ถ้วยกระดาษ’ ใส่เครื่องดื่มร้อน! มีความเสี่ยงเพียงใด?

By : Zhang Taehun

ภาพ 01 : คลิปวิดีโออ้างถ้วยกระดาษที่ใช้ใส่เครื่องดื่มร้อน ผลิตจากขยะรีไซเคิล

ที่มา : https://cofact.org/article/2x9wik3iwe2mg

This is one of the craziest scams in the United States! (นี่คือหนึ่งในเรื่องหลอกลวงที่บ้าคลั่งที่สุดในสหรัฐอเมริกา) เป็นคำบรรยายพาดหัวคลิปวิดีโอหนึ่งที่แชร์กันในสื่อสังคมออนไลน์ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา (บทความนี้เขียนเมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2568) ทั้งที่เป็นภาษาไทยและต่างประเทศ โดยคลิปดังกล่าวได้บรรยายเป็นภาษาอังกฤษว่า หลายคนเชื่อว่าถ้วยกระดาษที่นำมาเป็นภาชนะใส่เครื่องดื่มร้อน (เช่น กาแฟ) ทำจากเยื่อกระดาษบริสุทธิ์ (Clean Pulp) แต่จริงๆ แล้ววัสดุที่ใช้มาจากขยะรีไซเคิล 

เช่น พลาสติก กระดาษ กระดาษแข็งเก่าที่ใช้ในกิจการร้านอาหาร ลังกระดาษในภาคขนส่งสินค้า (Delivery Box) แม้กระทั่งในพื้นที่ฝังกลบขยะ(Landfill) วัสดุเหล่านี้จะถูกรวบรวม ซึ่งจะถูกปกคลุมด้วยละอองน้ำมันและสิ่งสกปรก (Oli Dust and Dirt) โดยคนงานจะคัดแยกขยะแบบลวกๆ แล้วเทรวมลงไปในเครื่องผสมขนาดยักษ์ (Giant Mixer) ซึ่งความร้อนสูงและสารเคมี จะแปรสภาพขยะให้เป็นเยื่อกระดาษสีน้ำตาลเข้ม (Dark Brown Pulp)จากนั้นใช้สารเคมีย้อมให้เป็นสีขาวดูสะอาด แล้วนำไปทำให้เป็นแผ่นกระดาษแล้วเข้ารูปด้วยฟิล์มพลาสติกกันน้ำ

กระบวนการผลิตถ้วยกระดาษจากวัสดุรีไซเคิลมีราคาถูก แต่ผู้บริโภคอาจได้รับอันตราย กล่าวคือ เมื่อใช้ถ้วยชนิดนี้ใส่เครื่องดื่มร้อน ความร้อนจะละลายสารเคมีที่เป็นพิษออกมาปนเปื้อนกับเครื่องดื่มในถ้วย ดังนั้นในขณะที่ดื่มเครื่องดื่มก็จะได้รับสารเคมีและพลาสติกเข้าไปในร่างกายด้วย ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อผู้บริโภคดื่มเครื่องดื่มจากถ้วยชนิดนี้จนหมดแล้วทิ้งแก้วกระดาษเป็นขยะ ก็จะก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมไปอีก 

– ความเสี่ยงจากถ้วยกระดาษ บทความกระดาษบรรจุภัณฑ์สหรับอาหารที่ไม่ได้มาตรฐานอันตรายมากกว่าที่คิด ในวารสารกรมวิทยาศาสตร์บริการ ระบุว่า การปนเปื้อนของสารอันตรายในกระดาษบรรจุภัณฑ์อาหารเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น จากการตกค้างของสารเคมีที่ใช้ในกระบวนผลิตกระดาษ จากกระบวนการพิมพ์บนบรรจุภัณฑ์หรือการใช้หมึกพิมพ์ที่อาจมีโลหะหนักจากสี หรือส่วนผสมอื่นๆ ของหมึกพิมพ์ตกค้างอยู่

รวมถึงบรรจุภัณฑ์ที่หากทำจากกระดาษที่นำกลับมาใช้ใหม่โดยผ่านกระบวนการรีไซเคิลก็ยิ่งมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีสารตกค้างอันตรายปนเปื้อนมากกว่าบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากเยื่อกระดาษใหม่เพราะในกระบวนการผลิตกระดาษไม่สามารถกำจัดสารอันตรายต่างๆ ออกจากกระดาษที่ผ่านการใช้แล้วได้อย่างสมบูรณ์

สารอันตรายที่อาจตกค้างในกระดาษสัมผัสอาหาร หรือกระดาษบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารสามารถแบ่งประเภทเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มสารอนินทรีย์อันตราย ได้แก่ โลหะเป็นพิษที่ออกฤทธิ์เรื้อรังต่อร่างกายหรือหากได้รับในปริมาณสูงอาจส่งผลให้เสียชีวิตอย่างฉับพลัน เช่น ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม และกลุ่มสารอินทรีย์อันตรายที่มีฤทธิ์ก่อมะเร็ง เช่น บิสฟีนอล A พอลีไซคลิก แอโรแมติกไฮโดรคาร์บอน (PAHs) สารกลุ่มพทาเลต สีเอโซ และเบนโซฟีโนน

– มีการกำกับดูแลการผลิตถ้วยกระดาษหรือไม่? :หลายประเทศมีกลไกกำกับดูแล เช่น สหรัฐอเมริกา มีการกำหนดมาตรฐานและกระบวนการทดสอบวัสดุสัมผัสอาหาร (Food Contact) โดยอยู่ในประมวลกฎหมายของรัฐบาลกลาง หมวดที่ 21 ว่าด้วยอาหารและยา (Code of Federal Regulations, Title 21, Food and Drugs,) เช่น มาตรา 176 สารเติมแต่งอาหารทางอ้อม: ส่วนประกอบของกระดาษและกระดาษแข็ง (INDIRECT FOOD ADDITIVES: PAPER AND PAPERBOARD COMPONENTS) มาตรา 177 สารเติมแต่งอาหารทางอ้อม: โพลิเมอร์ (INDIRECT FOOD ADDITIVES: POLYMERS)เป็นต้น , 

สหภาพยุโรป มีกรอบระเบียบข้อบังคับ (EC) เลขที่ 1935/2004 (Framework Regulation (EC) No 1935/2004) ซึ่งมีหลักการสำคัญคือ วัสดุต่างๆ ต้องไม่ 1.ปล่อยองค์ประกอบของวัสดุลงในอาหารในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์2.เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบ รสชาติ และกลิ่นของอาหารในระดับที่ยอมรับไม่ได้ , 

อินเดีย สำนักงานมาตรฐานและความปลอดภัยด้านอาหารแห่งอินเดีย (FSSAI) ออกข้อบังคับว่าด้วยความปลอดภัยและมาตรฐานอาหาร (บรรจุภัณฑ์) 2018 (Food Safety and Standards (Packaging) Regulations, 2018) กล่าวถึงวัสดุต่างๆ เช่น กระดาษแข็ง กระดาษ แก้ว โลหะ พลาสติก วัสดุบรรจุภัณฑ์หลายชั้นที่ใช้สำหรับบรรจุภัณฑ์ผลิตภัณฑ์อาหาร ซึ่งวัสดุใดๆ ที่สัมผัสโดยตรงกับอาหารหรือมีแนวโน้มที่จะสัมผัสอาหารซึ่งใช้ในการบรรจุ ปรุง ปรุง จัดเก็บ ห่อ ขนส่ง และจำหน่ายหรือให้บริการอาหาร จะต้องเป็นวัสดุคุณภาพเกรดอาหาร (Food Grade) , 

ไทย สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ออกมาตรฐาน มอก. 2948 –2562 (กระดาษสัมผัสอาหาร) ระบุว่า กระดาษสัมผัสอาหาร หมายถึงกระดาษ กระดาษแข็ง และภาชนะกระดาษ (จาน ชาม หลอด ถาด ถ้วย กล่อง ถุง) ที่ที่ไม่ใส่สีในเนื้อกระดาษ สำหรับใช้ห่อหุ้มบรรจุ รองรับอาหารทั่วไป และอาหารบรรจุขณะร้อน ทั้งที่สัมผัสและไม่สัมผัสอาหาร โดยตรง ไม่ครอบคลุมกระดาษ กระดาษแข็ง และภาชนะกระดาษที่ใช้กรองของเหลวร้อน (ถุงชา กระดาษกรองกาแฟ) ใช้อุ่นหรือปรุงสุกอาหารในเตาอบหรือไมโครเวฟ แบ่งประเภทกระดาษเป็น 2 ประเภท คือ 1.เยื้อบริสุทธิ์ 100% และ 2.เยื่อเวียนทำใหม่ 

ซี่งในกรณีของเยื่อเวียนทำใหม่ จะต้องไม่ได้ทำจากหรือมีส่วนผสมของกระดาษดังต่อไปนี้ (1) กระดาษซึ่งมีแหล่งที่มาจากสถานพยาบาล เช่น โรงพยาบาล คลินิก (2) กระดาษที่ผสมกับขยะมูลฝอยหรือแยกมาจากขยะมูลฝอย (3) กระดาษกระสอบหรือกระดาษถุงที่ปนเปื้อนสารเคมีหรืออาหาร เช่น ถุงปูนซีเมนต์ (4) กระดาษที่ใช้คลุมหรือหุ้มวัสดุอื่น เช่น กระดาษที่ใช้คลุมเฟอร์นิเจอร์ในระหว่างการซ่อมแซม พ่นสี หรืองานก่อสร้าง (5) กระดาษคาร์บอน กระดาษสำเนาไร้คาร์บอน และกระดาษสำเนาแบบใช้ความร้อน (6) กระดาษอนามัยที่ใช้แล้ว เช่น กระดาษเช็ดหน้า กระดาษเช็ดมือ กระดาษชำระ กระดาษเอนกประสงค์ (7) กระดาษเก่า เช่น จากห้องสมุด จากโรงเรียน จากโรงพิมพ์

สารเคมีในกระบวนการผลิตต้องเป็นชั้นคุณภาพสัมผัสอาหาร (Food Contact Grade) หากมีการใช้วัสดุเคลือบ กรณีเป็นกระดาษสัมผัสอาหารที่มีการเคลือบด้วยพลาสติก พลาสติกที่ใช้ต้องเป็นไปตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่เกี่ยวข้อง หรือกรณีเป็นกระดาษสัมผัสอาหารที่มีการเคลือบด้วยวัสดุอื่นที่ไม่ใช้พลาสติก วัสดุเคลือบที่ใช้ต้องเป็นชั้นคุณภาพสัมผัสอาหาร เช่นเดียวกับหมึกพิมพ์ หากมีการใช้ต้องเป็นระดับชั้นคุณภาพสัมผัสอาหาร และหมึกพิมพ์ต้องไม่สัมผัสกับอาหารโดยตรง 

กระบวนการผลิตต้องได้มาตรฐาน GMP ฉลากต้องระบุชื่อผลิตภัณฑ์ ประเภท แบบ ขนาด ปริมาณบรรจุ มีข้อความ อุณหภูมิสูงสุด ระบุประเภทอาหารที่ใช้หรือห้ามใช้กับกระดาษสัมผัสอาหารนี้ ในการใช้งาน มีข้อความ “ใช้สัมผัสอาหารได้” “ใช้ครั้งเดียว” “ห้ามใช้ซ้ำ” “ห้ามวางใกล้เปลวไฟ” “ห้ามใช้อุ่นหรือปรุงสุกอาหาร” เดือน ปี รหัสรุ่นที่ทำ ชื่อผู้ทำ และประเทศผู้ผลิต เป็นต้น

ภาพที่ 2 : อินโฟกราฟิกโดย สมอ. แนะนำวิธีเลือกซื้อผลิตภัณฑ์กระดาษสัมผัสอาหาร 
ที่มา : https://pr.tisi.go.th/มอก-2948-2562-กระดาษสัมผัสอาหาร/

– ใมโครพลาสติกกับถ้วยกระดาษ : มีงานวิจัยนกล่าวถึงการพบไมโครพลาสติกในถ้วยกระดาษ เช่น หัวข้อ Unveiling the hidden threat of microplastic in paper cups and tea bags: a critical review of their exacerbation and alarming concern in India เผยแพร่ในเว็บไซต์ link.springer.com ฐานข้อมูลงานวิจัย Springer Nature Link เมื่อวันที่ 23 พ.ค. 2568 ทำการศึกษาไมโครพลาสติกในถุงชาและถ้วยกระดาษ ระบุว่า หากบุคคลหนึ่งดื่มชาหรือกาแฟ 3 ถ้วยในถ้วยกระดาษทุกวัน อาจได้รับอนุภาคไมโครพลาสติกมากถึง 75,000 อนุภาค

ทั้งนี้ ไมโครพลาสติกอาจเพิ่มความเสี่ยงทางสุขภาพ เช่น ระบบย่อยอาหาร ระบบไหลเวียนโลหิตระบบประสาท ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบสืบพันธุ์ ระบบทางเดินหายใจ รวมถึงอาจเป็นปัจจัยก่อโรคมะเร็ง อย่างไรก็ตาม คณะผู้วิจัยยอมรับว่าพฤติกรรมด้านสิ่งแวดล้อม ผลกระทบต่อระบบนิเวศ และสุขภาพของอนุภาคไมโครพลาสติกที่ปล่อยออกมาจากถุงชาและถ้วยกระดาษยังคงไม่เป็นที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ จึงคาดหวังให้ดำเนินการตรวจสอบเพิ่มเติมซึ่งความก้าวหน้าทางวิธีการวิเคราะห์และการรายงานผลที่แม่นยำยิ่งขึ้นจะช่วยในการประเมินอันตรายต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมาก

อนึ่ง ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2568 โคแฟคเคยนำเสนอเรื่องราวของงานวิจัยในสหรัฐอเมริกา ว่าด้วยการเคี้ยวหมากฝรั่งเพียง 8 นาที อาจได้รับไมโครพลาสติกหลายพันชิ้น (บทความ ‘เคี้ยวหมากฝรั่ง8นาที.เท่ากับกลืนไมโครพลาสติกหลายพันชิ้น’มีงานวิจัยจริงไหม? และได้บอกอะไรกับเรา?) อย่างไรก็ตาม คณะผู้วิจัยย้ำว่าไม่ต้องการทำให้เกิดความตื่นตระหนก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบว่าไมโครพลาสติกเป็นอันตรายต่อมนุษย์หรือไม่ แต่ต้องการสร้างความตระหนักถึงผลกระทบของไมโครพลาสติกต่อสิ่งแวดล้อม จากการทิ้งหมากฝรั่งที่เคี้ยวแล้วอย่างไม่ถูกวิธี

โดยสรุปแล้ว หากเป็นถ้วยกระดาษที่ผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน ข้อมูล ณ ขณะนี้ยังสามารถใช้บริโภคเครื่องดื่มร้อนได้ ส่วนประเด็นไมโครพลาสติกยังเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาผลกระทบต่อสุขภาพให้ชัดเจนกันต่อไป!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

http://lib3.dss.go.th/fulltext/dss_j/2562_68_211_P26-27.pdf (กระดาษบรรจุภัณฑ์สําหรับอาหารที่ไม่ได้มาตรฐานอันตรายมากกว่าที่คิด : วารสารกรมวิทยาศาสตร์บริการ)

https://www.ecfr.gov/current/title-21/chapter-I/subchapter-B (ฐานข้อมูลประมวลกฎหมายของรัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกา)

https://food.ec.europa.eu/food-safety/chemical-safety/food-contact-materials/legislation_en(Regulation (EC) No 1935/2004 provides a harmonised legal EU framework. : ฐานข้อมูลรัฐสภายุโรป ว่าด้วยความปลอดภัยอาหาร)

https://www.fssai.gov.in/upload/uploadfiles/files/Compendium_Packaging_Labelling_Regulations_28_01_2022.pdf (Food Safety and Standards (Packaging) Regulations, 2018 : FSSAI)

https://hongthaipackaging.com/wp-content/uploads/2023/02/2948_2562.pdf?srsltid=AfmBOorQQ5AzgSjM8mPYgeiSLSfzgsYffg8hwgwtzZVT-4hd2y3kznMa (มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม THAI INDUSTRIAL STANDARD มอก. 2948-2562)

https://link.springer.com/article/10.1007/s42452-025-07121-y (Unveiling the hidden threat of microplastic in paper cups and tea bags: a critical review of their exacerbation and alarming concern in India : Springer Nature Link 23 พ.ค. 2568)

https://blog.cofact.org/report65-68/ (‘เคี้ยวหมากฝรั่ง8นาที.เท่ากับกลืนไมโครพลาสติกหลายพันชิ้น’มีงานวิจัยจริงไหม? และได้บอกอะไรกับเรา?)


