‘ปัญญารวมหมู่’สู้ข่าวลวง! ‘คนรุ่นใหม่’ เลือกเสพข้อมูล ‘มีสติ’ไม่ชัวร์อย่าแชร์ต่อ

สถานเอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย ร่วมกับ ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) อีสานโคแฟค สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) Ubon Connect และมูลนิธิสื่อสร้างสุข จัดงานเสวนานักคิดดิจิทัล ครั้งที่ 31 “บทบาทของสื่อและอินฟลูฯ สู่สังคมออนไลน์สันติประชารรรม (Role of Media & Influencers to debunk disinformation, promote Peace & Democracy)” ณ ห้องปทุมวัน ชั้น 5 โรงแรมสุนีย์แกรนด์ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคโคแฟค (ประเทศไทย) อ้างถึง มาเรีย เรสซา (Maria Ressa) ผู้สื่อข่าวชาวฟิลิปปินส์ที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ประจำปี 2021 (พ.ศ.2564) ได้กล่าวในการประชุมสหประชาชาติเมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา  ว่าเราต้องรับมือกับ “มหาสงครามข้อมูล (Information Armageddon)” โดยทำให้มีข้อมูลที่ถูกต้องและเชื่อถือได้ เพราะหลายครั้งข้อมูลลวงนำไปสู่ความเข้าใจผิดและความเกลียดชัง และปัจจุบันผู้ที่เผยแพร่ข้อมูลที่ไม่เป็นจริงสื่อสารออกมาได้จากทุกคนไม่เฉพาะแต่องค์กรสื่อเท่านั้น แต่ผู้รับสารคาดหวังให้สื่อมวลชนนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง รวมถึงอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) ซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงหรือมีอิทธิพลบนโลกออนไลน์ หลายคนที่ใช้แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ แม้ไม่ได้เป็นสื่อมวลชนมืออาชีพแต่มีผู้ติดตามจำนวนมาก กลายเป็นผู้ทรงพลัง หรือเรียกว่า ผู้นำทางความคิดในโลกออนไลน์ KOL (Key Opinion Leader)  มีการคาดการณ์ว่าในประเทศไทยมี KOL 3 – 9 ล้านคน ตั้งแต่ระดับนาโนที่มีผู้ติดตามหลักร้อยหลักพัน ไปจนถึงผู้ที่มีคนติดตามหลักล้าน 

การที่ใครๆ สามารถเป็นสื่อได้นั้นจริงหรือไม่ เพราะการเป็นสื่อต้องมีหลักในการข้อมูลที่ถูกต้อง ข้อเท็จจริงที่ผ่านการกลั่นกรองมาแล้ว จึงได้เห็นบทบาทของอินฟลูฯ มากมายทั้งทางบวกและลบ นอกจากนั้นเรายังเข้าสู่ยุคของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่สามารถประมวลผลข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว เช่น สั่ง AI ให้สร้างภาพหรือคลิปวิดีโอตัวเราไปอยู่ที่ไหนก็ได้โดยง่าย แต่อีกด้านก็ทำให้เกิดความสับสนว่าภาพที่เห็นจริงหรือไม่ 

การที่เรารับข่าวสารมาและติดตามกับเนื้อหาสาระเรื่องนั้นอย่างเต็มที่ ก่อให้เกิดความเครียดเหมือนกัน คือห้ามเชื่ออะไรใดๆ ทั้งสิ้นเลย แม้แต่เหตุการณ์ที่น้ำท่วมภาคใต้ มีเปิดรับบริจาคมากมายที่เป็นเพจ AI เพจมิจฉาชีพบ้างอะไรบ้าง การใช้ชีวิตของเราทุกวันนี้มันยากขึ้นกว่าเดิม เพราะฉะนั้นเราต้องตั้งสติมากๆ ดังนั้นหากเป็นอินฟลูฯ มีคนติดตามจำนวนมาก ยิ่งต้องระวังมากขึ้น สุภิญญากล่าว

จากนั้นเป็นการเสวนาหัวข้อ “บทบาทของสื่อและอินฟลูเอนเซอร์ต่อการรับมือข้อมูลเท็จเพื่อสร้างสันติภาพและความปลอดภัย (Role of Media & Influencers to debunk disinformation, promote peace & Safety)”  โดย สุชัย เจริญมุขยนันท ผู้ก่อตั้ง Ubon Connect บอกเล่าถึงบทบาทของสื่อท้องถิ่นในการลดความเข้าใจผิด เช่น การพยากรณ์อากาศ จากที่ได้ทำระบบ Open Chat เตือนภัยร่วมกับหลายฝ่าย โดยมีเจ้าหน้าที่หน่วยงาน ภาครัฐที่เกี่ยวข้องและชาวบ้านอยู่ในระบบ  เพื่อเตือนและช่วยกันแจ้งเรื่องที่ส่งผลกระทบกับเรากันเอง  ในขณะที่สื่อส่วนกลางอาจไม่ได้ติดตามสถานการณ์เพื่อรายงานข่าว สิ่งนี้เรียกว่า “ปัญญารวมหมู่” ใน Open Chat มีการเตือนภัย อย่างกรณีมีพายุเข้ามาจะมีเว็บไซต์ให้ติดตามเส้นทางของพายุแบบวันต่อวัน จากพายุเริ่มก่อตัวจนถึงใกล้สลายตัว หรือการให้ AI ช่วยคำนวณทิศทางและปริมาณน้ำที่คาดว่าจะไหลเข้าท่วมพื้นที่ เมื่อรู้แล้วจะได้เตรียมตัวรับมือ

“ผมว่าเริ่มต้นจากมีคนที่จริงใจ เกาะติด ติดตามและเสียสละมารวมตัวกัน ผมว่าสมัยนี้บางทีความสนใจของผู้คนจะแยกเป็นเรื่องๆ ไป บางคนสนใจเรื่องน้ำท่วม สัตว์เลี้ยง ท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นประเด็นอะไร ก็รวมกันเป็นหมู่แล้วสามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ในทุกเรื่อง” สุชัย กล่าว

นพภา พันธุ์เพ็ง ประธานมูลนิธิสื่อสร้างสุข กล่าวถึงผลกระทบของข่าวลวง ตั้งแต่ระดับปัจเจกบุคคลคือเกิดความเครียดและสับสน เช่น ดูภาพหนึ่งแล้วไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ หรือมีกรณีคนตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพถูกหลอกสูญเสียเงินจนกลายเป็นคนไม่กล้ารับโทรศัพท์ และที่น่าเจ็บปวดคือช่องทางการสื่อสารอย่างเฟซบุ๊กปล่อยให้มีการหลอกลวงเพราะมีผลประโยชน์ หรือตัวอย่างระดับชุมชน กรณีที่เคยมีข่าวออกมาว่าอาวุธจากฝั่งกัมพูชายิงได้ไกล 130 กิโลเมตร ซึ่งไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จแต่ทำให้คนเกิดความหวาดกลัวแล้ว หรือการตั้งคำถามว่าจะยกระดับจากสงครามชายแดนเป็นสงครามเต็มรูปแบบหรือไม่ แล้วอะไรจะเกิดขึ้น  หรือมีคำถามว่าจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือไม่ และเมื่อเกิดข่าวแบบนี้แล้วคนจะกล้าลงทุนหรือไม่ หากไม่กล้าลงทุนก็จะไม่มีการจ้างงาน คนก็ไม่มีงานทำและไม่มีรายได้ แล้วเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ไม่โตอยู่แล้วจะเป็นอย่างไร อีกทั้งยังมีคนเผยแพร่ภาพที่ไม่รู้ว่าจริงหรือปลอม อ้างว่าโรงงานในไทยย้ายไปประเทศอื่น ก็อาจมีความคิดว่าเป็นเรื่องจริง ทำไมเขาย้ายหนี กลายเป็นยิ่งตอกย้ำ

ตอนนี้ที่น่าเป็นห่วงมากคือ ปัญหาชายแดน เราไม่ได้ห่วงว่าสงครามจบแล้วมันจะจบ มันยังมีความรู้สึกอคติที่ฝังลึก แล้วเราต่างคนต่างปั่นกระแสให้เกิดความเกลียดชังกัน จริงๆ แล้วพี่น้องชายแดนเป็นพี่น้องกัน แต่ตอนนี้กลายเป็นคนละพวกกันเพราะคนหนึ่งเป็นเขมร อีกคนเป็นสุรินทร์ เป็นบุรีรัมย์ แล้วความรู้สึกอย่างนี้มันจะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนความเป็นมิตรจึงจะกลับคืนมาประธานมูลนิธิสื่อสร้างสุข กล่าว

อังคณา พรหมรักษา อาจารย์ภาควิชานิเทศศาสตร์ คณะวิทยาการสารสนเทศ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เปิดเผยว่า เคยไปจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) กับกลุ่มเป้าหมาย และได้รับข้อมูลจากลูกศิษย์ที่ไปร่วมเป็นทีมงาน บอกว่าพบกลุ่มเป้าหมายที่เคยผ่านการอบรมไปแล้วถูกหลอก ซึ่งเป็นไปได้ว่ารูปแบบของมิจฉาชีพที่เข้ามาในชีวิตประจำวันนั้นเปลี่ยนไปเรื่อย อย่างที่มีคนบอกว่า AI เปลี่ยนแทบจะทุกวินาที และบริบทโลกเปลี่ยนเร็วมาก บางทีเราก็ต้องตั้งคำถามกับทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต 

ทั้งนี้ ข้อมูลที่ไม่จริงหรือไม่ถูกต้อง บางครั้งคนที่ส่งมาก็ไม่รู้และส่งต่อไปโดยไม่มีเจตนา แต่กรณีที่ผู้ส่งรู้ว่าข้อมูลนั้นไม่ถูกต้องหรือบิดเบือนแต่ยังส่งต่อไปโดยมีเจตนาบางอย่าง เช่น ผลประโยชน์ในเชิงธุรกิจ  มีรายได้จากการหลอกลวง หรือในเชิงการเมืองที่ทำให้เกิดความเกลียดชัง และเนื้อหาที่หลอกลวงเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลแค่ในปัจจุบันแต่ส่งผลในระยะยาว เช่น อีกไม่นานจะมีการเลือกตั้งหลายภาคส่วนเริ่มมีกระแส เริ่มถูกปล่อยข้อมูลอะไรบางอย่างออกมาและเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราทั้งหมด ก่อนหน้านี้เราพูดถึงการรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) ปัจจุบันไม่พอแล้ว ต้องรู้เท่าทันปัญญาประดิษฐ์ (AI Literacy) รู้เท่าทันจริยธรรมของข้อมูล (Data Ethics Literacy) ต้องมีการฝึกให้ตั้งคำถามถึงความผิดปกติทางตรรกะ เช่น การยอมขายของทั้งที่ขาดทุน หรือตั้งคำถามว่าใครได้ประโยชน์จากการแผยแพร่ข้อมูลชุดนี้ ตระหนักรู้การทำงานของอัลกอริทึม (Algorithm Awareness) ที่เมื่อเราสนใจเรื่องใดที่ปรากฎในอินเตอร์เน็ตหรือสื่อสังคมออนไลน์ที่ไหลบ่าเข้ามาหาเรา ในขณะที่ข้อมูลอื่นๆ จะไม่เข้ามา 

สิ่งสุดท้าย ทำอย่างไรเราจะสร้างกลไกนี้ให้เกิดกับคนทุกคน เราจะมีวินัยในการแชร์ข้อมูลอย่างไร? อาจหมายถึงว่า เราอาจต้องสร้างความตระหนักมากขึ้นก่อนที่เราจะเผยแพร่ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ออกไป แล้วเราควรที่จะต้องมั่นใจในข้อมูลหลายๆ อย่างที่เรากำลังจะสื่อสาร ทั้ง Social Media ทั้งการพดคุยสื่อสารซึ่งกันและกัน ฉะนั้นบางเรื่องที่เรารู้มาอาจจะต้องอยู่กับตัวเองก่อนที่จะเผยแพร่หรือส่งต่อออกไป อาจารย์อังคณา กล่าว

ดร.วศิน ปั้นทอง อาจารย์ภาควิชาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เล่าถึงงานวิจัย “การพัฒนาเครื่องมือเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลลวงทางการเมือง : การประยุกต์ใช้ภาษาศาสตร์แบบคลังข้อมูล (Corpus Linguistics)” เพื่อทำความเข้าใจกลไกและแบบแผนที่อยู่เบื้องหลังข่าวลวง เช่น การใช้คำที่ปลุกเร้าอารมณ์ ผ่านการเก็บข้อมูลถ้อยคำหรือข้อความจำนวนมากแล้วนำมาวิเคราะห์ โดยเฉพาะจากบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ที่มักเผยแพร่ข่าวลวง ว่าใช้ถ้อยคำอย่างไรบ้าง แล้วใครแชร์ต่อไปบ้าง มีตัวอย่างจากการรวบรวมชุดถ้อยคำที่เกี่ยวข้องกับข่าวลวงในช่วงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 พบว่า 5 อันดับคำที่พบมากที่สุด คือ Virus China Coronavirus Health และ People ตามลำดับ และมักจะมาเป็นคำคู่กัน เช่น Corona กับ Virus หรือ Public กับ Health เป็นต้น ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการเก็บข้อมูลถ้อยคำที่เชื่อมโยงกับข่าวลวงทางการเมืองได้เช่นกัน

“ในเบื้องต้นงานชิ้นนี้อยู่ในระยะเริ่มต้นมากๆ อาจต้องใช้เวลาอีกสักระยะ แต่ผมคิดว่าสิ่งหนึ่งที่พวกเราช่วยกันทำได้เลย คือเข้าไปที่โคแฟค(Cofact) สามารถบริจาคข่าวลวงได้ เพราะโคแฟคจะเก็บข้อมูลเป็นคลังไว้เหมือนกัน ซึ่งผมจะดึงข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์ และสุดท้ายอาจจะได้เห็นว่าในภาษาไทยเรามีวิธีการสื่อสารข่าวลวงด้วยถ้อยคำแบบไหน มีสไตล์การสื่อสาร และแบบแผนการสื่อสารอย่างไร” อาจารย์วศิน กล่าว

