ถ้วยกระดาษ’ ใส่เครื่องดื่มร้อน! มีความเสี่ยงเพียงใด?

By : Zhang Taehun

ภาพ 01 : คลิปวิดีโออ้างถ้วยกระดาษที่ใช้ใส่เครื่องดื่มร้อน ผลิตจากขยะรีไซเคิล

ที่มา : https://cofact.org/article/2x9wik3iwe2mg

This is one of the craziest scams in the United States! (นี่คือหนึ่งในเรื่องหลอกลวงที่บ้าคลั่งที่สุดในสหรัฐอเมริกา) เป็นคำบรรยายพาดหัวคลิปวิดีโอหนึ่งที่แชร์กันในสื่อสังคมออนไลน์ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา (บทความนี้เขียนเมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2568) ทั้งที่เป็นภาษาไทยและต่างประเทศ โดยคลิปดังกล่าวได้บรรยายเป็นภาษาอังกฤษว่า หลายคนเชื่อว่าถ้วยกระดาษที่นำมาเป็นภาชนะใส่เครื่องดื่มร้อน (เช่น กาแฟ) ทำจากเยื่อกระดาษบริสุทธิ์ (Clean Pulp) แต่จริงๆ แล้ววัสดุที่ใช้มาจากขยะรีไซเคิล 

เช่น พลาสติก กระดาษ กระดาษแข็งเก่าที่ใช้ในกิจการร้านอาหาร ลังกระดาษในภาคขนส่งสินค้า (Delivery Box) แม้กระทั่งในพื้นที่ฝังกลบขยะ(Landfill) วัสดุเหล่านี้จะถูกรวบรวม ซึ่งจะถูกปกคลุมด้วยละอองน้ำมันและสิ่งสกปรก (Oli Dust and Dirt) โดยคนงานจะคัดแยกขยะแบบลวกๆ แล้วเทรวมลงไปในเครื่องผสมขนาดยักษ์ (Giant Mixer) ซึ่งความร้อนสูงและสารเคมี จะแปรสภาพขยะให้เป็นเยื่อกระดาษสีน้ำตาลเข้ม (Dark Brown Pulp)จากนั้นใช้สารเคมีย้อมให้เป็นสีขาวดูสะอาด แล้วนำไปทำให้เป็นแผ่นกระดาษแล้วเข้ารูปด้วยฟิล์มพลาสติกกันน้ำ

กระบวนการผลิตถ้วยกระดาษจากวัสดุรีไซเคิลมีราคาถูก แต่ผู้บริโภคอาจได้รับอันตราย กล่าวคือ เมื่อใช้ถ้วยชนิดนี้ใส่เครื่องดื่มร้อน ความร้อนจะละลายสารเคมีที่เป็นพิษออกมาปนเปื้อนกับเครื่องดื่มในถ้วย ดังนั้นในขณะที่ดื่มเครื่องดื่มก็จะได้รับสารเคมีและพลาสติกเข้าไปในร่างกายด้วย ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อผู้บริโภคดื่มเครื่องดื่มจากถ้วยชนิดนี้จนหมดแล้วทิ้งแก้วกระดาษเป็นขยะ ก็จะก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมไปอีก 

– ความเสี่ยงจากถ้วยกระดาษ บทความกระดาษบรรจุภัณฑ์สหรับอาหารที่ไม่ได้มาตรฐานอันตรายมากกว่าที่คิด ในวารสารกรมวิทยาศาสตร์บริการ ระบุว่า การปนเปื้อนของสารอันตรายในกระดาษบรรจุภัณฑ์อาหารเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น จากการตกค้างของสารเคมีที่ใช้ในกระบวนผลิตกระดาษ จากกระบวนการพิมพ์บนบรรจุภัณฑ์หรือการใช้หมึกพิมพ์ที่อาจมีโลหะหนักจากสี หรือส่วนผสมอื่นๆ ของหมึกพิมพ์ตกค้างอยู่

รวมถึงบรรจุภัณฑ์ที่หากทำจากกระดาษที่นำกลับมาใช้ใหม่โดยผ่านกระบวนการรีไซเคิลก็ยิ่งมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีสารตกค้างอันตรายปนเปื้อนมากกว่าบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากเยื่อกระดาษใหม่เพราะในกระบวนการผลิตกระดาษไม่สามารถกำจัดสารอันตรายต่างๆ ออกจากกระดาษที่ผ่านการใช้แล้วได้อย่างสมบูรณ์

สารอันตรายที่อาจตกค้างในกระดาษสัมผัสอาหาร หรือกระดาษบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารสามารถแบ่งประเภทเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มสารอนินทรีย์อันตราย ได้แก่ โลหะเป็นพิษที่ออกฤทธิ์เรื้อรังต่อร่างกายหรือหากได้รับในปริมาณสูงอาจส่งผลให้เสียชีวิตอย่างฉับพลัน เช่น ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม และกลุ่มสารอินทรีย์อันตรายที่มีฤทธิ์ก่อมะเร็ง เช่น บิสฟีนอล A พอลีไซคลิก แอโรแมติกไฮโดรคาร์บอน (PAHs) สารกลุ่มพทาเลต สีเอโซ และเบนโซฟีโนน

– มีการกำกับดูแลการผลิตถ้วยกระดาษหรือไม่? :หลายประเทศมีกลไกกำกับดูแล เช่น สหรัฐอเมริกา มีการกำหนดมาตรฐานและกระบวนการทดสอบวัสดุสัมผัสอาหาร (Food Contact) โดยอยู่ในประมวลกฎหมายของรัฐบาลกลาง หมวดที่ 21 ว่าด้วยอาหารและยา (Code of Federal Regulations, Title 21, Food and Drugs,) เช่น มาตรา 176 สารเติมแต่งอาหารทางอ้อม: ส่วนประกอบของกระดาษและกระดาษแข็ง (INDIRECT FOOD ADDITIVES: PAPER AND PAPERBOARD COMPONENTS) มาตรา 177 สารเติมแต่งอาหารทางอ้อม: โพลิเมอร์ (INDIRECT FOOD ADDITIVES: POLYMERS)เป็นต้น , 

สหภาพยุโรป มีกรอบระเบียบข้อบังคับ (EC) เลขที่ 1935/2004 (Framework Regulation (EC) No 1935/2004) ซึ่งมีหลักการสำคัญคือ วัสดุต่างๆ ต้องไม่ 1.ปล่อยองค์ประกอบของวัสดุลงในอาหารในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์2.เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบ รสชาติ และกลิ่นของอาหารในระดับที่ยอมรับไม่ได้ , 

อินเดีย สำนักงานมาตรฐานและความปลอดภัยด้านอาหารแห่งอินเดีย (FSSAI) ออกข้อบังคับว่าด้วยความปลอดภัยและมาตรฐานอาหาร (บรรจุภัณฑ์) 2018 (Food Safety and Standards (Packaging) Regulations, 2018) กล่าวถึงวัสดุต่างๆ เช่น กระดาษแข็ง กระดาษ แก้ว โลหะ พลาสติก วัสดุบรรจุภัณฑ์หลายชั้นที่ใช้สำหรับบรรจุภัณฑ์ผลิตภัณฑ์อาหาร ซึ่งวัสดุใดๆ ที่สัมผัสโดยตรงกับอาหารหรือมีแนวโน้มที่จะสัมผัสอาหารซึ่งใช้ในการบรรจุ ปรุง ปรุง จัดเก็บ ห่อ ขนส่ง และจำหน่ายหรือให้บริการอาหาร จะต้องเป็นวัสดุคุณภาพเกรดอาหาร (Food Grade) , 

ไทย สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ออกมาตรฐาน มอก. 2948 –2562 (กระดาษสัมผัสอาหาร) ระบุว่า กระดาษสัมผัสอาหาร หมายถึงกระดาษ กระดาษแข็ง และภาชนะกระดาษ (จาน ชาม หลอด ถาด ถ้วย กล่อง ถุง) ที่ที่ไม่ใส่สีในเนื้อกระดาษ สำหรับใช้ห่อหุ้มบรรจุ รองรับอาหารทั่วไป และอาหารบรรจุขณะร้อน ทั้งที่สัมผัสและไม่สัมผัสอาหาร โดยตรง ไม่ครอบคลุมกระดาษ กระดาษแข็ง และภาชนะกระดาษที่ใช้กรองของเหลวร้อน (ถุงชา กระดาษกรองกาแฟ) ใช้อุ่นหรือปรุงสุกอาหารในเตาอบหรือไมโครเวฟ แบ่งประเภทกระดาษเป็น 2 ประเภท คือ 1.เยื้อบริสุทธิ์ 100% และ 2.เยื่อเวียนทำใหม่ 

ซี่งในกรณีของเยื่อเวียนทำใหม่ จะต้องไม่ได้ทำจากหรือมีส่วนผสมของกระดาษดังต่อไปนี้ (1) กระดาษซึ่งมีแหล่งที่มาจากสถานพยาบาล เช่น โรงพยาบาล คลินิก (2) กระดาษที่ผสมกับขยะมูลฝอยหรือแยกมาจากขยะมูลฝอย (3) กระดาษกระสอบหรือกระดาษถุงที่ปนเปื้อนสารเคมีหรืออาหาร เช่น ถุงปูนซีเมนต์ (4) กระดาษที่ใช้คลุมหรือหุ้มวัสดุอื่น เช่น กระดาษที่ใช้คลุมเฟอร์นิเจอร์ในระหว่างการซ่อมแซม พ่นสี หรืองานก่อสร้าง (5) กระดาษคาร์บอน กระดาษสำเนาไร้คาร์บอน และกระดาษสำเนาแบบใช้ความร้อน (6) กระดาษอนามัยที่ใช้แล้ว เช่น กระดาษเช็ดหน้า กระดาษเช็ดมือ กระดาษชำระ กระดาษเอนกประสงค์ (7) กระดาษเก่า เช่น จากห้องสมุด จากโรงเรียน จากโรงพิมพ์

สารเคมีในกระบวนการผลิตต้องเป็นชั้นคุณภาพสัมผัสอาหาร (Food Contact Grade) หากมีการใช้วัสดุเคลือบ กรณีเป็นกระดาษสัมผัสอาหารที่มีการเคลือบด้วยพลาสติก พลาสติกที่ใช้ต้องเป็นไปตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่เกี่ยวข้อง หรือกรณีเป็นกระดาษสัมผัสอาหารที่มีการเคลือบด้วยวัสดุอื่นที่ไม่ใช้พลาสติก วัสดุเคลือบที่ใช้ต้องเป็นชั้นคุณภาพสัมผัสอาหาร เช่นเดียวกับหมึกพิมพ์ หากมีการใช้ต้องเป็นระดับชั้นคุณภาพสัมผัสอาหาร และหมึกพิมพ์ต้องไม่สัมผัสกับอาหารโดยตรง 

กระบวนการผลิตต้องได้มาตรฐาน GMP ฉลากต้องระบุชื่อผลิตภัณฑ์ ประเภท แบบ ขนาด ปริมาณบรรจุ มีข้อความ อุณหภูมิสูงสุด ระบุประเภทอาหารที่ใช้หรือห้ามใช้กับกระดาษสัมผัสอาหารนี้ ในการใช้งาน มีข้อความ “ใช้สัมผัสอาหารได้” “ใช้ครั้งเดียว” “ห้ามใช้ซ้ำ” “ห้ามวางใกล้เปลวไฟ” “ห้ามใช้อุ่นหรือปรุงสุกอาหาร” เดือน ปี รหัสรุ่นที่ทำ ชื่อผู้ทำ และประเทศผู้ผลิต เป็นต้น

ภาพที่ 2 : อินโฟกราฟิกโดย สมอ. แนะนำวิธีเลือกซื้อผลิตภัณฑ์กระดาษสัมผัสอาหาร 
ที่มา : https://pr.tisi.go.th/มอก-2948-2562-กระดาษสัมผัสอาหาร/

– ใมโครพลาสติกกับถ้วยกระดาษ : มีงานวิจัยนกล่าวถึงการพบไมโครพลาสติกในถ้วยกระดาษ เช่น หัวข้อ Unveiling the hidden threat of microplastic in paper cups and tea bags: a critical review of their exacerbation and alarming concern in India เผยแพร่ในเว็บไซต์ link.springer.com ฐานข้อมูลงานวิจัย Springer Nature Link เมื่อวันที่ 23 พ.ค. 2568 ทำการศึกษาไมโครพลาสติกในถุงชาและถ้วยกระดาษ ระบุว่า หากบุคคลหนึ่งดื่มชาหรือกาแฟ 3 ถ้วยในถ้วยกระดาษทุกวัน อาจได้รับอนุภาคไมโครพลาสติกมากถึง 75,000 อนุภาค

ทั้งนี้ ไมโครพลาสติกอาจเพิ่มความเสี่ยงทางสุขภาพ เช่น ระบบย่อยอาหาร ระบบไหลเวียนโลหิตระบบประสาท ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบสืบพันธุ์ ระบบทางเดินหายใจ รวมถึงอาจเป็นปัจจัยก่อโรคมะเร็ง อย่างไรก็ตาม คณะผู้วิจัยยอมรับว่าพฤติกรรมด้านสิ่งแวดล้อม ผลกระทบต่อระบบนิเวศ และสุขภาพของอนุภาคไมโครพลาสติกที่ปล่อยออกมาจากถุงชาและถ้วยกระดาษยังคงไม่เป็นที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ จึงคาดหวังให้ดำเนินการตรวจสอบเพิ่มเติมซึ่งความก้าวหน้าทางวิธีการวิเคราะห์และการรายงานผลที่แม่นยำยิ่งขึ้นจะช่วยในการประเมินอันตรายต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมาก

อนึ่ง ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2568 โคแฟคเคยนำเสนอเรื่องราวของงานวิจัยในสหรัฐอเมริกา ว่าด้วยการเคี้ยวหมากฝรั่งเพียง 8 นาที อาจได้รับไมโครพลาสติกหลายพันชิ้น (บทความ ‘เคี้ยวหมากฝรั่ง8นาที.เท่ากับกลืนไมโครพลาสติกหลายพันชิ้น’มีงานวิจัยจริงไหม? และได้บอกอะไรกับเรา?) อย่างไรก็ตาม คณะผู้วิจัยย้ำว่าไม่ต้องการทำให้เกิดความตื่นตระหนก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบว่าไมโครพลาสติกเป็นอันตรายต่อมนุษย์หรือไม่ แต่ต้องการสร้างความตระหนักถึงผลกระทบของไมโครพลาสติกต่อสิ่งแวดล้อม จากการทิ้งหมากฝรั่งที่เคี้ยวแล้วอย่างไม่ถูกวิธี

โดยสรุปแล้ว หากเป็นถ้วยกระดาษที่ผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน ข้อมูล ณ ขณะนี้ยังสามารถใช้บริโภคเครื่องดื่มร้อนได้ ส่วนประเด็นไมโครพลาสติกยังเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาผลกระทบต่อสุขภาพให้ชัดเจนกันต่อไป!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

http://lib3.dss.go.th/fulltext/dss_j/2562_68_211_P26-27.pdf (กระดาษบรรจุภัณฑ์สําหรับอาหารที่ไม่ได้มาตรฐานอันตรายมากกว่าที่คิด : วารสารกรมวิทยาศาสตร์บริการ)

https://www.ecfr.gov/current/title-21/chapter-I/subchapter-B (ฐานข้อมูลประมวลกฎหมายของรัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกา)

https://food.ec.europa.eu/food-safety/chemical-safety/food-contact-materials/legislation_en(Regulation (EC) No 1935/2004 provides a harmonised legal EU framework. : ฐานข้อมูลรัฐสภายุโรป ว่าด้วยความปลอดภัยอาหาร)

https://www.fssai.gov.in/upload/uploadfiles/files/Compendium_Packaging_Labelling_Regulations_28_01_2022.pdf (Food Safety and Standards (Packaging) Regulations, 2018 : FSSAI)

https://hongthaipackaging.com/wp-content/uploads/2023/02/2948_2562.pdf?srsltid=AfmBOorQQ5AzgSjM8mPYgeiSLSfzgsYffg8hwgwtzZVT-4hd2y3kznMa (มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม THAI INDUSTRIAL STANDARD มอก. 2948-2562)

https://link.springer.com/article/10.1007/s42452-025-07121-y (Unveiling the hidden threat of microplastic in paper cups and tea bags: a critical review of their exacerbation and alarming concern in India : Springer Nature Link 23 พ.ค. 2568)

https://blog.cofact.org/report65-68/ (‘เคี้ยวหมากฝรั่ง8นาที.เท่ากับกลืนไมโครพลาสติกหลายพันชิ้น’มีงานวิจัยจริงไหม? และได้บอกอะไรกับเรา?)


คลิปอุบัติเหตุ ฮ.ตำรวจตกที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ถูกนำมาอ้างเท็จว่ากัมพูชายิงเครื่องบินรบไทยร่วง

กองบรรณาธิการโคแฟค

❓ เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปทหารกัมพูชายิงเครื่องบินรบของไทยตก

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ เป็นคลิปอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ของตำรวจไทยตกเมื่อเดือน พ.ค. 68**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 8 ก.ย. 68 บัญชีเฟซบุ๊ก “Lychee Tour” โพสต์คลิปวิดีโอ Reel เป็นภาพไฟไหม้วัตถุบางอย่างบนพื้นหญ้า พร้อมข้อความบรรยายภาษาเขมร ใช้ Google Translate แปลสรุปใจความได้ว่า ผู้โพสต์อ้างว่าเป็นภาพเหตุการณ์ที่กัมพูชายิงเครื่องบินรบของไทยที่ลุกล้ำอธิปไตยกัมพูชาตก 2 ลำ ในเหตุปะทะระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาเมื่อวันที่ 24-28 ก.ค. 68  

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการใช้เครื่องมือ Google Lens ตรวจสอบภาพในคลิปดังกล่าว พบว่าเป็นภาพเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ เบลล์ 212 #2215 ประจำหน่วยบินตำรวจกาญจนบุรี ตกที่ ต.เกาะหลัก อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 68 ทำให้นักบินและช่างเครื่องเสียชีวิตรวม 3 นาย ซึ่งสื่อมวลชนไทยหลายสำนักเผยแพร่ภาพและคลิปวิดีโอเหตุการณ์นี้ เช่น The Nation มติชน และช่อง Ch7HD  

สรุปได้ว่าคลิปนี้เป็นภาพอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตำรวจตกในประเทศไทยตั้งแต่เดือน พ.ค. 68 ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุปะทะไทย-กัมพูชาอย่างสิ้นเชิง 

แม้ว่าไทยกับกัมพูชาจะไม่มีการปะทะทางการทหารนับตั้งแต่ข้อตกลงหยุดยิงที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 68 แต่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียยังคงนำคลิปเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องมาอ้างเท็จว่าเป็นภาพจากเหตุปะทะวันที่ 24-28 ก.ค. 68 อย่างต่อเนื่อง 

#โคแฟค #FactCheck #ไทยกัมพูชา

มองการทำงานตรวจสอบข่าวลวงของหลายองค์กร ในสถานการณ์สู้รบไทย-กัมพูชา 

By : Zhang Taehun

หมายเหตุ : รวบรวมระหว่างวันที่ 24 ก.ค. 2568 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่กัมพูชาเริ่มเปิดฉากโจมตีไทย และกลายเป็นการสู้รบระหว่าง 2 ฝ่าย ไปจนวันที่ 28 ก.ค. 2568 ที่มีการเจรจากันในมาเลเซีย นำไปสู่ข้อตกลงหยุดยิงในเวลา 00.00 น. ของวันที่ 29 ก.ค. 2568

 

ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (ประเทศไทย)

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

(ตรวจสอบทั้งข่าวจริง ข่าวปลอม และข่าวบิดเบือน)

– วันที่ 24 ก.ค. 2568 พบ ข่าวบิดเบือน 1 ข่าวคือ ไทยอุดหนุนเงินให้กัมพูชา สร้างถนน-ปรับปรุงด่านทั้งหมด 4 พันล้านบาท ซึ่งเนื้อหาจริงคือ สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (สพพ.) ได้ดำเนินการจัดหาเงินกู้จาก EXIM BANK สถาบันการเงินเฉพาะกิจภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง 

ในการดำเนินพันธกิจพัฒนาเส้นทางคมนาคมทางบกที่สำคัญในประเทศเพื่อนบ้าน เชื่อมโยงกับภาคธุรกิจไทยโดยเฉพาะผู้ประกอบการท้องถิ่นและประชาชนบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา EXIM BANK จึงให้การสนับสนุนทางการเงินแก่รัฐบาลกัมพูชาจำนวน 1,300 ล้านบาท โดยมีเงื่อนไขให้รัฐบาลกัมพูชานำไปใช้ซื้อสินค้าและว่าจ้างผู้รับเหมาไทยเพื่อพัฒนาทางหลวงหมายเลข 67 จากอัลลองเวงถึงเสียมราฐ ระยะทางยาว 131 กิโลเมตร

(ตรวจสอบกับ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย – EXIM BANK)

– วันที่ 25 ก.ค. 2568 พบทั้งหมด 9 ข่าว แบ่งเป็น

ข่าวปลอม 8 ข่าว คือ 

1.กองทัพกัมพูชา ยิงเครื่องบินรบไทยตกสำเร็จ(ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

2.กองกำลังกัมพูชาควบคุมวัดท่ากระบี่ได้เต็มรูปแบบ ขับไล่ทหารไทยออก (ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

3.บริเวณภูเขาผี ทหารไทยยังคงยิงปะทะเข้ามาในพื้นที่กัมพูชาอย่างต่อเนื่อง ส่วนปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย และบริเวณมุมเบย กัมพูชาควบคุมได้เต็ม 100% แล้ว (ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

4.ทหารไทยเสียชีวิต 40 นาย ถูกจับกุม 30 นาย(ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

5.ทหารไทยเข้ายึดพื้นที่ปราสาทพระวิหารและวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ที่เคยเป็นของไทยได้สำเร็จแล้ว(ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

6.ทหารไทยยอมจำนนต่อรองกับกัมพูชา (ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

7.แม่ทัพอากาศประกาศกร้าว ถ้าเขมรไม่ถอย จะยึดทั้งประเทศ ขอเวลาเพียง 5 นาที จะถล่มกรุงพนมเปญไม่ให้เหลือซาก (ตรวจสอบกับเพจกองทัพอากาศไทย Royal Thai Air Force)