คลิปอุบัติเหตุ ฮ.ตำรวจตกที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ถูกนำมาอ้างเท็จว่ากัมพูชายิงเครื่องบินรบไทยร่วง

กองบรรณาธิการโคแฟค

❓ เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปทหารกัมพูชายิงเครื่องบินรบของไทยตก

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ เป็นคลิปอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ของตำรวจไทยตกเมื่อเดือน พ.ค. 68**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 8 ก.ย. 68 บัญชีเฟซบุ๊ก “Lychee Tour” โพสต์คลิปวิดีโอ Reel เป็นภาพไฟไหม้วัตถุบางอย่างบนพื้นหญ้า พร้อมข้อความบรรยายภาษาเขมร ใช้ Google Translate แปลสรุปใจความได้ว่า ผู้โพสต์อ้างว่าเป็นภาพเหตุการณ์ที่กัมพูชายิงเครื่องบินรบของไทยที่ลุกล้ำอธิปไตยกัมพูชาตก 2 ลำ ในเหตุปะทะระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาเมื่อวันที่ 24-28 ก.ค. 68  

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการใช้เครื่องมือ Google Lens ตรวจสอบภาพในคลิปดังกล่าว พบว่าเป็นภาพเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ เบลล์ 212 #2215 ประจำหน่วยบินตำรวจกาญจนบุรี ตกที่ ต.เกาะหลัก อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 68 ทำให้นักบินและช่างเครื่องเสียชีวิตรวม 3 นาย ซึ่งสื่อมวลชนไทยหลายสำนักเผยแพร่ภาพและคลิปวิดีโอเหตุการณ์นี้ เช่น The Nation มติชน และช่อง Ch7HD  

สรุปได้ว่าคลิปนี้เป็นภาพอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตำรวจตกในประเทศไทยตั้งแต่เดือน พ.ค. 68 ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุปะทะไทย-กัมพูชาอย่างสิ้นเชิง 

แม้ว่าไทยกับกัมพูชาจะไม่มีการปะทะทางการทหารนับตั้งแต่ข้อตกลงหยุดยิงที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 68 แต่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียยังคงนำคลิปเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องมาอ้างเท็จว่าเป็นภาพจากเหตุปะทะวันที่ 24-28 ก.ค. 68 อย่างต่อเนื่อง 

#โคแฟค #FactCheck #ไทยกัมพูชา

มองการทำงานตรวจสอบข่าวลวงของหลายองค์กร ในสถานการณ์สู้รบไทย-กัมพูชา 

By : Zhang Taehun

หมายเหตุ : รวบรวมระหว่างวันที่ 24 ก.ค. 2568 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่กัมพูชาเริ่มเปิดฉากโจมตีไทย และกลายเป็นการสู้รบระหว่าง 2 ฝ่าย ไปจนวันที่ 28 ก.ค. 2568 ที่มีการเจรจากันในมาเลเซีย นำไปสู่ข้อตกลงหยุดยิงในเวลา 00.00 น. ของวันที่ 29 ก.ค. 2568

 

ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (ประเทศไทย)

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

(ตรวจสอบทั้งข่าวจริง ข่าวปลอม และข่าวบิดเบือน)

– วันที่ 24 ก.ค. 2568 พบ ข่าวบิดเบือน 1 ข่าวคือ ไทยอุดหนุนเงินให้กัมพูชา สร้างถนน-ปรับปรุงด่านทั้งหมด 4 พันล้านบาท ซึ่งเนื้อหาจริงคือ สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (สพพ.) ได้ดำเนินการจัดหาเงินกู้จาก EXIM BANK สถาบันการเงินเฉพาะกิจภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง 

ในการดำเนินพันธกิจพัฒนาเส้นทางคมนาคมทางบกที่สำคัญในประเทศเพื่อนบ้าน เชื่อมโยงกับภาคธุรกิจไทยโดยเฉพาะผู้ประกอบการท้องถิ่นและประชาชนบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา EXIM BANK จึงให้การสนับสนุนทางการเงินแก่รัฐบาลกัมพูชาจำนวน 1,300 ล้านบาท โดยมีเงื่อนไขให้รัฐบาลกัมพูชานำไปใช้ซื้อสินค้าและว่าจ้างผู้รับเหมาไทยเพื่อพัฒนาทางหลวงหมายเลข 67 จากอัลลองเวงถึงเสียมราฐ ระยะทางยาว 131 กิโลเมตร

(ตรวจสอบกับ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย – EXIM BANK)

– วันที่ 25 ก.ค. 2568 พบทั้งหมด 9 ข่าว แบ่งเป็น

ข่าวปลอม 8 ข่าว คือ 

1.กองทัพกัมพูชา ยิงเครื่องบินรบไทยตกสำเร็จ(ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

2.กองกำลังกัมพูชาควบคุมวัดท่ากระบี่ได้เต็มรูปแบบ ขับไล่ทหารไทยออก (ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

3.บริเวณภูเขาผี ทหารไทยยังคงยิงปะทะเข้ามาในพื้นที่กัมพูชาอย่างต่อเนื่อง ส่วนปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย และบริเวณมุมเบย กัมพูชาควบคุมได้เต็ม 100% แล้ว (ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

4.ทหารไทยเสียชีวิต 40 นาย ถูกจับกุม 30 นาย(ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

5.ทหารไทยเข้ายึดพื้นที่ปราสาทพระวิหารและวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ที่เคยเป็นของไทยได้สำเร็จแล้ว(ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

6.ทหารไทยยอมจำนนต่อรองกับกัมพูชา (ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

7.แม่ทัพอากาศประกาศกร้าว ถ้าเขมรไม่ถอย จะยึดทั้งประเทศ ขอเวลาเพียง 5 นาที จะถล่มกรุงพนมเปญไม่ให้เหลือซาก (ตรวจสอบกับเพจกองทัพอากาศไทย Royal Thai Air Force)

8.กองทัพภาคที่ 2 เปิดระดมทุนช่วยเหลือทหารไทยรบกัมพูชา (ตรวจสอบกับเพจกองทัพภาคที่ 2)

ข่าวจริง 1 ข่าว คือ ทหารไทยไม่ได้โจมตีพื้นที่ปราสาทพระวิหาร (ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

– วันที่ 26 ก.ค. 2568 พบทั้งหมด 5 ข่าว แบ่งเป็น

ข่าวปลอม 2 ข่าว คือ 

1.ไทยยิงขีปนาวุธ 10 ลูก ใส่ลาวในสามเหลี่ยมทองคำ (ตรวจสอบกับเพจกองทัพภาคที่ 2)

2.ทหารนาวิกโยธินเหยียบกับระเบิด ได้รับบาดเจ็บ 4 นาย ในพื้นที่ จ.ตราด หนึ่งในนั้นบาดเจ็บสาหัส (ตรวจสอบกับเพจกองทัพเรือ Royal Thai Navy)

ข่าวจริง 2 ข่าว คือ 

1.กองบัญชาการชายแดน จชต. ประกาศกฎอัยการศึก ในบางพื้นที่ จ.จันทบุรี และ จ.ตราด(ตรวจสอบกับเพจกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด)

2.รัฐบาลอนุมัติเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบชายแดน สูงสุด 1 ล้านบาท (ตรวจสอบกับเพจสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี)

ข่าวบิดเบือน จำนวน 1 ข่าว คือ ประเทศไทยใช้ F-16 โจมตีพลเรือนหลายรายในกัมพูชา ซึ่งทางกองทัพอากาศของไทย ชี้แจงว่า กองทัพอากาศไม่เคยใช้ F-16 โจมตีเป้าหมายพลเรือนในกัมพูชาพร้อมอธิบายดังนี้ (1) ไทยใช้กำลังเฉพาะต่อเป้าหมายทางทหาร : ปฏิบัติการของไทย จำกัดเฉพาะภัยคุกคามทางทหาร ยึดหลัก Self-defense, International Law และ IHL อย่างเคร่งครัด (2)กัมพูชาใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์ ตรวจพบการตั้งฐานยิง BM-21 / ปืนใหญ่ในพื้นที่ชุมชน ใช้ “พลเรือนเป็นโล่กำบัง” (Human Shields) ละเมิดหลักมนุษยธรรมอย่างร้ายแรง

(3) ไทยหลีกเลี่ยงเป้าหมายที่เสี่ยงกระทบพลเรือน แม้มีสิทธิในการตอบโต้แต่ไทยไม่โจมตีเป้าหมายในพื้นที่ชุมชน เพื่อหลีกเลี่ยงความสูญเสียแสดง “ความรับผิดชอบเชิงจริยธรรม” ของทหารอาชีพ (4) ไทยยึดหลักสากล ไม่ตัดสินใจด้วยอารมณ์ ปฏิบัติการทั้งหมด ยึดหลักกฎหมายระหว่างประเทศ – กฎบัตรสหประชาชาติ ไทยใช้เหตุผลและการพิจารณารอบด้าน ไม่ตัดสินใจด้วยอารมณ์ แม้ในภาวะกดดันหรือถูกใส่ร้าย (5) ระบบอาวุธไทยแม่นยำ ต่างจาก BM-21 ไทยใช้อากาศยาน (ถ้ามี) แบบ Precision Strike ควบคุมทิศทาง จำกัดวงการปฏิบัติได้ ต่างจาก BM-21 ของกัมพูชาที่ ควบคุมไม่ได้ ทำพลเรือนเสียชีวิต

(ตรวจสอบกับเพจกองทัพอากาศไทย Royal Thai Air Force)

– วันที่ 27 ก.ค. 2568 พบทั้งหมด 6 ข่าว แบ่งเป็น

ข่าวปลอม 5 ข่าว คือ 

1.วันที่ 26 ก.ค. 2568 มณฑลทหารบกที่ 22 อุบลราชธานีเรียกระดมกำลังพลสำรอง (ตรวจสอบกับเพจกองทัพภาคที่ 2)

2.กองทัพกัมพูชายิง F-16 ไทยตก 1 ลำ (ตรวจสอบกับเพจกองทัพอากาศไทย Royal Thai Air Force)

3.พบลูกกระสุนกองทัพไทยตกในเขต สปป.ลาว บริเวณสามเหลี่ยมมรกต (ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

4.พบการยิงขีปนาวุธ จากประเทศกัมพูชาเข้าสู่ประเทศไทย (ตรวจสอบกับเพจกองทัพภาคที่ 2)

5.กษัตริย์ไทยสั่งยิงปราสาทพระวิหาร (ตรวจสอบกับเพจกองทัพบก Royal Thai Army)

ข่าวจริง 1 ข่าว คือ การรถไฟฯ ประกาศงดเดินขบวนรถไฟไปช่วงสถานีอรัญประเทศ – ด่านพรมแดนบ้านคลองลึก (ตรวจสอบกับเพจทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย)

– วันที่ 28 ก.ค. 2568 พบเป็น ข่าวปลอมทั้งหมด 6 ข่าว คือ 

1.ทบ.ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วประเทศ ตอบโต้เขมร (ตรวจสอบกับเพจทีมโฆษกกองทัพบก)

2.ทหารไทยใช้เครื่องบินปล่อยสารพิษ สังหารพลเมืองกัมพูชา (กระทรวงกลาโหม ชี้แจงว่า เป็นภาพที่สำนักข่าวรอยเตอร์บันทึกไว้ได้ เป็นการดับไฟป่าในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา)

3.ทหารไทยเกือบ 140 นายเสียชีวิตใกล้ปราสาทพระวิหาร (ตรวจสอบกับเพจทีมโฆษกกองทัพบก)

4.แม่ทัพภาค 2 เสียชีวิตแล้ว (ตรวจสอบกับเพจกองทัพภาคที่ 2)

5.กล่าวหารัฐบาลไทยวางระเบิด 7-eleven ของตัวเอง และฆ่าพลเมืองไทย เพื่อโยนความผิดให้รัฐบาล และกองทัพกัมพูชา (กองทัพยก กระทรวงกลาโหม ยืนยันเป็นข่าวปลอม บิดเบือนข้อเท็จจริง

6.ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ประกาศเขตภัยพิบัติสงครามเป็นจังหวัดแรก (เพจสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดสุรินทร์ ชี้แจงว่า ไม่ได้ประกาศเขตภัยพิบัติสงครามเป็นการประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย(ภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังนอกประเทศ))

ทั้งนี้ การทำงานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ จะเน้นการอ้างคำยืนยันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงเป็นหลัก โดยมีข้อสังเกตว่า หากเป็นข่าวบิดเบือนก็จะมีการอธิบายอย่างละเอียดด้วยว่าเนื้อหาที่ถูกต้องเป็นอย่างไร เมื่อเทียบกับกรณีที่ระบุว่าเป็นข่าวจริงหรือข่าวปลอมจะใช้เพียงการสรุปสั้นๆ 

ThaiPBS Verify 

(ตรวจสอบเฉพาะ ข่าวปลอม เท่านั้น) โดยช่วงวันที่ 24-28 ก.ค. 2568 พบทั้งหมด 11 ข่าว แบ่งได้ดังนี้ 

– วันที่ 24 ก.ค. 2568 พบ 2 ข่าว คือ 

1.สื่อกัมพูชาอ้าง ทหารไทยต่อรองขอยอมจำนน” ทบ.ยัน ข่าวปลอม ซึ่งพบว่า มีการนำภาพที่ไม่เกี่ยวข้องมาใช้ประกอบ เช่น ภาพของ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ,   ภาพของทหารพรานของไทย จากเฟซบุ๊กของ ของ “กรกต เกตุแก้ว” อดีตทหารพรานของไทย ซึ่งได้โพสต์ภาพดังกล่าวไว้เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 2568 หรือ 1 เดือนก่อนเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างไทยกับกัมพูชาจะเริ่มขึ้น อีกทั้งยังไม่มีรายละเอียดของข่าว มีเพียงการกล่าวอ้างเพียงเท่านั้น(ค้นหาภาพด้วย Google Lens)