ะวี ตะวันธรงค์ ที่ปรึกษาสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP) กล่าวว่า วันนี้เรากำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ของความเป็นคนไทยที่มีความหวังดีและห่วงใยโดยไม่รู้ข้อมูลต้นทาง เราห่วงญาติ ห่วงคนข้างบ้าน ห่วงคนนั้นคนนี้ เช่น มีคนโพสต์ด่าอาสาสมัครที่ขี่เจ็ตสกีด้วยความเร็วลุยน้ำท่วมหาดใหญ่ โพสต์นี้มีคนดูเป็นล้าน ซึ่งต่อมาทั้งคนขี่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องออกมาชี้แจงว่าจำเป็นต้องใช้ความเร็วเพราะหากไม่เร็วน้ำก็เข้าเครื่อง  ไม่สามารถไปช่วยผู้ประสบภัยได้ หรืออย่างอินฟลูเอนเซอร์สายสวยงาม แต่งหน้าขายของ จู่ๆ ก็โพสต์ขึ้นมาว่าสื่อไม่รายงานข่าวน้ำท่วม ปล่อยประชาชนช่วยเหลือกันเอง คนแชร์กว่า 2 หมื่น ด่าสื่อกันเละ ทั้งที่ไม่เห็นว่ามีสื่อช่องใดที่จะไม่รายงานข่าวน้ำท่วมเลยแต่มีข้อสังเกตว่า ในการติดตามข่าวสารโดยทั่วไปเราจะไม่ค่อยแชร์ข่าว แต่เมื่อใดที่เราไปมีส่วนร่วมกับข่าวนั้น เช่น กดถูกใจ (Like) หรือแสดงความคิดเห็น (Comment) ข่าวต่อๆ ไปที่ให้เราเห็นจะมีเนื้อหาคล้ายๆ กัน อาทิ เมื่อเรามีส่วนร่วมกับข่าวดาราเป็นหนี้ 400 ล้าน ต่อไปก็จะมีข่าวดาราคนอื่นๆ มาให้เห็นอีก หลังจากนั้นเราจะไม่เห็นข่าวน้ำท่วม นี่คือกลไกของอัลกอริทึม 

หรือกรณีสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา มีโอกาสเข้าไปช่วยงานกองทัพแล้วต้องต่อสู้กับอินฟลูฯ ชายขอบ หมายถึง ประชาชนทั่วไปที่กลายเป็นอินฟลูฯ ขึ้นมา เช่น คนที่มีบ้านอยู่ใกล้ชายแดน วันดีคืนดีได้ยินเสียงดัง ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไรแต่ก็โพสต์ไปแล้วว่าเป็นเสียงระเบิด แถมสื่อกระแสหลักก็ไปหยิบโพสต์เหล่านี้มาแชร์ต่อโดยไม่ถามด้วยซ้ำว่าโพสต์นั้นแหล่งข่าวเป็นใคร ทำให้คนกลุ่มนี้ได้ยอดแชร์เพิ่มขึ้น และเมื่อมีโพสต์ยอดสูงๆ แบบนี้ต่อเนื่องก็ยังได้เงินจากแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ด้วย ในขณะที่กองทัพทำงานสื่อสารกันไม่ทันเพราะทุกคนเป็นอินฟลูฯ กันหมด แล้วคนไทยก็ชอบกับการที่อะไรที่ตื่นตระหนกต้องแชร์ก่อน 

คำว่าคนรุ่นใหม่ไม่ได้จำกัดแค่ Generation (ช่วงวัย) คนรุ่นใหม่คือพวกเราทุกคนไม่ว่าจะอายุ 90 80 70 60 50 หรือเด็กอายุ 14 ทุกคนเป็นคนรุ่นใหม่หมด  ถ้ามีอินเตอร์เน็ต เมื่อไหร่ที่มนุษย์บวกอินเตอร์เน็ตแล้วมีมือถือ  ก็นับว่าเป็นคนรุ่นใหม่ คนรุ่นใหม่คือคนที่เเลือกเสพข้อมูลที่น่าเชื่อถือและเสพข้อมูลที่มีประโยชน์ ที่ปรึกษาสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ กล่าว

ในช่วงท้ายของงาน ดร.พิมพ์รภัช ดุษฎีอิสริยกุล ที่ปรึกษาาคีโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวสรุปว่า สิ่งที่วิทยากรทั้ง 5 ท่านร้อยเรียงมา คือให้เรามีสติในการรับข้อมูล อย่าส่งต่อหากไม่มั่นใจว่าข้อมูลนั้นถูกต้อง ขณะที่การรวมกันเป็นเครือข่ายจะเป็นเกราะป้องกันข้อมูลลวงไม่ให้มาถึงเรา   

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 29 พฤศจิกายน 2568

อาบน้ำเย็นหน้าหนาว คนทั่วไป ไม่ได้เสี่ยงเส้นเลือดในสมองแตก …จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/9fx6idte2y2r


สัญญาณไวไฟ WiFi ไม่ได้เป็นคลื่นพิษที่มองไม่เห็น…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2w3up6l1zk24o


ภาพขบวนรถไฟขนรถกู้ภัย-เรือยางจากเชียงใหม่ไปช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/vya81p3ykww1


ข่าวเฮลิคอปเตอร์ของเจ้าหน้าที่ ตกที่หาดใหญ่ ขณะช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญอุทกภัย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1mbwccx5vlcz4


ภาพเด็กกอดลูกสุนัขบนหลังคาบ้านกลางน้ำท่วมที่หาดใหญ่…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1xwk8t3gyjv1s


โอโซนบำบัดช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและรักษาได้สารพัดโรค…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3tlf6712tj1fo


กัมพูชาถอนตัวไม่ส่งนักกีฬาเข้าแข่งขันกีฬาซีเกมส์ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/gabg79x3c3i3


พรรคอนาคตใหม่-พรรคก้าวไกล ไม่ออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนหลังถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรค…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3te2fvd5g2izm


คลิปรถไฟวิ่งฝ่าน้ำท่วมที่หาดใหญ่

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/n90zt1105zud


“งานวิจัยสหรัฐฯ ชี้ชัด – ผู้หญิงเอเชียแม้ไม่สูบบุหรี่ ก็เสี่ยงมะเร็งปอด สูงกว่าที่คิด”

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2awtizfidigst


อย่าเข้าไปใกล้เฮลิคอปเตอร์ ขณะที่ใบพัดยังไม่หยุดหมุน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1gs6u6w5ewsmm


การที่เอาข้าวที่ทานเหลือไปแช่ไว้ในตู้เย็นอันตรายมาก!!…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1za7de94dagt9


กมธ. การพัฒนาการเมือง และภาคีโคแฟค ร่วมหาแนวทางตรวจสอบข่าวลวงช่วงเลือกตั้ง  

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน 2568 นักการเมือง นักวิชาการ กกต. สื่อมวลชน และภาคีโคแฟค เข้าร่วมการประชุมโต๊ะกลม หัวข้อ “แนวทางการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อการเลือกตั้ง 2026 ที่เป็นธรรมบนหลักการ Fact Free Fair” ซึ่งร่วมจัดโดยคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร โคแฟค (ประเทศไทย) และมูลนิธิฟรีดริช เนามัน เพื่อเสรีภาพ ณ ห้องประชุมสัมมนา B 1-2 ชั้น B1 อาคารรัฐสภา กรุงเทพมหานคร

พริษฐ์ วัชรสินธุ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะ กมธ.การพัฒนาการเมืองฯ กล่าวเปิดการประชุมว่า ข่าวปลอมเป็นปัญหาอันดับแรก ๆ ที่ กมธ.การพัฒนาการเมืองฯ ให้ความสนใจแก้ไขอย่างจริงจัง ซึ่ง กมธ.การพัฒนาการเมืองฯ มองเห็นความท้าทายของการทำงานรับมือข่าวลวง 5 ประการ คือ 1.วิวัฒนาการของารผลิตเนื้อหาข่าวลวงแนบเนียนมากขึ้น เนื่องจากการเข้ามาของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทำให้แยกแยะเนื้อหาได้ยากขึ้นกว่าในอดีต โจทย์สำคัญคือจะทำอย่างไรให้สังคมในฐานะผู้เสพสื่อมีเครื่องมือ หรือคู่มือหลักการในการแยกแยะเนื้อหาจริงออกจากเนื้อหาไม่จริง 2. ผู้ไม่หวังดีแสวงหาผลประโยชน์จากข่าวปลอม โดยการเผยแพร่ข่าวปลอมอาจเกิดขึ้นได้โดยไม่มีเจตนา (Misinformation) หรือโดยมีเจตนา (Disinformation) ซึ่งทั้ง 2 ประเภทต้องการมาตรการแก้ไขที่ไม่เหมือนกัน 3. ข่าวปลอมที่เผยแพร่ทางออนไลน์จะแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ทำอย่างไรที่ข้อมูลแก้ไขข่าวปลอมจะถูกเผย่แพร่ได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวางเช่นกัน 4. ความน่าเชื่อถือขององค์กรตรวจสอบข้อเท็จจริง องค์กรที่จะมาทำหน้าที่นี้ ต้องได้รับความไว้วางใจจากประชาชน และ 5. องค์กรที่ทำหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงไม่ควรเป็นภาครัฐ เพราะภาครัฐหรือรัฐบาลเองอาจเป็นผู้มีส่วนได้เสียเกี่ยวกับข่าวในหลายมิติ ดังนั้นหากให้รัฐเป็นผู้เล่นหลักในการวินิจฉัยว่าอะไรเป็นข่าวจริง-ข่าวปลอม หากเจอรัฐบาลที่ไม่ทำหน้าที่อย่างเป็นกลาง แทนที่กลไกนี้จะเป็นเครื่องมือปกป้องประชาชนให้เข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง จะกลายเป็นเครื่องมือปิดกั้นความเห็นต่างด้วยการตีตราว่าเป็นข่าวปลอม

ทั้งนี้ สิ่งที่ กมธ.การพัฒนาการเมืองฯ และทุกภาคส่วนต้องการคือ ข้อเสนอเชิงนโยบาย ซึ่งช่วงนี้ที่กำลังจะเข้าสู่การเลือกตั้ง จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมในการคุยเรื่องข้อเสนอนโยบายว่าจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร และ ข้อเสนอเฉพาะหน้า ในช่วงที่มีการเลือกตั้ง พรรคการเมืองซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้-ส่วนเสีย องค์กรภาคประชาสังคม แม้กระทั่งสื่อมวลชน จะมีบทบาทอย่างไรได้บ้าง ในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นกลาง และมีบทบาทเชิงรุกในการแก้ไขปัญหาข่าวปลอม

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง หัวหน้าพรรคประชาชาติ ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ราษฎร ซึ่งได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐด้านที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ พ.ศ. …. และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมกล่าวว่า วันนี้พรรคการเมืองต้องทำงานกับสื่อ เพราะประชาชนฟังสื่อไม่ได้ฟังนักการเมือง มีผู้เชี่ยวขาญจากประเทศโรมาเนียเคยกล่าวไว้ว่า ความเชื่อมั่นของประชาชนร้อยละ 80 เกิดจากรายงานของสื่อ ไม่ได้เกิดจากข้อเท็จจริงของหน่วยงาน แม้หน่วยงานจะมีข้อเสนอดี ๆ แต่หากไม่มีสื่อ ก็ไม่เป็นที่รับรู้  

อย่างไรก็ตาม หากบ้านเมืองจะเดินไปข้างหน้า สื่อต้องสร้างสันติภาพ โดยยึดถือ หลักประชาธิปไตย คือหลักที่คนเท่าเทียมกัน เมื่อคนส่วนใหญ่มีความเห็นร่วมกัน ต้องเคารพเสียงข้างมาก หลักสิทธิมนุษยชน ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ต้องเท่าเทียมกัน และ หลักนิติธรรม ดังนั้น ตนคิดว่านอกจากข่าวจริงหรือไม่จริงแล้ว ยังมีเรื่องของข่าวจริงที่มีเจตนาไม่ดี ข่าวจริงที่เป็นอันตราย จึงควรมีองค์กรที่ไม่ใช่รัฐมาร่วมตรวจสอบด้วย

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวถึงคำ “มหาสงครามข้อมูล (Information Armageddon)” จากสุนทรพจน์ของ มาเรีย เรสซา (Maria Ressa) ผู้สื่อข่าวชาวฟิลิปปินส์ที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปี 2021 (พ.ศ.2564) ในการประขุมสหประชาชาติเมื่อเดือนกันยายน 2568 ซึ่งหากไม่มีการรับมือก็จะนำไปสู่วันสิ้นสุดของข้อเท็จจริง โดยเฉพาะบทบาทของผู้ให้บริการแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ที่ส่วนหนึ่งก็ได้รับผลประโยชน์จากการมีอยู่ของข่าวลวง 

อย่างไรก็ตาม โคแฟคซึ่งเป็นภาคประชาสังคม ไม่มีอำนาจเชิญผู้แทนแพลตฟอร์มต่าง ๆ มาพูดคุยหาแนวทางรับมือข่าวลวงในช่วงเลือกตั้งได้ จึงเสนอให้ กมธ.การพัฒนาการเมืองฯ เป็นผู้เชิญ ซึ่งต้องมีหน่วยงานภาครัฐเป็นเจ้าภาพที่แต่ผ่านมายังไม่ค่อยเห็น อย่างไรก็ตาม ต้องอยู่บนพื้นฐานของสมดุลระหว่างเสรีภาพกับความรับผิดชอบ ส่งเสริมการสื่อสารข้อมูลบนพื้นฐานข้อเท็จจริง (Fact Base) ไม่ใช้ข้อมูลลวงในการต่อสู้กันทางการเมือง 

สุภิญญาย้ำว่า ยังมีเรื่องการใช้อารมณ์นำในการตัดสินใจออกเสียงลงคะแนน ซึ่งถูกกระตุ้นด้วยสื่อสังคมออนไลน์โดยเฉพาะในรูปแบบคลิปวิดีโอสั้น โดยสิ่งที่เจอคือ อคติยืนยัน (Confirmation Bias)” ถึงแม้ข่าวลวงนั้น จะถูกหักล้าง (Debunk) ด้วยข้อเท็จจริงไปแล้ว แต่ผู้คนก็ยังเลือกเชื่อข่าวลวงนั้นตามอคติของตนเอง เป็นเรื่องที่แต่ละพรรคการเมืองอาจต้องมีแนวทางในการรับมือต่อไป