8.กองทัพภาคที่ 2 เปิดระดมทุนช่วยเหลือทหารไทยรบกัมพูชา (ตรวจสอบกับเพจกองทัพภาคที่ 2)

ข่าวจริง 1 ข่าว คือ ทหารไทยไม่ได้โจมตีพื้นที่ปราสาทพระวิหาร (ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

– วันที่ 26 ก.ค. 2568 พบทั้งหมด 5 ข่าว แบ่งเป็น

ข่าวปลอม 2 ข่าว คือ 

1.ไทยยิงขีปนาวุธ 10 ลูก ใส่ลาวในสามเหลี่ยมทองคำ (ตรวจสอบกับเพจกองทัพภาคที่ 2)

2.ทหารนาวิกโยธินเหยียบกับระเบิด ได้รับบาดเจ็บ 4 นาย ในพื้นที่ จ.ตราด หนึ่งในนั้นบาดเจ็บสาหัส (ตรวจสอบกับเพจกองทัพเรือ Royal Thai Navy)

ข่าวจริง 2 ข่าว คือ 

1.กองบัญชาการชายแดน จชต. ประกาศกฎอัยการศึก ในบางพื้นที่ จ.จันทบุรี และ จ.ตราด(ตรวจสอบกับเพจกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด)

2.รัฐบาลอนุมัติเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบชายแดน สูงสุด 1 ล้านบาท (ตรวจสอบกับเพจสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี)

ข่าวบิดเบือน จำนวน 1 ข่าว คือ ประเทศไทยใช้ F-16 โจมตีพลเรือนหลายรายในกัมพูชา ซึ่งทางกองทัพอากาศของไทย ชี้แจงว่า กองทัพอากาศไม่เคยใช้ F-16 โจมตีเป้าหมายพลเรือนในกัมพูชาพร้อมอธิบายดังนี้ (1) ไทยใช้กำลังเฉพาะต่อเป้าหมายทางทหาร : ปฏิบัติการของไทย จำกัดเฉพาะภัยคุกคามทางทหาร ยึดหลัก Self-defense, International Law และ IHL อย่างเคร่งครัด (2)กัมพูชาใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์ ตรวจพบการตั้งฐานยิง BM-21 / ปืนใหญ่ในพื้นที่ชุมชน ใช้ “พลเรือนเป็นโล่กำบัง” (Human Shields) ละเมิดหลักมนุษยธรรมอย่างร้ายแรง

(3) ไทยหลีกเลี่ยงเป้าหมายที่เสี่ยงกระทบพลเรือน แม้มีสิทธิในการตอบโต้แต่ไทยไม่โจมตีเป้าหมายในพื้นที่ชุมชน เพื่อหลีกเลี่ยงความสูญเสียแสดง “ความรับผิดชอบเชิงจริยธรรม” ของทหารอาชีพ (4) ไทยยึดหลักสากล ไม่ตัดสินใจด้วยอารมณ์ ปฏิบัติการทั้งหมด ยึดหลักกฎหมายระหว่างประเทศ – กฎบัตรสหประชาชาติ ไทยใช้เหตุผลและการพิจารณารอบด้าน ไม่ตัดสินใจด้วยอารมณ์ แม้ในภาวะกดดันหรือถูกใส่ร้าย (5) ระบบอาวุธไทยแม่นยำ ต่างจาก BM-21 ไทยใช้อากาศยาน (ถ้ามี) แบบ Precision Strike ควบคุมทิศทาง จำกัดวงการปฏิบัติได้ ต่างจาก BM-21 ของกัมพูชาที่ ควบคุมไม่ได้ ทำพลเรือนเสียชีวิต

(ตรวจสอบกับเพจกองทัพอากาศไทย Royal Thai Air Force)

– วันที่ 27 ก.ค. 2568 พบทั้งหมด 6 ข่าว แบ่งเป็น

ข่าวปลอม 5 ข่าว คือ 

1.วันที่ 26 ก.ค. 2568 มณฑลทหารบกที่ 22 อุบลราชธานีเรียกระดมกำลังพลสำรอง (ตรวจสอบกับเพจกองทัพภาคที่ 2)

2.กองทัพกัมพูชายิง F-16 ไทยตก 1 ลำ (ตรวจสอบกับเพจกองทัพอากาศไทย Royal Thai Air Force)

3.พบลูกกระสุนกองทัพไทยตกในเขต สปป.ลาว บริเวณสามเหลี่ยมมรกต (ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

4.พบการยิงขีปนาวุธ จากประเทศกัมพูชาเข้าสู่ประเทศไทย (ตรวจสอบกับเพจกองทัพภาคที่ 2)

5.กษัตริย์ไทยสั่งยิงปราสาทพระวิหาร (ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

ข่าวจริง 1 ข่าว คือ การรถไฟฯ ประกาศงดเดินขบวนรถไฟไปช่วงสถานีอรัญประเทศ – ด่านพรมแดนบ้านคลองลึก (ตรวจสอบกับเพจทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย)

– วันที่ 28 ก.ค. 2568 พบเป็น ข่าวปลอมทั้งหมด 6 ข่าว คือ 

1.ทบ.ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วประเทศ ตอบโต้เขมร (ตรวจสอบกับเพจทีมโฆษกกองทัพบก)

2.ทหารไทยใช้เครื่องบินปล่อยสารพิษ สังหารพลเมืองกัมพูชา (กระทรวงกลาโหม ชี้แจงว่า เป็นภาพที่สำนักข่าวรอยเตอร์บันทึกไว้ได้ เป็นการดับไฟป่าในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา)

3.ทหารไทยเกือบ 140 นายเสียชีวิตใกล้ปราสาทพระวิหาร (ตรวจสอบกับเพจทีมโฆษกกองทัพบก)

4.แม่ทัพภาค 2 เสียชีวิตแล้ว (ตรวจสอบกับเพจกองทัพภาคที่ 2)

5.กล่าวหารัฐบาลไทยวางระเบิด 7-eleven ของตัวเอง และฆ่าพลเมืองไทย เพื่อโยนความผิดให้รัฐบาล และกองทัพกัมพูชา (กองทัพยก กระทรวงกลาโหม ยืนยันเป็นข่าวปลอม บิดเบือนข้อเท็จจริง

6.ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ประกาศเขตภัยพิบัติสงครามเป็นจังหวัดแรก (เพจสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดสุรินทร์ ชี้แจงว่า ไม่ได้ประกาศเขตภัยพิบัติสงครามเป็นการประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย(ภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังนอกประเทศ))

ทั้งนี้ การทำงานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ จะเน้นการอ้างคำยืนยันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงเป็นหลัก โดยมีข้อสังเกตว่า หากเป็นข่าวบิดเบือนก็จะมีการอธิบายอย่างละเอียดด้วยว่าเนื้อหาที่ถูกต้องเป็นอย่างไร เมื่อเทียบกับกรณีที่ระบุว่าเป็นข่าวจริงหรือข่าวปลอมจะใช้เพียงการสรุปสั้นๆ 

ThaiPBS Verify 

(ตรวจสอบเฉพาะ ข่าวปลอม เท่านั้น) โดยช่วงวันที่ 24-28 ก.ค. 2568 พบทั้งหมด 11 ข่าว แบ่งได้ดังนี้ 

– วันที่ 24 ก.ค. 2568 พบ 2 ข่าว คือ 

1.สื่อกัมพูชาอ้าง ทหารไทยต่อรองขอยอมจำนน” ทบ.ยัน ข่าวปลอม ซึ่งพบว่า มีการนำภาพที่ไม่เกี่ยวข้องมาใช้ประกอบ เช่น ภาพของ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ,   ภาพของทหารพรานของไทย จากเฟซบุ๊กของ ของ “กรกต เกตุแก้ว” อดีตทหารพรานของไทย ซึ่งได้โพสต์ภาพดังกล่าวไว้เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 2568 หรือ 1 เดือนก่อนเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างไทยกับกัมพูชาจะเริ่มขึ้น อีกทั้งยังไม่มีรายละเอียดของข่าว มีเพียงการกล่าวอ้างเพียงเท่านั้น(ค้นหาภาพด้วย Google Lens)

2.โพสต์อ้างกัมพูชายิงเครื่องบิน F-16 ไทยตกสภาพยับเยิน กองทัพอากาศไทยยืนยันแล้ว ไม่เป็นความจริง ซึ่งพบว่า การนำภาพที่ไม่เกี่ยวข้องมาใช้ประกอบ โดยเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 ต.ค. 2561 ที่ฐานทัพ Florennes ประเทศเบลเยียม ในภาพนั้นเป็นซากเครื่องบิน F-16 ซึ่งได้รับความเสียหายอย่างหนักจากอุบัติเหตุไฟไหม้และระเบิดทั้งลำ ขณะกำลังอยู่ระหว่างการซ่อมบำรุง โดยช่างเทคนิคได้เผลอเปิดใช้งานปืน Vulcan ที่ติดตั้งอยู่บนเครื่องบิน F-16 อีกลำซึ่งจอดอยู่ใกล้กัน และเพิ่งได้รับการเติมเชื้อเพลิง ส่งผลให้กระสุนจากปืนพุ่งไปถูกเครื่องบิน F-16 ลำที่เกิดเหตุจนเกิดการระเบิดและไฟไหม้ ทำให้เครื่องบินได้รับความเสียหายทั้งลำ (ค้นหาภาพด้วย Google Lens)

– วันที่ 25 ก.ค. 2568 พบ 1 ข่าว คือ โพสต์ปลอมอ้าง ชาวกัมพูชาแตกตื่นหลังถูกเครื่องบินรบไทยถล่ม ที่แท้คลิปตึก สตง. ถล่ม : คลิป TikTok อ้างชาวกัมพูชาวิ่งหนีเอาชีวิตรอดจากเครื่องบิน F-16 และ JAS 39 Gripen ซึ่งมีผู้เข้าชมกว่า 1.7 ล้านครั้งแต่เมื่อตรวจสอบองค์ประกอบโดยรอบ (เช่น อาคารสิ่งก่อสร้าง) พบว่าเป็นบริเวณตลาดย่านจตุจักร ในพื้นที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย และบรรยากาศที่เหมือนฝุ่นตลบคล้ายอะไรบางอย่างถล่มลงมานั้นเป็นเหตุการณ์ตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งกำลังก่อสร้างอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ถล่มลงมาเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2568 (ค้นหาภาพด้วย Google Lens , เปรียบเทียบกับ Streer View ใน Google Map)

– วันที่ 26 ก.ค. 2568 พบ 3 ข่าว คือ 

1.กรณีแชร์ภาพบ้านเรือนใน สปป.ลาว เสียหายจากเหตุความไม่สงบตามชายแดนไทย กัมพูชา แท้จริงเป็นภาพเหตุเพลิงไหม้ในตลาดแห่งหนึ่งแขวงจำปาสัก : ในวันที่ 26 ก.ค. 2568 มีรายงานข่าวว่า ระหว่างการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา มีกระสุนบางส่วนไปตกในพื้นที่ของ สปป. ลาวด้วย แต่มีปัญหาคือ มีการใช้ภาพอาคารถูกเพลิงไหม้แล้วอ้างว่าเป็นอาคารที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ดังกล่าว ที่สำคัญคือมีสื่อหลักหลายสำนักในไทยเลือกนำภาพดังกล่าวไปใช้ประกอบข่าว 

อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบแล้วกลับพบว่า ภาพที่ถูกอ้างถึงนั้นคือ เพลิงไหม้ร้านมอเตอร์ไซค์ บริเวณตลาดสุขุมา จำปาสัก สปป.ลาว โดยสำนักข่าว Laophattana News ซึ่งเป็นสื่อมวลชนใน สปป.ลาว ระบุว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 03.20 น. ของวันที่ 26 ก.ค. 2568 ส่วนสาเหตุเพลิงยังคงรอการตรวจสอบยืนยันจากหน่วยงานผู้รับผิดชอบ

2.สื่อกัมพูชาลงข่าวปลอม อ้าง ทหารไทยหนี ทิ้งชุด-ศพทหาร” ไว้บนปราสาทตาควาย : โพสต์เฟซบุ๊กของสื่อ “Fresh News Cambodia” ซึ่งเป็นสื่อของกัมพูชา ที่ได้พาดหัวข้อข่าวว่า “Thai Troops Flee, Abandon Gear and Bodies at Ta Krabei”พร้อมภาพประกอบเป็นภาพชุดลายพรางพร้อมป้ายธงชาติไทย แต่เมื่อตรวจสอบแล้วพบเป็นภาพเหตุการณ์เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2568 ที่มีการควบคุมตัวชายต้องสงสัยในพื้นที่บ้านหนองเม็ก อ.กันทรลักณ์ จ.ศรีสะเกษ พร้อมอุปกรณ์ทางทหาร ได้แก่ เสื้อเกราะ, กระเป๋า และหมวกที่มีป้ายธงชาติไทย

นอกจากนั้น ยังได้สอบถามไปที่ พ.ต.อ.พงศ์พิพัฒ เหิมฉลาด ผกก.สภ.บึงมะลู ได้ความว่า ภาพดังกล่าวมาจากกรณีชาวบ้านในพื้นที่แจ้งว่า พบชายสวมเครื่องแบบทหารลักษณะต้องสงสัย ขี่จักรยานยนต์อยู่ในหมู่บ้าน เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการควบคุมตัวมาตรวจสอบ พบว่า เป็นเพียงผู้ที่ต้องการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ และเมื่อตรวจสอบไปยังญาติของผู้ต้องสงสัยดังกล่าว พบว่า ชายรายนี้เป็นเพียงผู้ที่มีสติไม่สมประกอบ ที่รับฟังข่าวความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา แล้วมีความรู้สึกต้องการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่เพียงเท่านั้น ไม่ใช่สายลับของกัมพูชาแต่อย่างใด

3.คลิปอ้าง Thai PBS รายงาน ไทยเตรียมกริพเพนถล่มพนมเปญ มีบัญชีสื่อสังคมออนไลน์หลายบัญชี โพสต์ภาพหรือคลิปวีดีโอของเครื่องบินขับไล่ JAS 39 Gripen  พร้อมข้อความอ้างว่าไทยเตรียมโจมตีกรุงพนมเปญของกัมพูชา โดยอ้างว่าเป็นรายงานจากสำนักข่าว ThaiPBS ซึ่งทาง ThaiPBSได้ออกมายืนยันว่าไม่มีการรายงานข่าวดังกล่าว ขณะที่เมื่อสอบถามไปยังกองทัพอากาศ ได้รับคำชี้แจงว่า คลิปดังกล่าวเป็นคลิปการฝึกซ้อมขับเครื่องบินกริพเพนที่กองบิน 7 จ.สุราษฎร์ธานี เท่านั้น ไม่ได้เป็นคลิปที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน

– วันที่ 27 ก.ค. 2568 พบ 2 ข่าว คือ 

1.ภาพ ทรัมป์ – แพทองธาร” ถูกใช้สร้างข่าวลวงปมขัดแย้งไทย-กัมพูชา : มีสื่อต่างประเทศ นำภาพของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย กับ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ไปประกอบการนำเสนอข่าวเมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2568 โดยอ้างว่า นายกรัฐมนตรีของไทยปฏิเสธข้อเสนอไกล่เกลี่ยจากทั้งสหรัฐฯ และจีน พร้อมเตือนว่า ความขัดแย้งอาจลุกลามเป็นสงครามเต็มรูปแบบ

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นข่าวที่เผยแพร่ในแพลตฟอร์ม X จึงมีผู้เข้าไปช่วยให้ข้อมูลเพิ่มเติมในระบบ Community Notes ว่า แพทองธารหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2568 โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรี 

ซึ่งในเวลาต่อมา วันที่ 26 ก.ค. 2568 ทั้งบัญชีแพลตฟอร์ม X ของกระทรวงการต่างประเทศของไทย และที่เฟซบุ๊กของภูมิธรรม โพสต์ข้อความตรงกันว่า นายภูมิธรรมเป็นผู้สนทนากับทรัมป์ ซึ่งผู้นำสหรัฐฯ ได้เรียกร้องให้ทั้งไทยและกัมพูชาหยุดยิงในทันที ขณะที่รองนายกฯ ของไทยย้ำว่า ไทยเห็นด้วยในหลักการกับการหยุดยิง อย่างไรก็ตาม ไทยต้องการเห็นความตั้งใจจริงจากกัมพูชาในเรื่องนี้

2.คลิปปลอม อ้าง “ไทยปักธงชาติพร้อมยึดฐานบนเขาพระวิหารได้สำเร็จ” ผู้ใช้บัญชี TikTok รายหนึ่ง โพสต์คลิปพร้อมระบุข้อความ “ธงไทยถูกปักบนเขาพระวิหารอีกครั้งปี 68 และ ไทยยึดฐานบนเขาพระวิหารได้สำเร็จ” อย่างไรก็ตาม พื้นที่ดังกล่าวจริงๆ แล้ว เขาอกทะลุ ซึ่งอยู่ใน จ.พัทลุง (ใช้การค้นหาด้วย Google Lens และเปรียบเทียบกับภาพของ Google Map)

– วันที่ 28 ก.ค. 2568 พบ 3 ข่าว คือ 

1.เพจกัมพูชาโพสต์ข่าวปลอม อ้างทหารไทยเสียชีวิต 140 คนใกล้เขาพระวิหาร : มีเพจเฟซบุ๊กที่เนื้อหาส่วนใหญ่นำเสนอเกี่ยวกับข่าวสารด้านการทหารของกัมพูชา โพสต์ข้อความเป็นภาษาเขมร แปลได้ว่า “รวมแล้วตั้งแต่ตี 2 ถึงเช้าตรู่เสียชีวิตเกือบ 140 คน ใกล้วัดพระวิหาร ขอให้พาผีกลับบ้านกันให้หมด เพราะอยากได้แผ่นดินเขมรมากเกินไป“พร้อมกับภาพศพหลายศพที่ถูกห่อไว้ 

อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบแล้วก็พบว่า ภาพที่ถูกอ้างถึงนั้นเป็นภาพที่ทหารไทยส่งคืนศพทหารกัมพูชา 12 นาย ที่เสียชีวิตจากเหตุปะทะที่ภูมะเขือ ให้เจ้าหน้าที่กัมพูชาบริเวณด่านช่องสะงำ ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ นำไปประกอบพิธีทางศาสนา เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 27 ก.ค. 2568 (ค้นหาภาพด้วย Google Lens)

ซึ่งศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพบก โดยทีมโฆษกกองทัพบก อธิบายถึงการส่งศพทหารกัมพูชาในครั้งนี้ว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามหลักมนุษยธรรมสากล และถือเป็นการให้เกียรติแก่ทหารที่เสียชีวิตในสมรภูมิ ไม่ว่าจะสังกัดฝ่ายใด สะท้อนถึงจิตวิญญาณของความเป็นทหารที่มีเกียรติและศักดิ์ศรี ซึ่งเข้าใจถึงหัวอกของผู้ปฏิบัติหน้าที่ในสถานการณ์ความขัดแย้ง ซึ่งล้วนปฏิบัติหน้าที่ตามบทบาทเพื่อประเทศของตน

2.คลิปปลอมสงครามไทย-กัมพูชา ที่จริงคือรัสเซียโจมตียูเครน :พบบัญชีแพลตฟอร์ม X แชร์คลิปวิดีโอภาพเหตุการณ์เมืองโดนระเบิด พร้อมข้อความที่กล่าวถึงเหตุการณ์ความไม่สงบไทย – กัมพูชา ว่า ประเทศไทยเปิดฉากโจมตีทางอากาศต่อฐานทัพทหารกัมพูชา แต่เมื่อตรวจสอบกลับพบว่าเป็นเหตุการณ์สงครามรัสเซีย – ยูเครน โดยเป็นคลิปที่ฝ่ายรัสเซียใช้ขีปนาวุธและโดรนโจมตีกรุงเคียฟเมืองหลวงของยูเครน เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 2568 (ใช้โปรแกรม InVID-WeVerify แยกเฟรมแต่ละภาพ แล้วนำไปค้นหาด้วย Google Lens)

3.เพจที่ใช้ชื่อ “สถานทูตกัมพูชา” ลงภาพอ้างไทยใช้อาวุธเคมี แท้จริงเป็นภาพเหตุการณ์ดับไฟป่าที่สหรัฐฯ : เพจที่ใช้ชื่อ “สถานทูตกัมพูชาในบัลแกเรีย” โพสต์ภาพเครื่องบินโปรยสารสีชมพู กล่าวหาว่าไทยใช้อาวุธเคมีสังหารพลเรือน แต่เมื่อตรวจสอบแล้ว ภาพดังกล่าวมาจากเหตุการณ์เครื่องบินกำลังปล่อย “สารหน่วงไฟสีชมพู” (Pink Fire Retardant) เพื่อช่วยดับไฟป่าที่กำลังลุกไหม้จนสร้างความเสียหายในสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2568 (ค้นหาภาพด้วย Google Lens)

สำหรับข้อสังเกตต่อ ThaiPBS Verify คือแม้จะเพิ่งก่อตั้งได้ไม่นานนัก แต่จุดแข็งอยู่ที่การเป็นส่วนขยายออกมาจากการเป็นสำนักข่าวขนาดใหญ่ ทำให้เข้าถึงแหล่งข่าวที่เป็นผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นได้ รวมถึงมีเครือข่ายช่วยตรวจสอบกรณีเป็นเหตุการณ์ในต่างประเทศ นอกจากนั้นยังอธิบายถึงกระบวนการตรวจสอบ เช่น การใช้เครื่องมือ Google Lens ในการตรวจสอบภาพจากคลิปวีดีโอที่แชร์ต่อกันมา ว่าเป็นเหตุการณ์ที่ใด เวลาใด เกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่อ้างถึงในเนื้อข่าวหรือไม่ 

AFP Fact Check

พบว่า ตั้งแต่วันที่ 24 – 28 ก.ค. 2568 มีการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับการสู้รบระหว่างไทย –กัมพูชา เป็นรายงาน 1 ข่าว คือ Clip shows flood defence in northern Thailand, not border wall with Cambodia เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568 โดยมีคลิปวีดีโอเผยแพร่ผ่านแพลตฟอร์ม TikTok บรรยายเป็นภาษาเขมร ระบุว่า ไทยสร้างกำแพงตามแนวชายแดนที่เชื่อมต่อกับกัมพูชา ซึ่งเป็นคลิปที่เผยแพร่มาตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค. 2568 