2.โพสต์อ้างกัมพูชายิงเครื่องบิน F-16 ไทยตกสภาพยับเยิน กองทัพอากาศไทยยืนยันแล้ว ไม่เป็นความจริง ซึ่งพบว่า การนำภาพที่ไม่เกี่ยวข้องมาใช้ประกอบ โดยเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 ต.ค. 2561 ที่ฐานทัพ Florennes ประเทศเบลเยียม ในภาพนั้นเป็นซากเครื่องบิน F-16 ซึ่งได้รับความเสียหายอย่างหนักจากอุบัติเหตุไฟไหม้และระเบิดทั้งลำ ขณะกำลังอยู่ระหว่างการซ่อมบำรุง โดยช่างเทคนิคได้เผลอเปิดใช้งานปืน Vulcan ที่ติดตั้งอยู่บนเครื่องบิน F-16 อีกลำซึ่งจอดอยู่ใกล้กัน และเพิ่งได้รับการเติมเชื้อเพลิง ส่งผลให้กระสุนจากปืนพุ่งไปถูกเครื่องบิน F-16 ลำที่เกิดเหตุจนเกิดการระเบิดและไฟไหม้ ทำให้เครื่องบินได้รับความเสียหายทั้งลำ (ค้นหาภาพด้วย Google Lens)

– วันที่ 25 ก.ค. 2568 พบ 1 ข่าว คือ โพสต์ปลอมอ้าง ชาวกัมพูชาแตกตื่นหลังถูกเครื่องบินรบไทยถล่ม ที่แท้คลิปตึก สตง. ถล่ม : คลิป TikTok อ้างชาวกัมพูชาวิ่งหนีเอาชีวิตรอดจากเครื่องบิน F-16 และ JAS 39 Gripen ซึ่งมีผู้เข้าชมกว่า 1.7 ล้านครั้งแต่เมื่อตรวจสอบองค์ประกอบโดยรอบ (เช่น อาคารสิ่งก่อสร้าง) พบว่าเป็นบริเวณตลาดย่านจตุจักร ในพื้นที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย และบรรยากาศที่เหมือนฝุ่นตลบคล้ายอะไรบางอย่างถล่มลงมานั้นเป็นเหตุการณ์ตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งกำลังก่อสร้างอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ถล่มลงมาเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2568 (ค้นหาภาพด้วย Google Lens , เปรียบเทียบกับ Streer View ใน Google Map)

– วันที่ 26 ก.ค. 2568 พบ 3 ข่าว คือ 

1.กรณีแชร์ภาพบ้านเรือนใน สปป.ลาว เสียหายจากเหตุความไม่สงบตามชายแดนไทย กัมพูชา แท้จริงเป็นภาพเหตุเพลิงไหม้ในตลาดแห่งหนึ่งแขวงจำปาสัก : ในวันที่ 26 ก.ค. 2568 มีรายงานข่าวว่า ระหว่างการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา มีกระสุนบางส่วนไปตกในพื้นที่ของ สปป. ลาวด้วย แต่มีปัญหาคือ มีการใช้ภาพอาคารถูกเพลิงไหม้แล้วอ้างว่าเป็นอาคารที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ดังกล่าว ที่สำคัญคือมีสื่อหลักหลายสำนักในไทยเลือกนำภาพดังกล่าวไปใช้ประกอบข่าว 

อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบแล้วกลับพบว่า ภาพที่ถูกอ้างถึงนั้นคือ เพลิงไหม้ร้านมอเตอร์ไซค์ บริเวณตลาดสุขุมา จำปาสัก สปป.ลาว โดยสำนักข่าว Laophattana News ซึ่งเป็นสื่อมวลชนใน สปป.ลาว ระบุว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 03.20 น. ของวันที่ 26 ก.ค. 2568 ส่วนสาเหตุเพลิงยังคงรอการตรวจสอบยืนยันจากหน่วยงานผู้รับผิดชอบ

2.สื่อกัมพูชาลงข่าวปลอม อ้าง ทหารไทยหนี ทิ้งชุด-ศพทหาร” ไว้บนปราสาทตาควาย : โพสต์เฟซบุ๊กของสื่อ “Fresh News Cambodia” ซึ่งเป็นสื่อของกัมพูชา ที่ได้พาดหัวข้อข่าวว่า “Thai Troops Flee, Abandon Gear and Bodies at Ta Krabei”พร้อมภาพประกอบเป็นภาพชุดลายพรางพร้อมป้ายธงชาติไทย แต่เมื่อตรวจสอบแล้วพบเป็นภาพเหตุการณ์เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2568 ที่มีการควบคุมตัวชายต้องสงสัยในพื้นที่บ้านหนองเม็ก อ.กันทรลักณ์ จ.ศรีสะเกษ พร้อมอุปกรณ์ทางทหาร ได้แก่ เสื้อเกราะ, กระเป๋า และหมวกที่มีป้ายธงชาติไทย

นอกจากนั้น ยังได้สอบถามไปที่ พ.ต.อ.พงศ์พิพัฒ เหิมฉลาด ผกก.สภ.บึงมะลู ได้ความว่า ภาพดังกล่าวมาจากกรณีชาวบ้านในพื้นที่แจ้งว่า พบชายสวมเครื่องแบบทหารลักษณะต้องสงสัย ขี่จักรยานยนต์อยู่ในหมู่บ้าน เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการควบคุมตัวมาตรวจสอบ พบว่า เป็นเพียงผู้ที่ต้องการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ และเมื่อตรวจสอบไปยังญาติของผู้ต้องสงสัยดังกล่าว พบว่า ชายรายนี้เป็นเพียงผู้ที่มีสติไม่สมประกอบ ที่รับฟังข่าวความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา แล้วมีความรู้สึกต้องการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่เพียงเท่านั้น ไม่ใช่สายลับของกัมพูชาแต่อย่างใด

3.คลิปอ้าง Thai PBS รายงาน ไทยเตรียมกริพเพนถล่มพนมเปญ มีบัญชีสื่อสังคมออนไลน์หลายบัญชี โพสต์ภาพหรือคลิปวีดีโอของเครื่องบินขับไล่ JAS 39 Gripen  พร้อมข้อความอ้างว่าไทยเตรียมโจมตีกรุงพนมเปญของกัมพูชา โดยอ้างว่าเป็นรายงานจากสำนักข่าว ThaiPBS ซึ่งทาง ThaiPBSได้ออกมายืนยันว่าไม่มีการรายงานข่าวดังกล่าว ขณะที่เมื่อสอบถามไปยังกองทัพอากาศ ได้รับคำชี้แจงว่า คลิปดังกล่าวเป็นคลิปการฝึกซ้อมขับเครื่องบินกริพเพนที่กองบิน 7 จ.สุราษฎร์ธานี เท่านั้น ไม่ได้เป็นคลิปที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน

– วันที่ 27 ก.ค. 2568 พบ 2 ข่าว คือ 

1.ภาพ ทรัมป์ – แพทองธาร” ถูกใช้สร้างข่าวลวงปมขัดแย้งไทย-กัมพูชา : มีสื่อต่างประเทศ นำภาพของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย กับ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ไปประกอบการนำเสนอข่าวเมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2568 โดยอ้างว่า นายกรัฐมนตรีของไทยปฏิเสธข้อเสนอไกล่เกลี่ยจากทั้งสหรัฐฯ และจีน พร้อมเตือนว่า ความขัดแย้งอาจลุกลามเป็นสงครามเต็มรูปแบบ

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นข่าวที่เผยแพร่ในแพลตฟอร์ม X จึงมีผู้เข้าไปช่วยให้ข้อมูลเพิ่มเติมในระบบ Community Notes ว่า แพทองธารหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2568 โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรี 

ซึ่งในเวลาต่อมา วันที่ 26 ก.ค. 2568 ทั้งบัญชีแพลตฟอร์ม X ของกระทรวงการต่างประเทศของไทย และที่เฟซบุ๊กของภูมิธรรม โพสต์ข้อความตรงกันว่า นายภูมิธรรมเป็นผู้สนทนากับทรัมป์ ซึ่งผู้นำสหรัฐฯ ได้เรียกร้องให้ทั้งไทยและกัมพูชาหยุดยิงในทันที ขณะที่รองนายกฯ ของไทยย้ำว่า ไทยเห็นด้วยในหลักการกับการหยุดยิง อย่างไรก็ตาม ไทยต้องการเห็นความตั้งใจจริงจากกัมพูชาในเรื่องนี้

2.คลิปปลอม อ้าง “ไทยปักธงชาติพร้อมยึดฐานบนเขาพระวิหารได้สำเร็จ” ผู้ใช้บัญชี TikTok รายหนึ่ง โพสต์คลิปพร้อมระบุข้อความ “ธงไทยถูกปักบนเขาพระวิหารอีกครั้งปี 68 และ ไทยยึดฐานบนเขาพระวิหารได้สำเร็จ” อย่างไรก็ตาม พื้นที่ดังกล่าวจริงๆ แล้ว เขาอกทะลุ ซึ่งอยู่ใน จ.พัทลุง (ใช้การค้นหาด้วย Google Lens และเปรียบเทียบกับภาพของ Google Map)

– วันที่ 28 ก.ค. 2568 พบ 3 ข่าว คือ 

1.เพจกัมพูชาโพสต์ข่าวปลอม อ้างทหารไทยเสียชีวิต 140 คนใกล้เขาพระวิหาร : มีเพจเฟซบุ๊กที่เนื้อหาส่วนใหญ่นำเสนอเกี่ยวกับข่าวสารด้านการทหารของกัมพูชา โพสต์ข้อความเป็นภาษาเขมร แปลได้ว่า “รวมแล้วตั้งแต่ตี 2 ถึงเช้าตรู่เสียชีวิตเกือบ 140 คน ใกล้วัดพระวิหาร ขอให้พาผีกลับบ้านกันให้หมด เพราะอยากได้แผ่นดินเขมรมากเกินไป“พร้อมกับภาพศพหลายศพที่ถูกห่อไว้ 

อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบแล้วก็พบว่า ภาพที่ถูกอ้างถึงนั้นเป็นภาพที่ทหารไทยส่งคืนศพทหารกัมพูชา 12 นาย ที่เสียชีวิตจากเหตุปะทะที่ภูมะเขือ ให้เจ้าหน้าที่กัมพูชาบริเวณด่านช่องสะงำ ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ นำไปประกอบพิธีทางศาสนา เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 27 ก.ค. 2568 (ค้นหาภาพด้วย Google Lens)

ซึ่งศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพบก โดยทีมโฆษกกองทัพบก อธิบายถึงการส่งศพทหารกัมพูชาในครั้งนี้ว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามหลักมนุษยธรรมสากล และถือเป็นการให้เกียรติแก่ทหารที่เสียชีวิตในสมรภูมิ ไม่ว่าจะสังกัดฝ่ายใด สะท้อนถึงจิตวิญญาณของความเป็นทหารที่มีเกียรติและศักดิ์ศรี ซึ่งเข้าใจถึงหัวอกของผู้ปฏิบัติหน้าที่ในสถานการณ์ความขัดแย้ง ซึ่งล้วนปฏิบัติหน้าที่ตามบทบาทเพื่อประเทศของตน

2.คลิปปลอมสงครามไทย-กัมพูชา ที่จริงคือรัสเซียโจมตียูเครน :พบบัญชีแพลตฟอร์ม X แชร์คลิปวิดีโอภาพเหตุการณ์เมืองโดนระเบิด พร้อมข้อความที่กล่าวถึงเหตุการณ์ความไม่สงบไทย – กัมพูชา ว่า ประเทศไทยเปิดฉากโจมตีทางอากาศต่อฐานทัพทหารกัมพูชา แต่เมื่อตรวจสอบกลับพบว่าเป็นเหตุการณ์สงครามรัสเซีย – ยูเครน โดยเป็นคลิปที่ฝ่ายรัสเซียใช้ขีปนาวุธและโดรนโจมตีกรุงเคียฟเมืองหลวงของยูเครน เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 2568 (ใช้โปรแกรม InVID-WeVerify แยกเฟรมแต่ละภาพ แล้วนำไปค้นหาด้วย Google Lens)

3.เพจที่ใช้ชื่อ “สถานทูตกัมพูชา” ลงภาพอ้างไทยใช้อาวุธเคมี แท้จริงเป็นภาพเหตุการณ์ดับไฟป่าที่สหรัฐฯ : เพจที่ใช้ชื่อ “สถานทูตกัมพูชาในบัลแกเรีย” โพสต์ภาพเครื่องบินโปรยสารสีชมพู กล่าวหาว่าไทยใช้อาวุธเคมีสังหารพลเรือน แต่เมื่อตรวจสอบแล้ว ภาพดังกล่าวมาจากเหตุการณ์เครื่องบินกำลังปล่อย “สารหน่วงไฟสีชมพู” (Pink Fire Retardant) เพื่อช่วยดับไฟป่าที่กำลังลุกไหม้จนสร้างความเสียหายในสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2568 (ค้นหาภาพด้วย Google Lens)

สำหรับข้อสังเกตต่อ ThaiPBS Verify คือแม้จะเพิ่งก่อตั้งได้ไม่นานนัก แต่จุดแข็งอยู่ที่การเป็นส่วนขยายออกมาจากการเป็นสำนักข่าวขนาดใหญ่ ทำให้เข้าถึงแหล่งข่าวที่เป็นผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นได้ รวมถึงมีเครือข่ายช่วยตรวจสอบกรณีเป็นเหตุการณ์ในต่างประเทศ นอกจากนั้นยังอธิบายถึงกระบวนการตรวจสอบ เช่น การใช้เครื่องมือ Google Lens ในการตรวจสอบภาพจากคลิปวีดีโอที่แชร์ต่อกันมา ว่าเป็นเหตุการณ์ที่ใด เวลาใด เกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่อ้างถึงในเนื้อข่าวหรือไม่ 

AFP Fact Check

พบว่า ตั้งแต่วันที่ 24 – 28 ก.ค. 2568 มีการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับการสู้รบระหว่างไทย –กัมพูชา เป็นรายงาน 1 ข่าว คือ Clip shows flood defence in northern Thailand, not border wall with Cambodia เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568 โดยมีคลิปวีดีโอเผยแพร่ผ่านแพลตฟอร์ม TikTok บรรยายเป็นภาษาเขมร ระบุว่า ไทยสร้างกำแพงตามแนวชายแดนที่เชื่อมต่อกับกัมพูชา ซึ่งเป็นคลิปที่เผยแพร่มาตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค. 2568 

ภาพในคลิปดังกล่าวปรากฏชายหลายคนที่สวมเสื้อสีเขียวสกรีนข้อความเป็นภาษาไทยว่า “กองทัพบก” อย่างไรก็ตาม เมื่อนำภาพไปค้นหาแบบย้อนกลับ พบว่าคลิปนี้เคยถูกโพสต์ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2568 และมีคำบรรยายเป็นภาษาไทย ระบุว่า ทหารช่างจาก จ.ราชบุรี กำลังวางเสาเข็มและใส่แผ่นคอนกรีต และในคลิปได้เล่าว่าเป็นการสร้างเขื่อนกั้นน้ำท่วมที่ จ.เชียงราย ในพื้นที่ชายแดนที่ติดกับประเทศเมียนมา ไม่ใช่กัมพูชาแต่อย่างใด  

อีกทั้งยังตรวจสอบอาคารที่ปรากฏในคลิปดังกล่าว แล้วไปตรงรับรายงานข่าวของสำนักข่าว NBT เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 2568 ว่าผู้บัญชาการทหารบกของไทย ลงพื้นที่ติดตามการก่อสร้างพนังกั้นน้ำและตรวจเยี่ยมกำลังพลในพื้นที่ จ.เชียงราย จากนั้นในวันที่ 21 ก.ค. 2568 ยังมีรายงานจากสำนักข่าว ThaiPBS ที่เผยแพร่ภาพในพื้นที่เดียวกัน ระบุว่า พนังกั้นน้ำในพื้นที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย คืบหน้ากว่าร้อยละ 90 

