรา สุภิญญา กล่าว 

ผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยให้ข้อมูลไม่ถูกต้องเกี่ยวกับจำนวนผู้สมัคร สส. ของพรรคในการเลือกตั้งปี 2566

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: เลือกตั้งปี 2566 เพื่อไทยส่ง สส. ลงสมัครไม่ครบ 400 เขต เพื่อเปิดทางให้ “พรรคส้ม”

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **ข้อมูลไม่ถูกต้อง พรรคเพื่อไทยส่งผู้สมัครครบทั้ง 400 เขตในการเลือกตั้งปี 2566**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 12 ต.ค. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “อั้ม อิราวัต อารีกิจ” ซึ่งมีผู้ติดตามเกือบ 3 แสนราย โพสต์ข้อความเกี่ยวกับการเลือกตั้งทั่วไปปี 2566 โดยระบุว่าสาเหตุที่พรรคเพื่อไทยแพ้พรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งนั้นเพราะ “พรรคเพื่อไทยส่งคนไม่ครบทุกเขต บางเขต เลี่ยงให้ส้มชัดเจน..” 

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากฐานข้อมูลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรปี 2566 ทั้งของคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) พรรคเพื่อไทย และการรายงานของสื่อมวลชนระบุตรงกันว่าพรรคเพื่อไทยส่งผู้สมัคร สส. ครบทั้ง 400 เขต ดังนี้

จำนวนผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรวมทั้งสองแบบเลือกตั้ง จำแนกตำมพรรค (ที่มา: ข้อมูลสถิติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2566)
  • วันที่ 13 พ.ค. 66 หรือหนึ่งวันก่อนวันเลือกตั้ง 14 พ.ค. เพจเฟซบุ๊กพรรคเพื่อไทยโพสต์ภาพผู้สมัคร สส.เขต 400 คนทั่วประเทศพร้อมข้อความ “ทำการบ้านก่อนเข้าคูหา กาเพื่อไทยรวบตึงเบอร์ผู้สมัคร ส.ส.เขต 400 คนทั่วประเทศ”

📌 ข้อสรุปโคแฟค: ข้อความที่โพสต์ในเพจเฟซบุ๊ก “อั้ม อิราวัต อารีกิจ” ที่ระบุว่าในการเลือกตั้งปี 66  “พรรคเพื่อไทยส่งคนไม่ครบทุกเขต” นั้นเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง จากการตรวจสอบข้อมูลทั้งของ กกต. และพรรคเพื่อไทยพบว่าพรรคเพื่อไทยส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง สส. ครบทั้ง 400 เขตทั่วประเทศ 

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 11 ตุลาคม 2568

คลิปประท้วงขับไล่ “ฮุน เซน” ในกัมพูชา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2v09q0xwattrm#_=_


อีลอน มัสก์ แถลงการณ์ฉุกเฉิน เตือนภัยจากวัตถุ 31/ATLAS อาจเป็นยานแม่ของเอเลี่ยน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1gxzkds2te4vf#_=_


คลิปโยนศพทหารกัมพูชาลงบ่อโคลน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1s87ew7llqe3e


คลิปไฟไหม้โกดังใกล้ปั๊มน้ำมันในกรุงเทพฯ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1onzepflc0un#_=_


แช่น้ำเย็นจัดติดต่อกัน 7 วัน จะเกิดผลดีต่อร่างกาย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/11ik2jwg72csp


คลิปภาพมุมสูงน้ำท่วมในไทยวันที่ 4 ต.ค. 68…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/28x1jkapnyn33


คลิปตึกร้าวและสั่นในกรุงเทพฯ บริเวณใกล้หลุมยุบ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2qsa10ps6z4f2


คลิปน้ำท่วมใหญ่ใน “ประเทศใกล้กัมพูชา”…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3r5nr9vapp14


 อย. สั่งระงับ ครีมกันแดด 2 ยี่ห้อ หลังพบค่า SPF ไม่ตรงตามโฆษณา

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/h7okpsiwn5r#_=_


 “ปูใบ้แดงลาย” หรือ “ปูใบ้เกล็ด” ดเป็นหนึ่งใน “ปูพิษ” ที่มีสารพิษรุนแรง

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3nk4247xxp1jp


 มอเตอร์เวย์ M81 วิ่งฟรี! เปิดครบ 8 ด่าน รับวันหยุดยาว 10-14 ต.ค. นี้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/6dak5rt4u3gq#_=_


“มดตะนอยกัด ถ้าแพ้ ก็อาจถึงตายได้”…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2lrk9yjgdqocr


ภาพน้ำท่วมในเม็กซิโกถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็น “น้ำจากเวียดนามไหลท่วมกัมพูชา”

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปมวลน้ำจากเวียดนามไหลเข้าท่วมกัมพูชา 

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ เป็นภาพเหตุการณ์น้ำท่วมที่เม็กซิโก**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 8 ต.ค. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “กูนึกแล้ว” โพสต์คลิปวิดีโอเหตุการณ์กระแสน้ำไหลหลากรุนแรงเข้าท่วมถนนและซัดรถยนต์เสียหาย พร้อมข้อความบรรยาย “น้ำจากเวียดนามไหลท่วมกัมพูชา 8 ตุลาคม 68” และ “ขอบคุณพลังมหาศาลของน้ำที่ไหลทะลักเข้าใส่ประหนึ่งว่าโกรธแค้นกันมาเป็นร้อยปี ท่วมให้มิด ให้มันย่อยยับ พังพินาศ และล่มสลายไปในที่สุด ปล แอดไม่มีมนุษยธรรมอยู่แล้วสำหรับเขมร ไม่สงสาร ไม่เห็นใจ” โพสต์นี้มียอดการเข้าชมกว่า 4 แสนครั้งและแชร์ต่อเกือบ 500 ครั้ง (ณ วันที่ 10 ต.ค. 2568)

