ถ้วยกระดาษ’ ใส่เครื่องดื่มร้อน! มีความเสี่ยงเพียงใด?

By : Zhang Taehun

ภาพ 01 : คลิปวิดีโออ้างถ้วยกระดาษที่ใช้ใส่เครื่องดื่มร้อน ผลิตจากขยะรีไซเคิล

ที่มา : https://cofact.org/article/2x9wik3iwe2mg

This is one of the craziest scams in the United States! (นี่คือหนึ่งในเรื่องหลอกลวงที่บ้าคลั่งที่สุดในสหรัฐอเมริกา) เป็นคำบรรยายพาดหัวคลิปวิดีโอหนึ่งที่แชร์กันในสื่อสังคมออนไลน์ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา (บทความนี้เขียนเมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2568) ทั้งที่เป็นภาษาไทยและต่างประเทศ โดยคลิปดังกล่าวได้บรรยายเป็นภาษาอังกฤษว่า หลายคนเชื่อว่าถ้วยกระดาษที่นำมาเป็นภาชนะใส่เครื่องดื่มร้อน (เช่น กาแฟ) ทำจากเยื่อกระดาษบริสุทธิ์ (Clean Pulp) แต่จริงๆ แล้ววัสดุที่ใช้มาจากขยะรีไซเคิล 

เช่น พลาสติก กระดาษ กระดาษแข็งเก่าที่ใช้ในกิจการร้านอาหาร ลังกระดาษในภาคขนส่งสินค้า (Delivery Box) แม้กระทั่งในพื้นที่ฝังกลบขยะ(Landfill) วัสดุเหล่านี้จะถูกรวบรวม ซึ่งจะถูกปกคลุมด้วยละอองน้ำมันและสิ่งสกปรก (Oli Dust and Dirt) โดยคนงานจะคัดแยกขยะแบบลวกๆ แล้วเทรวมลงไปในเครื่องผสมขนาดยักษ์ (Giant Mixer) ซึ่งความร้อนสูงและสารเคมี จะแปรสภาพขยะให้เป็นเยื่อกระดาษสีน้ำตาลเข้ม (Dark Brown Pulp)จากนั้นใช้สารเคมีย้อมให้เป็นสีขาวดูสะอาด แล้วนำไปทำให้เป็นแผ่นกระดาษแล้วเข้ารูปด้วยฟิล์มพลาสติกกันน้ำ

กระบวนการผลิตถ้วยกระดาษจากวัสดุรีไซเคิลมีราคาถูก แต่ผู้บริโภคอาจได้รับอันตราย กล่าวคือ เมื่อใช้ถ้วยชนิดนี้ใส่เครื่องดื่มร้อน ความร้อนจะละลายสารเคมีที่เป็นพิษออกมาปนเปื้อนกับเครื่องดื่มในถ้วย ดังนั้นในขณะที่ดื่มเครื่องดื่มก็จะได้รับสารเคมีและพลาสติกเข้าไปในร่างกายด้วย ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อผู้บริโภคดื่มเครื่องดื่มจากถ้วยชนิดนี้จนหมดแล้วทิ้งแก้วกระดาษเป็นขยะ ก็จะก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมไปอีก 

– ความเสี่ยงจากถ้วยกระดาษ บทความกระดาษบรรจุภัณฑ์สหรับอาหารที่ไม่ได้มาตรฐานอันตรายมากกว่าที่คิด ในวารสารกรมวิทยาศาสตร์บริการ ระบุว่า การปนเปื้อนของสารอันตรายในกระดาษบรรจุภัณฑ์อาหารเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น จากการตกค้างของสารเคมีที่ใช้ในกระบวนผลิตกระดาษ จากกระบวนการพิมพ์บนบรรจุภัณฑ์หรือการใช้หมึกพิมพ์ที่อาจมีโลหะหนักจากสี หรือส่วนผสมอื่นๆ ของหมึกพิมพ์ตกค้างอยู่

รวมถึงบรรจุภัณฑ์ที่หากทำจากกระดาษที่นำกลับมาใช้ใหม่โดยผ่านกระบวนการรีไซเคิลก็ยิ่งมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีสารตกค้างอันตรายปนเปื้อนมากกว่าบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากเยื่อกระดาษใหม่เพราะในกระบวนการผลิตกระดาษไม่สามารถกำจัดสารอันตรายต่างๆ ออกจากกระดาษที่ผ่านการใช้แล้วได้อย่างสมบูรณ์

สารอันตรายที่อาจตกค้างในกระดาษสัมผัสอาหาร หรือกระดาษบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารสามารถแบ่งประเภทเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มสารอนินทรีย์อันตราย ได้แก่ โลหะเป็นพิษที่ออกฤทธิ์เรื้อรังต่อร่างกายหรือหากได้รับในปริมาณสูงอาจส่งผลให้เสียชีวิตอย่างฉับพลัน เช่น ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม และกลุ่มสารอินทรีย์อันตรายที่มีฤทธิ์ก่อมะเร็ง เช่น บิสฟีนอล A พอลีไซคลิก แอโรแมติกไฮโดรคาร์บอน (PAHs) สารกลุ่มพทาเลต สีเอโซ และเบนโซฟีโนน

– มีการกำกับดูแลการผลิตถ้วยกระดาษหรือไม่? :หลายประเทศมีกลไกกำกับดูแล เช่น สหรัฐอเมริกา มีการกำหนดมาตรฐานและกระบวนการทดสอบวัสดุสัมผัสอาหาร (Food Contact) โดยอยู่ในประมวลกฎหมายของรัฐบาลกลาง หมวดที่ 21 ว่าด้วยอาหารและยา (Code of Federal Regulations, Title 21, Food and Drugs,) เช่น มาตรา 176 สารเติมแต่งอาหารทางอ้อม: ส่วนประกอบของกระดาษและกระดาษแข็ง (INDIRECT FOOD ADDITIVES: PAPER AND PAPERBOARD COMPONENTS) มาตรา 177 สารเติมแต่งอาหารทางอ้อม: โพลิเมอร์ (INDIRECT FOOD ADDITIVES: POLYMERS)เป็นต้น , 

สหภาพยุโรป มีกรอบระเบียบข้อบังคับ (EC) เลขที่ 1935/2004 (Framework Regulation (EC) No 1935/2004) ซึ่งมีหลักการสำคัญคือ วัสดุต่างๆ ต้องไม่ 1.ปล่อยองค์ประกอบของวัสดุลงในอาหารในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์2.เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบ รสชาติ และกลิ่นของอาหารในระดับที่ยอมรับไม่ได้ , 

อินเดีย สำนักงานมาตรฐานและความปลอดภัยด้านอาหารแห่งอินเดีย (FSSAI) ออกข้อบังคับว่าด้วยความปลอดภัยและมาตรฐานอาหาร (บรรจุภัณฑ์) 2018 (Food Safety and Standards (Packaging) Regulations, 2018) กล่าวถึงวัสดุต่างๆ เช่น กระดาษแข็ง กระดาษ แก้ว โลหะ พลาสติก วัสดุบรรจุภัณฑ์หลายชั้นที่ใช้สำหรับบรรจุภัณฑ์ผลิตภัณฑ์อาหาร ซึ่งวัสดุใดๆ ที่สัมผัสโดยตรงกับอาหารหรือมีแนวโน้มที่จะสัมผัสอาหารซึ่งใช้ในการบรรจุ ปรุง ปรุง จัดเก็บ ห่อ ขนส่ง และจำหน่ายหรือให้บริการอาหาร จะต้องเป็นวัสดุคุณภาพเกรดอาหาร (Food Grade) , 

ไทย สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ออกมาตรฐาน มอก. 2948 –2562 (กระดาษสัมผัสอาหาร) ระบุว่า กระดาษสัมผัสอาหาร หมายถึงกระดาษ กระดาษแข็ง และภาชนะกระดาษ (จาน ชาม หลอด ถาด ถ้วย กล่อง ถุง) ที่ที่ไม่ใส่สีในเนื้อกระดาษ สำหรับใช้ห่อหุ้มบรรจุ รองรับอาหารทั่วไป และอาหารบรรจุขณะร้อน ทั้งที่สัมผัสและไม่สัมผัสอาหาร โดยตรง ไม่ครอบคลุมกระดาษ กระดาษแข็ง และภาชนะกระดาษที่ใช้กรองของเหลวร้อน (ถุงชา กระดาษกรองกาแฟ) ใช้อุ่นหรือปรุงสุกอาหารในเตาอบหรือไมโครเวฟ แบ่งประเภทกระดาษเป็น 2 ประเภท คือ 1.เยื้อบริสุทธิ์ 100% และ 2.เยื่อเวียนทำใหม่ 

ซี่งในกรณีของเยื่อเวียนทำใหม่ จะต้องไม่ได้ทำจากหรือมีส่วนผสมของกระดาษดังต่อไปนี้ (1) กระดาษซึ่งมีแหล่งที่มาจากสถานพยาบาล เช่น โรงพยาบาล คลินิก (2) กระดาษที่ผสมกับขยะมูลฝอยหรือแยกมาจากขยะมูลฝอย (3) กระดาษกระสอบหรือกระดาษถุงที่ปนเปื้อนสารเคมีหรืออาหาร เช่น ถุงปูนซีเมนต์ (4) กระดาษที่ใช้คลุมหรือหุ้มวัสดุอื่น เช่น กระดาษที่ใช้คลุมเฟอร์นิเจอร์ในระหว่างการซ่อมแซม พ่นสี หรืองานก่อสร้าง (5) กระดาษคาร์บอน กระดาษสำเนาไร้คาร์บอน และกระดาษสำเนาแบบใช้ความร้อน (6) กระดาษอนามัยที่ใช้แล้ว เช่น กระดาษเช็ดหน้า กระดาษเช็ดมือ กระดาษชำระ กระดาษเอนกประสงค์ (7) กระดาษเก่า เช่น จากห้องสมุด จากโรงเรียน จากโรงพิมพ์

สารเคมีในกระบวนการผลิตต้องเป็นชั้นคุณภาพสัมผัสอาหาร (Food Contact Grade) หากมีการใช้วัสดุเคลือบ กรณีเป็นกระดาษสัมผัสอาหารที่มีการเคลือบด้วยพลาสติก พลาสติกที่ใช้ต้องเป็นไปตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่เกี่ยวข้อง หรือกรณีเป็นกระดาษสัมผัสอาหารที่มีการเคลือบด้วยวัสดุอื่นที่ไม่ใช้พลาสติก วัสดุเคลือบที่ใช้ต้องเป็นชั้นคุณภาพสัมผัสอาหาร เช่นเดียวกับหมึกพิมพ์ หากมีการใช้ต้องเป็นระดับชั้นคุณภาพสัมผัสอาหาร และหมึกพิมพ์ต้องไม่สัมผัสกับอาหารโดยตรง 

กระบวนการผลิตต้องได้มาตรฐาน GMP ฉลากต้องระบุชื่อผลิตภัณฑ์ ประเภท แบบ ขนาด ปริมาณบรรจุ มีข้อความ อุณหภูมิสูงสุด ระบุประเภทอาหารที่ใช้หรือห้ามใช้กับกระดาษสัมผัสอาหารนี้ ในการใช้งาน มีข้อความ “ใช้สัมผัสอาหารได้” “ใช้ครั้งเดียว” “ห้ามใช้ซ้ำ” “ห้ามวางใกล้เปลวไฟ” “ห้ามใช้อุ่นหรือปรุงสุกอาหาร” เดือน ปี รหัสรุ่นที่ทำ ชื่อผู้ทำ และประเทศผู้ผลิต เป็นต้น

ภาพที่ 2 : อินโฟกราฟิกโดย สมอ. แนะนำวิธีเลือกซื้อผลิตภัณฑ์กระดาษสัมผัสอาหาร 
ที่มา : https://pr.tisi.go.th/มอก-2948-2562-กระดาษสัมผัสอาหาร/

– ใมโครพลาสติกกับถ้วยกระดาษ : มีงานวิจัยนกล่าวถึงการพบไมโครพลาสติกในถ้วยกระดาษ เช่น หัวข้อ Unveiling the hidden threat of microplastic in paper cups and tea bags: a critical review of their exacerbation and alarming concern in India เผยแพร่ในเว็บไซต์ link.springer.com ฐานข้อมูลงานวิจัย Springer Nature Link เมื่อวันที่ 23 พ.ค. 2568 ทำการศึกษาไมโครพลาสติกในถุงชาและถ้วยกระดาษ ระบุว่า หากบุคคลหนึ่งดื่มชาหรือกาแฟ 3 ถ้วยในถ้วยกระดาษทุกวัน อาจได้รับอนุภาคไมโครพลาสติกมากถึง 75,000 อนุภาค

ทั้งนี้ ไมโครพลาสติกอาจเพิ่มความเสี่ยงทางสุขภาพ เช่น ระบบย่อยอาหาร ระบบไหลเวียนโลหิตระบบประสาท ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบสืบพันธุ์ ระบบทางเดินหายใจ รวมถึงอาจเป็นปัจจัยก่อโรคมะเร็ง อย่างไรก็ตาม คณะผู้วิจัยยอมรับว่าพฤติกรรมด้านสิ่งแวดล้อม ผลกระทบต่อระบบนิเวศ และสุขภาพของอนุภาคไมโครพลาสติกที่ปล่อยออกมาจากถุงชาและถ้วยกระดาษยังคงไม่เป็นที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ จึงคาดหวังให้ดำเนินการตรวจสอบเพิ่มเติมซึ่งความก้าวหน้าทางวิธีการวิเคราะห์และการรายงานผลที่แม่นยำยิ่งขึ้นจะช่วยในการประเมินอันตรายต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมาก

อนึ่ง ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2568 โคแฟคเคยนำเสนอเรื่องราวของงานวิจัยในสหรัฐอเมริกา ว่าด้วยการเคี้ยวหมากฝรั่งเพียง 8 นาที อาจได้รับไมโครพลาสติกหลายพันชิ้น (บทความ ‘เคี้ยวหมากฝรั่ง8นาที.เท่ากับกลืนไมโครพลาสติกหลายพันชิ้น’มีงานวิจัยจริงไหม? และได้บอกอะไรกับเรา?) อย่างไรก็ตาม คณะผู้วิจัยย้ำว่าไม่ต้องการทำให้เกิดความตื่นตระหนก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบว่าไมโครพลาสติกเป็นอันตรายต่อมนุษย์หรือไม่ แต่ต้องการสร้างความตระหนักถึงผลกระทบของไมโครพลาสติกต่อสิ่งแวดล้อม จากการทิ้งหมากฝรั่งที่เคี้ยวแล้วอย่างไม่ถูกวิธี

โดยสรุปแล้ว หากเป็นถ้วยกระดาษที่ผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน ข้อมูล ณ ขณะนี้ยังสามารถใช้บริโภคเครื่องดื่มร้อนได้ ส่วนประเด็นไมโครพลาสติกยังเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาผลกระทบต่อสุขภาพให้ชัดเจนกันต่อไป!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

http://lib3.dss.go.th/fulltext/dss_j/2562_68_211_P26-27.pdf (กระดาษบรรจุภัณฑ์สําหรับอาหารที่ไม่ได้มาตรฐานอันตรายมากกว่าที่คิด : วารสารกรมวิทยาศาสตร์บริการ)

https://www.ecfr.gov/current/title-21/chapter-I/subchapter-B (ฐานข้อมูลประมวลกฎหมายของรัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกา)

https://food.ec.europa.eu/food-safety/chemical-safety/food-contact-materials/legislation_en(Regulation (EC) No 1935/2004 provides a harmonised legal EU framework. : ฐานข้อมูลรัฐสภายุโรป ว่าด้วยความปลอดภัยอาหาร)

https://www.fssai.gov.in/upload/uploadfiles/files/Compendium_Packaging_Labelling_Regulations_28_01_2022.pdf (Food Safety and Standards (Packaging) Regulations, 2018 : FSSAI)

https://hongthaipackaging.com/wp-content/uploads/2023/02/2948_2562.pdf?srsltid=AfmBOorQQ5AzgSjM8mPYgeiSLSfzgsYffg8hwgwtzZVT-4hd2y3kznMa (มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม THAI INDUSTRIAL STANDARD มอก. 2948-2562)

https://link.springer.com/article/10.1007/s42452-025-07121-y (Unveiling the hidden threat of microplastic in paper cups and tea bags: a critical review of their exacerbation and alarming concern in India : Springer Nature Link 23 พ.ค. 2568)

https://blog.cofact.org/report65-68/ (‘เคี้ยวหมากฝรั่ง8นาที.เท่ากับกลืนไมโครพลาสติกหลายพันชิ้น’มีงานวิจัยจริงไหม? และได้บอกอะไรกับเรา?)


คลิปอุบัติเหตุ ฮ.ตำรวจตกที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ถูกนำมาอ้างเท็จว่ากัมพูชายิงเครื่องบินรบไทยร่วง

กองบรรณาธิการโคแฟค

❓ เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปทหารกัมพูชายิงเครื่องบินรบของไทยตก

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ เป็นคลิปอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ของตำรวจไทยตกเมื่อเดือน พ.ค. 68**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 8 ก.ย. 68 บัญชีเฟซบุ๊ก “Lychee Tour” โพสต์คลิปวิดีโอ Reel เป็นภาพไฟไหม้วัตถุบางอย่างบนพื้นหญ้า พร้อมข้อความบรรยายภาษาเขมร ใช้ Google Translate แปลสรุปใจความได้ว่า ผู้โพสต์อ้างว่าเป็นภาพเหตุการณ์ที่กัมพูชายิงเครื่องบินรบของไทยที่ลุกล้ำอธิปไตยกัมพูชาตก 2 ลำ ในเหตุปะทะระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาเมื่อวันที่ 24-28 ก.ค. 68  

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการใช้เครื่องมือ Google Lens ตรวจสอบภาพในคลิปดังกล่าว พบว่าเป็นภาพเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ เบลล์ 212 #2215 ประจำหน่วยบินตำรวจกาญจนบุรี ตกที่ ต.เกาะหลัก อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 68 ทำให้นักบินและช่างเครื่องเสียชีวิตรวม 3 นาย ซึ่งสื่อมวลชนไทยหลายสำนักเผยแพร่ภาพและคลิปวิดีโอเหตุการณ์นี้ เช่น The Nation มติชน และช่อง Ch7HD  

สรุปได้ว่าคลิปนี้เป็นภาพอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตำรวจตกในประเทศไทยตั้งแต่เดือน พ.ค. 68 ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุปะทะไทย-กัมพูชาอย่างสิ้นเชิง 

แม้ว่าไทยกับกัมพูชาจะไม่มีการปะทะทางการทหารนับตั้งแต่ข้อตกลงหยุดยิงที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 68 แต่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียยังคงนำคลิปเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องมาอ้างเท็จว่าเป็นภาพจากเหตุปะทะวันที่ 24-28 ก.ค. 68 อย่างต่อเนื่อง 

#โคแฟค #FactCheck #ไทยกัมพูชา

มองการทำงานตรวจสอบข่าวลวงของหลายองค์กร ในสถานการณ์สู้รบไทย-กัมพูชา 

By : Zhang Taehun

หมายเหตุ : รวบรวมระหว่างวันที่ 24 ก.ค. 2568 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่กัมพูชาเริ่มเปิดฉากโจมตีไทย และกลายเป็นการสู้รบระหว่าง 2 ฝ่าย ไปจนวันที่ 28 ก.ค. 2568 ที่มีการเจรจากันในมาเลเซีย นำไปสู่ข้อตกลงหยุดยิงในเวลา 00.00 น. ของวันที่ 29 ก.ค. 2568

 

ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (ประเทศไทย)

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

(ตรวจสอบทั้งข่าวจริง ข่าวปลอม และข่าวบิดเบือน)

– วันที่ 24 ก.ค. 2568 พบ ข่าวบิดเบือน 1 ข่าวคือ ไทยอุดหนุนเงินให้กัมพูชา สร้างถนน-ปรับปรุงด่านทั้งหมด 4 พันล้านบาท ซึ่งเนื้อหาจริงคือ สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (สพพ.) ได้ดำเนินการจัดหาเงินกู้จาก EXIM BANK สถาบันการเงินเฉพาะกิจภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง 

ในการดำเนินพันธกิจพัฒนาเส้นทางคมนาคมทางบกที่สำคัญในประเทศเพื่อนบ้าน เชื่อมโยงกับภาคธุรกิจไทยโดยเฉพาะผู้ประกอบการท้องถิ่นและประชาชนบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา EXIM BANK จึงให้การสนับสนุนทางการเงินแก่รัฐบาลกัมพูชาจำนวน 1,300 ล้านบาท โดยมีเงื่อนไขให้รัฐบาลกัมพูชานำไปใช้ซื้อสินค้าและว่าจ้างผู้รับเหมาไทยเพื่อพัฒนาทางหลวงหมายเลข 67 จากอัลลองเวงถึงเสียมราฐ ระยะทางยาว 131 กิโลเมตร

(ตรวจสอบกับ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย – EXIM BANK)

– วันที่ 25 ก.ค. 2568 พบทั้งหมด 9 ข่าว แบ่งเป็น

ข่าวปลอม 8 ข่าว คือ 

1.กองทัพกัมพูชา ยิงเครื่องบินรบไทยตกสำเร็จ(ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

2.กองกำลังกัมพูชาควบคุมวัดท่ากระบี่ได้เต็มรูปแบบ ขับไล่ทหารไทยออก (ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

3.บริเวณภูเขาผี ทหารไทยยังคงยิงปะทะเข้ามาในพื้นที่กัมพูชาอย่างต่อเนื่อง ส่วนปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย และบริเวณมุมเบย กัมพูชาควบคุมได้เต็ม 100% แล้ว (ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

4.ทหารไทยเสียชีวิต 40 นาย ถูกจับกุม 30 นาย(ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

5.ทหารไทยเข้ายึดพื้นที่ปราสาทพระวิหารและวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ที่เคยเป็นของไทยได้สำเร็จแล้ว(ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

6.ทหารไทยยอมจำนนต่อรองกับกัมพูชา (ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

7.แม่ทัพอากาศประกาศกร้าว ถ้าเขมรไม่ถอย จะยึดทั้งประเทศ ขอเวลาเพียง 5 นาที จะถล่มกรุงพนมเปญไม่ให้เหลือซาก (ตรวจสอบกับเพจกองทัพอากาศไทย Royal Thai Air Force)

8.กองทัพภาคที่ 2 เปิดระดมทุนช่วยเหลือทหารไทยรบกัมพูชา (ตรวจสอบกับเพจกองทัพภาคที่ 2)

ข่าวจริง 1 ข่าว คือ ทหารไทยไม่ได้โจมตีพื้นที่ปราสาทพระวิหาร (ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

– วันที่ 26 ก.ค. 2568 พบทั้งหมด 5 ข่าว แบ่งเป็น

ข่าวปลอม 2 ข่าว คือ 

1.ไทยยิงขีปนาวุธ 10 ลูก ใส่ลาวในสามเหลี่ยมทองคำ (ตรวจสอบกับเพจกองทัพภาคที่ 2)

2.ทหารนาวิกโยธินเหยียบกับระเบิด ได้รับบาดเจ็บ 4 นาย ในพื้นที่ จ.ตราด หนึ่งในนั้นบาดเจ็บสาหัส (ตรวจสอบกับเพจกองทัพเรือ Royal Thai Navy)

ข่าวจริง 2 ข่าว คือ 

1.กองบัญชาการชายแดน จชต. ประกาศกฎอัยการศึก ในบางพื้นที่ จ.จันทบุรี และ จ.ตราด(ตรวจสอบกับเพจกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด)

2.รัฐบาลอนุมัติเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบชายแดน สูงสุด 1 ล้านบาท (ตรวจสอบกับเพจสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี)

ข่าวบิดเบือน จำนวน 1 ข่าว คือ ประเทศไทยใช้ F-16 โจมตีพลเรือนหลายรายในกัมพูชา ซึ่งทางกองทัพอากาศของไทย ชี้แจงว่า กองทัพอากาศไม่เคยใช้ F-16 โจมตีเป้าหมายพลเรือนในกัมพูชาพร้อมอธิบายดังนี้ (1) ไทยใช้กำลังเฉพาะต่อเป้าหมายทางทหาร : ปฏิบัติการของไทย จำกัดเฉพาะภัยคุกคามทางทหาร ยึดหลัก Self-defense, International Law และ IHL อย่างเคร่งครัด (2)กัมพูชาใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์ ตรวจพบการตั้งฐานยิง BM-21 / ปืนใหญ่ในพื้นที่ชุมชน ใช้ “พลเรือนเป็นโล่กำบัง” (Human Shields) ละเมิดหลักมนุษยธรรมอย่างร้ายแรง

(3) ไทยหลีกเลี่ยงเป้าหมายที่เสี่ยงกระทบพลเรือน แม้มีสิทธิในการตอบโต้แต่ไทยไม่โจมตีเป้าหมายในพื้นที่ชุมชน เพื่อหลีกเลี่ยงความสูญเสียแสดง “ความรับผิดชอบเชิงจริยธรรม” ของทหารอาชีพ (4) ไทยยึดหลักสากล ไม่ตัดสินใจด้วยอารมณ์ ปฏิบัติการทั้งหมด ยึดหลักกฎหมายระหว่างประเทศ – กฎบัตรสหประชาชาติ ไทยใช้เหตุผลและการพิจารณารอบด้าน ไม่ตัดสินใจด้วยอารมณ์ แม้ในภาวะกดดันหรือถูกใส่ร้าย (5) ระบบอาวุธไทยแม่นยำ ต่างจาก BM-21 ไทยใช้อากาศยาน (ถ้ามี) แบบ Precision Strike ควบคุมทิศทาง จำกัดวงการปฏิบัติได้ ต่างจาก BM-21 ของกัมพูชาที่ ควบคุมไม่ได้ ทำพลเรือนเสียชีวิต

(ตรวจสอบกับเพจกองทัพอากาศไทย Royal Thai Air Force)

– วันที่ 27 ก.ค. 2568 พบทั้งหมด 6 ข่าว แบ่งเป็น

ข่าวปลอม 5 ข่าว คือ 

1.วันที่ 26 ก.ค. 2568 มณฑลทหารบกที่ 22 อุบลราชธานีเรียกระดมกำลังพลสำรอง (ตรวจสอบกับเพจกองทัพภาคที่ 2)

2.กองทัพกัมพูชายิง F-16 ไทยตก 1 ลำ (ตรวจสอบกับเพจกองทัพอากาศไทย Royal Thai Air Force)

3.พบลูกกระสุนกองทัพไทยตกในเขต สปป.ลาว บริเวณสามเหลี่ยมมรกต (ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

4.พบการยิงขีปนาวุธ จากประเทศกัมพูชาเข้าสู่ประเทศไทย (ตรวจสอบกับเพจกองทัพภาคที่ 2)

5.กษัตริย์ไทยสั่งยิงปราสาทพระวิหาร (ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

ข่าวจริง 1 ข่าว คือ การรถไฟฯ ประกาศงดเดินขบวนรถไฟไปช่วงสถานีอรัญประเทศ – ด่านพรมแดนบ้านคลองลึก (ตรวจสอบกับเพจทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย)

– วันที่ 28 ก.ค. 2568 พบเป็น ข่าวปลอมทั้งหมด 6 ข่าว คือ 

1.ทบ.ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วประเทศ ตอบโต้เขมร (ตรวจสอบกับเพจทีมโฆษกกองทัพบก)

2.ทหารไทยใช้เครื่องบินปล่อยสารพิษ สังหารพลเมืองกัมพูชา (กระทรวงกลาโหม ชี้แจงว่า เป็นภาพที่สำนักข่าวรอยเตอร์บันทึกไว้ได้ เป็นการดับไฟป่าในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา)

3.ทหารไทยเกือบ 140 นายเสียชีวิตใกล้ปราสาทพระวิหาร (ตรวจสอบกับเพจทีมโฆษกกองทัพบก)

4.แม่ทัพภาค 2 เสียชีวิตแล้ว (ตรวจสอบกับเพจกองทัพภาคที่ 2)

5.กล่าวหารัฐบาลไทยวางระเบิด 7-eleven ของตัวเอง และฆ่าพลเมืองไทย เพื่อโยนความผิดให้รัฐบาล และกองทัพกัมพูชา (กองทัพยก กระทรวงกลาโหม ยืนยันเป็นข่าวปลอม บิดเบือนข้อเท็จจริง

6.ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ประกาศเขตภัยพิบัติสงครามเป็นจังหวัดแรก (เพจสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดสุรินทร์ ชี้แจงว่า ไม่ได้ประกาศเขตภัยพิบัติสงครามเป็นการประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย(ภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังนอกประเทศ))

ทั้งนี้ การทำงานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ จะเน้นการอ้างคำยืนยันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงเป็นหลัก โดยมีข้อสังเกตว่า หากเป็นข่าวบิดเบือนก็จะมีการอธิบายอย่างละเอียดด้วยว่าเนื้อหาที่ถูกต้องเป็นอย่างไร เมื่อเทียบกับกรณีที่ระบุว่าเป็นข่าวจริงหรือข่าวปลอมจะใช้เพียงการสรุปสั้นๆ 

ThaiPBS Verify 

(ตรวจสอบเฉพาะ ข่าวปลอม เท่านั้น) โดยช่วงวันที่ 24-28 ก.ค. 2568 พบทั้งหมด 11 ข่าว แบ่งได้ดังนี้ 

– วันที่ 24 ก.ค. 2568 พบ 2 ข่าว คือ 

1.สื่อกัมพูชาอ้าง ทหารไทยต่อรองขอยอมจำนน” ทบ.ยัน ข่าวปลอม ซึ่งพบว่า มีการนำภาพที่ไม่เกี่ยวข้องมาใช้ประกอบ เช่น ภาพของ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ,   ภาพของทหารพรานของไทย จากเฟซบุ๊กของ ของ “กรกต เกตุแก้ว” อดีตทหารพรานของไทย ซึ่งได้โพสต์ภาพดังกล่าวไว้เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 2568 หรือ 1 เดือนก่อนเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างไทยกับกัมพูชาจะเริ่มขึ้น อีกทั้งยังไม่มีรายละเอียดของข่าว มีเพียงการกล่าวอ้างเพียงเท่านั้น(ค้นหาภาพด้วย Google Lens)

2.โพสต์อ้างกัมพูชายิงเครื่องบิน F-16 ไทยตกสภาพยับเยิน กองทัพอากาศไทยยืนยันแล้ว ไม่เป็นความจริง ซึ่งพบว่า การนำภาพที่ไม่เกี่ยวข้องมาใช้ประกอบ โดยเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 ต.ค. 2561 ที่ฐานทัพ Florennes ประเทศเบลเยียม ในภาพนั้นเป็นซากเครื่องบิน F-16 ซึ่งได้รับความเสียหายอย่างหนักจากอุบัติเหตุไฟไหม้และระเบิดทั้งลำ ขณะกำลังอยู่ระหว่างการซ่อมบำรุง โดยช่างเทคนิคได้เผลอเปิดใช้งานปืน Vulcan ที่ติดตั้งอยู่บนเครื่องบิน F-16 อีกลำซึ่งจอดอยู่ใกล้กัน และเพิ่งได้รับการเติมเชื้อเพลิง ส่งผลให้กระสุนจากปืนพุ่งไปถูกเครื่องบิน F-16 ลำที่เกิดเหตุจนเกิดการระเบิดและไฟไหม้ ทำให้เครื่องบินได้รับความเสียหายทั้งลำ (ค้นหาภาพด้วย Google Lens)

– วันที่ 25 ก.ค. 2568 พบ 1 ข่าว คือ โพสต์ปลอมอ้าง ชาวกัมพูชาแตกตื่นหลังถูกเครื่องบินรบไทยถล่ม ที่แท้คลิปตึก สตง. ถล่ม : คลิป TikTok อ้างชาวกัมพูชาวิ่งหนีเอาชีวิตรอดจากเครื่องบิน F-16 และ JAS 39 Gripen ซึ่งมีผู้เข้าชมกว่า 1.7 ล้านครั้งแต่เมื่อตรวจสอบองค์ประกอบโดยรอบ (เช่น อาคารสิ่งก่อสร้าง) พบว่าเป็นบริเวณตลาดย่านจตุจักร ในพื้นที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย และบรรยากาศที่เหมือนฝุ่นตลบคล้ายอะไรบางอย่างถล่มลงมานั้นเป็นเหตุการณ์ตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งกำลังก่อสร้างอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ถล่มลงมาเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2568 (ค้นหาภาพด้วย Google Lens , เปรียบเทียบกับ Streer View ใน Google Map)

– วันที่ 26 ก.ค. 2568 พบ 3 ข่าว คือ 

1.กรณีแชร์ภาพบ้านเรือนใน สปป.ลาว เสียหายจากเหตุความไม่สงบตามชายแดนไทย กัมพูชา แท้จริงเป็นภาพเหตุเพลิงไหม้ในตลาดแห่งหนึ่งแขวงจำปาสัก : ในวันที่ 26 ก.ค. 2568 มีรายงานข่าวว่า ระหว่างการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา มีกระสุนบางส่วนไปตกในพื้นที่ของ สปป. ลาวด้วย แต่มีปัญหาคือ มีการใช้ภาพอาคารถูกเพลิงไหม้แล้วอ้างว่าเป็นอาคารที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ดังกล่าว ที่สำคัญคือมีสื่อหลักหลายสำนักในไทยเลือกนำภาพดังกล่าวไปใช้ประกอบข่าว 

อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบแล้วกลับพบว่า ภาพที่ถูกอ้างถึงนั้นคือ เพลิงไหม้ร้านมอเตอร์ไซค์ บริเวณตลาดสุขุมา จำปาสัก สปป.ลาว โดยสำนักข่าว Laophattana News ซึ่งเป็นสื่อมวลชนใน สปป.ลาว ระบุว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 03.20 น. ของวันที่ 26 ก.ค. 2568 ส่วนสาเหตุเพลิงยังคงรอการตรวจสอบยืนยันจากหน่วยงานผู้รับผิดชอบ

2.สื่อกัมพูชาลงข่าวปลอม อ้าง ทหารไทยหนี ทิ้งชุด-ศพทหาร” ไว้บนปราสาทตาควาย : โพสต์เฟซบุ๊กของสื่อ “Fresh News Cambodia” ซึ่งเป็นสื่อของกัมพูชา ที่ได้พาดหัวข้อข่าวว่า “Thai Troops Flee, Abandon Gear and Bodies at Ta Krabei”พร้อมภาพประกอบเป็นภาพชุดลายพรางพร้อมป้ายธงชาติไทย แต่เมื่อตรวจสอบแล้วพบเป็นภาพเหตุการณ์เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2568 ที่มีการควบคุมตัวชายต้องสงสัยในพื้นที่บ้านหนองเม็ก อ.กันทรลักณ์ จ.ศรีสะเกษ พร้อมอุปกรณ์ทางทหาร ได้แก่ เสื้อเกราะ, กระเป๋า และหมวกที่มีป้ายธงชาติไทย

นอกจากนั้น ยังได้สอบถามไปที่ พ.ต.อ.พงศ์พิพัฒ เหิมฉลาด ผกก.สภ.บึงมะลู ได้ความว่า ภาพดังกล่าวมาจากกรณีชาวบ้านในพื้นที่แจ้งว่า พบชายสวมเครื่องแบบทหารลักษณะต้องสงสัย ขี่จักรยานยนต์อยู่ในหมู่บ้าน เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการควบคุมตัวมาตรวจสอบ พบว่า เป็นเพียงผู้ที่ต้องการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ และเมื่อตรวจสอบไปยังญาติของผู้ต้องสงสัยดังกล่าว พบว่า ชายรายนี้เป็นเพียงผู้ที่มีสติไม่สมประกอบ ที่รับฟังข่าวความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา แล้วมีความรู้สึกต้องการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่เพียงเท่านั้น ไม่ใช่สายลับของกัมพูชาแต่อย่างใด

3.คลิปอ้าง Thai PBS รายงาน ไทยเตรียมกริพเพนถล่มพนมเปญ มีบัญชีสื่อสังคมออนไลน์หลายบัญชี โพสต์ภาพหรือคลิปวีดีโอของเครื่องบินขับไล่ JAS 39 Gripen  พร้อมข้อความอ้างว่าไทยเตรียมโจมตีกรุงพนมเปญของกัมพูชา โดยอ้างว่าเป็นรายงานจากสำนักข่าว ThaiPBS ซึ่งทาง ThaiPBSได้ออกมายืนยันว่าไม่มีการรายงานข่าวดังกล่าว ขณะที่เมื่อสอบถามไปยังกองทัพอากาศ ได้รับคำชี้แจงว่า คลิปดังกล่าวเป็นคลิปการฝึกซ้อมขับเครื่องบินกริพเพนที่กองบิน 7 จ.สุราษฎร์ธานี เท่านั้น ไม่ได้เป็นคลิปที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน

– วันที่ 27 ก.ค. 2568 พบ 2 ข่าว คือ 

1.ภาพ ทรัมป์ – แพทองธาร” ถูกใช้สร้างข่าวลวงปมขัดแย้งไทย-กัมพูชา : มีสื่อต่างประเทศ นำภาพของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย กับ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ไปประกอบการนำเสนอข่าวเมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2568 โดยอ้างว่า นายกรัฐมนตรีของไทยปฏิเสธข้อเสนอไกล่เกลี่ยจากทั้งสหรัฐฯ และจีน พร้อมเตือนว่า ความขัดแย้งอาจลุกลามเป็นสงครามเต็มรูปแบบ

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นข่าวที่เผยแพร่ในแพลตฟอร์ม X จึงมีผู้เข้าไปช่วยให้ข้อมูลเพิ่มเติมในระบบ Community Notes ว่า แพทองธารหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2568 โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรี 

ซึ่งในเวลาต่อมา วันที่ 26 ก.ค. 2568 ทั้งบัญชีแพลตฟอร์ม X ของกระทรวงการต่างประเทศของไทย และที่เฟซบุ๊กของภูมิธรรม โพสต์ข้อความตรงกันว่า นายภูมิธรรมเป็นผู้สนทนากับทรัมป์ ซึ่งผู้นำสหรัฐฯ ได้เรียกร้องให้ทั้งไทยและกัมพูชาหยุดยิงในทันที ขณะที่รองนายกฯ ของไทยย้ำว่า ไทยเห็นด้วยในหลักการกับการหยุดยิง อย่างไรก็ตาม ไทยต้องการเห็นความตั้งใจจริงจากกัมพูชาในเรื่องนี้

2.คลิปปลอม อ้าง “ไทยปักธงชาติพร้อมยึดฐานบนเขาพระวิหารได้สำเร็จ” ผู้ใช้บัญชี TikTok รายหนึ่ง โพสต์คลิปพร้อมระบุข้อความ “ธงไทยถูกปักบนเขาพระวิหารอีกครั้งปี 68 และ ไทยยึดฐานบนเขาพระวิหารได้สำเร็จ” อย่างไรก็ตาม พื้นที่ดังกล่าวจริงๆ แล้ว เขาอกทะลุ ซึ่งอยู่ใน จ.พัทลุง (ใช้การค้นหาด้วย Google Lens และเปรียบเทียบกับภาพของ Google Map)

– วันที่ 28 ก.ค. 2568 พบ 3 ข่าว คือ 

1.เพจกัมพูชาโพสต์ข่าวปลอม อ้างทหารไทยเสียชีวิต 140 คนใกล้เขาพระวิหาร : มีเพจเฟซบุ๊กที่เนื้อหาส่วนใหญ่นำเสนอเกี่ยวกับข่าวสารด้านการทหารของกัมพูชา โพสต์ข้อความเป็นภาษาเขมร แปลได้ว่า “รวมแล้วตั้งแต่ตี 2 ถึงเช้าตรู่เสียชีวิตเกือบ 140 คน ใกล้วัดพระวิหาร ขอให้พาผีกลับบ้านกันให้หมด เพราะอยากได้แผ่นดินเขมรมากเกินไป“พร้อมกับภาพศพหลายศพที่ถูกห่อไว้ 

อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบแล้วก็พบว่า ภาพที่ถูกอ้างถึงนั้นเป็นภาพที่ทหารไทยส่งคืนศพทหารกัมพูชา 12 นาย ที่เสียชีวิตจากเหตุปะทะที่ภูมะเขือ ให้เจ้าหน้าที่กัมพูชาบริเวณด่านช่องสะงำ ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ นำไปประกอบพิธีทางศาสนา เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 27 ก.ค. 2568 (ค้นหาภาพด้วย Google Lens)

ซึ่งศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพบก โดยทีมโฆษกกองทัพบก อธิบายถึงการส่งศพทหารกัมพูชาในครั้งนี้ว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามหลักมนุษยธรรมสากล และถือเป็นการให้เกียรติแก่ทหารที่เสียชีวิตในสมรภูมิ ไม่ว่าจะสังกัดฝ่ายใด สะท้อนถึงจิตวิญญาณของความเป็นทหารที่มีเกียรติและศักดิ์ศรี ซึ่งเข้าใจถึงหัวอกของผู้ปฏิบัติหน้าที่ในสถานการณ์ความขัดแย้ง ซึ่งล้วนปฏิบัติหน้าที่ตามบทบาทเพื่อประเทศของตน

2.คลิปปลอมสงครามไทย-กัมพูชา ที่จริงคือรัสเซียโจมตียูเครน :พบบัญชีแพลตฟอร์ม X แชร์คลิปวิดีโอภาพเหตุการณ์เมืองโดนระเบิด พร้อมข้อความที่กล่าวถึงเหตุการณ์ความไม่สงบไทย – กัมพูชา ว่า ประเทศไทยเปิดฉากโจมตีทางอากาศต่อฐานทัพทหารกัมพูชา แต่เมื่อตรวจสอบกลับพบว่าเป็นเหตุการณ์สงครามรัสเซีย – ยูเครน โดยเป็นคลิปที่ฝ่ายรัสเซียใช้ขีปนาวุธและโดรนโจมตีกรุงเคียฟเมืองหลวงของยูเครน เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 2568 (ใช้โปรแกรม InVID-WeVerify แยกเฟรมแต่ละภาพ แล้วนำไปค้นหาด้วย Google Lens)

3.เพจที่ใช้ชื่อ “สถานทูตกัมพูชา” ลงภาพอ้างไทยใช้อาวุธเคมี แท้จริงเป็นภาพเหตุการณ์ดับไฟป่าที่สหรัฐฯ : เพจที่ใช้ชื่อ “สถานทูตกัมพูชาในบัลแกเรีย” โพสต์ภาพเครื่องบินโปรยสารสีชมพู กล่าวหาว่าไทยใช้อาวุธเคมีสังหารพลเรือน แต่เมื่อตรวจสอบแล้ว ภาพดังกล่าวมาจากเหตุการณ์เครื่องบินกำลังปล่อย “สารหน่วงไฟสีชมพู” (Pink Fire Retardant) เพื่อช่วยดับไฟป่าที่กำลังลุกไหม้จนสร้างความเสียหายในสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2568 (ค้นหาภาพด้วย Google Lens)

สำหรับข้อสังเกตต่อ ThaiPBS Verify คือแม้จะเพิ่งก่อตั้งได้ไม่นานนัก แต่จุดแข็งอยู่ที่การเป็นส่วนขยายออกมาจากการเป็นสำนักข่าวขนาดใหญ่ ทำให้เข้าถึงแหล่งข่าวที่เป็นผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นได้ รวมถึงมีเครือข่ายช่วยตรวจสอบกรณีเป็นเหตุการณ์ในต่างประเทศ นอกจากนั้นยังอธิบายถึงกระบวนการตรวจสอบ เช่น การใช้เครื่องมือ Google Lens ในการตรวจสอบภาพจากคลิปวีดีโอที่แชร์ต่อกันมา ว่าเป็นเหตุการณ์ที่ใด เวลาใด เกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่อ้างถึงในเนื้อข่าวหรือไม่ 

AFP Fact Check

พบว่า ตั้งแต่วันที่ 24 – 28 ก.ค. 2568 มีการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับการสู้รบระหว่างไทย –กัมพูชา เป็นรายงาน 1 ข่าว คือ Clip shows flood defence in northern Thailand, not border wall with Cambodia เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568 โดยมีคลิปวีดีโอเผยแพร่ผ่านแพลตฟอร์ม TikTok บรรยายเป็นภาษาเขมร ระบุว่า ไทยสร้างกำแพงตามแนวชายแดนที่เชื่อมต่อกับกัมพูชา ซึ่งเป็นคลิปที่เผยแพร่มาตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค. 2568 

ภาพในคลิปดังกล่าวปรากฏชายหลายคนที่สวมเสื้อสีเขียวสกรีนข้อความเป็นภาษาไทยว่า “กองทัพบก” อย่างไรก็ตาม เมื่อนำภาพไปค้นหาแบบย้อนกลับ พบว่าคลิปนี้เคยถูกโพสต์ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2568 และมีคำบรรยายเป็นภาษาไทย ระบุว่า ทหารช่างจาก จ.ราชบุรี กำลังวางเสาเข็มและใส่แผ่นคอนกรีต และในคลิปได้เล่าว่าเป็นการสร้างเขื่อนกั้นน้ำท่วมที่ จ.เชียงราย ในพื้นที่ชายแดนที่ติดกับประเทศเมียนมา ไม่ใช่กัมพูชาแต่อย่างใด  

อีกทั้งยังตรวจสอบอาคารที่ปรากฏในคลิปดังกล่าว แล้วไปตรงรับรายงานข่าวของสำนักข่าว NBT เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2568 ว่าผู้บัญชาการทหารบกของไทย ลงพื้นที่ติดตามการก่อสร้างพนังกั้นน้ำและตรวจเยี่ยมกำลังพลในพื้นที่ จ.เชียงราย จากนั้นในวันที่ 21 ก.ค. 2568 ยังมีรายงานจากสำนักข่าว ThaiPBS ที่เผยแพร่ภาพในพื้นที่เดียวกัน ระบุว่า พนังกั้นน้ำในพื้นที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย คืบหน้ากว่าร้อยละ 90 

สำหรับการตรวจสอบข้อมูลโดย AFP Fact Check ซึ่งเป็นส่วนขยายจากสำนักข่าว AFP ของฝรั่งเศส มีการอธิบายกระบวนการตรวจสอบโดยใช้เครื่องมือดิจิทัล คล้ายกับของ ThaiPBS Verify

โคแฟค (ประเทศไทย

ในช่วงวันที่ 24 – 28 ก.ค. 2568 ซึ่งตรวจสอบทั้งข่าวจริง ข่าวปลอม ข่าวบิดเบือนและคลาดเคลื่อน พบจำนวน 11 ข่าว ดังนี้ 

– วันที่ 24 ก.ค.2568 พบทั้งหมด 5 ข่าว แบ่งเป็น 

ข่าวปลอม 2 ข่าว คือ 

1.คลิป F-16 ทิ้งระเบิดกองบัญชาการกัมพูชา : วันที่ 24 ก.ค. 2568 เวลา 12.54 น. ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์คลิปวิดีโอเป็นภาพเครื่องบินทิ้งระเบิด พร้อมข้อความบรรยายว่า “ด่วน! F-16 ทิ้งบอมบ์ 2 กองบัญชาการกัมพูชา กระเจิง หลังยิงปืนใหญ่ใส่บ้านเรือนคนไทย…” โคแฟคตรวจสอบด้วยการนำภาพจากวิดีโอไปสืบค้นด้วยเครื่องมือ Google Reverse Image (หรือ Google Lens) พบเป็นคลิปที่ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์มานานหลายปีก่อนเหตุการณ์ปะทะระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาในวันดังกล่าว โดยคลิปนี้ถูกแชร์กันอย่างแพร่หลายในบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ที่ใช้ภาษาอาหรับ มีการอ้างอิงว่าเป็นภาพจากเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย เช่น การสู้รบระหว่างอินเดีย –ปากีสถาน และการทิ้งระเบิดในประเทศซูดาน อย่างไรก็ตาม โคแฟคยังไม่สามารถตรวจสอบได้คลิปนี้เป็นภาพเหตุการณ์ใด ที่ไหน หรือเป็นภาพที่สร้างจากเอไอหรือไม่

2.คลิปชาวกัมพูชานับแสนรวมตัวขับไล่ฮุน เซน :วันที่ 24 ก.ค. 2568 เวลา 18.17 น. ผู้ใช้เฟซบุ๊กโพสต์วิดีโอภาพเหตุการณ์ขณะฝูงชนพยายามดันประตูและขว้างปาสิ่งของใส่เจ้าหน้าที่โดยใส่ข้อความบรรยายว่าชาวเขมรนับแสนคนชุมนุมขับไล่สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา แต่คลิปนี้เคยถูกนำมาอ้างเท็จแบบเดียวกันนี้มาแล้วครั้งหนึ่งช่วงต้นเดือน มิ.ย. 2568 

โดยโคแฟคและ AFP Fact Checkตรวจสอบแล้วพบว่าคลิปนี้ถูกโพสต์ในติ๊กตอกตั้งแต่วันที่ 26 พ.ค. 2568 ซึ่งเจ้าของโพสต์ระบุว่าเป็นเหตุการณ์ที่สนามกีฬา Gelora Bandung Lautan Api Stadium ในเมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย โดยรายงานข่าวท้องถิ่นระบุว่าเกิดเหตุแฟนฟุตบอลทีม Persib Bandung ที่ไม่มีบัตรพยายามจะพังประตูเข้าไปชมการแข่งขันฟุตบอลนัดชิงชนะเลิศระหว่างสโมสรท้องถิ่นสองทีมเมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2568

ข่าวจริง 2 ข่าว คือ 

1.คลิป “ยิง รพ.พนมดงรัก” จ.สุรินทร์ : วันที่ 24 ก.ค. 2568 เวลา 12.09 น. เพจเฟซบุ๊ก “แนวหน้า มั่นคง” โพสต์คลิปภาพทหารหมอบหาที่กำบังในอาคาร ขณะที่ด้านนอกมีกลุ่มควันพวยพุ่ง เขียนคำบรรยายเหตุการณ์ว่า กระสุน BM-21 ตกใส่บริเวณด้านหน้าโรงพยาบาลพนมดงรัก อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์

โคแฟคตรวจสอบกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุรินทร์ เจ้าหน้าที่ยืนยันว่ามีกระสุนจากเหตุปะทะที่ชายแดนไทย-กัมพูชาตกบริเวณ รพ. จริง ขณะนี้ผู้บริหารกำลังประชุมสรุปเหตุการณ์และมาตรการที่จำเป็น ขณะที่ภาคีเครือข่ายโคแฟคที่เป็นเจ้าหน้าที่ รพ. พนมดงรัก ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่ามีลูกปืนตกบริเวณฐานพระพุทธรูปด้านหน้า รพ. และมีทหารได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิด

นอกจากนั้น เพจเฟซบุ๊ก กระทรวงสาธารณสุข โพสต์ข้อความเมื่อเวลา 9.34 น. วันนี้ว่า “จากเหตุปะทะบริเวณปราสาทตาเมือนธม สถานบริการของ สธ. เริ่มปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุ โดย รพ.พนมดงรักได้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกจาก รพ. หมดแล้ว” รวมถึงเว็บไซต์ข่าวสาธารณสุข Hfocus รายงานคำพูดของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุขว่า รพ.พนมดงรัก มีขนาด 30 เตียง ได้ย้ายผู้ป่วย ไป รพ. อื่น 19 ราย และให้กลับบ้าน 19 ราย

2.คลิปกระสุนตกบริเวณปั๊ม ปตท. บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ : วันที่ 24 ก.ค. 2568 เวลา 11.19 น. ผู้ใช้เฟซบุ๊กโพสต์คลิปภาพกลุ่มควันพวยพุ่งบริเวณปั๊มน้ำมัน ปตท. บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ โดยบรรยายว่าเป็นภาพจุดที่ได้รับความเสียหายจากเหตุปะทะที่ชายแดนไทยกัมพูชาซึ่งโคแฟคตรวจสอบจากการรายงานของสื่อมวลชนและเฟซบุ๊กกองทัพภาคที่ 2 พบว่าคลิปดังกล่าวเป็นภาพเหตุการณ์จริง โดยกองทัพภาคที่ 2 โพสต์คลิปเมื่อเวลา 11.29 น. ว่ากระสุน BM21 ตกใส่ปั๊ม ปตท. บ้านผือ มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก

อนึ่ง ปั๊มน้ำมัน ปตท.ที่เกิดเหตุตั้งอยู่บริเวณรอยต่อพื้นที่บ้านผือและบ้านน้ำเย็น คนในพื้นที่จึงเรียกทั้งสาขาบ้านผือและบ้านน้ำเย็น แต่หากเช็กใน Google Map จะระบุว่าเป็นบ้านน้ำเย็น

ข่าวบิดเบือน 1 ข่าว คือ คลิปทหารกัมพูชาไล่ยิงนักศึกษาใน จ.สุรินทร์ ช่วงบ่ายวันที่ 24 ก.ค. 2568 มีผู้ใช้ติ๊กตอกโพสต์คลิปวิดีโอนักเรียนวิ่งหนีและส่งเสียงร้องด้วยความตกใจและหวาดกลัว โดยฝังคำบรรยายว่า “เขมรบุกเข้ามาไล่ยิงในพื้นที่ของนักศึกษาแล้ว” ซึ่งโคแฟคตรวจสอบเครื่องแบบนักเรียนในคลิปพบว่าเป็นเครื่องแบบของนักศึกษาวิทยาลัยการอาชีพสังขะ อ.สังขะ จ.สุรินทร์ จึงได้ติดต่อสอบถามข้อมูลจากวิทยาลัย เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าไม่มีเหตุการณ์ที่คนเขมรเข้ามาก่อเหตุตามที่คลิปกล่าวอ้าง ส่วนภาพในคลิปเป็นเหตุการณ์ที่นักศึกษาของวิทยาลัยตกใจเสียงปืนช่วงสายวันที่ 24 ก.ค. 2568 จึงวิ่งหาที่หลบภัย

นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าวิทยาลัยได้สั่งปิดสถานศึกษาระหว่างวันที่ 24 ก.ค.- 1 ส.ค. 2568 เนื่องจากเหตุความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของนักเรียน นักศึกษา ครูและบุคลากร

– วันที่ 25 ก.ค. 2568 พบทั้งหมด 4  ข่าว แบ่งเป็น 

ข่าวปลอม 2 ข่าว คือ 

1.ทหารไทยยึดพื้นที่ปราสาทพระวิหาร : ช่วงสายของวันที่ 25 ก.ค. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “Army Military Force – สำรอง” โพสต์ข้อความว่า “ด่วน! เวลา 09.25 น. ทหารไทยเข้ายึดพื้นที่ปราสาทพระวิหารและวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระที่เคยเป็นของไทยได้สำเร็จแล้ว…” ซึ่งต่อมา สรยุทธ สุทัศนะจินดา ได้นำไปรายงานในรายการ “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” ที่เผยแพร่ทางช่องยูทูบ

เวลา 10.30 น. กองทัพบกชี้แจงว่าเนื้อหาดังกล่าว #ไม่เป็นความจริง โดยได้โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก กองทัพบก Royal Thai Army ว่า “เป็นข่าวปลอม อย่าหลงเชื่อ” ซึ่งแม้ทางกองทัพบกจะออกมาปฏิเสธข่าว และเพจต้นทางก็ได้ลบเนื้อหาออกแล้ว แต่โคแฟคพบว่าในติ๊กตอกยังมีการแชร์เนื้อหาเท็จนี้อย่างกว้างขวาง โดยบางโพสต์ได้ตัดต่อคลิปจากรายการ “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” มาเผยแพร่

2.สั่งอพยพประชาชน จ.อุบลราชธานี และจังหวัดอื่นที่อยู่ในระยะ 130 กม. จากชายแดนไทย-กัมพูชา: ช่วงค่ำวันที่ 25 ก.ค. 2568 ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ข้อความ “เตือนภัย” อ้างว่ากัมพูชาเตรียมโจมตีไทยด้วยอาวุธที่สามารถยิงไกลได้ถึง 130 กม. ขอให้ประชาชนใน จ.อุบลราชธานีและจังหวัดอื่นที่อยู่ในระยะ 130 กม. จากชายแดนอพยพด่วน

โคแฟคตรวจสอบกับว่าที่พันตรี อดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีเมื่อเวลา 23.30 น. ได้รับคำยืนยันว่าตั้งแต่ช่วงค่ำจนถึงขณะนี้ทางจังหวัดไม่ได้มีคำสั่งให้อพยพด่วน สำหรับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยใน 2 อำเภอ คือ อำเภอน้ำยืนและอำเภอน้ำขุ่น ซึ่งอยู่ในระยะ 70-80 กม. จากชายแดน ได้อพยพไปอยู่ในที่ปลอดภัยก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นไปตามการประสานงานระหว่างทางจังหวัดและกองทัพ

โคแฟคตรวจสอบเพิ่มเติมกรณีที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียจำนวนมากอ้างถึงอาวุธของกัมพูชาที่สามารถยิงระยะไกลได้ถึง 130 กม. พบว่ามีที่มาจาก พล.ท. พงศกร รอดชมภู อดีตรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่กล่าวในรายการ “คนดังนั่งเคลียร์” ทางช่อง 8 เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568 ว่ากัมพูชามีจรวดหลายลำกล้องจากจีนชื่อ PHL03 ทั้งหมด 6 ชุด ซึ่งยิงได้ไกล 70-130 กม. สามารถเข้ามาถึงตัวเมืองและสร้างความเสียหายได้มาก ทั้งนี้ พล.ท.พงศกร ไม่ได้ระบุที่มาของข้อมูล

อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่เกิดเหตุปะทะเมื่อวันที่ 24 ก.ค. เพจทางการของกองทัพบกและกองทัพภาคที่ 2 ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์สู้รบไทย-กัมพูชา ยังไม่เคยกล่าวถึงอาวุธชนิดนี้ ในโพสต์เตือนภัยของกองทัพภาคที่ 2 เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2568 กล่าวถึงอาวุธยิงไกลที่กัมพูชาใช้ ได้แก่ จรวดหลายลำกล้อง BM-21 (ยิงได้ไกล 20 กม.) PHL-81 และ Type-90 B (ยิงได้ไกล 40 กม.)

หมายเหตุ : ในเวลาต่อมา วันที่ 26 ก.ค. 2568 เวลาประมาณ 10.00 น. เพจเฟซบุ๊กกองทัพภาคที่ 2 โพสต์ข้อมูลเกี่ยวกับขีปนาวุธ PHL-03 ระบุว่า “เป็นระบบขีปนาวุธที่มีความสามารถในการยิงหลายลูกพร้อมกันในระยะทางไกลถึง 130 กิโลเมตรจากตำแหน่งยิง ขีปนาวุธชนิดนี้สามารถทำลายที่หมายทางยุทธศาสตร์ และที่ตั้งกำลังทางทหาร ซึ่งกองทัพได้เตรียมการรองรับสถานการณ์ ในการปฏิบัติตามแผนพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลังและมีเครื่องมือในการทำลายขีปนาวุธชนิดนี้ แต่เพื่อไม่ประมาทในการป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของพลเรือน ขอให้ระมัดระวังการถูกโจมตีที่ไม่พึงประสงค์นี้ ขอให้ประชาชนไม่ตื่นตระหนก และติดตามการแจ้งเตือนจากทางการ”

ข่าวบิดเบือน 2 ข่าว คือ  

1.องค์กร-หน่วยงานในไทยปลดธงชาติกัมพูชาจากกลุ่มธงประเทศอาเซียน : 25 ก.ค. 2568 ผู้ใช้ติ๊กตอกหลายรายโพสต์คลิปวิดีโอชายคนหนึ่งกำลังลดธงชาติกัมพูชาลงจากเสาธง บางโพสต์ระบุว่าเป็นเหตุการณ์ที่สวนนงนุช อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี บางโพสต์เขียนคำบรรยายว่า “ตามหน่วยงาน องค์กร ลดธงชาติกัมพูชาลงจากเสาในบรรดากลุ่มธงชาติประเทศอาเซียน” เป็นสัญลักษณ์ว่าไทยตัดความสัมพันธ์กับกัมพูชาอย่างถาวร

โคแฟคโทรศัพท์สอบถามไปยังสวนนงนุช พนักงานให้ข้อมูลว่าภาพในคลิปเป็นกลุ่มเสาธงนานาชาติที่อยู่ด้านหน้าศูนย์ประชุมนานาชาตินงนุชพัทยาจริง แต่คลิปลดธงกัมพูชาที่มีการแชร์กันอย่างแพร่หลายนั้น ไม่ได้มาจากบัญชีโซเชียลมีเดียทางการของสวนนงนุช ซึ่งผู้บริหารกำลังตรวจสอบเหตุการณ์ในคลิป การบันทึกภาพและการเผยแพร่

นอกจากนั้น โคแฟคตรวจสอบเพิ่มเติมกับกระทรวงการต่างประเทศ เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าทางราชการไม่มีคำสั่งเรื่องการลดธง ซึ่งการลดธงไทยและธงอาเซียนมีกฎหมายและระเบียบกำกับ เช่น การลดธงในกรณีไว้อาลัย และทางการไทยไม่เคยมีคำสั่งเกี่ยวกับการลดธงของประเทศอื่น

2.คลิปชาวกรุงบรัสเซลล์บรรเลงเพลงชาติไทย ให้กำลังใจคนไทยในความขัดแย้งไทย-กัมพูชา :วันที่ 25 ก.ค. 2568 ผู้ใช้ติ๊กตอกและเฟซบุ๊กหลายรายโพสต์คลิปวิดีโอที่มีเสียงบรรเลงเพลงชาติไทย อ้างว่าชาวชาวกรุงบรัสเซลส์บรรเลงเพลงชาติไทยเพื่อส่งกำลังใจให้คนไทยในช่วงที่เผชิญความขัดแย้งกับกัมพูชา บางคลิปถูกแชร์ไปมากกว่า 3 หมื่นครั้ง ซึ่งโคแฟคตรวจสอบคลิปวิดีโอดังกล่าว พบว่าเป็นภาพที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียบันทึกในพิธีมอบชุด “ยิงกระต่าย เด็ดดอกไม้. แก่รูปปั้นเด็กฉี่ (Manneken Pis) ใจกลางกรุงบรัสเซลส์ ที่มีผู้เผยแพร่ในโซเชียลมีเดียตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค. 2568

เพจเฟซบุ๊กสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ โพสต์ภาพบรรยากาศและพิธีมอบชุดไทยแก่รูปปั้นเด็กซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2568 ว่า “…มีการเคลื่อนขบวนเพื่อไปมอบชุดแก่ Manneken Pis โดยได้รับเกียรติจากวงดุริยางค์แห่งกระทรวงการคลัง กรมศุลกากร ราชอาณาจักรเบลเยียม บรรเลงบทเพลงอันทรงเกียรติ ได้แก่ เพลงชาติไทย เพลงชาติเบลเยียม และเพลงมหาฤกษ์ บริเวณกลาง Grand Place ก่อนเคลื่อนขบวนท่ามกลางผู้คนและนักท่องเที่ยวที่มาร่วมชมขบวนแห่กันอย่างคับคั่ง” พร้อมกับเผยแพร่คลิปการบรรเลงเพลงชาติไทยของวงดุริยางค์ ซึ่งมีภาพและเสียงใกล้เคียงกับคลิปที่ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นการบรรเลงเพลงชาติให้กำลังใจคนไทย

– วันที่ 28 ก.ค. 2568 : พบ 2 ข่าว แบ่งเป็น 

ข่าวคลาดเคลื่อน 1 ข่าว คือ ผู้ว่าสุรินทร์ประกาศเขตภัยพิบัติสงคราม โดยเมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2568 สื่อมวลชนหลายสำนักรายงานว่านายชำนาญ ชื่นตา ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ประกาศให้จังหวัดสุรินทร์เป็น “เขตภัยพิบัติสงคราม” เพื่อให้การอนุมัติงบประมาณและการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาเป็นไปอย่างรวดเร็ว

ขณะที่เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลรายงานว่านายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าขณะนี้รัฐบาลได้รับแจ้งว่าผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ “ได้ลงนามในประกาศประกาศเขตภัยพิบัติสงครามแล้ว ซึ่งเป็นยกระดับเทียบเท่าน้ำท่วม-แผ่นดินไหว”

เวลา 11.20 น. นายชำนาญได้แถลงข่าวชี้แจงว่าเป็นการใช้ถ้อยคำที่คลาดเคลื่อนของสื่อมวลชนบางสำนัก ในประกาศของจังหวัดที่เกี่ยวข้องกับการให้ความช่วยเหลือประชาชนไม่มีถ้อยคำที่ระบุว่า “เขตภัยพิบัติสงคราม” เนื่องจากขณะนี้ประเทศไทยยังไม่ได้มีการประกาศสงคราม  

ทั้งนี้ ทางจังหวัดมีเพียงการประกาศให้อำเภอที่ได้รับผลกระทบใน จ.สุรินทร์เป็น “พื้นที่ประสบสาธารณภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศ” มีประกาศและหนังสือที่เกี่ยวข้อง 2 ฉบับ ดังนี้

-ประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัยลงวันที่ 24 ก.ค. 2568 เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบของกระทรวงการคลังในการอนุมัติงบประมาณช่วยเหลือประชาชนในกรณีฉุกเฉิน

-หนังสือลงวันที่ 25 ก.ค. 2568 แจ้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ใช้งบประมาณของตัวเองในการดูแลประชาชนในช่วง  2-3 วันแรกที่เกิดเหตุ และหลังจากนั้นทางจังหวัดจะจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลให้ท้องถิ่นต่อไป

ข่าวปลอม 1 ข่าว คือ ไทยใช้อาวุธเคมีโจมตีกัมพูชา โดยวันที่ 28 ก.ค. 2568 เพจเฟซบุ๊กสถานทูตกัมพูชาในบัลแกเรีย Royal Embassy of Cambodia to the Republic of Bulgaria โพสต์ข้อความกล่าวหาว่าไทยใช้อาวุธเคมีโจมตีกัมพูชา โดยอ้างคำพูดของ พล.ท.หญิง มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ซึ่งจนถึงขณะนี้ ทางเพจได้โพสต์ข้อความกล่าวหาเรื่องไทยใช้อาวุธเคมีอย่างน้อย 4 โพสต์ ในเวลา 10.39, 12.11,12.23และ 13.46 น. โดยในโพสต์แรกมีการใช้ภาพประกอบเครื่องบินปล่อยควันสีแดงมีธงชาติไทยประกอบ แต่ได้ลบภาพออกในภายหลัง

กรณีนี้กระทรวงการต่างประเทศและกองทัพบกได้ออกแถลงการณ์ปฏิเสธข้อกล่าวหา ยืนยันว่ากองทัพไทยไม่มีการใช้ #อาวุธเคมี โดยนายนิกรเดช พลางกูร โฆษก กต. ระบุว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวขาดมูลความจริงและสะท้อนการบิดเบือนข้อมูลอย่างเป็นระบบที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงในพื้นที่ และมีเจตนาที่จะบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือและสถานะของประเทศไทยในประชาคมระหว่างประเทศ

“ประเทศไทยยืนยันการยึดมั่นต่อพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาห้ามอาวุธเคมี (Chemical Weapons Convention: CWC) และยืนหยัดในท่าทีในการประณามการใช้อาวุธเคมีไม่ว่าจะเป็นที่ใด โดยผู้ใด หรือภายใต้สถานการณ์ใดก็ตาม นอกจากนี้ ประเทศไทยยังยึดมั่นต่อตราสารระหว่างประเทศด้านการลดอาวุธและการไม่แพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงทั้งปวง” แถลงการณ์ กต. ระบุ 

สำหรับภาพที่สถานทูตกัมพูชาในบัลแกเรียนำมาประกอบโพสต์กล่าวหานั้น โคแฟคตรวจสอบพบว่าเป็นภาพประกอบข่าวเครื่องบินบรรทุกสารเคมีเพื่อดับไฟป่าในลอสแองเจลิสที่เผยแพร่ทางเว็บไซต์สำนักข่าวรอยเตอร์สเมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2568

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

https://www.thaipbs.or.th/verify/highlight/thai-cambodia-situation

https://www.thaipbs.or.th/news/content/354676 (กองทัพยืนยัน “กระสุนตกฝั่งลาว” ไม่ใช่ของฝ่ายไทย : ThaiPBS 26 ก.ค. 2568)

https://factcheck.afp.com/list/regions/Asia-Pacific

https://factcheck.afp.com

https://www.facebook.com/CofactThailand

**AFP มีทำรายงานภาษาอังกฤษอีกสองเรื่อง(ยังไม่มีรายงานภาษาไทย)

https://factcheck.afp.com/doc.afp.com.682J99E
Photo of US aircraft dropping fire retardant falsely linked to Thailand-Cambodia conflict | Fact Check

https://factcheck.afp.com/doc.afp.com.68247CQ
Old military exercise photo misrepresented as Thailand-Cambodia clashes | Fact Check


ชาวปาเลสไตน์จ้างนักแสดง ‘แกล้งตาย-เจ็บ’ ในศึกกาซาจริงหรือ?