กุลธิดา สามะพุทธิ หัวหน้ากองบรรณาธิการโคแฟค (ประเทศไทย) นำเสนอ ‘บทเรียนการตรวจสอบข่าวช่วงเลือกตั้งในการเลือกตั้งปี 2566’โดยกล่าวถึงเรื่องเล่าในบริบทการเมืองช่วงการเลือกตั้งปี 2566 ว่า ส่วนใหญ่เป็นการอ้างผลงานว่าเป็นของรัฐบาลชุดปัจจุบัน หรือพรรคการเมืองตนเอง การโยนความผิดให้ฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง การบิดเบือนนโยบาย การใช้ทฤษฎีสมคบคิดเพื่อลดทอนความน่าเชื่อถือหรือป้ายสีนักการเมืองหรือพรรคคู่แข่ง การใช้ประเด็นศาสนามาสร้าความเข้าใจผิด ตลอดจนการนำเรื่องส่วนตัว หรือข้อมูลดิจิทัลของนักการเมืองมาเผยแพร่อย่างไม่เหมาะสม ส่วนการใช้เอไอดีปเฟคยังไม่แพร่หลายในช่วงการเลือกตั้งปี 66 แต่เริ่มมีพัฒนาการที่ชัดมากขึ้นในช่วงความขัดแย้งพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา และล่าสุดในช่วงสถานการณ์น้ำท่วมเมืองหาดใหญ่

กุลธิดาให้ข้อสังเกตจากการทำงานในช่วงนั้นว่า พรรคก้าวไกล (พรรคประชาชนในปัจจุบัน) ตกเป็นเป้าหมายของข่าวลวงมากที่สุด อาจเพราะอยู่ในความสนใจของคน และเป็นพรรคที่เข้าถึงพื้นที่การสื่อสารในโลกออนไลน์ได้มากกว่าพรรคอื่น ส่วนความท้าทายในการทำงานตรวจสอบข่างลวงคือข้อมูลบางอย่างยากที่จะฟันธงได้ว่าจริงหรือเท็จทั้งหมด เพราะการเล่าเรื่องมาในรูปแบบที่หลากหลาย มีทั้งการหยิบข้อเท็จจริงมาบางส่วนปะปนกับความคิดเห็นและการอธิบายที่อ้างอิงทฤษฎีสมคบคิด หรือการเชื่อมโยงกับภาพหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน นอกจากนี้ข่าวลวงที่วนซ้ำ และการไม่สนใจความจริงของผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ในปัจจุบัน ก็เป็นความท้าทายในการทำงานที่สำคัญ

อภิเดช เตปิน นักวิจัย บริษัม นีโอโมเมนตัม จำกัด นำเสนอ ‘The Digital Political Landscape and The Fragility of Thailand’s Democratic Process.’ ได้กล่าวถึงภูมิทัศน์การสื่อสารทางการเมืองในพื้นที่ดิจิทัลภายหลังการเลือกตั้งปี 2566 ว่า ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยปริมาณของข้อความที่แสดงความเกลียดชังและข้อมูลจริงที่ถูกนำมาใช้โดยแฝงเจตนาร้ายกลับเพิ่มสูงขึ้น และเป้าหมายการโจมตีเปลี่ยนจากพรรคการเมืองหรือนโยบาย ไปสู่การโจมตีตัวบุคคล และสถาบันทางการเมือง โดยอาศัยเรื่องเล่าเกี่ยวกับคดีความ ภาพลักษณ์ส่วนตัว การตีความข้อมูลผิด เป็นเครื่องมือในการลดทอนความชอบธรรมของรัฐบาลใหม่ในขณะนั้น นอกจากนี้ ผู้เล่นในเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่มีความขัดแย้งได้ขยายตัวมากขึ้น ส่งผลให้ความไว้วางใจสาธารณะโดยรวมเสื่อมถอยลง เนื่องจากสารที่ได้รับส่วนใหญ่เป็นเรื่องของอคติเชิงลบ และถูกขับเคลื่อนด้วยทางอารมน์

สำหรับบริบทในปัจจุบัน อภิเดชมองว่า การสื่อสารทางการเมืองในพื้นที่ดิจิทัลได้ขยายไปสู่ความขัดแย้งทางสังคม วัฒนธรรม และความมั่งคงของชาติ โดยที่กระแสชาตินิยม ความรู้สึกเกลียดกลัวต่างชาติ และการเหมารวมทางชาติพันธุ์ได้เติบโตขึ้นอย่างเป็นระบบ เห็นได้ชัดจากรณีศึกษาประเด็นเฮทสปีช (Hate Speech) เกี่ยวกับสิทธิและการปฏิบัติต่อแรงงานข้ามชาติชาวเมียนมา และความขัดแย้งพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา “อารมณ์ก้าวร้าว ความกลัว และความรู้สึกว่าถูกคุกคามถูกใช้เป็นตัวขับเคลื่อนปฏิกิริยาสังคม อภิเดชสรุป 

จากนั้น ดร.พิมพ์รภัช ดุษฎีอิสริยกุล ผู้จัดการโครงการ มูลนิธิฟรีดริช เนามัน เพื่อเสรีภาพ และที่ปรึกษาโคแฟค (ประเทศไทย) ได้นำผู้เข้าร่วมประชุมเข้าสู่การเสวนาโต๊ะกลม โดยใช้กรอบความท้าทายในการรับมือข่าวลวง 5 ข้อที่ กมธ.การพัฒนาการเมืองฯ กล่าวเปิดการประชุมไว้ ให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้อภิปรายและเสนอแนะ ทั้งนี้ ผู้แทนพรรคประชาชาติ พรรคไทยก้าวใหม่ พรรคประชาชน นักวิชาการ สื่อมวลชน รวมถึงฝ่ายประชาสัมพันธ์สำนักงาน กกต. มีส่วนร่วมในการอภิปรายอย่างเข้มข้น

ดร.วศิน ปั้นทอง อาจารย์ภาควิชาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กล่าวสรุปความเห็นและข้อเสนอแนะจากการประชุมและจัดทำ ข้อเสนอแนะจากการประชุมโต๊ะกลม หัวข้อ แนวทางการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อการเลือกตั้ง 2026 ที่เป็นธรรมบนหลักการ Fact Free Fair’ เพื่อเสนอต่อประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองฯ ดังต่อไปนี้ 

1ความท้าทายด้านการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการผลิตข่าวลวงที่ตรวจสอบยากขึ้น

1.1 ลักษณะปัญหา

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมาเริ่มเห็นการใช้เทคโนโลยีการผลิตเนื้อหาอัตโนมัติในการรณรงค์หาเสียงทางการเมือง และเริ่มเห็นสัญญาณการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการทำปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารทางการเมือง ทั้งในฝ่ายการเมืองและผู้ผลิตเนื้อหาที่เป็นบุคคลทั่วไป

1.2 ข้อเสนอแนะ

1.2.1 จัดทำมาตรการเฝ้าระวัง โดยสร้างหน่วยตรวจสอบเฝ้าระวังอัลกอริทึม (Algorithm watch) ประกอบกับการเก็บข้อมูลบนโลกออนไลน์เพื่อตรวจวัดอุณหภูมิอารมณ์และเรื่องเล่าของแต่ละคลัสเตอร์บนโลกออนไลน์เพื่อตรวจดูพฤติกรรมต้องสงสัยว่าเป็นผู้ดำเนินการปฏิบัติการข่าวสาร (Coordinated behavior)

1.2.2 จัดทำมาตรการขอความร่วมมือ โดยย้ำพรรคการเมืองให้ระบุอย่างชัดแจ้งว่าเนื้อหาที่ตนเผยแพร่นั้นผลิตด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI)

1.2.3 จัดทำมาตรการทางกฎหมาย โดยพิจารณาออกกฎการกำกับดูแล มีเกณฑ์คือพิจารณาว่าข่าวลวงทางการเมืองชิ้นนั้นส่งผลกระทบหรือเป็นอันตรายต่อการเลือกตั้งมากน้อยเพียงใด

2. ความท้าทายด้านการแสวงประโยชน์ทางการเมืองและประโยชน์ทางธุรกิจจากการเผยแพร่ข่าวลวง

2.1 ลักษณะปัญหา

ในปัจจุบัน จะพบว่าเป้าหมายของผู้ผลิตเนื้อหาทั้งที่เป็นรายบุคคล อินฟลูเอนเซอร์ นักการเมือง ผู้สนับสนุนพรรคการเมืองในลักษณะแฟนคลับ (Fan club) หรือกระทั่งสื่อมวลชนเอง คือการใช้ข่าวลวงทางการเมืองโจมตีลดทอนความชอบธรรมของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันผู้เล่นดังกล่าวจำนวนหนึ่งก็มีเป้าหมายซ้อนในเรื่องการแสวงหารายได้จากการผลิตเนื้อหาที่เร่งเร้าอารมณ์หรือชวนให้เกิดความขัดแย้ง อันไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง โดยหวังรายได้จากยอดแชร์มากกว่าการผลิตเนื้อหาที่มีคุณภาพ 

2.2 ข้อเสนอแนะ

2.2.1 การเชิญพรรคการเมือง ลงนาม ‘Code of conduct’ หรือการประกาศเจตนารมณ์แสดงความมุ่งมั่นในการใช้ปัญญาประดิษฐ์ด้วยความรับผิดชอบ ในระยะยาว ‘Code of conduct’ นี้ ก็จะสร้างบรรทัดฐานในการใช้ปัญญาประดิษฐ์ที่ยอมรับร่วมกันได้  

2.2.2 จัดทำมาตรการรับมือกับการหาเงินจากการผลิตและเผยแพร่เนื้อหาทางการเมืองเพื่อเรียกกระแสแต่ไม่ยืนบนฐานข้อเท็จจริง

2.2.3 การทำความเข้าใจกับอินฟลูเอนเซอร์เรื่องการใช้ปัญญาประดิษฐ์ด้วยความรับผิดชอบและสอดคล้องกับหลักการ ‘Fact Free Fair’

3. ความท้าทายด้านความเร็วที่ข่าวลวงทางการเมืองแพร่กระจายสู่สังคม

3.1 ลักษณะปัญหา

ในปัจจุบัน เนื้อหาที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ หรือข่าวลวงทางการเมืองถูกเผยแพร่ในวงกว้างด้วยระยะเวลาที่รวดเร็ว หลายกรณีส่งผลกระทบต่อนักการเมืองหรือพรรคการเมืองที่ตกเป็นเป้าหมาย 

3.2 ข้อเสนอแนะ

3.2.1 สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ชุมชนผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริง (ทั้งในสื่อมวลชนและภาคประชาสังคม) และผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม ควรร่วมหารือเรื่องนโยบายเฉพาะของแพลตฟอร์มในช่วงการเลือกตั้งที่เน้นสร้างเงื่อนไขให้เอื้อกับการตรวจสอบข้อเท็จจริงและสร้างความโปร่งใส

3.2.2 หากสื่อมวลชนหรือผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงสื่อสารผิดพลาดหรือนำเสนอการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่พบในภายหลังว่าผิดพลาด ควรกำหนดกรอบเวลาในการชี้แจงให้รวดเร็ว ชัดเจน และทันท่วงที   

3.2.3 กำหนดว่าจะตรวจสอบใครบ้าง อาทิ นักการเมือง พรรคการเมือง และผู้สนับสนุนทางการเมืองทั้งที่เป็นธรรมชาติและจัดตั้ง 

3.2.4 สร้างช่องทางเร่งด่วน (Fast track) สำหรับผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงติดต่อกับสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เข้าถึงข้อมูลที่เป็นทางการอย่างทันท่วงที 

4. ความท้าทายด้านความน่าเชื่อถือและมาตรฐานการทำงานขององค์กรตรวจสอบข้อเท็จจริง

4.1 ลักษณะปัญหา

ในปัจจุบันสื่อมวลชนต้องพึ่งพารายได้จากการผลิตเนื้อหาที่ดึงดูดผู้ใช้งานโลกออนไลน์ อีกทั้งต้องทำงานแข่งกับเวลา และเกาะติดกระแสเพื่อรักษายอดผู้ชม นอกจากนี้สื่อมวลชนจำนวนหนึ่งก็มีการพึ่งพาสปอนเซอร์ที่อยู่ในภาคการเมืองด้วย กรณีเหล่านี้ส่งผลต่อคุณภาพการตรวจสอบข้อเท็จจริงทางการเมือง 

4.2 ข้อเสนอแนะ

4.2.1 ด้านความน่าเชื่อถือของแหล่งข่าว ผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงควรหาข้อมูลชั้นปฐมภูมิ แต่ก็ต้องระวังเรื่องแหล่งข่าวให้ข้อมูลต่างกันหน้าฉากหลังฉากด้วย 

4.2.2 ความน่าเชื่อถือของเครื่องมือ ผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและสื่อมวลชน ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐควรทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มเพื่อออกแบบเครื่องมือการตรวจสอบร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องมือทางเทคโนโลยีที่จะอำนวยความสะดวกในการตรวจสอบเนื้อหาที่ผลิตโดยปัญญาประดิษฐ์  

4.2.3 ความน่าเชื่อถือของกระบวนการตรวจสอบ อาจพิจารณาตั้งทีมตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยกำหนดกรอบเวลาทำงานให้สั้นและทันเวลา และกำหนดเวลาการเผยแพร่ข้อมูลที่ตรวจสอบแล้วสู่สาธารณะให้รวดเร็ว เช่น ไม่ควรเกิน 2 ชั่วโมง

4.2.4 รักษาคุณภาพการให้บริการสายด่วน 1444 ของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง

4.2.5 สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้อำนายความสะดวก เช่น จัดทำแพลตฟอร์มกลางให้พรรคการเมืองนำเสนอประเด็นนโยบาย ตลอดจนแลกเปลี่ยนและนำเสนอข้อมูลชี้แจง 

5. ความท้าทายด้านการเปิดพื้นที่ให้ภาคประชาสังคมเป็นผู้เล่นหลักในการตรวจสอบข้อเท็จจริง

5.1 ลักษณะปัญหา

ในระดับสากล การตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยรัฐมีแนวโน้มจะถูกมองว่าเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ไม่เป็นอิสระอันเนื่องมาจากส่วนได้ส่วนเสียทางการเมืองที่อาจเกิดขึ้นกับรัฐบาล ณ เวลานั้น 