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการใช้เครื่องมือ Google Lens ตรวจสอบภาพ พบว่าสำนักข่าว The Daily Guardian ของอินเดียโพสต์คลิปในแพลตฟอร์ม X เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 2568 ระบุว่าเป็นภาพเหตุการณ์ฝนตกหนักและน้ำท่วมที่เมือง Querétaro ในประเทศเม็กซิโกเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 2568  โดยช่วงหนึ่งของคลิปมีภาพรถสีขาวที่มีตัวอักษร “IZZI” ติดอยู่ที่ประตูรถ ซึ่งโคแฟคตรวจสอบแล้วพบว่า IZZI เป็นชื่อบริษัทให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคมในเม็กซิโก 

ก่อนหน้านี้ คลิปวิดีโอนี้เคยถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นภาพน้ำท่วมในเท็กซัสและภาพน้ำหลากจากอิทธิพลของพายุวิภาในฟิลิปปินส์ ซึ่ง AFP Fact Check ได้ตรวจสอบคลิปนี้และใช้ Google Street View ระบุตำแหน่งของสถานที่ในคลิปได้ว่าเป็นถนน Calle Río Culiacán ในเมืองเกเรตาโรของเม็กซิโก ทางด้าน Rappler สื่อดังของฟิลิปปินส์ได้เผยแพร่รายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงการนำคลิปวิดีโอน้ำท่วมในเม็กซิโกมาอ้างเท็จว่าเป็นภาพน้ำท่วมจากอิทธิพลของพายุวิภาเมื่อ 24 ก.ค. 2568

Thailand–Cambodia Border Conflict: ‘Information Warfare’ Sparks Concerns Over People Sharing False but Appealing Content


On September 17, 2025, the Cofact (Thailand) Coalition, in partnership with the Faculty of Humanities and Social Sciences at Burapha University, the Thai Health Promotion Foundation (ThaiHealth – SSS), the National Press Council of Thailand, ChangeFusion Institute, the Friedrich Naumann Foundation (Thailand), the Centre for Humanitarian Dialogue (HD), Tratpost News, The Reporters, and ThaiPBS, organized the 29th Digital Thinkers Forum (Regional #1/2568) on the topic “Information Warfare and Online Battlefronts: Lessons Learned from Journalism of Truth in the Thailand-Cambodia Border Conflict Case” at the Pibulsongkram Room, 60th Anniversary of Her Majesty the Queen Building 2, Faculty of Humanities and Social Sciences, Burapha University, Chonburi Province.

Assoc. Prof. Dr. Suchada Pongkittiwiboon, Dean of the Faculty of Humanities and Social Sciences at Burapha University, said that the Thailand-Cambodia border phenomenon might seem distant from Burapha University, but the information and news we receive make it feel close because it penetrates and follows us everywhere. Therefore, we will learn from the information warfare phenomenon and how to adapt ourselves to live in a digital society where information comes from many directions.

“This forum represents important cooperation between higher education institutions and relevant agencies in creating a learning society together to become media literate, preparing ourselves to coexist well with digital society. I think this forum will be an opportunity for us to exchange and learn, sharing experiences from various sectors. I believe we will gain perspectives and useful information for continuing to drive this work forward,” Assoc. Prof. Dr. Suchada stated.

Supinya Klangnarong, Co-founder of Cofact (Thailand) Coalition, said that even though we have conflicts, it would be difficult to move land or homes away from each other. Ultimately, there should be a way to return to coexisting. However, from the past conflict, the fighting wasn’t just between armies or soldiers, but there was also an intense online battlefield from both countries. Online warriors formed quickly and performed their roles, both organically and seemingly with preparation, or Information Operations (IO), along with the use of Artificial Intelligence (AI) technology to create fake images and voices (Deepfake), resulting in images or video clips that many people might be misled into believing.

“It’s not just the Thailand-Cambodia conflict. We’ve seen conflicts and wars breaking out everywhere around the world, and what follows from global phenomena is the same: Information Warfare filled with both real and fake news. Everyone must be very mindful of what to believe. But what’s more important is that many things have been fact-checked, but people still choose to believe according to their own preferences, trying to overlook the evidence, not wanting to think it’s untrue because it responds to our ideology,” Supinya said.

The subsequent seminar featured a panel discussion, “Information Warfare and Online Battlefronts: Lessons Learned from Journalism of Truth in the Thailand-Cambodia Border Conflict Case,” with 5 speakers. Dr. Wasin Pantong, a lecturer in the Department of Politics and Government, Faculty of Political Science, Thammasat University, explained the fake news phenomenon, categorizing it into:

1. Format: Including “Targeted” communication, sending messages specifically to certain target groups, such as ethnic groups, groups with specific political ideologies, or age groups, and “General” communication, disseminated without targeting specific groups.

2. Channels: Commonly found on social media platforms, both public and closed groups. In closed groups, fake news is created to align with the group’s beliefs, making them believe even more deeply. Also found in messaging applications, video sharing platforms where AI is used to create videos that seem real but aren’t, and websites and blogs, which despite being information channels from the 2000s decade (2000-2009), are still seen to some extent today.

“If we categorize them into groups, we see 3 types of disinformation: 1. Text-Based Disinformation, 2. Video-Based Disinformation, and 3. Image-Based Disinformation. I would put these three in overlapping circles because sometimes one piece of disinformation might combine all three, or maybe 2 out of 3. Mostly, from what I’ve encountered, they use all three simultaneously,” Dr. Wasin stated.