ธีรนัย จารุวัสตร์

สมาชิกเครือข่าย Cofact Thailand 

ขณะที่ภาพข่าวความสูญเสียของชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาได้รับการตีแผ่ไปทั่วโลก แต่โลกโซเชียลมีเดียกลับเต็มไปด้วยคลิปที่อ้างว่าผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตชาวปาเลสไตน์เป็นเพียงการ “จัดฉาก” เพื่อเรียกร้องความเห็นใจจากชาวโลก หรือที่เรียกกันในวงการสื่อว่า ทฤษฎีสมคบคิด “Pallywood”

หากใครจำกันได้ หลังจากที่กองทัพรัสเซียรุกรานยูเครนในต้นปี 2022 และเริ่มมีรายงานว่าประชาชนยูเครนจำนวนหนึ่งเสียชีวิตจากปฏิบัติการทางทหารของรัสเซีย พิธีกรข่าวของช่อง “ททบ. 5” ในประเทศไทย ได้นำคลิปวิดิโอหนึ่งมาเผยแพร่ออกอากาศ โดยระบุว่าเป็นการจับผิด “ศพ” ชาวยูเครนที่ถูกทหารรัสเซียสังหาร แต่ “ศพ” กลับขยับเขยื้อนได้ ดูเหมือนเป็นการ “จัดฉาก” ซะมากกว่า

อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงปรากฎว่าวิดิโอดังกล่าวเป็นคลิปจากเหตุการณ์การประท้วงสภาวะโลกร้อน ซึ่งนักกิจกรรมได้แสดงท่าทางเป็นศพเท่านั้น ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับสงครามในยูเครนเลย และในเวลาต่อมา ได้มีหลักฐานและภาพข่าวประชาชนยูเครนที่ถูกคร่าชีวิตโดยกองทัพรัสเซียปรากฎสู่สายตาชาวโลกอย่างล้นหลาม จนไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป การกล่าวหาในทำนองว่ายูเครน “จัดฉาก” ผู้เสียชีวิตเพื่อป้ายสีรัสเซีย จึงค่อยๆเงียบหายไป…

เวลาผ่านมาปีกว่า วาทกรรมดังกล่าวกลับขึ้นมาแพร่หลายในโซเชียลมีเดียอีกครั้ง แต่เปลี่ยนบริบท 

จากสงครามในยูเครน สู่สงครามในฉนวนกาซาและอิสราเอล จากที่เคยพุ่งเป้าจับผิดว่าชาวยูเครน “จัดฉาก” หรือแกล้งตาย กลายมาเป็นการกล่าวหาว่าชาวปาเลสไตน์กำลังใช้ “นักแสดง” สวมบทบาทเป็นผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการโจมตีของกองทัพอิสราเอล ซึ่งในปัจจุบัน ข้อมูลจากทางการกาซาระบุว่าชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 10,000 ราย ตั้งแต่กองทัพอิสราเอลเริ่มปิดล้อมและถล่มฉนวนกาซา หลังฮามาสก่อเหตุสังหารประชาชนในอิสราเอลจำนวนมากเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา

ตัวอย่างเช่น คลิปที่อ้างว่าชายคนหนึ่งที่สูญเสียขาในโรงพยาบาลกาซ่า กลับกลายว่ายังมีขาอยู่ในวันถัดมา หรืออ้างว่าศพเยาวชนในกาซาขยับเขยื้อนตัวได้ หรืออ้างว่ามีนักแสดงชาวปาเลสไตน์ปรากฎตัวในคลิปการโจมตีของอิสราเอลหลายครั้ง ฯลฯ 

ทั้งหมดเหล่าเป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีสมคบคิดที่เรียกว่า “Pallywood” ซึ่งเป็นการรวมกันของคำว่า “Hollywood” กับ “Palestine” เพื่อที่จะสื่อว่า ภาพและข่าวความสูญเสียในปาเลสไตน์นั้น เป็นการจัดฉากขึ้นเพื่อตบตาชาวโลก มีการใช้นักแสดงหรือวางบทบาทกันเป็นเรื่องเป็นราว ไม่ต่างจากการถ่ายภาพยนตร์ Hollywood

ที่น่ากังวลคือทฤษฎีสมคบคิดเช่นนี้ถูกส่งต่อในโซเชียลมีเดียหลายช่องทาง แม้แต่ทางการอิสราเอลและสำนักข่าวจำนวนหนึ่ง (รวมถึงสื่อไทยอย่างน้อยหนึ่งแห่ง) ก็หยิบมาเผยแพร่ต่อ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดแต่เคลือบแคลงใจต่อวิกฤติมนุษยธรรมในกาซาขณะนี้อย่างแพร่หลาย ทั้งที่ผู้เชี่ยวชาญและ factcheckers จำนวนมากได้พิสูจน์ทราบแล้วว่าไม่มีมูลความจริง 

จากปาเลสไตน์ สู่กลุ่มขวาจัดอเมริกัน

แนวคิด Pallywood เริ่มปรากฎขึ้นครั้งแรกในช่วงต้นทศวรรษ 2000 ระหว่างการลุกฮือครั้งใหญ่ของชาวปาเลสไตน์เพื่อต่อต้านการยึดครองเขตเวสต์แบงก์และกาซาโดยกองทัพอิสราเอล 

การลุกฮือ (หรือที่เรียกว่า intifada) ดังกล่าวประกอบด้วยทั้งการประท้วงและการใช้อาวุธโจมตีเป้าหมายในอิสราเอล นำไปสู่การโต้ตอบอย่างรุนแรงจากกองทัพอิสราเอล ทำให้ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตจำนวนมาก โดยเฉพาะพลเรือน ภาพข่าวความสูญเสียของชาวปาเลสไตน์เริ่มปรากฎขึ้นในสื่อมวลชนต่างประเทศหลายแห่ง กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอิสราเอล 

เหตุการณ์หนึ่งที่สร้างความสะเทือนใจไปทั่วโลก คือวิดิโอข่าวเหตุการณ์สองพ่อลูกชาวปาเลสไตน์ที่พยายามซุกตัวในมุมถนนแห่งหนึ่ง เพื่อหลบการต่อสู้กันระหว่างทหารอิสราเอลกับกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ ก่อนที่ทั้งสองพ่อลูกจะถูกยิงเสียชีวิตในที่สุด ซึ่งทีมข่าวระบุว่าเป็นฝีมือทหารอิสราเอล สร้างความโกรธแค้นไปทั่วในปาเลสไตน์และนานาประเทศ

สองพ่อลูกชาวปาเลสไตน์ Jamal และ Muhammad al-Durrah ขณะพยายามหลบกระสุนปืนท่ามกลางการต่อสู้กันระหว่างทหารอิสราเอลและกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา เมื่อปี 2000 ที่มา: France 2

อย่างไรก็ตาม นักวิชาการจำนวนหนึ่งในสหรัฐฯ เริ่มตั้งคำถามต่อวิดิโอดังกล่าวว่าเชื่อถือได้จริงหรือไม่ โดยได้หยิบยกข้อสังเกตต่างๆมาวิจารณ์ เช่น ดูเหมือนคลิปมีการตัดต่อ, มุมกล้องไม่ได้แสดงเหตุการณ์ทั้งหมด, ลำดับเหตุการณ์ไม่ตรงกับคำให้การของพยาน ไปจนถึงกระทั่งว่า สองพ่อลูกในข่าวไม่ได้เสียชีวิตจริง แต่อาจจะเป็นการ “จัดฉาก” ขึ้นเท่านั้น 

แนวคิดนี้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว จากเดิมที่เป็นการตั้งข้อสังเกตกับข่าวเหตุการณ์เดียว กลายเป็นการตั้งคำถามกับภาพและข่าวความสูญเสียอื่นๆของชาวปาเลสไตน์ด้วย พร้อมโจมตีว่าสื่อมวลชนหลายแห่งสมคบคิดกันเพื่อจัดฉากป้ายสีอิสราเอล หรือจ้างนักแสดงปาเลสไตน์มาแกล้งตายเพื่อจะได้ภาพข่าวที่ต้องการ เป็นที่มาของคำว่า Pallywood 

กระแส Pallywood เริ่มลดลงไปบ้างหลังการกำเนิดขึ้นของโซเชียลมีเดีย ซึ่งช่วยให้ประชาชนผู้เสพข่าวทั่วโลกได้เห็นเหตุการณ์ความรุนแรงต่างๆในปาเลสไตน์กับตาตัวเองโดยตรง แต่องค์ประกอบบางส่วนในแนวคิด Pallywood ได้วิวัฒนาการกลายเป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีสมคบคิดอื่นๆ ที่มักจะเผยแพร่ในกลุ่มขวาจัดอเมริกันในเวลาต่อมา 

ยกตัวอย่างเช่นเมื่อมีเหตุโศกนาฏกรรมกราดยิงหรือสังหารหมู่ในอเมริกา กลุ่มอนุรักษ์นิยมสุดโต่งมักจะเผยแพร่ข้อกล่าวหาว่า การกราดยิงต่างๆนั้นเป็นเพียงการ “จัดฉาก” โดยหน่วยงานความมั่นคงสหรัฐ เพื่อใช้เป็นข้ออ้างจำกัดสิทธิ์การครอบครองอาวุธปืนหรือลิดรอนเสรีภาพประชาชน 

เท่านั้นยังไม่พอ ยังกล่าวหาด้วยว่าบรรดาเหยื่อกราดยิงและครอบครัวผู้เสียชีวิต เป็นเพียงนักแสดงเฉพาะกิจ (crisis actors) ที่เล่นบทบาทตบตาสื่อและประชาชน สร้างความเจ็บปวดให้แก่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ดังเช่นในเหตุกราดยิงโรงเรียนประถม Sandy Hook เมื่อปี 2012 จนครอบครัวเหยื่อเหตุกราดยิงครั้งนั้นถึงกับรวมตัวฟ้องร้องนาย Alex Jones เจ้าของสำนักข่าวแนวขวาจัดรายใหญ่ ซึ่งมีบทบาทในการเผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิดดังกล่าว จนชนะคดีในเวลาต่อมา 

นอกจากนี้ ทฤษฎีสมคบคิดในลักษณะเดียวกันยังกลับมาปรากฎขึ้นในช่วงสั้นๆ หลังเหตุการณ์กองทัพรัสเซียทิ้งระเบิดใส่โรงพยาบาลผดุงครรภ์ในเมือง Mariupol ประเทศยูเครน เมื่อต้นปี 2022 ซึ่งกลุ่มชาตินิยมและสื่อในสังกัดรัฐของรัสเซียพยายามบิดเบือนว่า ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็น “นักแสดง” ที่ยูเครนจัดฉากขึ้น เป็นต้น

เมื่อ ‘Mr. FAFO’ ระบาดมาถึงสื่อไทย

การสู้รบระหว่างกองทัพอิสราเอลและกลุ่มฮามาสรอบล่าสุด ได้ทำให้กระแส Pallywood กลับมาแพร่ระบาดในสังคมออนไลน์อย่างไม่ต้องสงสัย ท่ามกลางกระแสข่าวบิดเบือนจำนวนมากเกี่ยวกับสงครามกาซาที่กระจายอยู่เต็มโซเชียลมีเดีย มีทั้งเพื่อสร้างและทำลายความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรงของคู่ขัดแย้งบนความเข้าใจผิดของผู้เสพย์ข้อมูล

ตัวอย่างหนึ่งซึ่งมักจะปรากฎอยู่บ่อยๆ คือชายชายปาเลสไตน์คนหนึ่งที่กลุ่มผู้ใช้โซเชียลมีเดียที่สนับสนุนรัฐบาลอิสราเอล ระบุว่าเป็น “นักแสดง” มากบทบาท เป็นทั้งทหารฮามาส สื่อมวลชน เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ผู้บาดเจ็บจากการโจมตีของอิสราเอล แม้กระทั่งศพผู้เสียชีวิต

ชายคนนี้ได้รับฉายาจากกลุ่มขวาจัดอเมริกันว่า “Mr. FAFO” ซึ่งเป็นคำแสลงอเมริกันหมายถึงคนที่รนหาที่ตาย (Fuck Around, Find Out – FAFO) ข่าวนี้ได้กระจายออกจากโซเชียลมีเดียของกลุ่มขวาจัดไปสู่สังคมออนไลน์ทั่วโลกอย่างรวดเร็ว รวมถึงแอคเคาท์ทวิตเตอร์ทางการของรัฐบาลอิสราเอลด้วย โดยระบุเป็นเสียงเดียวกันว่า Mr. FAFO คนนี้เป็นหลักฐานปฏิบัติการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารของชาวปาเลสไตน์

ในกรณีประเทศไทย พบข้อมูลบิดเบือน คลิปปลอม เกี่ยวกับสงครามอิสราเอล-ฮามาส ที่มีคนดูหลายล้านวิวในโซเชียลมีเดียไทยด้วยกัน  ส่วนในภาพรวมของสื่อมวลชนไทยจะเน้นการรายงานข่าวหรือข้อมูลการสู้รบระหว่างกองทัพอิสราเอลและกองกำลังติดอาวุธกลุ่มฮามาสจากแหล่งข้อมูลทางการหรือสำนักข่าวต่างประเทศที่มีความน่าเชื่อถือ จะมีบางสื่อที่รายงานโดยให้น้ำหนักไปทางข้างใดข้างหนึ่ง เช่นกรณี เว็บไซต์ของช่อง Bright TV ได้หยิบยกเรื่องของ Mr. FAFO มาเผยแพร่ต่อ โดยเนื้อข่าวตอนนี้ระบุว่า:

“ทั้งนี้ ท่ามกลาง Saleh Aljafarawi นามแฝงของนาย FAFO ที่บงการอย่างสิ้นหวังและวิดีโอที่ทำให้เข้าใจผิดและการกล่าวอ้างทางโซเชียลมีเดีย เป็นที่น่าสังเกตว่ากลุ่มฮามาสใช้กลยุทธ์การโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ เพื่อสร้างความเห็นอกเห็นใจและฉายภาพอิสราเอลว่าเป็นผู้กดขี่ กลไกที่น่าละอายอย่างหนึ่งของฮามาสก็คือการอ้างว่ามีผู้เสียชีวิตกว่า 500 รายในโรงพยาบาลฉนวนกาซา อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จากกองกำลังป้องกันประเทศอิสราเอล (IDF) ชี้ให้เห็นอย่างรวดเร็วว่านี่ไม่ใช่การโจมตีทางอากาศของอิสราเอล แต่เป็นจรวดที่ยิงผิดจากในฉนวนกาซา 

เห็นได้ชัดว่า นอกเหนือจากการทำสงครามกับฮามาส เฮาซี และฮิซบอลเลาะห์แล้ว อิสราเอลยังต้องต่อสู้กับสงครามข้อมูลที่บิดเบือน/บิดเบือนด้วยเช่นกัน”

อย่างไรก็ตาม หากได้มีการสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติม ก็จะพบว่านาย Saleh มีอาชีพเป็นอินฟลูเอนเซอร์และคอนเทนต์ครีเอเทอร์ชื่อดังในกาซาตั้งแต่ก่อนเริ่มสงครามแล้ว โดยเขาได้เผยแพร่คลิปวิดิโอ สตอรี่ และผลงานเพลงจำนวนมาก ซึ่งก็ไม่ต่างจากอินฟลูเอนเซอร์ในประเทศอื่นๆทั่วโลก อีกทั้งยังทำงานอาสาเป็นเจ้าหน้าที่ให้แก่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกาซาด้วย (จึงเป็นที่มาของภาพนาย Saleh ในเครื่องแบบโรงพยาบาล) 

มิได้มีเจตนาแฝงตัวเป็นบุคคลหลากหลายอาชีพแบบที่เข้าใจกัน และไม่เคยอ้างตัวว่าเป็นผู้บาดเจ็บจากเหตุโจมตีของอิสราเอล

นอกจากนี้ บางภาพที่นำมายำรวมกันและอ้างว่าเป็น Mr. FAFO ไม่ใช่ภาพของนาย Saleh ด้วยซ้ำ ดังเช่นภาพด้านขวามือที่ปรากฎข้างบนนี้ ซึ่งจริงๆแล้วเป็นภาพของ Mohammad Zendeq ชาวปาเลสไตน์อีกคนหนึ่ง ที่บาดเจ็บจากปฏิบัติการทางทหารโดยกองทัพอิสราเอลในเขตเวสต์แบงก์ (ไม่ใช่ฉนวนกาซา) ตั้งแต่เมื่อเดือนสิงหาคม หรือก่อนหน้าสงครามกาซารอบล่าสุดเสียอีก 

ด้านทีมข่าว AFP Fact Check ในประเทศไทย ได้พิสูจน์แล้วว่า ภาพ “ศพ” ที่หลายคนอ้างว่าเป็น Mr. FAFO แกล้งตายนั้น จริงๆแล้วเป็นภาพเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่แต่งชุดประกวดงานวันฮาโลวีนในจังหวัดนครราชสีมา ประเทศไทย เมื่อเดือนตุลาคม 2565 ต่างหาก

นอกจาก Mr. FAFO แล้ว ข่าวบิดเบือน Pallywood เช่นนี้ยังปรากฎขึ้นในอีกหลายรูปแบบ เช่น เอาคลิปเบื้องหลังการถ่ายภาพยนตร์ในเลบานอน มาอ้างว่าชาวปาเลสไตน์กำลังแต่งหน้าและแต้มสีเลือด ให้ดูเหมือนว่าบาดเจ็บจากการโจมตีของอิสราเอล, เอาภาพนักกิจกรรมในประเทศอียิปต์นอนแกล้งตายเพื่อประท้วงรัฐบาล มาอ้างว่าชาวปาเลสไตน์แต่งกายเป็นศพ เพื่อหลอกตาสื่อมวลชน เป็นต้น

เครื่องมือทางจิตวิทยา?

แน่นอนว่าคำถามหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นในใจหลายคนคือ ผู้ที่เผยแพร่และปั่นกระแส Pallywood เช่นนี้ มีจุดประสงค์เพื่ออะไร

ผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่งได้แสดงความกังวลไว้ว่า ผลกระทบหนึ่งจากทฤษฎีสมคบคิด Pallywood คือจะค่อยๆทำให้ประชาชนที่รับข่าวสารเกี่ยวกับสงครามกาซาเกิดความเคลือบแคลงใจ และเริ่มคิดว่าสื่อหรือโซเชียลมีเดียที่เผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับชาวปาเลสไตน์ไม่น่าเชื่อถือ จนทำให้เส้นแบ่งระหว่าง “ความจริง” กับ “ความเท็จ” ค่อยๆเลือนลงไป ทั้งที่มีหลักฐานจำนวนมากที่บ่งชี้ถึงวิกฤติมนุษยธรรมที่กำลังเกิดขึ้นในกาซา 

ดังที่ Sam Doak นักวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับข่าวบิดเบือน ให้สัมภาษณ์ไว้กับ Rolling Stone ว่าแนวคิดเช่นนี้เสี่ยงทำให้ผู้ที่รับชมข่าวสารมีทัศนคติเชิงลบต่อชาวปาเลสไตน์ เพราะปักใจเชื่อว่าชาวปาเลสไตน์พยายามหลอกลวงประชาชนทั่วโลก และมองว่าข่าวเกี่ยวกับความสูญเสียของพลเรือนปาเลสไตน์เป็นเพียงโฆษณาชวนเชื่อเท่านั้น

“นี่คือการลดทอนความเป็นมนุษย์” Doak กล่าวสรุป

ข้อมูลสำหรับอ่านเพิ่มเติม

No, Palestinians Are Not Faking the Devastation in Gaza | Rolling Stone 

Clip shows teenager in West Bank hospital, not faked injuries in Gaza | AFP Fact Check

A thread on Pallywood conspiracy theory | Matt Binder 

พบข้อมูลบิดเบือน คลิปปลอม เกี่ยวกับสงครามอิสราเอล-ฮามาส มีคนดูหลายล้านวิวในโซเชียลมีเดียไทย I BBC Thai 


โพสต์เฟซบุ๊กนำคำพูดของ “โอ๊ค พานทองแท้” เมื่อ 7 ปีก่อนมาบิดเบือนว่าพร้อมเป็นนายกฯ คนที่ 33

กองบรรณาธิการโคแฟค

❓ เนื้อหาที่ตรวจสอบ: “โอ๊ค พานทองแท้” ประกาศหลังเยี่ยมทักษิณ “พร้อมนั่งนายกฯ ตั้งแต่เกิด”

❌ ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ นำคำให้สัมภาษณ์เมื่อ 7 ปีที่แล้วมาใส่บริบทเท็จและบิดเบือดคำพูด**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 21 พ.ย. 2568 สมาชิกกลุ่มเฟซบุ๊ก “คันปากอยากเล่าข่าวสารบ้านเมือง” โพสต์ข้อความว่า “โอ๊ค พานทองแท้ ท้าชน ลั่น!! ‘พร้อมนั่งนายกฯ ตั้งแต่เกิด’ ชินวัตรส่งสัญญาณสานต่ออำนาจ!!” โดยอ้างว่าเป็นการประกาศจุดยืนทางการเมืองของพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายทักษิณ ชินวัตร หลังเข้าเยี่ยมบิดาซึ่งถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ (ลิงก์บันทึก)

ข้อความในโพสต์อ้างคำพูดของพานทองแท้ว่า “ผมพร้อมตั้งแต่เกิดเป็นลูกของนายทักษิณ ชินวัตร” และพร้อมที่จะ “นั่งตำแหน่งนายกฯ ของไทยเสมอ ถ้าพรรคต้องการ” นอกจากนี้ยังมีภาพประกอบเป็นรูปพานทองแท้ ฝังข้อความว่า “เกิดเป็นลูกทักษิณต้องพร้อมตั้งแต่เกิด ผมพร้อมเป็นนายกคนที่ 33 ของไทย”

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการตรวจสอบบันทึกการให้สัมภาษณ์และรายงานข่าวของสื่อมวลชนพบว่า โพสต์ดังกล่าวมีทั้งส่วนที่เป็นเนื้อหาจริงและเท็จ และเป็นการนำคำให้สัมภาษณ์ของพานทองแท้ในอดีตมาประกอบกับเหตุการณ์ปัจจุบันทำให้เกิดความเข้าใจผิด ดังนี้

▪ วันที่ 17 พ.ย. 2568 พานทองแท้และพินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ น้องสาว เดินทางไปเยี่ยมบิดาที่เรือนจำกลางคลองเปรมจริง หลังเข้าเยี่ยม ทั้งสองคนได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวซึ่งถามถึงความรู้สึกกรณีที่มีรายงานว่าอัยการสูงสุดเตรียมยื่นอุทธรณ์คดีที่ทักษิณเป็นจำเลยในฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พานทองแท้ตอบเพียงสั้น ๆ ว่า “ก็เป็นเรื่องที่ทำให้จิตตกพอสมควร แต่เราก็ขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้เรา”

▪ คำพูดที่ว่า “ผมพร้อมมาตั้งแต่รู้ว่าเกิดเป็นลูกทักษิณแล้ว” เป็นคำพูดของพานทองแท้จริง แต่เป็นการให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวตั้งแต่วันที่ 5 พ.ย. 2561 หรือ 7 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นวันที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางนัดสอบปากคำจำเลยในคดีร่วมกันฟอกเงิน-ทุจริตการปล่อยกู้สินเชื่อธนาคารกรุงไทยกับกลุ่มกฤษดามหานคร

ในวันนั้น ผู้สื่อข่าวถามพานทองแท้ถึงกระแสข่าวว่าจะมาเป็นผู้นำพรรคไทยรักษาชาติ เขาตอบว่า “ผมก็ยังไม่มีความชัดเจนอะไร แต่ผมสนับสนุนพรรคที่สนับสนุนประชาธิปไตยทุกพรรค” ผู้สื่อข่าวถามต่อว่าพร้อมจะเข้ามาทำงานการเมืองหรือไม่ พานทองแท้ตอบว่า “ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ จริง ๆ ผมพร้อมมาตั้งแต่รู้ว่าเกิดเป็นลูกทักษิณแล้วครับ ผมพร้อมตั้งแต่แรกแล้วครับ ตอนนี้ก็คือขอดูจังหวะก่อน”

📌 ข้อสรุปโคแฟค: โพสต์เฟซบุ๊กนี้เป็นการนำคำพูดที่พานทองแท้ตอบคำถามนักข่าวเมื่อ 7 ปีที่แล้วในประเด็นเรื่องการเข้ามาทำงานการเมืองมาบิดเบือนว่าเป็นคำพูดของพานทองแท้เกี่ยวกับการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และให้ข้อมูลเท็จว่าเป็นการพูดหลังจากเยี่ยมบิดาที่เรือนจำกลางคลองเปรม

ส่วนข้อความว่า “พร้อมนั่งนายกฯ ตั้งแต่เกิด” “พร้อมนั่งตำแหน่งนายกฯ ของไทยเสมอ ถ้าพรรคต้องการ” และ “ผมพร้อมเป็นนายกคนที่ 33 ของไทย” ไม่ใช่คำพูดของพานทองแท้ ไม่ปรากฏทั้งในการให้สัมภาษณ์ที่เรือนจำกลางคลองเปรมเมื่อ 17 พ.ย. และการให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวที่ศาลอาญาเมื่อปี 2561

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ

สมรภูมิข่าวสาร’เนื้อหาเร้าอารมณ์โหมกระหน่ำรับเลือกตั้ง ขอสื่อนำเสนอรอบด้านเป็นหลักยึดให้สังคม

19 พ.ย. 2568 ที่สถานีโทรทัศน์ ThaiPBS ถ.วิภาวดีรังสิต หลักสี่ กรุงเทพฯ มีการจัดเสวนาหัวข้อ “สกัดข่าวปลอม : เตรียมพร้อมสู่สนามเลือกตั้ง” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ Fact-Check Thailand 2026 เสริมพลังสังคมสู้ข่ำวลวงรำยงำนข่ำวเลือกตั้ง จัดโดยสถานเอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย ร่วมกับ ThaiPBS ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน 

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ยกคำเตือนจากปาฐกถาเมื่อเดือน ก.ย. 2568 ของ มาเรีย เรสซา (Maria Ressa) ผู้สื่อข่าวชาวฟิลิปปินส์ที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ประจำปี 2021 (พ.ศ.2564) ในเรื่องของ มหาสงครามข้อมูล (Information Armageddon) ที่หากไม่ตั้งหลักให้ดีก็จะปั่นป่วนมาก ในที่นี้ไม่ใช่วันสิ้นโลกแต่หมายถึงวันสิ้นสุดของข้อเท็จจริง ซึ่งการเลือกตั้งในประเทศไทยที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ สมรภูมิข้อมูลจะเข้าไปอยู่ในโลกออนไลน์ และไม่เฉพาะรูปแบบข้อความ แต่รวมถึงคลิปวิดีโอและเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)

หรือแม้กระทั่ง ีม (Meme) ที่ถูกมองอย่างตลกขบขันหรือเป็นการเสียดสีล้อเลียน (Satire หรือ Parody) อันเป็นเฉดสี (Spectrum) ที่อ่อนที่สุดในการจัดประเภทของข่าวลวง แต่มีมก็อาจนำไปสู่การผลิตซ้ำอคติหรือทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ โดยเฉพาะเมื่อเป็นการเล่นกับอารมณ์ความรู้สึก ความตลกขบขันก็อาจเร้าอารมณ์ความรู้สึกโดยที่ไม่ต้องสนใจข้อเท็จจริงก็ได้ และนี่ก็เป็นความท้าทายของคนทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact – Checking)เพราะคนไม่ได้สนใจข้อเท็จจริงแต่สนใจในสิ่งที่ตนเองเชื่อ หรืออคติเพื่อยืนยันความคิดของตน (Confirmation Bias)

ทั้งนี้ ในช่วง 3 – 4 ปีล่าสุด สังคมไทยน่าจะไม่ต่างจากเยอรมนีหรืออีกหลายประเทศ ที่อารมณ์ความรู้สึกของคนเหมือนกับถูกบีบคั้นมากขึ้น ทั่วโลกมีปรากฎการณ์เอียงขวา ที่ไม่ได้หมายถึงการสนับสนุนอำนาจนิยมหรือเผด็ตการทหาร แต่เป็นความรู้สึกต้องทนทุกข์ทรมาน (Suffer) กับภาวะที่ไม่มีทางเลือก ดังนั้นมีแนวโน้มที่สุดท้ายอาจเกิดปรากฏการณ์การตัดสินใจเฉพาะหน้าแบบรวมหมู่ 

และที่น่ากังวลคือ ปรากฏการณ์อารมณ์นำความรู้สึกซึ่งเกิดขึ้นได้กับคนทุกช่วงวัย (Generation) หรือหากใช้ภาษาวัยรุ่นก็คือการ ถูกปั่น อย่างในอดีตที่บอกกันว่าผู้สูงอายุ (คนรุ่นเบบี้บูมเมอร์) มักจะแชร์ข่าวลือขณะที่คนรุ่นใหม่จะเป็นผู้ทัดทาน แต่ระยะหลังๆ เห็นทิศทางที่น่ากังวลใจ คืออาจปั่นกันจนงงไม่ว่าประชากรรุ่นไหน – วัยใด โดยเฉพาะเมื่อบวกกับการเมืองไทยที่ไม่ได้แบ่งขั้วชัดเจนหากเทียบกับเมื่อ 4 ปีก่อน กล่าวคือ ปัจจุบันมีการแบ่งกันเองภายในอีกทั้งฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตยและฝ่ายอนุรักษ์นิยม

ซึ่งเมื่อไม่รู้ว่าจะอยู่จุดไหน ความได้เปรียบ – เสียเปรียบตรงนี้ทำให้คนที่มีแนวคิดสุดโต่งมีที่ยืนในพื้นที่สาธารณะ (Public Sphere) คือไม่ใช่เพียงแต่เรื่องของข้อมูลลวงหรือข้อมูลบิดเบือน (Disinformation) แต่จะมาพร้อมกับถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) ความสุดโต่งและเร้าอารมณ์ สิ่งเหล่านี้ทำให้คนที่เป็นพลังเงียบส่วนหนึ่งเลือกที่จะปลีกตัว (Fade Out) ออกไปจากพื้นที่สาธารณะทางออนไลน์ ไม่ถกเถียงกับใครแล้วไม่ว่าในไลน์กลุ่มหรือในแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ เกิดภาวะเหนื่อยล้าและหลีกเลี่ยงการการรับข้อมูลข่าวสารที่มีเนื้อหาจริงจัง

ทำไมคนเป็นสิบล้านคนถึงไปตามอินฟลูฯ (Influencer – บุคคลที่มีชื่อเสียงในโลกออนไลน์) ที่ทำ Content (เนื้อหา) ตลกๆ ไม่ได้มีแก่นสารอะไร? เพราะว่าคนเริ่มเหนื่อยล้ากับสภาพการเมือง เศรษฐกิจ และแม้แต่เหนื่อยล้ากับการรับข่าวสารออนไลน์ด้วย โดยเฉพาะพวก Hard News (ข่าวที่มีเนื้อหาสาระจริงจัง) หรือ Debate (การถกเถียง) จริงจัง จนมีนักวิเคราะห์ว่าปีนี้การมานั่ง Debate เหมือน 4 ปีที่แล้วอาจไม่ได้รับความสนใจทั้งจากพรรคการเมืองและคนดู เพราะเหมือนกับทุกคนไปสร้างแพลตฟอร์มของตัวเองแล้วก็จะทำทุกอย่างให้ดูขำขัน แต่ในความทำใหขำขันจะซ่อนอะไรบางอย่างอยู่ อาจทำให้ผลการเลือกตั้งออกมาพลิกล็อกผิดทิศผิดทาง ไม่มีทฤษฎีไปเลยก็ได้ สุภิญญากล่าว 

ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า สิ่งที่ร้ายกว่าข่าวลวงคือข้อมูลบิดเบือน (Disinformation) ที่ผู้ปล่อยอาจเป็นได้ทั้งผู้สมัครรับเลือกตั้ง พรรคการเมืองหรือมวลชนผู้สนับสนุน เพื่อสร้างหรือทำลายคะแนนนิยม เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เราต้องเท่าทันมากขึ้น ในมุมมองของตนเห็นว่าคนไทยเท่าทันข่าวลวงแล้ว แต่กับข้อมูลบิดเบือนยังเตาะแตะอยู่ โดยตัวอย่างของข้อมูลบิดเบือนที่เจอบ่อยๆเช่น ภาพประกอบข่าวหรือพาดหัวข่าวกับเนื้อหาข่าวเป็นคนละเรื่องกัน หรือนำภาพเก่ามาอ้างเป็นเหตุการณ์ปัจจุบัน

ทั้งนี้ เรารู้แล้วว่าสื่อสังคมออนไลน์มีบทบาทมากขึ้นกับการแพ้ – ชนะการเลือกตั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมาแต่ครั้งนี้จะมากที่สุด ดังนั้นระหว่างที่สังคมไทยกำลังเรียนรู้ สื่อมวลชนก็ต้องเข้าใจว่าหน้าที่ของตนเองไม่ใช่เพียงการต่อต้านข่าวลวง แต่ต้องต่อต้านข่าวบิดเบือนด้วย คือกลไกการเลือกตั้งก็เหมือนกับทุกเรื่อง คือคนจำนวนมากจะรอดูว่าทิศทางของสังคมไปทางไหนแล้วก็ไปในทางเสียงที่เป็นกระแสนิยม (Popular) ไม่ต่างจากกลไกการทำงานของดาราหรือคนดัง หรือคนที่ไม่ควรจะดังกลับดังขึ้นมาได้ก็ด้วยบทบาทของสื่อ 

อนึ่ง การเลือกตั้งก็เหมือนกับการซื้อ – ขายสินค้า ที่ผู้บริโภคต้องมีข้อมูลเพียงพอจึงจะได้รับสินค้าที่มีคุณภาพในราคาที่ดีที่สุด แต่ตลาดการเมืองจะได้เปรียบตรงที่มีผู้สมัครรับเลือกตั้ง พรรคการเมืองและนโยบายให้ผู้บริโภคได้เลือกอย่างครบถ้วน ขณะที่ตลาดสินค้าทั่วไปผู้บริโภคอาจไม่รู้ว่าสินค้าประเภทเดียวกันมีขายที่ไหนบ้าง แต่ความยากของตลาดการเมืองคือการหาเสียงแน่นอนว่าการขายสินค้าก็ต้องมีการโฆษณาให้ซื้อสินค้า ไม่ต่างจากพรรคการเมืองที่ก็ต้องโฆษณาให้ประชาชนเลือก แต่สิ่งสำคัญคือการสกัดสินค้าที่โฆษณาเกินจริงหรือของปลอมไม่ตรงปก 

สำหรับ การวางบทบาทของสื่อ ที่ต้องมีความเป็นกลาง หมายถึงในความเป็นบุคคลคนหนึ่ง ในใจเราอาจชอบนักการเมืองหรือพรรคการเมืองใดก็ได้ เวลาไปเลือกตั้งก็ได้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ (เลือก สส. แบ่งเขต กับ สส. บัญชีรายชื่อ) เหมือนกับประชาชนทั้งประเทศ แต่การทำหน้าที่สื่อต้องไม่นำความรู้สึกในใจมาเกี่ยวข้อง หากใครทำไม่ได้ตนก็เสนอว่าควรล้างมือออกไปจากวงการ เพราะประชาชนเจออิทธิพลของข่าวลวงหรือข้อมูลบิดเบือนมากพออยู่แล้ว และที่สิ่งเหล่านี้มีมากก็เพราะมีสื่อจำนวนหนึ่งเข้าไปร่วมเผยแพร่ด้วยไม่ว่าโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม 

ผมเปรียบเทียบอย่างนี้ สื่อมวลชนในการแข่งขันฟุตบอล หน้าที่คืออะไรตอนถ่ายทอดสด? คุณก็ต้องถ่ายทอดเหตุการณ์ทั้งหมดให้ครบถ้วนที่สุด ดูเหมือนว่าสื่อไทยในช่วงเวลา 20 ปีที่ผ่านมาจะเป็นแบบนี้ สื่อที่มีสีกจะถ่ายทีมฝ่ายตรงข้ามที่ตัวเองไม่ชอบ เล่นผิดเล่นโกงเล่นผิดกติกาก็จะย้ำอยู่นั่น แต่พอข้างที่ตัวเองเลือก ที่ตัวเองชอบผิดบ้างไม่ถ่าย ท่านเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า? แต่ที่ผ่านมาเรามีสื่อแบบนี้ตอนที่สื่อแบ่งสีเป็นเหลืองกับแดง นี่ยุคก่อนหน้าปี 2562 เรายังเป็นเหลืองกับแดงอยู่ 2562 ปุ๊บมันเกิดพรรคส้มขึ้นมามันก็เลยเกิดการเมืองแบบหลายฝ่ายในปัจจุบัน ซึ่งก็ทำให้เกิดความซับซ้อนมากขึ้น ผศ.ดร.ปริญญา กล่าว

ก่อเขต จันทเลิศลักษณ์ ผู้อำนวยการสำนักข่าว ThaiPBS กล่าวว่า ในขณะที่สังคมเรียกร้องหาความจริงหรือความถูกต้องจากสื่อ ก็ยังมีคำถามอีกว่า ความจริง (หรือความถูกต้อง) ของใคร?เพราะแต่ละคนก็จะมีมุมมองที่แตกต่างกัน ทัศนคติ ภูมิหลังและความเชื่อที่คนคนหนึ่งมีจะส่งผลต่อการรับรู้ความจริงและความถูกต้องของคนคนนั้น หรือคำถามที่ว่า ทุกวันนี้เราเสพข่าวเอาความถูกต้องหรือถูกใจ? การเลือกแหล่งข้อมูลในการตรวจสอบข่าวก็ทำให้มองเห็นได้แล้วว่าบุคคลนั้นมีทัศนคติภูมิหลังและความเชื่อเป็นอย่างไร  

โดยสื่อเป็นเพียงพาหนะนำข้อมูลไปส่ง แต่การตัดสินใจเสพสื่อหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับผู้รับสารที่ขณะนี้มีข้อมูลมหาศาลไหลเข้ามาถึง ดังนั้นอารมณ์ความรู้สึก ทัศนคติ ภูมิหลังและความเชื่อ เป็นคำสำคัญที่ต้องตระหนักถึง ความจริงที่ไม่ตรงกับความรู้สึกความเชื่อจะถูกบอกว่าไม่จริง ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลบิดเบือน (Disinformation) หรือข้อมูลคลาดเคลื่อน (Misinformation) หรือเป็นเครื่องมือของอีกฝ่ายหนึ่ง โดยผู้ที่รับข่าวสารนั้นเองเป็นคนแยกแยะ 

เมื่อเป็นเช่นนี้ สื่อต้องพยายามหนักแน่นต่อการเสนอข้อเท็จจริงอย่างสมดุล ยึดความเป็นภววิสัย (Objection) ไม่ใช่ยึดตัวตน ซึ่งขัดแย้งกับค่านิยมของคนเสพสื่อในปัจจุบัน อย่างที่ได้ยินคำว่าอินฟลูเอนเซอร์ KOL หรือ Key Opinion Leader (ผู้นำทางความคิด) ทั้งหลายทั้งปวงอยู่ที่ตัวบุคคล ผู้คนจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ต้องสถาปนาความน่าเชื่อถือโดยตัวบุคคล คิดแต่ว่าทำอย่างไรจะให้คนมาสนใจ และท้ายที่สุดพูดอะไรคนก็เชื่อ 

ซึ่งผู้ที่ทำแบบนี้ไมได้มีแต่นักการเมือง นักโฆษณาหรือนักการตลาด แต่รวมถึงสื่อมวลชนจำนวนหนึ่งด้วย ตนไมได้บอกว่าสิ่งใดถูกหรือผิด แต่ทั้งหมดยิ่งเพิ่มความสลับซับซ้อนและความยากในการเข้าถึงความจริงของคนในสังคม จนถึงขณะนี้ตนยังมองไม่เห็นแนวโน้มที่ดี ที่จะทำให้สังคมโลกหรือใครก็ตามเข้าถึงความจริงที่เป็นจริงๆ ซึ่งเป็นเรื่องยาก หรือตนก็เพิ่งได้ยินว่ามีคนที่เบื่อหรือปฏิเสธการรับรู้ข้อมูลข่าวสารแล้วหันไปเสพเนิ้อหาตลกแทน แต่ในเนื้อหาตลกนั้นก็ยังแฝงไว้ด้วยค่านิยมให้เกลียดบุคคลอื่นอีกแล้วให้มาเลือกตนเองหรือซื้อสินค้าของตนเอง 

ส่วนท่าทีต่อการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ ในส่วนของ ThaiPBS จะใช้หลักของสื่อทั่วๆไปในการนำเสนอ คือ 1.สิ่งที่ผู้คนอยากรู้ (Want to know) เช่น เกาะติดสถานการณ์พรรคการเมืองลงพื้นที่หาเสียง พื้นที่ใดพรรคไหนมีคะแนนนำ กับ 2.สิ่งที่ผู้คนจำเป็นต้องรู้ (Need to know) คือนโยบาย เพราะอุดมคติของการเลือกตั้งคือตนตัดสินใจเลือกด้วยนโยบายที่แต่ละพรรคนำมาขาย แต่จะขายแบบเกินจริงหรือไม่ตรงปกหรือไม่ผู้ชมก็ต้องช่วยกันดู 

ต้องถอยออกมาจากความเชื่อ ความรัก ความโกรธ ความเกลียดของตัวเอง ออกมาระยะหนึ่ง แล้วก็ดูว่าแต่ละพรรคเขาหาเสียงอย่างไร นโยบายควรจะเป็นกำหนดซึ่งผมเชื่อว่าส่วนใหญ่ที่เลือกกันไม่ได้คำนึงถึงประเด็นนี้ แต่ ThaiPBS จะเน้นเรื่องนี้มาก่าคุณขายนโยบายอะไร แล้วพอขายไปแล้วหลังจากเป็นรัฐบาลก็จะติดตามต่อว่าได้ทำตามที่พูดนั้นไว้หรือไม่ ที่ปรากฏก็คือ Policy Watch ที่เราทำอยู่ อันนี้ก็เป็นประเด็นหนึ่งที่เราคิดว่าเราจะต้องให้ข้อมูลอย่างรอบด้านเพื่อที่ให้ประชาชนได้เลือก ก่อเขต กล่าว 

สำหรับวงเสวนา “สกัดข่าวปลอม: เตรียมพร้อมสู่สนามเลือกตั้ง” รวมถึงพิธีเปิดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ Fact-Check Thailand 2026 เสริมพลังสังคมสู้ข่ำวลวงรำยงำนข่ำวเลือกตั้ง สามารถรับชมย้อนหลังได่ที่ https://www.youtube.com/watch?v=Unuj_d7U8Ls

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

รับมือ ‘มีม’ โลกออนไลน์ล้ำเส้นความฮาอาจกลายเป็นข่าวลวงสร้างความเกลียดชังผู้เชี่ยวชาญชี้ต้องรู้เท่าทันก่อนแชร์

เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 รายการโคแฟคสนทนา รวมพลคนเช็กข่าว คุยเรื่อง “เท่าทัน ‘มีม’ ล้อเลียน เสียดสี” ดำเนินรายการโดยสุชัย เจริญมุขยนันท เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมการล้อเลียนในโลกออนไลน์ ที่อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดและการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองได้แก่ ณัฐกร ปลอดดี Southeast Asia editor, AFP Fact Check ,  สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค และ เฌอญดา สายตา (เจส) ตัวแทนคนรุ่นใหม่จากภาคีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม

สุภิญญา กลางณรงค์ เปิดประเด็นว่า “มีม” (Meme) มักมาจากการล้อเลียนเสียดสีทางการเมืองและสังคม ซึ่งในมุมหนึ่งช่วยสร้างความขบขันคลายเครียด แต่ในอีกมุมหนึ่งอาจก่อให้เกิดความเกลียดชังได้ โดยเฉพาะในยุคที่มีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้เส้นแบ่งระหว่างเรื่องจริงกับเรื่องล้อเล่นมีความก้ำกึ่ง ในระดับสากลจัดให้การล้อเลียนเสียดสี (Satire/Parody) เป็นหนึ่งใน 7 ประเภทของข้อมูลลวง แม้จะเป็นประเภทที่รุนแรงน้อยที่สุด แต่หากผู้รับสารไม่เข้าใจบริบท หรือนำไปใช้นอกบริบทเดิม ก็อาจสร้างความเข้าใจผิดขยายวงกว้างได้ ปัญหาสำคัญคือช่องว่างระหว่างวัย ที่ผู้ใหญ่บางคนอาจไม่เข้าใจบริบทของมีมและเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง

ด้านเฌอญดา สายตา (เจส) ตัวแทนคนรุ่นใหม่ สะท้อนปัญหาว่าปัจจุบันในโซเชียลมีเดียมีการเผยแพร่มีมจำนวนมากจนแยกแยะยาก โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุที่มักหลงเชื่อข้อมูลเหล่านี้ได้ง่าย จึงตั้งคำถามถึงวิธีการตรวจสอบว่าข้อมูลใดเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อบิดเบือน

ณัฐกร ปลอดดี อธิบายว่า ธรรมชาติของมีมในวัฒนธรรมอินเทอร์เน็ตคือการไปไวและเน้นความตลกขบขัน ซึ่งแบ่งได้เป็นการล้อเลียน (Parody), การเสียดสี (Satire) และโพสต์ดัก สิ่งเหล่านี้จะกลายสภาพเป็น “ข้อมูลเท็จ” (Disinformation) ก็ต่อเมื่อถูกแชร์ต่อไปโดยขาดบริบทสำคัญ หรือผู้รับสารไม่เข้าใจว่าเป็นมุกตลกสำหรับวิธีการตรวจสอบนั้น นายณัฐกรระบุว่าใช้วิธีเดียวกับการตรวจสอบข่าวลวงทั่วไป คือการหาต้นตอของภาพและคำกล่าวอ้างโดยสังเกตว่าเพจต้นทางระบุตัวตนว่าเป็นเพจตลกหรือเสียดสีหรือไม่

ณัฐกร ยกตัวอย่างกรณีศึกษาที่ AFP เคยให้คะแนนว่าเป็นข้อมูลเท็จแต่ถูกท้วงติง คือกรณีเพจ “หลวงพ่อพุทธะอิสระ โซดาลาย” นำภาพจากเกมโปเกมอนโกในไต้หวันมาโพสต์ล้อเลียนการชุมนุมทางการเมือง ซึ่งในตอนแรกผู้ตรวจสอบไม่เข้าใจบริบทมุกตลกจึงระบุว่าเป็นข่าวปลอม แต่ภายหลังได้แก้ไขเรตเป็นเนื้อหาเสียดสี เนื่องจากเพจระบุชัดเจนว่าเป็นเพจล้อเลียน อย่างไรก็ตาม ความยากอยู่ที่การตีความของแต่ละบุคคล ซึ่งขึ้นอยู่กับชุดความเชื่อและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน

ประเด็นเรื่องภาพตัดต่อของบุคคลที่มีชื่อเสียง เช่น กรณีภาพ “ลิซ่าBLACKPINK” ในชุดข้าราชการ หรือภาพตัดต่อ “ปูติน” และ “กันจอมพลัง” นางสาวสุภิญญามองว่า หากเป็นเรื่องขำขันที่ไม่สร้างความเสียหายร้ายแรงอาจไม่จำเป็นต้องหักล้างข้อมูลทุกเรื่อง เพราะต้องคำนึงถึงทรัพยากรที่มีจำกัด แต่หากเรื่องนั้นสร้างความเข้าใจผิดในวงกว้าง หรือส่งเสริมความเกลียดชัง ก็จำเป็นต้องมีการตรวจสอบ

ณัฐกรเสริมว่า AFP จะพิจารณาเป็นรายกรณี (Case by Case) โดยดูจากยอดแชร์ ผลกระทบต่อสังคม และเจตนาของผู้โพสต์ หากเพจระบุว่าเป็นตลก (Comedy) จะไม่เข้าไปแตะต้อง เว้นแต่จะมีการแอบอ้างความเป็นตลกเพื่อเผยแพร่ข้อมูลเท็จ หรือที่เรียกว่า “Mal-information”

ในช่วงท้าย นางสาวสุภิญญาได้ให้ข้อคิดว่า การเสพสื่อในยุคปัจจุบันต้องมีภูมิคุ้มกัน แม้มีมจะดูเป็นเรื่องสนุกสนาน แต่หากสะสมความเกลียดชังหรือการเลือกปฏิบัติ ก็เปรียบเสมือนขนมหวานเคลือบยาพิษ ดังนั้นหากไม่แน่ใจไม่ควรแชร์ต่อ เพื่อไม่ให้เป็นการขยายผลข้อมูลที่ไม่จริง

ขณะที่ณัฐกรเตือนให้ระวังเพจที่ใช้ข้ออ้างว่าเป็นเพจตลกในการปล่อยข่าวลวง ซึ่งผู้บริโภคสื่อต้องใช้วิจารณญาณอย่างมากในการแยกแยะ โดยนายสุชัย ผู้ดำเนินรายการ ได้สรุปทิ้งท้ายว่า แม้จะมีความสนุกคึกคะนองเพียงใด แต่หากการล้อเลียนนั้นไปทำร้ายผู้อื่นสังคม หรือละเมิดสิทธิ ก็ถือเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง

เพจเฟซบุ๊ก Cambodia Weather โพสต์เท็จว่าปริมาณน้ำเขื่อนภูมิพลเกินความจุอ่าง

กองบรรณาธิการโคแฟค

❓ เนื้อหาที่ตรวจสอบ: เขื่อนภูมิพลปริมาณน้ำเกินความจุอ่าง-พบรอยแตก

❌ ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ เจ้าหน้าที่เขื่อนภูมิพลยืนยันว่าปริมาณน้ำยังไม่เต็มความจุอ่างเก็บน้ำและไม่พบรอยแตกร้าว**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 16 พ.ย. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “Cambodia Weather” โพสต์คลิปวิดีโอ Reel พร้อมคำบรรยายภาษาเขมรแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “ช่วงเย็นวันที่ 15 พ.ย. 68 น้ำในเขื่อนภูมิพลพุ่งเกิน 100% แล้ว แต่น้ำยังไหลเข้าเขื่อนอยู่เลย ได้ยินข่าวในติ๊กตอกว่ากำแพงเขื่อนมีรอยแตก… ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่านะ?” ซึ่ง ณ วันที่ 17 พ.ย. คลิปนี้มีผู้รับชมแล้วมากกว่า 5.7 แสนครั้ง และมีการแชร์มากกว่า 400 ครั้ง 

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: เจ้าหน้าที่เขื่อนภูมิพลยืนยันกับโคแฟคว่า ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพลยังไม่เกินความจุอ่างและไม่พบรอยแตกร้าว โดยทางเขื่อนมีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบทุกวัน

เจ้าหน้าที่สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์กรมหาชน) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รวบรวมข้อมูลด้านน้ำจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยืนยันตรงกันว่าปริมาณน้ำในเขื่อนภูมิพลยังไม่เกิน 100% ของความจุอ่าง

โคแฟคตรวจสอบเพิ่มเติมจากเพจเฟซบุ๊ก “เขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก” ซึ่งเป็นเพจทางการของเขื่อนภูมิพล พบว่าในวันที่ 15 พ.ย. มีปริมาณน้ำอยู่ที่ 13,393.55 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) คิดเป็น 99.49% ปริมาณน้ำพร้อมใช้งานอยู่ที่ 9,593.55 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 99.29% 

เมื่อตรวจสอบปริมาณน้ำย้อนหลังระหว่างวันที่ 10 – 17 พ.ย. ไม่พบว่ามีปริมาณน้ำเกิน 100% ของความจุแต่อย่างใด โดยปริมาณน้ำพร้อมใช้งานอยู่ระหว่าง 98.68-99.42% ของความจุอ่าง โดยวันที่ 17 พ.ย. เพจเฟซบุ๊กเขื่อนภูมิพลระบุว่าอ่างเก็บน้ำสามารถรับน้ำได้อีก 96.41 ล้าน ลบ.ม.

 “กต. ยืนยันคณะทูต AOT ไม่ค้านไทยเปิดศึกใส่เขมร” เป็นเนื้อหาเท็จ-หยุดแชร์

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: กระทรวงการต่างประเทศระบุคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) ไม่ค้านให้ไทยเปิดศึกใส่เขมร

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ เป็นการนำรายงานข่าวของสื่อมวลชนมาบิดเบือนให้เกิดความเข้าใจผิดต่อท่าทีของคณะทูตต่างประเทศ**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 12 พ.ย. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “เกษตร นานา” โพสต์ภาพประกอบพาดหัวข่าวว่า “Breaking News ด่วน! กต. ยืนยันคณะทูต AOT ไม่ค้านให้ไทยเปิดศึกใส่เขมรได้เลย ไทยสามารถใช้สิทธิ์ดำเนินการตามความจำเป็น ในการปกป้องอธิปไตยไทยได้เต็มที่ ตามความเหมาะสม” โพสต์นี้ถูกแชร์มากกว่า 500 ครั้ง (ลิงก์บันทึก)

หลังจากนั้นไม่นาน บัญชีผู้ใช้โซเชียลมีเดียทั้งเฟซบุ๊กและ X หลายรายนำข้อความดังกล่าวไปเผยแพร่ต่อ เช่น บัญชีเฟซบุ๊ก “บักดี้พาเพลิน” เผยแพร่ต่อในรูปแบบวิดีโอ Reel มียอดชมกว่า 1.6 ล้านครั้ง แชร์มากกว่า 17,000 ครั้ง และ เพจเฟซบุ๊ก “Bangkok I Love You” โพสต์ภาพพาดหัวข่าวว่า “Breaking News ด่วน! ก.ต่างประเทศ ยืนยันคณะทูต AOT ไม่ค้าน ให้ไทยเปิดศึกใส่เขมรได้เลย” โพสต์นี้ถูกแชร์มากกว่า 1,100 ครั้ง (ลิงก์บันทึก)

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: เพจเฟซบุ๊ก “เกษตร นานา” อ้างว่าเนื้อหานี้มีที่มาจากสำนักข่าวเนชั่นออนไลน์ที่รายงานเนื้อหาจากการแถลงข่าวของนายนิกรเดช พลางกูร โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2568 เกี่ยวกับการชี้แจงเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลต่อคณะทูตานุทูตและผู้แทนองค์การระหว่างประเทศประจำประเทศไทยเมื่อวันที่ 10 พ.ย. โดยนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

โคแฟคตรวจสอบรายงานข่าวของเนชั่นออนไลน์โดยละเอียดพบว่า ไม่มีข้อความใดที่ระบุว่าคณะทูตและคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) “ไม่ค้านให้ไทยเปิดศึกใส่เขมรได้เลย” ตามที่เพจเฟซบุ๊กข้างต้นกล่าวอ้าง

เมื่อฟังคลิปย้อนหลังการแถลงข่าวของนายนิกรเดชที่เผยแพร่ทางเพจเฟซบุ๊กกระทรวงการต่างประเทศ ก็ไม่พบข้อความดังกล่าวเช่นกัน 

ในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 12 พ.ย. นายนิกรเดชพูดถึงท่าทีของคณะทูตต่างประเทศและผู้แทนองค์การระหว่างประเทศในประเทศไทยซึ่งมีทั้งหมด 71 คน จาก 59 ประเทศ 1 องค์กรและ 4 องค์การระหว่างประเทศ ว่าคณะทูตได้ถามถึงแนวทางการดำเนินการของไทยหลังเกิดเหตุทหารเหยียบทุ่นระเบิดครั้งล่าสุด ซึ่งโฆษก กต. ระบุว่านายสีหศักดิ์ตอบคณะทูตว่า “ไทยขอสงวนสิทธิ์ที่จะดำเนินการตามความจำเป็นเพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย และไทยจะดำเนินการตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ในพื้นที่”

ในช่วงท้าย ผู้สื่อข่าวถามนายนิกรเดชว่า “มีคณะทูตท่านใดที่แสดงความกังวลหรือไม่เห็นด้วยต่อท่าทีของไทยที่ระงับถ้อยแถลงร่วมไทย-กัมพูชาที่ลงนามในมาเลเซียเมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2568 หรือไม่” 

โฆษก กต. ตอบว่า “ไม่มีครับ ทุกคนแสดงความเข้าใจ…แน่นอนก็มีข้อห่วงกังวลว่าไม่อยากให้สถานการณ์ลุกลามบานปลาย อยากให้กลับเข้าสู่แนวทางการเจรจาพูดคุย แต่ว่าไม่มีใครแสดงความข้อห่วงกังวล แสดงความเข้าใจด้วยซ้ำ” 

เจ้าหน้าที่กรมสารนิเทศ กต. ยืนยันกับโคแฟคว่า กต. ไม่เคยให้ข้อมูลเกี่ยวกับท่าทีของคณะทูตหรือคณะผู้สังเกตการณ์ตามที่เพจเฟซบุ๊กเหล่านี้อ้าง  

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 15 พฤศจิกายน 2568

พบเมฆเตือนภัยรูปเครื่องบิน ให้เฝ้าระวังเครื่องบินตก 4 – 30 พ.ย. 68…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2mgbufh3l13ri


3-4 พย.68 ระวังน้ำล้นเขื่อนขุนด่านปราการชล…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1oc3z8ix3c46m


ทำใบขับขี่ออนไลน์ ถูกกฎหมาย ได้ใน 2 วัน ไม่ต้องไปสอบที่ขนส่ง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/33qe5hukxun3i


เริ่มแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต วันที่ 10 – 14 พ.ย. 68…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/e3kxw5snm803


ชาวยิวในประเทศไทยเป็นทหารรับจ้างฆ่าเด็กและสตรี…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1ssb35nbxl7xu


เพจคลินิกแจกวัคซีน HPV ฟรี ที่แท้ตัดแปะโลโก้-เอกสารเท็จ แต่ดันมี “ติ๊กถูกสีฟ้า”…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1zn5zmnclra8v


คลิปแรงงานเขมรลักลอบเข้าไทย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/8367joswyr9w


กองทัพบก” สั่งทหารเคลื่อน “กำลัง-อาวุธ” ประจำจุดเตรียมพร้อมบุก…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/29l6fdbyjqwsr


คลิปจับกุมม็อบไล่ “ฮุนเซน”…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/339fpv6lvd3rv


“สะพานภูมิพล 1” เตรียมปิดการจราจรชั่วคราว เริ่ม 15 พฤศจิกายนนี้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/309ubxt5vfajc


ปรากฏการณ์ “แสงสีทองยอดเขาแหลม”

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2yxucgxgpzd52


โครงการคนละครึ่งพลัส ห้ามนำไปซื้อ สลากกินแบ่งรัฐบาล เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และยาสูบ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1mhlyca4sxpc


เชื้อซิฟิลิสสามารถติดเชื้อขึ้นสมองได้จริง แพทย์ชี้หากมีความเสี่ยงให้รีบรักษา

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3t6qeld8eiljd


คนละครึ่งพลัสเฟส 2 รัฐบาลเพิ่มเงินให้เป็น 4,000 บาท คนเฟสแรกได้ด้วย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2deraecj5ya3e


เคาะแล้ว ปลดล็อกขายสุรา 14.00-17.00 น. นำร่อง 6 เดือน นั่งดื่มหลังเที่ยงคืนได้ 1 ชม….จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/4lshtqo6px38

‘สแกมเมอร์ – แก๊งคอลเซ็นเตอร์’ ภัยใหญ่ยุคดิจิทัลที่ต้องอาศัยความสามัคคีจากนานาชาติร่วมแก้อย่างจริงจัง

By : Zhang Taehun

ภาพที่ 1 : สถิติคดีในระบบแจ้งความออนไลน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 
ที่มา : ThaiPBS สถานีประชาชน

ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีเลยกับคำว่า ทะลุล้าน ในครั้งนี้ สำหรับสถิติการแจ้งความออนไลน์ซึ่งเปิดเผยโดย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยนับตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 2565 ที่เปิดระบบแจ้งความออนไลน์ จนถึง ณ วันที่ 30 ก.ย. 2568 มีการแจ้งความทั้งหมด 1,058,056 เรื่อง รวมมูลค่าความเสียหาย  100,408,016,872 บาท และเมื่อดูประเภทของการหลอกลวง จะพบว่า 4 ใน 5 อันดับ เป็นเรื่องของขบวนการฉ้อโกงทางโทรคมนาค (สแกมเมอร์หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์) ทั้งสิ้น 

โดยประเภทของคดีที่มีการแจ้งความออนไลน์ อันดับ 2 หลอกให้โอนเงินเพื่อทำงาน จำนวน 125,853 คดี ความเสียหาย 14,608,150,915 บาทอันดับ 3 หลอกให้กู้เงินแต่ไม่ได้เงิน จำนวน 95,305 คดี ความเสียหาย 3,915,177,731 บาท อ้นดับ 4 หลอกให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล  จำนวน 74,412 คดี ความเสียหาย 8,183,772,265 บาท และอันดับ 5 หลอกให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ จำนวน 72,478 คดี ความเสียหาย 32,583,115,483 บาท

นอกจากจะหลอกเอาเงินจากเหยื่อแล้ว มิจฉาชีพประเภทนี้ในลักษณะขบวนการยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวด้วย ดังตัวอย่างของประเทศไทย ในช่วงเดือน ม.ค. 2568 ที่ดาราหนุ่มชาวจีน หวังซิง (หรือซิงซิง) ถูกล่อลวงโดยอ้างว่ามีงานในไทย ก่อนถูกพาตัวข้ามชายแดนไปยังประเทศเมียนมา ในบริเวณที่เป็นฐานปฏิบัติการของมิจฉาชีพ สร้างความไม่มั่นใจให้กับชาวจีน ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนอันเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มหลักที่เดินทางมาไทยลดลง เนื่องจากไทยถูกมองว่าเป็นทางผ่าน” ของเส้นทางการค้ามนุษย์

ไม่ต่างจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา การถูกนานาชาติระบุว่าเป็นแหล่งซ่องสุมของกลุ่มมิจฉาชีพฉ้อโกงทางโทรคมนาคม ซึ่งเชื่อมโยงกับการค้ามนุษย์ ล่อลวงผู้คนไปกักขังและบังคับให้เข้าออนไลน์หลอกลวงเหยื่อ ยิ่งทำให้ชาวต่างชาติไม่กล้าไปเยือนแพราะกังวลความปลอดภัย มีคำเตือนเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะล่าสุดที่ผุ้ประกอบการท่องเที่ยวในกัมพูชาถึงกับต้องประท้วงเกาหลีใต้ เมื่อทางการเกาหลีใต้ออกคำเตือนประชาชนในการเดินทางไปกัมพูชา รวมถึงสั่งห้ามเข้าไปในบางเมือง หลังชาวเกาหลีใต้ถูกลักพาตัวและทรมานจนเสียชีวิตในกัมพูชา

ภาพที่ 2 : 17 ธ.ค. 2567 เครื่อง Sim Box ซึ่งตำรวจพบขณะเข้าตรวจค้นห้องพักคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งในย่านห้วยขวาง กรุงเทพฯ หลังพบพิรุธว่าห้องดังกล่าวมีการเช่าเพื่อพักอาศัยแต่กลับไม่เคยมีคนมาอยู่ 
ที่มา : ThaiPBS

– ทางการไทยทำอะไรบ้าง? : นอกจากการจับกุมผู้กระทำผิดและยึดของกลางที่เกี่ยวข้อง เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องกระจายสัญญาณ (Sim Box)สำหรับใส่และใช้งานซิมการ์ดโทรศัพท์เพื่อโทรศัพท์หรือส่ง SMS ได้ทีละมากๆ ที่ปรากฏในข่าวเป็นระยะๆ แล้ว ยังมีการออก พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 ให้อำนาจธนาคารสามารถระงับบัญชีที่มีเจ้าทุกข์แจ้งว่าหลงเชื่อโอนเงินไป จากเดิมที่เจ้าทุกข์จะต้องไปแจ้งความก่อน หวังสกัดไม่ให้เงินถูกโอนถ่ายเป็นทอดๆ อย่างรวดเร็ว 

รวมถึงการกำหนดโทษผู้ที่รับจ้างเปิดบัญชีธนาคารและซิมโทรศัพท์มือถือให้ผู้อื่นนำไปใช้กระทำความผิด (บัญชีม้า – ซิมม้า) โดยมีโทษจำคุก 3 ปี ปรับ 300,000 บาท และมีการจับกุมดำเนินคดีในข้อหานี้อย่างต่อเนื่อง โดยรายงานของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ระบุว่า ในปี 2567 ที่ผ่านมา สามารถระงับบัญชีม้าได้ถึง 1,660,000 บัญชีและจับกุมผู้เกี่ยวข้องกับบัญชีม้าได้ 2,495 ราย