สำหรับการตรวจสอบข้อมูลโดย AFP Fact Check ซึ่งเป็นส่วนขยายจากสำนักข่าว AFP ของฝรั่งเศส มีการอธิบายกระบวนการตรวจสอบโดยใช้เครื่องมือดิจิทัล คล้ายกับของ ThaiPBS Verify

โคแฟค (ประเทศไทย

ในช่วงวันที่ 24 – 28 ก.ค. 2568 ซึ่งตรวจสอบทั้งข่าวจริง ข่าวปลอม ข่าวบิดเบือนและคลาดเคลื่อน พบจำนวน 11 ข่าว ดังนี้ 

– วันที่ 24 ก.ค.2568 พบทั้งหมด 5 ข่าว แบ่งเป็น 

ข่าวปลอม 2 ข่าว คือ 

1.คลิป F-16 ทิ้งระเบิดกองบัญชาการกัมพูชา : วันที่ 24 ก.ค. 2568 เวลา 12.54 น. ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์คลิปวิดีโอเป็นภาพเครื่องบินทิ้งระเบิด พร้อมข้อความบรรยายว่า “ด่วน! F-16 ทิ้งบอมบ์ 2 กองบัญชาการกัมพูชา กระเจิง หลังยิงปืนใหญ่ใส่บ้านเรือนคนไทย…” โคแฟคตรวจสอบด้วยการนำภาพจากวิดีโอไปสืบค้นด้วยเครื่องมือ Google Reverse Image (หรือ Google Lens) พบเป็นคลิปที่ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์มานานหลายปีก่อนเหตุการณ์ปะทะระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาในวันดังกล่าว โดยคลิปนี้ถูกแชร์กันอย่างแพร่หลายในบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ที่ใช้ภาษาอาหรับ มีการอ้างอิงว่าเป็นภาพจากเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย เช่น การสู้รบระหว่างอินเดีย –ปากีสถาน และการทิ้งระเบิดในประเทศซูดาน อย่างไรก็ตาม โคแฟคยังไม่สามารถตรวจสอบได้คลิปนี้เป็นภาพเหตุการณ์ใด ที่ไหน หรือเป็นภาพที่สร้างจากเอไอหรือไม่

2.คลิปชาวกัมพูชานับแสนรวมตัวขับไล่ฮุน เซน :วันที่ 24 ก.ค. 2568 เวลา 18.17 น. ผู้ใช้เฟซบุ๊กโพสต์วิดีโอภาพเหตุการณ์ขณะฝูงชนพยายามดันประตูและขว้างปาสิ่งของใส่เจ้าหน้าที่โดยใส่ข้อความบรรยายว่าชาวเขมรนับแสนคนชุมนุมขับไล่สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา แต่คลิปนี้เคยถูกนำมาอ้างเท็จแบบเดียวกันนี้มาแล้วครั้งหนึ่งช่วงต้นเดือน มิ.ย. 2568 

โดยโคแฟคและ AFP Fact Checkตรวจสอบแล้วพบว่าคลิปนี้ถูกโพสต์ในติ๊กตอกตั้งแต่วันที่ 26 พ.ค. 2568 ซึ่งเจ้าของโพสต์ระบุว่าเป็นเหตุการณ์ที่สนามกีฬา Gelora Bandung Lautan Api Stadium ในเมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย โดยรายงานข่าวท้องถิ่นระบุว่าเกิดเหตุแฟนฟุตบอลทีม Persib Bandung ที่ไม่มีบัตรพยายามจะพังประตูเข้าไปชมการแข่งขันฟุตบอลนัดชิงชนะเลิศระหว่างสโมสรท้องถิ่นสองทีมเมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2568

ข่าวจริง 2 ข่าว คือ 

1.คลิป “ยิง รพ.พนมดงรัก” จ.สุรินทร์ : วันที่ 24 ก.ค. 2568 เวลา 12.09 น. เพจเฟซบุ๊ก “แนวหน้า มั่นคง” โพสต์คลิปภาพทหารหมอบหาที่กำบังในอาคาร ขณะที่ด้านนอกมีกลุ่มควันพวยพุ่ง เขียนคำบรรยายเหตุการณ์ว่า กระสุน BM-21 ตกใส่บริเวณด้านหน้าโรงพยาบาลพนมดงรัก อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์

โคแฟคตรวจสอบกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุรินทร์ เจ้าหน้าที่ยืนยันว่ามีกระสุนจากเหตุปะทะที่ชายแดนไทย-กัมพูชาตกบริเวณ รพ. จริง ขณะนี้ผู้บริหารกำลังประชุมสรุปเหตุการณ์และมาตรการที่จำเป็น ขณะที่ภาคีเครือข่ายโคแฟคที่เป็นเจ้าหน้าที่ รพ. พนมดงรัก ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่ามีลูกปืนตกบริเวณฐานพระพุทธรูปด้านหน้า รพ. และมีทหารได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิด

นอกจากนั้น เพจเฟซบุ๊ก กระทรวงสาธารณสุข โพสต์ข้อความเมื่อเวลา 9.34 น. วันนี้ว่า “จากเหตุปะทะบริเวณปราสาทตาเมือนธม สถานบริการของ สธ. เริ่มปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุ โดย รพ.พนมดงรักได้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกจาก รพ. หมดแล้ว” รวมถึงเว็บไซต์ข่าวสาธารณสุข Hfocus รายงานคำพูดของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุขว่า รพ.พนมดงรัก มีขนาด 30 เตียง ได้ย้ายผู้ป่วย ไป รพ. อื่น 19 ราย และให้กลับบ้าน 19 ราย

2.คลิปกระสุนตกบริเวณปั๊ม ปตท. บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ : วันที่ 24 ก.ค. 2568 เวลา 11.19 น. ผู้ใช้เฟซบุ๊กโพสต์คลิปภาพกลุ่มควันพวยพุ่งบริเวณปั๊มน้ำมัน ปตท. บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ โดยบรรยายว่าเป็นภาพจุดที่ได้รับความเสียหายจากเหตุปะทะที่ชายแดนไทยกัมพูชาซึ่งโคแฟคตรวจสอบจากการรายงานของสื่อมวลชนและเฟซบุ๊กกองทัพภาคที่ 2 พบว่าคลิปดังกล่าวเป็นภาพเหตุการณ์จริง โดยกองทัพภาคที่ 2 โพสต์คลิปเมื่อเวลา 11.29 น. ว่ากระสุน BM21 ตกใส่ปั๊ม ปตท. บ้านผือ มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก

อนึ่ง ปั๊มน้ำมัน ปตท.ที่เกิดเหตุตั้งอยู่บริเวณรอยต่อพื้นที่บ้านผือและบ้านน้ำเย็น คนในพื้นที่จึงเรียกทั้งสาขาบ้านผือและบ้านน้ำเย็น แต่หากเช็กใน Google Map จะระบุว่าเป็นบ้านน้ำเย็น

ข่าวบิดเบือน 1 ข่าว คือ คลิปทหารกัมพูชาไล่ยิงนักศึกษาใน จ.สุรินทร์ ช่วงบ่ายวันที่ 24 ก.ค. 2568 มีผู้ใช้ติ๊กตอกโพสต์คลิปวิดีโอนักเรียนวิ่งหนีและส่งเสียงร้องด้วยความตกใจและหวาดกลัว โดยฝังคำบรรยายว่า “เขมรบุกเข้ามาไล่ยิงในพื้นที่ของนักศึกษาแล้ว” ซึ่งโคแฟคตรวจสอบเครื่องแบบนักเรียนในคลิปพบว่าเป็นเครื่องแบบของนักศึกษาวิทยาลัยการอาชีพสังขะ อ.สังขะ จ.สุรินทร์ จึงได้ติดต่อสอบถามข้อมูลจากวิทยาลัย เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าไม่มีเหตุการณ์ที่คนเขมรเข้ามาก่อเหตุตามที่คลิปกล่าวอ้าง ส่วนภาพในคลิปเป็นเหตุการณ์ที่นักศึกษาของวิทยาลัยตกใจเสียงปืนช่วงสายวันที่ 24 ก.ค. 2568 จึงวิ่งหาที่หลบภัย

นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าวิทยาลัยได้สั่งปิดสถานศึกษาระหว่างวันที่ 24 ก.ค.- 1 ส.ค. 2568 เนื่องจากเหตุความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของนักเรียน นักศึกษา ครูและบุคลากร

– วันที่ 25 ก.ค. 2568 พบทั้งหมด 4  ข่าว แบ่งเป็น 

ข่าวปลอม 2 ข่าว คือ 

1.ทหารไทยยึดพื้นที่ปราสาทพระวิหาร : ช่วงสายของวันที่ 25 ก.ค. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “Army Military Force – สำรอง” โพสต์ข้อความว่า “ด่วน! เวลา 09.25 น. ทหารไทยเข้ายึดพื้นที่ปราสาทพระวิหารและวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระที่เคยเป็นของไทยได้สำเร็จแล้ว…” ซึ่งต่อมา สรยุทธ สุทัศนะจินดา ได้นำไปรายงานในรายการ “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” ที่เผยแพร่ทางช่องยูทูบ

เวลา 10.30 น. กองทัพบกชี้แจงว่าเนื้อหาดังกล่าว #ไม่เป็นความจริง โดยได้โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก กองทัพบก Royal Thai Army ว่า “เป็นข่าวปลอม อย่าหลงเชื่อ” ซึ่งแม้ทางกองทัพบกจะออกมาปฏิเสธข่าว และเพจต้นทางก็ได้ลบเนื้อหาออกแล้ว แต่โคแฟคพบว่าในติ๊กตอกยังมีการแชร์เนื้อหาเท็จนี้อย่างกว้างขวาง โดยบางโพสต์ได้ตัดต่อคลิปจากรายการ “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” มาเผยแพร่

2.สั่งอพยพประชาชน จ.อุบลราชธานี และจังหวัดอื่นที่อยู่ในระยะ 130 กม. จากชายแดนไทย-กัมพูชา: ช่วงค่ำวันที่ 25 ก.ค. 2568 ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ข้อความ “เตือนภัย” อ้างว่ากัมพูชาเตรียมโจมตีไทยด้วยอาวุธที่สามารถยิงไกลได้ถึง 130 กม. ขอให้ประชาชนใน จ.อุบลราชธานีและจังหวัดอื่นที่อยู่ในระยะ 130 กม. จากชายแดนอพยพด่วน

โคแฟคตรวจสอบกับว่าที่พันตรี อดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีเมื่อเวลา 23.30 น. ได้รับคำยืนยันว่าตั้งแต่ช่วงค่ำจนถึงขณะนี้ทางจังหวัดไม่ได้มีคำสั่งให้อพยพด่วน สำหรับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยใน 2 อำเภอ คือ อำเภอน้ำยืนและอำเภอน้ำขุ่น ซึ่งอยู่ในระยะ 70-80 กม. จากชายแดน ได้อพยพไปอยู่ในที่ปลอดภัยก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นไปตามการประสานงานระหว่างทางจังหวัดและกองทัพ

โคแฟคตรวจสอบเพิ่มเติมกรณีที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียจำนวนมากอ้างถึงอาวุธของกัมพูชาที่สามารถยิงระยะไกลได้ถึง 130 กม. พบว่ามีที่มาจาก พล.ท. พงศกร รอดชมภู อดีตรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่กล่าวในรายการ “คนดังนั่งเคลียร์” ทางช่อง 8 เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568 ว่ากัมพูชามีจรวดหลายลำกล้องจากจีนชื่อ PHL03 ทั้งหมด 6 ชุด ซึ่งยิงได้ไกล 70-130 กม. สามารถเข้ามาถึงตัวเมืองและสร้างความเสียหายได้มาก ทั้งนี้ พล.ท.พงศกร ไม่ได้ระบุที่มาของข้อมูล

อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่เกิดเหตุปะทะเมื่อวันที่ 24 ก.ค. เพจทางการของกองทัพบกและกองทัพภาคที่ 2 ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์สู้รบไทย-กัมพูชา ยังไม่เคยกล่าวถึงอาวุธชนิดนี้ ในโพสต์เตือนภัยของกองทัพภาคที่ 2 เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2568 กล่าวถึงอาวุธยิงไกลที่กัมพูชาใช้ ได้แก่ จรวดหลายลำกล้อง BM-21 (ยิงได้ไกล 20 กม.) PHL-81 และ Type-90 B (ยิงได้ไกล 40 กม.)

หมายเหตุ : ในเวลาต่อมา วันที่ 26 ก.ค. 2568 เวลาประมาณ 10.00 น. เพจเฟซบุ๊กกองทัพภาคที่ 2 โพสต์ข้อมูลเกี่ยวกับขีปนาวุธ PHL-03 ระบุว่า “เป็นระบบขีปนาวุธที่มีความสามารถในการยิงหลายลูกพร้อมกันในระยะทางไกลถึง 130 กิโลเมตรจากตำแหน่งยิง ขีปนาวุธชนิดนี้สามารถทำลายที่หมายทางยุทธศาสตร์ และที่ตั้งกำลังทางทหาร ซึ่งกองทัพได้เตรียมการรองรับสถานการณ์ ในการปฏิบัติตามแผนพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลังและมีเครื่องมือในการทำลายขีปนาวุธชนิดนี้ แต่เพื่อไม่ประมาทในการป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของพลเรือน ขอให้ระมัดระวังการถูกโจมตีที่ไม่พึงประสงค์นี้ ขอให้ประชาชนไม่ตื่นตระหนก และติดตามการแจ้งเตือนจากทางการ”

ข่าวบิดเบือน 2 ข่าว คือ  

1.องค์กร-หน่วยงานในไทยปลดธงชาติกัมพูชาจากกลุ่มธงประเทศอาเซียน : 25 ก.ค. 2568 ผู้ใช้ติ๊กตอกหลายรายโพสต์คลิปวิดีโอชายคนหนึ่งกำลังลดธงชาติกัมพูชาลงจากเสาธง บางโพสต์ระบุว่าเป็นเหตุการณ์ที่สวนนงนุช อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี บางโพสต์เขียนคำบรรยายว่า “ตามหน่วยงาน องค์กร ลดธงชาติกัมพูชาลงจากเสาในบรรดากลุ่มธงชาติประเทศอาเซียน” เป็นสัญลักษณ์ว่าไทยตัดความสัมพันธ์กับกัมพูชาอย่างถาวร

โคแฟคโทรศัพท์สอบถามไปยังสวนนงนุช พนักงานให้ข้อมูลว่าภาพในคลิปเป็นกลุ่มเสาธงนานาชาติที่อยู่ด้านหน้าศูนย์ประชุมนานาชาตินงนุชพัทยาจริง แต่คลิปลดธงกัมพูชาที่มีการแชร์กันอย่างแพร่หลายนั้น ไม่ได้มาจากบัญชีโซเชียลมีเดียทางการของสวนนงนุช ซึ่งผู้บริหารกำลังตรวจสอบเหตุการณ์ในคลิป การบันทึกภาพและการเผยแพร่