Somkid Petchprasert, a lecturer in the Department of Public Administration, Faculty of Political Science and Law, Burapha University, discussed the audience’s perspective on dealing with rumors or propaganda. He said this ultimately creates a state of confusion in filtering information about what’s real or fake. But human nature has what’s called “Confirmation Bias.” For example, having grown up in the Thailand-Cambodia border area, understanding the Khmer language and being familiar with Cambodians, when receiving negative news about Cambodia, it reinforces existing beliefs.

For instance, there’s a saying, “Khmer can’t be trusted after they’re full,” meaning Cambodians ask for food from Thai people, but once they’re satisfied, they can no longer be trusted. This saying is a form of bias that might make us prejudge. When we choose to receive information, we might select what confirms our biases. As the Thai saying goes, “A dog doesn’t defecate without a reason” – information might have only 10% facts, with the rest being embellishment, but receivers choose to believe it first. This is the misfortune of people in the current era. And don’t think that Thai information or media is an “Open Gateway” while Cambodia is a “Single Gateway,” so all Thai information would be trustworthy. Receivers must be aware.

“With online communication, anyone can be a reporter. The problem is that when people haven’t learned about ethical principles and responsibility regarding information, coupled with revenue from going viral, it becomes quite an issue. If we look at the information system, it makes people prone to being easily manipulated. In the back-and-forth manipulation, sometimes it causes quarrels. Suppose Liverpool fans stir up Manchester United fans (English football teams), they fight. Not to mention Thailand and Cambodia. Even though we’ve never been to Manchester or Liverpool, we can still fight here,” Somkid said.

Jakkrit Waewklaihong, President of Trat Province Journalists Association, raised concerns about “journalists taking sides,” often labeled as being with this or that group. When the government changes, they present negative information. For example, they spread news so aggressively that it suggested Koh Kood belongs to Cambodia, leading to “vocational student group for the monarchy” conducting activities in Trat Province, with ministers who had never visited Trat Province showing interest in visiting Koh Kood. However, the villagers on Koh Kood know quite well that Koh Kood belongs to Thailand.

He questioned whether the problem lay in the Thai government making agreements related to personal interests, such as oil and natural gas. Villagers do not understand the 1:50,000 or 1:200,000 maps, but the people of Koh Kood and Trat Province know that Koh Kood belongs to Thailand. Today, the stream of information warfare and counter-information is so constant that it’s impossible to know what is true and what isn’t. He admitted he had made mistakes, perhaps due to insufficient data collection.

“Information warfare isn’t over yet, and it’s information warfare where we can’t tell – there might be much more fake news than truth. It’s all mixed up, so what do we do? Cofact is one organization that aims to fact-check using various methods. AFP (French news agency) is another agency doing this. Even the DE (Ministry of Digital Economy and Society) is working on it. “Sure and Share’ (MCOT) is another team. But I want to see us not rely on these organizations, but rely on ourselves. Everyone should help fact-check before presenting anything, because today anyone can be media,” Jakkrit said.

Chutintra Wattanakul, Online News Managing Editor at ThaiPBS, recounted the difficulties in reporting on the Thailand-Cambodia conflict situation in an era where anyone can communicate. Information that is said to be true at one moment can become false within minutes. For example, an official army page provides one piece of information, and the media reports it, then another official page or agency spokesperson says it’s untrue, but on the same day, there’s another correction saying it’s true. This situation confuses media professionals greatly.

She explained that their internal team concluded they cannot report quickly. Besides fake news, there is the issue of a “set of truths”, meaning something is true at this moment, but over time, it might cease to be true because it is refuted by another set of truths or information for some purpose. There was also a difference in the understanding of “coordinates” between the military and the media. There was debate about whether the area damaged by the Cambodians’ attack could be reported.

The military viewed that it should not be disclosed because it would let the Cambodians know the operation was successful, but the mass media wanted to report the impact on local people. Yet after reporting, the public criticized the media for revealing coordinates, asking why they would tell Cambodia, even if the location was only vaguely specified. She had never encountered such phenomena in news work before – having certain social contexts that emerged rapidly and seemed like control over what shouldn’t be done, even though it is truly the duty of the media. Working within that social context required considerable compromise.

“Believe it or not, a while after the ceasefire negotiation, public concerns about coordinates completely disappeared. No one talked about it anymore. It took less than 2 weeks for this issue to disappear. You see, reporting is not just about what we present. As media, we don’t present just facts alone. We also have to consider the social context at that time – what we can and cannot present, and how to present it cautiously,” Chutintra said.

Rawee Tawantharong, Advisor to the Society for Online News Providers (SONP), discussed “Information Advantage (IA)” from a study document titled “ADP 3-13” by the U.S. Army. IA differs from IO (Information Operations). IO only mobilizes forces to support one’s own side and discredits the opponents or competitors, or thinks only in yes or no terms. While IA uses real information, but considers how to use it to reach the desired target groups.

For example, if one wants to communicate a set of information to people who like football, one should start with a story about football, because if one immediately starts with the topic of war, the target audience might not understand. Similarly, if communicating with teachers, one must begin by mentioning the theory. Or if working on social media platforms, one must control the most popular comments (Top Comments) or the first few comments to be positive toward our side, because social media platform users tend to believe this group of comments.

He provided an example from the Thai–Cambodian conflict: when observing the global social current, the world tended to believe Cambodia more than Thailand because “the internet is a space where whoever plants the flag first gains advantage.” The Cambodians communicated first in English, but Thai English communication was still stumbling. When searching the internet with conditions filtering out information from Thai and Cambodian mass media, the search results tended to suggest Thailand was the aggressor against Cambodia, not that Cambodia was attacking Thailand.

“Whoever says communication studies majors are dying, I don’t think so. Communication studies majors – this is the big issue that must build its own identity. But how will communication studies understand other people and understand context, not just being good at using Facebook, Twitter, and TikTok? We must understand what kind of people we’re selling to or selling this information to. With the same information, twist it a little and you can engage students, professors, or reporters,” Rawee said.