ต่อมามีการออกกฎหมายเพิ่มเติม คือ พ.ร.ก. ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ครอบคลุมไปถึงผู้ให้บริการระบบการชำระเงินและผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ และสถาบันการเงินต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าปฏิบัติตามมาตรฐานหรือมาตรการเพื่อป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยีตามที่กำหนด 

อีกทั้งยังยกฐานะของศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) ที่สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้มีสถานะเป็นศูนย์ปฏิบัติการตามกฎหมาย (Operation Center) และให้สามารถบริหารจัดการกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้อย่างรวดเร็ว ทันต่อสถานการณ์ กระทั่งล่าสุดเมื่อวันที่ 6 พ.ย. 2568 มีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีกับ 15 หน่วยงาน เดินหน้าปฏิบัติการเชิงลึก 5 ด้านหลัก 

ได้แก่ 1.การบังคับใช้กฎหมายอย่างเฉียบขาดไม่ว่าจะเป็นผู้กระทำความผิดหรือผู้สนับสนุนอยู่ข้างหลัง 2.การสร้างระบบประสานงานแบบบูรณาการเชื่อมโยงข่าวกรองและการสืบสวน 3.การยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องทันทีตัดเส้นทางการเงินอาชญากรไม่ให้ใช้ประเทศไทยเป็นฐานฟอกเงินได้อีกต่อไป 4.ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและ AI ในการตรวจจับเส้นทางเงินของมิจฉาชีพเพื่อสกัดก่อนที่จะเกิดเหตุ และ 5.การสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชนให้มีความรู้เท่าทัน

ภาพที่ 3 : ป้ายเตือนระวังถูกล่อลวงไปทำงานในประเทศเพื่อนบ้าน ถูกติดตั้งที่บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา อ.แม่สอด จ.ตาก (ซ้าย – 16 ม.ค. 2568) , บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา พื้นที่โค้งวงเวียนข้าง สภ.คลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว (ขวา – 16 พ.ค. 2565)
ที่มา : แนวหน้า

– อะไรบ้างที่ควรทำเพิ่มเติม : ที่ผ่านมามีข้อเสนอจากหลายฝ่าย เช่น กัณวีร์ สืบแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคเป็นธรรม ในบทสัมภาษณ์ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ประชาไท วันที่ 22 ต.ค. 2568 ตั้งข้อสังเกตกรณีฐานปฏิบัติการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ฝั่งประเทศเมียนมา ว่า ไทยยังคงถูกใช้เป็นทางผ่านเหมือนเดิม เนื่องจากเป็นเส้นทางที่ง่ายที่สุดเมื่อเทียบกับเส้นทางอื่นๆ โดยยังคงมีการใช้วิธีการเดิมๆ คือการเข้ามาโดย Free VISA ก่อนพาไปยังชายแดน อ.แม่สอด จ.ตาก และข้ามฝั่งไปเมืองเมียวดีของเมียนมา อย่างไรก็ตาม ระยะหลังๆ ฝ่ายความมั่นคงของไทยในพื้นที่ อ.แม่สอด คุมเข้มมากขึ้นหากเป็นการเดินทางของชาวต่างชาติ ทำให้เหยื่อที่พบมักจะเป็นคนไทย

กัณวีร์ เสนอแนะว่า 1.ตัดผู้บงการและสมุน ต้องสืบสวนขยายผลเพื่อดำเนินคดีกับคนกลุ่มนี้ให้ได้ 2.ตัดเส้นทางการเงิน เพราะองค์กรหลอกลวงเหล่านี้อยู่ได้ด้วยเงิน 3.ตัดบุคลากร ต้องไม่ให้มีขบวนการค้ามนุษย์นำพาคนข้ามแดน  และ 4.ตัดสถานประกอบการ ซึ่งเรื่องนี้ทำยากเพราะฐานปฏิบัติการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์อยู่นอกเขตอำนาจอธิปไตยของไทย แต่ในบางกรณีรัฐไทยก็ต้องกล้าทำงานเชิงรุก เช่น เจรจากับกองกำลังติดอาวุธของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ปกครองพื้นที่ในเมียนมา จะทำกิจการโรงแรมหรือกาสิโนก็ทำไป แต่ห้ามปล่อยให้ตั้งฐานหลอกลวงโดยเด็ดขาด

โดย สส. พรรคเป็นธรรม ขยายความในส่วนนี้ว่า ตนเคยไปพูดคุยกับกองกำลังกลุ่ม DKBA และ BGFได้รับข้อมูลว่า กองกำลังดังกล่าวให้กลุ่มทุนเช่าพื้นที่ 90 ปี โดยไม่มีเงื่อนไขอะไร ไม่ได้เข้าไปยุ่ง นี่จึงเป็นสิ่งที่ไทยต้องเข้าไปบอกว่าอะไรทำได้- ไม่ได้ และกองกำลังติดอาวุธในฐานะเจ้าของพื้นที่ก็สามารถบอกกับกลุ่มทุนที่มาเช่าพื้นที่ได้ หากไม่ยอมทำตาม ไทยอาจใช้มาตรการการค้าชายแดนกดดัน เพราะว่าการค้าตลอดแนวไทย-เมียนมา กว่า 2,400 กม. มีมูลค่าสูงถึง 300,000 ล้านบาทต่อปี

ยุทธวิธีของไทยคือการขอความร่วมมือเป็นหลัก เพราะเขาเป็นเจ้าของพื้นที่ ขอความร่วมมือเสร็จ กองกำลังเหล่านี้ต้องไปปราบและกดดันแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้ได้ ถ้าเขามาเปิดในพื้นที่ของคุณ ก็ต้องจับ และถ้าสมมติว่าสอบสวนจนได้ข้อเท็จจริงว่าใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน ก็ให้ส่งให้ฝ่ายความมั่นคงของไทยขยายผลการจับกุม และสอบสวนต่อ หากไม่ได้ก็ต้องมีมาตรการกดดัน กัณวีร์ กล่าว 

ขณะที่รายงานของ The Standard วันที่ 17 ต.ค. 2568 รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นในประเด็น ปัญหาการบังคับใช้กฎหมาย (โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดน)” ว่า คนที่อยู่แนวหน้าย่อมรู้ดีว่ารถขนคนจำนวนมากจากเอเชียใต้หรือแอฟริกาไม่อาจผ่านด่านได้หากไม่มีการอำนวยความสะดวกบางอย่าง คำถามคือ ผ่านไปได้อย่างไร ทั้งที่มีการตรวจคนเข้าเมืองและหน่วยความมั่นคงอยู่ตรงนั้น

หากไทยต้องการชูบทบาทผู้นำและทำให้ทั่วโลกเข้าใจว่า ประเทศไทยเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบ ก็ต้องมีความจริงใจทางนโยบายในการจัดการเรื่องคอร์รัปชันอย่างเร่งด่วน เพื่อแสดงให้เห็นว่าไทยเป็นผู้เล่นที่สุจริตและพร้อมร่วมมือกับนานาชาติในการจัดการปัญหานี้อย่างจริงจัง ไม่ใช่เราเองก็เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการ รศ.ดร.ปิติ กล่าว

ภาพที่ 4 : พื้นที่ตั้งฐานปฏิบัติการมิจฉาชีพฉ้อโกงทางโทรคมนาคม (สแกมเมอร์ – แก๊งคอลเซ็นเตอร์)ในประเทศเพื่อนบ้านติดกับไทย 
ที่มา : UNODC

– วาระที่อาเซียนและทั้งโลกต้องร่วมมือ : ด้วยความที่การฉ้อโกงทางโทรคมนาคม (สแกมเมอร์หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์) เป็นการประกอบอาชญากรรมที่เกี่ยวพันกับหลายประเทศ เช่น องค์กรอาชญากรรมเลือกตั้งฐานปฏิบัติการในพื้นที่ประเทศเพื่อนบ้านรอบไทย โฆษณาชวนเชื่อเรื่อง “งานสบายรายได้ดี” ให้เหยื่อหลงเชื่อ หากเป็นเหยื่อชาวต่างชาติจะอ้างว่าทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์หรืองานสำนักงานในไทย ส่วนเหยื่อที่เป็นคนไทยถูกหลอกด้วยข้ออ้างว่ามีงานบริการในโรงแรมหรือกาสิโนในประเทศเพื่อนบ้าน แต่สุดท้ายถูกพาข้ามชายแดน ถูกกักขัง ทรมานและบังคับให้เข้าร่วมในกิจการหลอกลวงเงินจากเหยื่อด้วยการโทรศัพท์หรือแพลตฟอร์มดิจิทัล 

ขณะที่เหยื่อซึ่งถูกหลอกสูญเสียเงินทองจนสิ้นเนื้อประดาตัวนั้นก็มีตั้งแต่ประเทศใกล้เคียงอย่างไทย สิงคโปร์ จีน ไปจนถึงประเทศที่ห่างไกลกันคนละซีกโลกอย่างสหรัฐอเมริกาหรืออังกฤษ ถึงขั้นที่รัฐบาลประเทศดังกล่าวต้องคว่ำบาตรและระงับธุรกรรมทางการเงินของบุคคลหรือองค์กรที่ถูกระบุว่าเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมประเภทนี้ รวมถึงมีการโยกย้ายถ่ายเทเงินข้ามแดนไปฟอกอย่างซับซ้อนแต่ที่ผ่านมา การปราบปรามเหมือนสถานการณ์ “แมวจับหนู” คือเมื่อประเทศใดเอาจริง กลุ่มแก๊งเหล่านี้ก็จะย้ายฐานไปประเทศอื่น หากยังตามมาปราบปรามอีกก็ย้ายหนีย้อนกลับไปในพื้นที่แรกที่การปราบปรามเบาลง หรืออาจไปยังพื้นที่ใหม่ๆ ที่การบังคับใช้กฎหมายยังไม่เข้มแข็งนัก 

ดังเช่นเมื่อช่วงต้นปี 2568 ที่ไทยตัดไฟฟ้า อินเตอร์เน็ตและน้ำมันซึ่งเชื่อมกับเมืองขายแดนของเมียนมา มีรายงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ย้ายฐานเข้าไปในกัมพูชา ต่อมาเมื่อไทยและกัมพูชาเกิดการสู้รบ มีสถานการณ์ตึงเครียดถึงขั้นปิดชายแดน ก็พบรายงานแก๊งเหล่านี้พยายามหนีกลับไปฟื้นตัวใหม่ในเมียนมา หรือบ้างก็ย้ายเข้าไปบริเวณชายแดนติดกับเวียดนาม และแม้กระทั่งในประเทศสมาชิกล่าสุดของอาเซียนอย่างติมอร์ – เลสเต (ติมอร์ตะวันออก)ก็มีรายงานพบร่องรอยปฏิบัติการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์เช่นกัน 

กัณวีร์ สส.จากพรรคเป็นธรรม กล่าวว่า ไทยต้องสร้างความร่วมมือกับต่างประเทศ รัฐบาลต้องมีแถลงการณ์หรือประกาศอย่างชัดเจนว่าจะปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ และดึงตัวแทนจากองค์กรระหว่างประเทศมาทำงานร่วมกัน เช่น สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) สามารถให้ความรู้ทางการไทยเรื่องการประเมินสถานการณ์ และเชื่อมต่อทางการไทยและประเทศอื่นๆ ต่อยอดความร่วมมือได้ องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) ที่ให้ความสำคัญเรื่องขบวนการนำพาคนข้ามแดน และให้ความรู้ว่าจะมีวิธีการป้องกันเรื่องเหล่านี้ หรือตำรวจสากล (Interpol) ในการช่วยเหลือทางด้านการสืบสวนสอบสวน และออกหมายจับผู้บงการ

ภาพที่ 5 : 12 ก.พ. 2568 ศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านด้านเมียนมา จ.ตาก โดย เจ้าหน้าที่ ฉก.ราชมนู กกล.นเรศวร รับตัวชาวต่างชาติ 20 สัญชาติ รวม 260 คน ที่ถูกส่งข้ามขายแดนจากฝั่งเมียนมา บริเวณท่าข้ามสินค้าหมายเลข 28 ต.ช่องแคบ อ.พบพระ จ.ตาก หลังไทยและจีนกดดันจนเกิดการปราบปรามฐานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในเมืองเมียวดีของเมียนมา 

ที่มา : แนวหน้า

หรือย้อนไปในช่วงที่มีปฏิบัติการตัดไฟฟ้า อินเตอร์เน็ตและน้ำมันซึ่งเชื่อมกับเมืองขายแดนของเมียนมา ซึ่งจีนก็เข้ามามีบทบาทสำคัญร่วมด้วย ศ.ดร.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี อาจารย์ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวไว้ในบทสัมภาษณ์ของ The Matter เผยแพร่วันที่ 20 ก.พ. 2568 ว่า ไทยควรที่จะมีข้อเสนอไปยังรัฐบาลจีน ให้มีมาตรการซึ่งมีประสิทธิภาพ มีมาตรการในการกดดันตัวละครสำคัญหรืออาชญากร หรือมีเป้าหมายที่จะทำลายองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่เป็นระบบมากกว่านี้โดยตั้งข้อสังเกตว่า บุคคลระดับ บอสใหญ่” หลายรายในอาณาจักรสแกมเมอร์ไม่ได้ถูกทางการจีนคว่ำบาตร

ส่วนท่าทีของอาเซียน มีเพียงแถลงการณ์กว้างๆ ว่าจะร่วมมือกันในการหยุดยั้งอาชญากรรมข้ามชาติแต่ยังไม่เห็นอะไรเป็นรูปธรรม เช่น จะตัดตอนการค้ามนุษย์นำคนมาเป็นแรงงานในฐานแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างไร นั่นหมายความว่า มาตรการในการตรวจคนเข้าเมืองของทุกประเทศในอาเซียนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ต้องขัดขวางไม่ให้ข้ามแดนเข้าไปยังพื้นที่ตั้งฐานของแก๊งเหล่านี้ได้โดยสะดวก รวมถึงต้องการตัดตอนเส้นทางการเดินทางของการฟอกเงิน การตัดตอนตลาด หรือการทำลายตลาดมืดในการค้าข้อมูลผิดกฎหมาย

ลูกศิษย์ (คนจีน) เล่าว่า เฟซไทม์คุยกับเพื่อนที่เมืองไทยอยู่ ผ่านไป 10 นาที มี SMS เข้ามาเลยว่า สายที่คุณกำลังคุยอยู่ไม่ปลอดภัย ผ่านไป 15 นาที คราวนี้ตำรวจโทรมาเองเลย เขาใช้อินเอร์เน็ตของโรงแรม แน่นอนจีนเขาทำอะไรแบบนี้ได้ แต่มันสะท้อนให้เห็นว่า บริษัทโทรคมนาคมต้องลงทุนทำพวกนี้เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับลูกค้า ซึ่งนี่เป็นมาตรการที่ควรทำร่วมกันทั้งอาเซียน ในช่วงที่คุณต้องการจัดการกับแก๊งสแกมเมอร์ ถ้าไม่มีมาตรการเหล่านี้ พูดแค่ว่าเราจะร่วมมือร่วมใจกันปราบแก๊งอาชญากรรม ส่วนตัวก็รู้สึกว่าเป็นแค่แถลงการณ์ศ.ดร.ปิ่นแก้ว กล่าว

ภาพที่ 6 : Starlink (ขวา) และ Meta (ซ้าย)

– แพลตฟอร์มโซเชียล  บิ๊กเทค” ต้องรับผิดชอบต่อสังคมมากกว่านี้ : น่าจะเป็นประเด็นท้าทายที่สุดแล้วเพราะปัจจุบันหากไม่นับประเทศอย่างจีนที่มีระบบนิเวศแบบปิดซึ่งรัฐสามารถควบคุมกระแสได้ทั้งการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ประเทศอื่นๆ ทั่วไป บริษัทใหญ่ๆ ผู้ให้บริการเทคโนโลยีล้ำๆ ตลอดจนแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ค่อนข้างมีอิทธิพลในด้านต่างๆ สูงขึ้นเรื่อยๆ จนรัฐยากจะควบคุม แม้กระทั่งในสหรัฐอเมริกา ประเทศที่เป็นต้นกำเนิดของทุนใหญ่กลุ่มนี้ก็ตาม 

ดังตัวอย่างของ อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีเจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Tesla , SpaceX รวมถึงแพลตฟอร์มโซเชียลอย่าง X (ทวิตเตอร์เดิม) ถูกฝ่ายการเมืองในสหรัฐฯ จับตามองอย่างต่อเนื่องกรณี “Starlink” บริการอินเตอร์เน็ตผ่านดาวเทียม ถูกนำไปใช้โดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ตั้งฐานปฏิบัติการในเมียนมา โดยเริ่มมีรายงานตั้งแต่ช่วงต้นปี 2568 หลังไทยตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ตที่เชื่อมต่อกับเมืองชายแดนของเมียนมา  อย่างไรก็ตาม ทาง SpaceX ได้ออกมายืนยันเมื่อเดือน ต.ค. 2568 ว่าระงับการให้บริการอุปกรณ์ Starlink ที่ศูนย์หลอกลวงในเมียนมาใช้ไปแล้วมากกว่า 2,500 เครื่องท่ามกลางการสอบสวน อีลอน มัสก์ โดยสภาคองเกรสของสหรัฐฯ  

รวมถึงล่าสุดเมื่อช่วงต้นเดือน พ.ย. 2568 สื่อหลายสำนักรายงานโดยอ้างสำนักข่าวรอยเตอร์ กรณีเอกสารภายในของ “Meta” บริษัทเจ้าของแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์อย่าง Facebook และ Instagram ประเมินรายได้ปี 2567 ว่าร้อยละ 10 หรือราว 1.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 5.9 แสนล้านบาท) มาจากโฆษณาที่เข้าข่ายหลอกลวงหรือสิ่งผิดกฎหมาย เช่น การลงทุนปลอม การพนันออนไลน์ ยาและสินค้าต้องห้าม นอกจากนั้น ผู้ใช้แพลตฟอร์มของ Meta ต้องเผชิญกับการเห็นโฆษณาหลอกลวงมากถึง 1.5 หมื่นล้านรายการต่อวัน ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงสูง แต่ระบบตรวจสอบของบริษัทกลับไม่สามารถจัดการได้อย่างทั่วถึง

อีกทั้งบางส่วนในเอกสารยังชี้ว่า Meta เคยตั้งเป้าลดรายได้จากโฆษณาผิดกฎหมายจากร้อยละ 10.1 ในปี 2567 เหลือร้อยละ 7.3 ภายในสิ้นปี 2568 และค่อย ๆ ลดเหลือร้อยละ 6 ในปี 2569 ก่อนจะเหลือเพียงร้อยละ 5.8 ในปี 2570 แต่ในทางปฏิบัติ ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าการลดลงอาจช้ากว่าที่คาด เพราะแต่ละประเทศมีกฎระเบียบที่เข้มงวดไม่เท่ากัน และ Meta เองมักเน้นแก้ไขเฉพาะในตลาดที่มีแรงกดดันจากรัฐบาล” 

อนึ่ง แม้ Meta จะแย้งว่าข้อมูลของรอยเตอร์นั้นเกินจริง แต่ก็ยอมรับว่ามีการหารือภายในเพื่อหาจุดสมดุลระหว่างรายได้และการบังคับใช้กฎ โดยในเอกสารระบุว่า ทีมตรวจสอบภายในปี 2568 ไม่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการใด ๆ ที่อาจทำให้บริษัทสูญเสียรายได้เกินร้อยละ 0.15 ของรายได้รวม หรือราว 135 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 5,000 ล้านบาท) ในครึ่งปีแรกของปีดังกล่าว ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าการจำกัดเพดานเช่นนี้เป็นการสะท้อนจุดยืนของ Meta ที่ยังให้ความสำคัญกับผลกำไรเหนือความปลอดภัยของผู้ใช้

ก็ต้องตามดูกันต่อไปว่า ในเมื่ออาชญากรรมอย่าง สแกมเมอร์ – แก๊งคอลเซ็นเตอร์” กลายเป็น ภัยร้ายระดับโลก” ที่ไม่ว่าประเทศใดก็ล้วนเผขิญผลกระทบ นานาชาติจะสามารถร่วมมือกันอย่างจริงจังเพื่อจัดการเรื่องนี้ได้หรือไม่? ขณะที่ประเทศไทยเอง MOU ที่ 15 หน่วยงานทำร่วมกันจะส่งผลเพียงใด หรือจะเป็นอย่างที่ผ่านๆ มา ที่เห็นกลุ่มแก๊งมิจฉาชีพเคลื่อนย้ายหาพื้นที่วนไป – มาเรื่อยๆ ปราบไปก็ไม่ลดลง กลายเป็นความรับรู้ที่ชาชิน!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

https://www.voathai.com/a/chinese-actor-s-abduction-to-myanmar-sign-of-growing-diversity-of-scams-/7938234.html (เผยสแกมเมอร์ยกระดับ หลังเหตุลักพาตัวดาราจีนไปเมียนมา : VOA Thai 16 ม.ค. 2568)

https://www.matichon.co.th/region/news_5020559 (อุ้มซิงซิง กระทบเที่ยวพัทยา ผู้ประกอบการโอด ‘ตรุษจีน’ ตลาดทัวร์ซบเซา เหงากว่าที่คิด : มติชน 27 ม.ค. 2568)

https://asianews.network/safe-kingdom-cambodias-reputation-marred-by-scamming-reports/ (‘Safe’ Kingdom: Cambodia’s reputation marred by scamming reports : ANN 11 ก.ค. 2567)

https://koreajoongangdaily.joins.com/news/2025-10-14/national/socialAffairs/Hey-dont-blame-us-Cambodian-tourism-industry-officials-nonplussed-by-Korean-response-to-scam-crimes/2419831 (Hey, don’t blame us: Cambodian tourism industry, officials nonplussed by Korean response to scam crimes : Korea JoongAng Daily 16 ต.ค. 2568)

https://www.unodc.org/roseap/uploads/documents/Publications/2025/Inflection_Point_2025.pdf (Inflection Point: Global Implications of Scam Centres, Underground Banking and Illicit Online Marketplaces in Southeast Asia : UNODC)

https://www.thaipbs.or.th/news/content/325650 (มีผลแล้ว พ.ร.ก.ป้องกันอาชญากรรมไซเบอร์ : ThaiPBS 17 มี.ค. 2566)

https://www.senate.go.th/view/386/News/จันทราLaw/320/TH-TH (ยกระดับมาตรการรับมือภัยไซเบอร์ ด้วย พ.ร.ก. ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 : วุฒิสภา 18 มิ.ย. 2568)

https://www.thairath.co.th/money/economics/thai_economics/2839863 (ถูกจับกุมรวม 2,495 ราย “ดีอี” ลุยไฟระงับบัญชีม้า 1.66 ล้านบัญชี : ไทยรัฐ 4 ก.พ. 2568)

https://www.matichon.co.th/politics/news_5444068 (นายกฯ ปธ.ลงนาม MOU ผนึก 15 หน่วยงาน ประกาศสงครามสแกมเมอร์ ลั่นถ้าไม่ได้ทำคงตายตาไม่หลับ : มติชน 6 พ.ย. 2568)

https://prachatai.com/journal/2025/10/115181 (คุยกับ ‘กัณวีร์ สืบแสง’ เมื่อสแกมเมอร์พม่ายังไม่ตาย ชูข้อเสนอ ‘4 ตัด’ ปราบขบวนการ : ประชาไท 22 ต.ค. 2568)

https://prachatai.com/journal/2025/10/115104 (เปิดกลลวงงานสบายรายได้ดี หลอกวัยรุ่นเกาหลีใต้ไปเป็นแรงงานทาส ‘สแกมเมอร์’ ในกัมพูชา : ประชาไท 17 ต.ค. 2568)

https://www.dailynews.co.th/news/2845897/ (คนไทยถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกไปเมียนมา219คน ช่วยได้แล้ว153ราย เดลินิวส์ 27 ต.ค. 2566)

https://www.prd.go.th/th/content/category/detail/id/39/iid/205658 (ผู้ว่าฯ ตราด เผยผลการตรวจสอบคนไทยถูกหลอกไปทำงานคอลเซ็นเตอร์ตามกระบวนการ NRM พบเข้าข่ายค้ามนุษย์ 2 ราย พร้อมย้ำเตือนประชาชนอย่าตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพหลอกไปทำงานต่างประเทศผิดกฎหมาย : สำนักข่าวกรมประขาสัมพันธ์ 12 ส.ค. 2566)

https://www.bbc.com/thai/articles/cr70v0nvk4xo (สหรัฐฯ คว่ำบาตรตัวบอสแก๊งสแกมเมอร์ในเมียวดี และเครือข่ายคนสนิท ฮุน เซน : BBCไทย 9 ก.ย. 2568)

https://www.naewna.com/likesara/860602 (เปิดปูม‘หม่องชิตตู’ผู้คุมกำลังBGF ร่วมเนรมิต‘ชเวโก๊กโก่’นิคมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ : แนวหน้า 11 ก.พ. 2568)

https://www.amarintv.com/news/crime/506471 (ไม่รอด! ตำรวจสกัดจับ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ย้ายฐานจากเมียนมาสู่เขมร : อมรินทร์ทีวี 14 ก.พ. 2568)

https://www.thairath.co.th/scoop/interview/2875110 (แฉแก๊งคอลฯ ปอยเปต ย้ายคนหนีเหตุปะทะชายแดนไทยไปเวียดนาม จับขัง-ห้ามติดต่อที่บ้าน : ไทยรัฐ 6 ส.ค. 2568)

https://www.pptvhd36.com/news/ต่างประเทศ/256980 (UN เตือนแก๊งคอลฯ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ย้ายฐานไปติมอร์ : PPTV 12 ก.ย. 2568)

https://thematter.co/social/pinkaew-laungaramsri-on-scammers/238874 (ย้อนที่มา ‘ทุนจีนสีเทา’ เข้าใจปัญหา ‘เมืองสแกมเมอร์’ กับ ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี : The Matter 20 ก.พ. 2568)

https://www.prachachat.net/world-news/news-1903214 (Starlink พัวพันคอลเซ็นเตอร์ สหรัฐ สอบอีลอน มัสก์ คดีฉาว “เมียนมา-ไทย” : ประชาชาติ 17 ต.ค. 2568

https://www.thairath.co.th/news/foreign/2890779 (SpaceX ระงับบริการอุปกรณ์ Starlink ในเมียนมากว่า 2,500 เครื่อง : ไทยรัฐ 22 ต.ค. 2568)

https://www.thaipbs.or.th/news/content/358316 (เอกสารลับเผย Meta ทำเงิน 1.6 หมื่นล้านเหรียญจาก “โฆษณาผิดกฎหมาย” : ThaiPBS 7 พ.ย. 2568)

Fact-check: ข้อหารือของ สส.เพื่อไทย “ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์” ว่าด้วยเอ็มโอยูแรร์เอิร์ธ ไทย-สหรัฐฯ

ทีมเฉพาะกิจ Cofact x The Momentum

[รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการตรวจสอบข้อเท็จจริงทางการเมืองในรัฐสภา ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างกองบรรณาธิการ Cofact และ The Momentum ระหว่างเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2568] 

ทันตแพทย์หญิงศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย หยิบยกเรื่องการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างรัฐบาลไทย-สหรัฐอเมริกาว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุที่มีความสำคัญในระดับโลกและการส่งเสริมการลงทุน หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า “เอ็มโอยูแรร์เอิร์ธ” มาหารือในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 29 ต.ค. 2568 โดยระบุว่ารัฐบาลดำเนินการเรื่องนี้โดย “ลับหลังปิดบังประชาชน”

“พวกเรามารับฟังรายละเอียดการลงนามเอ็มโอยูกับสหรัฐฯ จากเว็บไซต์ทำเนียบขาว ก่อนที่จะทราบจากรัฐบาลไทยเสียอีก” ศรีญาดาระบุ

“ทีมเฉพาะกิจ Cofact x The Momentum” ตรวจสอบแล้วพบว่า รัฐบาลอนุทินไม่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการลงนามและรายละเอียดของเอ็มโอยูแรร์เอิร์ธตามที่ศรีญาดากล่าวจริง สาธารณชนและสื่อมวลชนรู้ว่าจะมีการลงนามเอ็มโอยูฉบับนี้จากการแถลงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เพียงไม่กี่นาทีก่อนการลงนาม 

ขณะที่เว็บไซต์ทำเนียบขาวเผยแพร่เนื้อหาฉบับเต็มของเอ็มโอยูฉบับนี้หลังการลงนามเสร็จสิ้น กระทรวงการต่างประเทศของไทยเผยแพร่คำแปลอย่างไม่เป็นทางการของเอ็มโอยูเมื่อวันที่ 4 พ.ค. 2568 หรือกว่าหนึ่งสัปดาห์หลังการลงนาม

เนื้อหาที่ตรวจสอบ

การประชุมสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 26 ปีที่ 3 ครั้งที่ 34 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) วันที่ 29 ต.ค. 2568 ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นหารือที่ประชุมเรื่องการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุที่มีความสำคัญในระดับโลกและการส่งเสริมการลงทุน (Memorandum of Understanding between the Government of the United States of America and the Government of the Kingdom of Thailand Concerning Cooperation to Diversify Global Critical Minerals Supply Chains and Promote Investments) ระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยและประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2568 

ศรีญาดาอภิปรายเรื่องนี้ในสองประเด็น ประเด็นแรกเธอกล่าวหาว่ารัฐบาลปิดบังและไม่โปร่งใส่ในการลงนาม 

“ท่านนายกฯ ได้นำข้อตกลงที่มีความสำคัญระดับโลก นำเข้าสู่ ครม. นัดพิเศษโดยไร้การชี้แจงตั้งแต่ต้น ทั้ง ๆ ที่ในวันที่ 26 ต.ค. ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับที่ท่านลงนามในปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชา ท่านได้มีโอกาสสื่อสารกับสาธารณะอย่างเปิดเผย แต่ท่านเลือกที่จะชี้แจงอย่างละเอียดเพียงแค่เรื่องกัมพูชาเท่านั้น ส่วนพวกเรามารับฟังรายละเอียดการลงนามเอ็มโอยูกับสหรัฐฯ จากเว็บไซต์ทำเนียบขาว ก่อนที่จะทราบจากรัฐบาลไทยเสียอีก” สส. เพื่อไทยระบุ

ประเด็นที่สอง เธอตั้งคำถามว่าการลงนามเอ็มโอยูฉบับนี้ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อนหรือไม่

“ตามรัฐธรรมนูญแรร์เอิร์ธคือสินทรัพย์ที่เป็นทรัพยากรยุทธศาสตร์ เป็นศักยภาพของประเทศ การให้ความร่วมมือในการสำรวจและส่งเสริมการลงทุน ย่อมเข้าข่ายหนังสือสัญญาอื่นที่อาจจะมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือการให้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติตามมาตรา 178 วรรค 3 หรือไม่” ศรีญาดากล่าวและถามย้ำว่า “เอ็มโอยูฉบับนี้ต้องผ่านสภาผู้แทนราษฎรก่อนหรือไม่”

ภาพประกอบข้อหารือของศรีญาดา ปาลิพันธ์ สส. เพื่อไทย แสดงความกังวลว่าความร่วมมือในการสำรวจแร่หายากระหว่างไทย-สหรัฐฯ ที่ใช้เทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียมจะกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง

ประเด็นที่ 1: รัฐบาลปิดบังและไม่โปร่งใส่ในการลงนาม ประชาชนรู้รายละเอียดการลงนามเอ็มโอยูแรร์เอิร์ธจากเว็บไซต์ทำเนียบขาวก่อนที่จะทราบจากรัฐบาลไทย ?