ภาพในคลิปดังกล่าวปรากฏชายหลายคนที่สวมเสื้อสีเขียวสกรีนข้อความเป็นภาษาไทยว่า “กองทัพบก” อย่างไรก็ตาม เมื่อนำภาพไปค้นหาแบบย้อนกลับ พบว่าคลิปนี้เคยถูกโพสต์ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2568 และมีคำบรรยายเป็นภาษาไทย ระบุว่า ทหารช่างจาก จ.ราชบุรี กำลังวางเสาเข็มและใส่แผ่นคอนกรีต และในคลิปได้เล่าว่าเป็นการสร้างเขื่อนกั้นน้ำท่วมที่ จ.เชียงราย ในพื้นที่ชายแดนที่ติดกับประเทศเมียนมา ไม่ใช่กัมพูชาแต่อย่างใด  

อีกทั้งยังตรวจสอบอาคารที่ปรากฏในคลิปดังกล่าว แล้วไปตรงรับรายงานข่าวของสำนักข่าว NBT เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2568 ว่าผู้บัญชาการทหารบกของไทย ลงพื้นที่ติดตามการก่อสร้างพนังกั้นน้ำและตรวจเยี่ยมกำลังพลในพื้นที่ จ.เชียงราย จากนั้นในวันที่ 21 ก.ค. 2568 ยังมีรายงานจากสำนักข่าว ThaiPBS ที่เผยแพร่ภาพในพื้นที่เดียวกัน ระบุว่า พนังกั้นน้ำในพื้นที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย คืบหน้ากว่าร้อยละ 90 

สำหรับการตรวจสอบข้อมูลโดย AFP Fact Check ซึ่งเป็นส่วนขยายจากสำนักข่าว AFP ของฝรั่งเศส มีการอธิบายกระบวนการตรวจสอบโดยใช้เครื่องมือดิจิทัล คล้ายกับของ ThaiPBS Verify

โคแฟค (ประเทศไทย

ในช่วงวันที่ 24 – 28 ก.ค. 2568 ซึ่งตรวจสอบทั้งข่าวจริง ข่าวปลอม ข่าวบิดเบือนและคลาดเคลื่อน พบจำนวน 11 ข่าว ดังนี้ 

– วันที่ 24 ก.ค.2568 พบทั้งหมด 5 ข่าว แบ่งเป็น 

ข่าวปลอม 2 ข่าว คือ 

1.คลิป F-16 ทิ้งระเบิดกองบัญชาการกัมพูชา : วันที่ 24 ก.ค. 2568 เวลา 12.54 น. ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์คลิปวิดีโอเป็นภาพเครื่องบินทิ้งระเบิด พร้อมข้อความบรรยายว่า “ด่วน! F-16 ทิ้งบอมบ์ 2 กองบัญชาการกัมพูชา กระเจิง หลังยิงปืนใหญ่ใส่บ้านเรือนคนไทย…” โคแฟคตรวจสอบด้วยการนำภาพจากวิดีโอไปสืบค้นด้วยเครื่องมือ Google Reverse Image (หรือ Google Lens) พบเป็นคลิปที่ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์มานานหลายปีก่อนเหตุการณ์ปะทะระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาในวันดังกล่าว โดยคลิปนี้ถูกแชร์กันอย่างแพร่หลายในบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ที่ใช้ภาษาอาหรับ มีการอ้างอิงว่าเป็นภาพจากเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย เช่น การสู้รบระหว่างอินเดีย –ปากีสถาน และการทิ้งระเบิดในประเทศซูดาน อย่างไรก็ตาม โคแฟคยังไม่สามารถตรวจสอบได้คลิปนี้เป็นภาพเหตุการณ์ใด ที่ไหน หรือเป็นภาพที่สร้างจากเอไอหรือไม่

2.คลิปชาวกัมพูชานับแสนรวมตัวขับไล่ฮุน เซน :วันที่ 24 ก.ค. 2568 เวลา 18.17 น. ผู้ใช้เฟซบุ๊กโพสต์วิดีโอภาพเหตุการณ์ขณะฝูงชนพยายามดันประตูและขว้างปาสิ่งของใส่เจ้าหน้าที่โดยใส่ข้อความบรรยายว่าชาวเขมรนับแสนคนชุมนุมขับไล่สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา แต่คลิปนี้เคยถูกนำมาอ้างเท็จแบบเดียวกันนี้มาแล้วครั้งหนึ่งช่วงต้นเดือน มิ.ย. 2568 

โดยโคแฟคและ AFP Fact Checkตรวจสอบแล้วพบว่าคลิปนี้ถูกโพสต์ในติ๊กตอกตั้งแต่วันที่ 26 พ.ค. 2568 ซึ่งเจ้าของโพสต์ระบุว่าเป็นเหตุการณ์ที่สนามกีฬา Gelora Bandung Lautan Api Stadium ในเมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย โดยรายงานข่าวท้องถิ่นระบุว่าเกิดเหตุแฟนฟุตบอลทีม Persib Bandung ที่ไม่มีบัตรพยายามจะพังประตูเข้าไปชมการแข่งขันฟุตบอลนัดชิงชนะเลิศระหว่างสโมสรท้องถิ่นสองทีมเมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2568

ข่าวจริง 2 ข่าว คือ 

1.คลิป “ยิง รพ.พนมดงรัก” จ.สุรินทร์ : วันที่ 24 ก.ค. 2568 เวลา 12.09 น. เพจเฟซบุ๊ก “แนวหน้า มั่นคง” โพสต์คลิปภาพทหารหมอบหาที่กำบังในอาคาร ขณะที่ด้านนอกมีกลุ่มควันพวยพุ่ง เขียนคำบรรยายเหตุการณ์ว่า กระสุน BM-21 ตกใส่บริเวณด้านหน้าโรงพยาบาลพนมดงรัก อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์

โคแฟคตรวจสอบกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุรินทร์ เจ้าหน้าที่ยืนยันว่ามีกระสุนจากเหตุปะทะที่ชายแดนไทย-กัมพูชาตกบริเวณ รพ. จริง ขณะนี้ผู้บริหารกำลังประชุมสรุปเหตุการณ์และมาตรการที่จำเป็น ขณะที่ภาคีเครือข่ายโคแฟคที่เป็นเจ้าหน้าที่ รพ. พนมดงรัก ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่ามีลูกปืนตกบริเวณฐานพระพุทธรูปด้านหน้า รพ. และมีทหารได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิด

นอกจากนั้น เพจเฟซบุ๊ก กระทรวงสาธารณสุข โพสต์ข้อความเมื่อเวลา 9.34 น. วันนี้ว่า “จากเหตุปะทะบริเวณปราสาทตาเมือนธม สถานบริการของ สธ. เริ่มปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุ โดย รพ.พนมดงรักได้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกจาก รพ. หมดแล้ว” รวมถึงเว็บไซต์ข่าวสาธารณสุข Hfocus รายงานคำพูดของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุขว่า รพ.พนมดงรัก มีขนาด 30 เตียง ได้ย้ายผู้ป่วย ไป รพ. อื่น 19 ราย และให้กลับบ้าน 19 ราย

2.คลิปกระสุนตกบริเวณปั๊ม ปตท. บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ : วันที่ 24 ก.ค. 2568 เวลา 11.19 น. ผู้ใช้เฟซบุ๊กโพสต์คลิปภาพกลุ่มควันพวยพุ่งบริเวณปั๊มน้ำมัน ปตท. บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ โดยบรรยายว่าเป็นภาพจุดที่ได้รับความเสียหายจากเหตุปะทะที่ชายแดนไทยกัมพูชาซึ่งโคแฟคตรวจสอบจากการรายงานของสื่อมวลชนและเฟซบุ๊กกองทัพภาคที่ 2 พบว่าคลิปดังกล่าวเป็นภาพเหตุการณ์จริง โดยกองทัพภาคที่ 2 โพสต์คลิปเมื่อเวลา 11.29 น. ว่ากระสุน BM21 ตกใส่ปั๊ม ปตท. บ้านผือ มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก

อนึ่ง ปั๊มน้ำมัน ปตท.ที่เกิดเหตุตั้งอยู่บริเวณรอยต่อพื้นที่บ้านผือและบ้านน้ำเย็น คนในพื้นที่จึงเรียกทั้งสาขาบ้านผือและบ้านน้ำเย็น แต่หากเช็กใน Google Map จะระบุว่าเป็นบ้านน้ำเย็น

ข่าวบิดเบือน 1 ข่าว คือ คลิปทหารกัมพูชาไล่ยิงนักศึกษาใน จ.สุรินทร์ ช่วงบ่ายวันที่ 24 ก.ค. 2568 มีผู้ใช้ติ๊กตอกโพสต์คลิปวิดีโอนักเรียนวิ่งหนีและส่งเสียงร้องด้วยความตกใจและหวาดกลัว โดยฝังคำบรรยายว่า “เขมรบุกเข้ามาไล่ยิงในพื้นที่ของนักศึกษาแล้ว” ซึ่งโคแฟคตรวจสอบเครื่องแบบนักเรียนในคลิปพบว่าเป็นเครื่องแบบของนักศึกษาวิทยาลัยการอาชีพสังขะ อ.สังขะ จ.สุรินทร์ จึงได้ติดต่อสอบถามข้อมูลจากวิทยาลัย เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าไม่มีเหตุการณ์ที่คนเขมรเข้ามาก่อเหตุตามที่คลิปกล่าวอ้าง ส่วนภาพในคลิปเป็นเหตุการณ์ที่นักศึกษาของวิทยาลัยตกใจเสียงปืนช่วงสายวันที่ 24 ก.ค. 2568 จึงวิ่งหาที่หลบภัย

นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าวิทยาลัยได้สั่งปิดสถานศึกษาระหว่างวันที่ 24 ก.ค.- 1 ส.ค. 2568 เนื่องจากเหตุความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของนักเรียน นักศึกษา ครูและบุคลากร

– วันที่ 25 ก.ค. 2568 พบทั้งหมด 4  ข่าว แบ่งเป็น 

ข่าวปลอม 2 ข่าว คือ 

1.ทหารไทยยึดพื้นที่ปราสาทพระวิหาร : ช่วงสายของวันที่ 25 ก.ค. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “Army Military Force – สำรอง” โพสต์ข้อความว่า “ด่วน! เวลา 09.25 น. ทหารไทยเข้ายึดพื้นที่ปราสาทพระวิหารและวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระที่เคยเป็นของไทยได้สำเร็จแล้ว…” ซึ่งต่อมา สรยุทธ สุทัศนะจินดา ได้นำไปรายงานในรายการ “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” ที่เผยแพร่ทางช่องยูทูบ

เวลา 10.30 น. กองทัพบกชี้แจงว่าเนื้อหาดังกล่าว #ไม่เป็นความจริง โดยได้โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก กองทัพบก Royal Thai Army ว่า “เป็นข่าวปลอม อย่าหลงเชื่อ” ซึ่งแม้ทางกองทัพบกจะออกมาปฏิเสธข่าว และเพจต้นทางก็ได้ลบเนื้อหาออกแล้ว แต่โคแฟคพบว่าในติ๊กตอกยังมีการแชร์เนื้อหาเท็จนี้อย่างกว้างขวาง โดยบางโพสต์ได้ตัดต่อคลิปจากรายการ “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” มาเผยแพร่

2.สั่งอพยพประชาชน จ.อุบลราชธานี และจังหวัดอื่นที่อยู่ในระยะ 130 กม. จากชายแดนไทย-กัมพูชา: ช่วงค่ำวันที่ 25 ก.ค. 2568 ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ข้อความ “เตือนภัย” อ้างว่ากัมพูชาเตรียมโจมตีไทยด้วยอาวุธที่สามารถยิงไกลได้ถึง 130 กม. ขอให้ประชาชนใน จ.อุบลราชธานีและจังหวัดอื่นที่อยู่ในระยะ 130 กม. จากชายแดนอพยพด่วน

โคแฟคตรวจสอบกับว่าที่พันตรี อดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีเมื่อเวลา 23.30 น. ได้รับคำยืนยันว่าตั้งแต่ช่วงค่ำจนถึงขณะนี้ทางจังหวัดไม่ได้มีคำสั่งให้อพยพด่วน สำหรับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยใน 2 อำเภอ คือ อำเภอน้ำยืนและอำเภอน้ำขุ่น ซึ่งอยู่ในระยะ 70-80 กม. จากชายแดน ได้อพยพไปอยู่ในที่ปลอดภัยก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นไปตามการประสานงานระหว่างทางจังหวัดและกองทัพ

โคแฟคตรวจสอบเพิ่มเติมกรณีที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียจำนวนมากอ้างถึงอาวุธของกัมพูชาที่สามารถยิงระยะไกลได้ถึง 130 กม. พบว่ามีที่มาจาก พล.ท. พงศกร รอดชมภู อดีตรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่กล่าวในรายการ “คนดังนั่งเคลียร์” ทางช่อง 8 เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568 ว่ากัมพูชามีจรวดหลายลำกล้องจากจีนชื่อ PHL03 ทั้งหมด 6 ชุด ซึ่งยิงได้ไกล 70-130 กม. สามารถเข้ามาถึงตัวเมืองและสร้างความเสียหายได้มาก ทั้งนี้ พล.ท.พงศกร ไม่ได้ระบุที่มาของข้อมูล

อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่เกิดเหตุปะทะเมื่อวันที่ 24 ก.ค. เพจทางการของกองทัพบกและกองทัพภาคที่ 2 ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์สู้รบไทย-กัมพูชา ยังไม่เคยกล่าวถึงอาวุธชนิดนี้ ในโพสต์เตือนภัยของกองทัพภาคที่ 2 เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2568 กล่าวถึงอาวุธยิงไกลที่กัมพูชาใช้ ได้แก่ จรวดหลายลำกล้อง BM-21 (ยิงได้ไกล 20 กม.) PHL-81 และ Type-90 B (ยิงได้ไกล 40 กม.)

หมายเหตุ : ในเวลาต่อมา วันที่ 26 ก.ค. 2568 เวลาประมาณ 10.00 น. เพจเฟซบุ๊กกองทัพภาคที่ 2 โพสต์ข้อมูลเกี่ยวกับขีปนาวุธ PHL-03 ระบุว่า “เป็นระบบขีปนาวุธที่มีความสามารถในการยิงหลายลูกพร้อมกันในระยะทางไกลถึง 130 กิโลเมตรจากตำแหน่งยิง ขีปนาวุธชนิดนี้สามารถทำลายที่หมายทางยุทธศาสตร์ และที่ตั้งกำลังทางทหาร ซึ่งกองทัพได้เตรียมการรองรับสถานการณ์ ในการปฏิบัติตามแผนพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลังและมีเครื่องมือในการทำลายขีปนาวุธชนิดนี้ แต่เพื่อไม่ประมาทในการป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของพลเรือน ขอให้ระมัดระวังการถูกโจมตีที่ไม่พึงประสงค์นี้ ขอให้ประชาชนไม่ตื่นตระหนก และติดตามการแจ้งเตือนจากทางการ”

ข่าวบิดเบือน 2 ข่าว คือ  

1.องค์กร-หน่วยงานในไทยปลดธงชาติกัมพูชาจากกลุ่มธงประเทศอาเซียน : 25 ก.ค. 2568 ผู้ใช้ติ๊กตอกหลายรายโพสต์คลิปวิดีโอชายคนหนึ่งกำลังลดธงชาติกัมพูชาลงจากเสาธง บางโพสต์ระบุว่าเป็นเหตุการณ์ที่สวนนงนุช อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี บางโพสต์เขียนคำบรรยายว่า “ตามหน่วยงาน องค์กร ลดธงชาติกัมพูชาลงจากเสาในบรรดากลุ่มธงชาติประเทศอาเซียน” เป็นสัญลักษณ์ว่าไทยตัดความสัมพันธ์กับกัมพูชาอย่างถาวร

โคแฟคโทรศัพท์สอบถามไปยังสวนนงนุช พนักงานให้ข้อมูลว่าภาพในคลิปเป็นกลุ่มเสาธงนานาชาติที่อยู่ด้านหน้าศูนย์ประชุมนานาชาตินงนุชพัทยาจริง แต่คลิปลดธงกัมพูชาที่มีการแชร์กันอย่างแพร่หลายนั้น ไม่ได้มาจากบัญชีโซเชียลมีเดียทางการของสวนนงนุช ซึ่งผู้บริหารกำลังตรวจสอบเหตุการณ์ในคลิป การบันทึกภาพและการเผยแพร่

นอกจากนั้น โคแฟคตรวจสอบเพิ่มเติมกับกระทรวงการต่างประเทศ เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าทางราชการไม่มีคำสั่งเรื่องการลดธง ซึ่งการลดธงไทยและธงอาเซียนมีกฎหมายและระเบียบกำกับ เช่น การลดธงในกรณีไว้อาลัย และทางการไทยไม่เคยมีคำสั่งเกี่ยวกับการลดธงของประเทศอื่น

2.คลิปชาวกรุงบรัสเซลล์บรรเลงเพลงชาติไทย ให้กำลังใจคนไทยในความขัดแย้งไทย-กัมพูชา :วันที่ 25 ก.ค. 2568 ผู้ใช้ติ๊กตอกและเฟซบุ๊กหลายรายโพสต์คลิปวิดีโอที่มีเสียงบรรเลงเพลงชาติไทย อ้างว่าชาวชาวกรุงบรัสเซลส์บรรเลงเพลงชาติไทยเพื่อส่งกำลังใจให้คนไทยในช่วงที่เผชิญความขัดแย้งกับกัมพูชา บางคลิปถูกแชร์ไปมากกว่า 3 หมื่นครั้ง ซึ่งโคแฟคตรวจสอบคลิปวิดีโอดังกล่าว พบว่าเป็นภาพที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียบันทึกในพิธีมอบชุด “ยิงกระต่าย เด็ดดอกไม้. แก่รูปปั้นเด็กฉี่ (Manneken Pis) ใจกลางกรุงบรัสเซลส์ ที่มีผู้เผยแพร่ในโซเชียลมีเดียตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค. 2568

เพจเฟซบุ๊กสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ โพสต์ภาพบรรยากาศและพิธีมอบชุดไทยแก่รูปปั้นเด็กซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2568 ว่า “…มีการเคลื่อนขบวนเพื่อไปมอบชุดแก่ Manneken Pis โดยได้รับเกียรติจากวงดุริยางค์แห่งกระทรวงการคลัง กรมศุลกากร ราชอาณาจักรเบลเยียม บรรเลงบทเพลงอันทรงเกียรติ ได้แก่ เพลงชาติไทย เพลงชาติเบลเยียม และเพลงมหาฤกษ์ บริเวณกลาง Grand Place ก่อนเคลื่อนขบวนท่ามกลางผู้คนและนักท่องเที่ยวที่มาร่วมชมขบวนแห่กันอย่างคับคั่ง” พร้อมกับเผยแพร่คลิปการบรรเลงเพลงชาติไทยของวงดุริยางค์ ซึ่งมีภาพและเสียงใกล้เคียงกับคลิปที่ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นการบรรเลงเพลงชาติให้กำลังใจคนไทย

– วันที่ 28 ก.ค. 2568 : พบ 2 ข่าว แบ่งเป็น 

ข่าวคลาดเคลื่อน 1 ข่าว คือ ผู้ว่าสุรินทร์ประกาศเขตภัยพิบัติสงคราม โดยเมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2568 สื่อมวลชนหลายสำนักรายงานว่านายชำนาญ ชื่นตา ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ประกาศให้จังหวัดสุรินทร์เป็น “เขตภัยพิบัติสงคราม” เพื่อให้การอนุมัติงบประมาณและการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาเป็นไปอย่างรวดเร็ว

ขณะที่เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลรายงานว่านายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าขณะนี้รัฐบาลได้รับแจ้งว่าผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ “ได้ลงนามในประกาศประกาศเขตภัยพิบัติสงครามแล้ว ซึ่งเป็นยกระดับเทียบเท่าน้ำท่วม-แผ่นดินไหว”

เวลา 11.20 น. นายชำนาญได้แถลงข่าวชี้แจงว่าเป็นการใช้ถ้อยคำที่คลาดเคลื่อนของสื่อมวลชนบางสำนัก ในประกาศของจังหวัดที่เกี่ยวข้องกับการให้ความช่วยเหลือประชาชนไม่มีถ้อยคำที่ระบุว่า “เขตภัยพิบัติสงคราม” เนื่องจากขณะนี้ประเทศไทยยังไม่ได้มีการประกาศสงคราม  

ทั้งนี้ ทางจังหวัดมีเพียงการประกาศให้อำเภอที่ได้รับผลกระทบใน จ.สุรินทร์เป็น “พื้นที่ประสบสาธารณภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศ” มีประกาศและหนังสือที่เกี่ยวข้อง 2 ฉบับ ดังนี้

-ประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัยลงวันที่ 24 ก.ค. 2568 เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบของกระทรวงการคลังในการอนุมัติงบประมาณช่วยเหลือประชาชนในกรณีฉุกเฉิน

-หนังสือลงวันที่ 25 ก.ค. 2568 แจ้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ใช้งบประมาณของตัวเองในการดูแลประชาชนในช่วง  2-3 วันแรกที่เกิดเหตุ และหลังจากนั้นทางจังหวัดจะจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลให้ท้องถิ่นต่อไป

ข่าวปลอม 1 ข่าว คือ ไทยใช้อาวุธเคมีโจมตีกัมพูชา โดยวันที่ 28 ก.ค. 2568 เพจเฟซบุ๊กสถานทูตกัมพูชาในบัลแกเรีย Royal Embassy of Cambodia to the Republic of Bulgaria โพสต์ข้อความกล่าวหาว่าไทยใช้อาวุธเคมีโจมตีกัมพูชา โดยอ้างคำพูดของ พล.ท.หญิง มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ซึ่งจนถึงขณะนี้ ทางเพจได้โพสต์ข้อความกล่าวหาเรื่องไทยใช้อาวุธเคมีอย่างน้อย 4 โพสต์ ในเวลา 10.39, 12.11,12.23และ 13.46 น. โดยในโพสต์แรกมีการใช้ภาพประกอบเครื่องบินปล่อยควันสีแดงมีธงชาติไทยประกอบ แต่ได้ลบภาพออกในภายหลัง

กรณีนี้กระทรวงการต่างประเทศและกองทัพบกได้ออกแถลงการณ์ปฏิเสธข้อกล่าวหา ยืนยันว่ากองทัพไทยไม่มีการใช้ #อาวุธเคมี โดยนายนิกรเดช พลางกูร โฆษก กต. ระบุว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวขาดมูลความจริงและสะท้อนการบิดเบือนข้อมูลอย่างเป็นระบบที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงในพื้นที่ และมีเจตนาที่จะบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือและสถานะของประเทศไทยในประชาคมระหว่างประเทศ

“ประเทศไทยยืนยันการยึดมั่นต่อพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาห้ามอาวุธเคมี (Chemical Weapons Convention: CWC) และยืนหยัดในท่าทีในการประณามการใช้อาวุธเคมีไม่ว่าจะเป็นที่ใด โดยผู้ใด หรือภายใต้สถานการณ์ใดก็ตาม นอกจากนี้ ประเทศไทยยังยึดมั่นต่อตราสารระหว่างประเทศด้านการลดอาวุธและการไม่แพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงทั้งปวง” แถลงการณ์ กต. ระบุ 

สำหรับภาพที่สถานทูตกัมพูชาในบัลแกเรียนำมาประกอบโพสต์กล่าวหานั้น โคแฟคตรวจสอบพบว่าเป็นภาพประกอบข่าวเครื่องบินบรรทุกสารเคมีเพื่อดับไฟป่าในลอสแองเจลิสที่เผยแพร่ทางเว็บไซต์สำนักข่าวรอยเตอร์สเมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2568

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

https://www.thaipbs.or.th/verify/highlight/thai-cambodia-situation

https://www.thaipbs.or.th/news/content/354676 (กองทัพยืนยัน “กระสุนตกฝั่งลาว” ไม่ใช่ของฝ่ายไทย : ThaiPBS 26 ก.ค. 2568)

https://factcheck.afp.com/list/regions/Asia-Pacific

https://factcheck.afp.com

https://www.facebook.com/CofactThailand

**AFP มีทำรายงานภาษาอังกฤษอีกสองเรื่อง(ยังไม่มีรายงานภาษาไทย)

https://factcheck.afp.com/doc.afp.com.682J99E
Photo of US aircraft dropping fire retardant falsely linked to Thailand-Cambodia conflict | Fact Check

https://factcheck.afp.com/doc.afp.com.68247CQ
Old military exercise photo misrepresented as Thailand-Cambodia clashes | Fact Check


ชาวปาเลสไตน์จ้างนักแสดง ‘แกล้งตาย-เจ็บ’ ในศึกกาซาจริงหรือ?