Another panel featured 4 speakers discussing “Lessons Learned from Fact-Checking in the Thailand-Cambodia Conflict Case.” Kulthida Samaphutthi, Editorial Staff, Cofact (Thailand) Coalition, noted 3 observations regarding the disinformation phenomenon in the Thailand-Cambodia situation: 1. Use of all methods, from 1.0 such as “blatantly fabricating quotes,” e.g., posting images of Gen. Natthaphon Narkphanit, the Deputy Minister of Defence (at the time), with a message saying Khmers are not relatives, if they are about to die, let them die, which Gen. Natthaphon never said.

Or, posting an image of Natthaphong Ruengpanyawut, People’s Party leader, with a message condemning hospitals that refuse to treat Cambodian patients. Although the People’s Party had expressed opinions about hospital attitudes toward treating Cambodian patients, they never used those exact words. Other methods included “using unrelated images,” e.g., the Cambodians using an image of an aircraft spraying fire retardant to accuse Thailand of using chemical weapons, or an image of a flock of birds made to look like vultures eating the corpses of Cambodian soldiers. The methods extended to “using AI to create fake images,” such as an image of Phumtham Wechayachai, Deputy Prime Minister (at the time), raising hands in greeting and allowing Hun Sen, former Cambodian PM, to pat his head.

2. Media involvement in spreading false content: For example, the “Kammakorn Kao Kui Nok Jor” (Workers’ News Talk of the Air) program shared information from the Facebook page “Army Military Force – Reserve” claiming Thai forces had seized Preah Vihear Temple, which the Army later denied. Thairath News Show shared a clip from the same page, claiming an 87-year-old Cambodian man was saying goodbye to his family before going to war, but the person who filmed the clip later posted a clarification that the elderly man was just a former soldier in uniform buying medicine at a pharmacy (Thairath News Show has likely deleted this news).

PPTV Television broadcast an image from social media that was shared widely, suggesting Cambodian soldiers were practicing dying, when it was actually a first-aid training before the Thailand-Cambodia border dispute. Even though the news anchor mentioned during the presentation that they were not certain what the facts of the events in the images were, as a media, shouldn’t unclear content not be presented? 3. Some people accept false content if it aligns with their beliefs or thoughts, for example, if it makes enemies look bad. 

“Like the vulture news case we checked – the image wasn’t vultures, people said they knew it wasn’t true, but it felt satisfying, good for stirring up Khmer nerves. Or asking why we’d care, saying it was just for fun. Or the fake news that the Fine Arts Department gave the green light to destroy the temple to preserve the territory and sovereignty. The Fine Arts Department never said that, yet people commenting said the content might be false, but agreed with the essence of it, because it’s true that the temple should be destroyed, it is not important, our territory is more important,” Kulthida said.

Kamol Homklin, Isan Cofact, said the difficulty in communication is how to ensure people in affected areas are minimally impacted. From talking with local media workers, such as a reporter in Phu Singh District, Sri Sa Ket Province, the response was “I can’t say anything”. If they speak out, reporting the pleas of border residents to stop the shooting, they will face an online backlash. The difficulty is not knowing how to communicate because of a prevailing current of public opinion. However, the local people preparing to evacuate only hoped for the events to end so they could return to farming and their children could return to school.

During the recent period, Isaan Cofact has worked quite hard, but there is a question of whether they have done enough. When events occur, they cannot always report to refute the information. Or, when they encounter news in the area, they cannot make it a national trend because they are a small team with a limited following. They decided that as a small media team, they should not focus on increasing their fame or follower count, but rather on ensuring their communication is as beneficial as possible to the villagers.

“We must let villagers have the right to voice their concerns. For example, when we report on an evacuation site, we must ask about their joys and sorrows, rather than telling our own story. This may not be a trend, but it is the way of life that will benefit them the most”. Kamol said.

Nuttapol Tumma, Senior Digital Media Content Officer at ThaiPBS, shared that from monitoring the Thailand-Cambodia conflict since June 2025, early news often involved fake images and AI-generated pictures, creating dislike between the two sides. Later, it became clearer online in the form of fake news from the masses on both Thai and Cambodian sides. When clashes occurred, disinformation from both Thai and Cambodian media began to appear.

In the case of Thai media, some were misled into reporting false news because access to information or sources was limited during the clashes, as the military was occupied with its mission. The media mistakenly believed that some pages were presenting images released by the military. The nature of the false news included fake images, fake video clips, or old images and videos irrelevant to the Thai–Cambodian situation. For instance, a recent case involved an old video of a protest in Nepal, falsely claimed to be a protest in Thailand demanding the opening of the border during a Thai-Cambodian GBC (General Border Committee) meeting.

“For verification, we emphasize not following the crowd because we don’t want speed; we want accuracy. We can report slowly, but we can’t report falsely, because letting them go first is like us stepping back 1 step. News saying the 31st Infantry Regiment firing artillery during the night, which was played by many channels, but when checked, it was nighttime combat training clips. We must understand first that during events, everyone wants to be at the front, wants to be closest to events, wants to share, but don’t forget that these things, if we share wrongly, especially as media, we’ll be doubly impacted. Credibility is very important for the media,” Nuttapol said.

Suchanat Intapin, 3rd-year Communication Arts student at the Faculty of Humanities and Social Sciences, Burapha University, said that news likely to be misinformation often has clickbait headlines. The articles, upon clicking, cite unknown sources, and the news does not appear on major Thai or international media outlets. She concluded that children of this generation need strong encouragement for Media Literacy skills.

Or news posts with people pasting reference links in comment sections, which might be links to websites reporting either real news or fake news. So she recommended everyone to memorize the URLs of trustworthy news agencies. Do not click the URLs with strange names or strange numbers. Before clicking anything, observe whether the URL name is really a news agency, including checking from multiple news agencies or information sources, and whether the reports match.