นอกจากนั้น โคแฟคตรวจสอบเพิ่มเติมกับกระทรวงการต่างประเทศ เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าทางราชการไม่มีคำสั่งเรื่องการลดธง ซึ่งการลดธงไทยและธงอาเซียนมีกฎหมายและระเบียบกำกับ เช่น การลดธงในกรณีไว้อาลัย และทางการไทยไม่เคยมีคำสั่งเกี่ยวกับการลดธงของประเทศอื่น

2.คลิปชาวกรุงบรัสเซลล์บรรเลงเพลงชาติไทย ให้กำลังใจคนไทยในความขัดแย้งไทย-กัมพูชา :วันที่ 25 ก.ค. 2568 ผู้ใช้ติ๊กตอกและเฟซบุ๊กหลายรายโพสต์คลิปวิดีโอที่มีเสียงบรรเลงเพลงชาติไทย อ้างว่าชาวชาวกรุงบรัสเซลส์บรรเลงเพลงชาติไทยเพื่อส่งกำลังใจให้คนไทยในช่วงที่เผชิญความขัดแย้งกับกัมพูชา บางคลิปถูกแชร์ไปมากกว่า 3 หมื่นครั้ง ซึ่งโคแฟคตรวจสอบคลิปวิดีโอดังกล่าว พบว่าเป็นภาพที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียบันทึกในพิธีมอบชุด “ยิงกระต่าย เด็ดดอกไม้. แก่รูปปั้นเด็กฉี่ (Manneken Pis) ใจกลางกรุงบรัสเซลส์ ที่มีผู้เผยแพร่ในโซเชียลมีเดียตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค. 2568

เพจเฟซบุ๊กสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ โพสต์ภาพบรรยากาศและพิธีมอบชุดไทยแก่รูปปั้นเด็กซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2568 ว่า “…มีการเคลื่อนขบวนเพื่อไปมอบชุดแก่ Manneken Pis โดยได้รับเกียรติจากวงดุริยางค์แห่งกระทรวงการคลัง กรมศุลกากร ราชอาณาจักรเบลเยียม บรรเลงบทเพลงอันทรงเกียรติ ได้แก่ เพลงชาติไทย เพลงชาติเบลเยียม และเพลงมหาฤกษ์ บริเวณกลาง Grand Place ก่อนเคลื่อนขบวนท่ามกลางผู้คนและนักท่องเที่ยวที่มาร่วมชมขบวนแห่กันอย่างคับคั่ง” พร้อมกับเผยแพร่คลิปการบรรเลงเพลงชาติไทยของวงดุริยางค์ ซึ่งมีภาพและเสียงใกล้เคียงกับคลิปที่ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นการบรรเลงเพลงชาติให้กำลังใจคนไทย

– วันที่ 28 ก.ค. 2568 : พบ 2 ข่าว แบ่งเป็น 

ข่าวคลาดเคลื่อน 1 ข่าว คือ ผู้ว่าสุรินทร์ประกาศเขตภัยพิบัติสงคราม โดยเมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2568 สื่อมวลชนหลายสำนักรายงานว่านายชำนาญ ชื่นตา ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ประกาศให้จังหวัดสุรินทร์เป็น “เขตภัยพิบัติสงคราม” เพื่อให้การอนุมัติงบประมาณและการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาเป็นไปอย่างรวดเร็ว

ขณะที่เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลรายงานว่านายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าขณะนี้รัฐบาลได้รับแจ้งว่าผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ “ได้ลงนามในประกาศประกาศเขตภัยพิบัติสงครามแล้ว ซึ่งเป็นยกระดับเทียบเท่าน้ำท่วม-แผ่นดินไหว”

เวลา 11.20 น. นายชำนาญได้แถลงข่าวชี้แจงว่าเป็นการใช้ถ้อยคำที่คลาดเคลื่อนของสื่อมวลชนบางสำนัก ในประกาศของจังหวัดที่เกี่ยวข้องกับการให้ความช่วยเหลือประชาชนไม่มีถ้อยคำที่ระบุว่า “เขตภัยพิบัติสงคราม” เนื่องจากขณะนี้ประเทศไทยยังไม่ได้มีการประกาศสงคราม  

ทั้งนี้ ทางจังหวัดมีเพียงการประกาศให้อำเภอที่ได้รับผลกระทบใน จ.สุรินทร์เป็น “พื้นที่ประสบสาธารณภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของกองกำลังจากนอกประเทศ” มีประกาศและหนังสือที่เกี่ยวข้อง 2 ฉบับ ดังนี้

-ประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัยลงวันที่ 24 ก.ค. 2568 เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบของกระทรวงการคลังในการอนุมัติงบประมาณช่วยเหลือประชาชนในกรณีฉุกเฉิน

-หนังสือลงวันที่ 25 ก.ค. 2568 แจ้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ใช้งบประมาณของตัวเองในการดูแลประชาชนในช่วง  2-3 วันแรกที่เกิดเหตุ และหลังจากนั้นทางจังหวัดจะจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลให้ท้องถิ่นต่อไป

ข่าวปลอม 1 ข่าว คือ ไทยใช้อาวุธเคมีโจมตีกัมพูชา โดยวันที่ 28 ก.ค. 2568 เพจเฟซบุ๊กสถานทูตกัมพูชาในบัลแกเรีย Royal Embassy of Cambodia to the Republic of Bulgaria โพสต์ข้อความกล่าวหาว่าไทยใช้อาวุธเคมีโจมตีกัมพูชา โดยอ้างคำพูดของ พล.ท.หญิง มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ซึ่งจนถึงขณะนี้ ทางเพจได้โพสต์ข้อความกล่าวหาเรื่องไทยใช้อาวุธเคมีอย่างน้อย 4 โพสต์ ในเวลา 10.39, 12.11,12.23และ 13.46 น. โดยในโพสต์แรกมีการใช้ภาพประกอบเครื่องบินปล่อยควันสีแดงมีธงชาติไทยประกอบ แต่ได้ลบภาพออกในภายหลัง

กรณีนี้กระทรวงการต่างประเทศและกองทัพบกได้ออกแถลงการณ์ปฏิเสธข้อกล่าวหา ยืนยันว่ากองทัพไทยไม่มีการใช้ #อาวุธเคมี โดยนายนิกรเดช พลางกูร โฆษก กต. ระบุว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวขาดมูลความจริงและสะท้อนการบิดเบือนข้อมูลอย่างเป็นระบบที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงในพื้นที่ และมีเจตนาที่จะบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือและสถานะของประเทศไทยในประชาคมระหว่างประเทศ

“ประเทศไทยยืนยันการยึดมั่นต่อพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาห้ามอาวุธเคมี (Chemical Weapons Convention: CWC) และยืนหยัดในท่าทีในการประณามการใช้อาวุธเคมีไม่ว่าจะเป็นที่ใด โดยผู้ใด หรือภายใต้สถานการณ์ใดก็ตาม นอกจากนี้ ประเทศไทยยังยึดมั่นต่อตราสารระหว่างประเทศด้านการลดอาวุธและการไม่แพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงทั้งปวง” แถลงการณ์ กต. ระบุ 

สำหรับภาพที่สถานทูตกัมพูชาในบัลแกเรียนำมาประกอบโพสต์กล่าวหานั้น โคแฟคตรวจสอบพบว่าเป็นภาพประกอบข่าวเครื่องบินบรรทุกสารเคมีเพื่อดับไฟป่าในลอสแองเจลิสที่เผยแพร่ทางเว็บไซต์สำนักข่าวรอยเตอร์สเมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2568

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

https://www.thaipbs.or.th/verify/highlight/thai-cambodia-situation

https://www.thaipbs.or.th/news/content/354676 (กองทัพยืนยัน “กระสุนตกฝั่งลาว” ไม่ใช่ของฝ่ายไทย : ThaiPBS 26 ก.ค. 2568)

https://factcheck.afp.com/list/regions/Asia-Pacific

https://factcheck.afp.com

https://www.facebook.com/CofactThailand

**AFP มีทำรายงานภาษาอังกฤษอีกสองเรื่อง(ยังไม่มีรายงานภาษาไทย)

https://factcheck.afp.com/doc.afp.com.682J99E
Photo of US aircraft dropping fire retardant falsely linked to Thailand-Cambodia conflict | Fact Check

https://factcheck.afp.com/doc.afp.com.68247CQ
Old military exercise photo misrepresented as Thailand-Cambodia clashes | Fact Check


ชาวปาเลสไตน์จ้างนักแสดง ‘แกล้งตาย-เจ็บ’ ในศึกกาซาจริงหรือ?

ธีรนัย จารุวัสตร์

สมาชิกเครือข่าย Cofact Thailand 

ขณะที่ภาพข่าวความสูญเสียของชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาได้รับการตีแผ่ไปทั่วโลก แต่โลกโซเชียลมีเดียกลับเต็มไปด้วยคลิปที่อ้างว่าผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตชาวปาเลสไตน์เป็นเพียงการ “จัดฉาก” เพื่อเรียกร้องความเห็นใจจากชาวโลก หรือที่เรียกกันในวงการสื่อว่า ทฤษฎีสมคบคิด “Pallywood”

หากใครจำกันได้ หลังจากที่กองทัพรัสเซียรุกรานยูเครนในต้นปี 2022 และเริ่มมีรายงานว่าประชาชนยูเครนจำนวนหนึ่งเสียชีวิตจากปฏิบัติการทางทหารของรัสเซีย พิธีกรข่าวของช่อง “ททบ. 5” ในประเทศไทย ได้นำคลิปวิดิโอหนึ่งมาเผยแพร่ออกอากาศ โดยระบุว่าเป็นการจับผิด “ศพ” ชาวยูเครนที่ถูกทหารรัสเซียสังหาร แต่ “ศพ” กลับขยับเขยื้อนได้ ดูเหมือนเป็นการ “จัดฉาก” ซะมากกว่า

อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงปรากฎว่าวิดิโอดังกล่าวเป็นคลิปจากเหตุการณ์การประท้วงสภาวะโลกร้อน ซึ่งนักกิจกรรมได้แสดงท่าทางเป็นศพเท่านั้น ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับสงครามในยูเครนเลย และในเวลาต่อมา ได้มีหลักฐานและภาพข่าวประชาชนยูเครนที่ถูกคร่าชีวิตโดยกองทัพรัสเซียปรากฎสู่สายตาชาวโลกอย่างล้นหลาม จนไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป การกล่าวหาในทำนองว่ายูเครน “จัดฉาก” ผู้เสียชีวิตเพื่อป้ายสีรัสเซีย จึงค่อยๆเงียบหายไป…

เวลาผ่านมาปีกว่า วาทกรรมดังกล่าวกลับขึ้นมาแพร่หลายในโซเชียลมีเดียอีกครั้ง แต่เปลี่ยนบริบท 

จากสงครามในยูเครน สู่สงครามในฉนวนกาซาและอิสราเอล จากที่เคยพุ่งเป้าจับผิดว่าชาวยูเครน “จัดฉาก” หรือแกล้งตาย กลายมาเป็นการกล่าวหาว่าชาวปาเลสไตน์กำลังใช้ “นักแสดง” สวมบทบาทเป็นผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการโจมตีของกองทัพอิสราเอล ซึ่งในปัจจุบัน ข้อมูลจากทางการกาซาระบุว่าชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 10,000 ราย ตั้งแต่กองทัพอิสราเอลเริ่มปิดล้อมและถล่มฉนวนกาซา หลังฮามาสก่อเหตุสังหารประชาชนในอิสราเอลจำนวนมากเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา

ตัวอย่างเช่น คลิปที่อ้างว่าชายคนหนึ่งที่สูญเสียขาในโรงพยาบาลกาซ่า กลับกลายว่ายังมีขาอยู่ในวันถัดมา หรืออ้างว่าศพเยาวชนในกาซาขยับเขยื้อนตัวได้ หรืออ้างว่ามีนักแสดงชาวปาเลสไตน์ปรากฎตัวในคลิปการโจมตีของอิสราเอลหลายครั้ง ฯลฯ 

ทั้งหมดเหล่าเป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีสมคบคิดที่เรียกว่า “Pallywood” ซึ่งเป็นการรวมกันของคำว่า “Hollywood” กับ “Palestine” เพื่อที่จะสื่อว่า ภาพและข่าวความสูญเสียในปาเลสไตน์นั้น เป็นการจัดฉากขึ้นเพื่อตบตาชาวโลก มีการใช้นักแสดงหรือวางบทบาทกันเป็นเรื่องเป็นราว ไม่ต่างจากการถ่ายภาพยนตร์ Hollywood

ที่น่ากังวลคือทฤษฎีสมคบคิดเช่นนี้ถูกส่งต่อในโซเชียลมีเดียหลายช่องทาง แม้แต่ทางการอิสราเอลและสำนักข่าวจำนวนหนึ่ง (รวมถึงสื่อไทยอย่างน้อยหนึ่งแห่ง) ก็หยิบมาเผยแพร่ต่อ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดแต่เคลือบแคลงใจต่อวิกฤติมนุษยธรรมในกาซาขณะนี้อย่างแพร่หลาย ทั้งที่ผู้เชี่ยวชาญและ factcheckers จำนวนมากได้พิสูจน์ทราบแล้วว่าไม่มีมูลความจริง 

จากปาเลสไตน์ สู่กลุ่มขวาจัดอเมริกัน

แนวคิด Pallywood เริ่มปรากฎขึ้นครั้งแรกในช่วงต้นทศวรรษ 2000 ระหว่างการลุกฮือครั้งใหญ่ของชาวปาเลสไตน์เพื่อต่อต้านการยึดครองเขตเวสต์แบงก์และกาซาโดยกองทัพอิสราเอล 

การลุกฮือ (หรือที่เรียกว่า intifada) ดังกล่าวประกอบด้วยทั้งการประท้วงและการใช้อาวุธโจมตีเป้าหมายในอิสราเอล นำไปสู่การโต้ตอบอย่างรุนแรงจากกองทัพอิสราเอล ทำให้ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตจำนวนมาก โดยเฉพาะพลเรือน ภาพข่าวความสูญเสียของชาวปาเลสไตน์เริ่มปรากฎขึ้นในสื่อมวลชนต่างประเทศหลายแห่ง กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอิสราเอล 

เหตุการณ์หนึ่งที่สร้างความสะเทือนใจไปทั่วโลก คือวิดิโอข่าวเหตุการณ์สองพ่อลูกชาวปาเลสไตน์ที่พยายามซุกตัวในมุมถนนแห่งหนึ่ง เพื่อหลบการต่อสู้กันระหว่างทหารอิสราเอลกับกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ ก่อนที่ทั้งสองพ่อลูกจะถูกยิงเสียชีวิตในที่สุด ซึ่งทีมข่าวระบุว่าเป็นฝีมือทหารอิสราเอล สร้างความโกรธแค้นไปทั่วในปาเลสไตน์และนานาประเทศ

สองพ่อลูกชาวปาเลสไตน์ Jamal และ Muhammad al-Durrah ขณะพยายามหลบกระสุนปืนท่ามกลางการต่อสู้กันระหว่างทหารอิสราเอลและกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา เมื่อปี 2000 ที่มา: France 2

อย่างไรก็ตาม นักวิชาการจำนวนหนึ่งในสหรัฐฯ เริ่มตั้งคำถามต่อวิดิโอดังกล่าวว่าเชื่อถือได้จริงหรือไม่ โดยได้หยิบยกข้อสังเกตต่างๆมาวิจารณ์ เช่น ดูเหมือนคลิปมีการตัดต่อ, มุมกล้องไม่ได้แสดงเหตุการณ์ทั้งหมด, ลำดับเหตุการณ์ไม่ตรงกับคำให้การของพยาน ไปจนถึงกระทั่งว่า สองพ่อลูกในข่าวไม่ได้เสียชีวิตจริง แต่อาจจะเป็นการ “จัดฉาก” ขึ้นเท่านั้น 