ธีรนัย จารุวัสตร์

สมาชิกเครือข่าย Cofact Thailand 

ขณะที่ภาพข่าวความสูญเสียของชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาได้รับการตีแผ่ไปทั่วโลก แต่โลกโซเชียลมีเดียกลับเต็มไปด้วยคลิปที่อ้างว่าผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตชาวปาเลสไตน์เป็นเพียงการ “จัดฉาก” เพื่อเรียกร้องความเห็นใจจากชาวโลก หรือที่เรียกกันในวงการสื่อว่า ทฤษฎีสมคบคิด “Pallywood”

หากใครจำกันได้ หลังจากที่กองทัพรัสเซียรุกรานยูเครนในต้นปี 2022 และเริ่มมีรายงานว่าประชาชนยูเครนจำนวนหนึ่งเสียชีวิตจากปฏิบัติการทางทหารของรัสเซีย พิธีกรข่าวของช่อง “ททบ. 5” ในประเทศไทย ได้นำคลิปวิดิโอหนึ่งมาเผยแพร่ออกอากาศ โดยระบุว่าเป็นการจับผิด “ศพ” ชาวยูเครนที่ถูกทหารรัสเซียสังหาร แต่ “ศพ” กลับขยับเขยื้อนได้ ดูเหมือนเป็นการ “จัดฉาก” ซะมากกว่า

อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงปรากฎว่าวิดิโอดังกล่าวเป็นคลิปจากเหตุการณ์การประท้วงสภาวะโลกร้อน ซึ่งนักกิจกรรมได้แสดงท่าทางเป็นศพเท่านั้น ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับสงครามในยูเครนเลย และในเวลาต่อมา ได้มีหลักฐานและภาพข่าวประชาชนยูเครนที่ถูกคร่าชีวิตโดยกองทัพรัสเซียปรากฎสู่สายตาชาวโลกอย่างล้นหลาม จนไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป การกล่าวหาในทำนองว่ายูเครน “จัดฉาก” ผู้เสียชีวิตเพื่อป้ายสีรัสเซีย จึงค่อยๆเงียบหายไป…

เวลาผ่านมาปีกว่า วาทกรรมดังกล่าวกลับขึ้นมาแพร่หลายในโซเชียลมีเดียอีกครั้ง แต่เปลี่ยนบริบท 

จากสงครามในยูเครน สู่สงครามในฉนวนกาซาและอิสราเอล จากที่เคยพุ่งเป้าจับผิดว่าชาวยูเครน “จัดฉาก” หรือแกล้งตาย กลายมาเป็นการกล่าวหาว่าชาวปาเลสไตน์กำลังใช้ “นักแสดง” สวมบทบาทเป็นผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการโจมตีของกองทัพอิสราเอล ซึ่งในปัจจุบัน ข้อมูลจากทางการกาซาระบุว่าชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 10,000 ราย ตั้งแต่กองทัพอิสราเอลเริ่มปิดล้อมและถล่มฉนวนกาซา หลังฮามาสก่อเหตุสังหารประชาชนในอิสราเอลจำนวนมากเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา

ตัวอย่างเช่น คลิปที่อ้างว่าชายคนหนึ่งที่สูญเสียขาในโรงพยาบาลกาซ่า กลับกลายว่ายังมีขาอยู่ในวันถัดมา หรืออ้างว่าศพเยาวชนในกาซาขยับเขยื้อนตัวได้ หรืออ้างว่ามีนักแสดงชาวปาเลสไตน์ปรากฎตัวในคลิปการโจมตีของอิสราเอลหลายครั้ง ฯลฯ 

ทั้งหมดเหล่าเป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีสมคบคิดที่เรียกว่า “Pallywood” ซึ่งเป็นการรวมกันของคำว่า “Hollywood” กับ “Palestine” เพื่อที่จะสื่อว่า ภาพและข่าวความสูญเสียในปาเลสไตน์นั้น เป็นการจัดฉากขึ้นเพื่อตบตาชาวโลก มีการใช้นักแสดงหรือวางบทบาทกันเป็นเรื่องเป็นราว ไม่ต่างจากการถ่ายภาพยนตร์ Hollywood

ที่น่ากังวลคือทฤษฎีสมคบคิดเช่นนี้ถูกส่งต่อในโซเชียลมีเดียหลายช่องทาง แม้แต่ทางการอิสราเอลและสำนักข่าวจำนวนหนึ่ง (รวมถึงสื่อไทยอย่างน้อยหนึ่งแห่ง) ก็หยิบมาเผยแพร่ต่อ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดแต่เคลือบแคลงใจต่อวิกฤติมนุษยธรรมในกาซาขณะนี้อย่างแพร่หลาย ทั้งที่ผู้เชี่ยวชาญและ factcheckers จำนวนมากได้พิสูจน์ทราบแล้วว่าไม่มีมูลความจริง 

จากปาเลสไตน์ สู่กลุ่มขวาจัดอเมริกัน

แนวคิด Pallywood เริ่มปรากฎขึ้นครั้งแรกในช่วงต้นทศวรรษ 2000 ระหว่างการลุกฮือครั้งใหญ่ของชาวปาเลสไตน์เพื่อต่อต้านการยึดครองเขตเวสต์แบงก์และกาซาโดยกองทัพอิสราเอล 

การลุกฮือ (หรือที่เรียกว่า intifada) ดังกล่าวประกอบด้วยทั้งการประท้วงและการใช้อาวุธโจมตีเป้าหมายในอิสราเอล นำไปสู่การโต้ตอบอย่างรุนแรงจากกองทัพอิสราเอล ทำให้ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตจำนวนมาก โดยเฉพาะพลเรือน ภาพข่าวความสูญเสียของชาวปาเลสไตน์เริ่มปรากฎขึ้นในสื่อมวลชนต่างประเทศหลายแห่ง กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอิสราเอล 

เหตุการณ์หนึ่งที่สร้างความสะเทือนใจไปทั่วโลก คือวิดิโอข่าวเหตุการณ์สองพ่อลูกชาวปาเลสไตน์ที่พยายามซุกตัวในมุมถนนแห่งหนึ่ง เพื่อหลบการต่อสู้กันระหว่างทหารอิสราเอลกับกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ ก่อนที่ทั้งสองพ่อลูกจะถูกยิงเสียชีวิตในที่สุด ซึ่งทีมข่าวระบุว่าเป็นฝีมือทหารอิสราเอล สร้างความโกรธแค้นไปทั่วในปาเลสไตน์และนานาประเทศ

สองพ่อลูกชาวปาเลสไตน์ Jamal และ Muhammad al-Durrah ขณะพยายามหลบกระสุนปืนท่ามกลางการต่อสู้กันระหว่างทหารอิสราเอลและกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา เมื่อปี 2000 ที่มา: France 2

อย่างไรก็ตาม นักวิชาการจำนวนหนึ่งในสหรัฐฯ เริ่มตั้งคำถามต่อวิดิโอดังกล่าวว่าเชื่อถือได้จริงหรือไม่ โดยได้หยิบยกข้อสังเกตต่างๆมาวิจารณ์ เช่น ดูเหมือนคลิปมีการตัดต่อ, มุมกล้องไม่ได้แสดงเหตุการณ์ทั้งหมด, ลำดับเหตุการณ์ไม่ตรงกับคำให้การของพยาน ไปจนถึงกระทั่งว่า สองพ่อลูกในข่าวไม่ได้เสียชีวิตจริง แต่อาจจะเป็นการ “จัดฉาก” ขึ้นเท่านั้น 

แนวคิดนี้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว จากเดิมที่เป็นการตั้งข้อสังเกตกับข่าวเหตุการณ์เดียว กลายเป็นการตั้งคำถามกับภาพและข่าวความสูญเสียอื่นๆของชาวปาเลสไตน์ด้วย พร้อมโจมตีว่าสื่อมวลชนหลายแห่งสมคบคิดกันเพื่อจัดฉากป้ายสีอิสราเอล หรือจ้างนักแสดงปาเลสไตน์มาแกล้งตายเพื่อจะได้ภาพข่าวที่ต้องการ เป็นที่มาของคำว่า Pallywood 

กระแส Pallywood เริ่มลดลงไปบ้างหลังการกำเนิดขึ้นของโซเชียลมีเดีย ซึ่งช่วยให้ประชาชนผู้เสพข่าวทั่วโลกได้เห็นเหตุการณ์ความรุนแรงต่างๆในปาเลสไตน์กับตาตัวเองโดยตรง แต่องค์ประกอบบางส่วนในแนวคิด Pallywood ได้วิวัฒนาการกลายเป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีสมคบคิดอื่นๆ ที่มักจะเผยแพร่ในกลุ่มขวาจัดอเมริกันในเวลาต่อมา 

ยกตัวอย่างเช่นเมื่อมีเหตุโศกนาฏกรรมกราดยิงหรือสังหารหมู่ในอเมริกา กลุ่มอนุรักษ์นิยมสุดโต่งมักจะเผยแพร่ข้อกล่าวหาว่า การกราดยิงต่างๆนั้นเป็นเพียงการ “จัดฉาก” โดยหน่วยงานความมั่นคงสหรัฐ เพื่อใช้เป็นข้ออ้างจำกัดสิทธิ์การครอบครองอาวุธปืนหรือลิดรอนเสรีภาพประชาชน 

เท่านั้นยังไม่พอ ยังกล่าวหาด้วยว่าบรรดาเหยื่อกราดยิงและครอบครัวผู้เสียชีวิต เป็นเพียงนักแสดงเฉพาะกิจ (crisis actors) ที่เล่นบทบาทตบตาสื่อและประชาชน สร้างความเจ็บปวดให้แก่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ดังเช่นในเหตุกราดยิงโรงเรียนประถม Sandy Hook เมื่อปี 2012 จนครอบครัวเหยื่อเหตุกราดยิงครั้งนั้นถึงกับรวมตัวฟ้องร้องนาย Alex Jones เจ้าของสำนักข่าวแนวขวาจัดรายใหญ่ ซึ่งมีบทบาทในการเผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิดดังกล่าว จนชนะคดีในเวลาต่อมา 

นอกจากนี้ ทฤษฎีสมคบคิดในลักษณะเดียวกันยังกลับมาปรากฎขึ้นในช่วงสั้นๆ หลังเหตุการณ์กองทัพรัสเซียทิ้งระเบิดใส่โรงพยาบาลผดุงครรภ์ในเมือง Mariupol ประเทศยูเครน เมื่อต้นปี 2022 ซึ่งกลุ่มชาตินิยมและสื่อในสังกัดรัฐของรัสเซียพยายามบิดเบือนว่า ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็น “นักแสดง” ที่ยูเครนจัดฉากขึ้น เป็นต้น

เมื่อ ‘Mr. FAFO’ ระบาดมาถึงสื่อไทย

การสู้รบระหว่างกองทัพอิสราเอลและกลุ่มฮามาสรอบล่าสุด ได้ทำให้กระแส Pallywood กลับมาแพร่ระบาดในสังคมออนไลน์อย่างไม่ต้องสงสัย ท่ามกลางกระแสข่าวบิดเบือนจำนวนมากเกี่ยวกับสงครามกาซาที่กระจายอยู่เต็มโซเชียลมีเดีย มีทั้งเพื่อสร้างและทำลายความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรงของคู่ขัดแย้งบนความเข้าใจผิดของผู้เสพย์ข้อมูล

ตัวอย่างหนึ่งซึ่งมักจะปรากฎอยู่บ่อยๆ คือชายชายปาเลสไตน์คนหนึ่งที่กลุ่มผู้ใช้โซเชียลมีเดียที่สนับสนุนรัฐบาลอิสราเอล ระบุว่าเป็น “นักแสดง” มากบทบาท เป็นทั้งทหารฮามาส สื่อมวลชน เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ผู้บาดเจ็บจากการโจมตีของอิสราเอล แม้กระทั่งศพผู้เสียชีวิต

ชายคนนี้ได้รับฉายาจากกลุ่มขวาจัดอเมริกันว่า “Mr. FAFO” ซึ่งเป็นคำแสลงอเมริกันหมายถึงคนที่รนหาที่ตาย (Fuck Around, Find Out – FAFO) ข่าวนี้ได้กระจายออกจากโซเชียลมีเดียของกลุ่มขวาจัดไปสู่สังคมออนไลน์ทั่วโลกอย่างรวดเร็ว รวมถึงแอคเคาท์ทวิตเตอร์ทางการของรัฐบาลอิสราเอลด้วย โดยระบุเป็นเสียงเดียวกันว่า Mr. FAFO คนนี้เป็นหลักฐานปฏิบัติการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารของชาวปาเลสไตน์

ในกรณีประเทศไทย พบข้อมูลบิดเบือน คลิปปลอม เกี่ยวกับสงครามอิสราเอล-ฮามาส ที่มีคนดูหลายล้านวิวในโซเชียลมีเดียไทยด้วยกัน  ส่วนในภาพรวมของสื่อมวลชนไทยจะเน้นการรายงานข่าวหรือข้อมูลการสู้รบระหว่างกองทัพอิสราเอลและกองกำลังติดอาวุธกลุ่มฮามาสจากแหล่งข้อมูลทางการหรือสำนักข่าวต่างประเทศที่มีความน่าเชื่อถือ จะมีบางสื่อที่รายงานโดยให้น้ำหนักไปทางข้างใดข้างหนึ่ง เช่นกรณี เว็บไซต์ของช่อง Bright TV ได้หยิบยกเรื่องของ Mr. FAFO มาเผยแพร่ต่อ โดยเนื้อข่าวตอนนี้ระบุว่า:

“ทั้งนี้ ท่ามกลาง Saleh Aljafarawi นามแฝงของนาย FAFO ที่บงการอย่างสิ้นหวังและวิดีโอที่ทำให้เข้าใจผิดและการกล่าวอ้างทางโซเชียลมีเดีย เป็นที่น่าสังเกตว่ากลุ่มฮามาสใช้กลยุทธ์การโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ เพื่อสร้างความเห็นอกเห็นใจและฉายภาพอิสราเอลว่าเป็นผู้กดขี่ กลไกที่น่าละอายอย่างหนึ่งของฮามาสก็คือการอ้างว่ามีผู้เสียชีวิตกว่า 500 รายในโรงพยาบาลฉนวนกาซา อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จากกองกำลังป้องกันประเทศอิสราเอล (IDF) ชี้ให้เห็นอย่างรวดเร็วว่านี่ไม่ใช่การโจมตีทางอากาศของอิสราเอล แต่เป็นจรวดที่ยิงผิดจากในฉนวนกาซา 

เห็นได้ชัดว่า นอกเหนือจากการทำสงครามกับฮามาส เฮาซี และฮิซบอลเลาะห์แล้ว อิสราเอลยังต้องต่อสู้กับสงครามข้อมูลที่บิดเบือน/บิดเบือนด้วยเช่นกัน”

อย่างไรก็ตาม หากได้มีการสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติม ก็จะพบว่านาย Saleh มีอาชีพเป็นอินฟลูเอนเซอร์และคอนเทนต์ครีเอเทอร์ชื่อดังในกาซาตั้งแต่ก่อนเริ่มสงครามแล้ว โดยเขาได้เผยแพร่คลิปวิดิโอ สตอรี่ และผลงานเพลงจำนวนมาก ซึ่งก็ไม่ต่างจากอินฟลูเอนเซอร์ในประเทศอื่นๆทั่วโลก อีกทั้งยังทำงานอาสาเป็นเจ้าหน้าที่ให้แก่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกาซาด้วย (จึงเป็นที่มาของภาพนาย Saleh ในเครื่องแบบโรงพยาบาล) 

มิได้มีเจตนาแฝงตัวเป็นบุคคลหลากหลายอาชีพแบบที่เข้าใจกัน และไม่เคยอ้างตัวว่าเป็นผู้บาดเจ็บจากเหตุโจมตีของอิสราเอล

นอกจากนี้ บางภาพที่นำมายำรวมกันและอ้างว่าเป็น Mr. FAFO ไม่ใช่ภาพของนาย Saleh ด้วยซ้ำ ดังเช่นภาพด้านขวามือที่ปรากฎข้างบนนี้ ซึ่งจริงๆแล้วเป็นภาพของ Mohammad Zendeq ชาวปาเลสไตน์อีกคนหนึ่ง ที่บาดเจ็บจากปฏิบัติการทางทหารโดยกองทัพอิสราเอลในเขตเวสต์แบงก์ (ไม่ใช่ฉนวนกาซา) ตั้งแต่เมื่อเดือนสิงหาคม หรือก่อนหน้าสงครามกาซารอบล่าสุดเสียอีก 

ด้านทีมข่าว AFP Fact Check ในประเทศไทย ได้พิสูจน์แล้วว่า ภาพ “ศพ” ที่หลายคนอ้างว่าเป็น Mr. FAFO แกล้งตายนั้น จริงๆแล้วเป็นภาพเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่แต่งชุดประกวดงานวันฮาโลวีนในจังหวัดนครราชสีมา ประเทศไทย เมื่อเดือนตุลาคม 2565 ต่างหาก

นอกจาก Mr. FAFO แล้ว ข่าวบิดเบือน Pallywood เช่นนี้ยังปรากฎขึ้นในอีกหลายรูปแบบ เช่น เอาคลิปเบื้องหลังการถ่ายภาพยนตร์ในเลบานอน มาอ้างว่าชาวปาเลสไตน์กำลังแต่งหน้าและแต้มสีเลือด ให้ดูเหมือนว่าบาดเจ็บจากการโจมตีของอิสราเอล, เอาภาพนักกิจกรรมในประเทศอียิปต์นอนแกล้งตายเพื่อประท้วงรัฐบาล มาอ้างว่าชาวปาเลสไตน์แต่งกายเป็นศพ เพื่อหลอกตาสื่อมวลชน เป็นต้น

เครื่องมือทางจิตวิทยา?