5.2 ข้อเสนอแนะ

5.2.1 การสร้างแนวร่วมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่มีเจ้าภาพชัดเจนและครอบคลุมหลากหลายภาคส่วนทั้งสื่อมวลชน สมาคมวิชาชีพสื่อมวลชน ผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม องค์กรภาคประชาสังคม และประชาชนทั่วไป  

5.2.2 ในระยะยาวจะต้องขับเคลื่อนให้การตรวจสอบข้อเท็จจริงทางการเมืองมีความเป็นสถาบัน ไม่ได้ทำเป็นครั้งคราว

หลังการประชุม สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) เป็นผู้แทนภาคีโคแฟคและผู้เข้าร่วมประชุม ยื่นข้อเสนอจากการประชุมนี้ต่อ กมธ.การพัฒนาการเมืองฯ เพื่อร่วมมือกันดำเนินการต่อไป

คลิปรถไฟวิ่งฝ่าน้ำท่วมที่สร้างด้วย AI ถูกนำมาบิดเบือนว่าเป็นเหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่

กองบรรณาธิการโคแฟค

❓ เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปรถไฟวิ่งฝ่าน้ำท่วมที่หาดใหญ่ 

❌ ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาบิดเบือน เป็นการนำคลิปที่สร้างโดย AI มาตัดต่อรวมกับคลิปเหตุการณ์จริง** 

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 26 พ.ย. 2568 บัญชีเฟซบุ๊ก “Chisa Puysalee” โพสต์คลิปวิดีโอความยาว 10 วินาที ช่วงแรกความยาว 7 วินาที เป็นภาพขบวนรถไฟกำลังวิ่งฝ่าน้ำท่วม ท่ามกลางฝนตกหนักและลมแรง ส่วนช่วงหลังความยาว 3 วินาที เป็นภาพน้ำท่วมในเขตเมือง พร้อมคำบรรยายว่า “ไม่อยากเชื่อว่าจะท่วมมากขนาดนี้ ตลาดตันหยัง ร้านติ่มซำที่แสนอร่อยดีที่หาดใหญ่ #น้ำท่วมหาดใหญ่ #สร้างรายได้ด้วยเนื้อหา” 

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการค้นหาด้วย Google Lens พบว่า คลิปช่วงแรกที่เป็นขบวนรถไฟนั้นเคยมีการโพสต์ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุน้ำท่วมในภาคใต้ของไทย โดยวันที่เก่าที่สุดที่สามารถสืบค้นได้คือ 4 ต.ค. 2568 โดยช่องยูทูบ “sonalalkumar7899” และวันที่ 16 พ.ย. 2568 ช่องยูทูบ “MDRUBEL-ruposhi” ได้โพสต์คลิปเดียวกัน พร้อมกับติดแฮชแท็ก AI รวมถึงยังระบุคำเตือนด้วยว่า “เนื้อหาที่มีการดัดแปลงหรือสังเคราะห์ เสียงหรือภาพถูกดัดแปลงอย่างชัดเจนหรือสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์” ซึ่งเป็นระบบที่ยูทูบเปิดให้ผู้โพสต์คลิปสมัครใจแจ้งให้ผู้ชมทราบว่าเป็นคลิปที่สร้างโดย AI 

เมื่อนำคลิปไปตรวจสอบกับเว็บไซต์วิเคราะห์เนื้อหาที่สร้างจาก AI จำนวน 3 เว็บไซต์พบว่ามีความเป็นไปได้ราว 70 – 80% ที่คลิปจะถูกสร้างขึ้นด้วย AI 

ส่วนคลิปช่วงหลังที่เป็นภาพเหตุการณ์น้ำท่วมในเมือง มีจุดสังเกตคือป้ายร้านอาหาร “ฮัจยีสัน” เมื่อลองค้นหาด้วย Google Street View พบว่า ร้านดังกล่าวตั้งอยู่บริเวณข้างโรงพยาบาลหาดใหญ่ จุดเชื่อมระหว่างถนนนิพัทธ์สงเคราะห์ 1 ซอย 5 กับถนนรัถการ และเป็นภาพเดียวกันกับคลิปวิดีโอที่เผยแพร่ในเพจเฟซบุ๊ก “ที่นี่สมุทรปราการ” และเพจ “Korat Next Step” ซึ่งบรรยายว่าเป็นเหตุการณ์น้ำท่วม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อวันที่ 22 พ.ย. 2568 

ภาพเด็กกอดลูกสุนัขตากฝนบนหลังคาบ้านกลางน้ำท่วมที่หาดใหญ่ เป็นภาพจากคลิปที่สร้างด้วย AI

กองบรรณาธิการโคแฟค

❓ เนื้อหาที่ตรวจสอบ: ภาพเด็กกอดลูกสุนัขบนหลังคาบ้านกลางน้ำท่วมที่หาดใหญ่  

❌ ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ เป็นภาพที่สร้างจาก AI**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 26 พ.ย. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “สตอรี่ สีดำ” โพสต์ภาพเด็กนั่งร้องไห้กอดลูกหมาตากฝนบนหลังคาบ้านที่ถูกน้ำท่วมสูงอยู่ลำพัง ฝังข้อความในภาพว่า “หาดใหญ่” และเขียนข้อความบรรยายในโพสต์ว่า “เป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้​ #น้ำท่วมหาดใหญ่” โพสต์นี้ถูกแชร์ไปแล้วกว่า 2,000 ครั้ง (ลิงก์บันทึก)  

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการค้นหาด้วย Google Lens พบภาพชุดนี้แพร่หลายในโซเชียลมีเดียมาตั้งแต่ต้นเดือน พ.ย. 2568 โดยไม่ระบุที่มาของภาพ ผู้โพสต์บางรายอ้างว่าเป็นภาพน้ำท่วมในเวียดนาม บางรายระบุว่าเป็นอุทกภัยจากไต้ฝุ่นติโนในฟิลิปปินส์ และล่าสุดผู้ใช้โซเชียลมีเดียชาวไทยนำมาเผยแพร่โดยสร้างความเข้าใจผิดว่าเป็นเหตุการณ์น้ำท่วมภาคใต้ในปัจจุบัน  

นอกจากนี้ยังมีคนนำภาพเหล่านี้ไปประกอบการรับบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในจังหวัดเซบูของฟิลิปปินส์ทางเว็บไซต์ระดมทุนชื่อดัง gofundme.com อีกด้วย  

ส่วนหนึ่งของภาพจากคลิปเด็กนั่งกอดสุนัขบนหลังคา ถูกนำไปประกอบการขอรับบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในจังหวัดเซบูของฟิลิปปินส์ทางเว็บไซต์ระดมทุนชื่อดัง gofundme.com เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2568

โคแฟคยังไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นผู้โพสต์ภาพชุดนี้เป็นรายแรก แต่พบคลิปวิดีโอความยาว 9 วินาทีที่มีภาพตรงกันทุกประการ โพสต์โดยบัญชีผู้ใช้ติ๊กตอกชื่อ “vyphunhan” เมื่อวันที่ 3 พ.ย. 2568 คลิปนี้มียอดเข้าชมมากกว่า 2.6 ล้านครั้ง (ณ วันที่ 26 พ.ย.) และถูกแชร์ไปมากกว่า 2 หมื่นครั้ง

ผู้โพสต์ไม่ได้ให้ข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับคลิปและไม่ได้แจ้งว่าเป็นเนื้อหาที่สร้างโดย AI แต่จากการตรวจสอบรายละเอียดของภาพในคลิปพบว่ามีความผิดปกติหลายประการที่บ่งชี้ว่าเป็นวิดีโอที่สร้างจาก AI เช่น นิ้วมือของเด็ก ผิวน้ำที่นิ่งผิดธรรมชาติ หยดน้ำบนใบหน้า สายฝนที่หายไปบางช่วง เม็ดฝนที่กระทบหลังคา ตลอดจนความไม่สมจริงของเหตุการณ์ที่เด็กนั่งบนหลังคาท่ามกลางน้ำท่วมสูงอย่างโดดเดี่ยว

คลิปวิดีโอความยาว 9 วินาที โพสต์โดยบัญชีผู้ใช้ติ๊กตอกชื่อ “vyphunhan” เมื่อวันที่ 3 พ.ย. 2568

จากการตรวจสอบการรายงานข่าวอุทกภัยในเวียดนามและฟิลิปปินส์ ไม่มีสื่อมวลชนที่น่าเชื่อถือเผยแพร่คลิปหรือภาพนิ่งชุดนี้

วันที่ 23 พ.ย. 2568 กระทรวงความมั่นคงสาธารณะของเวียดนาม ได้โพสต์คำเตือนบนเพจเฟซบุ๊กเรื่องการเผยแพร่เนื้อหาเท็จและภาพที่สร้างจาก AI ในช่วงภัยพิบัติน้ำท่วม โดยระบุว่าภาพเด็กชายนั่งอุ้มลูกสุนัขบนหลังคาเป็นภาพที่สร้างจาก AI ไม่ใช่ภาพเหตุการณ์จริง

โคแฟคนำภาพจากคลิปวิดีโอนี้มาเปรียบเทียบกับภาพชุดที่เผยแพร่โดยทางเพจเฟซบุ๊ก “สตอรี่ สีดำ” พบว่าภาพทั้งหมดตรงกับภาพในคลิป แต่มีหนึ่งภาพที่มีการตัดต่อเรือกู้ภัยสีแดง-ส้มคล้ายกับพาหนะของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเข้าไปในภาพ เพื่อสร้างความเข้าใจผิดว่าเป็นภาพเหตุการณ์ในไทย

เปรียบเทียบภาพจากคลิปที่โพสต์โดยบัญชีผู้ใช้ติ๊กตอกชื่อ “vyphunhan” เมื่อวันที่ 3 พ.ย. 2568 กับภาพจากโพสต์ในเฟซบุ๊ก “สตอรี่ สีดำ” เมื่อวันที่ 26 พ.ย. อ้างว่าเป็นน้ำท่วมที่หาดใหญ่ มีการเติมภาพเรือกู้ภัยเข้าไป

เมื่อนำภาพเหล่านี้ไปตรวจสอบกับเว็บไซต์ตรวจจับ AI จำนวน 3 เว็บไซต์ ได้ผลตรงกันว่ามีความเป็นไปได้ 80-90% ว่าสร้างด้วย AI

สรุปได้ว่าภาพชุดนี้ไม่ใช่ภาพเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และเป็นภาพที่นำมาจากคลิปวิดีโอที่สร้างจาก AI ซึ่งเป็นคลิปเก่าที่เคยโพสต์มาตั้งแต่วันที่ 3 พ.ย. หรือก่อนหน้าเกิดมหาอุทกภัยในภาคใต้ของไทยเกือบ 3 สัปดาห์ และเคยถูกนำไปอ้างเท็จว่าเป็นเหตุอุทกภัยในฟิลิปปินส์และเวียดนามมาก่อนหน้านี้แล้ว

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ

ภาพขบวนรถไฟขนเรือยาง-รถกู้ภัยจากเชียงใหม่ไปช่วยน้ำท่วมภาคใต้ เป็นภาพที่สร้างจาก AI

กองบรรณาธิการโคแฟคและสำนักข่าวบริคอินโฟ

❓ เนื้อหาที่ตรวจสอบ: ภาพขบวนรถไฟขนรถกู้ภัย-เรือยางจากเชียงใหม่ไปช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้

❌ ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ เป็นภาพที่สร้างจาก AI**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 24 พ.ย. 2568 บัญชีเฟซบุ๊ก “พระราม เดินดง” โพสต์ภาพขบวนรถไฟของการ รถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) บรรทุกรถกู้ภัย รถดับเพลิง และเรือกู้ภัยโดยอ้างว่าอาสาสมัครในจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยเรือ รถยกสูง รถกู้ภัยกำลังเดินทางไปยังหาดใหญ่เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม พร้อมกับเช็คอิน “สถานีรถไฟเชียงใหม่” โพสต์นี้ถูกแชร์ไปมากกว่า 2,600 ครั้ง ณ วันที่ 26 พ.ย. (ลิงก์บันทึก)

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: สำนักข่าวบริคอินโฟ ซึ่งเป็นเครือข่ายสื่อที่ทำงานด้านการตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกับโคแฟค ตรวจสอบภาพดังกล่าวแล้วพบหลักฐานบ่งชี้ชัดเจนว่าเป็นภาพที่ถูกสร้างและปรับแต่งด้วย AI ดังนี้ 

◾️ มุมขวาล่างของภาพมีลายน้ำที่เป็นสัญลักษณ์ของ Gemini ซึ่งเป็นปัญญาประดิษฐ์ของ Google

◾️ รายละเอียดในภาพผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง เช่น รางรถไฟบางส่วนที่จางหายไปตรงจุดสิ้นสุดอย่างไม่สมเหตุสมผล รวมถึงส่วนเชื่อมต่อด้านหน้าของหัวรถจักรและกระจกบางส่วนที่หายไป 

◾️  เพจเฟซบุ๊ก “ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย” ซึ่งเป็นช่องทางสื่อสารอย่างเป็นทางการของ รฟท. ไม่พบการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับขบวนรถไฟพิเศษที่ขนส่งยานพาหนะไปยังพื้นที่ประสบภัยตามที่เพจดังกล่าวอ้างถึง โดยขณะนี้ รฟท. เน้นการสื่อสารเกี่ยวกับการเปลี่ยนเส้นทางการเดินรถและผลกระทบของน้ำท่วมต่อการเดินทางด้วยรถไฟให้ประชาชนทราบ  

◾️  การสืบค้นเพิ่มเติมพบว่าหัวรถจักรที่ถูกนำมาสร้างและปรับแต่งภาพด้วย AI นี้ เป็นหัวรถจักรรุ่น General Electric UM12C ซึ่งเป็นรุ่นที่ รฟท. นำเข้ามาใช้งานตั้งแต่ปี 2507 มีจำนวนทั้งสิ้น 40 คัน สร้างโดยบริษัท General Electric จากประเทศสหรัฐอเมริกา แม้จะมีอายุการใช้งานยาวนานกว่า 50 ปี แต่หัวรถจักรรุ่นนี้ยังคงมีประสิทธิภาพในการลากจูงขบวนรถโดยสาร รถสินค้า และเป็นรถสับเปลี่ยน ในปัจจุบัน