วันที่ 25 ต.ค. 2568 สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกรัฐบาล เปิดเผยถึงภารกิจของนายกฯ ในการประชุมสุดยอดอาเซียนที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซียว่า ในวันที่ 26 ต.ค. นายกฯ จะเข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมสุดยอดอาเซียน, การประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง, พิธีมอบรางวัลอาเซียน, พิธีลงนามเอกสารรับติมอร์-เลสเตเข้าเป็นสมาชิกอาเซียน, เข้าพบหารือกับประธานาธิบดีทรัมป์เพื่อ “กระชับความร่วมมือในประเด็นเศรษฐกิจ ความมั่นคง และการพัฒนาที่ยั่งยืนในภูมิภาค” และเข้าร่วมพิธีลงนามถ้อยแถลงร่วมสันติภาพไทย-กัมพูชา โดยมีนายกรัฐมนตรีมาเลเซียและประธานาธิบดีสหรัฐฯ ร่วมเป็นสักขีพยาน 

คืนวันที่ 25 ต.ค. หลังจากเดินทางถึงมาเลเซีย อนุทินให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวถึงกำหนดการพบประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่า จะลงนามในสัญญาทางการค้า การพิจารณาอัตราภาษี ความร่วมมือทางการค้า ความมั่นคง รวมถึงประเด็นเรื่องสแกมเมอร์ และจะเชิญประธานาธิบดีทรัมป์เยือนไทยอย่างเป็นทางการ โดยไม่ได้กล่าวถึงเอ็มโอยูแรร์เอิร์ธแต่อย่างใด

เช้าวันที่ 26 ต.ค. อนุทินเฟซบุ๊กไลฟ์ก่อนร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับการลงนามในถ้อยแถลงร่วมไทย-กัมพูชาเพื่อกำหนดแนวทางการสร้างสันติภาพโดยยืนยันว่าจะไม่ทำให้ไทยเสียเปรียบ ซึ่งในการไลฟ์ครั้งนี้นายกฯ ไม่ได้กล่าวถึงการลงนามเอ็มโอยูแรร์เอิร์ธกับสหรัฐฯ อีกเช่นกัน

เวลา 11.35 น. เฟซบุ๊กและยูทูบของทำเนียบขาว “The White House” ถ่ายทอดสด พิธีลงนามถ้อยแถลงร่วมแนวทางสันติภาพไทย-กัมพูชาซึ่งมีผู้นำมาเลเซียและสหรัฐฯ เป็นสักขีพยาน โดยก่อนการลงนามประธานาธิบดีทรัมป์แถลงในตอนหนึ่งว่า “ในวันนี้ นอกจากปฏิญญากำหนดแนวทางสันติภาพฉบับนี้แล้ว เรายังได้ลงนามข้อตกลงทางการค้าที่สำคัญกับกัมพูชาและลงนามในข้อตกลงว่าด้วยแร่ธาตุที่มีความสำคัญกับประเทศไทยด้วย”

นายกฯ ไทยออกมาแถลงเป็นลำดับสุดท้ายต่อจากนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกฯ มาเลเซีย และนายฮุน มาเนต นายกฯ กัมพูชา โดยกล่าวขอบคุณประธานาธิบดีทรัมป์ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างสันติภาพไทย-กัมพูชา

“นอกจากนี้ เราจะลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือเกี่ยวกับแร่ธาตุที่มีความสำคัญในระดับโลก ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาและขยายห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต” อนุทินกล่าว ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่เขาเปิดเผยถึงการลงนามเอ็มโอยูแรร์เอิร์ธกับสหรัฐฯ 

เวลาประมาณ 12.45 น. เว็บไซต์ทำเนียบขาวเผยแพร่ บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุที่มีความสำคัญในระดับโลกและการส่งเสริมการลงทุน และราวสองชั่วโมงหลังจากนั้นก็เผยแพร่เอกสารสรุป (fact sheet) ภารกิจของผู้นำสหรัฐฯ ในการเยือนมาเลเซีย หนึ่งในนั้นคือการลงนามบันทึกเอ็มโอยูว่าด้วยความร่วมมือเกี่ยวกับแร่ธาตุหายากกับไทย 

นอกจากคำแถลงของอนุทินก่อนการลงนามแล้ว ทางรัฐบาลไทยก็ไม่ได้ให้ข้อมูลใด ๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับเอ็มโอยูแรร์เอิร์ธ สื่อไทยหลายสำนักที่รายงานข่าวเรื่องนี้ต่างอ้างอิงเนื้อหาเอ็มโอยูที่เผยแพร่ทางเว็บไซต์ของทำเนียบขาว มีเพียงสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ให้สัมภาษณ์ The Standard สั้น ๆ หลังพิธีลงนามว่าเอ็มโอยูนี้ไม่มีข้อผูกมัดทางกฎหมายและไทยจะได้ประโยชน์คือการเข้าไปอยู่ในซัพพลายเชนเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก ได้แลกเปลี่ยนข้อมูล องค์ความรู้และการถ่ายทอดเทคโนโลยีในเรื่องแร่ธาตุสำคัญจากสหรัฐฯ

จนกระทั่งช่วงบ่ายของวันที่ 27 ต.ค. เพจเฟซบุ๊ก “ไทยคู่ฟ้า” และ เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล จึงได้เผยแพร่คำให้สัมภาษณ์ของนายกฯ อนุทินในเรื่องนี้ว่า “แรร์เอิร์ธแปลว่าแร่ธาตุที่หายาก ซึ่งเป็นศัพท์ที่กว้าง เอ็มโอยูที่เซ็นก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่น่าวิตกกังวลใด ๆ อย่างที่หลายคนคิดเลย มันเป็นการลงนามว่า ทุกวันนี้มีแร่ธาตุต่าง ๆ มากมายที่สามารถนำไปผลิตเป็นสินค้า ลดต้นทุน และทำให้เกิดประสิทธิภาพ เพิ่มคุณภาพของสินค้าได้  แต่ถ้าเกิดมีแร่หายากแล้วสอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลก สหรัฐฯ ก็อยากจะขอมีส่วนร่วมในการร่วมพัฒนา ซึ่งเราก็ยินดี”

“อย่างไรก็ตาม มีการระบุไว้ในเอ็มโอยูอย่างชัดเจนว่าทุกอย่างจะต้องอยู่ภายใต้ความเป็นธรรม หลักธรรมาภิบาล และภายใต้กฎระเบียบกฎหมายของไทย ไม่ผิดต่อหลักรัฐธรรมนูญ” อนุทินกล่าว 

นายกฯ ย้ำว่าวัตถุประสงค์หลักของเอ็มโอยูฉบับนี้คือการแสวงหาความร่วมมือ “และที่สำคัญที่สุดคือไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย เมื่อถึงเวลาอันควร ดูแล้วไม่มีประโยชน์ที่จะเดินหน้ากันต่อไป คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็สามารถยกเลิกบันทึกข้อตกลงนี้ได้เลยโดยไม่ต้องรับการยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง” 

หลังพิธิลงนามเมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2568 ไม่กี่ชั่วโมง เว็บไซต์ทำเนียบขาวเผยแพร่เนื้อหาฉบับเต็มของ บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุที่มีความสำคัญในระดับโลกและการส่งเสริมการลงทุน

วันที่ 28 ต.ค. เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเอ็มโอยูฉบับนี้ว่า มีวัตถุประสงค์ 4 ข้อ คือ เสริมสร้างความร่วมมือในการพัฒนาและขยายห่วงโซ่อุปทานในเรื่องแร่หายาก, ส่งเสริมการค้าการลงทุนในอุตสาหกรรมการสำรวจ การสกัด การแปรรูป การกลั่น การรีไซเคิล การกู้คืน รวมทั้งการดูแลรักษาแร่หายากทั้งห่วงโซ่อุปทาน, ส่งเสริมการลงทุนที่สนับสนุนการสร้างมูลค่าเพิ่มและอุตสาหกรรมการสกัด และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ตลาด โดยให้การใช้แร่แรร์เอิร์ธสามารถนำออกมาใช้สู่ตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และโปร่งใสโดยให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมด้วย 

เอกนิติกล่าวว่า ขอบเขตความร่วมมือตามเอ็มโอยูฉบับนี้คือการแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ความเชี่ยวชาญทางเทคนิค แนวปฏิบัติสากลเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของไทย และมีกลไกให้เจ้าหน้าที่รัฐของทั้ง 2 ประเทศจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการหรือดำเนินงานด้านวิทยาศาสตร์ร่วมกันเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลหรือกฎระเบียบต่าง ๆ 

ข้อสรุป: เมื่อไล่ลำดับเหตุการณ์และการสื่อสารของรัฐบาลในช่วงก่อนและหลังการประชุมสุดยอดอาเซียนพบว่า รัฐบาลอนุทินไม่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการลงนามและเนื้อหาของเอ็มโอยูแรร์เอิร์ธ แต่สาธารณชนได้รับรู้เรื่องนี้จากเว็บไซต์ทำเนียบขาวจริงตามที่ สส.พรรคเพื่อไทยกล่าวในที่ประชุมสภา 

การตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่า ก่อนการประชุมสุดยอดอาเซียน รัฐบาลไม่เคยเปิดเผยว่าจะมีการลงนามในเอ็มโอยูเกี่ยวกับแร่หายากกับสหรัฐฯ เพียงแต่แจ้งกำหนดการกว้าง ๆ ว่าจะมีการลงนามใน “สัญญาและความร่วมมือทางการค้า” กับสหรัฐฯ สาธารณชนได้รู้ว่าจะมีการลงนามเอ็มโอยูฉบับนี้จากการแถลงของประธานาธิบดีทรัมป์และนายอนุทินที่ถ่ายทอดสดทางเพจเฟซบุ๊กและยูทูบทำเนียบขาวก่อนการลงนามจริงเพียงไม่กี่นาที 

หลังการลงนามไม่นานนัก เว็บไซต์ทำเนียบขาวได้เผยแพร่เนื้อหาฉบับเต็มของเอ็มโอยูทางเว็บไซต์ พร้อมด้วยเอกสารสรุปภารกิจของประธานาธิบดีซึ่งรวมถึงการลงนามเอ็มโอยูความร่วมมือเรื่องแร่หายากกับนายอนุทินด้วย ขณะที่สำนักโฆษกของรัฐบาลไทยเผยแพร่คำให้สัมภาษณ์ของนายกฯ เกี่ยวกับเอ็มโอยูฉบับนี้ในวันรุ่งขึ้นคือช่วงบ่ายวันที่ 27 ต.ค. ซึ่งนายกฯ พยายามลดความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบด้านความมั่นคงและสิ่งแวดล้อมในการพัฒนาแร่แรร์เอิร์ธ มากกว่าที่จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับเนื้อหาของเอ็มโอยู

ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศเผยแพร่ คำแปลอย่างไม่เป็นทางการ ของเอ็มโอยูฉบับนี้เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2568 หรือกว่าหนึ่งสัปดาห์หลังการลงนาม 

ประเด็นที่ 2: การลงนามเอ็มโอยูแรร์เอิร์ธต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อนหรือไม่?

ศรีญาดาตั้งคำถามว่าเอ็มโอยูแรร์เอิร์ธเข้าข่ายหนังสือสัญญาอื่นที่อาจจะมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือการให้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาตามมาตรา 178 วรรค 3 หรือไม่

รัฐธรรมนูญมาตรา 178 ระบุว่า หนังสือสัญญาที่อาจส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้าการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวาง จะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาภายในระยะเวลา 60 วันนับตั้งแต่ได้รับเรื่อง หากมีปัญหาว่าหนังสือสัญญาใดเป็นไปตามกรณีข้างต้นหรือไม่ ให้อำนาจกับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอคำวินิจฉัยได้ โดยศาลฯ จะต้องให้คำวินิจฉัยภายใน 30 วัน

เอ็มโอยูแรร์เอิร์ธเข้าข่ายเป็นหนังสือสัญญาที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อนไปลงนามหรือไม่นั้น ยังเป็นประเด็นถกเถียงกันและยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจน  ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าเอ็มโอยูฉบับนี้เป็นกรอบความร่วมมือที่ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายจึงไม่ต้องผ่านความเห็นชอบจากสภา ขณะที่อีกฝ่ายเห็นว่าแม้จะไม่มีผลผูกผันทางกฎหมาย แต่แร่ธาตุหายากเป็นทรัพยากรที่สำคัญและกระบวนการสำรวจและผลิตอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและสิ่งแวดล้อม การลงนามในเอ็มโอยูฉบับนี้จึงควรผ่านกลไกของรัฐสภา ให้ประชาชนมีส่วนร่วมและรับรู้รายละเอียดก่อน 

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ

เงินภาษีอุดหนุนพรรคการเมือง-เงินที่ กกต. จัดสรรให้จะไปไหนเมื่อพรรคถูกยุบ ?

กองบรรณาธิการโคแฟค

บัญชีโซเชียลมีเดียของฝ่ายตรงข้ามพรรคประชาชนเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนเกี่ยวกับการจัดการเงินบริจาคและเงินอุดหนุนพรรคการเมืองเมื่อพรรคถูกยุบ โดยอ้างว่าหากพรรคประชาชนถูกยุบ เงินภาษีที่ประชาชนอุดหนุนให้แก่พรรคการเมืองและเงินที่ กกต. จัดสรรให้ จะถูกโอนไปยังมูลนิธิก้าวหน้าซึ่งมีธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นประธานมูลนิธิ

โคแฟคตรวจสอบข้อกฎหมายและสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พบว่า เมื่อพรรคการเมืองถูกยุบหรือเลิกกิจการ เงินภาษีที่ประชาชนอุดหนุนให้พรรคการเมือง และเงินจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองที่ กกต. จัดสรรให้พรรคการเมือง จะต้องโอนกลับคืนมายังกองทุนฯ ไม่ได้โอนเข้าองค์กรสาธารณะกุศล

เนื้อหาที่ตรวจสอบ

วันที่ 22 ต.ค. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “วันนี้พรรคส้มโกหกอะไร V2” โพสต์ข้อความว่า “#ทุกคนคะ หากพรรคส้มปิดหรือถูกยุบไป เงินและทรัพย์สินที่ประชาชน และ ภาษีที่ กกต. จัดสรรไปให้พรรคส้ม จะถูกโอนไปยัง ‘มูลนิธิก้าวหน้า’ ที่มีบอสเอกเป็นประธานมูลนิธิ” (ลิงก์บันทึก) ส่วนภาพประกอบมีรูปของรักชนก ศรีนอก สส. กทม. พรรคประชาชน และธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานมูลนิธิคณะก้าวหน้า, ข้อบังคับพรรคประชาชนที่ระบุว่า “เมื่อพรรคเลิกตามข้อ 134 และมีการชำระบัญชีโดยหักหนี้สินและค่าใช้จ่ายแล้ว ยังมีทรัพย์สินเหลืออยู่เท่าใด ให้โอนแก่มูลนิธิคณะก้าวหน้าทั้งสิ้น” และประกาศจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิคณะก้าวหน้าที่มีชื่อธนาธรเป็นผู้ยื่นคำขอจัดตั้ง ด้านล่างมีข้อความ “ถ้าพรรคส้มล้มไป ทรัพย์สินทั้งหมดตกเป็นของมูลนิธิก้าวหน้าที่ธนาธรเป็นประธาน”

โพสต์นี้ถูกแชร์ต่อมากกว่า 500 ครั้ง และยังมีการนำไปโพสต์ในบัญชี X “วันนี้พรรคส้มโกหกอะไร” ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน

วันที่ 23 ต.ค. เพจเฟซบุ๊ก “The METTAD” โพสต์เนื้อหาลักษณะเดียวกัน โดยแชร์คลิปเวทีสาธารณะ “ทำไมต้องปลดล็อกท้องถิ่น” จัดโดยคณะก้าวหน้าที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 2565 ซึ่งช่วงหนึ่งประชาชนที่มาร่วมฟังได้ลุกขึ้นแสดงความเห็นว่าประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ควรได้กำหนดอนาคตตัวเองรวมถึงเรื่องเอกราช

เพจเฟซบุ๊ก The METTAD นำคลิปนี้มาเผยแพร่และเขียนข้อความว่า “ตามข้อบังคับของพรรค เมื่อพรรคส้มถูกยุบ เงินบริจาคทั้งหมดจะโอนเข้า มูลนิธิคณะก้าวหน้า และ มูลนิธิคณะก้าวหน้า ก็จะเอาเงินมาทำกิจกรรมแบบนี้ ผมอยากถามว่า การสนับสนุนขบวนการแบ่งแยกดินแดน มันตรงกับจุดประสงค์ของคนบริจาคไหมครับ” (ลิงก์บันทึก)

โพสต์เหล่านี้ถูกเผยแพร่ราวหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่รักชนก สส. พรรคประชาชน ตั้งคำถามถึงความโปร่งใสในการเปิดรับบริจาคและการบริหารจัดการเงินของมูลนิธิกันจอมพลังช่วยสู้ นำไปสู่การเปิดเผยข้อบังคับมูลนิธิกันจอมพลังฯ ที่ระบุว่าถ้ามูลนิธิต้องเลิกล้มไป “ทรัพย์สินทั้งหมดของมูลนิธิที่เหลืออยู่ในตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่มูลนิธิธรรมนัส พรหมเผ่า”  

โคแฟคตรวจสอบ

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 (พ.ร.ป.พรรคการเมือง) ระบุว่าพรรคการเมืองอาจมีรายได้จากเงินทุนประเดิมจากการจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมือง, เงินค่าธรรมเนียมและค่าบำรุงพรรคการเมืองตามที่กำหนดในข้อบังคับพรรคการเมือง, เงินที่ได้จากการจำหน่ายสินค้าหรือบริการของพรรคการเมือง, เงิน ทรัพย์สิน และประโยชน์อื่นใดที่ได้จากการจัดกิจกรรมระดมทุนของพรรคการเมือง, เงิน ทรัพย์สิน และประโยชน์อื่นใดที่ได้จากการรับบริจาค, เงินอุดหนุนจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง, ดอกผลและรายได้ที่เกิดจากเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดของพรรคการเมือง 

เนื้อหาที่เผยแพร่ในเพจวันนี้พรรคส้มโกหกอะไรและ The METTAD ระบุว่า “เงินและทรัพย์สินที่ประชาชน และ ภาษีที่ กกต. จัดสรรไปให้พรรคส้ม” และ “เงินบริจาคทั้งหมด” ซึ่งตีความได้ว่าหมายถึงรายได้ของพรรคการเมือง 2 ส่วน คือ เงินที่ประชาชนบริจาคให้พรรคการเมือง และ เงินที่ กกต. จัดสรรให้พรรคการเมือง ที่ทางเพจอ้างว่าหากถูกยุบพรรคจะตกไปเป็นของมูลนิธิคณะก้าวหน้า

โคแฟคตรวจสอบข้อเท็จจริงจาก พ.ร.ป.พรรคการเมือง และสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากสำนักบริหารกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองของ กกต. ได้ข้อมูลดังนี้

1) เงินที่ประชาชนบริจาคให้พรรคการเมือง

ตาม พ.ร.ป. พรรคการเมือง เงินที่ประชาชนบริจาค/อุดหนุนให้พรรคการเมืองประกอบด้วย

  • “การอุดหนุนเงินภาษีให้แก่พรรคการเมือง” ตามมาตรา 69 ซึ่งหมายถึงจำนวนเงินที่ผู้เสียภาษีเงินได้ซึ่งมิใช่นิติบุคคลแสดงเจตนาในแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี ให้รัฐนำเงินที่เสียภาษีไว้ไปอุดหนุนพรรคการเมืองที่เลือกหนึ่งพรรคปีละ 500 บาท โดยเงินภาษีจำนวนนี้ผู้เสียภาษีไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม แต่จะถูกหักจากเงินภาษีที่ต้องส่งให้กับกรมสรรพากร
  • “เงินที่บุคคลหรือนิติบุคคลบริจาคเงินแก่พรรคการเมือง” ตามมาตรา 70 ซึ่งระบุว่าผู้บริจาคมีสิทธินำจำนวนเงินที่บริจาคให้พรรคการเมืองไปหักเป็นค่าลดหย่อนตามจำนวนที่บริจาคแต่ไม่เกิน 10,000 บาท สำหรับบุคคลธรรมดา และไม่เกิน 50,000 บาท สำหรับนิติบุคคล 

2) เงินที่ กกต. จัดสรรให้พรรคการเมือง

เงินที่ กกต. จัดสรรให้พรรคการเมืองนั้นมาจาก “กองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง” ตามมาตรา 78 ของ พ.ร.ป. พรรคการเมือง เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนและใช้จ่ายในการสนับสนุนพรรคการเมือง ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน และส่งเสริมการพัฒนาพรรคการเมืองให้เป็นสถาบันทางการเมืองของประชาชนที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองร่วมกัน

เจ้าหน้าที่สำนักบริหารกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง กกต. ให้ข้อมูลว่าเงินของกองทุนฯ มาจากหลายส่วน เช่น เงินภาษีที่ประชาชนอุดหนุนให้พรรคการเมืองตามมาตรา 69 ที่กรมสรรพากรโอนมาให้  ซึ่ง กกต. จะต้องโอนให้พรรคการเมืองตามจำนวนที่ได้รับการอุดหนุนจริง, งบประมาณรายจ่ายประจำปี, ค่าธรรมเนียมสมัคร สส., เงินและดอกเบี้ยที่เรียกคืนจากพรรคการเมืองหรือนักการเมืองที่ทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง และทรัพย์สินที่เหลือหลังจากเคลียร์บัญชีของพรรคการเมืองที่ถูกยุบหรือเลิกพรรค และไม่ได้กำหนดว่าจะบริจาคให้กับมูลนิธิใด

คณะกรรมการกองทุนฯ ซึ่งประกอบด้วย ประธาน กกต. เป็นประธานกรรมการ, กรรมการการเลือกตั้ง, ผู้แทนกระทรวงการคลัง, ผู้แทนสำนักงบประมาณ และผู้ทรงคุณวุฒิ 2 คน เป็นผู้ควบคุมดูแลกองทุนและจัดสรรเงินสนับสนุนแก่พรรคการเมืองตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ใน พ.ร.ป.พรรคการเมือง พรรคการเมืองใดต้องการนำเงินจากกองทุนไปใช้จะต้องเขียนโครงการเสนอให้คณะกรรมการกองทุนพิจารณาอนุมัติ 

คู่มือการจัดสรรและการใช้จ่ายเงินอุดหนุนของพรรคการเมืองที่ได้รับจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองประจำปี พ.ศ.2567 ระบุว่า กกต. จะเป็นผู้อนุมัติวงเงินและโอนเงินอุดหนุนให้กับพรรคการเมืองพรรคโดยเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทยที่พรรคการเมืองต้องเปิดไว้ พรรคการเมืองจะสามารถเบิกจ่ายเงินจากกองทุนได้เป็นรายปี และการใช้จ่ายจะต้องไปไปตามที่ กกต. กำหนด และเมื่อได้รับเงินแล้ว พรรคการเมืองต้องออกใบเสร็จรับเงินและต้องส่งรายงานการใช้จ่ายเงินให้กับ กกต. ทุก 3 เดือน

พรรณิการ์ วานิช คณะกรรมการมูลนิธิคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์โคแฟคว่า หลายคนเข้าใจว่าเงินจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองนั้นถูกโอนเข้ามาในบัญชีธนาคารของพรรคการเมืองในทันที ซึ่งความเป็นจริงคือ พรรคการเมืองต้องเขียนโครงการเสนอคณะกรรมการเพื่อขออนุมัติเงินจากกองทุน ซึ่งจะอนุมัติหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการกองทุน

3) เมื่อพรรคถูกยุบหรือปิดตัว เงินจะไปไหน

เจ้าหน้าที่สำนักบริหารกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง กกต. อธิบายว่า เมื่อถึงสิ้นปีพรรคการเมืองจะต้องโอนเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองที่ใช้ไม่หมดคืนกองทุนฯ แต่ในกรณีที่พรรคการเมืองถูกยุบหรือเลิกพรรค คณะกรรมการกองทุนฯ จะแจ้งไปยังสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ให้ดำเนินการชำระบัญชี ซึ่ง สตง. จะนำเงินของกองทุนฯ ที่โอนให้พรรคการเมืองนั้นไปปิดหนี้และค่าใช้จ่ายที่พรรคการเมืองยังค้างเอาไว้ เมื่อทำการชำระบัญชีเสร็จแล้ว สตง. ก็จะคืนเงินส่วนที่ยังเหลือกลับมาที่กองทุนฯ 

“เพราะฉะนั้นเมื่อพรรคการเมืองใดถูกยุบหรือเลิกพรรค เงินที่โอนไปจากกองทุนฯ จะถูกโอนกลับเข้ากองทุนฯ ทุกบาท จะไม่มีก้อนไหนโอนเข้าไปยังมูลนิธิหรือหน่วยงานอื่นเลย ยกเว้นว่าจะเป็นเงินหรือทรัพย์สินของพรรคการเมืองนั้นเอง ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับกองทุนฯ เงินที่พรรคได้จากการที่ประชาชนอุดหนุนเงินภาษีให้แก่พรรคการเมืองไม่ได้เป็นทรัพย์สินของพรรคการเมือง เพราะกฎหมายกำหนดให้เงินอุดหนุนภาษีแก่พรรคการเมืองเป็นรายได้ของกองทุนฯ เพราะฉะนั้นพรรคการเมืองต้องส่งคืนเข้ากองทุนฯ” เจ้าหน้าที่สำนักบริหารกองทุนฯ กล่าว 

สำหรับการชำระบัญชีของพรรคการเมืองที่สิ้นสภาพหรือถูกยุบพรรคนั้น กกต. ระบุไว้ใน คู่มือการเงินและบัญชีของพรรคการเมือง สรุปได้ดังนี้

  • ให้หัวหน้าพรรคการเมืองส่งบัญชี และงบแสดงฐานะทางการเงิน รวมทั้งเอกสารเกี่ยวกับการเงินของพรรคการเมืองภายใน 30 วัน นับแต่วันที่พรรคการเมืองสิ้นสภาพหรือยุบพรรคการเมือง และให้ สตง.ชำระบัญชีให้เสร็จสิ้นภายใน 180 วัน
  • สตง. มีอำนาจใช้จ่ายเงินของพรรคการเมืองหรือจำหน่ายทรัพย์สินของพรรคการเมือง เพื่อนำเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายในการชำระบัญชีได้
  • เมื่อหักหนี้สินและค่าใช้จ่ายแล้ว ยังมีทรัพย์สินเหลืออยู่เท่าใดให้โอนให้แก่องค์การสาธารณกุศลตามที่ระบุไว้ในข้อบังคับพรรคการเมือง ถ้าในข้อบังคับไม่ระบุไว้ ให้ทรัพย์สินที่เหลือตกเป็นของกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง
  • พรรคการเมืองที่ได้รับการจัดสรรเงินอุดหนุนจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง ให้หัวหน้าพรรคการเมืองหรือกรรมการบริหารพรรคการเมืองนำเงินอุดหนุนเหลือจ่ายพร้อมดอกผลที่ต้องคืน กองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง บันทึกบัญชีเป็นเจ้าหนี้ และเร่งรัดคืนเงินอุดหนุนเหลือจ่ายพร้อมดอกผลให้กับกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง ก่อนมีประกาศราชกิจจานุเบกษาให้พรรคการเมืองสิ้นสภาพ

ข้อสรุปโคแฟค

ข้อบังคับพรรคประชาชนระบุไว้จริงว่า เมื่อพรรคเลิกดำเนินการและมีการชำระบัญชีโดยหักหนี้สินและค่าใช้จ่ายแล้ว ยังมีทรัพย์สินเหลืออยู่เท่าใด ให้โอนแก่มูลนิธิคณะก้าวหน้า ซึ่งปัจจุบันมีธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นประธานคณะกรรมการมูลนิธิ แต่ข้อความในโพสต์เพจเฟซบุ๊กและบัญชี X “วันนี้พรรคส้มโกหกอะไร” และ “The METTAD” ที่เขียนว่า “หากพรรคส้มปิดหรือถูกยุบไป เงินและทรัพย์สินที่ประชาชน และ ภาษีที่ กกต. จัดสรรไปให้พรรคส้ม จะถูกโอนไปยัง ‘มูลนิธิก้าวหน้า’ ที่มีบอสเอกเป็นประธานมูลนิธิ” และ “ตามข้อบังคับของพรรค เมื่อพรรคส้มถูกยุบ เงินบริจาคทั้งหมดจะโอนเข้า มูลนิธิคณะก้าวหน้า” นั้นเป็นการบิดเบือนทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเงินที่ประชาชนอุดหนุนให้พรรคการเมืองผ่านการจ่ายภาษีเงินได้ และเงินจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองที่ กกต. จัดสรรให้พรรคการเมืองนั้นจะถูกโอนแก่มูลนิธิคณะก้าวหน้า

โคแฟคตรวจสอบจาก พ.ร.ป. พรรคการเมือง, คู่มือการจัดสรรและการใช้จ่ายเงินอุดหนุนของพรรคการเมืองที่ได้รับจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองประจำปี, คู่มือการเงินและบัญชีของพรรคการเมือง และจากการสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่สำนักบริหารกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองของ กกต. ได้ข้อสรุปว่า เงินภาษีที่ประชาชนอุดหนุนให้พรรคการเมืองนั้นจัดเป็นรายได้ของกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง ซึ่งเมื่อพรรคการเมืองถูกยุบหรือเลิกกิจการ เงินที่พรรคได้รับการจัดสรรจากกองทุนฯ จะถูกนำไปชำระหนี้และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ หากมีเงินเหลือจะต้องโอนคืนเข้ากองทุนฯ 

เงินและทรัพย์สินที่จะโอนแก่มูลนิธิคณะก้าวหน้าตามที่ระบุในข้อบังคับพรรคประชาชนนั้นมีเพียงทรัพย์สินของพรรคการเมืองเอง ซึ่งตาม พ.ร.ป. พรรคการเมืองระบุว่ารายได้ของพรรคการเมืองอาจมาจากเงินทุนประเดิมจากการจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมือง เงินค่าธรรมเนียมและค่าบำรุงพรรคการเมือง เงินที่ได้จากการจำหน่ายสินค้าหรือบริการของพรรค เงินที่ได้จากกิจกรรมระดมทุน เป็นต้น

สังเกตได้ว่าเนื้อหาดังกล่าวใช้ถ้อยคำที่คลุมเครือว่า “เงินบริจาค” หรือ “เงินและทรัพย์สินที่ประชาชนให้” นั้นหมายถึงอะไร อาจมีเจตนาทำให้เข้าใจว่ารวมถึงเงินภาษีที่ประชาชนเลือกอุดหนุนให้พรรคการเมืองตอนเสียภาษีเงินได้ประจำปีด้วย ทั้งที่จริงแล้ว เงินส่วนนี้ถือเป็นเงินที่กองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองจัดสรรให้พรรคการเมือง ซึ่งพรรคที่ถูกยุบหรือเลิกกิจการต้องโอนคืนเข้ากองทุนฯ หากยังเหลืออยู่หลังการชำระบัญชี

การเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนเกี่ยวกับการบริหารจัดการรายได้ของพรรคการเมืองหลังการยุบพรรคเช่นนี้ ไม่เพียงสร้างความเสียหายต่อพรรคประชาชน แต่ยังเป็นการสร้างความเข้าใจผิดต่อ พ.ร.ป. พรรคการเมืองและการดำเนินการของกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง ซึ่งอาจนำไปสู่การทำลายความเชื่อมั่นและความไม่ไว้วางใจในระบบพรรคการเมืองได้

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ

สารพัดคนดังชื่นชม-บริจาคเงินให้‘กัน จอมพลัง’ข่าวลวงปั่นขำขัน..แต่บ้างก็ยังเชื่อว่าจริง

By : บัญชา จันทร์สมบูรณ์

ตลอดระยะเกือบ 4 เดือนแห่งความตึงเครียดของสถานการณ์ความขัดแย้งไทย – กัมพูชา นับตั้งแต่ฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากโจมตีเป้าหมายพลเรือนของไทย ตามด้วยการตอบโต้ของฝ่ายไทย เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568 จนนำไปสู่การหยุดยิงในวันที่ 28 ก.ค. 2568 และล่าสุดเริ่มมีรายงานการถอนอาวุธหนักออกจากแนวชายแดนของทั้ง 2 ประเทศ เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2568 ภายหลังผู้นำไทยและกัมพูชาได้บรรลุข้อตกลงสันติภาพเมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2568 ในระหว่างการร่วมประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน 

ชื่อของ กัน จอมพลัง อินฟลูเอนเซอร์ชาวไทย โดดเด่นขึ้นมาในหน้าสื่อ ตั้งแต่ในฐานะผู้ระดมเงินบริจาคจากประชาชนไปสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของทหารไทย ไปจนถึงการถูกตั้งคำถามถึงความเหมาะสม เช่น การระดมเครื่องเสียงไปเปิดเสียงภาพยนตร์สยองขวัญบ้าง เสียงเครื่องบินรบทิ้งระเบิดบ้าง ในบริเวณชายแดนไทยที่กำลังมีข้อพิพาทเรื่องชาวบ้านกัมพูชารุกล้ำ ซึ่งอาจเข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชนเพราะเป็นการกระทำต่อพลเรือน กระทบต่อภาพลักษณ์ของไทยในเวทีโลก 

แต่ประเด็นที่ผู้เขียนให้ความสนใจ คือนับตั้งแต่ช่วงกลาง – ปลายเดือนตุลาคม 2568 ปรากฏ“โพสต์ภาพและข้อความเป็นจำนวนมาก อ้างทั้งบุคคลที่มีชื่อเสียงอย่างผู้นำประเทศ ดารานักแสดง ไปจนถึงตัวละครในสื่อบันเทิงอย่างการ์ตูนหรือภาพยนตร์ กล่าวชื่นชมหรือบริจาคเงินให้กัน จอมพลัง” และโพสต์ทำนองนี้ก็มีหลายระดับ ตั้งแต่แรกเห็นก็น่าจะรู้แล้วว่า “ข่าวลวงแน่ๆ” ดูออกง่ายๆ ว่าเป็นเพียงการเสียดสีล้อเลียน (Parody) ไปจนถึงภาพหรือเนื้อหาที่แนบเนียนจนต้องอาศัยการสืบค้นตรวจสอบกันพอสมควร แต่ไม่ว่าแบบใด สิ่งที่น่าตกใจคือ “มีคนส่วนหนึ่งเชื่อไปแล้วว่าเป็นเรื่องจริง”และแสดงความคิดเห็นร่วมยินดีไปด้วย

ภาพที่ 1 : ภาพประกอบจากภาพยนตร์สำหรับผู้ใหญ่ในญี่ปุ่น ถูกอ้างผสมกับชื่อของเจ้าเมืองญี่ปุ่นยุคโบราณ ว่าเป็นนักการเมืองญี่ปุ่นในปัจจุบันกล่าวชื่นชมกัน จอมพลัง