แน่นอนว่าคำถามหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นในใจหลายคนคือ ผู้ที่เผยแพร่และปั่นกระแส Pallywood เช่นนี้ มีจุดประสงค์เพื่ออะไร

ผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่งได้แสดงความกังวลไว้ว่า ผลกระทบหนึ่งจากทฤษฎีสมคบคิด Pallywood คือจะค่อยๆทำให้ประชาชนที่รับข่าวสารเกี่ยวกับสงครามกาซาเกิดความเคลือบแคลงใจ และเริ่มคิดว่าสื่อหรือโซเชียลมีเดียที่เผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับชาวปาเลสไตน์ไม่น่าเชื่อถือ จนทำให้เส้นแบ่งระหว่าง “ความจริง” กับ “ความเท็จ” ค่อยๆเลือนลงไป ทั้งที่มีหลักฐานจำนวนมากที่บ่งชี้ถึงวิกฤติมนุษยธรรมที่กำลังเกิดขึ้นในกาซา 

ดังที่ Sam Doak นักวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับข่าวบิดเบือน ให้สัมภาษณ์ไว้กับ Rolling Stone ว่าแนวคิดเช่นนี้เสี่ยงทำให้ผู้ที่รับชมข่าวสารมีทัศนคติเชิงลบต่อชาวปาเลสไตน์ เพราะปักใจเชื่อว่าชาวปาเลสไตน์พยายามหลอกลวงประชาชนทั่วโลก และมองว่าข่าวเกี่ยวกับความสูญเสียของพลเรือนปาเลสไตน์เป็นเพียงโฆษณาชวนเชื่อเท่านั้น

“นี่คือการลดทอนความเป็นมนุษย์” Doak กล่าวสรุป

ข้อมูลสำหรับอ่านเพิ่มเติม

No, Palestinians Are Not Faking the Devastation in Gaza | Rolling Stone 

Clip shows teenager in West Bank hospital, not faked injuries in Gaza | AFP Fact Check

A thread on Pallywood conspiracy theory | Matt Binder 

พบข้อมูลบิดเบือน คลิปปลอม เกี่ยวกับสงครามอิสราเอล-ฮามาส มีคนดูหลายล้านวิวในโซเชียลมีเดียไทย I BBC Thai 


คลิปไฟไหม้ในซาอุดิอาระเบีย ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นเหตุการณ์อิหร่านโจมตีอิสราเอล

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปความเสียหายในเมืองเทลอาวีฟของอิสราเอลจากการโจมตีของอิหร่าน 

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ เป็นคลิปภาพเหตุการณ์ไฟไหม้ตลาดในเมืองเจดดาห์ของซาอุดิอาระเบีย** 

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 24 ต.ค. 2568 บัญชีเฟซบุ๊ก “Kayla Khafifah Hamdiy” โพสต์คลิปวิดีโอ Reel เป็นภาพไฟไหม้อาคาร ในคลิปฝังรูปธงชาติอิสราเอลและชื่อเมืองเทลอาวีฟเป็นภาษาอังกฤษ และมีคำอธิบายคลิปว่า “Iran vs Israel” 

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการค้นหาภาพด้วย Google Lens พบว่า คลิปดังกล่าวเคยถูกเผยแพร่เมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2567 ในบัญชีติ๊กตอกโดยระบุว่าเป็นเหตุการณ์ไฟไหม้ที่ Jeddah Sarawat Supermarket ซึ่งเป็นตลาดในเมืองเจดดาห์ของซาอุดิอาระเบีย

สื่อมวลชนในโลกอาหรับต่างรายงานข่าวไฟไหม้ครั้งนี้ เช่น สำนักข่าว Al-Marsad สื่อท้องถิ่นในซาอุดิอาระเบีย พาดหัวข่าวเป็นภาษาอาหรับใช้เครื่องมือแปลภาษาแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “หลังคาตลาดนานาชาติเจดดาห์ถล่มจากเหตุไฟไหม้ใหญ่เช้านี้” พร้อมภาพนิ่งและคลิปความเสียหายจากเหตุเพลิงไหม้ในย่าน Al-Rawdah เมืองเจดดาห์ช่วงเช้าวันที่ 29 ก.ย. 2567 ซึ่งลักษณะอาคารและประตูทางเข้าที่เขียนว่า “Gate 4” นั้นเหมือนกับคลิปที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กนำมาอ้างเท็จว่าเป็นภาพความเสียหายในเมืองเทลอาวีฟจากการโจมตีของอิหร่าน 

เปรียบเทียบภาพจากคลิปที่อ้างเท็จว่าเป็นภาพความเสียหายของเมืองเทลอาวีฟจากการโจมตีของอิหร่าน กับภาพประกอบในรายงานข่าวสื่อซาอุดิอาระเบียกรณีเหตุไฟไหม้ที่ตลาดนานาชาติเมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2567 เห็นได้ว่าเป็นสถานที่และเหตุการณ์เดียวกัน

สำนักข่าว Cairo24 ของอียิปต์ รายงานข่าวในวันเดียวกันว่า เจ้าหน้าที่ป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนในเมืองเจดดาห์ของซาอุดิอาระเบีย ระดมรถดับเพลิงฉีดน้ำเพื่อสกัดเพลิงที่กำลังโหมลุกไหม้ตลาดนานาชาติ โดยมีภาพมุมกว้างและภาพซุ้มประตูซึ่งถูกเพลิงไหม้ ที่มีลวดลายลักษณะเดียวกันคลิปที่อ้างเท็จว่าเป็นเหตุการณ์ในอิสราเอลเช่นกัน

กระทรวงเกษตรฯ ออสเตรเลียระบุ ยาดมสมุนไพรเป็น “สิ่งของต้องสำแดง” ก่อนเข้าประเทศ  

กองบรรณาธิการโคแฟค

โคแฟคตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กโพสต์ข้อความว่าสนามบินเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย ไม่อนุญาตให้ผู้โดยสารนำยาดมสมุนไพรเข้าประเทศโดยมีภาพประกอบเป็นยาดมกระปุกพลาสติกสีเขียวยี่ห้อหงส์ไทย พบว่าเป็นเนื้อหาจริง โดยกระทรวงเกษตร ประมง และป่าไม้ของออสเตรเลีย ยืนยันกับโคแฟคว่ายาดมสมุนไพรแบบแห้งเป็นสิ่งของต้องสำแดง ณ สนามบินทุกแห่งก่อนเข้าประเทศตามกฎหมายออสเตรเลีย

เนื้อหาที่ตรวจสอบ

ผู้ใช้งานเฟซบุ๊กโพสต์ข้อความในกลุ่ม “Thai Community in Perth Western Australia” เมื่อวันที่ 17 ต.ค. 2568 ว่าสนามบินเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย ไม่อนุญาตให้ผู้โดยสารนำยาดมเข้าประเทศ พร้อมแนบรูปยาดมสมุนไพรแบบกระปุกของไทยและอ้างว่าก่อนหน้านี้เคยนำเข้าประเทศได้แต่ปัจจุบันถูกเจ้าหน้าที่ยึดทิ้ง และอนุญาตให้นำยาดมแบบน้ำหรือน้ำมันเข้าประเทศได้เท่านั้น โพสต์นี้มียอดแชร์มากกว่า 1,000 ครั้ง และมีผู้แสดงความคิดเห็นมากกว่า 500 ข้อความ โดยบางส่วนอ้างว่าอาจเพราะยาดมสมุนไพรแบบแห้งเป็นผลิตภัณฑ์ที่เสี่ยงมีเชื้อรา หรืออาจเป็นเพราะว่ามีส่วนประกอบของพืชต่างถิ่น

โคแฟคตรวจสอบ

โคแฟคส่งอีเมลไปสอบถามกระทรวงเกษตร ประมง และป่าไม้ของออสเตรเลีย (Department of Agriculture, Fisheries and Forestry–DAFF) ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบด้านความปลอดภัยทางชีวภาพ ซึ่งได้ตอบกลับมาเมื่อวันที่ 28 ต.ค. ว่ายาดมสมุนไพรแบบแห้งจากประเทศไทยนั้นจัดอยู่ในผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องหอม ดอกไม้แห้ง และสมุนไพรแห้ง (Potpourri) ซึ่งมีส่วนประกอบของเมล็ดพันธุ์ ฝัก และส่วนอื่น ๆ ของพืชซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงทางชีวภาพสูง ผู้โดยสารที่นำยาดมสมุนไพรแบบแห้งติดตัวมาด้วยจะต้องสำแดงเพื่อให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรของทุกสนามบินในออสเตรเลียตรวจสอบ ไม่จำกัดเพียงแค่ที่สนามบินเพิร์ธเท่านั้น และหากตรวจพบเจ้าหน้าที่อาจกำจัดทิ้งหรือจัดการตามความเหมาะสม

อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ ไม่ได้ชี้แจงว่าเริ่มใช้นโยบายนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่หรือมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายให้เข้มงวดขึ้นหรือไม่  

บทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์สถานกงสุลใหญ่ของไทย ณ นครซิดนีย์ เมื่อวันที่ 6 ก.ค. 2565 ระบุว่าออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีมาตรการการนำสิ่งของเข้าประเทศที่เข้มงวด เนื่องจากสัตว์ พืช และอาหารบางชนิดจากต่างประเทศอาจนำวัชพืชหรือโรคร้ายเข้ามาในออสเตรเลียได้ ซึ่งอาจส่งผลทำลายอุตสาหกรรมการเกษตร การท่องเที่ยวอัน และสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของประเทศ

ตรวจสอบรายการสิ่งของที่อนุญาตหรือไม่อนุญาตให้นำเข้าออสเตรเลียได้ ที่นี่ และ ที่นี่

อย. สุ่มตรวจพบการปนเปื้อนในยาดมหงส์ไทย

ช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่โคแฟคได้รับคำชี้แจงจากกระทรวงเกษตรฯ ออสเตรเลียเกี่ยวกับการนำยาดมสมุนไพรเข้าประเทศนั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้เผยแพร่ประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เรื่องผลการตรวจสอบผลิตภัณฑ์สมุนไพร (ยาดมผสมสมุนไพร ตราหงส์ไทย สูตร 2 เลขทะเบียนที่ G 309/62) เมื่อวันที่ 28 ต.ค. 2568 ระบุว่าพบการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ ยีสต์ และเชื้อราเกินมาตรฐาน พร้อมแนะประชาชนหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ในรุ่นการผลิตที่ตรวจพบการปนเปื้อน

อย. ระบุว่าพบการปนเปื้อนเกินมาตรฐานในยาดมสมุนไพร สูตร 2 ตราหงส์ไทย เลขทะเบียนที่ G 309/62 พร้อมแนะนำประชาชนให้หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์รุ่นการผลิตที่มีปัญหา แต่ยังคงอนุญาตให้มีการจำหน่ายและใช้ยาดมรุ่นการผลิตอื่นได้ตามปกติ

“เชื้อจุลินทรีย์ รา ยีสต์ ที่ปนเปื้อนเกินปริมาณที่กำหนด อาจส่งผลต่อเสียต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงที่มีร่างกายอ่อนแอ ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือผู้สูงอายุ หากสูดดมอาจได้รับอันตรายจากสปอร์ของเชื้อราและคลอสทริเดียม เพอร์ฟริงเจน เช่น ติดเชื้อทางเดินหายใจ หายใจลำบาก มีเสียงหวีด อาการไอ ปวดปาก และลำคอ” อย.ระบุในเอกสารข่าวแจกที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ และให้คำแนะนำ 3 ข้อเกี่ยวกับการซื้อและใช้ยาดมสมุนไพรดังนี้

1. เลือกซื้อยาดมที่ได้รับการอนุญาตจาก อย. และห้ามซื้อยาดมที่ไม่มีเลขทะเบียนหรือไม่ระบุแหล่งที่มา

2. หลังเปิดใช้งานควรปิดฝายาดมให้สนิท เก็บในที่แห้ง อุณหภูมิห้อง และหลีกเลี่ยงการใช้นิ้วมือสัมผัสกับส่วนผสมภายในเพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์

3. ยาดมชนิดชิ้นส่วนสมุนไพรแบบห่อผ้าในกระปุกมีอายุการใช้งานสั้นกว่าชนิดอื่น ๆ หากพบว่ามีสีกลิ่นเปลี่ยนไปหรือพบสิ่งแปลกปลอม ควรหยุดใช้ทันที

“หงส์ไทย” ประกาศเรียกคืนสินค้าล็อตที่มีปัญหา

หลังจาก อย. เผยแพร่ผลการตรวจสอบ บริษัทผู้ผลิตยาดมสมุนไพร “หงส์ไทย” ได้ออกแถลงการณ์ยอมรับผลตรวจผ่านเพจเฟซบุ๊ก “บริษัทสมุนไพรไทย หงส์ไทย จำกัด -เพจสำนักงานใหญ่” ในวันที่ 28 ต.ค. 2568 และชี้แจงว่าได้ดำเนินการเรียกคืนผลิตภัณฑ์ยาดม สูตร 2 รุ่นการผลิตที่ 000332 (วันที่ผลิต 09/12/2024 และวันที่สิ้นอายุ 08/12/2027) จำนวน 200,000 กระปุก จากท้องตลาดเพื่อทำลายทิ้ง

“บริษัทฯ ขอน้อมรับผลการตรวจสอบดังกล่าวด้วยความเคารพ และได้ดำเนินการเรียกคืนสินค้าทั้งหมดจากท้องตลาดเรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งได้ประสานงานกับทาง อย. เพื่อดำเนินการทำลายสินค้าล็อตดังกล่าวให้เร็วที่สุด โดยทางบริษัทฯจะประกาศวันที่แน่ชัดให้ทราบอีกครั้ง ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ดำเนินการปรับปรุงและยกระดับกระบวนการผลิตให้เข้มงวดขึ้น โดยเพิ่มขั้นตอนการตรวจสอบคุณภาพในทุกระดับ ผ่านการฆ่าเชื้อด้วย รังสี Ultraviolet เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ที่ออกสู่ตลาดมีความปลอดภัยและได้มาตรฐาน” บริษัทสมุนไพรไทย หงส์ไทย จำกัด ระบุในแถลงการณ์

ข้อสรุปโคแฟค

ข้อความในกลุ่มเฟซบุ๊ก “Thai Community in Perth Western Australia” เมื่อวันที่ 17 ต.ค. 2568 ว่าสนามบินเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย ไม่อนุญาตให้ผู้โดยสารนำยาดมเข้าประเทศ พร้อมแนบรูปยาดมสมุนไพรแบบกระปุกของไทยนั้นมีเนื้อหาจริง เนื่องจากสอดคล้องกับคำชี้แจงของกระทรวงเกษตรฯ ออสเตรเลียที่ระบุในอีเมลตอบกลับโคแฟคว่ายาดมสมุนไพรแบบแห้งเป็นสิ่งของต้องสำแดง ณ สนามบินทุกแห่งก่อนเข้าประเทศออสเตรเลีย เพราะจัดอยู่ในผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องหอม ดอกไม้แห้ง และสมุนไพรแห้งที่มีส่วนประกอบของเมล็ดพันธุ์ ฝัก และส่วนอื่น ๆ ของพืชซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงทางชีวภาพสูง ผู้โดยสารที่นำยาดมสมุนไพรแบบแห้งติดตัวมาด้วยจะต้องสำแดงเพื่อให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรของทุกสนามบินในออสเตรเลียตรวจสอบ

เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ช่างแซะ-โลภ-ซี้ซั้วเชื่อ’วงเสวนาชวน‘ตั้งสติ’รู้เท่าทันอารมณ์ร่วมสร้างโลกออนไลน์ให้ดีขึ้น

28 ต.ค. 2568 ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มูลนิธิส่งเสริมสื่อเด็กและเยาวชน(สสย.) และมูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย จัดงานรณรงค์เนื่องในสัปดาห์การรู้เท่าทันสื่อ สารสนเทศ และดิจิทัล MIDL WEEK 2025 ร่วมสร้างโลกออนไลน์ที่ดีกว่า ณ ห้องประชุม ดร. เทียม โชควัฒนา คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

รศ.ดร.อลงกรณ์ ปริวุฒิพงศ์ รองคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ในยุคที่เทคโนโลยีดิติทัลเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดนิ่ง โลกออนไลน์กลายเป็นทั้งพื้นที่แห่งโอกาส ความท้าทาย ตลอดจนอุปสรรคและปัญหา  การรู้เท่าทันสื่อ เท่าทันเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัลเป็นเรื่องจำเป็น และไม่ใช่แค่ทักษะแต่ต้องเป็นพลังแห่งปัญญา ในการช่วยให้เรารับข่าวสารอย่างมีวิจารณญาณและรับผิดชอบ

การจัดงานครั้งนี้ภายใต้แนวคิด ร่วมสร้างโลกออนไลน์ที่ดีกว่า เป็นธีมที่สอดคล้องกับยูเนสโกด้วย จึงมีเป้าหมายที่จะปลูกฝังเรื่อง สติ ปัญญา ความรับผิดชอบ 3 คำนี้จะช่วยให้เราเท่าทันการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์แทบจะมาประดิษฐ์ปัญญาแทนเราอยู่แล้ว เรากำลังตั้งคำถามว่าในชีวิตของเราจะตามทันไหม? จะฉลาดรู้เท่าทันสิ่งเหล่านี้ไหม?รศ.ดร.อลงกรณ์ กล่าว 

ญาณี รัชต์บริรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมระบบสื่อและสุขภาวะทางปัญญา สสส. กล่าวว่า คนไทยเข้ามาสู่ยุคที่เราใช้อินเตอร์เน็ตอย่างเข้มข้นมากและแพร่กระจายไปกว่าร้อยละ 91.2 ของประชาชนคนไทย และใช้งานเฉลี่ย 7 ชั่วโมงครึ่งต่อวัน รวมถึงใช้อินเตอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือเฉลี่ย 5 ชั่วโมงต่อวัน ตลอดจนใช้สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) เฉลี่ย 2 ชั่วโมงครึ่งต่อวัน ซึ่งตัวเลขเหล่านี้สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกทั้งสิ้น 

โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก เยาวชน คนรุ่นใหม่ ใช้อินเตอร์เน็ตสูงถึงร้อยละ 99.2 ซึ่งเป็นเรื่องปกติเนื่องจากประชากรกลุ่มนี้เป็นคนรุ่นที่เกิดมาพร้อมเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Native) แต่ในขณะที่เรากำลังใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) แต่อีกด้านก็มีความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางออนไลน์ที่ทวีความรุนแรงและรวดเร็ว เช่น ข้อมูลบิดเบือน (Disinformation) ข่าวลวง (Fake News) การสื่อสารที่สร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) มิจฉาชีพที่อาศัยช่องทางออนไลน์ก่อเหตุ เป็นต้น

มาย้อนดูผลกระทบทางด้านมิจฉาชีพออนไลน์ เราจะเห็นว่าผลของการใช้สื่อออนไลน์สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจจำนวนมาก เราจะย้อนหลังกลับไป 3 ปี จะเห็นว่ามีอัตราการแจ้งความคดีเกี่ยวกับเรื่องของมิจฉาชีพกว่า 770,000 คดี มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจ 9 หมื่นล้านบาท เฉลี่ยวันละ 77 ล้านบาท ถือเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจที่จำนวนมากเลยที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนที่เขาถึงสื่อออนไลน์ ดังนั้นการรู้เท่าทันสื่อสารสนเทศและดิจิทัล หรือ Media Information Digital Literacy เรียกย่อๆ ว่า MIDL จึงเป็นทักษะชีวิตที่สำคัญในโลกยุคนี้ ญาณี กล่าว 

จากนั้นเป็นการเสวนาหัวข้อ STAY SATI รู้ทัน องค์ ในใจ โดย เข็มพร วิรุณราพันธ์ ผู้จัดการมูลนิธิส่งเสริมสื่อเด็กและเยาวชน ฉายภาพของ คนช่างแซะ ที่คนคนหนึ่งอยู่ในสังคมจะแสดงออกในรูปแบบหนึ่ง แต่เมื่อไปอยู่หลังจอก็อาจลืมตัว อะไรที่อยู่ในหัวก็ปล่อยออกมาหมด เช่น วิพากษ์วิจารณ์เรื่องรูปร่างหน้าตา การแต่งกาย ภาษา ชาติพันธุ์ เพศสภาพ สิ่งเหล่านี้บางครั้งก็เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ

ทั้งนี้ การเข้าถึงอาจไม่เพียงแต่อินเตอร์เน็ตหรือเทคโนโลยี แต่ต้องเข้าใจสิ่งแวดล้อมทางสังคมด้วย สังคมที่เราอาศัยอยู่ร่วมกับคนอื่นๆ ที่มีความหลากหลาย การล้อเลียน เช่น คนที่มีความบกพร่องทางร่างกาย คนพูดสำเนียงเหน่อๆ พูดไม่ชัด คนที่แต่งตัวแล้วเรารู้สึกว่าเชยเหมือนคนบ้านนอก เรียกคนสูงอายุว่ามนุษย์ป้า ฯลฯ ดังนั้น เราอาจต้องเข้าใจการอยู่ร่วมกัน ผ่านการเข้าถึงข้อมูล  ข้อเท็จจริงที่หลากหลาย ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจคนอื่น เท่าทันการอยู่ร่วมกับคนอื่น และเท่าทันอารมณ์ของตนเองว่าเรามีอคติอะไรหรือไม่ 

การเข้าถึงข้อมูลตรงนี้ ถ้าเราไปเรียกเขาว่าแบบนี้เขารู้สึกอย่างไร กลุ่มชาติพันธุ์แบบหลากหลายมากเลย คือในกรุงเทพฯ เราอาจไม่เห็น แต่ถ้าเราไปอยู่ต่างจังหวัดเราจะเห็นแบบเผ่าม้ง เผ่าเมี่ยน เผ่าแม้ว เยอะแยะมากเลย ภาคใต้ก็มีชาติพันธุ์เยอะ เราอาจไม่เคยรับรู้มาก่อนในสังคม ฉะนั้นการเข้าถึงตัวข้อมูลข้อเท็จจริง หรือความหลากหลายในสังคม หรือถ้าเราเรียกเขา LGBT (กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ) ก็มหลากหลายอีก ร่างกายเป็นแบบหนึ่ง สภาพ วิถี จิตใจ หรือการที่เขาใช้ชีวิตอยู่ หรือการใช้ภาษา บางคนพูดเหน่อ แต่จริงๆ ถ้าไปรู้ข้อมูล ศึกษาประวัติศาสตร์ คนพูดเหน่อกลายเป็นคนกรุงเทพฯ เพราะภาคกลางเขาพูดภาษาหรือพื้นเมืองต่างๆ มาก่อน เข็มพร กล่าว 

พ.ต.ท.ประวิทย์ วงษ์เกษม รองผู้กำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 2 กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) กล่าวว่า ความโลภ เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งไม่ใช่เฉพาะมนุษย์แต่ยังรวมถึงสัตว์ด้วย เช่น การสะสมอาหาร หรือคำว่า ความอยาก เมื่อเราเห็นหรือได้ยินก็เกิดความอยาก ความรู้สึกภายใน (Inner) ก็มา ดังนั้นทุกคนมีความโลภในตัว แต่ สติ เท่านั้นที่จะช่วยได้ เมื่อทุกคนมีสติก็จะเสพสื่ออย่างสร้างสรรค์ 

โดยหนึ่งในตัวอย่างบนโลกออนไลน์ที่ส่งผลกับความโลภคือ ็บพนัน ที่จะเห็นการโฆษณาตามสื่อต่างๆ หรือมี อินฟลูเอนเซอร์ คนดังบนอินเตอร์เน็ตมาบอกว่า เล่นแล้วได้จริง – ได้เยอะแต่ตนขอตั้งคำถามว่า เชื่อคำโฆษณาเหล่านี้จริงหรือ? เพราะไม่มีกิจการใดที่ยอมขาดทุน กิจการทำเพื่อกำไรแต่ถ้อยคำเหล่านั้นเป็นการชวนเชื่อเพื่อให้เข้าไปใช้งานแล้วก็โดนหลอก แต่เราไปรู้สึกเชื่อกับสิ่งที่เขาบอกง่ายเกินไป คิดว่าทุกสิ่งบนโลกออนไลน์เป็นเรื่องจริงไปหมด แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่