“At a minimum, we’ll look for at least 2 sources. If we see something on Social Media, we’ll start finding information, searching websites to determine whether this story is true. Which agencies reported it? Or does anyone else talk about anything related? What do Comments say? At minimum, 2 sources to be sure this looks real,” Suchanat said.



‘31/ATLAS’ดาวหางจากอวกาศไกลโพ้น จริงหรือที่‘อีลอน มัสก์’เคยพูดว่าอาจเป็น ‘แขกนอกพิภพ’มาเยือน?

By: บัญชา จันทร์สมบูรณ์

ภาพ 01 : ตัวอย่างโพสต์ที่ถูกแชร์เรื่องอีลอน มัสก์ เตือนวัตถุลึกลับในอวกาศอาจเป็นยานของมนุษย์ต่างดาว

Elon Musk เตือนภัยฉุกเฉิน วัตถุลึกลับนอกโลกอาจเป็น ยานแม่ต่างดาว กำลังมุ่งหน้าสู่โลก” 

เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา Elon Musk ได้ออกแถลงการณ์ด่วน เตือนภัยชาวโลกให้เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน หลังจากมีรายงานน่าตกใจว่า 31/ATLAS วัตถุขนาดมหึมาที่เดินทางมาจากนอกระบบสุริยะ อาจไม่ใช่ดาวเคราะห์น้อยธรรมดา… แต่อาจเป็น ยานแม่ของสิ่งมีชีวิตทรงปัญญา” 

ช่วงวันที่ 7 ต.ค. 2568 ภาพและข้อความทำนองนี้ถูกแชร์อย่างกว้างขวางในสื่อสังคมออนไลน์ของไทย อ้างถึง อีลอน มัสก์ (Elon Musk) มหาเศรษฐีเจ้าของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Tesla และ SpaceX รวมถึงแพลตฟอร์ม X ได้ออกมาเตือนถึงการมาเยือนของ “31/ATLAS” ที่เชื่อมโยงกับ แขกนอกพิภพ หรือมนุษย์ต่างดาว และบ้างก็นำไปเชื่อมโยงกับเรื่องเร้นลับตามความเชื่อทางศาสนา อย่างไรก็ตาม มีการชี้ว่าเป็น “ข่าวลวง” ภายในเวลาไม่ถึง 24 ชม. เช่น เพจเฟซบุ๊ก “Drama-addict” ระบุว่า อีลอน มัสก์ไม่ได้ออกมาเตือนภัยเกี่ยวกับ 31/ATLAS ขณะที่เมื่อล่วงเข้าสู่วันที่ 8 ต.ค. 2568 พบว่า บรรดาผู้ที่แชร์หลายรายพากันลบออก แต่ก็ยังพอพบเห็นได้อยู่บ้าง

– 31/ATLAS คืออะไร? องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (NASA) เผยแพร่บทความ “Comet 3I/ATLAS” ระบุว่า 3I/ATLAS เป็นวัตถุนอกระบบสุริยะดวงที่ 3 ที่ค้นพบและโคจรผ่านบริเวณใกล้ดาวฤกษ์ของเรา (ระบบสุริยะที่โลกดำรงอยู่) แต่จะไม่เป็นอันตรายต่อโลก เนื่องจากยังรักษาระยะห่างค่อนข้างไกล โดยระยะที่ดาวหางดวงนี้จะเข้าใกล้โลกมากที่สุดคือประมาณ 1.8 หน่วยดาราศาสตร์ (ประมาณ 170 ล้านไมล์ หรือ 270 ล้านกิโลเมตร) ทั้งนี้ 3I/ATLAS จะเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ในระบบสุริยะของเรามากที่สุดในวันที่ 30 ต.ค. 2568 ที่ระยะห่างประมาณ 1.4 หน่วยดาราศาสตร์ (130 ล้านไมล์ หรือ 210 ล้านกิโลเมตร) ซึ่งอยู่ในวงโคจรของดาวอังคาร

ขนาดและคุณสมบัติทางกายภาพของดาวหางระหว่างดวงดาวกำลังถูกสำรวจโดยนักดาราศาสตร์ทั่วโลก คาดว่าดาวหาง 3I/ATLAS จะยังคงมองเห็นได้ด้วยกล้องโทรทรรศน์ภาคพื้นดินจนถึงเดือน ก.ย.2568 หลังจากนั้นดาวหางจะโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์เกินกว่าจะสังเกตได้ และจะปรากฏอีกครั้งที่อีกด้านหนึ่งของดวงอาทิตย์ภายในต้นเดือน ธ.ค.2568 ซึ่งจะทำให้สามารถเฝ้าสังเกตได้อีกครั้งบทความของ NASA ระบุ 

ดาวหาง 3I/ATLAS มีรายงานการพบเห็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2568 โดยกล้องโทรทรรศน์ ATLAS (Asteroid Terrestrial-impact Last Alert System) ในประเทศชิลี จึงถูกนำมาใช้เป็นชื่อดาวหางดวงนี้ ขณะที่ตัวอักษร “I” ย่อมาจาก “Interstellar” ซึ่งบ่งชี้ว่าวัตถุนี้มาจากนอกระบบสุริยะของเรา และเลข 3 หมายถึงการเป็นวัตถุระหว่างดวงดาวดวงที่ 3 ที่โลกของเราได้รู้จัก 

บทความของ NASA ยังอธิบายเพิ่มเติมว่า 3I/ATLAS ก่อตัวขึ้นในระบบดาวฤกษ์อื่น และถูกผลักออกสู่อวกาศ ซึ่งเป็นพื้นที่ระหว่างดวงดาว ล่องลอยมาเป็นเวลานานหลายล้านหรือหลายพันล้านปีจนกระทั่งมาถึงระบบสุริยะของเราเมื่อไม่นานมานี้ โดยกำลังเคลื่อนที่เข้ามาจากทิศทางทั่วไปของกลุ่มดาวคนยิงธนู ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริเวณใจกลางกาแล็กซีทางช้างเผือกของเรา 