เรื่องอื่นที่เกี่ยวข้อง

“ผู้หญิงการเมือง” ยังถูกบูลลี่หนัก แม้ย้ายจากถนนสู่โลกออนไลน์

โคแฟคไลฟ์ทอล์กชี้ความรุนแรงเชิงเพศออนไลน์ทำนักการเมืองหญิงท้อ ถอดใจลาออก

กรุงเทพฯ 25 พ.ย. 2568 – รายการ Cofact Live Talk “Woman, Myth and Politics” ดำเนินรายการโดย นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ อดีตกสทช. และมี น.ส.ชมพูนุท เฉลียวบุญ ผู้จัดการโครงการภูมิภาค Westminster Foundation for Democracy (WFD) เป็นแขกรับเชิญ ได้เปิดเผยข้อมูลน่าตกใจว่า นักการเมืองหญิงไทยยังเผชิญความรุนแรงทางเพศอย่างหนักหน่วง แม้รูปแบบจะย้ายจาก“ความรุนแรงกายภาพบนท้องถนน” มาสู่ “ความรุนแรงออนไลน์” ที่ร้ายกาจและต่อเนื่องกว่าเดิม

น.ส.ชมพูนุท กล่าวว่า จากรายงานที่ WFD ร่วมกับองค์กร Stop Online Violence เก็บข้อมูลหลังการเลือกตั้งปี 2566 พบข้อความที่เข้าข่ายคุกคามนักการเมืองหญิงในเฟซบุ๊กและเอ็กซ์ (ทวิตเตอร์) กว่า 458 ข้อความ โดยกว่า 50% เป็นการด้อยค่า ทำลายชื่อเสียงและเบี่ยงประเด็นจากนโยบายไปสู่เรื่องส่วนตัว, 16% เป็นการล้อเลียนรูปร่าง เสื้อผ้า หน้าผม และยังพบการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวครอบครัว รวมถึงความเสี่ยงจากการใช้ภาพตัดต่อหรือดีฟเฟคที่จะเพิ่มขึ้นในการเลือกตั้งครั้งหน้า

“หลายคนที่ยังเป็น ส.ส. อยู่ บอกว่าทนไม่ไหว ไม่อยากอยู่ต่อแล้ว” น.ส.ชมพูนุท ระบุ พร้อมย้ำว่า ความรุนแรงออนไลน์ทำให้เกิดผลกระทบทางจิตใจรุนแรง บางคนถึงขั้นต้องพบจิตแพทย์ แต่การเข้าถึงบริการสุขภาพจิตยังมีต้นทุนสูงทั้งเงินและเวลา

นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ กล่าวเสริมว่า ตนเคยถูกโจมตีด้วยอคติทางเพศสมัยเป็น กสทช. และเห็นว่าปัญหานี้ไม่ได้เกิดเฉพาะนักการเมือง แต่รวมถึงนักกิจกรรม นักข่าวหญิง และผู้หญิงที่ออกหน้าสื่อทุกคน “พอเป็นผู้หญิง อายุ การแต่งตัว ครอบครัว จะถูกนำมาโจมตีทันที มันเจ็บลึกและสะสม”

ทั้งสองเห็นพ้องว่า การแก้ปัญหาต้องอาศัยหลายภาคส่วนร่วมกันได้แก่  

• แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต้องรับผิดชอบมากขึ้น มีระบบเฝ้าระวังและลบเนื้อหาคุกคามที่รวดเร็วกว่านี้  

• พรรคการเมืองต้องมีกลไกดูแลสมาชิกที่ถูกคุกคาม ทั้งรับเรื่องร้องเรียนและให้การสนับสนุนด้านจิตใจ  

• รัฐสภาควรจัดตั้งหน่วยให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิตสำหรับ ส.ส. และบุคลากร  

• สื่อมวลชนต้องลดการใช้ถ้อยคำรุนแรงและให้พื้นที่นโยบายมากกว่าดราม่าส่วนตัว  

• ประชาชนต้องช่วยกันไม่แชร์ ไม่มีส่วนร่วมกับเนื้อหาที่บูลลี่หรือเหยียดเพศ

รายการจัดขึ้นเนื่องในวันยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงสากล (25 พ.ย.) และเป็นส่วนหนึ่งของการรณรงค์ 16 วันนักกิจกรรมต่อต้านความรุนแรงทางเพศ โดย น.ส.ชมพูนุท ยังเชิญชวนร่วมงาน “พื้นที่ดิจิทัลที่ปลอดภัยสำหรับผู้หญิงและเด็ก” ในวันพรุ่งนี้ (26 พ.ย.) ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร 13.00-17.00 น. ร่วมกับ UN Women, UNDP, UNFPA และสถาบันพระปกเกล้า

“ถ้าเราไม่ร่วมกันแก้ตอนนี้ พอถึงเลือกตั้งท้องถิ่นหรือเลือกตั้งครั้งหน้า คลิปตลกๆ ล้อเลียนผู้หญิงจะยิ่งท่วมท้น และเราจะสูญเสียนักการเมืองหญิงที่มีคุณภาพไปอีกมาก” นางสาวสุภิญญา กล่าวทิ้งท้าย

คลิปเด็กชายเกาะตอไม้กลางน้ำท่วมสูง เป็นวิดีโอที่สร้างจาก AI

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปเด็กชายเกาะขอนไม้ร้องหาแม่ที่ติดอยู่บนหลังคาบ้านกลางน้ำท่วมสูง 

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เป็นคลิปที่สร้างจากเอไอ เผยแพร่โดยผู้ใช้ติ๊กตอกชาวเวียดนามตั้งแต่เดือน ต.ค. 2568**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 24 พ.ย. 2568 บัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊ก “อั้มบ่าวอุบล คนพิบูล” โพสต์คลิปวิดีโอเด็กผู้ชายยืนเกาะขอนไม้กลางน้ำท่วมสูง ร้องไห้หาแม่ที่ติดอยู่บนหลังคาบ้าน เขียนข้อความว่า “รอก่อนนะ กำลังไปช่วย #น้ําท่วมท่วม” คลิปนี้มียอดเข้าชมเกือบ 3 แสนครั้ง และยอดแชร์เกือบ 1 พันครั้ง

ขณะที่บัญชีเฟซบุ๊ก “นภารัตน์ อนันตพงศ์” โพสต์ภาพนิ่งจากคลิปวิดีโอนี้ พร้อมกับเขียนบรรยายให้เข้าใจว่าเป็นภาพเหตุการณ์น้ำท่วมที่หาดใหญ่ 

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: เมื่อนำภาพจากคลิปวิดีโอนี้ไปค้นหาด้วย Google Lens พบว่าวิดีโอนี้ถูกเผยแพร่โดยบัญชีผู้ใช้ติ๊กตอก “nguyenthao.833” เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2568 พร้อมคำบรรยายภาษาเวียดนาม ผู้โพสต์ติดป้ายกำกับว่าเป็น “วิดีโอที่สร้างจากเอไอ” และยังมีคำแจ้งเตือนจากติ๊กตอกด้วยว่า “เนื้อหานี้สร้างจากเอไอ” แต่คลิปนี้ก็ยังถูกนำไปแชร์ต่อโดยผู้ใช้ติ๊กตอกทั้งชาวไทย เมียนมา และเวียดนามจำนวนมากโดยไม่ระบุว่าเป็นวิดีโอที่สร้างจากเอไอ

บัญชีผู้ใช้ติ๊กตอก “nguyenthao.833” เผยแพร่วิดีโอนี้เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2568 โดยแจ้งว่าเป็น “วิดีโอที่สร้างจากเอไอ” และยังมีคำแจ้งเตือนจากติ๊กตอกด้วยว่า “เนื้อหานี้สร้างจากเอไอ”

นอกจากป้ายกำกับที่ระบุชัดเจนทั้งจากผู้โพสต์วิดีโอและจากติ๊กตอกในฐานะผู้ให้บริการแพลตฟอร์มแล้ว ภาพในวิดีโอยังพบความผิดปกติที่เป็นจุดสังเกตได้ว่าเป็นวิดีโอที่สร้างจากเอไอ เช่น แสงเงา ลมและคลื่นบนผิวน้ำที่ไม่เป็นธรรมชาติ ใบหน้าและท่าทางของเด็กและผู้หญิงที่ไม่สมจริง รวมทั้งองค์ประกอบโดยรวมที่ไม่มีผู้คนหรือความเคลื่อนไหวอื่นเลย 

ทั้งนี้มีผู้ใช้เฟซบุ๊กจำนวนมากเข้ามาให้ข้อมูลว่าวิดีโอนี้สร้างจากเอไอ และแสดงความไม่เห็นด้วยที่นำวิดีโอเอไอผู้ประสบภัยน้ำท่วมมาเผยแพร่ในช่วงที่หลายจังหวัดในภาคใต้ของไทยกำลังประสบอุทกภัยครั้งใหญ่และประชาชนจำนวนมากกำลังรอความช่วยเหลือ เนื่องจากทำให้เกิดความสับสนและเป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อนของผู้ประสบภัย

ตรวจสอบโพสต์ X ของ “คำ ผกา” ระบุอนาคตใหม่-ก้าวไกลไม่ออกแถลงการณ์หลังถูกยุบพรรค

กองบรรณาธิการโคแฟค

❓ เนื้อหาที่ตรวจสอบ:  พรรคอนาคตใหม่-พรรคก้าวไกล ไม่ออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนหลังถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรค 

❌ ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **ข้อมูลไม่ถูกต้อง ทั้งพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกลมีแถลงการณ์ด้วยวาจาในวันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้ยุบพรรค**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 22 พ.ย. 2568 “คำ ผกา” คอลัมนิสต์และพิธีกรโพสต์ข้อความในบัญชี X @kamphaka ว่า “ตอนยุบพรรคอนาคตใหม่ ก้าวไกล ก็ไม่เห็นออกแถลงการณ์อะไรนะคะ นอกจาก ยักไหล่แล้วไปต่อ จากนั้นก็ลบนโยบาย 112 ออกไปเงียบ ๆ” ซึ่งเป็นการตอบโต้ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ คอลัมนิสต์ที่เขียนบทความวิจารณ์พรรคเพื่อไทยที่เงียบเฉยต่อกรณีที่อัยการสูงสุดเตรียมยื่นอุทธรณ์คดีที่ทักษิณ ชินวัตร เป็นจำเลยในฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และการที่ศาลฎีกาพิพากษาให้กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษี 1.76 หมื่นล้านบาทจากการขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด

“หลักฐานง่ายๆ ว่าเพื่อไทย ‘หมอบ’ เต็มที่คือขนาดคุณทักษิณโดนอุทธรณ์ 112 ซึ่งทำให้ติดคุกยาว 1 ปีและโดนคดีภาษีหุ้น 1.7 หมื่นล้าน เพื่อไทยทั้งพรรคกลับไม่มีแถลงการณ์เรื่องนี้” ศิโรตม์ระบุในบทความเรื่อง “การเมืองสีเทาในคดีทักษิณและศึก สตช.” เผยแพร่ในเว็บไซต์มติชนสุดสัปดาห์วันที่ 21 พ.ย.

“คำ ผกา” โต้แย้งด้วยการโพสต์ข้อความใน X ว่าการออกแถลงการณ์ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ และตุลาการภิวัฒน์ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ พรรคเพื่อไทยจึงเลือกที่จะเอาเวลาออกแถลงการณ์ไปทำงานอื่นและเตรียมการเลือกตั้ง และอีกโพสต์หนึ่งระบุว่าพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกลว่าทั้งสองพรรคนี้ก็ไม่ออกแถลงการณ์ใด ๆ หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีวินิจฉัยให้ยุบพรรคเช่นกัน (ลิงก์บันทึก)  

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: ประเด็นที่โคแฟคตรวจสอบคือ พรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกลไม่ได้ออกแถลงการณ์ภายหลังถูกยุบพรรคจริงหรือไม่?

จากรายงานข่าวของสื่อมวลชนหลายสำนักและจากวิดีโอที่เผยแพร่ทางช่องยูทูบของอดีตพรรคก้าวไกล พบว่ากรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่และก้าวไกลได้แถลงแสดงความคิดเห็นและจุดยืนต่อคำวินิจฉัยยุบพรรค ดังนี้

▪ วันที่ 21 ก.พ. 2563 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้ยุบพรรคอนาคตใหม่พร้อมเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 10 ปี จากกรณีพรรคกู้เงิน 191.2 ล้านบาทจากธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค ซึ่งศาลวินิจฉัยว่าเป็นเงินที่ได้มาโดยไม่ชอบตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 

ช่วงเย็นวันเดียวกัน ธนาธรและกรรมการบริหารพรรคเปิดแถลงข่าว ณ ที่ทำการพรรคซึ่งมีการถ่ายทอดสดทางเฟซบุ๊กและยูทูบของพรรคและของสื่อมวลชน เช่น ไทยพีบีเอส สื่อหลายสำนักก็รายงานข่าวการแถลงครั้งนี้ด้วย เช่น มติชนพาดหัวข่าวว่า “ปิยบุตร-กก.บห. แถลงไม่เห็นด้วยคำวินิจฉัย ยุบพรรคอนาคตใหม่”  The Momentum พาดหัวว่า “อนาคตใหม่แถลงหลังศาลฯ สั่งยุบพรรค ประกาศเดินหน้าต่อเพียงแต่เปลี่ยนวิธีเดิน”  

▪ วันที่ 7 ส.ค. 2567 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ให้ยุบพรรคก้าวไกลและเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 10 ปี เนื่องจากมีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จากการร่วมกันเสนอให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายหาเสียง

หลังศาลมีคำวินิจฉัย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและกรรมการบริหารพรรคได้แถลงข่าวที่พรรค โดยชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคอ่านแถลงการณ์ ตามด้วยคำแถลงจากพิธา ซึ่งมีการถ่ายทอดสดทางโซเชียลมีเดียของพรรคและสื่อมวลชน เช่น ไทยพีบีเอส และ The Standard

ประเด็นสำคัญในแถลงการณ์คือ พรรคก้าวไกลยืนยันว่าไม่ได้กระทำการล้มล้างหรือเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และยืนยันว่าตัวบทและการบังคับกฎหมายอาญามาตรา 112 นั้นมีปัญหาจริงและควรใช้กลไกของสภาในการหาทางออก