แนวคิดนี้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว จากเดิมที่เป็นการตั้งข้อสังเกตกับข่าวเหตุการณ์เดียว กลายเป็นการตั้งคำถามกับภาพและข่าวความสูญเสียอื่นๆของชาวปาเลสไตน์ด้วย พร้อมโจมตีว่าสื่อมวลชนหลายแห่งสมคบคิดกันเพื่อจัดฉากป้ายสีอิสราเอล หรือจ้างนักแสดงปาเลสไตน์มาแกล้งตายเพื่อจะได้ภาพข่าวที่ต้องการ เป็นที่มาของคำว่า Pallywood 

กระแส Pallywood เริ่มลดลงไปบ้างหลังการกำเนิดขึ้นของโซเชียลมีเดีย ซึ่งช่วยให้ประชาชนผู้เสพข่าวทั่วโลกได้เห็นเหตุการณ์ความรุนแรงต่างๆในปาเลสไตน์กับตาตัวเองโดยตรง แต่องค์ประกอบบางส่วนในแนวคิด Pallywood ได้วิวัฒนาการกลายเป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีสมคบคิดอื่นๆ ที่มักจะเผยแพร่ในกลุ่มขวาจัดอเมริกันในเวลาต่อมา 

ยกตัวอย่างเช่นเมื่อมีเหตุโศกนาฏกรรมกราดยิงหรือสังหารหมู่ในอเมริกา กลุ่มอนุรักษ์นิยมสุดโต่งมักจะเผยแพร่ข้อกล่าวหาว่า การกราดยิงต่างๆนั้นเป็นเพียงการ “จัดฉาก” โดยหน่วยงานความมั่นคงสหรัฐ เพื่อใช้เป็นข้ออ้างจำกัดสิทธิ์การครอบครองอาวุธปืนหรือลิดรอนเสรีภาพประชาชน 

เท่านั้นยังไม่พอ ยังกล่าวหาด้วยว่าบรรดาเหยื่อกราดยิงและครอบครัวผู้เสียชีวิต เป็นเพียงนักแสดงเฉพาะกิจ (crisis actors) ที่เล่นบทบาทตบตาสื่อและประชาชน สร้างความเจ็บปวดให้แก่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ดังเช่นในเหตุกราดยิงโรงเรียนประถม Sandy Hook เมื่อปี 2012 จนครอบครัวเหยื่อเหตุกราดยิงครั้งนั้นถึงกับรวมตัวฟ้องร้องนาย Alex Jones เจ้าของสำนักข่าวแนวขวาจัดรายใหญ่ ซึ่งมีบทบาทในการเผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิดดังกล่าว จนชนะคดีในเวลาต่อมา 

นอกจากนี้ ทฤษฎีสมคบคิดในลักษณะเดียวกันยังกลับมาปรากฎขึ้นในช่วงสั้นๆ หลังเหตุการณ์กองทัพรัสเซียทิ้งระเบิดใส่โรงพยาบาลผดุงครรภ์ในเมือง Mariupol ประเทศยูเครน เมื่อต้นปี 2022 ซึ่งกลุ่มชาตินิยมและสื่อในสังกัดรัฐของรัสเซียพยายามบิดเบือนว่า ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็น “นักแสดง” ที่ยูเครนจัดฉากขึ้น เป็นต้น

เมื่อ ‘Mr. FAFO’ ระบาดมาถึงสื่อไทย

การสู้รบระหว่างกองทัพอิสราเอลและกลุ่มฮามาสรอบล่าสุด ได้ทำให้กระแส Pallywood กลับมาแพร่ระบาดในสังคมออนไลน์อย่างไม่ต้องสงสัย ท่ามกลางกระแสข่าวบิดเบือนจำนวนมากเกี่ยวกับสงครามกาซาที่กระจายอยู่เต็มโซเชียลมีเดีย มีทั้งเพื่อสร้างและทำลายความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรงของคู่ขัดแย้งบนความเข้าใจผิดของผู้เสพย์ข้อมูล

ตัวอย่างหนึ่งซึ่งมักจะปรากฎอยู่บ่อยๆ คือชายชายปาเลสไตน์คนหนึ่งที่กลุ่มผู้ใช้โซเชียลมีเดียที่สนับสนุนรัฐบาลอิสราเอล ระบุว่าเป็น “นักแสดง” มากบทบาท เป็นทั้งทหารฮามาส สื่อมวลชน เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ผู้บาดเจ็บจากการโจมตีของอิสราเอล แม้กระทั่งศพผู้เสียชีวิต

ชายคนนี้ได้รับฉายาจากกลุ่มขวาจัดอเมริกันว่า “Mr. FAFO” ซึ่งเป็นคำแสลงอเมริกันหมายถึงคนที่รนหาที่ตาย (Fuck Around, Find Out – FAFO) ข่าวนี้ได้กระจายออกจากโซเชียลมีเดียของกลุ่มขวาจัดไปสู่สังคมออนไลน์ทั่วโลกอย่างรวดเร็ว รวมถึงแอคเคาท์ทวิตเตอร์ทางการของรัฐบาลอิสราเอลด้วย โดยระบุเป็นเสียงเดียวกันว่า Mr. FAFO คนนี้เป็นหลักฐานปฏิบัติการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารของชาวปาเลสไตน์

ในกรณีประเทศไทย พบข้อมูลบิดเบือน คลิปปลอม เกี่ยวกับสงครามอิสราเอล-ฮามาส ที่มีคนดูหลายล้านวิวในโซเชียลมีเดียไทยด้วยกัน  ส่วนในภาพรวมของสื่อมวลชนไทยจะเน้นการรายงานข่าวหรือข้อมูลการสู้รบระหว่างกองทัพอิสราเอลและกองกำลังติดอาวุธกลุ่มฮามาสจากแหล่งข้อมูลทางการหรือสำนักข่าวต่างประเทศที่มีความน่าเชื่อถือ จะมีบางสื่อที่รายงานโดยให้น้ำหนักไปทางข้างใดข้างหนึ่ง เช่นกรณี เว็บไซต์ของช่อง Bright TV ได้หยิบยกเรื่องของ Mr. FAFO มาเผยแพร่ต่อ โดยเนื้อข่าวตอนนี้ระบุว่า:

“ทั้งนี้ ท่ามกลาง Saleh Aljafarawi นามแฝงของนาย FAFO ที่บงการอย่างสิ้นหวังและวิดีโอที่ทำให้เข้าใจผิดและการกล่าวอ้างทางโซเชียลมีเดีย เป็นที่น่าสังเกตว่ากลุ่มฮามาสใช้กลยุทธ์การโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ เพื่อสร้างความเห็นอกเห็นใจและฉายภาพอิสราเอลว่าเป็นผู้กดขี่ กลไกที่น่าละอายอย่างหนึ่งของฮามาสก็คือการอ้างว่ามีผู้เสียชีวิตกว่า 500 รายในโรงพยาบาลฉนวนกาซา อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จากกองกำลังป้องกันประเทศอิสราเอล (IDF) ชี้ให้เห็นอย่างรวดเร็วว่านี่ไม่ใช่การโจมตีทางอากาศของอิสราเอล แต่เป็นจรวดที่ยิงผิดจากในฉนวนกาซา 

เห็นได้ชัดว่า นอกเหนือจากการทำสงครามกับฮามาส เฮาซี และฮิซบอลเลาะห์แล้ว อิสราเอลยังต้องต่อสู้กับสงครามข้อมูลที่บิดเบือน/บิดเบือนด้วยเช่นกัน”

อย่างไรก็ตาม หากได้มีการสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติม ก็จะพบว่านาย Saleh มีอาชีพเป็นอินฟลูเอนเซอร์และคอนเทนต์ครีเอเทอร์ชื่อดังในกาซาตั้งแต่ก่อนเริ่มสงครามแล้ว โดยเขาได้เผยแพร่คลิปวิดิโอ สตอรี่ และผลงานเพลงจำนวนมาก ซึ่งก็ไม่ต่างจากอินฟลูเอนเซอร์ในประเทศอื่นๆทั่วโลก อีกทั้งยังทำงานอาสาเป็นเจ้าหน้าที่ให้แก่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกาซาด้วย (จึงเป็นที่มาของภาพนาย Saleh ในเครื่องแบบโรงพยาบาล) 

มิได้มีเจตนาแฝงตัวเป็นบุคคลหลากหลายอาชีพแบบที่เข้าใจกัน และไม่เคยอ้างตัวว่าเป็นผู้บาดเจ็บจากเหตุโจมตีของอิสราเอล

นอกจากนี้ บางภาพที่นำมายำรวมกันและอ้างว่าเป็น Mr. FAFO ไม่ใช่ภาพของนาย Saleh ด้วยซ้ำ ดังเช่นภาพด้านขวามือที่ปรากฎข้างบนนี้ ซึ่งจริงๆแล้วเป็นภาพของ Mohammad Zendeq ชาวปาเลสไตน์อีกคนหนึ่ง ที่บาดเจ็บจากปฏิบัติการทางทหารโดยกองทัพอิสราเอลในเขตเวสต์แบงก์ (ไม่ใช่ฉนวนกาซา) ตั้งแต่เมื่อเดือนสิงหาคม หรือก่อนหน้าสงครามกาซารอบล่าสุดเสียอีก 

ด้านทีมข่าว AFP Fact Check ในประเทศไทย ได้พิสูจน์แล้วว่า ภาพ “ศพ” ที่หลายคนอ้างว่าเป็น Mr. FAFO แกล้งตายนั้น จริงๆแล้วเป็นภาพเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่แต่งชุดประกวดงานวันฮาโลวีนในจังหวัดนครราชสีมา ประเทศไทย เมื่อเดือนตุลาคม 2565 ต่างหาก

นอกจาก Mr. FAFO แล้ว ข่าวบิดเบือน Pallywood เช่นนี้ยังปรากฎขึ้นในอีกหลายรูปแบบ เช่น เอาคลิปเบื้องหลังการถ่ายภาพยนตร์ในเลบานอน มาอ้างว่าชาวปาเลสไตน์กำลังแต่งหน้าและแต้มสีเลือด ให้ดูเหมือนว่าบาดเจ็บจากการโจมตีของอิสราเอล, เอาภาพนักกิจกรรมในประเทศอียิปต์นอนแกล้งตายเพื่อประท้วงรัฐบาล มาอ้างว่าชาวปาเลสไตน์แต่งกายเป็นศพ เพื่อหลอกตาสื่อมวลชน เป็นต้น

เครื่องมือทางจิตวิทยา?

แน่นอนว่าคำถามหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นในใจหลายคนคือ ผู้ที่เผยแพร่และปั่นกระแส Pallywood เช่นนี้ มีจุดประสงค์เพื่ออะไร

ผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่งได้แสดงความกังวลไว้ว่า ผลกระทบหนึ่งจากทฤษฎีสมคบคิด Pallywood คือจะค่อยๆทำให้ประชาชนที่รับข่าวสารเกี่ยวกับสงครามกาซาเกิดความเคลือบแคลงใจ และเริ่มคิดว่าสื่อหรือโซเชียลมีเดียที่เผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับชาวปาเลสไตน์ไม่น่าเชื่อถือ จนทำให้เส้นแบ่งระหว่าง “ความจริง” กับ “ความเท็จ” ค่อยๆเลือนลงไป ทั้งที่มีหลักฐานจำนวนมากที่บ่งชี้ถึงวิกฤติมนุษยธรรมที่กำลังเกิดขึ้นในกาซา 

ดังที่ Sam Doak นักวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับข่าวบิดเบือน ให้สัมภาษณ์ไว้กับ Rolling Stone ว่าแนวคิดเช่นนี้เสี่ยงทำให้ผู้ที่รับชมข่าวสารมีทัศนคติเชิงลบต่อชาวปาเลสไตน์ เพราะปักใจเชื่อว่าชาวปาเลสไตน์พยายามหลอกลวงประชาชนทั่วโลก และมองว่าข่าวเกี่ยวกับความสูญเสียของพลเรือนปาเลสไตน์เป็นเพียงโฆษณาชวนเชื่อเท่านั้น

“นี่คือการลดทอนความเป็นมนุษย์” Doak กล่าวสรุป

ข้อมูลสำหรับอ่านเพิ่มเติม

No, Palestinians Are Not Faking the Devastation in Gaza | Rolling Stone 

Clip shows teenager in West Bank hospital, not faked injuries in Gaza | AFP Fact Check

A thread on Pallywood conspiracy theory | Matt Binder 

พบข้อมูลบิดเบือน คลิปปลอม เกี่ยวกับสงครามอิสราเอล-ฮามาส มีคนดูหลายล้านวิวในโซเชียลมีเดียไทย I BBC Thai 


คลิปเหตุการณ์สู้รบรัสเซีย-ยูเครน ถูกนำมาอ้างเท็จ ว่าเป็นภาพ “ทหารไทยวิ่งหนีโดรนพลีชีพ”

กองบรรณาธิการโคแฟค

❓ เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปทหารไทยวิ่งหนีโดรนพลีชีพ 

❌ ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ เป็นคลิปเก่าจากเหตุสงครามรัสเซีย-ยูเครน**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 10 ธ.ค. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “13 สยามไทย” โพสต์คลิปความยาวเกือบ 20 วินาที เป็นภาพทหารคนหนึ่งกระโดดลงจากรถกระบะแล้ววิ่งหนีวัตถุคล้ายโดรน มีข้อความฝังในคลิปว่า “นาทีชีวิต ทหารไทยไหวตัวทัน วิ่งหนีโดรนพลีชีพ” โพสต์นี้ถูกแชร์ไปมากกว่า 2 พันครั้ง และมีจำนวนการเข้าชมมากกว่า 2.3 ล้านครั้ง ณ วันที่ 11 ธ.ค. และยังพบว่ามีการเผยแพร่ในแพลตฟอร์มอื่น ๆ ทั้ง X ยูทูบและติ๊กตอก

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: จากการตรวจสอบด้วยเครื่องมือ Google Lens พบว่าคลิปนี้เคยถูกเผยแพร่โดยผู้ใช้โซเชียลมีเดียในต่างประเทศจำนวนมากในช่วงเดือน พ.ย. 2568 โดยวันที่เก่าที่สุดที่พบว่ามีการเผยแพร่คือ 14 พ.ย. ทางเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ Rossiyskaya Gazeta สื่อของทางการรัสเซีย ซึ่งพาดหัวข่าวว่า “โดรนระเบิดรถยนต์ขณะที่นักรบพยายามยิงทำลายใส่มัน”

รายงานข่าวระบุว่าคลิปนี้เผยแพร่ทางบัญชีเทเลแกรม @ChDambiev เมื่อวันที่ 14 พ.ย. โดยถ่ายจาก “ฝั่งศัตรู” ซึ่งหมายถึงยูเครน และบรรยายเป็นภาพเหตุการณ์ที่นักรบของฝ่ายตรงข้าม พยายามยิงปืนไรเฟิลใส่โดรนที่บินพุ่งมาที่เขา

โคแฟคตรวจสอบช่องเทเลแกรม @ChDambiev พบว่ามีผู้ติดตามเกือบ 1.2 แสนบัญชี และมักโพสต์วิดีโอการสู้รบพร้อมคำบรรยายภาษารัสเซีย และพบว่ามีการโพสต์คลิปวิดีโอนี้เมื่อวันที่ 14 พ.ย. จริงโดยเขียนคำบรรยายภาษารัสเซียว่า “โดรนของรัสเซียจู่โจมรถยนต์”

นอกจากนี้ช่อง The Sun สื่ออังกฤษได้เผยแพร่คลิปนี้เมื่อวันที่ 17 พ.ย. พร้อมคำบรรยายว่า “ทหารยูเครนวิ่งหนีเอาชีวิตรอดจากการโจมตีของโดรนรัสเซีย”

(จากซ้ายไปขวา) เปรียบเทียบภาพจากคลิปวิดีโอที่เพจเฟซบุ๊ก “13 สยามไทย” อ้างว่าเป็นทหารไทยวิ่งหนีโดรนพลีชีพ กับภาพจากคลิปที่เผยแพร่ในบัญชีเทเลแกรม @ChDambiev และยูทูบ The Sun

แม้จะยังไม่สามารถยืนยันที่มาหรือสถานที่ในคลิปได้แน่ชัด แต่ข้อมูลจากสื่อของรัสเซียและสื่ออังกฤษระบุตรงกันว่าเป็นเหตุการณ์ที่ทหารยูเครนวิ่งหนีและพยายามยิงทำลายโดรนพลีชีพของรัสเซีย ซึ่งคลิปนี้ถูกเผยแพร่ทางช่องเทเลแกรมและถูกนำมาเผยแพร่ต่อโดยสื่อทางการของรัสเซียมาตั้งแต่ช่วงกลางเดือน พ.ย. 2568 หรือก่อนเกิดเหตุปะทะเมื่อวันที่ 7 ธ.ค. เกือบสามสัปดาห์ จึงสรุปได้ว่าคลิปนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สู้รบระหว่างทหารไทยและกัมพูชา

ประเทศไทยแก้ไขรัฐธรรมนูญมาแล้วกี่ฉบับ รวมทั้งหมดกี่ครั้ง ?