ถ้าเรารู้ตัวเองก่อนว่าความโลภมันอยู่ใน DNA ของเรา คือทุกคนจะชอบโลกสวย บอกว่าฉันไม่โลภ ฉันสมถะ แต่ไม่ใช่ มันอยู่ใน DNA ของทุกคน ต้องเข้าใจตรงนี้ก่อน เข้าใจตัวเองก่อน ถ้าเราเข้าใจตัวเอง เราไปเจอสื่ออะไร ันจะต้องไม่โลภนะแล้วสะกดใจตัวเองไว้ ให้มีสติ นี่ละสำคัญ แต่ถ้าบอกตัวเองฉันไม่โลภๆ แต่โดดใส่ทุกอันเลย เล่นพนันไป ชวนลงทุนไป เรียบร้อยเพราะไม่รู้ตัวเอง ต้องรู้จักตัวเองก่อน มีสติกับตัวเองก่อน แล้วพอเห็นอะไรตัวเองจะเข้าใจมัน พ.ต.ท.ประวิทย์ กล่าว 

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ตั้งข้อสังเกตว่า การที่หลายคนรับข้อมูลแล้วเชื่ออะไรต่างๆ โดยง่าย อาจเป็นเพราะยุคนี้เรายุ่งกับการต้องทำหลายสิ่งหลายอย่างพร้อมกัน (Multitask) จนไม่ทันได้ใช้ความคิดพินิจพิเคราะห์ เมื่อมีข้อมูลที่ตรงกับจริตของเราก็พร้อมจะเชื่อทันที เช่น มิจฉาชีพโทรศัพท์มาหาในขณะที่เรากำลังทำงานแล้วเรายังไม่ทันตั้งสติ ตกใจแล้วก็เผลอเชื่อไป เพราะสิ่งนั้นตรงกับความโลภหรือความกลัวของเรา 

แต่ในเรื่องข้อมูลข่าวสาร ข่าวลวง ข้อมูลบิดเบือน ที่เป็นปัญหาใหญ่ของโลกในเวลานี้ หลายอย่างที่ทำให้ปัญหาดังกล่าวแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว บางครั้งคือการที่เราไม่รู้จริงๆ ทำให้เชื่อและส่งต่อด้วยความหวังดี หรือ Misinformation หมายถึงการส่งต่อข้อมูลคลาดเคลื่อนโดยไม่มีเจตนาร้าย แต่ส่วนใหญ่ข่าวลวงคือ Disinformation หมายถึงการส่งต่อข้อมูลบิดเบือนโดยมีเจตนาร้าย ภายใต้แรงจูงใจไม่ว่าทางการเมือง ทางธุรกิจ ทางชื่อเสียง ฯลฯ ซึ่งในฐานะผู้รับสาร การไม่นำหลักคิดเรื่อง MIDL มาจับก็จะทำให้เราเป็นคนเชื่อง่าย เพราะสอดคล้องกับอคติของเรา 

ทุกครั้งก่อนที่จะเชื่อหรือแชร์ เราจะต้องไม่ใช่แค่ตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเดียว ยุคนี้เราต้องตรวจสอบอารมณ์ด้วย เพราะงานวิจัยหลายชิ้น ข่าวลวงหลายข่าวมันไม่ใช่แค่ข้อเท็จจริงอย่างเดียว มันสัมพันธ์กับอารณ์ความรู้สึก พูดง่ายๆ ต่อให้มันจริงฉันก็อยากจะเชื่ออย่างนี้ เพราะมันตรงกับจริตความชอบ – ความชัง หรืออคติยืนยันของเรา ตรงนี้มันก็ทำให้ องค์ซี้ซั้ว จะเกิดขึ้นได้ง่ายมาก เพราะว่าฉันก็ไม่สนใจอะไรแล้วไม่ว่าจะเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่เพราะมันตรงกับอารมณ์ความรู้สึกเรา มันก็พร้อมทำให้เราเชื่อหรือแชร์ข่าวปลอมไป ซึ่งมันไม่ใช่แค่ส่งผลกระทบกับตัวเราเองที่ดูไม่น่าเชื่อถือ แต่มันกระทบต่อสังคมภาพรวมด้วย สุภิญญากล่าว

คณะกรรมการสิทธิฯ ไม่เคยประณามกัมพูชากรณีโจมตีไทยทำให้พลเรือนบาดเจ็บ-เสียชีวิตจริงหรือ ?

กองบรรณาธิการโคแฟค

❓ เนื้อหาที่ตรวจสอบ: กสม. ไม่เคยประณามกัมพูชาโจมตีพลเรือนไทย


❌ ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **ข้อมูลไม่ถูกต้อง กสม. เคยออกแถลงการณ์ประณามกัมพูชากรณีโจมตีพลเรือนไทย**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: หลังเกิดกรณีสร้างความเกลียดชังและข่มขู่คุกคามนางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภาที่ออกมาให้ความเห็นต่อการจัดกิจกรรมเชิงยั่วยุที่ชายแดนไทย-กัมพูชา สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้โพสต์แถลงการณ์ทางเพจเฟซบุ๊กสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเมื่อวันที่ 21 ต.ค. 2568 เรื่อง “ขอให้ทุกฝ่ายเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่าง และไม่ยอมรับการสร้างความเกลียดชัง”

โพสต์ดังกล่าวมีผู้เข้ามาแสดงคิดเห็นมากกว่า 550 ข้อความ (ณ วันที่ 28 ต.ค. 2568) โดยผู้ใช้โซเชียลมีเดียหลายรายเขียนข้อความในเชิงกล่าวหา กสม. ว่าตั้งแต่เกิดเหตุความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ที่ส่งผลให้พลเรือนและทหารไทยหลายรายเสียชีวิตจากการโจมตีของกัมพูชา กสม. ไม่เคยออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนในการปกป้องสิทธิมนุษยชนของคนไทย

ผู้ที่เข้ามาคอมเมนต์บางรายยังอ้างด้วยว่า นอกจากเหตุการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาแล้ว กสม. ยังไม่เคยออกมาปกป้องพลเรือนที่ได้รับผลกระทบจากกลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อีกด้วย

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการสืบค้นแถลงการณ์และรายงานข่าวย้อนหลังพบว่าเมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2568 หรือหนึ่งวันหลังทหารไทยและกัมพูชาเริ่มปะทะกันในวันที่ 24 ก.ค. กสม. ได้ออกแถลงการณ์ เรื่อง “ประณามการโจมตีพลเรือนและพื้นที่โรงพยาบาลบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา และขอให้หยุดการสร้างความเกลียดชังทางเชื้อชาติ” ระบุว่า กสม. ขอแสดงความเสียใจไปยังครอบครัวผู้เสียชีวิตทุกคนและขอประณามการกระทำอันไร้มนุษยธรรมของทหารกัมพูชาที่เปิดฉากโจมตี และมุ่งเป้าไปที่พลเรือนและโรงพยาบาล การโจมตีสถานที่ดังกล่าวถือเป็นอาชญากรรมสงคราม (war crimes) ที่ละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนสากลและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอนุสัญญาเจนีวาและธรรมนูญกรุงโรม อย่างไม่อาจยอมรับได้

สำหรับกรณีความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ กสม. ก็เคยออกแถลงการณ์ประณามผู้ก่อเหตุแล้วหลายครั้ง โดยมีอยู่ในรายงานข่าวหลายสำนัก เช่น

▪️ แถลงการณ์ประณามการใช้ความรุนแรง ไร้มนุษยธรรมต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจและประชาชนผู้บริสุทธิ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (กรกฎาคม 2559)

▪️ แถลงการณ์ประณามมือระเบิดภาคใต้ ชี้ไร้มนุษยธรรม -เรียกร้องสังคมหยุดเผยแพร่ภาพโหดทางโซเชียล (สิงหาคม 2559)

▪️ แถลงการณ์ เรื่อง ขอประณามการก่อเหตุยิงสามเณรขณะเดินทางไปบิณฑบาตในพื้นที่ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา เป็นเหตุให้มรณภาพ (เมษายน 2568)

▪️ แถลงการณ์ เรื่อง ประณามการก่อเหตุรุนแรงต่อประชาชนกลุ่มเปราะบาง เป็นเหตุให้เด็ก คนชรา และผู้พิการ เสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัส (พฤษภาคม 2568)

ดังนั้นข้อความที่อ้างว่า กสม. เพิกเฉยต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนของกัมพูชาและความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้จึงเป็นข้อความที่ไม่ถูกต้อง

โคแฟคเห็นว่าประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นต่อแถลงการณ์หรือวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ กสม. แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่ถูกต้องเป็นจริง

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 25 ตุลาคม 2568

วางโทรศัพท์มือถือไว้ตรงหัวนอนเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งสมอง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/13cg3tgf1qstv


อดีตคณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลแนะนำวิธีทำน้ำด่างจากมะนาวมีสรรพคุณรักษามะเร็ง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3yp66fx7hmpa


“เตือนภัย เลขรหัส กระดาษทิชชู่ จากจีน”…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/36ux1mqcuwzpz


หลบแผ่นดินไหว ด้วยเทคนิค “สามเหลี่ยมแห่งชีวิต”…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2vfq3cwyshi64


แนะนำให้ “กินอาหาร ตามหมู่เลือด”…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/39gi1l0ccuym3


คลิป “แก๊งจีนเทา” ในกัมพูชาวิ่งหนีการกวาดล้างของเจ้าหน้าที่…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/24w6id2whbjwa


คอลเซนเตอร์ดูดเงินออกจากบัญชีได้เพียงแค่คุยกับเหยื่อ 2 นาที…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/22ktojqb47n2d


 ค่าโดยสาร BTS สายสีเขียว ส่วนต่อขยาย สูงสุด 65 บาท เริ่ม 1 พ.ย.

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1q61gxkntlxgn


‘คนละครึ่งพลัส’ ขึ้น BTS ได้แล้ว! เช็กวิธีซื้อตั๋วผ่าน ‘เป๋าตัง’…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/nfmxgkj4g74k


ไชเท้ากำจัดสารพัดพิษได้จริง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/8gecec81wz3t


ห้ามอาบน้ำ หรือล้างจาน ไม่ควรอาบน้ำขณะมีพายุฝนฟ้าคะนอง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/24go6ji1e6tlb#_=_


จาก‘แรงงานข้ามชาติ’ถึง‘พิพาทไทย-กัมพูชา’ข่าวลวงหล่อเลี้ยงด้วยอารมณ์ ขอ‘แพลตฟอร์ม’ร่วมรับผิดชอบ

15 ต.ค. 2568 ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับอีกหลายองค์กรเครือข่าย จัดงาน Cofact Tea Talk เสวนานักคิดดิจิทัล ครั้งที่ 30 รับมือมหาสงครามข้อมูล บทเรียนจากเดือนตุลาฯ สู่ยุคปัญญาประดิษฐ์ ที่วิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) พร้อมถ่ายทอดสดผ่านเพจเฟซบุ๊ก “Cofact โคแฟค” และช่องยูทูบ “Thai PBS”

โดยในช่วงเช้า สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค ประเทศไทย กล่าวว่า ในเดิอนตุลาคมของทุกปีจะมีการรำลึกและทบทวน เช่น เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ที่ถูกเรียกว่าเป็นวันแห่งประชาธิปไตยบ้าง วันมหาวิปโยคบ้าง แต่จากวันที่นักศึกษาและประชาชนซึ่งถูกกดทับได้ลุกขึ้นมาต่อสู้ อีก 3 ปีต่อมาก็เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งถุกยกมาพูดถึงเสมอในประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองหรือทางความคิดที่นำไปสู่ความเกลียดชังและความรุนแรง และส่วนหนึ่งก็มาจากข้อมูลข่าวสารที่เข้าใจผิด 

ขณะที่ในปัจจุบันซึ่งพูดถึงข้อมูลบิดเบือน (Disinformation) หรือข่าวลวง (Fake News) ที่มากับสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) แต่จริงๆ ในทางการเมืองก็มีเรื่องของข่าวลือ ข่าวลวง ข่าวปล่อย มาตลอดทุกยุคสมัย ในอดีตอาจหนักในแง่ข้อมูลข่าวสารถูกปิดกั้น ส่วนปัจจุบันที่มีข้อมูลข่าวสารจากทุกทางแต่ก็เต็มไปด้วยความสุดโต่งและไม่ว่าจะเป็นการเมืองในประเทศ การเมืองระหว่างประเทศ (เช่น สถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา) ไปจนถึงระดับโลก ก็จะเห็นสงครามข้อมูลข่าวสารเกิดขึ้นอย่างหนักหน่วง 

“หัวข้อของเราใช้คำว่ามหาสงครามข้อมูลข่าวสาร ซึ่งเราพยายามแปลจากคำของคุณมาเรีย เรสซา (สื่อมวลชนชาวฟิลิปปินส์ที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ) ที่กล่าวในงานประชุมสหประชาชาติครั้งล่าสุด พูดถึงคำว่า InformationArmageddon ซึ่งหมายถึงอาจนำไปสู่วันสิ้นโลกของความจริง สิ้นสุดของของความจริงด้วยมวลมหาของข้อมูลที่ถาโถมแล้วทำให้เราเกิดภาวะซึมเศร้า เกิดภาวะความเหนื่อยล้าของข่าวสาร จนนำไปสู่ภาวะหลีกเลี่ยงข้อมูลข่าวสาร (News Avoidance)” สุภิญญา กล่าว 

Sweta Madhuri Kannan, First Secretary, Cultural Affairs and Press, Embassy of the Federal Republic of Germany Bangkok กล่าวถึงโครงการที่โคแฟคจะมีความร่วมมือกับสถานทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย ในเรื่องความเชื่อถือในข้อมูล – ข้อเท็จจริงในช่วงที่จะมีการเลือกตั้งในประเทศไทย ในปี 2569 โดยจะมีกิจกรรมหลายอย่างซึ่งรวมถึงการสร้างความร่วมมือกับทุกพรรคการเมือง ตลอดจนสร้างการรับรู้ไม่เฉพาะในกรุงเทพฯ แต่รวมถึงในจังหวัดอื่นๆ ด้วย 

จากนั้นเป็นการเสวนาหัวข้อ จากข่าวลวงสู่อคติยืนยัน ความเกลียดชังที่วนซ้ำ โดย กุลธิดา สามะพุทธิ  กองบรรณาธิการโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า จากประสบการณ์ 3 ปีในการทำงานตรวจสอบข้อมูล (Fact – Check) มีเนื้อหาอยู่ประเภทหนึ่งที่ตนไม่สบายใจ คือเนื้อหาเท็จที่มีเจตนาสร้างความเกลียดชัง ซึ่งจะแตกต่างกับเนื้อหาเท็จที่ถูกเผยแพร่ไปด้วยความไม่รู้และไม่มีเจตนาสร้างความเสียหายกับใคร 

ทั้งนี้ มี 4 กลุ่มที่ตนเห็นว่ามักตกเป็นเป้าหมายของการสร้างข้อมูลเท็จที่นำไปสู่การสร้างความเกลียดชัง คือ 1.นักการเมืองหญิง แม้จะยังไม่มีการเก็บสถิติที่ชัดเจน แต่จากการสังเกตก็พบว่านักการเมืองหญิงน่าจะเจอเรื่องนี้มากกว่านักการเมืองชาย เช่น การตัดต่อภาพโป๊เปลือย การเผยแพร่ข้อมูลอ้างเรื่องพฤติกรรมไม่เหมาะสม และยังไม่รวมถึงเนื้อหาเชิงล้อเลียนดูถูก

2.แรงงานข้ามชาติ มีตัวอย่างจากข่าวนักเรียนที่เป็นลูกหลานแรงงานข้ามชาติ ร้องเพลงชาติเมียนมาในศูนย์การเรียนรู้แห่งหนึ่งที่ จ.สุราษฎร์ธานี หรือข่าวชาวเมียนมาข้ามมาคลอดลูกในประเทศไทย นำไปสู่การเผยแพร่เนื้อหาสร้างความเกลียดชัง เนื้อหาเท็จ ตลอดจนเนื้อหาบิดเบือนเกี่ยวกับมาตรการของรัฐว่าด้วยแรงงานข้ามชาติ 

3.ผู้นับถือศาสนาอิสลาม ชาวมุสลิมถูกสร้างความเกลียดชังจากกลุ่มชาวพุทธสุดโต่ง อย่างเมื่อเร็วๆ นี้ตนได้เก็บข้อมูลคลิปวิดีโอจากแพลตฟอร์ม TikTok จำนวน 250 คลิป ที่มีเนื้อหาสร้างความเกลียดชังชาวมุสลิม พบการใช้ข้อกล่าวหาและถ้อยคำที่รุนแรงมาก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าได้บ่มเพาะความเกลียดชังในใจมากน้อย – เพียงใด แล้วจะระเบิดออกมาเมื่อใด และ 4.ชาวกัมพูชา ซึ่งพบเห็นความเกลียดชังเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงที่เกิดการสู้รบกับไทยเมื่อเดือน ก.ค. 2567 

ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วตนยังคงจะมุ่งมั่นทำงานตรวจสอบข้อมูล – ข้อเท็จจริงต่อไป แม้ลำพังสิ่งนี้จะยังไม่เพียงพอกับการจัดการกับอารมณ์หรือคติที่สั่งสมมา แต่อย่างน้อยจะทำให้สังคมกลับมาให้ความสำคัญกับความจริงก่อน นอกจากนั้นตนอยากขอให้หน่วยงานของรัฐหรือองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ร่วมมือกับโคแฟค เช่น เมื่อทางโคแฟคติดตามไปสอบถามข้อมูล เพราะเรากำลังทำหน้าที่ทำความจริงให้ปรากฏ ก็จะเป็นประโยชน์มาก

ส่วนแพลตฟอร์มไมได้หวังอะไรมาก ช่วงส่งคนมามอนิเตอร์องค์กรที่ทำด้าน Fact Check หน่อย สมมติ AFP Fack Check , ThaiPBS Verify , โคแฟค ถ้าเห็นรายงาน Fact Check ของเราแล้วช่วยไปจัดการหน่อยว่าเราจะทำเนื้อหานี้อย่างไร แค่นี้ง่ายๆ เลยไม่ต้องคิดถึง Partnership (หุ้นส่วน) อะไรที่ใหญ่โต อีกอันคือช่วยเปิดการมองเห็น ถ้าเกิด Content Creator (ผู้สร้างเนื้อหา) เขาขอแบบช่วยเปิดการมองเห็น สร้างรายได้จากเนื้อหาให้กับผู้ใช้ Social Media ได้ ก็ช่วยเปิดการมองเห็นเนื้อหาของของค์กรที่ทำงาน Fact Check หน่อยเท่านั้นเอง เท่านั้นก็จะช่วยได้มากแล้ว กุลธิดา กล่าว

บัญชา จันทร์สมบูรณ์ กองบรรณาธิการโคแฟค (ประเทศไทย) และอดีตผู้สื่อข่าว นสพ.แนวหน้ากล่าวว่า ตนมาร่วมงานกับโคแฟคได้เพียง 2 เดือน คือในช่วงเดือน ส.ค. – ก.ย. 2568 เจอเนื้อหาเท็จหรือเนื้อหาบิดเบือนที่สร้างความเกลียดชังจำนวนมากทั้งที่ทำโดยผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ชาวไทยและชาวกัมพูชา เช่น คลิปวิดีโอน้ำท่วมวัดคูหาสุวรรณ จ.สุโขทัย เมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2568 ถูกชาวกัมพูชานำไปแชร์ต่อในลักษณะซ้ำเติมผู้ประสบภัยชาวไทย แต่หลังจากนั้นก็มีชาวไทยนำกลับมาแชร์โดยอ้างว่าเป็นคลิปน้ำท่วมในกัมพูชา เพื่อซ้ำเติมผู้ประสบภัยชาวกัมพูชา

คลิปน้ำท่วมสะพานใน จ.เชียงราย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเดือน ก.ย. 2567 ถูกชาวกัมพูชานำไปแชร์โดยใส่วันที่ในคลิปเป็นเดือน ต.ค. 2568 , คลิปน้ำท่วมในประเทศเม็กซิโก เมื่อเดือน มิ.ย. 2568 ถูกชาวไทยนำมาแชร์ต่อเมื่อต้นเดือน ต.ค. 2568 โดยอ้างว่าเป็นมวลน้ำจากเวียดนามไหลเข้าท่วมกัมพูชา พร้อมข้อความทำนองว่าไม่เห็นใจใดๆ ทั้งสิ้น และขอให้ท่วมให้ย่อยยับพินาศไป 

หรือคลิปที่มีเนื้อหาเสียดสีล้อเลียน ในช่วงที่มีสถานการณ์สู้รบระหว่างทหารทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งไทยและกัมพูชาต่างจัดตั้งศูนย์อพยพสำหรับพลเรือนของตนเอง มีผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ชาวไทยแชร์คลิปวิดีโออ้างว่าชาวกัมพูชาทำอาหารมีกุ้งตัวโตๆ ในศูนย์อพยพอวดชาวไทย แต่จริงๆ แล้วคลิปดังกล่าวเป็นการทำอาหารเลี้ยงเด็กกำพร้าในสถานสงเคราะห์แห่งหนึ่งในกัมพูชาตั้งแต่เมื่อเดือน มิ.ย. 2568 เป็นต้น 

แต่ที่ทำให้รู้สึกเป็นคำถามในใจมากที่สุด คือตนเป็นคนหนึ่งที่ชอบติดตามเนื้อหาเรื่องอาวุธปืน การต่อสู้ ยุทธวิธีทางตำรวจ – ทหาร แล้วไปเจอเพจเฟซบุ๊กหนึ่งโพสต์ข้อความแนะนำให้ใช้น้ำยาล้างห้องน้ำ พริกป่น ฯลฯ ล้างตาเมื่อถูกแก๊สน้ำตา ซึ่งเป็นช่วงที่เจ้าหน้าที่ตำรวจของไทยกำลังพยายามผลักดันชาวกัมพูชาที่เข้ามารุกล้ำตั้งถิ่นฐานในดินแดนของไทยออกไป มีการใช้ยุทธวิธีอย่างที่เห็นในการรับมือการชุมนุมต่างๆ เช่น แก๊สน้ำตา กระสุนยาง 