📌 ข้อสรุปโคแฟค: รายงานข่าวของสื่อมวลชนและวิดีโอบันทึกการแถลงข่าวที่เผยแพร่โดยทั่วไปในโซเชียลมีเดีย เป็นหลักฐานว่าพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกลมีการแถลงการณ์หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุบพรรคเมื่อวันที่ 21 ก.พ. 2563 และ 7 ส.ค. 2567 ตามลำดับ ดังนั้นข้อความของ “คำ ผกา” ที่ระบุว่า “ตอนยุบพรรคอนาคตใหม่ ก้าวไกล ก็ไม่เห็นออกแถลงการณ์อะไร…” จึงไม่ตรงกับความเป็นจริง 

สำหรับข้อความในโพสต์ที่ระบุว่าพรรคก้าวไกลลบนโยบายแก้ไขมาตรา 112 ออกจากเว็บไซต์ของพรรคนั้นเป็นความจริง แต่เป็นการนำออกจากเว็บไซต์หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2567 ว่าการกระทำของพิธาและพรรคก้าวไกลในการเสนอแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายหาเสียง เป็นการล้มล้างการปกครองฯ ซึ่งเลขาธิการพรรคก้าวไกลให้สัมภาษณ์ว่านำนโยบายนี้ออกจากเว็บไซต์ของพรรคจริงเนื่องจากฝ่ายกฎหมายเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญระบุในคำวินิจฉัยว่าการที่ยังมีนโยบายนี้อยู่บนเว็บไซต์ถือว่ามีเจตนาต้องการลดทอนการคุ้มครองสถาบันกษัตริย์

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ

คลิปน้ำท่วมใน อ.พิมาย จ.นครราชสีมา เดือน ก.ย. 2568 ถูกนำมาบิดเบือนว่าเป็นเหตุการณ์ปัจจุบัน

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปน้ำท่วมพิมายรอบที่ 4 ในเดือน พ.ย. 2568

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ เป็นคลิปเก่าเมื่อช่วงปลายเดือน ก.ย. 2568**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 15 พ.ย. 2568 บัญชีเฟซบุ๊กชื่อ “Khuek J Bancha” โพสต์คลิปวิดีโอเหตุการณ์น้ำท่วม พร้อมคำบรรยายในคลิปว่า “น้ำมารอบที่ 4 ของเดือนนี้ บ้านตะปัน ต.รังกาใหญ่ อ.พิมาย” คลิปนี้ถูกแชร์มากกว่า 300 ครั้ง (ณ วันที่ 25 พ.ย.) ต่อมาคลิปนี้ยังถูกโพสต์ในเพจเฟซบุ๊ก “มาดามปู Channel” ซึ่งมีผู้ติดตามมากกว่า 65,000 บัญชี

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการค้นหาด้วย Google Lens พบว่าบัญชีติ๊กตอก “mookwifetiger” โพสต์คลิปนี้ตั้งแต่วันที่ 27 ก.ย. 2568 คำบรรยายและแฮชแทกประกอบคลิประบุว่าเป็นเหตุการณ์น้ำท่วมที่ อ.พิมาย จ.นครราชสีมา

ในวันเดียวกัน เพจเฟซบุ๊ก “ข่าวชลบุรีวันนี้” โพสต์คลิปน้ำท่วมในสถานที่เดียวกัน พร้อมคำบรรยายว่า “วันที่ 27 กันยายน 2568 เวลา 06.15 น. ได้เกิดน้ำท่วมฉับพลันในพื้นที่ตำบลรังกาใหญ่ อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา”

เมื่อตรวจสอบเพิ่มเติมโดยนำสถานที่ในคลิปไปค้นหาใน Google Stree View พบว่าสถานที่ประสบอุทกภัยในคลิปอยู่บริเวณทางหลวงหมายเลข 2175 ต.รังกาใหญ่ อ.พิมาย จ.นครราชสีมา จริง

วันที่ 24 พ.ย. โคแฟคสอบถามไปที่เทศบาลตำบลรังกาใหญ่ ได้รับคำยืนยันว่าคลิปดังกล่าวเป็นเหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อวันที่ 27 ก.ย. และสถานการณ์คลี่คลายกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว

รู้เท่าทัน‘มีม’ เมื่อเรื่องตลกออนไลน์อาจเกินเลยไปสู่ความเข้าใจผิดและปั่นกระแสเกลียดชังs

By : บัญชา จันทร์สมบูรณ์

ภาพที่ 1 : ตัวอย่างภาพถ่าย , ฉากในภาพยนตร์ , การ์ตูน ฯลฯ ที่พบเห็นการนำไปใส่ข้อความเป็นมีม

เชื่อว่าหลายคนที่ท่องโลกอินเทอร์เน็ตน่าจะต้องผ่านตากันมาบ้างกับภาพวาดหรือภาพถ่าย ไปจนถึงฉากในภาพยนตร์ ซีรีส์ การ์ตูนแอนิเมชั่น ฯลฯ มาใส่ข้อความที่เอาจริงๆ แล้วก็ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผู้สร้างสรรค์ภาพต้นฉบับตั้งใจทำขึ้นแต่เดิม แต่หลายครั้งกลับกลายเป็นกระแสถูกแชร์กันอย่างแพร่หลายด้วยความรู้สึกว่า มันตลกดี จากผู้พบเห็น กลายเป็นเรื่องสนุกสนานขำขันกันไป 

การทำแบบนี้มีคำเรียกว่า มีม (Meme)” แต่หากจะให้เข้านิยามจริงๆ ควรเจาะจงว่า อินเอร์เน็ตมีม (Internet Meme)” น่าจะตรงกว่า โดยพจนานุกรมฉบับเคมบริดจ์ (Cambridge Dictionary) อธิบายว่า มีม ในความหมายของ อินเตอร์เน็ตและโทรคมนาคม (Internet & Telecoms) หมายถึง ไอเดีย มุกตลก รูปภาพ วิดีโอ ฯลฯ ที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วบนอินเตอร์เน็ต เช่นเดียวกับพจนานุกรมเมอร์เรียม-เวบสเตอร์ (Merriam-Webster) อธิบายว่า หมายถึงสิ่งที่น่าขบขันหรือน่าสนใจ (เช่น รูปภาพหรือวิดีโอพร้อมคำบรรยาย) หรือประเภทของสิ่งที่แพร่กระจายอย่างกว้างขวางทางออนไลน์โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media)

ส่วนในประเทศไทย สำนักงานราชบัณฑิตสภา (หรือราชบัณฑิตสถาน) อธิบายว่า มีม หมายถึง ความคิด ความเชื่อ ภูมิปัญญา และวรรคทองต่าง ๆ ที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตนำมาเลียนแบบ ดัดแปลง สร้างเสริม และแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง อาจเป็นแนวตลกในลักษณะของข้อความ การ์ตูน สัญลักษณ์ คลิปวีดิทัศน์ แอนิเมชั่น (animation) ฯลฯ

ภาพที่ 2 : ริชาร์ด ดอว์กินส์ ผู้ให้กำเนิดคำว่า “มีม” (และภาพของเจ้าตัวก็ยังถูกทำเป็นมีม)

– ที่มาของคำว่า มีม : แม้มีมจะเป็นวัฒนธรรมหรือกระแสยอดนิยมในยุคอินเตอร์เน็ต แต่ต้นกำเนิดของมันมีมาก่อนหน้านั้น ตามข้อมูลของสารานุกรมบริแทนนิกา (Encyclopedia Britannica) ระบุว่า มีม (Meme) มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกคำว่า มิเมมา (Mimema)” แปลว่า เลียนแบบ โดย ริชาร์ด ดอว์กินส์ (Richard Dawkins) นักชีววิทยาชาวอังกฤษ อธิบายเกี่ยวกับมีมไว้ในหนังสือ “The Selfish Gene” อันเป็นผลงานที่ตีพิมพ์ในปี 2519 ว่า มีมเป็นเสมือนคู่ขนานทางวัฒนธรรมกับยีน (Gene) ทางชีววิทยา และมองว่ามีมนั้น คล้ายกับยีนเห็นแก่ตัว คือควบคุมการสืบพันธุ์ของตนเองและสนองความต้องการของตนเอง 

ในแง่นี้ มีมสามารถถ่ายทอดข้อมูล ทำซ้ำ และถ่ายทอดจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้ และพวกมันมีความสามารถในการวิวัฒนาการ กลายพันธุ์แบบสุ่ม และผ่านกระบวนการคัดเลือกตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะมีผลกระทบต่อสมรรถภาพของมนุษย์ (การสืบพันธุ์และการอยู่รอด) หรือไม่ก็ตาม ถึงกระนั้นแนวคิดของมีมส่วนใหญ่ยังคงเป็นเพียงทฤษฎี แนวคิดนี้ยังเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันเนื่องจากแนวคิดเรื่องความเห็นแก่ตัวและการนำแนวคิดไปประยุกต์ใช้กับวิวัฒนาการของวัฒนธรรม ซึ่งเป็นรากฐานของการศึกษาเกี่ยวกับมีม (Memetics)

ภายในวัฒนธรรมหนึ่ง มีมสามารถมีรูปแบบได้หลากหลาย เช่น ความคิด ทักษะ พฤติกรรม วลี หรือแฟชั่นเฉพาะอย่างหนึ่ง การทำซ้ำและการถ่ายทอดมีมเกิดขึ้นเมื่อบุคคลหนึ่งคัดลอกข้อมูลทางวัฒนธรรมที่ประกอบเป็นมีมจากบุคคลอื่น กระบวนการถ่ายทอดส่วนใหญ่ดำเนินการผ่านการสื่อสารด้วยวาจา ภาพ หรืออิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่หนังสือและบทสนทนา ไปจนถึงโทรทัศน์ อีเมล หรืออินอร์เน็ต มีมที่ประสบความสำเร็จในการถูกคัดลอกและส่งต่อมากที่สุดจะกลายเป็นมีมที่แพร่หลายมากที่สุดในวัฒนธรรมนั้น

ส่วนอินเทอร์เน็ตมีมที่เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นของศตวรรษที่ 21 (ปี 2543 – 2642) แพร่กระจายจากคนสู่คนผ่านการเลียนแบบ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมักเกิดขึ้นผ่านอีเมล สื่อสังคมออนไลน์ และเว็บไซต์ประเภทต่างๆ มักอยู่ในรูปแบบรูปภาพ วิดีโอ หรือสื่ออื่นๆ ที่มีข้อมูลทางวัฒนธรรม แต่แทนที่จะกลายพันธุ์แบบสุ่มกลับถูกเปลี่ยนแปลงโดยบุคคลอื่นโดยเจตนา ซึ่งขัดกับแนวคิดดั้งเดิมของดอว์กินส์เกี่ยวกับมีม ทำให้แม้จะมีความคล้ายคลึงกันโดยพื้นฐานกับมีมประเภทอื่นๆ แต่ดอว์กินส์และนักวิชาการบางคนมองว่าอินเตอร์เน็ตมีมเป็นการนำเสนอแนวคิดที่แตกต่างออกไป

ภาพที่ 3 ตัวอย่างมีมเสียดสีการเมือง (หรือมีมตลกที่ใช้ภาพนักการเมืองประกอบ)

– มีมกับการเมือง :: นักการเมืองหรือนโยบายจากฝ่ายการเมือง เป็นอีกส่วนที่มักถูกนำมาทำมีมอยู่เสมอ ทั้งที่เป็นการเสียดสีประชดประชัน (Satire) นักการเมืองหรือนโยบายอย่างตรงไปตรงมา หรือบ้างก็เป็นมีมตลกที่ไม่เกี่ยวกับการเมืองแต่ใช้ภาพอิริยาบถของนักการเมืองมาประกอบคำพูด (แคปชั่น) ที่นักการเมืองนั้นอาจไม่ได้พูด ดังที่เห็นในภาพประกอบนี้ อย่างในประเทศไทย มีการนำภาพของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ไปทำให้คล้ายกับภาพของผู้พันฮาร์แลนด์ แซนเดอร์ ผู้คิดค้นสูตรไก่ทอดเคนตักกี้ (KFC) และทำให้แบรนด์ไก่ทอดนี้โด่งดังจากสหรัฐอเมริกาออกไปมีสาขาทั่วโลก 

หรืออย่างอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ที่มักจะถูกฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองกล่าวโทษว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องร้ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยอยู่เสมอก็มีชาวเน็ตนำภาพของทักษิณมาใส่คำพูดประชดประชัน บอกว่ามีอะไรแย่ๆ เกิดขึ้นให้โทษมาที่ตัวเอง (หมายถึงทักษิณ) ได้เลย แน่นอนว่าไม่มีข้อยืนยันว่าอดีตนายกฯ ทักษิณพูดประโยคตามที่ปรากฏในภาพ แต่ภาพนี้ก็ถูกแชร์อย่างแพร่หลายไม่เฉพาะแต่ในวงสนทนาการเมือง หากยังรวมไปถึงเรื่องทั่วๆ ไปในชีวิตประจำวันที่คนคนหนึ่งอาจใช้มีมนี้แทนการประชดเรื่องที่ตนเองมักจะถูกกล่าวโทษว่าเป็นตัวปัญหาอยู่เสมอ 

หรือในระดับโลกก็มักปรากฏภาพมีมล้อบรรดาชาติมหาอำนาจ อย่างสหรัฐอเมริกา มีมหนึ่งที่พบบ่อยๆ จะเป็นภาพเครื่องบินทิ้งระเบิดบ้าง ภาพทหารบุกจู่โจมอาคารบ้านเรือนบ้างแล้วใส่ข้อความทำนอง ประชาธิปไตยส่งตรงถึงคุณ เสียดสีนโยบายการต่างประเทศของสหรัฐฯ ที่มักทำตัวเป็น ตำรวจโลก บุกเข้าไปในประเทศอื่นๆ อ้างว่าเพื่อจัดระเบียบการปกครองให้เป็นไปตามวิถีประชาธิปไตยของสหรัฐฯ หรืออย่าง สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีน มักจะเห็นภาพมีมที่เทียบกับตัวการ์ตูนอย่าง หมพูห์ (Winnie the Pooh)ขณะที่ภาพซึ่งยกมาเป็นตัวอย่าง มีการพูดถึง Flu หรือไข้หวัด ซึ่งพาดพิงกับการที่ไวรัสโควิด-19 เริ่มระบาดจากประเทศจีน เป็นต้น 