กองบรรณาธิการโคแฟค

❓ เนื้อหาที่ตรวจสอบ: ประเทศไทยแก้รัฐธรรมนูญมาแล้ว 20 ฉบับ

❌ ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **ข้อมูลคลาดเคลื่อน ข้อมูลจากไอลอว์ระบุว่านับตั้งแต่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 ถึงปัจจุบัน มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญทั้งหมด 23 ครั้ง โดยเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญและรัฐธรรมนูญชั่วคราวทั้งหมด 9 ฉบับ**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 10 ธ.ค.2568 รัชนีกร ทองทิพย์ สมาชิกวุฒิสภา อภิปรายในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาวาระพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ วาระที่ 2 ซึ่งเธอแสดงความไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญและเรียกร้องให้สมาชิกรัฐสภายุติการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วหันมาให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาของประชาชนและพัฒนาประเทศอย่างจริงจัง

“เราแก้รัฐธรรมนูญมา 20 ฉบับแล้ว หากประเทศไทยเจริญจริงจากการแก้รัฐธรรมนูญ ป่านนี้เราคงเจริญไปแล้วจากรัฐธรรมนูญ 20 ฉบับที่แก้กันมา” รัชนีกรกล่าว

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชนหรือไอลอว์ ซึ่งเป็นองค์กรภาคประสังคมที่มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญของไทยในบทความเรื่อง “แก้รัฐธรรมนูญ: รัฐธรรมนูญไทย 20 ฉบับ แก้สำเร็จมาแล้ว 22 ครั้ง” ที่เผยแพร่เมื่อเดือน ส.ค. 2562 ว่า นับตั้งแต่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 ประเทศไทยประกาศใช้รัฐธรรมนูญมาแล้ว 20 ฉบับ และมีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 22 ครั้ง โดยเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญและรัฐธรรมนูญชั่วคราวทั้งหมด 8 ฉบับ

“หลังประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองและเริ่มใช้รัฐธรรนูญครั้งแรก รัฐธรรมนูญเคยถูกแก้ไขสำเร็จมาแล้ว 22 ครั้ง ต่างกรรมต่างวาระด้วยกัน โดยในยุคที่มีการเลือกตั้งแก้ไขรัฐธรรมนูญไป 10 ครั้งส่วนเรื่องที่แก้ไขหลายครั้งเป็นอันดับต้นๆ เช่น ระบบเลือกตั้ง ส.ส. อำนาจ ส.ว. และวิธีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เป็นต้น” ไอลอว์ระบุในบทความ

อย่างไรก็ตาม ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้อำนวยการไอลอว์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับโคแฟคเมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 2568 ว่าบทความชิ้นนี้เผยแพร่ก่อนที่จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 เมื่อปี 2564 ในประเด็นสัดส่วนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตจำนวน 400 คน และแบบบัญชีรายชื่อ จำนวน 100 คน /บัตรเลือกตั้ง /การคำนวณสัดส่วนผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อที่จะได้รับเลือกตั้ง

ดังนั้น เมื่อรวมการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ด้วยจึงสรุปได้ว่า นับตั้งแต่หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 จนถึงปัจจจุบัน (ธ.ค. 2568) ประเทศไทยมีการแก้รัฐธรรมนูญทั้งหมด 23 ครั้ง โดยเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งหมด 9 ฉบับ ดังนี้

  • รัฐธรรมนูญปี 2475 แก้ไข 3 ครั้ง
  • รัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) ปี 2490 แก้ไข 3 ครั้ง
  • รัฐธรรมนูญปี 2517 แก้ไข 1 ครั้ง
  • รัฐธรรมนูญปี 2521 แก้ไข 2 ครั้ง
  • รัฐธรรมนูญปี 2534 แก้ไข 6 ครั้ง
  • รัฐธรรมนูญปี 2540 แก้ไข 1 ครั้ง
  • รัฐธรรมนูญปี 2550 แก้ไข 2 ครั้ง
  • รัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) ปี 2557 แก้ไข 4 ครั้ง
  • รัฐธรรมนูญปี 2560 แก้ไข 1 ครั้ง

ดูรายละเอียดเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญทั้ง 20 ฉบับ และรายละเอียดเกี่ยวกับการแก้ไขได้ที่เว็บไซต์พิพิธภัณฑ์รัฐสภา

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ

ตรวจสอบภาพด้วยเอไอ เชื่อถือได้หรือใช้ยืนยันอคติ?

กองบรรณาธิการโคแฟค

ผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียร่วมกันตรวจสอบภาพของภคมน หนุนอนันต์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ขณะลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2568 หลังจากมีข้อกล่าวหาว่าระดับน้ำท่วมไม่ได้สูงจริงอย่างที่เห็นในภาพ

แม้ว่าหลักฐานต่าง ๆ ที่นำมาประกอบกัน เช่น ภาพจาก Google Street View และคลิปสำรวจพื้นที่จริงจากเจ้าของบ้านที่อยู่ใกล้กับจุดน้ำท่วม จะสามารถยืนยันได้ว่าจุดที่ภคมนหรือ “สส.ลิซ่า” ช่วยผู้ประสบภัยอยู่นั้นระดับน้ำท่วมสูงจริง แต่สุรวิชช์ วีรวรรณ สื่อมวลชนอาวุโสและคอลัมนิสต์ได้ข้อสรุปที่ต่างออกไปโดยอ้างอิงการวิเคราะห์ภาพด้วยเอไอ

สุรวิชช์โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก “Surawich Verawan” เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 2568 ว่าหากใช้เอไอวิเคราะห์ภาพ “แบบมีหลักการ” จะพบว่า “ระดับน้ำจริงไม่ลึกเท่าที่สายตาเห็น” โพสต์นี้มียอดกดถูกใจมากกว่า 3,100 ครั้ง และยอดแชร์มากกว่า 180 ครั้ง (ณ วันที่ 8 ธ.ค.) 

แม้ว่าเอไอจะเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยในการตรวจสอบข้อเท็จจริงได้บางส่วน แต่นักตรวจสอบข้อเท็จจริง (fact-checker) เห็นว่าเอไอมีข้อจำกัดและจุดอ่อนในการตรวจสอบเนื้อหา ไม่ว่าจะเป็นภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว หรือข้อความ การนำคำตอบของเอไอมาอ้างอิงจึงเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังว่าจะกลายเป็นการหาหลักฐานมาสนับสนุนความคิดความเชื่อเดิมของตัวเองหรืออคติยืนยัน (confirmation bias)

ข้อจำกัดของเอไอในการตรวจสอบข้อเท็จจริงมีอะไรบ้าง โคแฟควิเคราะห์ไว้ในบทความชิ้นนี้โดยใช้การตรวจสอบภาพ สส.ลิซ่า ช่วยน้ำท่วมเป็นกรณีศึกษา

ภาพต้นเหตุ

หลายจังหวัดในภาคใต้ของไทยเผชิญกับมหาอุทกภัยโดยเฉพาะใน จ.สงขลา ตั้งแต่วันที่ 17 พ.ย. เป็นเวลานานกว่า 2 สัปดาห์ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 229 ราย จากตัวเลขทั้งหมด 267 ราย (ข้อมูลจากรายงานของไทยพีบีเอส อ้างอิงกระทรวงสาธารณสุข ณ วันที่ 2 ธ.ค. 68)  

ลิซ่าเป็น สส. คนหนึ่งที่ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัย แต่กลับตกเป็นเป้าโจมตีในโลกออนไลน์ว่าการลงพื้นที่ของเธอนั้นเป็นการสร้างภาพมากกว่าจะเป็นการช่วยเหลือประชาชนจริง โดยมีผู้นำภาพจากคลิปที่เผยแพร่ในบัญชี X ของนายศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ พิธีกรข่าวและนักวิเคราะห์การเมือง  ซึ่งแสดงเหตุการณ์ขณะ สส.ลิซ่า ใส่เสื้อชูชีพพยุงตัวอยู่ในน้ำท่วมระดับอกระหว่างการเข้าช่วยเหลือประชาชนในซอย 17/1 ถนนกาญจนวนิช อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อวันที่ 25 พ.ย. มา “จับผิด” ว่าระดับน้ำตรงจุดนั้นไม่ได้สูงถึงขั้นต้องใส่ชูชีพหรือ “ลอยคอ” เพราะซอยที่เชื่อมต่อกันก็มีชายคนหนึ่งยืนอยู่โดยไม่มีน้ำท่วมขัง

นอกจากนี้ ยังมีการสร้างภาพเอไอมาเผยแพร่ว่าที่ระดับน้ำดูลึกมากเพราะ สส.ลิซ่า จงใจยืนย่อเข่าเพื่อให้ภาพออกมาดูยากลำบากกว่าความเป็นจริง

ตัวอย่างเนื้อหาที่โจมตีภคมน สส.พรรคประชาชนว่าสร้างภาพให้ดูเหมือนน้ำท่วมสูงกว่าที่เป็นจริง

ใช้ ChatGPT วิเคราะห์ภาพ

สุรวิชช์ คอลัมนิสต์ในเครือผู้จัดการ ร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริงของระดับน้ำท่วมด้วยการใช้เครื่องมือเอไออย่าง ChatGPT วิเคราะห์รูปของ สส.ลิซ่า ขณะลงพื้นที่ ซึ่งได้ข้อสรุปว่า “หลายคนเห็นภาพนี้แล้วอาจเข้าใจว่าน้ำท่วมสูงถึง ‘คอ’ ของผู้หญิง แต่เมื่อวิเคราะห์อย่างเป็นหลักการจากวัตถุที่อยู่ในภาพ จะพบว่าระดับน้ำจริง ‘ไม่ลึกเท่าที่สายตาเห็น’” 

“ระดับน้ำในภาพนี้น่าจะอยู่ที่ประมาณ 90–110 เซนติเมตรหรือประมาณเอวถึงอกของผู้ใหญ่ ไม่ได้ถึงคออย่างที่เข้าใจในแวบแรก” เขาระบุในโพสต์ (ลิงก์บันทึก)


สุรวิชช์ขยายความว่าเหตุที่ ChatGPT สรุปว่าระดับน้ำท่วมไม่ลึกเท่าที่สายตาเห็นนั้นมาจากการวิเคราะห์ 3 ส่วน คือ 

1) ใช้รถยนต์เป็นหลักอ้างอิง รถ SUV ทั่วไปมีความสูงของฝากระโปรงหน้าอยู่ที่ประมาณ 85-100 ซม. ในภาพนี้ เส้นน้ำสูงกว่าฝากระโปรงเล็กน้อย แต่ยังไม่ถึงฐานกระจกหน้า นั่นหมายความว่าระดับน้ำจริงอยู่ราว 90-110 ซม. 

2) เหตุผลที่ดูเหมือนน้ำลึกถึงคอ เพราะเมื่อคนอยู่ในน้ำลึกเกินเอวมักจะงอเข่าเล็กน้อยเพื่อทรงตัวหรือลอยตัวบางส่วนหรือไม่ได้ยืนเต็มเท้า ทำให้ดูเหมือนระดับน้ำสูงถึงคอทั้งที่ระดับจริงอยู่ประมาณหน้าอกหรือลำตัวช่วงบนเท่านั้น

3) เช็กซ้ำด้วยสรีรศาสตร์ ระดับอกของผู้หญิงไทยโดยเฉลี่ยอยู่ประมาณ 95-105 ซม. จากพื้นซึ่งสอดคล้องกับการประเมินจากตัวรถ

สุรวิชช์โพสต์วิเคราะห์ระดับน้ำโดยใช้ ChatGPT ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 2568 และมีการเพิ่มรูปภาพคู่เปรียบเทียบในวันที่ 2 ธ.ค.