ซึ่งโพสต์นี้แม้จะเข้าใจว่าเป็นการเสียดสีหรือทำเป็นเรื่องขบขัน แต่อีกมุมหนึ่งก็เป็นโพสต์ที่ก่อให้เกิดอันตรายและเป็นการสร้างความเกลียดชัง โดยโพสต์นี้เป็นอีกครั้งที่ทำให้ตนสงสัยว่า ชาตินิยมหรือความมั่นคงกับสิทธิมนุษยชนจะไม่มีจุดที่ไปด้วยกันได้เลยหรือ? เพราะหลังจากโคแฟคนำเสนอเรื่องนี้ไป ตนก็ไปเห็นแอดมินหรือผู้ดูแลเพจดังกล่าวไปโพสต์ไว้ในอีกเพจหนึ่งว่าตอนแรกจะลบ แต่พอเห็นพี่น้องที่เสียชีวิตไปจึงตัดสินใจไม่ลบ ซึ่งตนเข้าใจว่าแอดมินน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่สักหน่วยงานหนึ่ง โดยเพจนี้มีผู้ติดตามทั้งที่เป็นเจ้าหน้าที่และพลเรือน 

หรืออย่างประเด็นแรงงานข้ามชาติ เช่น เมียนมา กัมพูชา เข้ามาแย่งงานคนไทย ทั้งที่หากไปดูข้อมูลของกระทรวงแรงงานจะเห็นว่าแรงงานกลุ่มนี้มาทำงานที่คนไทยไม่ทำ อย่างงานระดับล่าง งานกลุ่ม 3D คือ Dirty (งานสกปรกเนื้อตัวมอมแมม) Difficult (งานลำบาก) Dangerous (งานอันตราย) เช่น งานประมง งานก่อสร้าง หรืองานการผลิตในโรงงานของหลายๆ กิจการ แต่เรื่องนี้เป็นปัญหาทั่วโลกในประเทศที่เจริญขึ้นมา ตนขอท้าใครก็ได้ ช่วยหาข้อมูลว่ามีประเทศที่เจริญแล้วที่ใดบ้างสามารถดึงคนท้องถิ่นให้ทำงานประเภทนี้ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาแรงงานข้ามชาติ 

“พูดถึงข่าวลวงวนในแพลตฟอร์ม ผมอยากให้แพลตฟอร์มช่วยรับผิดชอบเหมือนกัน ถ้าเป็นฝั่งกัมพูชาทำผมเดาว่าเพราะเขาอาจอยู่ในสังคมปิด สื่อเขาไม่ได้เสรีมาก แต่ฝั่งไทยทำผมมองว่าเป็นเพราะเรื่องรายได้ เพราะสังเกตว่าคลิปที่ทำกัน บางทีก็ไมได้พูดเรื่องการเมือง เอาความเกลียดชัง เอาคลิปข่าวปลอมมาวนเป็นขำขัน แล้วเขียนว่าเปิดการมองเห็น คลิปสร้างรายได้ ครีเอเตอร์มือใหม่ ซึ่งก็จะมีการโชว์ เพจพวกนี้ก็จะโชว์ว่าเดือนนี้ได้เท่านี้นะ เราพยายามต่อไปกัน แพลตฟอร์มคุณให้รายได้กับแบบนี้ด้วยหรือ? ถ้าให้จริงๆ อันตราย” บัญชา กล่าว 

อภิเดช เตปิน  นักวิจัย Neo Momentum เล่าถึงข้อค้นพบจากงานวิจัยติดตามพฤติกรรมการแสดงความคิดเห็นหรือเผยแพร่เนื้อหาทางสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งพบว่า บนพื้นที่ออนไลน์กจากจะเป็นสงครามข้อมูลจริง – เท็จ แล้วยังยังเป็นสงครามของอารมณ์ด้วย เพราะเมื่อข้อมูลเดินทางไปสัมผัสกับอารมณ์ของคน ข้อมูลก็สามารถถูกตีความ ชักจูงหรือชี้นำ จากความกลัวสิ่งอื่น (Others) กลายเป็นความโกรธ สุดท้ายก็กลายเป็นเรื่องเล่าหรือวาทกรรม และทำให้ข้อมูลนั้นถูกเชื่อและแชร์จนดำรงอยู่ในโลกออนไลน์ได้นานกว่าความเป็นจริง 

ทั้งนี้ โลกออนไลน์ปัจจุบันคนไม่ได้เลือกเชื่อตามข้อเท็จจริง แต่เลือกเชื่อตามอคติที่ยืนยันความเชื่อเดิมของตน (Confirmation Bias) อย่าง 2 กรณีศึกษาที่ทำ คือกรณีแรงงานเมียนมา และกรณีความขัดแย้งไทย – กัมพูชา พฤติกรรมของผู้ใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ไม่ได้แชร์ข้อมูลเพื่อแสวงหาความจริง แต่แชร์เพื่อยืนยันความรู้สึกการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มของตนเอง ข้อมูลก็จะถูกแชร์กลับไป – มาในกลุ่ม เราก็จะได้ยินแต่เสียงที่สบายใจ หรือที่เรียกว่าปรากฏการณ์ห้องเสียงสะท้อน (Echo Chamber) 

อีกทั้งเครือข่ายการสื่อสารของกลุ่มต่างๆ ยังแยกกัน แทบไม่เชื่อมกัน และการแชร์ข้อมูลของแต่ละกลุ่มก็ไม่ได้เป็นไปเพื่อทำความเข้าใจอีกฝ่ายหนึ่ง แต่เพื่อยืนยันความรู้สึกว่าเราคิดเหมือนกัน สิ่งที่เจอจึงอาจไม่ใช่สังคมแบ่งขั้ว (Polarization) แต่เป็นสังคมคู่ขนาน (Parallel Society) แต่ละกลุ่มมีชุดข้อมูล ความจริงและเรื่องเล่าเป็นของตนเอง ความขัดแย้ง ณ เวลานี้ไม่ใช่เพียงคนไม่เห็นพ้องต้องกัน แต่คือการที่คนไม่เห็นกัน 

ซึ่งการมองปัญหาข่าวลวงจึงไม่สามารถมองเพียงในกรอบของข้อมูลที่ผิดหรือการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะอาจทำให้เรามองไม่เห็นแรงขับภายในที่ทำให้ความเกลียดมันยังดำรงอยู่ นั่นคือกลไกทางอารมณ์และเรื่องเล่า ข่าวลวงอาจเป็นเหมือนอาการภายนอกของปัญหา แต่สิ่งที่ทำให้ความเกลียดชังยังคงเผยแพร่ซ้ำเป็นวงจรได้คืออารมณ์ของคนที่ยังไม่ได้รับการเยียวยา 

เรามองว่าการสลายวงจรแห่งความเกลียดชังมันอาจจะต้องเริ่มจากการเปลี่ยนสภาวะอารมณ์ของพื้นที่ดิจิทัลให้นอกจากจะตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วมันยังต้องเข้าใจอารมณ์ ความกลัว ความเจ็บปวด ความรู้สึกของผู้คนทั้งในโลกจริงและใน Social Media ด้วยว่าอารมณ์ที่มันอยู่เบื้องหลังของข้อมูลเหล่านั้นมันคืออะไร? การสร้างสันติภาพของข้อมูลและอารมณ์มันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราฟื้นความเข้าใจระหว่างกัน จากความโกรธให้ไปสู่ความเข้าใจจากการตรวจสอบข้อเท็จจริง มันอาจนำไปสู่การเยียวยาทางความรู้สึกได้ อภิเดช กล่าว 

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

นิเทศฯ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดงานเสวนา “สื่อสารปัญหาชายแดนอย่างไรไม่ให้เกลียดชัง” 

วงเสวนาวิชาการ นิเทศ จุฬาฯ ชี้ สื่อมืออาชีพควรระวังการเผยแพร่เนื้อหาที่มาจากสื่อออนไลน์ หันมาส่งเสริมการเรียนรู้ คิดวิเคราะห์จากข่าวต่างประเทศและประวัติศาสตร์โลก ภาคการศึกษาควรรุกส่งเสริมการรู้เท่าทันข้อมูลในยุคแห่งข่าวลวง องค์กรวิชาชีพตอบรับพร้อมสร้างความเข้าใจ มีแนวปฏิบัติที่ชัดเจน หลังบางสื่อปั่นกระแสข่าวความขัดแย้งไทย-กัมพูชาเสี่ยงสร้างความแตกแยก-เกลียดชัง

เมื่อวันอังคารที่ 21 ตุลาคม 2568 คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดงานเสวนา “สื่อสารปัญหาชายแดนอย่างไรไม่ให้เกลียดชัง” ณ ห้องประชุม ดร.เทียม โชควัฒนา คณะนิเทศศาสตร์ โดยมีวิทยากรเข้าร่วม ได้แก่ ผศ.ดร.ธเนศ เวศร์ภาดา นายกสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ผศ.ดร.จิรยุทธ์ สินธุพันธุ์ นักวิจัยด้านวัฒนธรรมศึกษาสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายชวรงค์ ลิมปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ นางสาวกุลชาดา ชัยพิพัฒน์ ที่ปรึกษาภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) และนายสันติวิธี พรหมบุตร รองบรรณาธิการ รายการ See True ไทยรัฐทีวี โดยมีผศ.ดร.ชนัญสรา อรนพ ณ อยุธยา ผู้ช่วยคณบดี คณะนิเทศศาสตร์ เป็นผู้ดำเนินรายการ

รศ.ดร.ปรีดา อัครจันทโชติ คณบดี คณะนิเทศศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ในปี 2568 นี้เป็นปีที่คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ มีอายุครบ 60 ปีและมีการเฉลิมฉลองภายใต้แนวคิด “Communicate a Betterverse for All” ซึ่งเชื่อว่าการสื่อสารเป็นหัวใจในการสร้างสังคมที่ดีขึ้นในทุกระดับ และเกี่ยวข้องกับคนทุกกลุ่มในสังคม การเสวนาในครั้งนี้จึงเป็นการช่วยหาคำตอบว่าจะสื่อสารอย่างไรให้ก้าวพ้นความขัดแย้งซึ่งรวมถึงเรื่องเชื้อชาติและพรมแดน

ผศ.ดร.ธเนศ กล่าวว่า ที่ผ่านมาพบเนื้อหาที่มีลักษณะหยาบคาย ติดป้ายตีตรา ยั่วยุ และมีอคติในสื่อโดยเฉพาะในออนไลน์และมีสื่อกระแสหลักบางส่วนนำไปเผยแพร่ต่อ ทั้งๆ ที่ผู้พูดไม่ใช่ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ จึงเป็นการขยายอารมณ์ที่มีแนวโน้มจะรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ออกไปด้วย นอกจากนี้ ผู้อ่าน ผู้ชมที่เป็น “แฟนคลับ” ของบุคคลที่ปรากฏอาจยิ่งช่วยกันกระพือกระแสให้มีความรุนแรงยิ่งขึ้นไป ปรากฏการณ์เช่นนี้ย่อมกระทบคนในสังคมโดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ดังนั้น ครูอาจารย์ควรระมัดระวังไม่ตอบสนองด้วยอคติ และสถาบันการศึกษาควรมีหลักสูตรปลูกฝังความรู้เท่าทันสื่อให้กับเด็กและเยาวชนได้ฝึกคิด วิเคราะห์ทำความเข้าใจตั้งแต่อายุยังน้อย

“ข่าวที่ออกมากระทบกับผู้คนจริงๆ ทั้งในพื้นที่และนอกพื้นที่ กระทบกับเยาวชน ต่อให้เราบอกว่าเด็กเดี๋ยวนี้ไม่สนใจหรอก นั่นไม่จริง เด็กสนใจและมีผลกระทบจริงๆ แต่วิจารณญาณจะอยู่ตรงไหน” ผศ.ดร.ธเนศ กล่าว

​นางสาวกุลชาดา กล่าวว่า ในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา ภาคีCofact ซึ่งเป็นองค์กรรณรงค์ต่อต้านข่าวลวงและข้อมูลบิดเบือนได้ตรวจสอบพบเนื้อหาเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาที่มีข้อมูลเท็จและบิดเบือนจำนวนมากกว่า 40 ชิ้นถูกเผยแพร่ทั้งทางออนไลน์และทางสื่อกระแสหลักของไทย ทั้งนี้ คนไทยควรตระหนักว่าปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งมีความเกี่ยวเนื่องกับปัญหาการเมือง

“ในมิติที่เกิดขึ้นตอนนี้มาจากปัญหาการเมืองจริงๆ มันก็จำเป็นอย่างหนึ่งที่จะต้องแก้ด้วยการเมือง และการรายงานของสื่อในช่วงเวลาที่กำลังจะไปสู่การเลือกตั้ง เป็นช่วงที่มีความกังวลว่า แม้ในพื้นที่ไม่มีเหตุปะทุขึ้นแต่ในโลกออนไลน์ปัญหาอารมณ์ค้างจะยังอยู่ และเรารู้ว่าประเด็นเกี่ยวกับกัมพูชาจะถูกใช้อย่างเต็มรูปแบบในช่วงการเลือกตั้ง ขอฝากให้สื่อมวลชนกลับมาคิดและเตรียมตัว”

ในขณะที่นายสันติวิธีได้นำเสนอประสบการณ์การรายงานข่าวและทำรายการสารคดีเกี่ยวกับปัญหาบริเวณชายแดน ทั้งความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ตั้งแต่ปี 2554 รวมทั้งความขัดแย้งครั้งล่าสุด และปัญหา scammers ที่มีแหล่งกบดานในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเป็นการรายงานข้อเท็จจริงในแนวทางวารสารศาสตร์เพื่อสันติภาพ (peace journalism) นายชวรงค์กล่าวว่าเห็นด้วยกับแนวทางวารสารศาสตร์เพื่อสันติภาพ อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า ข่าวหรือสารคดีคุณภาพดีต้องใช้เวลาและทรัพยากรมาก ในขณะที่อุตสาหกรรมโทรทัศน์มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงเพื่อแย่งชิงเรตติ้งซึ่งจะแปรเปลี่ยนเป็นรายได้ของสื่อ

“วันนี้คนสนใจข่าวไทย-กัมพูชา สื่อก็ต้องให้เวลาข่าวเรื่องนี้เยอะ พอมีเวลา[ออกอากาศ]เยอะจะเอาอะไรมานำเสนอ ก็ต้องนำเนื้อหามาจาก social media มาใช้ และนี่คือปัญหา แล้วไม่ได้เอาคลิปจากฝั่งเดียวด้วย เอาฝั่งนี้ เอาฝั่งโน้นตอบโต้กันไปมา ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นข้อห้ามตั้งแต่แรกที่เราคุยกันมาตลอดว่าไม่ควรเอาคลิปมา เคยถาม ก็ได้คำตอบว่า ถ้าไม่เอาคลิปมาก็ไม่รู้จะนำเสนออะไรแล้ว”

องค์กรวิชาชีพจึงมีแนวคิดว่าจะนำแนวปฏิบัติในการนำเสนอข่าวในช่วงเหตุการณ์การสู้รบที่เคยจัดทำไว้แล้วมาเพิ่มรายละเอียดและทำความเข้าใจกับสื่อ ถือเป็นส่วนหนึ่งของการทำหน้าที่กำกับดูแลกันเองของสื่อมวลชน นายชวรงค์ กล่าว

ผศ.ดร.จิรยุทธ์ ได้ยกตัวอย่างเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์สมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและอาจมีหลายวิธีการในการแก้ปัญหา โดยไม่จำเป็นต้องเป็นการต่อสู้ปะทะโดยตรงเสมอไป ทั้งนี้ สื่อมวลชนควรนำเสนอข่าวต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นและให้ความรู้แก่ประชาชน เพื่อที่จะได้เรียนรู้โลกกว้างและตระหนักว่าปัจจุบันเป็นยุคสมัยแห่งการการแย่งชิงทรัพยากรครั้งสำคัญของโลก

“สื่อเรามีบทบาทและความสามารถมากกว่าแค่การเป็นผู้รายงานข่าว แต่สามารถที่จะวางกรอบความคิดอะไรบางอย่างที่เราอยากให้สังคมดำเนินไปได้ ผมอยากเห็นสื่อทำงานตรงนี้มากขึ้น อย่างเช่นที่คุณกุลชาดาบอกว่า นี่ก็กำลังจะเลือกตั้งแล้ว แล้วประเด็นเรื่องกัมพูชาต้องมาแน่ๆ เราต้องมานั่งคุยกันว่าแล้วเราอยากให้มันออกมายังไง ผมคิดว่าสื่อสามารถมีบทบาทสำคัญได้”

ผศ.ดร.จิรยุทธ์ กล่าวด้วยว่า สื่อสามารถมีบทบาทในการช่วยให้เกิดคุณค่า เรื่องเล่า (narrative) อัตลักษณ์ คุณค่าและจิตสำนึกแบบใหม่ในอาเซียนได้ เช่นเดียวกับที่ปัญหาพรมแดนในเอเชียกลาง 5 ประเทศที่มีมาหลายร้อยปีสามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้และมีการรวมตัวกันก่อตั้ง The Organization of Turkic Statesเพราะตระหนักว่าหากไม่แก้ปัญหาร่วมกันก็จะไม่สามารถดึงดูดนักลงทุนและไม่สามารถหาประโยชน์จากทรัพยากรร่วมกันได้

“ตัวประกันอิสราเอลยกย่องกลุ่มฮามาส” เนื้อหาเท็จจากตะวันออกกลางลามสู่ไทย

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค

ข้อความที่อ้างว่าเป็นคำพูดของนายอเล็กซานเดอร์ ทรูฟานอฟ ตัวประกันอิสราเอลกล่าวยกย่องกลุ่มฮามาสหลังจากได้รับการปล่อยตัว เป็นเนื้อหาเท็จที่ถูกเผยแพร่โดยผู้ใช้โซเชียลมีเดียในหลายประเทศมาตั้งแต่ต้นปี 2568 ล่าสุดเพจเฟซบุ๊กสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ในไทยได้นำมาโพสต์ มีผู้แชร์ต่อกว่า 6,500 ครั้ง 

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: นายอเล็กซานเดอร์ ทรูฟานอฟ ตัวประกันอิสราเอลเปิดใจหลังฮามาสปล่อยตัว ชื่นชมกลุ่มฮามาสที่ดูแลอย่างดี เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์  

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ นำข้อความที่อินฟลูเอนเซอร์ชาวปาเลสไตน์โพสต์ใน X มาบิดเบือนว่าเป็นถ้อยคำของตัวประกันอิสราเอล**

เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 17 ต.ค. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “Thailand Stand with Palestine ไทยเคียงข้างปาเลสไตน์” ซึ่งมีผู้ติดตามเกือบ 1 แสนบัญชี โพสต์ภาพนายอเล็กซานเดอร์ ทรูฟานอฟ ตัวประกันอิสราเอลวัย 29 ที่ถูกกลุ่มฮามาสจับเป็นตัวประกัน ฝังข้อความว่า “ตัวประกันอิสราเอลเผยความในใจ 489 วันที่ผมอยู่ท่ามกลางพวกคุณ” (ลิงก์บันทึก) และเขียนบรรยายในโพสต์ว่า นายอเล็กซานเดอร์ ทรูฟานอฟ (เพจไทยเคียงข้างปาเลสไตน์ฯ เขียนผิดเป็น “ทูร์บานอฟ”) ที่เพิ่งได้รับการปล่อยตัวจากการแลกเปลี่ยนเชลยได้เปิดเผยข้อมูลที่ได้ประสบกับตนเองตลอดเวลาที่อยู่กับฮามาส “ทำเอาทั้งอิสราเอลถึงกับช็อก !” 