งานวิจัย Psychological Perspectives on Participatory Culture: Core Motives for the Use of Political Internet Memes โดย แอนน์ เลเซอร์ (Anne Leiser) บัณฑิตวิทยาลัยสังคมศาสตร์นานาชาติเบรเมน มหาวิทยาลัยจาคอบส์ เมืองเบรเมน ประเทศเยอรมนี ซึ่งเผยแพร่ในปี 2565 ทำการศึกษาแรงจูงใจของผู้ผลิตและใช้มีมทางการเมือง พบว่า การใช้มีมทางอินเทอร์เน็ตมีแรงจูงใจจากการแสดงออก ความบันเทิง และอัตลักษณ์ทางสังคม รวมถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน 

การศึกษานี้วางตำแหน่งการใช้มีมทางการเมืองในฐานะกิจกรรมทางการเมือง แต่เตือนถึงบทบาทและผลกระทบของมีมต่อระบบประชาธิปไตย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกไม่กล่าวถึงข้อมูลบางส่วน(Exclusionary Practices) การตีความหมายที่ง่ายเกินไปจนอาจทำให้เข้าใจผิด (Oversimplification)และข้อมูลคลาดเคลื่อน (Misinformation)” 

อย่างไรก็ตาม คำถามเกี่ยวกับมีมทางการเมือง การใช้งาน และผู้ใช้งานยังไม่ได้รับคำตอบทั้งหมด การทำความเข้าใจว่าบุคคลมีมุมมองต่อเนื้อหาทางการเมืองอย่างไรเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำความเข้าใจภูมิทัศน์ดิจิทัลร่วมสมัย การวิจัยเพิ่มเติมจำเป็นต้องอธิบายประเด็นเหล่านี้จากมุมมองทางวิชาการและสาขาวิชาที่แตกต่างกัน เพื่อเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับพื้นที่สื่อสารสาธารณะที่ถูกกำกับด้วยเทคโนโลยี (mediated public spaces) วาทกรรมที่ผ่านกระบวนการสื่อสารทางสังคมและการกำหนดความหมายร่วมกัน ( Collectively negotiated discourse) และรูปแบบความเป็นพลเมืองที่ไม่ถูกกำหนดด้วยกรอบเดิมๆ(Unconventional) ทั้งนี้การรวมผู้ใช้เข้ามามีส่วนร่วมในความพยายามนี้ ทั้งจากมุมมองเชิงปฏิบัติและเชิงวิชาการ จะช่วยเสริมสร้างการศึกษาเกี่ยวกับสื่อที่แพร่กระจายได้ (spreadable  media) พลเมือง และวัฒนธรรมแบบมีส่วนร่วม

ขณะที่งานวิจัยเรื่อง “Memeing Politics: Understanding Political Meme Creators, Audiences, and Consequences on Social Media” โดย 2 ผู้วิจัย คือ ออเดรย์ ฮัลเวอร์เซน (Audrey Halversen) จากมหาวิทยาลัยบริคแฮม ยัง (Brigham Young University) และ ไบรอัน อี วีคส์ (Brian E Weeks) จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน (University of Michigan) สหรัฐอเมริกา เผยแพร่ในปี 2566 ศึกษาพฤติกรรมของชาวอเมริกันวัยผู้ใหญ่ที่ออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2563 กับการผลิต (โพสต์) ส่งต่อ (แชร์) และรับมีมผ่านแพลตฟอร์มเฟซบุ๊ก

ซึ่งให้ข้อสรุปว่า ในสภาพแวดล้อมสื่อที่กระจัดกระจายมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าเนื้อหาทางการเมืองรูปแบบใหม่ๆ ที่ถูกปลูกฝังและสร้างขึ้นเพื่อยุคดิจิทัล ส่งผลต่อการรับข้อมูลทางการเมืองของผู้ชมอย่างไร มีมทางการเมืองถือเป็นหนึ่งในเนื้อหาทางการเมืองรูปแบบใหม่เหล่านี้ งานวิจัยฉบับนี้ชี้ให้เห็นว่ามีมถูกใช้โดยผู้ใช้ที่มีระดับความสนใจทางการเมืองที่แตกต่างกันไป ควบคู่ไปกับกิจกรรมทางการเมืองอื่นๆ เพื่อล้อเลียนนักการเมือง และในบางกรณี เพื่อแจ้งข้อมูลและโน้มน้าวผู้อื่น  

นอกจากนี้ ผลวิจัยยังชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างการสัมผัสกับมีมทางการเมืองเกี่ยวข้องกับการแสดงออกทางการเมือง กิจกรรมทางการเมือง และความโกรธแค้นที่มีต่อฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งชี้ให้เห็นว่างานวิจัยในอนาคตควรศึกษาผลกระทบของมีมทางการเมืองเพิ่มเติมอย่างไรก็ตาม คณะผู้วิจัยเสนอให้มีการศึกษาเพิ่มเติมเรื่องมีมทางการเมืองในแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์อื่นๆ นอกเหนือจากเฟซบุ๊ก หรือศึกษาเจาะลึกไปยังมีมแต่ละประเภท (ข้อความล้วน , ข้อความผสมวิดีโอ , วิดีโอล้วน) อีกทั้งย้ำว่างานวิจัยชิ้นนี้ทำการศึกษาเฉพาะในสหรัฐอเมริกา  ซึ่งประเทศอื่นๆ อาจมีบริบทที่แตกต่างกันออกไป

ภาพที่ 4 : (ซ้าย) มีมเปรียบเทียบชาวยิว (ใช้สัญลักษณ์ดาวหกแฉก) ในยุคสมัยที่ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กับผู้ที่เลือกไม่ฉีดวัคซีน , (ขวา) มีมอ้างไวรัสโควิด-19 ถูกสร้างในสหรัฐอเมริกาเพื่อใช้เป็นอาวุธต่อสู้กับจีน และการทาน้ำมันรัสเซีย (ใช้ภาพของ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย) สามารถช่วยป้องกันเชื้อได้ 
ที่มา : Gavi , ASP

– มีมกับปัญหาข้อมูลบิดเบือน : แม้มีมโดยมากจะสื่อสารในเชิงตลกขบขัน แต่หลายครั้งก็เป็นการส่งต่อข้อมูลคลาดเคลื่อน (Misinformation) หรือแม้แต่ข้อมูลบิดเบือน (Disinformation) ทำให้ผู้รับสารหลงเชื่อได้ อาทิ บทความ “How memes became health disinformation super-spreaders”โดย GAVI องค์กรร่วมระหว่างรัฐกับเอกชนในการจัดหาวัคซีนสนับสนุนประเทศยากจน ฉายภาพของมีมที่ทำให้เกิดความเชื่อผิดๆ ด้านสุขภาพ หนึ่งในนั้นคือการเชื่อใน ลัทธิต่อต้านวัคซีน (Anti – Vaccine) โดยระบุว่า ในสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 บรรดา อินฟลูเอนเซอร์ หรือผู้มีบทบาทชี้นำบนโลกออนไลน์ที่เชื่อในลัทธิดังกล่าว ใช้มีมในการเผยแพร่ความเชื่อของตน ดังนี้ 

1.โจมตีรัฐและสถาบันทางสังคม เช่น อ้างว่ารัฐบาลปกครองอย่างกดขี่ มีปัญหาทุจริต ใช้วัคซีนเป็นเครื่องมือควบคุมประชาชนและแสวงหากำไร 2.ให้ภาพ เหยื่อ กับผู้ที่ปฏิเสธการฉีดวัคซีน อาทิ เปรียบเทียบว่าคนที่เลือกไม่ฉีดวัคซีนก็มีชะตากรรมเหมือนกับชาวยิวที่ถูกส่งเข้าค่ายกักกันและฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในช่วงที่พรรคนาซีปกครองประเทศเยอรมนี 3.ให้ภาพ ผู้เข้มแข็งและตื่นรู้ กับผู้ที่ปฏิเสธการฉีดวัคซีน โดยชี้นำว่าผู้ที่เลือกไม่ฉีดวัคซีนมีความแข็งแกร่ง มีเสน่ห์และมีสติปัญญาสูงกว่าผู้ที่เลือกฉีดวัคซีน 

มีมเป็นเครื่องมือเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนที่ทรงพลัง เพราะเปิดโอกาสให้อินฟลูเอนเซอร์สามารถอ้างสิทธิ์ปฏิเสธได้อย่างน่าเชื่อถือ ภายใต้หน้ากากของอารมณ์ขันและการเสียดสี มีมสามารถหลบเลี่ยงการตรวจสอบข้อเท็จจริงและผู้ดูแลเนื้อหาได้ ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการต่อต้านวัคซีนและการรักษาที่ไม่ได้รับอนุญาต

อินฟลูเอนเซอร์ที่ส่งเสริมความลังเลต่อวัคซีนใช้มีมเพื่อสร้างฐานผู้ติดตามออนไลน์ สร้างความไม่ไว้วางใจต่อหน่วยงานสาธารณสุข และแสวงหาผลประโยชน์จากการส่งเสริมยาที่ไม่ได้รับอนุมัติ ซึ่งช่วยให้พวกเขาหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบต่อผลกระทบด้านลบใดๆ ที่เกิดจากข้อความของพวกเขา มีมอาจดูไม่คุกคาม แต่นั่นคือเหตุผลที่พวกมันเป็นผู้เผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนด้านสุขภาพที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง

เช่นเดียวกับบทความ Protecting Yourself from Disinformation in 2020 โดย American Security Project (ASP) องค์กรไม่แสวงหากำไรในสหรัฐฯ ที่ศึกษาประเด็นด้านความมั่นคงของชาติระบุว่า มีมเป็นหนึ่งในวิธีเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนทางออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดย มีมคือรูปภาพหรือภาพถ่ายที่ออกแบบมาเพื่อให้สะดุดตาและก่อให้เกิดปฏิกิริยาทางอารมณ์ ซึ่งโดยปกติจะมีข้อความสั้นๆ ใช้เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้กดถูกใจ (Like) หรือส่งต่อ (Share) เพื่อให้เกิดการแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว 

อย่าทำ (เชื่อ แชร์เว้นแต่คุณจะสามารถยืนยันได้จริงๆ ว่าข้อมูลนั้นถูกต้อง อย่าเชื่อมีมที่มีคำพูดอ้างอิงข้างใบหน้าของบุคคลที่มีชื่อเสียง คำพูดเหล่านี้มักจะไม่ถูกต้องทั้งในแง่ของบริบท การระบุแหล่งที่มา หรือแม้แต่เนื้อหาทั้งหมด ควรศึกษาค้นคว้าเพื่อยืนยันแหล่งที่มาของคำพูดนั้น อนึ่ง เว็บไซต์ที่เป็นแหล่งรวมคำพูดอ้างอิงของบุคคลที่มีชื่อเสียงก็มักให้ข้อมูลและระบุแหล่งที่มาที่ไม่ถูกต้อง ลองค้นหาคำพูดที่คุณพบโดยอ้างอิงจากเว็บไซต์ตรวจสอบข้อเท็จจริง” 

ส่วนมุมมองจากนักวิชาการในไทย ดร.สังกมา สารวัตร อาจารย์คณะเทคโนโลยีสารสนเทศเเละการสื่อสาร มหาวิทยาลัยศิลปากร อธิบายประสิทธิภาพของการสื่อสารผ่านมีมไว้ดังนี้ 1.มีมมีบทบาทสำคัญต่อการเผยแพร่ข้อมูลในลักษณะที่รวดเร็วและมีความเป็นไวรัล (virality) สูง เนื่องจากสามารถถูกส่งต่อหรือแชร์ได้อย่างง่ายดายคุณลักษณะดังกล่าวทำให้มีมกลายเป็นเครื่องมือสื่อสารที่ทรงอิทธิพล อันเนื่องจากถ้อยคำที่กระชับ ผลิตผ่านการสร้างอารมณ์ขัน และการใช้ภาพที่ไม่เคร่งเครียด  สามารถดึงดูดความสนใจของผู้รับสาร  

เช่น การนำเสนอประเด็นสาธารณะหรือนโยบายสาธารณะมาล้อเลียนหรือขบขัน แต่กลับทำให้ผู้รับสารเข้าใจประเด็นได้ง่ายยิ่งขึ้น เช่น เราจะเห็นภาพที่มหาเศรษฐีบิล เกตส์ ถ่ายรูปสายไฟฟ้ายุ่งเหยิงกองเป็นชั้นๆบนเสาไฟฟ้าริมถนนของประเทศไทย เราจะเข้าใจประเด็นที่มีมต้องการจะสื่อทันทีว่ามันสะท้อนความยุ่งวุ่นวาย และไร้ระเบียบ ไร้การจัดการ แต่เมื่อผ่านการนำเสนอของมีม มันทำให้ผู้คนเข้าถึงประเด็นเชิงปัญหาระบบสำธารณูปโภคได้ชัดเจนและสนุกมากขึ้น  

2.สร้าง “ความคิดเห็นสาธารณะ (Public opinion)” ในสังคมขึ้นมาได้  โดยมีมสามารถสร้างกรอบการรับรู้  โหมกระพือเรื่องราวให้น่าสนใจกว่าอหาที่ปรากฏในข่าวรูปแบบทางการ ซึ่งอาจเป็นความคิดเห็นสาธารณะที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม เช่น การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา “การสื่อสารในรูปแบบมีมยังเป็นการเปิดพื้นที่ในเชิงบวก คือ การใช้ความขบขันเข้าเสียดสีเพื่อให้เกิดการรับรู้เนื้อหาสารทางการเมือง (Political Message)” การแสดงความคิด ความเห็นได้อย่างไม่ต้องกังวลผลกระทบทางการเมืองที่จริงจัง   ไม่ว่าจะเป็นการวิจารณ์การเมืองที่ฉ้อฉล ความประพฤติของฝ่ายผู้มีอำนาจที่ใช้อำนาจในทางที่ผิด สถาบันการเมืองที่ไม่อาจวิจารณ์ได้

3.ผู้คนเปิดใจยอมรับเนือหา เนื่องจากมีมสร้างผลกระทบเชิงอารมณ์ความรู้สึก มีมมักถูกสร้างให้เกินจริง สร้างอารมณ์ให้ขึ้นสู่ระดับเหนือจริงเพื่อให้เกิดอารมณ์ขันและน่าติดตาม ผลกระทบในทางบวกจะ หากเนื้อหาในมีมสร้างความเป็นพวกเดียวกันในมิติทางสังคม พฤติกรรม หรือความชื่นชอบในปรากฏการณ์เดียวกันใน “วัฒนธรรมมีม Meme Culture) การสื่อสารจะยกระดับสู่การเป็น “วัฒนธรรมร่วม” ผ่าน Social Media จนเกิดปรากฎไวรัล เช่น หมูเด้ง มีมในรูปแบบวิดีโอสั้น ภาพมีมของหมูเด้งเป็นการสร้างการเชื่อมต่อและเชื่อมโยงอารมณ์ความรู้สึกของผู้คน 