– ทาเคดะ โยชิโนบุ ผู้ท้าชิงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขตโอซากา กล่าวกับสื่อ Fuji TVชื่นชมกัน จอมพลัง โพสต์นี้ผู้เขียนเลือกมากล่าวถึงเป็นตัวอย่างแรก เพราะมีการสอบถามเข้ามาในระบบของโคแฟค ช่วงประมาณวันที่ 21 – 22 ต.ค. 2568 ซึ่งเมื่อทดลองนำข้อความไปค้น พบว่าเคยมีการโพสต์เมื่อวันที่ 19 ต.ค. 2568 โดยบัญชีเฟซบุ๊ก “Thanaphon Kubb” ในกลุ่มเฟซบุ๊ก “ข่าวกันจอมพลัง” จากนั้นเมื่อแปลชื่อบุคคลและข้อความสำคัญเป็นภาษาญี่ปุ่น ไม่พบว่ามีข่าวหรือข้อมูลปรากฏในทางเดียวกัน ดังนี้ 

– คำว่า ทาเคดะ โยชิโนบุ” (武田義信 ในภาษาญี่ปุ่น , Takeda Yoshinobu ในภาษาอังกฤษและ นักการเมือง” (政治家 ในภาษาญี่ปุ่น , Politicianในภาษาอังกฤษ) พบชื่อบุคคลที่มีชื่อเสียงจำนวน 2 คน คือ 1.ทาเคดะ โยชิโนบุ เป็นไดเมียว (เจ้าเมือง) ในญี่ปุ่นยุคศักดินา มีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ.1538 –1567 หรือ พ.ศ.2081 – 2110 เป็นบุตรของ ทาเคดะ ชินเก็น (武田 信玄 , Takeda Shingen) ขุนศึกที่ครอบครองเมืองไค และขยายอาณาเขตไปยังดินแดนชินาโนะที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งปัจจุบันเมืองไคอยู่ในจังหวัดยามานาชิ ส่วนดินแดนชินาโนะอยู่ในจังหวัดนากาโนะ และทั้ง 2 พื้นที่อยู่ทางตอนกลางของญี่ปุ่น ในขณะที่จังหวัดโอซากาจะอยู่ห่างออกมาทางตะวันตกเฉียงใต้  

กับ 2.ทาเคดะ โยชิโนบุ อาจารย์สอนศิลปะการต่อสู้ไอคิโด เกิดเมื่อปี ค.ศ.1940 หรือ พ.ศ.2483 ปัจจุบันอายุ 85 ปี โดยบทสัมภาษณ์เมื่อเดือนพฤษภาคม 2568 อาจารย์ท่านนี้เล่าว่าตนเองเกิดที่กรุงโตเกียว แต่ต้องหนีภัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ไปอยู่ในชนบท ก่อนจะกลับมาโตเกียวเมื่ออายุ 7 ขวบ ซี่งปัจจุบัน ทาเคดะ โยชิโนบุ เปิดสำนักสอนศิลปะการต่อสู้ไอคิโด AKI Takeda Dojo (A.K.I. 武田道場) มีสาขาใหญ่ที่เมืองโยโกฮามา จังหวัดคานางาวะ ทางตอนกลางของญี่ปุ่น รวมถึงขยายการฝึกสอนไปในหลายประเทศ 

– คำว่า การเลือกตั้ง (選挙 ในภาษาญี่ปุ่น , Election ในภาษาอังกฤษ) และ โอซากา (大阪ในภาษาญี่ปุ่น , Osaka ในภาษาอังกฤษ)” พบรายงาน 投開票結果調(第27回参議院議員通常選挙 ซึ่งเป็นรายงานผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ของญี่ปุ่น ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2568 ในเว็บไซต์ www.pref.osaka.lg.jp ซึ่งเป็นเว็บไซต์ทางการของจังหวัดโอซากา ไม่พบผู้สมัครรับเลือกตั้งในจังหวัดโอซากาที่ชื่อ ทาเคดะ โยชิโนบุ (武田義信) หรือผู้สมัครที่มีนามสกุลทาเคดะ (武田) แต่อย่างใด 

– คำว่า กัน จอมพลัง (カン・ジョム・パラン ในภาษาญี่ปุ่นและ สถานีโทรทัศน์ Fuji TV (フジテレビ ในภาษาญี่ปุ่น)” ไม่พบรายงานข่าวของ Fuji TV ที่เกี่ยวข้องกับกัน จอมพลัง แต่พบในรายงานข่าวของสำนักข่าวอื่นๆ เช่น thaiiku.com , thaich.net ซึ่งเป็นเว็บไซต์แปลข่าวในประเทศไทยเป็นภาษาญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม ข่าวที่พบไม่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองชาวญี่ปุ่น มีเพียงเนื้อหาที่เกิดขึ้นในไทย เช่น ข้อสงสัยเรื่องเงินบริจาคของมูลนิธิของกัน จอมพลัง หรือวิวาทะระหว่างกัน จอมพลัง กับ ไอซ์  รักชนก (アイス・ラッチャノック) นักการเมืองชาวไทยจากพรรคประชาชน เป็นต้น 

ในขณะที่ภาพประกอบที่นำมาอ้างในข่าวลวงเรื่องผู้สมัครับเลือกตั้ง สส. จังหวัดโอซากา กล่าวชื่นชนกัน จอมพลังนั้น เมื่อค้นหาด้วย Google Reverse Image (Google Lens) พบว่า เป็นภาพนักแสดงจากภาพยนตร์สำหรับผู้ใหญ่ที่ผลิตและเผยแพร่ในประเทศญี่ปุ่น ไม่ใช่ภาพของนักการเมืองแต่อย่างใด 

ภาพที่ 2 : ภาพที่อ้างว่า ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ เดินทางมาไทยเพื่อบริจาคเงินให้กัน จอมพลัง แต่ฉากหลังมาจากงานเทศกาลภาพยนตร์ในสหรัฐอเมริกา

– ดาราฮอลลีวู้ด “ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ” บินด่วนมาไทยเพื่อบริจาคเงินให้กัน จอมพลัง : ภาพนี้ผู้เขียนพบในกลุ่มเฟซบุ๊ก “ข่าวกันจอมพลัง” โดยผู้ใช้ชื่อว่า “RelaxingElephant290” โพสต์ไว้เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2568 ว่า “ล่าสุด ลีโอนาโด ดิคาปริโอ เดินทางมาประเทศไทย มอบเงิน 2 ล้านดอลลาร์ให้กันจอมพลัง เพื่อช่วยเหลือทหารไทยและชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากเขมร” อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเห็น“ความผิดปกติในภาพ” เช่น ชื่อของนักแสดงในภาพเขียนว่า Leoanardo DicApario ซึ่งที่ถูกต้องคือ Leonardo Dicaprio , ตัวเลข 2 ล้านในภาพคือ2,0000.00 ซึ่งหากเขียนให้ถูกต้องคือ 2,000,000 , ชื่อ Faks Bank of Hollywood เมื่อนำไปค้นหาจะไม่พบข่าวหรือชื่อของธนาคารนี้

นอกจากนั้น ฉากหลังในพิธีรับมอบตามภาพ เมื่อนำไปค้นหาด้วย Google Lens พบว่า เป็นฉากจากงาน CinemaCon ซึ่งเป็นงานเทศกาลภาพยนตร์ในสหรัฐอเมริกา โดยเว็บไซต์ Justjared.com สำนักข่าวบันเทิงในสหรัฐฯ รายงานเมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2568 ระบุว่า ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ไปร่วมงาน CinemaCon 2025 ซึ่งจัดขึ้นที่ The Colosseum โรงแรม Caesars Palace เมืองลาส เวกัสของสหรัฐฯ เพื่อร่วมโปรโมทภาพยนตร์เรื่อง  One Battle After Another (หนึ่งศึกครั้งแล้วครั้งเล่า) ที่ตนเองแสดงนำ 

เช่นเดียวกับบัญชีแพลตฟอร์ม X ชื่อ “Leonardo DiCaprio Fan” ซึ่งเป็นบัญชีของกลุ่มแฟนคลับของลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ก็โพสต์ภาพและข่าวเดียวกันเมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2568 และหากสังเกตที่กระดุมเสื้อของลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ในงานดังกล่าว จะพบว่าตรงกับภาพที่อ้างว่ามามอบเงิน 2 ล้านดอลลาร์ให้กัน จอมพลัง  อีกทั้งโลโก้ WB บนฉากหลัง ยังเป็นโลโก้ของ Warner Bros. บริษัทภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์เรื่อง One Battle After Another 

เมื่อบวกกับการค้นหาข่าวโดยใช้คำว่า “Leonardo Dicaprio Thailand” (ค้นหาครั้งแรกวันที่ 20 ต.ค. และอีกครั้ง ในวันที่ 4 พ.ย. 2568 ก็ไม่พบข่าวการเดินทางมาไทยของดาราฮอลลีวู้ดผู้นี้ รวมถึงเพจเฟซบุ๊ก “กันจอมพลัง ช่วยสู้” ที่เป็นเพจทางการของกัน จอมพลัง ก็ไม่พบการประชาสัมพันธ์เรื่องนี้เช่นกัน จึงแน่ชัดว่าเป็นข่าวลวง อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนไม่สามารถตัดสินได้ว่าภาพที่นำมาประกอบข่าวลวงนี้ถูกสร้างด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์(AI ) หรือไม่ เนื่องจากเมื่อทดลองนำไปตรวจสอบกับเว็บไซต์หลายแห่งที่รับตรวจภาพ พบแต่ละแห่งให้ผลแตกต่างกัน

ภาพที่ 3 : ภาพจากเฟซบุ๊กของข่าวสด ซึ่งของจริงอ้างคำพูดของ “ไอซ์  รักชนก” ในรายการ “กรรมกรข่าวคุยนอกจอ” ถูกนำไปตัดต่อเป็นคำพูดของ “กัน จอมพลัง” ในรายการเดียวกัน ซึ่งกอง บก. ข่าวสดยืนยันว่าไมได้เผยแพร่ และยังเป็นถ้อยคำที่กัน จอมพลัง ไม่ได้พูด


ในวันที่ 20 ต.ค. 2568 บัญชีเฟซบุ๊ก “Menhealth Tha” โพสต์ภาพในกลุ่มเฟซบุ๊ก “เรารักพลโทบุญสิน” เป็นภาพของ กัน จอมพลัง อินฟลูเอนเซอร์ กับ ไอซ์ รักชนก สส. พรรคประชาชน และมีโลโก้ของ “KHAOSOD” หรือ นสพ.ข่าวสด อยู่บริเวณหัวมุมด้านขวา ขณะที่ในภาพฝังข้อความว่า “ผมรักประเทศไทยเพราะนี่คือบ้านของผม ผมไม่เคยโดน 112 เหมือนคุณไอซ์ ทุกวันนี้ผมไปไหนมีแต่คนรัก ทุกที่ที่ผมไปเจริญขึ้น มีแต่คนร้องไห้ดีใจเมื่อเห็นผม ล่าสุดปูตินเอ่ยปากชมผมผ่าน BBC แต่สสพรรคส้มเคยทำอะไรให้ประเทศบ้างไหม หรือด้อยค่าไปวันๆ” 

ผู้เขียนทดลองนำภาพไปค้นด้วย Google Lens พบว่า มีภาพเดียวกันปรากฏบนเพจเฟซบุ๊ก “Khaosod – ข่าวสด” ซึ่งเป็นเพจทางการของสื่อดังกล่าว แต่ข้อความในภาพเป็นของ ไอซ์ รักชนก พูดว่า “น้ำเสียงคุณกันในวันนั้น รับบทมือปราบมาร แต่วันนี้น้ำเสียงคุณกันเปลี่ยนไป พอดีกระแสสังคมอาจไม่ให้คุณกันขี่ไปตลอด คุณกันเลยคิดว่าต้องเปลี่ยนน้ำเสียง วันนี้เลยมาเล่นบทพ่อพระที่ถูกกระทำ” 

ซึ่งจากการที่สอบถามไปยังกองบรรณาธิการข่าวสดออนไลน์ ผู้เขียนได้รับการยืนยันว่าภาพที่อ้างคำพูดของกัน จอมพลัง ไม่ได้มาจากการเผยแพร่ของข่าวสด อีกทั้งต้นทางของคำพูดนั้นซึ่งมาจากการไปพูดในรายการ “กรรมกรข่าวคุยนอกจอ” ทางช่องยูทูบ “สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว”เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2568 เมื่อผู้เขียนได้ฟังคลิปเต็มความยาว 2 ชั่วโมง 49 นาที 57 วินาที พบว่า คำพูดของ ไอซ์ รักชนก ที่ถูกอ้างถึงในข่าวสดนั้นเจ้าตัวพูดในนาทีที่ 53.55 – 54.54 โดยอ้างถึงกรณีที่กัน จอมพลัง ใช้คำพูดรุนแรงวิพากษ์วิจารณ์ผู้ที่ออกมาท้วงติงเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชน จากการระดมเครื่องเสียงไปเปิดเสียงภาพยนตร์สยองขวัญและเสียงเครื่องบินทิ้งระเบิดใส่ชาวบ้านกัมพูชา

ขณะที่คำพูดของกัน จอมพลัง ในรายการดังกล่าว ที่เจ้าตัวพูดจริงคือ “ผมยกตัวอย่าง ถ้าวันนี้คนคนนี้รู้จักคนนั้นคนนี้แล้วต้องไปเชื่อมโยงกับคนนี้คนนั้น ผมถามคุณไอซ์บ้าง วันนี้ก็ถูกดำเนินคดีในข้อหา 112 โดนเรื่องหมิ่นท่าน แล้วก็มีรูปอยู่กับคนอื่นในลักษณะของคดี 112 ด้วย ผมถามว่าแล้วอย่างนี้คนเขาถามว่าคุณไอซ์เป็นพวกล้มเจ้า มันเป็นแบบนั้นไหม? , วันนี้ผมแค่อยากบอกว่าวันนี้เราแค่มีภาพกับคนอื่นแล้วเราต้องเป็นแบบนั้นไหม?” โดยอยู่ในนาทีที่ 2.10.55 – 2.11.45 โดยเป็นการตอบโต้ ไอซ์ รักชนก ที่ถามย้ำหลายครั้งในรายการกรณีความสนิทสนมกับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทำให้กัน จอมพลัง ดูเหมือนจะได้รับการสนับสนุนหรืออำนวยความสะดวกจากหน่วยงานของรัฐเป็นพิเศษ ซึ่งรวมถึงได้รับสัญญาจ้างงานแบบเจาะจงจากกระทรวงเกษตรฯ แต่ตลอดทั้งรายการ กัน จอมพลัง ไม่ได้พูดถ้อยคำที่ถูกอ้างถึงในโพสต์ข่าวลวงที่แอบอ้างว่าเผยแพร่จากข่าวสดแต่อย่างใด  

ขณะที่เรื่อง ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน กล่าวชื่นชมกัน จอมพลัง โดยอ้างรายงานจากสำนักข่าว BBC ของอังกฤษนั้น รายงานของ ThaiPBS Verify วันที่ 26 ต.ค. 2568 ตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นข่าวลวง โดยทาง ThaiPBS ได้เข้าไปดูที่เว็บไซต์ทางการอย่าง bbc.com/news ใช้คำค้นหา “Vladimir Putin” (ส่วนผู้เขียนก็ลองค้นหาซ้ำ ณ วันที่ 4 พ.ย. 2568 หรือ 9 วันหลังจากรายงานของ ThaiPBS เผยแพร่ และนอกจาก Vladimir Putinแล้วยังค้นหาด้วยคำว่า “Thailand” ซึ่งไม่พบว่าในรอบ 2 เดือนล่าสุด (กันยายน – ตุลาคม และต้นเดือนพฤศติกายน 2568) มีข่าวที่ ปธน.ปูติน ได้กล่าวถึงกัน จอมพลังแต่อย่างใด

ภาพที่ 4 : ภาพและโพสต์อ้าง จูเลียส รอเบิร์ต ออปเพนไฮเมอร์ (Julius Robert Oppenheimer) นักฟิสิกส์ชาวอเมริกัน ผู้คิดค้นระเบิดปรมาณูในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่ปี ค.ศ.1967 หรือ พ.ศ.2510  มอบเงินสนับสนุน กัน จอมพลัง อินฟลูเอนเซอร์ชาวไทย และความเห็นเกี่ยวกับผู้ที่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง

จากปรากฏการณ์ โพสต์ข่าวลวงปั่นกระแสกรณีของกัน จอมพลัง จนมีคนเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงดร.สังกมา สารวัตร อาจารย์คณะเทคโนโลยีสารสนเทศเเละการสื่อสาร มหาวิทยาลัยศิลปากร อธิบายด้วยคำย่อ “P-I-N3” ที่ประกอบด้วย “P = Post-facts (ยุคหลังความจริง)” การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งและเทคโนโลยีด้านการสื่อสาร ที่สื่อมวลชนไม่ได้ผูกขาดหน้าที่ในฐานะนักวารสารศาสตร์แบบเดิมอีกต่อไป หน้าที่ในฐานะสถาบันบอกเล่าความจริงของสื่อถูกท้าทาย ข้อเท็จจริงกลายเป็นเรื่องที่ต่อรองกันได้  หรือกลายเป็นสิ่งที่สร้างเรื่องเล่า (Narrative)ขึ้นมาเองได้ โดยเฉพาะในยุคของการเล่าเรื่องผ่านเทคโนโลยีดิติทัล (Digital Story Telling)  

ในสถานการณ์โดยเฉพาะช่วงสงคราม หรือความขัดแย้งแหลมคม สิ่งที่ต้องแย่งชิงกันมากที่สุดคือการสร้างวาทกรรม สร้างการเล่าเรื่องของตัวเอง   ด้วยเหตุนี้การปั่นข่าวผ่านผู้ผลิตจะเป็นใครก็ได้ และการมีเทคโนโลยี AI-generated content (การสร้างเนิ้อหาด้วยปัญญาประดิษฐ์จะสะท้อนความจริงในยุคของ Post facts ได้อย่างชัดเจน

หากสนใจไปอ่านงานของนักวิจัยอินเดีย Chatterjee และ Krish Kkrishnan  ที่พบว่า ในสถานการณ์แหลมคมผู้คนจะพากันเชื่อเรื่องที่เราสะดวกจะเชื่อ หรือเชื่อนักการเมืองที่เราชื่นชอบโดยไม่สนใจอยู่ดีว่า ข้อเท็จจริง’ คืออะไรกันแน่ ซึ่งในงานวิจัยเขาค้นพบจริงๆว่าใน 170 ประเทศทั่วโลกต่างเป็นเช่นนี้หมด และแสดงออกในรูปแบบต่งๆกัน เช่น การแชร์เรื่องโฆษณาชวนเชื่อ การพูด Hate speech  การล่าแม่มดในโลกออนไลน์” ดร.สังกมา กล่าว

ต่อมาคือ I – Illiberal Democracy(ประชาธิปไตยที่ไม่เสรีจริง) ยุคปัจจุบันเป็นยุคที่โลกถูกท้าทายมากที่สุดยุคสมัยหนึ่งเลยทีเดียวทั้งความตึงเครียดทางการเมืองและนโยบายเศรษฐกิจ ประเทศต้นแบบประชาธิปไตยอย่างสหรัฐอเมริกาก็เกิดการสังหารชาร์ลี เคิร์ค เพียงเพราะความคิดเห็นแตกต่างกัน  ประเทศในยุโรปต่างได้รัฐบาลขวาจัด  รวมถึงประเทศในเอเชียอย่างญี่ปุ่นก็ด้วย อย่างในกรณีของกัน จอมพลัง แม้จะไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของฝ่ายใด (ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งฝ่ายตรงข้าม หรือฝ่ายอนุรักษ์นิยมด้วยกันเอง) แต่ที่แน่ๆ คือทำให้ได้เห็นว่าการสื่อสารในโลกยุคใหม่ที่การเล่าเรื่องด้วยวิถีดิจิทัล (Digital Storytelling) มีอิทธิพลอย่างสูงต่อวงการสื่อและต่อผู้รับสาร

แม้กระทั่งประเทศที่เคยเป็นประชาธิปไตยเข้มข้นอย่างสหรัฐฯ หรือยุโรปที่ตามปกตินิเวศสื่อจะเปิดพื้นที่ให้แสดงความเห็นมีแตกต่างหลากหลาย (Pluralism) แต่ปัจจุบันพื้นที่เปิดรับความขัดแย้ง การเปิดพื้นที่ให้ถกเถียง (Debate) ดูเหมือนจะคับแคบลงไป ผู้คนกอดติดอยู่กับอุดมการณ์หรือเรื่องเล่าของตนเอง (เข่น ความคิดห็นเชิงชาตินิยมสุดขั้ว) และความคิดเห็นขั้วตรงข้ามที่อาจไม่ได้มีพื้นที่ในสื่อกระแสหลักมากนัก หรือไม่ได้เป็นผู้ครอบงำ Narrative หลัก  ก็สะสมความคับข้องใจ จนปะทุเกิดความรุนแรงเกิดขึ้นได้ มีการใช้วิถีที่ไม่เป็นประชาธิปไตย คือแทนที่จะใช้พื้นที่สาธารณะดิจิตัลในการถกเถียงที่มีคุณภาพ แต่กลับใช้จนกระพือความเกลียดชังและความรุนแรง

สุดท้ายคือ “N3 ที่หมายถึง เศรษฐกิจแนวชาตินิยมแบบใหม่(New Economic nationalism)  นโยบายเศรษฐกิจใหม่(New Industrial Policy) และความมั่นคงใหม่( New National security)”โลกประชาธิปไตยและสื่อฝั่งประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมถูกท้าทายด้วย N ทั้ง 3 ตัวนี้ ในขณะที่เราสงสัยว่ากัน จอมพลังถูกป้ายสีจากปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (IO) ฝั่งไหนกันแน่?  ก็ต้องมาพิจารณาว่าบทบาทที่ผ่านมากัน จอมพลัง เหมือนเป็นตัวแทนหรือฮีโรในจินตนาการของฝั่งชาตินิยมที่สมาทาน N3 ดังกล่าว จะมากบ้างน้อยบ้างก็ตาม 

แต่แนวคิดใหม่ของ N3 ที่เป็นปรากฏการณ์เกิดขึ้นพร้อมๆกันแทบทั่วโลก  ทำให้ เนื้อสาร ที่กันจอมพลังสื่อสารออกมาได้รับความนิยมในกลุ่มคนที่ถูกปลุกเร้าทางอารมณ์จากสื่อมวลชนที่โหมเชื้อเพลิงความเกลียดชัง (กรณีกัมพูชา)พอดี ด้วยเหตุนี้องคาพยพอนุรักษฺ์นิยมในสังคมไทย รวมทั้ง IO ที่หา ตัวผู้ส่งสาร ที่อุดมการณ์สอดคล้องกันจึงทำให้เป็นการต่อจิ๊กซอว์ที่พอดีกัน  

การสร้างปรากฏการณ์เนื้อหาเชียร์กัน จอมพลังออกมาพรั่งพรูอย่างไม่น่าเชื่อว่าผู้คนจะเชื่อตามได้ง่ายๆ แต่ก็เชื่อไปแล้วเพราะไปเข้าล๊อคกับอุดมการณ์ ทั้ง 3 ตัวที่ปูพรมความรู้สึกมาระยะเวลาหนึ่ง แนวทางของคุณกันสอดคล้องกับกลุ่มที่เสนอกรอบโครงการทางการเมือง (Political project) สุดโต่งเข้มข้นของนโยเแบบ 3ในมิติประชาชนทั่วไปที่รับสารลักษณะนี้ พวกเขาก็พร้อมที่จะเชื่อ พร้อมที่จะแชร์ รวมถึงพร้อมที่จะเล่นงานคนที่เห็นต่างในโซเชียลด้วย ดร.สังกมา อธิบาย

ภาพที่ 5 : (ซ้าย) ดร.สังกมา สารวัตร , (ขวา)ผศ.ดร.สกุลศรี ศรีสารคาม
ขอบคุณภาพจาก : ICT Silpakorn , iSAB

ขณะที่ ผศ.ดร.สกุลศรี ศรีสารคาม อาจารย์ภาควิชาวารสารสนเทศ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ปัจจุบันสื่อสังคมออนไลน์ถูกใช้เป็นเครื่องมือต่อสู้กันทางความคิด – ความเชื่อ ซึ่งข้อมูลประเภท เร้าอารมณ์ (Emotional)”สามารถดึงคนเข้ามาสู่ประเด็นได้ ทำให้คนที่มีชุดความคิดแตกต่างกันตอกย้ำในแต่ละชุดความคิดได้ นำไปสู่การรวมกลุ่มของความคิดนั้นและมีส่วนร่วมได้ชัดเจน ซึ่งก็จะเป็นประโยชน์กับคนที่ต้องการใช้มวลชนเพื่อสนับสนุนทิศทางของตนเอง 

และไม่ว่าข้อมูลที่ถูกเผยแพร่ทั้งจากชุดความคิดที่เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับเรื่องนั้น เมื่อข้อมูลมีปริมาณมากเข้า ก็ทำให้คนส่วนหนึ่งเชื่อว่ามีคนเห็นด้วย (หรือไม่เห็นด้วย) กับตนเองเป็นจำนวนมาก กลายเป็นภาพจำลองของโลกออนไลน์ว่าใครสนับสนุนหรือไม่สนับสนุนประเด็นดังกล่าว ในขณะที่การแสดงความคิดเห็น เชื่อว่ามีทั้งทำไปโดยบริสุทธิ์ใจ และที่ทำเพราะพวกมากลากไปหรือถูกกระตุ้นโดยวาทกรรมบางอย่าง 

ประการต่อมา มีหลายความเห็นที่กล่าวถึงคนที่หลงเชื่อในทำนอง นี่ไงกลุ่มเป้าหมายขอแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือ เนื้อหาแบบนี้ก็ดี..วัดความรู้ด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของคนได้ ประเด็นนี้มองว่า เมื่อมีเรื่องของอารมณ์และมีกลิ่นของความกลียดชังปนอยู่ด้วย ก็เป็นไปได้ที่เมื่อโพสต์แสดงความคิดเห็นจะออกมาในรูปแบบการด่าทอ ลดทอนศักดิ์ศรีหรือคุณค่าของอีกฝ่าย ทำให้การแสดงความคิดเห็นที่ควรจะสร้างสรรค์ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้ถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) และไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาใดๆ 

สมมติเรื่องการบริจาคหรือการเชื่อมโยงมันเป็นปัญหาจริงๆ ที่ต้องแก้ไข แต่คอมเมนต์ของคุณมันไม่ทำให้แก้ไขอะไรเลยถ้าคอมเมนต์แบบนี้ ก็คือแค่เอาอารมณ์สาดกัน แล้วเดี๋ยวพอจังหวะมันหายไปมันก็ผ่านไป แต่สิ่งที่ทิ้งไว้คือการแบ่งแยกคนออกจากกัน การทำให้สังคมมันมีแต่อารมณ์ แต่คนลืมใช้เหตุผลในการพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบด้าน ดังนั้นจุดที่เป็นปัญหาและอยากให้แก้ไข สุดท้ายจะไม่ถูกแก้ไขเลย มันก็แค่ฉันเกลียดเธอ ฉันไม่ชอบเธอ แล้วก็จบไป แล้วเวลามีเรื่องของเธอมาฉันก็เกลียดเธอ ไม่ชอบเธออีก แต่มันก็จะมีวงจรแบบนี้ใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นต่อไป ผศ.ดร.สกุลศรี กล่าว 

สำหรับบทบาทของแต่ละฝ่ายที่ควรจะเป็น ผศ.ดร.สกุลศรี ไล่เรียงตั้งแต่ 1.สื่อมวลชน ต้องระมัดระวังการดึงข้อมูลประเภทอารมณ์ความรู้สึกมานำเสนอเป็นข่าว ซึ่งเป็นการโยนเชื้อไฟกลับเข้าไปในสังคมและไม่เกิดประโยชน์ สิ่งที่สื่อควรทำคือเฝ้ามองความคิดเห็นต่างๆ ดูว่าอะไรมีข้อเท็จจริงของประเด็นหรือความเดือดร้อนแล้วนำมาต่อยอดขยายความ ก็จะทำให้ประเด็นนั้นไปข้างหน้าได้ แต่ที่เห็นกว่าครึ่งคือสื่อนำเสนอดราม่าวนเวียน สื่อจึงกลายเป็นเพียงผู้เล่นในวงจรดราม่าแต่ไม่ได้แก้ปัญหาอะไร 

2.แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ ที่ผ่านมาก็มีความพยายามเรียกร้องให้แพลตฟอร์มช่วยกลั่นกรองเนื้อหา แต่เชื่อว่าแพลตฟอร์มคงไม่ทำ เพราะยิ่งคนมีส่วนร่วม (Engage) มากแพลตฟอร์มก็ได้ประโยชน์ อย่างการออกมาผลิตเนื้อหา (Content) ตามกระแส บางคนที่ทำก็ไม่ได้มีประเด็นอะไรกับปัญหานั้นแต่ทำเพราะมีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก คนที่ผลิตเนื้อหานั้นก็ได้ยอดการมีส่วนร่วม คือแพลตฟอร์มใช้อัลกอริทึมบีบด้วยยอดการมีส่วนร่วม แม้จะมีข้อกำหนดชุมชน (Community Guideline) แต่ถามว่ารายงานไปแล้วแพลตฟอร์มจัดการอะไรหรือไม่ 

3.ภาครัฐ หากจะให้ภาครัฐใช้กฎหมายกวาดล้างก็คงทำไม่ได้เพราะจะกลายเป็นการปิดกั้น ดังนั้นสิ่งที่รัฐทำได้ ในกรณีเป็นข้อมูลจากหน่วยงานของรัฐเองก็ต้องเผยแพร่อย่างโปร่งใสตรวจสอบได้และตรงไปตรงมา เพราะหากให้ข้อมูลกำกวมไม่เข้าใจก็จะถูกนำไปบิดเบือน นอกจากนั้นควรลงทุนสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนในการรู้เท่าทัน (Literacy) อย่างเป็นระบบ ไม่ใช่เพียงจัดเวิร์กช็อปแล้วก็ผ่านไป ต้องสร้างความเข้าใจตั้งแต่ยังเป็นวัยเด็ก ไม่ใช่เพียงการแยกแยกข่าวลวง แต่ต้องแยกแยะระหว่างอารมณ์ ความเห็น ข้อมูลข้อเท็จจริงให้ได้   

4.ประชาชนทั่วไปที่ใช้สื่อสังคมออนไลน์ นอกจากมีความรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) แล้วยังต้อง รู้เท่าทันอารมณ์ (Emotional Literacy)” ด้วย กล่าวคือ ต้องเข้าใจว่า สื่อดิจิทัลเล่นกับอารมณ์ความรู้สึก” แต่ละคนต้องรู้จักจัดการกับอารมณ์ของตนเองไม่ให้ถูกเนื้อหาทางออนไลน์ เพราะเมื่อตัวเราเห็นเนื้อหาที่ตรงกับทัศนคติ เราก็จะอินกับมันมากแล้วอารมณ์ก็จะเกิดขึ้นได้ง่าย จึงต้องถามตนเองด้วยว่าเรารู้เรื่องราวทั้งหมดหรือไม่ เราอาจมีข้อสงสัยได้แต่ก็ไม่จำเป็นต้องกระโจนลงไปเล่นกับอารมณ์ความรู้สึกแบบนั้นเพราะสุดท้ายก็ไม่เกิดผลดีอะไรขึ้นมา 

หลายเรื่องที่เกิดขึ้นมาบนโลกโซเชียลแล้วเป็นประเด็นทางสังคม เป็นปัญหาที่มีอยู่ในสังคมจริงๆ แต่พอเราไม่มี Emotional Literacy ที่จะจัดการกับอารมณ์แล้วใช้เหตุผลต่อเรื่องนั้น มันทำให้ปัญหานั้นถูกใช้เป็นเครื่องมือของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแต่ไม่ได้ถูกแก้ปัญหา แล้วข่าวปลอมหรือแม้แต่ข้อมูลบิดเบือนต่างๆ ก็จะถูกนำมาใช้เต็มไปหมด จนตอนนี้บางคนแยกไม่ออกแล้วว่าอะไรคือเรื่องจริง คือข้อมูล คือความเห็น ซึ่งอันนั้นจะเป็นปัญหามากๆ เพราะคนก็จะไม่เกิดการเรียนรู้ในสิ่งที่จำเป็น กลายเป็นฉันก็เชื่อแค่ตามความคิดของฉัน ผศ.ดร.สกุลศรี ฝากข้อคิด  

ต้องชี้แจงไว้ตรงนี้ด้วยว่าผู้เขียนไม่ใช่ FC ที่มาชี้แจงแทนคุณกัน จอมพลัง แต่เห็นว่าปรากฏการณ์ปั่นกระแสข่าวลวงสารพัดบุคคลมามอบรางวัลหรือกล่าวชื่นชม แม้หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องประชดขำขันที่น่าจะดูออกง่ายๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีคนบางส่วนที่เชื่อไปแล้วว่าเป็นเรื่องจริง อีกทั้งการที่มีคนอีกส่วนหนึ่งเย้ยหยันคนที่หลงเชื่อแทนที่จะอธิบายเพื่อหักล้างว่าข้อมูลนั้นเป็นข่าวลวงอย่างไร ก็ยิ่งทำให้เห็นว่าข้อมูลลวงเหล่านี้ไม่ได้เป็นประโยชน์ในการทำให้ระบบนิเวศโลกออนไลน์น่าอยู่ขึ้น 