โดยในช่วงที่มีการค้นพบนั้น 3I/ATLAS อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ของเราประมาณ 410 ล้านไมล์ (670 ล้านกิโลเมตร) ภายในวงโคจรของดาวพฤหัสบดีนักดาราศาสตร์ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า 3I/ATLAS มีขนาดใหญ่เพียงใด แต่จากการสังเกตด้วยกล้องโทรทรรศน์ฮับเบิลเมื่อวันที่ 20 ส.ค. 2568 พบเส้นผ่านศูนย์กลางของดาวหางดวงนี้ คาดว่าไม่น้อยกว่า 1,444 ฟุต (440 เมตร) และไม่กว้างกว่า 3.5 ไมล์ (5.6 กิโลเมตร) ขณะที่ ณ ช่วงเวลาที่นักดาราศาสตร์ตรวจพบดาวหางดังกล่าว พบการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ 137,000 ไมล์ต่อชั่วโมง (221,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือ 61 กิโลเมตรต่อวินาที) และความเร็วจะยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อเข้าใกล้ดวงอาทิตย์

ภาพ 02 : กล้องโทรทรรศน์ฮับเบิลบันทึกภาพดาวหาง 3I/ATLAS ได้เมื่อวันที่ 21 ก.ค. 2568 ขณะที่ดาวหางอยู่ห่างจากโลก 277 ล้านไมล์ จากภาพแสดงให้เห็นว่าดาวหางนี้มีฝุ่นรูปร่างคล้ายหยดน้ำตาที่ลอยออกมาจากนิวเคลียสแข็งที่เป็นน้ำแข็ง(ที่มา : NASA)

บทความ ดาวหาง 3I/ATLAS อาจเก่าแก่กว่าระบบสุริยะของเราถึง 3,000 ล้านปี ซึ่งเผยแพร่บนเว็บไซต์ narit.or.th ของสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NARIT โดยแปลมาจากข่าว Astronomers say new interstellar visitor 3I/ATLAS is ‘very likely to be the oldest comet we have ever seen’ ของเว็บไซต์ space.com สำนักข่าวออนไลน์ในสหรัฐ ที่เน้นเสนอเนื้อหาวิชาการด้านอวกาศ เมื่อวันที่ 11 ก.ค. 2568 ระบุว่า 3I/ATLAS อาจเป็นดาวหางที่เก่าแก่ที่สุดดวงหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์เคยพบ

วัตถุดังกล่าวเป็นที่สนใจของนักดาราศาสตร์ เพราะเป็นวัตถุในอวกาศดวงที่ 3 ที่เดินทางมาจากนอกระบบสุริยะ โดยอีก 2 ดวงก่อนหน้านี้คือ ดาวเคราะห์น้อย 1I/’Oumuamua และดาวหางโบรีซอฟ 2I/Borisov ที่ค้นพบในปี 2560 และ 2562 ตามลำดับอย่างไรก็ตาม งานวิจัยครั้งใหม่ได้แสดงให้เห็นว่าดาวหางดวงนี้ อาจมีอายุมากถึง 7,000 ล้านปี ซึ่งมากกว่าระบบสุริยะของเราถึง 3,000 ล้านปี และนับเป็นดาวหางที่มีอายุมากกว่าดาวหางดวงใดๆ ที่นักดาราศาสตร์เคยค้นพบมาก่อน บทความของ NARIT ระบุ 

– 3I/ATLAS ถูกโยงกับผู้มาเยือนจากต่างดาวได้อย่างไร? : ศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์และผู้อำนวยการสถาบันที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด อาวี โลบ (Avi Loeb) ออกมาเรียกร้องให้ผู้มีอำนาจและมีทุน สนับสนุนโครงการตรวจสอบว่า 3I/ATLASเป็นเพียงดาวหางธรรมดาๆ ที่มีน้ำแข็งเป็นโครงสร้าง หรือเป็นสิ่งอื่น เช่น ยานอวกาศที่อำพรางเทคโนโลยีอันซับซ้อนภายใต้รูปร่างก้อนหิน 

บทความ “Should We Be Happier if 3I/ATLAS is a Comet?” ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2568 ทางเว็บไซต์ medium.com  โลบ กล่าวว่า เนื่องจากไม่เคยมีการบันทึกความเสี่ยงจากเทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาวในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา เราจึงอาจสงสัยว่าเราจะสามารถสันนิษฐานได้หรือไม่ว่าความเสี่ยงนั้นจะต้องต่ำในแต่ละปี ข้อโต้แย้งนี้จะหมดความน่าเชื่อถือหากการเยี่ยมชมนั้นถูกกระตุ้นด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีล่าสุดของเราที่ดึงดูดความสนใจจากมนุษย์ต่างดาว

โลบ เล่าว่า ตนได้รับข้อความมากมายที่ชี้ให้เห็นว่า การพิจารณา 3I / ATLAS ในฐานะเทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาวที่อาจเป็นแรงบันดาลใจให้กับสาธารณชน วิทยาศาสตร์น่าจะดึงดูดความสนใจของสาธารณชนได้เพราะได้รับการสนับสนุนจากภาษี แต่เมื่อการอภิปรายเกี่ยวกับ 3I / ATLAS กลายเป็นกระแสไวรัล เพื่อนร่วมงานหลายคนกลับเลือกที่จะไม่ใส่ใจความสนใจของสาธารณชน โดยโต้แย้งโดยอาศัยข้อมูลเบื้องต้นว่า 3I / ATLAS ต้องเป็นดาวหาง 