 4.สร้างวัฒนธรรมการมีส่วนร่วม(Participatory Culture) โดยมีมกระตุ้นให้ผู้คนเกิดความรู้สึกสนุกสนาน จนนำไปสู่การมีส่วนร่วมในระดับต่างๆเช่น การแสดงความคิดเห็น การส่งต่อ โดยเฉพาะในยุคที่ทุกคนต่างเป็นผู้ผลิตสื่อได้เอง (User generated content) พวกเขาเข้ามาร่วมสร้างเนื้อหา บางครั้งสามารถสร้างให้เกิดการกระตุ้นขยายสู่ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม เช่น การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม 

แต่อีกด้านหนึ่งก็มี ผลกระทบเชิงลบของมีมที่ต้องระวัง” นั่นคือ อาจก่อให้เกิดการบิดข้อเท็จจริงได้ เช่น ทำให้ประเด็นใหญ่เกินความเป็นจริง มีการสร้างข้อมูลปลอม การกลั่นแกล้งทางออนไลน์(Cyber Bullying) การสร้าง มีมที่เป็นพิษต่อผู้รับสารหรือผู้พบเห็น (Toxic Meme) ปรากฏการณ์ห้องเสียงสะท้อน(Echo Chambers) และการขาดความหลากหลายเชิงประเด็น

“เคยมีการทำงานวิจัยของ Zannettou นักวิชาการเมื่อปี คศ. 2018  (พ.ศ.2561) วิเคราะห์มีม 160ล้านภาพ ทั้งในทวิตเตอร์ (ปัจจุบันคือแพลตฟอร์ม X)  เว็บ Reddit (เว็บบอร์ดสนทนาออนไลน์ คล้ายกับ Pantip ของไทย) เพื่อแยกแยะเนื้อหาของมีม พบว่าส่วนใหญ่เป็นมีมที่มีเนื้อหาทางการเมือง การเหยียดเชื้อชาติ  และยังเป็นแหล่งกระจายมีมที่เป็นพิษออกไปยังสื่อโซเชียลต่างๆ อีกด้วย ในงานวิจัยหลายชิ้นพบการใช้มีมที่สร้างความเกลียดชัง (Hate Meme) โดยกลุ่มการเมืองสุดโต่ง   การสร้างข่าวที่ขาดการตรวจสอบ  การเสียดสีดูหมิ่น การแยกขั้วแบ่งข้าง ( Polarization) เป็นต้น”ดร.สังกมา ยกตัวอย่าง    

นักวิชาการท่านนี้ ฝากคำแนะนำในการรับมือกับวัฒนธรรมมีมไว้ว่า 1.สนับสนุนวัฒนธรรมมีมที่มีคุณภาพและสร้างสรรค์ สนับสนุนให้เกิดการวิเคราะห์เชิงสร้างสรรค์ ลึกซึ้ง โดยหากนำกรอบของ Soren  Kierkegaard นักปรัชญาชาวเดนมาร์กในศตวรรษที่ 19 มาประยุกต์อธิบาย เหมือนเขามองเห็นอนาคตของสื่อออนไลน์ในปัจจุบัน ที่มองว่ามนุษย์มักหลีกเลี่ยงการแสวงหาความหมายที่ลึกซึ้งแต่กลับไปสนใจเพียงความฉาบฉวยที่อยู่ตรงหน้า(immediacy)

ด้วยเหตุนี้ ปัญญาแห่งมวลชน (Wisdom  of Crowds) จะเกิดขึ้นได้ยากเพราะมนุษย์อยู่กับเนื้อหาที่ผิวเผิน ( superficial)  ความเป็นตัวตนที่ไม่ลึกซึ้ง สังคมที่อึกทึกครึกโครม ซึ่งเทียบได้กับความเป็นตัวตนของเราถูกลดเหลือเป็นเพียงเนื้อหา (Content)  ชีวิตคือการโพสต์ แชร์ สร้างมีมมีแต่เสียง (Noise) ภายนอกมารบกวน ทั้งนี้ อาจต้องผ่านการเรียนรู้ หรือการศึกษาทั้งในระบบและนอกระบบ โดยเฉพาะด้านการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล (Digital Literacy) 

2.สร้างการเรียนรู้เรื่องความเป็นส่วนตัว(Privacy) และการรับผิดรับชอบ (Accountability) ต่อการกระทำในการท่องโลกออนไลน์ ให้ความรู้ก่อนจะสร้างมีม หรือแชร์เนื้อหาต่อ เข้าใจกลไกการชะลอการโพสต์ การติดระบบเตือนข้อความที่ไม่เหมาะสม

3.ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงภาคประชาสังคม ช่วยกันแจ้งเตือนเมื่อเจอเนื้อหา/มีม อันตราย ด้วยวิธีการ “Flag harmful” คือ ผู้ใช้ช่วยกัน ระบุ แจ้งเตือน /หรือรายงาน เนื้อหาที่อาจเป็นอันตราย (เช่น Toxic Meme) ผ่านกลไกที่แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์เปิดไว้ให้แจ้ง ขณะเดียวกันก็จัดกิจกรรมสร้างความตระหนักรู้ในพื้นที่ออฟไลน์ เช่น โรงเรียนจัดกิจกรรมเพื่อนเตือนเพื่อนเมื่อพบการแขร์เนื้อหาที่ไม่ปลอดภัยออนไลน์  หรืออย่างกิจกรรมที่โคแฟคทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายเพื่อส่งเสริมให้ภาคประชาชนมีทักษะรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล

และ 4.แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ควรมีบทบาทในการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นเครื่อมือคัดกรองเพื่อลด Flag harmful แต่ยังคงมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น (Freedom of expression) เป็นหลักการสำคัญควบคู่กันไป  มีกลไกหรือระบบทั้งด้านการับฟังความคิดเห็นสะท้อนกลับ  และระบบอัลกอริธึมที่สร้างให้เกิดความหลากหลายทางความคิดมากขึ้น รวมทั้งการมีหลักคำแนะนำการใช้เพื่อออกสู่ประชาชนทั่วไปและเยาวชนอย่างเท่าทันเทคโนโลยี และวัฒนธรรมออนไลน์ที่ก้าวหน้าไปอย่างก้าวกระโดด

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

https://dictionary.cambridge.org/dictionary/english/meme

https://www.merriam-webster.com/dictionary/meme

https://web.facebook.com/photo?fbid=3480081435383260&set=pcb.3480093202048750 (meme : มีม , เพจเฟซบุ๊ก “สำนักงานราชบัณฑิตยสภา” 18 ก.ย. 2563)

https://www.britannica.com/topic/meme (meme , cultural concept : Encyclopedia Britannica)

https://jspp.psychopen.eu/index.php/jspp/article/view/6377/6377.pdf (Psychological Perspectives on Participatory Culture: Core Motives for the Use of Political Internet Memes : JSPP 27 มิ.ย. 2565)

https://journals.sagepub.com/doi/10.1177/20563051231205588 (Memeing Politics: Understanding Political Meme Creators, Audiences, and Consequences on Social Media : Sage Journal 16 ต.ค. 2566)

https://www.gavi.org/vaccineswork/how-memes-transformed-pics-cute-cats-health-disinformation-super-spreaders (How memes became health disinformation super-spreaders : GAVI 13 ก.พ. 2567)

https://www.americansecurityproject.org/protecting-yourself-from-disinformation-in-2020/ (Protecting Yourself from Disinformation in 2020 : ASP 28 ก.พ. 2563)

https://www.researchgate.net/publication/329237247_On_the_Origins_of_Memes_by_Means_of_Fringe_Web_Communitieshttps://www.researchgate.net/publication/329237247_On_the_Origins_of_Memes_by_Means_of_Fringe_Web_Communities (On the Origins of Memes by Means of Fringe Web Communities : Researchgate ตุลาคม 2561)

“โอโซนบำบัด” ยังไม่มีหลักฐานรองรับว่าป้องกันหรือรักษาโรคได้-อย.สหรัฐฯ สั่งห้ามใช้

กองบรรณาธิการโคแฟค

❓ เนื้อหาที่ตรวจสอบ: โอโซนบำบัดช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและรักษาได้สารพัดโรค

❌ ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **ยังไม่มีรายงานทางการแพทย์ที่ระบุว่าโอโซนบำบัดช่วยรักษาหรือป้องกันโรค**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: Ozone therapy หรือการทำโอโซนบำบัดด้วยวิธีการดึงเลือดออกจากผู้ป่วย แล้วนำมาปั่นผสมกับโอโซนก่อนฉีดกลับเข้าไปในร่างกาย กลับมาเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวางบนโซเชียลมีเดียไทยในช่วงต้นเดือน พ.ย. 2568 หลังมีกระแสต่อต้านอินฟลูเอนเซอร์ที่แชร์เนื้อหาเกี่ยวกับสุขภาพแบบผิด ๆ โดยหนึ่งในโพสต์ที่ถูกพูดถึงอย่างมากคือโพสต์เฟซบุ๊กของ “ท๊อป จิรายุส – Topp Jirayut” ที่เข้ารับการทำโอโซนบำบัดในคลินิกชะลอวัยแห่งหนึ่งในเดือน ส.ค. 2568 ในคลิประบุว่าเลือดที่ผ่านการเติมโอโซนแล้วจะมีสีสว่างขึ้น ถือเป็น “เลือดที่มีคุณภาพ” ก่อนนำกลับเข้าสู่ร่างกาย มีประโยชน์ด้าน “การปรับสมดุลภูมิคุ้มกัน, เสริม Brain Health ฟื้นฟูความจำและการทำงานของสมอง”

ภาพจากคลิปวิดีโอที่เผยแพร่ในเฟซบุุีก “ท๊อป จิรายุส – Topp Jirayut” ที่เข้ารับการทำโอโซนบำบัดในคลินิกชะลอวัยแห่งหนึ่งในเดือน ส.ค. 2568 ในคลิประบุว่าเลือดที่ผ่านการเติมโอโซนแล้วจะมีสีสว่างขึ้น ถือเป็น “เลือดที่มีคุณภาพ”

นอกจากนี้ ยังมีโพสต์ของคลินิกเสริมความงามอื่น ๆ ที่โฆษณาว่าการทำโอโซนบำบัดเป็นการ “เติมโอโซนบริสุทธิ์ให้เซลล์ในร่างกายฟื้นฟูสุขภาพได้อย่างล้ำลึก” ต้านอนุมูลอิสระ บรรเทาอาการอ่อนเพลีย ขับสารพิษตกค้างในร่างกาย โดยอ้างว่าเหมาะกับผู้ป่วยโรคมะเร็ง ภูมิแพ้ หอบหืด งูสวัด และอีกสารพัดโรค

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ประกาศห้ามใช้โอโซนในการบำบัดรักษาทุกประเภท โดยระบุว่าโอโซนเป็นแก๊สพิษที่ไม่พบประโยชน์ทางการแพทย์แบบเฉพาะเจาะจง ช่วยเสริม หรือป้องกันโรคที่ทราบแน่ชัด และหากจะใช้โอโซนเพื่อฆ่าเชื้อโรค ก็จำเป็นต้องใช้ในความเข้มข้นระดับมากพอซึ่งสูงเกินกว่ามนุษย์และสัตว์จะทนได้อย่างปลอดภัย

วารสารวิชาการของมหาวิทยาลัยการแพทย์ชาฮิด เบเฮชตี ที่เผยแพร่ในเดือน ก.ย. 2568 รายงานว่ามีเคสหญิงวัย 36 ปี เกิดภาวะแทรกซ้อนและสมองขาดเลือดฉับพลันหลังทำการบำบัดด้วยโอโซน “เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน” เนื่องจากฟองอากาศทะลุผ่านหัวใจเข้าไปอุดตันเส้นเลือดในสมองจนทำให้สมองเสียหาย ส่งผลกระทบด้านความสามารถในการพูด สมาธิ ความจำ และอาการไมเกรนในระยะยาว

นพ. ภาสกร วันชัยจิระบุญ อายุรแพทย์มะเร็งวิทยาและผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา กล่าวกับโคแฟคเมื่อวันที่ 20 พ.ย. 2568 ว่า “ถ้าเราหวังว่าโอโซนนี้จะมาฆ่าเชื้อโรคที่อยู่ในเลือดเรา ตามประกาศของ FDA เองก็บอกว่ามันไม่พอหรอก ถ้าจะใช้มันต้องใช้เยอะมากซึ่ง ณ จุดนั้นเลือดเราก็เป็นพิษไปแล้ว” และอธิบายเพิ่มเติมว่าเลือดที่ถูกเจาะออกมาจากเส้นเลือดดำมีสีคล้ำเข้มเพราะเป็นเลือดที่ใช้ออกซิเจนแล้ว ไม่ได้แปลว่าร่างกายขาดภูมิคุ้มกันหรืออยู่ในสภาวะอ่อนแอ เมื่อเติมโอโซนหรือออกซิเจนกลับเข้าไปเลือดก็จะมีสีสดขึ้นตามปกติ ซึ่งกระบวนการนี้เป็นการฟอกเลือดเช่นเดียวกับการทำงานของปอดในมนุษย์

ส่วนที่มีการอ้างว่าการทำโอโซนบำบัดทำให้รู้สึกสดชื่นหรือแข็งแรงขึ้นทันทีอาจจะเป็น Placebo effect (การเชื่อว่าอาการดีขึ้นหลังได้รับการรักษา แม้ว่าการรักษานั้นจะเป็นยาหลอกหรือไม่มีฤทธิ์ใด ๆ) เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนว่าการทำโอโซนบำบัดมีประโยชน์ในเชิงการรักษาอย่างไรบ้างหรือมีผลออกฤทธิ์ยาวนานแค่ไหน

ขณะนี้แพทยสภาอยู่ระหว่างหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าควรมีการออกระเบียบหรือประกาศเพื่อควบคุมการทำโอโซนบำบัดหรือไม่