ตรงกันข้ามกลับเป็นการสุมไฟอารมณ์และซ้ำเติมความขัดแย้งแตกแยกในสังคมให้ร้าวลึกกว่าเดิม!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

https://www.prd.go.th/th/content/category/detail/id/39/iid/434865 (ไทย-กัมพูชา ลงนามถ้อยแถลงเพื่อนำไปสู่สันติภาพ โดนัลด์ ทรัมป์ – อันวาร์ ร่วมเป็นสักขีพยาน : กรมประชาสัมพันธ์ 27 ต.ค. 2568)

https://www.tnnthailand.com/politics/215965/ (สรุปสถานการณ์ชายแดนล่าสุด กองทัพไทย – กัมพูชา ถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ : TNN 1 พ.ย. 2568)

https://cofact.org/article/2xn4cmndc8yvv

https://bushoojapan.com/bushoo/takeda/2025/04/11/112072 (武田信玄の生涯|最強の戦国大名と名高い53年の事績を史実で振り返る : Bushoojapan 11 เม.ย. 2568) 

https://bushoojapan.com/bushoo/takeda/2024/10/19/105247 (武田義信の生涯|30歳の若さで亡くなった信玄の嫡男 父と対立した理由は妻と母? : Bushoojapan 10 ต.ค. 2567)

https://www.guillaumeerard.com/aikido/interviews/interview-with-takeda-yoshinobu-shihan (Interview with Takeda Yoshinobu Shihan, 8th dan : Guillaume Erard 2 พ.ค. 2568)

http://www.aikikai.or.jp/sp/search/detail.html?lang=JP&id=834 (A.K.I.本部武田道場)

https://takedadojo.com

https://www.pref.osaka.lg.jp/o190010/senkan/r7sangiinn/toukaihyou.html (投開票結果調(第27回参議院議員通常選挙): 22 ส.ค. 2568)

https://www.pref.osaka.lg.jp/documents/113159/00toukaisenkyoku_1.pdf

https://www.thaipbs.or.th/verify/en/content/6435 (Fact-checked: A post shared over 1,000 times claiming, “Putin praises Thai hero ‘Kan Jompalang,’” is part of scam that tricks users into paid monthly subscription. : ThaiPBS Verify 26 ต.ค. 2568)

https://www.justjared.com/2025/04/01/leonardo-dicaprio-joins-one-battle-after-another-co-stars-regina-hall-teyana-taylor-at-cinemacon-2025/ (Leonardo DiCaprio Joins ‘One Battle After Another’ Co-Stars Regina Hall & Teyana Taylor at CinemaCon 2025 : Just Jared 1 เม.ย. 2568)

https://www.youtube.com/watch?v=JB5wS2BCmug&t=9854s (Live “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” 20 ตุลาคม 2568 : สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว)

ตรวจสอบ 4 เนื้อหาเท็จ ที่ปลุกปั่นความเกลียดชัง “อังคณา นีละไพจิตร”  

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค

หลังจากที่อังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภาและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนโพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 12 ต.ค. 2568 แสดงความกังวลกรณีกัมพูชาส่งจดหมายฟ้องสหประชาชาติเรื่องไทยเปิดเสียงโหยหวนผ่านลำโพงขนาดใหญ่รบกวนชาวบ้านกัมพูชากลางดึก เธอก็ตกเป็นเป้าของการสร้างความเกลียดชัง ทั้งด้วยประทุษวาจาและเนื้อหาเท็จโดยผู้ใช้โซเชียลมีเดียและสื่อมวลชน

โคแฟคตรวจสอบเนื้อหาเท็จ 4 ประเด็น ที่อังคณาเผชิญในช่วงสามสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งมีทั้งเนื้อหาเท็จวนซ้ำที่สร้างความบอบช้ำให้เธอและครอบครัวนีละไพจิตรมาตลอดหลายปี และเนื้อหาที่สร้างขึ้นใหม่ในบริบทสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา เพื่อปลุกปั่นความเกลียดชังต่อนักต่อนักสิทธิมนุษยชน

1) บิดเบือนโพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง “ซาวด์หลอน” และคำให้สัมภาษณ์เรื่อง “F-16”

บิดเบือนข้อความในเฟซบุ๊ก

วันที่ 12 ต.ค. 2568 อังคณาโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “Angkhana Neelapaijit” (ลิงก์บันทึก) ใจความสำคัญเป็นการแปลหนังสือร้องเรียนที่ประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนกัมพูชาส่งถึงข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชน สหประชาชาติ เมื่อวันที่ 11 ต.ค. 2568 คำแปลระบุว่า

“…หน่วยทหารแห่งราชอาณาจักรไทยได้กระจายเสียงที่มีลักษณะคล้ายเสียงโหยหวนของภูตผีผ่านลำโพงขนาดใหญ่ ตั้งแต่เวลา 22.44 น. จนถึงเวลา 00.04 น. จากนั้นได้เปิดเสียงเครื่องยนต์อากาศยานต่อเนื่อง ตั้งแต่เวลา 03.22 น. ถึงเวลา 03.53 น. โดยจงใจส่งเสียงไปยังชาวบ้านกัมพูชาในพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งมีเจตนาเพื่อรบกวนและข่มขวัญ เสียงเหล่านี้ ซึ่งถูกอธิบายว่าเป็นเสียงดังแหลมสูงและต่อเนื่องเป็นเวลานาน ได้สร้างความเดือดร้อนในการนอนหลับก่อให้เกิดความวิตกกังวลและสร้างความไม่สบายทางร่างกายในหมู่ชาวบ้าน รวมถึงสตรี เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย และคนพิการ การกระทำที่เป็นปฏิปักษ์และยั่วยุในลักษณะเช่นนี้ไม่เพียงเป็นอันตรายต่อสุขภาพกายและใจของพลเรือนกัมพูชาเท่านั้น แต่ยังอาจนำไปสู่การยกระดับความตึงเครียดระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้าน การกระทำดังกล่าวไม่มีในสังคมอารยะใด ๆ และขัดแย้งโดยตรงกับหลักการของกฎบัตรสหประชาชาติ…”

นอกจากคำแปลจดหมายของกัมพูชา อังคณาได้เขียนแสดงความเห็นว่า “ในช่วงความขัดแย้ง/สงคราม การปล่อยให้ #อินฟลู หรือกลุ่มบุคคลเข้าไปกระทำการเพื่อสร้างความกดดันหรือความหวาดกลัว ถือเป็นความท้าทายอย่างมากต่อรัฐบาลโดยเฉพาะ รมต. ต่างประเทศ ถึงแนวทางการแก้ปัญหาเพื่อหาทางออกร่วมกัน รัฐบาลไทยควรตระหนักว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นถูกรายงานไปยังองค์การสหประชาชาติ” และ “รัฐบาลควรตระหนักว่า การกระทำใด ๆ ที่ทำให้เกิดความหวาดกลัวหรือส่งผลกระทบต่อจิตใจของพลเรือนแม้จะเป็นคู่ขัดแย้งในสงคราม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง อาจเข้าข่าย #การทรมานทางจิตวิทยา (Psychological Torture) ตามอนุสัญญา CAT ที่ประเทศไทยเป็นภาคี อยากฟังว่ารัฐบาลจะชี้แจงเรื่องนี้อย่างไรในเวทีระดับโลก”

สาเหตุหนึ่งที่โพสต์เฟซบุ๊กนี้ทำให้อังคณาถูกโจมตีอย่างรวดเร็วและรุนแรงเป็นเพราะมีการนำไปเผยแพร่ต่อในลักษณะที่ทำให้เกิดความเข้าใจว่าอังคณา “ปกป้อง/เห็นใจชาวกัมพูชา” และ “โจมตีการเปิดเสียงดังรบกวนพลเรือนกัมพูชา” เช่น

  • เฟซบุ๊ก “ข่าวช่องวัน” พาดหัวข่าวว่า “อังคณาค้านอินฟลูฯ จุ้นเรื่องชายแดน”
  • คอลัมน์นิสต์หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ระบุว่า สว.อังคณา “ออกมาตำหนิเรื่องที่ฝั่งไทยเปิดเสียงโหยหวนผ่านลำโพงให้ฝั่งเขมรฟัง”
  • บัญชี X “เจ๊จุก คลองสาม” โพสต์ข้อความว่า สว. อังคณา “ออกมาโจมตีการเปิดเสียงโหยหวยในยามค่ำคืนที่ชายแดนเขมรของกัน จอมพลัง ว่าไม่สมควร เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน”

การบิดเบือนข้อความในโพสต์เฟซบุ๊กในลักษณะนี้ ทำให้อังคณากลายเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรงกับ “กัน จอมพลัง” อินฟลูเอนเซอร์ผู้จัดกิจกรรม “เปิดซาวด์หลอน” ซึ่งเป็นการโหมกระพือความไม่พอใจและความเกลียดชังอังคณาให้รุนแรงยิ่งขึ้น

อังคณาพยายามอธิบายหลายครั้งว่า ข้อความที่โพสต์เป็นคำแปลหนังสือร้องเรียนที่คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนกัมพูชาส่งถึงสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนฯ ไม่ใช่คำพูดของเธอ วัตถุประสงค์ที่แปลมาก็เพื่อเตือนรัฐบาลว่าทางกัมพูชามีความเคลื่อนไหวแบบนี้ และการกระทำใดที่กระทบต่อพลเรือนในพื้นที่ขัดแย้งจะถูกนำไปร้องเรียนในระดับนานาชาติ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อไทย

“…ไม่ใช่การแสดงความเห็น แต่แปลและโพสต์ให้ดูว่ามีการร้องเรียนเรื่องที่ไปเปิดเสียง…ส่วนตัวไม่ได้วิจารณ์ว่าใครผิดใครถูก แค่แปลและตั้งข้อสังเกต แสดงความกังวล และมองว่าเป็นสถานการณ์ที่ท้าทายต่อการทำงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ต่อการที่กัมพูชาร้องเรียนเขมรในเรื่องนี้” อังคณากล่าวในรายการ “เปิดปากกับภาคภูมิ” ช่องไทยรัฐทีวีเมื่อวันที่ 13 ต.ค.

ตัดทอนและบิดเบือนคำให้สัมภาษณ์

ช่วงค่ำวันที่ 12 ต.ค. สถานีโทรทัศน์ช่อง 8 นำเสียงสัมภาษณ์อังคณา ความยาวประมาณ 2.20 นาที มาออกอากาศในรายการ “ลุยชนข่าว” ช่วงแรกอังคณาอธิบายถึงเนื้อหาของโพสต์เฟซบุ๊กที่ถูกวิจารณ์ ช่วงหลังผู้สื่อข่าวถามความเห็นต่อกรณีที่เธอถูกกล่าวหาว่าไม่เคยออกมาพูดอะไรตอนที่กัมพูชายิงจรวด BM21 มาตกใส่ปั๊มน้ำมันใน จ.ศรีสะเกษ ทำให้พลเรือนไทยบาดเจ็บและเสียชีวิต

อังคณาตอบว่า “อันนี้ไม่จริงเลยนะคะ ตอนที่มีการยิงเข้ามาในประเทศไทย คือตอนนั้นคนทำงานด้านสิทธิมนุษยชนก็กังวลมาก และอันนี้พูดตรง ๆ ตอนที่ประเทศไทยใช้ F-16 ยิงเข้าไปในประเทศกัมพูชา ประเทศเขาก็ได้รับความสูญเสียไม่น้อยทีเดียว เพราะ F-16 ก็มีประสิทธิภาพสูงมากเลยนะคะ”   

ต่อมาสื่อมวลชนและผู้ใช้โซเชียลมีเดียในไทยได้ตัดทอนคำให้สัมภาษณ์ของอังคณาเหลือเพียงข้อความที่พูดถึงการใช้ F-16 ตอบโต้กัมพูชา เช่น เพจเฟซบุ๊ก “คมชัดลึก” โพสต์ข้อความ “โหมไฟแรง? ‘สว.อังคณา’ ตอบสื่อ ปมเขมร โจมตีปั๊มฯ แต่คำตอบที่ได้คือ” ประกอบภาพคำพูดของอังคณาว่า “พูดตรง ๆ ตอนที่ประเทศไทยใช้ F-16 ยิงเข้าไปในประเทศกัมพูชา ประเทศเขาก็ได้รับความสูญเสียไม่น้อยทีเดียว” โพสต์นี้มีผู้เข้ามาคอมเมนต์มากกว่า 31,400 ครั้ง (ณ วันที่ 11 พ.ย.) ส่วนใหญ่โจมตีอังคณา และแชร์มากกว่า 3,500 ครั้ง (ลิงก์บันทึก) และยัง

หลังจากนั้นสื่อกัมพูชาก็นำข้อความที่ถูกตัดทอนนี้ไปบิดเบือนว่า สว.อังคณา “ยอมรับว่าไทยโจมตีกัมพูชาก่อน และใช้เครื่องบิน F-16 ทิ้งระเบิดใส่กัมพูชา” เช่น TNAOT, Kampuchea Thmey และ Troryorng TV ทั้งที่ในความเป็นจริง อังคณาไม่ได้พูดว่า “ไทยโจมตีกัมพูชาก่อน” เลย

การบิดเบือนคำพูดโดยสื่อกัมพูชาได้โหมกระพือความไม่พอใจและความเกลียดชังอังคณาให้รุนแรงยิ่งขึ้น บรรดาอินฟลูเอ็นเซอร์และผู้ใช้โซเชียลมีเดียต่างตำหนิด่าทออังคณาว่าเป็นฝ่ายหยิบยื่นคำพูดให้ฝ่ายกัมพูชานำไปบิดเบือน

ทั้งนี้ทางกองทัพบกไทยได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้การบิดเบือนของสื่อกัมพูชาโดยระบุว่า “จากกรณีที่สื่อกัมพูชานำเสนอข่าวโดยระบุว่านางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภาไทย ‘ออกมายอมรับกับสื่อว่าไทยใช้เครื่องบินขับไล่ F-16 ทิ้งระเบิด MK-84 โจมตีกัมพูชาก่อน’ ซึ่งเมื่อตรวจสอบพบว่า เป็นการนำคำพูดของนางอังคณาที่กล่าวว่า ‘การใช้ F-16 ของไทยโจมตีกัมพูชาก็ทำให้กัมพูชาได้รับความสูญเสียไม่น้อย’ มาบิดเบือนและสร้างเนื้อหาข่าวให้เกิดความเข้าใจผิดในสังคม”

ตัวอย่างสื่อกัมพูชาที่นำคำพูดของอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา ไปบิดเบือน

2) ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับทนายสมชาย นีละไพจิตร

ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับทนายสมชาย นีละไพจิตร ถูกผลิตและเผยแพร่มานานหลายปี และคราวนี้ก็กลับมาอีกครั้งเพื่อสร้างความเกลียดชังอังคณาผู้เป็นภรรยา ทั้งในลักษณะการให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับเหตุการณ์และคดีความ รวมถึงการนำโศกนาฏกรรมของบุคคลที่ถูกบังคับสูญหายมาเยาะเย้ยถากถางในเชิงตลกขบขัน เช่น 

  • เพจเฟซบุ๊ก “เสธPlay” ผู้ติดตามเกือบ 1.2 แสนราย โพสต์ข้อความว่า “อ่านโพสต์นางคนนี้แล้ว รู้สึกในใจอย่างเดียวว่า ตอนนั้นพวกผู้ก่อการไม่น่าเอาไปแค่ทนายสมชาย” (ลิงก์บันทึก)
  • บัญชี X “เจ๊จุก คลองสาม” โพสต์ข้อความว่า “…เรื่องที่ผัวมันหายไป จริงๆ อาจจะไม่ได้ตายก็ได้นะ แต่หายไปมีเมียใหม่” (ลิงก์บันทึก)
  • บัญชี X “นอนอ” โพสต์ข้อความว่า “ความลับที่แท้จริงคือ ทนายสมชายไม่ได้ตาย ตอนนี้อยู่มาเลเซีย ภายใต้การดูแลของลูกชายนายอันวา (อดีตนายกฯมาเลฯ) ซึ่งเป็นหัวหน้าก่อการร้ายภาคใต้เป็นแผนเพื่อทำลายประเทศไทย” และทั้งหมดนี้อังคณาทราบดี (ลิงก์บันทึก)

เกิดอะไรขึ้นกับทนายสมชาย?

โคแฟคสรุปข้อมูลเกี่ยวกับการบังคับสูญหายทนายสมชายและคำพิพากษาของศาลในคดีนี้ โดยเรียบเรียงจากรายงานของคณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล รายงานข่าวของสื่อมวลชน และปาฐกถา 14 ตุลาคม 2563 หัวข้อ “สิทธิมนุษยชนที่สูญหาย การไม่มีอยู่ และวัฒนธรรมไร้ยางอายในการรับผิดของรัฐ” โดยอังคณา นีละไพจิตร ดังนี้ 

สมชาย นีละไพจิตร เป็นทนายความสิทธิมนุษยชนที่ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ผู้ต้องหาคดีความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เขาถูกอุ้มหายไปขณะอายุ 53 ปี

คำให้การของประจักษ์พยานในชั้นศาลระบุว่า วันที่ 12 มี.ค. 2547 เวลาประมาณ 20.00 น. ทนายสมชายขับรถยนต์ออกจากซอยรามคำแหง 65 ไปตาม ถ.รามคำแหง เวลาประมาณ 20.30 น. รถยนต์ที่ตามหลังมาได้เฉี่ยวชนรถของทนายสมชาย เขาจึงลงจากรถมาพูดคุยกับชาย 5 คนที่โดยสารมากับรถที่มาเฉี่ยวชน ระหว่างนั้นก็ถูกผลักเข้าไปในรถคันดังกล่าว เวลาต่อมามีผู้พบรถยนต์ของทนายสมชายจอดทิ้งไว้ที่ ถ.กำแพงเพชร ใกล้สถานีขนส่งหมอชิต    

การลักพาตัวทนายสมชายเกิดขึ้นเพียงสองวันก่อนที่เขามีกำหนดการเดินทางไป จ.นราธิวาส เพื่อยื่นหนังสือต่อทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เพื่อเรียกร้องให้ยกเลิกกฎอัยการศึกในจังหวัดชายแดนภาคใต้

ระหว่างวันที่ 8-29 เม.ย. 2547 ศาลอาญาออกหมายจับตำรวจ 5 นาย ฐานร่วมกันปล้นทรัพย์นายสมชายและข่มขืนใจโดยใช้กำลังประทุษร้ายให้นายสมชายเข้าไปในรถ สามในห้าผู้ต้องหาเป็นตำรวจที่อยู่ในชุดสอบสวนคดีปล้นอาวุธปืนที่ค่ายปิเหล็ง จ.นราธิวาส เหตุเกิดเช้ามืดวันที่ 4 ม.ค. 2547 หนึ่งในนั้นคือ พ.ต.ต. เงิน ทองสุก ตำรวจสังกัดกองบังคับการปราบปราม

อังคณา ซึ่งนิยามตัวเองว่า “เป็นเพียงหญิงสามัญที่ไม่มีใครรู้จัก” ได้ออกมาเรียกร้องความยุติธรรมและต่อสู้คดีที่กินเวลายาวนานนับสิบปี โดยศาลชั้นต้นอนุญาตให้ครอบครัวเป็นโจทก์ร่วมกับอัยการในคดีนี้

ศาลชั้นต้นเริ่มการพิจารณาคดีเมื่อวันที่ 12 ก.ค. 2548 ใช้เวลาราว 4 เดือนกว่าก็มีคำพิพากษาในวันที่ 12 ม.ค. 2549 ให้จำคุก พ.ต.ต.เงิน จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 3 ปี ในข้อหาข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดหรือไม่กระทำการใดโดยใช้กำลังประทุษร้าย แต่อนุญาตให้ประกันระหว่างอุทธรณ์ ขณะที่จำเลยอีก 4 คน ศาลยกฟ้อง เนื่องจากไม่มีหลักฐานเพียงพอ

อังคณาอุทธรณ์ แต่ระหว่างอุทธรณ์นั้น วันที่ 19 ก.ย. 2551 ตำรวจรายงานว่า พ.ต.ต.เงิน หายตัวไปในเหตุการณ์โคลนถล่มและศาลแพ่งได้ประกาศให้ พ.ต.ต. เงิน เป็นบุคคลสาบสูญ

วันที่ 11 มี.ค. 2554 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้อง พ.ต.ต.เงิน จำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยอื่นพิพากษายืนยกฟ้องตามศาลชั้นต้น และไม่อนุญาตให้ครอบครัวเป็นโจทก์ร่วมในคดีต่อไป

อังคณายื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา วันที่ 29 ธ.ค. 2558 ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ คือ ยกฟ้องผู้ต้องหาที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 5 นาย  

อังคณากล่าวในงานปาฐกถา 14 ตุลาคม 2563 ว่า “ด้วยความเคารพต่อศาล แต่ดิฉันมิอาจเห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่พิพากษาว่า ‘ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติว่าสมชาย นีละไพจิตรถูกคนกลุ่มหนึ่งบังคับขึ้นรถนำตัวไป’ แม้มีผู้เห็นเหตุการณ์มากมาย แต่ประจักษ์พยานต่างถูกคุกคามจนไม่กล้ายืนยันผู้ต้องหาในชั้นศาล พยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่เจ้าหน้าที่ชั้นสอบสวนยืนยันว่ามีหลักฐานมากมาย แต่กลับไม่ปรากฏพยานหลักฐานในชั้นศาล และสุดท้ายแม้คำพิพากษาของศาลจะยืนยันเป็นที่ยุติว่ามีคนกลุ่มหนึ่งเอาตัวสมชายไป แต่กฎหมายกลับทำอะไรไม่ได้เลย กฎหมายไม่สามารถคุ้มครองเหยื่อของอาชญากรรมโดยรัฐในลักษณะนี้ได้เลย”

ขณะที่คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (ICJ) ระบุว่า แม้ว่ารัฐบาลไทยจะจ่ายค่าชดเชยแก่ครอบครัวนีละไพจิตรโดยถือว่านายสมชายเป็นบุคคลสาบสูญ “แต่ความล้มเหลวในการสร้างความกระจ่างเกี่ยวกับการบังคับนายสมชายให้สูญหายนั้นขัดแย้งกับคำประกาศเจตจำนงโดยนายกรัฐมนตรีในหลายสมัย รวมทั้งอัยการสูงสุดและเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องว่าจะแสวงหาความยุติธรรมหรืออย่างน้อยที่สุดโดยการทำความจริงให้ปรากฏ”

ดังนั้นเนื้อหาในโซเชียลมีเดียที่อ้างว่าทนายสมชายถูกผู้ก่อการร้ายสังหาร หรือยังมีชีวิตอยู่ในต่างประเทศ หรือตั้งใจทิ้งภรรยาและครอบครัวไป จึงเป็นคำกล่าวอ้างที่เลื่อนลอยและไม่ตรงกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ได้ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติว่าทนายสมชายถูกคนกลุ่มหนึ่งบังคับขึ้นรถนำตัวไป แต่ศาลยกฟ้องเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 5 นายที่เป็นจำเลยในคดีนนี้เนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอ

3) นักสิทธิมนุษยชนปกป้องแต่คนเขมร ไม่ปกป้องคนไทย

หนึ่งในข้อกล่าวหาที่นำมาโจมตีอังคณาในกรณีไทย-กัมพูชา คือ นักสิทธิมนุษยชนไม่เคยออกมาพูดอะไรตอนที่กัมพูชาโจมตีไทยจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ เช่น

  • บัญชีติ๊กต็อก “yaaikinv11” โพสต์คลิปเมื่อวันที่ 15 ต.ค. กล่าวโจมตีอังคณาซึ่งเธอเรียกว่า “ป้าอังขแมร์” ว่า “ป้าอังขแมร์เห็นใจชาวเขมรที่โดนคลิปเสียงผีจากฝั่งประเทศไทย ป้าอังขแมร์สงสารชาวเขมรที่โดน F-16 จากประเทศไทย แต่ป้าอังขแมร์ไม่เคยออกมาแสดงความเห็นอกเห็นใจพี่น้องประชาชนคนไทยที่ต้องสูญเสียชีวิต หรือแม้กระทั่งทหารหาญที่สูญเสียขาจากระเบิด และสูญเสียชีวิตจากการรบที่ผ่านมาเลย…”
  • บัญชี X “Ton Patiwat” โพสต์ข้อความเมื่อวันที่ 15 ต.ค. ว่า “ไปดูเฟซบุ๊กอังคณาย้อนหลัง…ไม่มีสักโพสต์เดียวที่ประณามพฤติกรรมกัมพูชา ที่เข่นฆ่าชาวไทยด้วยจรวดในช่วง 24-28 กรกฎาคม 2568”
  • บัญชีเฟซบุ๊ก “Jo Montanee” โพสต์ข้อความว่า “คุณเธอเงียบสนิทเมื่อแม่คนไทยกอดลูกหลบระเบิดกัมพูชาแล้วตายคา 7/11 เธอยังเงียบเมื่อทหารกล้าขาขาดพิการจากการลอบวางระเบิดของกัมพูชา ชาติที่คุณเธอปกป้อง เธอยังกล้าเอาเงินภาษีคนไทยไปเป็นเงินเดือนตัวเองเดือนละหลายแสนบาท เพื่ออะไร” (ลิงก์บันทึก)

โคแฟคตรวจสอบพบว่าอังคณาเคยประณามกัมพูชาเรื่องการวางกับระเบิด โดยเธอได้โพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 23 ก.ค. เรียกร้องให้กัมพูชาเคารพหลักมนุษยธรรมและยึดแนวทางสันติวิธีในการแก้ปัญหาความขัดแย้งชายแดน

“การใช้กับระเบิดในพื้นที่ช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เป็นเรื่องที่สมควรถูกประณาม ทั้งนี้ ทั้งไทยและกัมพูชาต่างเป็นประเทศที่ให้สัตยาบันอนุสัญญาออตตาวา (Ottawa Treaty) ซึ่งเป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการ ห้ามใช้ สะสม ผลิต และถ่ายโอนทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (anti-personnel landmines) กัมพูชาจึงต้องเคารพและปฏิบัติตามอนุสัญญาอย่างเคร่งครัด” อังคณาระบุในโพสต์เฟซบุ๊ก

นอกจากนี้ วันที่ 4 ส.ค. 2568 อังคณาให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวที่รัฐสภาถึงการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย-กัมพูชาที่ประเทศมาเลเซีย โดยวิจารณ์การกระทำของกัมพูชาที่อาจเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง และเสนอให้คณะผู้แทนไทยกำชับกัมพูชาให้ปฏิบัติตามข้อตกลง

ในส่วนของการเหตุปะทะระหว่างวันที่ 24-28 ก.ค. ที่ทำให้พลเรือนและทหารไทยเสียชีวิตจากอาวุธของกัมพูชานั้น อังคณาไม่ได้โพสต์เฟซบุ๊กหรือให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนี้โดยตรงก็จริง แต่เธออธิบายว่าในสถานการณ์ขณะนั้น กองทัพไทยได้ตอบโต้กัมพูชาอย่างได้สัดส่วนแล้ว และนักสิทธิมนุษยชนก็กังวลต่อความปลอดภัยของประชาชนอย่างยิ่ง

อังคณายืนยันว่าเธอให้ความสำคัญกับการปกป้องสิทธิมนุษยชนของคนไทยมาโดยตลอด เช่น เหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เธอจะออกมาประณามแทบทุกครั้งที่มีการระเบิดวัดหรือโรงเรียน และอีกหลายกรณีที่เธอได้ทำงานในช่วงที่เป็นกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ อย่างไรก็ตาม การทำงานด้านสิทธิมนุษยชนไม่ใช่การปกป้องพลเมืองของประเทศใดประเทศหนึ่งเท่านั้น และรัฐมีหน้าที่หลักในการปกป้องสิทธิมนุษยชนของประชาชน

“หลักการพื้นฐานของการทำงานด้านสิทธิมนุษยชน เราถือว่ามนุษย์เท่าเทียมกันและจะต้องไม่ถูกแบ่งแยกด้วยเชื้อชาติ สีผิว หรือศาสนา ความเห็นต่างทางการเมืองทั้งหลาย” อังคณาให้สัมภาษณ์โคแฟค

4) ปลอมแปลงประวัติในวิกิพีเดีย

วันที่ 15 ต.ค. มีผู้เข้าไปแก้ไขประวัติและข้อมูลของอังคณาในเว็บไซต์วิกิพีเดีย โดยใส่ข้อมูลเท็จ เขียนถ้อยคำหยาบคายและหมิ่นศาสนา เช่น “อังคณาเกิดที่จังหวัดปอยเปต สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยปอยเปต 168 เรียนจบมาผันตัวเป็นหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์รายใหญ่” “เป็นสมาชิกวุฒิสภากลุ่มผู้ป่วยมะเร็ง” และเป็นที่รู้จักในฐานะ “นักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชนเขมร” เป็นต้น

แม้ภายหลังจะมีผู้เข้าไปแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้อง แต่เนื่องจากเว็บไซต์วิกิพีเดียสามารถเข้าไปดูประวัติย้อนหลังได้ จึงมีผู้นำภาพข้อมูลเท็จไปเผยแพร่ต่อในโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ทั้งติ๊กตอกและ X ทำให้ข้อมูลอันเป็นเท็จเกี่ยวกับ สว. อังคณาในวิกิพีเดียถูกเผยแพร่ไปในวงกว้างและยังคงเข้าถึงได้ในปัจจุบัน

จากประวัติชีวิตและการทำงานอย่างเป็นทางการของอังคณาที่เผยแพร่โดยทั่วไปและจากการให้สัมภาษณ์โคแฟค ยืนยันได้ว่า อังคณาเกิดที่เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ได้รับการศึกษาชั้นประถมและมัธยมจากโรงเรียนซางตาครู้สคอนแวนท์ ธนบุรี ต่อมาได้เข้าศึกษาต่อที่คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และรับราชการเป็นพยาบาลวิชาชีพที่โรงพยาบาลศิริราช ก่อนจะผันตัวมาเป็นนักปกป้องสิทธิมนุษยชนหลังจากทนายสมชายผู้เป็นสามีถูกลักพาตัวและถูกบังคับสูญหาย 

อังคณาเคยดำรงตำแหน่งสำคัญมากมาย เช่น กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ รวมทั้งสมาชิกวุฒิสภาชุดปัจจุบัน ซึ่งระเบียบและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องล้วนกำหนดว่าผู้ดำรงตำแหน่งเหล่านี้ต้องมีสัญชาติไทยโดยกำเนิด

…………………………

ตลอดระยะกว่า 20 ปี ที่อังคณาทำงานด้านการปกป้องสิทธิมนุษยชน เธอตกเป้าของการสร้างความเกลียดชังทั้งด้วยประทุษวาจา (hate speech) และเนื้อหาเท็จจำนวนมากมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเมื่อเธอออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา อังคณาก็ถูกโจมตีอีกครั้งด้วยการบิดเบือนข้อความและคำพูด, ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการบังคับสูญหายทนายสมชาย, ข้อกล่าวหาว่าไม่ปกป้องสิทธิมนุษยชนของคนไทย และการปลอมแปลงประวัติในเว็บไซต์วิกิพีเดีย

แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกโจมตีด้วยเนื้อหาเท็จ แต่อังคณาไม่เคยรู้สึกชิน ผลกระทบทางจิตใจเธอเผชิญครั้งนี้หนักหนากว่าเดิมด้วยซ้ำเพราะนี่คือการสร้างความบอบช้ำแล้วซ้ำเล่า

โคแฟคตรวจสอบข้อเท็จจริงของเนื้อหา 4 ประเด็นนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่าเนื้อหาเท็จถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการปลุกปั่นความโกรธและความเกลียดชังต่อบุคคลอย่างไร

ผลกระทบของประทุษวาจาอาจลดลงไปเมื่อเวลาผ่านไปหรือเมื่อสังคมหันไปสนใจเรื่องอื่น ๆ  แต่เนื้อหาเท็จทำให้ผู้คนเข้าใจผิดหรือได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้องต่อบุคคลหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ในระยะยาว อีกทั้งยังสร้างความสับสนปั่นป่วนให้ผู้คนในสังคมที่ต้องเผชิญกับข้อมูลมหาศาลที่ยากจะแยกแยะหรือตรวจสอบว่าเนื้อหาใดเป็นจริงหรือเท็จ

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 8 พฤศจิกายน 2568

คลิปสุดสะพรึง เบื้องหลังไส้กรอกที่แท้ทำจากกระดูก…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/gsnndfbb4yxq


แพ้นมวัวเพราะมีสารเคมีเจือปนในนม…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/a4ln8x5orlth


ชาวมาเลเซียประท้วงการเยือนของโดนัลด์ ทรัมป์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/93iy7kyh9ipe


เพจคลินิกแจกวัคซีน HPV ฟรี ที่แท้ตัดแปะโลโก้-เอกสารเท็จ แต่ดันมี “ติ๊กถูกสีฟ้า”…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1zn5zmnclra8v


คลิปแรงงานเขมรลักลอบเข้าไทย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/8367joswyr9w


“กองทัพบก” สั่งทหารเคลื่อน “กำลัง-อาวุธ” ประจำจุดเตรียมพร้อมบุก…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/29l6fdbyjqwsr


คลิปจับกุมม็อบไล่ “ฮุนเซน”…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/339fpv6lvd3rv


กระทงขนมปัง ทำให้น้ำเน่าจริงหรือ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1tcutsll41ndr


เชื้อซิฟิลิสสามารถติดเชื้อขึ้นสมองได้จริง แพทย์ชี้หากมีความเสี่ยงให้รีบรักษา

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3t6qeld8eiljd


ใช้หม้อทอดไร้น้ำมัน อันตรายต่อสุขภาพ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/y7gs0on6ljj2