ความจริงก็คือ วิทยาศาสตร์ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งต้องมีการตีความที่หลากหลายเพื่อกระตุ้นให้มีการรวบรวมข้อมูล การยืนกรานว่า 3I / ATLAS ต้องเป็นดาวหางนั้นไม่ฉลาดนัก เพราะไม่มีหางของดาวหาง และวิถีโคจรของมันถูกปรับแต่งให้สอดคล้องกับระนาบการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ ณ ขณะนี้ แสงเรืองรองที่อยู่ข้างหน้า 3I / ATLAS สามารถคงอยู่ได้นานถึง เดือนโดยการกำจัดชั้นดินที่มีความหนาเพียงมิลลิเมตรบนพื้นผิวของวัตถุที่มีความยาว 20 กิโลเมตร โลบ กล่าว

ภาพ 03 : เพจ “Drama-addict” อธิบายถึง “โคมา (Coma)” หรือกลุ่มฝุ่นและก๊าซอันเป็นลักษณะที่ปรากฏในดาวหาง ซึ่งเมื่อดาวหางเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้น อัตราการคายแก๊สและฝุ่นของดาวหางจะเพิ่มขึ้น ทำให้ส่วนหางขยายใหญ่มากขึ้น

แต่อีกด้านหนึ่ง รายงานข่าว “Comet or alien spaceship? An astrophysicist explains what we know about interstellar traveler 3I/Atlas” เมื่อวันที่ 8 ก.ย. 2568 ทางเว็บไซต์ news.northeastern.edu ซึ่งเป็นสำนักข่าวของมหาวิทยาลัยมนอร์ทอีสเทิร์น อ้างความเห็นของ แจ็คเกอร์ลีน แม็คเคลียรี (Jacqueline McCleary) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัยนอร์ทอีสเทิร์น ที่อธิบายว่า โดยปกติแล้วดาวหางจะมืดมากจนนักดาราศาสตร์มองไม่เห็น 

จนกระทั่งเมื่อดาวหางเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้น รังสีจากดวงอาทิตย์จะทำให้สารประกอบระเหยที่สะท้อนแสงสูงละลายหายไป ซึ่งปรากฏอยู่ภายนอก ผลที่ตามมาคือ หางต้นแบบที่เรียกว่า โคมา(Coma)” ซึ่งค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น เป็นหางที่เราคุ้นเคยกันดีว่ามีลักษณะเป็นหางของดาวหางที่พุ่งผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืน ทั้งนี้ ดาวพฤหัสบดีอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ 5 หน่วยดาราศาสตร์ หรือ 5 ระยะทางระหว่างโลกและดวงอาทิตย์ และดาวหางส่วนใหญ่ต้องเข้าใกล้มากกว่านั้นเพื่อให้รังสีจากดวงอาทิตย์มีความเข้มข้นเพียงพอที่จะก่อให้เกิดหางที่ละลายและปล่อยก๊าซออกมา

แต่การที่ดาวหาง 3I / ATLAS ก่อตัวเป็นโคมาเมื่ออยู่นอกวงโคจรของดาวพฤหัสบดี ซึ่งอยู่ห่างออกไปมากกว่าปกติมาก การที่ 3I / Atlas เริ่มเปล่งแสงออกมาไกลจากดวงอาทิตย์มากขนาดนี้ ถือว่าผิดปกติมากพอจนทำให้เกิดทฤษฎีตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าต้องเป็นยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว อย่างไรก็ตาม การเฝ้าสังเกตในเวลาต่อมาเผยให้เห็นว่า 3I / ATLAS ไม่เพียงแต่มีหางคล้ายดาวหางเท่านั้น แต่ยังน่าจะอุดมไปด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ด้วย เพราะน้ำแข็งคาร์บอนไดออกไซด์ หรือที่เรียกว่าน้ำแข็งแห้ง (Dry Ice) นั้นละลายง่ายมาก

การวิเคราะห์นี้ยังอ้างข้อค้นพบจากกล้องโทรทรรศน์ เจมส์ เว็บบ์ ของ NASA ที่เผยให้เห็นว่า 3I / ATLAS ไม่เพียงแต่ประกอบด้วยคาร์บอนไดออกไซด์เท่านั้น แต่ยังมีอัตราส่วนคาร์บอนไดออกไซด์ต่อน้ำที่แข็งเป็นน้ำแข็ง (Water Ice) ที่เหนือกว่าโลกถึง 8:1 ซึ่งเป็นหนึ่งในอัตราส่วนที่สูงที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกมา อัตราส่วนนี้ทำให้มองเห็นสภาพของระบบสุริยะอื่นๆ และการก่อตัวของระบบเหล่านั้นตั้งแต่แรกเริ่ม

เห็นได้ชัดว่าระบบดาวหาง 3I/Atlas เดิมอาจอุดมไปด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ หรืออาจมีกระบวนการแผ่รังสีแปลกๆ ที่ทำให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมากและต้มส่วนที่เหลือทั้งหมดจนหมดไป ในทางอ้อม การพยายามทำความเข้าใจองค์ประกอบของดาวหางดวงนี้และเปรียบเทียบกับองค์ประกอบของดาวหางระหว่างดวงดาวดวงอื่นๆ… สามารถบอกเราได้ว่าการก่อตัวของระบบสุริยะในระบบสุริยะอื่นๆ ในระดับรายละเอียดเป็นอย่างไร แม็คเคลียรี กล่าว 