ส่วนหนึ่งของข้อความระบุว่า “ตลอด 498 วันที่ผมมีชีวิตอยู่ท่ามกลางพวกคุณ แม้ในขณะที่พวกคุณต้องเผชิญการรุกรานและอาชญากรรมมากมาย ผมได้เรียนรู้ถึงความหมายที่แท้จริงของความเป็นลูกผู้ชาย ความกล้าหาญอันบริสุทธิ์ และการเคารพต่อความเป็นมนุษย์” และ “แม้ว่าผมจะอยู่ในมือของชายผู้ต่อสู้เพื่อแผ่นดินและสิทธิ์ที่ถูกปล้นไป และแม้ว่ารัฐบาลของผมจะกำลังก่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อันโหดร้ายต่อประชาชนที่ถูกปิดล้อม แต่พวกคุณไม่เคยปล่อยให้ผมอดอยาก หรือถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรีแม้แต่วินาทีเดียว”

โคแฟคตรวจสอบ: จากการตรวจสอบการรายงานข่าวของสำนักข่าวต่างประเทศที่เชื่อถือได้และรายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริง (fact-check) ที่เคยตรวจสอบเนื้อหานี้ สรุปข้อมูลได้ดังนี้ 

1. นายอเล็กซานเดอร์ ทรูฟานอฟ เป็นชาวอิสราเอลเชื้อสายรัสเซียวัย 29 ปี ที่ถูกกลุ่มฮามาสจับเป็นตัวประกันเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2566 และได้รับการปล่อยตัวเมื่อ 15 ก.พ. 2568 เขาจึงไม่ใช่ตัวประกันที่ “เพิ่งได้รับการปล่อยตัว” ตามเงื่อนไขแลกเปลี่ยนตัวประกันกับนักโทษภายใต้ข้อตกลงหยุดยิงระยะแรกตามแผนสันติภาพของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ในเดือน ต.ค. 2568

2. หลังจากได้รับการปล่อยตัว นายอเล็กซานเดอร์พูดต่อสาธารณะเพียงไม่กี่ครั้ง ครั้งแรกเป็นคลิปวิดีโอที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 1 มี.ค. 2568 ซึ่งเขากล่าวขอบคุณทุกฝ่ายที่มีส่วนช่วยให้ได้รับอิสรภาพและแสดงความห่วงใยตัวประกันที่ยังถูกคุมขังซึ่งต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานทางจิตใจอย่างแสนสาหัส

อีกครั้งหนึ่งคือระหว่างการเข้าพบนายวลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2568 เขาพูดกับผู้นำรัสเซียว่าแม้จะได้รับอิสรภาพหลังถูกคุมขังนาน 498 วัน แต่ใจเขายังอยู่กับตัวประกันอีกหลายคนที่ยังไม่ได้รับการปล่อยตัว และเรียกร้องให้ปูตินรีบดำเนินการเพื่อช่วยเหลือตัวประกันที่เหลือ

3. วันที่ 17 ต.ค. 2568 Snopes.com ซึ่งเป็นองค์กรตรวจสอบข้อเท็จจริงในสหรัฐฯ ที่มีความน่าเชื่อถือและได้รับการอ้างอิงจากสื่อหลายสำนักทั่วโลก ได้เผยแพร่รายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อความที่อ้างว่าตัวประกันอิสราเอลยกย่องกลุ่มฮามาสพบว่า จริง ๆ แล้วเป็นข้อความที่อินฟลูเอนเซอร์ชาวปาเลสไตน์ชื่อ Khaled Safi โพสต์ในแอปพลิเคชัน X วันเดียวกับที่นายอเล็กซานเดอร์ได้รับการปล่อยตัวเมื่อ 15 ก.พ. 2568

ในโพสต์ดังกล่าว นาย Khaled ได้แชร์ภาพข่าวการปล่อยตัวนายอเล็กซานเดอร์และเขียนข้อความประกอบเป็นภาษาอาหรับในลักษณะที่ทำให้เข้าใจว่านายอเล็กซานเดอร์กล่าวชื่นชมกลุ่มฮามาสที่ดูแลตัวประกันเป็นอย่างดีจนเชลยอย่างเขาสัมผัสได้ถึงความเมตตา ความกล้าหาญและการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของกลุ่มฮามาส 

เมื่อใช้เครื่องมือแปลภาษาพบว่าตรงกับข้อความภาษาอังกฤษที่ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นคำพูดของนายอเล็กซานเดอร์เกือบทั้งหมด

หลังจากที่ข้อความในโพสต์ X ถูกนำไปบิดเบือนว่าเป็นถ้อยคำของตัวประกันอิสราเอล นาย Khaled จึงได้โพสต์ชี้แจงหลายครั้งว่าเขาเขียนข้อความนี้ขึ้นเอง ข้อความนี้ไม่ใช่ถ้อยคำของตัวประกันอิสราเอล

เปรียบเทียบข้อความจากโพสต์ X ของ Khaled Safi อินฟลูเอนเซอร์ชาวปาเลสไตน์ ซึ่งเมื่อใช้เครื่องมือแปลภาษาของ X แปลจากภาษาอาราบิกเป็นภาษาอังกฤษพบว่าตรงกับข้อความที่อ้างว่าเป็นถ้อยคำของนายอเล็กซานเดอร์ ทรูฟานอฟ ตัวประกันอิสราเอล

Yahoo News ได้นำรายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงของ Snopes ในเรื่องนี้มาเผยแพร่ด้วยเช่นกัน

4. เนื้อหาเท็จที่อ้างว่าเป็นถ้อยคำของนายอเล็กซานเดอร์ชื่นชมกลุ่มฮามาสถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางมาตั้งแต่เขาได้รับการปล่อยตัวเมื่อเดือน ก.พ. 2568 และถูกนำมาเผยแพร่อีกครั้งในเดือน ต.ค. 2568 เนื่องจากผู้คนกำลังให้ความสนใจการแลกเปลี่ยนตัวประกันและผู้ต้องขังชาวปาเลสไตน์ตามแผนสันติภาพเฟสแรกของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยเมื่อวันที่ 13 ต.ค. 2568 กลุ่มฮามาสได้ปล่อยตัวประกันชาวอิสราเอล 20 คน ขณะที่อิสราเอลได้ปล่อยตัวนักโทษปาเลสไตน์ 250 คน

ข้อสรุปโคแฟค: นายอเล็กซานเดอร์ ทรูฟานอฟ ตัวประกันอิสราเอลที่ถูกกลุ่มฮามาสจับตัวไปเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2566 ได้รับการปล่อยตัวเมื่อวันที่ 15 ก.พ. 2568 หลังจากเขาได้รับการปล่อยตัว มีการนำข้อความจากโพสต์ X ของอินฟลูเอนเซอร์ชาวปาเลสไตน์มาบิดเบือนว่าเป็นถ้อยคำของนายอเล็กซานเดอร์ที่กล่าวยกย่องชื่นชมกลุ่มฮามาส อินฟลูเอนเซอร์คนดังกล่าวได้ออกมาชี้แจงว่าเขาเป็นผู้เขียนข้อความนี้เอง ไม่ใช่คำพูดของตัวประกันอิสราเอล 

เนื้อหาเท็จนี้กลับมาแพร่ระบาดอีกครั้งในช่วงเดือน ต.ค. 2568 โดยผู้ใช้โซเชียลมีเดียทั้งในต่างประเทศและในไทย เช่น เพจเฟซบุ๊ก “Thailand Stand with Palestine ไทยเคียงข้างปาเลสไตน์” หลังจากอิสราเอลและกลุ่มฮามาสปล่อยตัวประกันและผู้ต้องขังจำนวนหนึ่งเมื่อวันที่ 13 ต.ค. 2568 ซึ่งเป็นไปตามแผนสันติภาพเฟสแรกของประธานาธิบดีสหรัฐฯ

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ

หัวไชเท้ากำจัดสารพัดพิษได้จริงหรือ?

วันที่  21  ตุลาคม  2568  รายการ  “รวมพลคนเช็กข่าว”  EP.22 โดย COFACT  ได้นำเสนอประเด็นร้อนในโลกออนไลน์เกี่ยวกับสรรพคุณของหัวไชเท้าที่ถูกกล่าวอ้างว่าเป็น “อาหารทางการแพทย์อันดับสองของโลก” และมีคุณสมบัติกำจัดสารพิษ ขับมะเร็ง และรักษาโรคสารพัด ผู้ร่วมรายการประกอบด้วย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT, รศ.ดร.วันทนีย์ เกรียงสินยศ อาจารย์ประจำหลักสูตรโภชนาการและการกำหนดอาหาร สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล, กฤษฎา วงศ์ไข่ จากวิทยุชุมชนคนเมืองลี้ ลำพูน และผู้ดำเนินรายการ สุชัย เจริญมุขยนันท

สุภิญญา กลางณรงค์ เริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามถึงกระแสในโซเชียลมีเดียที่แชร์ว่าหัวไชเท้ามีสรรพคุณมหัศจรรย์เช่น ขับเชื้อโรค บำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล และฟื้นฟูตับไต เธอระบุว่าข้อมูลเหล่านี้มักวนเวียนตามเทศกาล เช่นช่วงกินเจ ซึ่งทำให้คนสงสัยว่าจริงหรือเกินจริง พร้อมแนะนำให้ระวังการแชร์ข้อมูลที่อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด โดยเฉพาะในเรื่องสุขภาพที่อาจส่งผลกระทบร้ายแรงได้

กฤษฎา วงศ์ไข่ เริ่มเปิดคำถามว่า แชร์กันในโลกออนไลน์ว่าหัวไชเท้าเป็นผักที่มีความพิเศษ คือเป็นตัวช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน กำมะถันในหัวไชเท้าจะช่วยขับไล่พิษทุกชนิดที่อยู่ในลำไส้ หรือขับปรสิตต่าง  ที่อยู่ในตัวเราไปได้ จริงหรือไม่

รศ.ดร.วันทนีย์ เกรียงสินยศ ให้ข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์โดยอธิบายว่าหัวไชเท้าเป็นพืชที่มีสารกลุ่ม ออร์กาโนซัลเฟอร์ (organosulfur) เช่น กลูโคซิโนเลต(glucosinolate) ซึ่งพบในผักตระกูลกะหล่ำ เช่น บรอกโคลี และกระเทียม สารเหล่านี้มีประโยชน์ต่อพืชในการป้องกันแมลง และในร่างกายมนุษย์อาจช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน แต่ไม่สามารถยืนยันว่าฆ่าพยาธิหรือปรสิตในลำไส้ได้โดยตรง

การอ้างว่าหัวไชเท้าทำให้หลอดเลือดสะอาดหรือลดคราบจุลินทรีย์ก็ขาดหลักฐานในมนุษย์ โดยงานวิจัยส่วนใหญ่เป็นการทดลองในหลอดทดลองหรือในหนู ซึ่งพบว่าสารสกัดจากหัวไชเท้าอาจลดคอเลสเตอรอลในหนูที่มีระดับคอเลสเตอรอลสูงหลังให้สารสกัดนาน 2-3 เดือน แต่ไม่มีการศึกษาในคนที่ยืนยันผลชัดเจน

สำหรับการอ้างว่าหัวไชเท้าขับมะเร็งได้เกือบทุกชนิดอาจารย์วันทนีย์ยืนยันว่าเกินจริง มีเพียงงานวิจัยในหลอดทดลองที่พบว่าสารสกัดบางชนิดยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งบางประเภท แต่ไม่มีการศึกษาในมนุษย์ที่ยืนยันว่าสามารถรักษามะเร็งได้ ส่วนการขับโลหะหนักเช่น ตะกั่ว ปรอท หรือสารหนู และการป้องกันโรคระบบประสาท เช่น ALS หรือ MS ก็ไม่มีหลักฐานรองรับ โดยเฉพาะ ALS ซึ่งเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงที่ยังไม่มีวิธีรักษาที่ชัดเจนในทางการแพทย์

นอกจากนี้ การจัดให้หัวไชเท้าเป็น “อาหารทางการแพทย์อันดับสองของโลก” ถูกระบุว่าไม่เป็นความจริง อาหารทางการแพทย์ (Medical Food) ต้องเป็นสูตรพิเศษที่ออกแบบสำหรับโรคเฉพาะ เช่น เบาหวานหรือโรคไต และอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือนักโภชนาการ โดยไม่มีระบบการจัดอันดับอาหารทางการแพทย์ใดๆ

กฤษฎา วงศ์ไข่ ถามถึงความเชื่อพื้นบ้าน เช่น การกินหัวไชเท้าคู่กับกระเทียมเพื่อรักษาโรคเก๊าท์ ซึ่งอาจารย์วันทนีย์ตอบว่าไม่มีหลักฐานยืนยันผลโดยตรง แต่การกินผักหลากหลาย รวมถึงหัวไชเท้า อาจช่วยเสริมสุขภาพโดยรวมได้หากกินอย่างสมดุล เขายังสะท้อนถึงความท้าทายในการใช้ข้อมูลวิทยาศาสตร์หักล้างความเชื่อพื้นบ้าน โดยแนะนำให้เผยแพร่ข้อมูลอย่างระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงข้อขัดแย้ง

หัวไชเท้ามีประโยชน์จากสารออร์กาโนซัลเฟอร์และใยอาหารที่ช่วยเสริมสุขภาพทั่วไป แต่การอ้างสรรพคุณเกินจริง เช่น ขับมะเร็ง ขจัดโลหะหนัก หรือป้องกันโรคระบบประสาท ขาดหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับงานวิจัยส่วนใหญ่จำกัดอยู่ที่การทดลองในหลอดทดลองหรือในหนู ไม่สามารถยืนยันผลในมนุษย์ได้

การจัดให้หัวไชเท้าเป็น “อาหารทางการแพทย์อันดับสองของโลก” ก็ไม่เป็นความจริง เนื่องจากหัวไชเท้าเป็นเพียงอาหารทั่วไป ไม่ใช่อาหารทางการแพทย์

ควรแชร์หรือไม่? อาจารย์แนะนำว่า ไม่ควรแชร์ ข้อมูลที่เกินจริงเหล่านี้ เพราะอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่อาจละเลยการรักษาทางการแพทย์ที่เหมาะสม การกินหัวไชเท้าควรเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่หลากหลายและสมดุล เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดโดยไม่คาดหวังผลเกินจริง

ทั้งนี้ ผู้ร่วมรายการย้ำว่า การกินอาหารควรเน้นความหลากหลายและสมดุลตามหลักโภชนาการ และหากมีข้อสงสัยด้านสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเพื่อคำแนะนำที่เหมาะสม

คลิปประท้วงในเคนยา ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นภาพแก๊งจีนเทาหนีการกวาดล้างในกัมพูชา

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิป “แก๊งจีนเทา” ในกัมพูชาวิ่งหนีการกวาดล้างของเจ้าหน้าที่  

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ เป็นภาพการประท้วงในกรุงไนโรบี ประเทศเคนยาเมื่อเดือน ก.ค. 68 ** 

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 18 ต.ค. 68 ช่องยูทูบ “จารย์แหล่แชร์คริป” โพสต์คลิปวิดีโอจากติ๊กตอกเป็นภาพเหตุการณ์ที่คนจำนวนมากวิ่งไปบนถนน ฝังข้อความว่า “กัมพูชากวาดล้างจีนเทาจากคำสั่งของจีน รัฐบาลไทยต้องเตรียมรับมือการทะลักเข้าเมืองของโจรพวกนี้” และมีข้อความภาษาจีนแปลเป็นไทยว่า “การหลบหนีครั้งใหญ่จากฐานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา” คลิปนี้ยังถูกแชร์โดยบัญชีผู้ใช้ติ๊กตอกจำนวนมากในขณะนี้

คลิปที่อ้างว่าเป็นภาพ “กัมพูชากวาดล้างจีนเทา” เคยถูกเผยแพร่มาแล้วก่อนหน้านี้ เช่น บัญชีเฟซบุ๊กชื่อ “มาย มาย” โพสต์คลิปนี้เมื่อวันที่ 13 ส.ค. 68  มียอดแชร์มากกว่า 18,000 ครั้ง (ณ วันที่ 22 ต.ค. 68) 

บัญชีเฟซบุ๊กชื่อ “มาย มาย” โพสต์คลิปนี้เมื่อวันที่ 13 ส.ค. 68 มียอดแชร์จำนวนมาก

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: คลิปนี้เคยถูกนำมาสร้างเนื้อหาเท็จแล้วหลายครั้ง และหน่วยงานตรวจสอบข้อเท็จจริงในต่างประเทศหลายแห่ง เช่น factchecklab.org ของฮ่องกง, Taiwan FactCheck Center ของไต้หวัน และ AFP Fact Check ได้ตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นภาพเหตุการณ์ชุมนุมบริเวณถนน Thika ในกรุงไนโรบี ประเทศเคนยา เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 68 ซึ่งสื่อในเคนยาและสื่อต่างประเทศหลายสำนักรายงานว่าเจ้าหน้าที่ได้เข้าสลายการชุมนุม ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บอีกหลายราย   

นอกจากนี้ เมื่อตรวจสอบด้วย Google Street View พบว่าอาคารที่ปรากฏในคลิปตรงกับภาพอาคารบนถนน Thika ทำให้ยืนยันได้ว่าสถานที่ในคลิปอยู่ในประเทศเคนยา ไม่ใช่ในกัมพูชา 

บก.ลายจุด-มูลนิธิกระจกเงา ไม่เคยเรียกร้องรัฐบาลเพื่อไทยให้แก้ปัญหาสแกมเมอร์ ?

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: มูลนิธิกระจกเงาเรียกร้องเฉพาะรัฐบาลอนุทินจัดการแก๊งสแกมเมอร์ 

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาคลาดเคลื่อน มูลนิธิกระจกเงาเคยออกมาเรียกร้องเรื่องนี้ในสมัยรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตรด้วยเช่นกัน**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 19 ต.ค. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “Naewnanews – แนวหน้าออนไลน์” เผยแพร่รายงานข่าวเรื่องนายสมบัติ บุญงามอนงค์ ผู้อำนวยการมูลนิธิกระจกเงา หรือที่รู้จักกันในชื่อ “บก.ลายจุด” เรียกร้องให้รัฐบาลไทยแก้ปัญหาและปกป้องประชาชนจากขบวนการสแกมเมอร์ให้ดีกว่านี้ โดยระบุว่าในปี 2568 มูลนิธิฯ ได้รับแจ้งคนหายที่ถูกพาไปเป็นสแกมเมอร์ในกัมพูชา-ลาว-เมียนมา 119 ราย อีก 25 รายที่ยังไม่ทราบชะตากรรม

ผู้ใช้เฟซบุ๊กหลายรายที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นในโพสต์นี้ได้กล่าวหานายสมบัติและมูลนิธิกระจกเงาว่าเลือกจะออกมาเรียกร้องเฉพาะรัฐบาลชุดปัจจุบันที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ไม่เคยเรียกร้องรัฐบาลชุดก่อนหน้าที่นำโดยพรรคเพื่อไทยเพราะนายสมบัติเป็นผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการตรวจสอบรายงานข่าวย้อนหลัง โคแฟคพบว่ามูลนิธิกระจกเงาเคลื่อนไหวเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งในสมัยของรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร โดยปรากฏในการรายงานของสื่อมวลชนหลายสำนัก ดังนั้นข้อความที่ระบุว่านายสมบัติและมูลนิธิกระจกเงาเลือกที่จะไม่วิจารณ์รัฐบาลพรรคเพื่อไทย และเรียกร้องเฉพาะรัฐบาลอนุทินจึงเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง

ตัวอย่างข่าวการเคลื่อนไหวของมูลนิธิกระจกเงาเรื่องแก๊งสแกมเมอร์/คอลเซ็นเตอร์

  • วันที่ 10 ม.ค. 2568 (รัฐบาลแพทองธาร) มูลนิธิกระจกเงาแถลงข่าวที่สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ ระบุว่าช่วงปี 2566-2567 มีเด็กและเยาวชนถูกชักชวนให้หลงเชื่อและถูกหลอกไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างน้อย 11 คน อายุน้อยที่สุดคือ 14 ปี ลักษณะประกาศรับสมัครงานแอดมินเว็บไซต์-รายได้ดี ภายหลังจึงพบว่าถูกหลอกไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ บางรายติดต่อเพื่อให้ครอบครัวส่งเงินเพื่อไถ่ตัวกลับบ้าน
  • วันที่ 27 มี.ค. 2568 (รัฐบาลแพทองธาร) หัวหน้าคลินิกกฎหมาย มูลนิธิกระจกเงาให้สัมภาษณ์ The Active ไทยพีบีเอส ระบุว่าคนไร้บ้านเป็นกลุ่มเสี่ยงถูกหลอกให้เปิดบัญชีม้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในวงจรอาชญากรรมกลุ่มสแกมเมอร์
  • วันที่ 16 ก.ย. 2568 (รัฐบาลอนุทิน) นายสมบัติโพสต์เฟซบุ๊กให้ข้อมูลว่าคนไร้บ้านย่านสนามหลวงเป็นกลุ่มที่ถูกชักชวนให้เปิดบัญชีม้ามากที่สุด และวิจารณ์หน่วยงานรัฐที่ไม่พื้นที่ติดตามขบวนการรับจ้างเปิดบัญชีม้าหลอกลวงคนไร้บ้าน

อดีตคณบดีคณะแพทย์ศิริราชยืนยันไม่ได้เป็นผู้เขียนบทความ “มะนาวรักษามะเร็ง”

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: อดีตคณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลแนะนำวิธีทำน้ำด่างจากมะนาวมีสรรพคุณรักษามะเร็ง 

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ แอบอ้างชื่ออดีตคณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และเป็นข่าวลวงวนซ้ำที่ถูกส่งต่อตั้งแต่ปี 2557**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: ช่วงปลายเดือน ก.ย. จนถึง ต.ค. 2568 ผู้ใช้งานเฟซบุ๊กจำนวนมากโพสต์ข้อความแนะนำให้ทำน้ำด่างหรือน้ำผสมมะนาวดื่มเนื่องจากน้ำด่างช่วยขจัดเชื้อโรคในร่างกาย และมะนาวมีฤทธิ์ทำลายมะเร็งเนื้อร้ายที่รุนแรงถึง 12 ชนิด โดยอ้างว่าเป็นคำแนะนำของ ศ.คลินิก นพ.ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์ อดีตคณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการตรวจสอบพบว่าข้อความลักษณะเดียวกันนี้ ไม่ว่าจะเป็นมะนาวผสมน้ำเย็น ผสมน้ำร้อน มะนาวผสมโซดาที่อ้างว่าสามารถฆ่าเชื้อหรือรักษามะเร็งได้นั้น เป็นข่าวลวงที่ถูกส่งต่อผ่านแอปพลิเคชันไลน์ โซเชียลมีเดียต่าง ๆ มายาวนานกว่า 10 ปี และรวมทั้งมีการเผยแพร่ทางเว็บไซต์ขององค์กรและสื่อซึ่งเนื้อหาเท็จนี้ยังคงเข้าถึงได้ในปัจจุบัน 

วันที่ 20 ต.ค. 2568 โคแฟคได้รับคำยืนยันจาก ศ.คลินิก นพ.ธีรวัฒน์ว่าไม่ได้เป็นผู้เขียนบทความนี้และถูกนำชื่อไปแอบอ้าง

นอกจากแอบอ้างชื่อ ศ.คลินิก นพ.ธีรวัฒน์แล้ว บทความนี้ยังเป็นการเผยแพร่เนื้อหาเท็จเกี่ยวกับสุขภาพอีกด้วย ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญและหน่วยงานที่เชื่อถือได้ระบุตรงกันว่ามะนาวมีค่า pH เป็นกรด เมื่อนำมาผสมน้ำ กรดจะเจือจางลง แต่ไม่ได้ทำให้กลายเป็นน้ำด่างตามคำกล่าวอ้าง

รศ.ภก.ดร. บดินทร์ ติวสุวรรณ จากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายในรายการชัวร์ก่อนแชร์ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 67 ว่ามนุษย์มีระบบปรับสมดุลค่าความเป็นกรดหรือด่างในร่างกายให้อยู่ระหว่างค่า pH 7.4±0.5 ไม่ว่าจะรับประทานเครื่องดื่มหรืออาหารที่เป็นกรดหรือด่าง สุดท้ายร่างกายจะจัดการปรับให้อยู่ในค่าที่เหมาะสม

ด้านกระทรวงสาธารณสุขยืนยันว่าน้ำผสมมะนาว “ไม่ได้มีคุณสมบัติในการที่จะไปยังยั้งหรือฆ่าเซลล์มะเร็งแต่อย่างใด” แต่มะนาวมีวิตามินซีและสารฟลาโวนอยด์ซึ่งช่วยต้านอนุมูลอิสระและช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ จึงควรดื่มในปริมาณที่เหมาะสมและไม่ดื่มน้ำโซดาหรือน้ำมะนาวขณะท้องว่างเพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองเยื่อบุในระบบทางเดินอาหาร