รายงานข่าวนี้ยังระบุด้วยว่า นักวิทยาศาสตร์อาจได้เห็นดาวหางดวงนี้อย่างละเอียดมากขึ้นเมื่อมันโคจรผ่านวงโคจรของดาวพฤหัสบดีในเส้นทางขาออกหลังจากเดือน ต.ค. 2568 ซึ่งจะเผยให้เห็นธรรมชาติของมันมากขึ้น ทั้งนี้ดาวเทียมจูโนของNASA ที่โคจรรอบดาวพฤหัสบดีจะอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดที่จะมองเห็นดาวหางผู้มาเยือนระหว่างดวงดาวดวงนี้ โดยแม็คเคลียรี อธิบายว่า เราอาจสามารถมองเห็นดาวหางดวงนั้นได้อย่างใกล้ชิด ซึ่งน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากมันจะโคจรมาใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมากจะระเหยออกไป ดังนั้นเราจะสามารถเห็นสิ่งที่เหลืออยู่

รายงานพิเศษ “Are internet rumours of a comet hurtling towards Earth true?” โดยสำนักข่าวอัลจาซีราของกาตาร์ เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2568 อ้างถึงบัญชีแพลตฟอร์ม X ชื่อ Lord Bebo ที่โพสต์ภาพของ มิชิโอะ คาคุ (Michio Kaku) นักฟิสิกส์ชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่น ซึ่งบัญชี Lord Bebo อ้างว่า คาคุได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับ 3I / ATLAS ว่า วัตถุลึกลับนี้กำลังเดินทางไปปฏิบัติภารกิจลาดตระเวน ซึ่งอาจมีเจตนาเป็นปฏิปักษ์

โพสต์ดังกล่าวพร้อมด้วยภาพหน้าจอที่ตัดต่อแล้วจากการสัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ของคาคุ พร้อมคำบรรยายใต้ภาพว่า อาจเป็นยานสำรวจจากมนุษย์ต่างดาวที่ถูกส่งมายังโลก มียอดผู้เข้าชมมากกว่า 290,000 ครั้ง และความคิดเห็นอีกมากมายอย่างไรก็ตาม ทีมงานของอัลจาซีรา ไม่พบหลักฐานใดๆ ที่ชี้ว่าคาคุเคยพูดว่า  3I / ATLAS อาจเป็นยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว ส่วนภาพประกอบที่ใช้ก็นำมาจากบทสัมภาษณ์เก่าของสำนักข่าว Nation News ของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 2568 ซึ่งเป็นเวลาหลายเดือนก่อนที่ 3I/ATLAS จะถูกค้นพบ

– อีลอน มัสก์ เคยพูดถึง 3I / ATLAS บ้างหรือไม่? : (ณ วันที่ 8 ต.ค. 2568) จากการค้นหาด้วยถ้อยคำ “3I / ATLAS Elon Musk” แม้จะพบสื่อมวลชนหลายสำนักให้ความสนใจกับดาวหางลึกลับอย่าง 3I / ATLAS แต่กลับไม่มีสื่อกระแสหลักรายงานการพูดถึงดาวหางดวงนี้ของมัสก์ (รวมถึงไม่พบแถลงการณ์หรือโพสต์ในบัญชีแพลตฟอร์ม X ที่เจ้าตัวมักใช้สื่อสารกับสาธารณชนเป็นประจำ) แต่กลับมีการอ้างในหมู่ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์หลากหลายแพลตฟอร์ม ว่า อีลอน มัสก์ ได้ยืนยันว่า 3I / ATLAS เป็นยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว โดยสามารถพบถ้อยคำ Elon Musk: “It’s Confirmed, The 3I ATLAS is an Alien Space Craft!” แพร่หลายตั้งแต่เดือน ก.ย. 2568 เป็นต้นมา

โดยสรุปแล้ว ณ ขณะที่เขียนบทความนี้ (วันที่ 8 ต.ค. 2568) ยังไม่พบหลักฐานใดๆ ที่ชี้ว่า อีลอน มัสก์ ให้ความเห็นว่า 3I / ATLAS เป็นยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว และตามข้อมูลที่มีอยู่ยังคงเชื่อได้ว่าสิ่งนี้เป็นดาวหางที่เดินทางยาวไกลมาจนถึงระบบสุริยะของเรา เพียงแต่องค์ประกอบบางอย่างทำให้มีลักษณะแปลกกว่าดาวหางหรือดาวเคราะห์น้อยดวงอื่นๆ ที่มนุษย์เคยพบเห็น ส่วนจะมีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงหรือไม่? คงต้องรอช่วงท้ายของปี 2568 ที่ดาวหางดวงนี้โคจรมาปรากฏให้เห็นอีกครั้ง!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

https://science.nasa.gov/solar-system/comets/3i-atlas/ (Comet 3I/ATLAS : NASA)

https://web.facebook.com/photo.php?fbid=1332375614933372&id=100044828388736&set=a.791821828988756&_rdc=1&_rdr# (โพสต์ Drama Addict วันที่ 7 ต.ค. 2568)

https://narit.or.th/th/AstronomyNews-20250729-3I/ATLAS (ดาวหาง 3I/ATLAS อาจเก่าแก่กว่าระบบสุริยะของเราถึง 3,000 ล้านปี : NARIT 11 ก.ค. 2568)

https://avi-loeb.medium.com/should-we-be-happier-if-3i-atlas-is-a-comet-91b3f8e74f98 (Should We Be Happier if 3I/ATLAS is a Comet? : Medium 24 ส.ค. 2568)

https://news.northeastern.edu/2025/09/08/3i-atlas-comet-interstellar-traveler/ (Comet or alien spaceship? An astrophysicist explains what we know about interstellar traveler 3I/Atlas : Northeastern Global News 8 ก.ย. 2568)

https://www.aljazeera.com/features/2025/10/3/are-internet-rumours-of-a-comet-hurtling-towards-earth-true (Are internet rumours of a comet hurtling towards Earth true? : Al Jazeera 3 ต.ค. 2568)