ข้อจำกัดของเอไอในการตรวจสอบภาพ

แม้ว่าเอไอจะพัฒนาความสามารถอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังคงมีข้อจำกัดหลายประการ และการนำเอไอมาใช้ในการตรวจสอบข้อเท็จจริง (fact-check) จึงต้องใช้อย่างระมัดระวัง การนำเอไอมาตรวจสอบระดับน้ำท่วมจากภาพ สส. ลิซ่า จึงควรพิจารณาถึงข้อจำกัดดังนี้

1.เอไอมีความรู้จำกัดและใช้ข้อมูลอ้างอิงเท่าที่ผู้ใช้งานป้อนให้

หากประเมินว่าผู้ใช้งานรายนี้อัปโหลดภาพเพียง 1-2 ภาพให้เอไอวิเคราะห์ เอไอจะมีข้อมูลจำกัดอย่างยิ่งที่จะประเมินว่าสถานการณ์จริงเป็นอย่างไร และเอไอก็ไม่สามารถค้นหาพิกัดทางภูมิศาสตร์หรือคลิปอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งจากเว็บไซต์และโซเชียลมีเดียทั้งหมดมาเพื่อประกอบการวิเคราะห์ได้

ดังนั้น ในกรณีนี้ ChatGPT จึงไม่มีข้อมูลว่าพื้นที่ในคลิปมีลักษณะเป็นแอ่งกระทะ คือเป็นส่วนพื้นที่ต่ำสุดระหว่างทางลาดเอียงสองจุด รวมถึงบ้านบริเวณหัวมุมที่ปรากฏในคลิปซึ่งมีการถมดินยกพื้นสูงจากถนนอย่างน้อยหนึ่งเมตรจากคลิปและคำบรรยายของเพื่อนบ้าน

โพสต์เฟซบุ๊กของเจ้าของบ้านในคลิปที่ออกมาถ่ายวิดีโอบริเวณโดยรอบเพื่อยืนยันว่าพื้นที่ที่ปรากฏในคลิปอยู่ระดับต่ำกว่าจุดอื่น ๆ

เอไออาจประเมินโดยใช้ความสูงของรถเอสยูวีและสรีระของผู้หญิงไทยมาเปรียบเทียบกันตามที่ในโพสต์อ้าง โดยไม่มีข้อมูลจำเป็นอื่น ๆ มาใช้วิเคราะห์ จนทำให้ได้คำตอบที่ไม่ตรงตามความเป็นจริง

2.เอไอทำตามคำสั่ง (prompt) เป็นหลัก

สุรวิชช์ไม่ได้เปิดเผยคำสั่งที่ป้อนให้ ChatGPT แต่จากข้อความในโพสต์เฟซบุ๊กแสดงให้เห็นว่าเขาต้องการให้เอไอหาคำตอบว่าระดับน้ำท่วมในจุดที่ สส.ลิซ่าช่วยเหลือผู้ประสบภัยนั้นสูงถึงคอจริงหรือไม่ และให้วิเคราะห์อย่างมีหลักการว่าระดับน้ำในภาพลึกเท่าที่ตาเห็นหรือไม่

โคแฟคทดลองให้ ChatGPT วิเคราะห์โดยใส่คำสั่งลักษณะนี้ประกอบกับภาพนิ่งสองภาพจากโพสต์เฟซบุ๊กของสุรวิชช์เป็นข้อมูลพื้นฐาน ผลคือ ChatGPT วิเคราะห์ว่า “ระดับน้ำที่เห็น ‘ไม่เท่ากัน’” และภาพแรก “ดูเหมือนถูกจัดมุมหรือเลือกเฟรมให้ดูน้ำสูงกว่าความจริง”

แต่เมื่อป้อนข้อมูลเพิ่มเติมไปว่า “ที่จริงแล้วระดับน้ำในภาพนั้นสูงถึงคอของผู้หญิงจริง” ChatGPT กลับอธิบายว่า “คำตอบก่อนหน้าไม่ได้ผิด แต่เป็นข้อจำกัดของการประเมินจากภาพนิ่งสองมุม”



คำตอบของเอไอที่เปลี่ยนไปตามคำสั่งและความคิดเห็นของผู้ใช้งาน

ตัวอย่างนี้ชี้ให้เห็นว่าเอไอจะทำงานตามคำสั่งปัจจุบันของผู้ใช้งาน รวมถึงการอ้างอิงข้อมูลจากประวัติของคำสั่งหรือบทสนทนาในอดีต นอกจากนี้ เอไอมักไม่ยอมรับว่า “ไม่รู้” และเลือกที่จะให้คำตอบแบบผิด ๆ เพื่อสร้างความพึงพอใจให้ผู้ใช้งาน ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดที่เกิดขึ้นจากการเทรนโมเดลเอไอ และถึงแม้ว่าเอไอจะให้ข้อมูลที่ถูกต้องในทีแรก แต่ถ้าหากผู้ใช้งานถามย้ำ ๆ ว่านี่คือข้อมูลที่ถูกต้องจริงหรือ เอไอก็จะเปลี่ยนคำตอบกลับไปกลับมาตามลักษณะของคำถาม นี่แสดงให้เห็นว่าเอไอไม่ได้ให้ข้อมูลที่ถูกต้องหรือเป็นความจริงเสมอไป แต่อาจให้ข้อมูลผิด ๆ เพื่อสนับสนุนอคติของผู้ใช้งานโดยเฉพาะเมื่อได้รับคำสั่งที่มีอคติหรือความเชื่อบางอย่างอย่างชัดเจน

3.ยากที่จะตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากเอไอ

เอไอสามารถช่วยค้นหา สรุปข้อมูล หรือทำงานบางอย่างแทนมนุษย์ได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว แต่ปัจจุบันยังมีข้อจำกัดมากเกินกว่าจะนำมาอ้างอิงเป็นแหล่งข้อมูลหลักหรือเป็นข้อสรุปที่ถูกต้องที่สุดเพียงหนึ่งเดียว โดยเฉพาะการใช้เครื่องมือเอไอเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ยังพบข้อผิดพลาดอยู่มาก นั่นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ใช้งานจะต้องมีความรู้และความละเอียดรอบคอบมากพอที่จะตรวจสอบว่าข้อมูลหรือข้อสรุปจากเอไอนั้นถูกต้องจริงหรือไม่ก่อนที่จะนำเนื้อหานั้นไปใช้งานหรือเผยแพร่ต่อ เพราะอาจเป็นการกระจายข้อมูลหรือความเข้าใจผิด ๆ ออกไปในวงกว้างไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม

อ้างอิง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ





คลิปน้ำท่วมหมู่บ้านที่หาดใหญ่ ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นอุทกภัย “ใกล้กรุงเทพ”

กองบรรณาธิการโคแฟค

❓ เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปน้ำท่วมใหญ่ใกล้กรุงเทพฯ 

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ เป็นภาพเหตุการณ์น้ำท่วมที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา **

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 4 ธ.ค. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “มาดามปู Channel” ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 6.5 หมื่นบัญชี โพสต์คลิปวิดีโอหมู่บ้านแห่งหนึ่งถูกน้ำท่วมสูง ระบุข้อความว่า “ใกล้กรุงเทพแล้ว ติดเกาะแล้วค่ะ” นอกจากนั้นในช่องแสดงความคิดเห็นเขียนข้อความที่ทำให้เข้าใจคลิปนี้เป็นภาพน้ำท่วมที่บริเวณ “รังสิตคลอง 5” จ.ปทุมธานี คลิปนี้มียอดเข้าชมมากกว่า 1.7 หมื่นครั้ง ณ วันที่ 8 ธ.ค.

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: ภาพภูเขาในคลิปเป็นจุดสังเกตแรกที่บ่งชี้ว่าเหตุน้ำท่วมนี้ไม่ได้เกิดที่ย่านรังสิต จ.ปทุมธานี และเมื่อค้นหาภาพในคลิปด้วย Google Lens พบว่า คลิปวิดีโอเดียวกันถูกโพสต์เมื่อวันที่ 25 พ.ย. โดยบัญชีเฟซบุ๊ก “ปัญจวิชญ์ มงคลวัชราสิทธิ์” ซึ่งบรรยายว่าเป็นภาพเหตุการณ์ที่หมู่บ้านรุ่งทิวา ซึ่งอยู่ใกล้กับคลองระบายน้ำ ร.5 ใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา

เมื่อตรวจสอบโพสต์ที่ตั้งค่าสาธารณะย้อนหลังพบว่าผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กรายนี้ได้โพสต์คลิปวิดีโอรายงานสถานการณ์น้ำท่วมที่หมู่บ้านรุ่งทิวาอย่างต่อเนื่องระหว่างวันที่ 22-27 พ.ย.

เมื่อค้นหาตำแหน่งด้วย Google Street View พบว่าหมู่บ้านรุ่งทิวา คลอง ร.5 ตั้งอยู่ใกล้กับซอยน้ำทอง ต.คอหงส์  อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา จากภาพในแผนที่ยืนยันได้ว่าหมู่บ้านที่ถูกน้ำท่วมในคลิปนี้คือหมู่บ้านรุ่งทิวา

ภาพจาก Google Street View (ซ้าย) ของหมู่บ้านรุ่งทิวา ใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ตรงกับภาพที่อยู่ในคลิป

โคแฟคยังได้สอบถามไปยังองค์การบริหารส่วนตำบลคลองห้า จ.ปทุมธานี ได้รับคำยืนยันว่าในช่วงเดือน พ.ย. – ธ.ค. 2568 ไม่มีเหตุการณ์น้ำท่วมในพื้นที่คลองห้าอย่างที่ปรากฏในคลิปวิดีโอนี้

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 6 ธันวาคม 2568

อาบน้ำเย็นตอนอากาศหนาว เส้นเลือดในสมองแตก…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/aa7538455ufc


คลิปผู้ช่วย สส. ยืนแช่น้ำท่วมที่หาดใหญ่เรียกร้องพรรคประชาชนตรวจสอบรัฐบาลอนุทิน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/pbasvq033poy


ข้าวโพดหวานเป็น GMO และอันตรายต่อสุขภาพ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/7uterk93a3wa


กทม.ขอรัฐ-เอกชน WFH 1 วัน/สัปดาห์ หลังค่าฝุ่นพุ่งสูงกระทบสุขภาพ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2nwyt7swfisox


หญิงชาวไทย “ฉีดวัคซีนป้องกัน HPV ฟรี!” Walk in ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. เป็นต้นไป

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1638zyklgprk


การนอนน้อย อดนอน อันตรายกว่าที่คิด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2thul6039j2ti


กรุงเทพฯ มีฤดูฝุ่น เพราะภาวะฝาชีครอบ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1a7ujh8oix9bk


น้ำเริ่มลด แต่ลานีญา ยังไม่จบ แถมปีหน้า เตรียมเข้าเอลนีโญ อีก…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1da30f1kxq3zm


โครงการ Quantum AI มีจริงหรือไม่…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1nixp6o4efccj


ทอท. จ่อขึ้นค่าธรรมเนียมผู้โดยสารขาออก 1,120 บาท เริ่มต้นปีหน้า…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1p600rx3szbj0


จากชีพเฟคถึงเอไอ! ความท้าทายสู้ข่าวลวงระบาดต้องร่วมมือถึงระดับพื้นที่ เพื่อกำกับ‘แพลตฟอร์ม’

4 ธ.ค. 2568 สถานเอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย ร่วมกับ ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย)สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) Digital4Peace เทศบาลนครยะลา พิพิธภัณฑ์เมืองยะลา และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน จัดงานเสวนานักคิดดิจิทัล Digital Thinkers Forum ครั้งที่ 32“สมรภูมิข้อมูลข่าวสาร สื่อ สันติภาพ และความมั่นคงสมัยใหม่ (THE INFORMATION BATTLEFIELD)” ณ พิพิธภัณฑ์เมืองยะลาอ.เมือง จ.ยะลา

ผศ.ดร.ภีรกาญจน์ ไค่นุ่นนา คณบดีคณะวิทยาการสื่อสาร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ฉายภาพวิถีชีวิตมนุษย์ยุคปัจจุบันใช้แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) และพึ่งพาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นอย่างมาก จนกลายเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างทัศนคติ ความคิดและความเชื่อของผู้รับสาร ดังนั้นหากมองลึกลงไป บรรดาเจ้าของแพลตฟอร์มมีบทบาทเป็นผู้กำหนดวาระหรือระเบียบโลก เสมือนเป็นมือที่มองไม่เห็น แต่เราไม่รู้เลยว่าทัศนคติของคนกลุ่มนี้เป็นอย่างไร 

ขณะที่ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ถูกนำไปใช้ทำคลิปวิดีโอ โดยเมื่อเร็วๆ นี้หลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เผชิญภัยพิบัติจากพายุ ฝนตกหนักและน้ำท่วม ทางการเวียดนามมีการประกาศเตือนการระบาดของคลิป AI ที่สร้างขึ้นโดยอ้างว่าเป็นเหตุการณ์ในเวียดนาม เช่นเดียวกับที่มาเลเซีย มีนักวิชาการออกมาเตือนการแชร์คลิป AI ที่อ้างว่าเป็นเหตุน้ำป่าไหลหลาก หรือในประเทศฟิลิปปินส์ สำนักข่าวดังอย่าง Rappler ได้เตือนคลิป AI ทำขึ้นแล้วอ้างว่าเป็นเหตุการณ์ไต้ฝุ่นถล่มเมืองเซบู เป็นต้น

หรือแม้แต่ข่าวลวงที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ใช้เทคโนโลยีซับซ้อน (ชีพเฟค – Cheapfake) ยังคงมีให้เห็น อย่างในประเทศไทย มีผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์นำภาพเก่าที่เป็นเหตุการณ์น้ำท่วมในเวียดนามมาโพสต์ให้ดูเหมือนเป็นเหตุอุทกภัยในไทย อย่างไรก็ตามความท้าทายสำคัญคือ กรณีเป็นภาพจาก AI จะตรวจสอบได้อย่างไร? เพราะเคยทดลองนำภาพที่สร้างจาก AI ไปตรวจสอบบนเว็บไซต์หลายแห่งที่ระบุว่าสามารถแยกแยะได้ แต่เมื่อตรวจแล้วกลับระบุว่าภาพนั้นไม่ได้สร้างจาก AI ส่วนการตรวจสอบภาพหรือคลิปวิดีโอจาก AI ยังมีข้อสงสัยว่าระบบที่ผู้ให้บริการนำมาให้ใช้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายนั้น สมรรถนะด้อยกว่าระบบที่ต้องเสียเงินค่าบริการหรือไม่ เช่นเดียวกับ AI ที่นำมาให้บริการเป็นผู้ช่วยตอบคำถามหรือค้นหาข้อมูลต่างๆ มีทั้งที่ให้ใช้ฟรีๆ และที่ต้องจ่ายเงินเพิ่มซึ่งแบบหลังจะมีสมรรถนะสูงกว่า จึงสงสัยว่า คนเรามีสิทธิ์เข้าถึงความจริงได้ไม่เท่ากัน แม้กระทั่งความจริงยังเป็นสิ่งที่ต้องมีค่าใช้จ่าย 

ทั้งนี้ ในการรับมือข้อมูลข่าวสารยุค AI จำเป็นต้องทำร่วมกันในหลายภาคส่วน นับตั้งแต่ 1.บุคคลทั่วไป ในฐานะผู้ใช้งาน จะทำอย่างไรให้มีวิธีคิดแบบตั้งข้อสงสัยไว้ก่อน ที่ผ่านมาเราเชื่อกันว่าหากมีอคติแล้วเราก็มีแนวโน้มจะเชื่อสูง แต่ต่อมาก็มีผลการศึกษาพบว่า ในทางการเมืองแม้เราจะเลือกข้างใดข้างหนึ่ง แต่หากได้หยุดคิดสักครู่หนึ่งเมื่อได้รับข้อมูลข่าวสารใดๆ มา บางครั้งก็ช่วยในการหยุดส่งต่อข้อมูลลวงได้แม้จะมาจากฝั่งเดียวกับที่ตนเองชื่นชอบก็ตาม มีการตรวจสอบก่อนตัดสินใจว่าจะแชร์หรือไม่

2.สถาบันการศึกษา ต้องมีวิชาหรือกิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้เรื่องพลเมืองดิจิทัล การตรวจสอบข้อมูล สิ่งนี้ควรเป็นทักษะพื้นฐาน และรวมถึงต้องมีช่องทางเรียนรู้ตามอัธยาศัย สำหรับผู้ที่พ้นช่วงวัยเรียนมาแล้วด้วย เพราะความรู้ด้านเทคโนโลยีต้องปรับปรุงตลอดเวลา อย่างเรื่องภาพหรือคลิปวิดีโอที่ผลิตโดย AI วันนี้มีคำแนะนำให้สังเกตแบบนี้ แต่อนาคตเทคโนโลยีเปลี่ยนจะยิ่งมีความแนบเนียนยิ่งขึ้น 

3.ภาคประชาสังคมและสื่อมวลชน ภาคประชาสังคมมีบทบาทสำคัญในการย้ำเตือนให้ประชาชนได้หยุดคิด ระมัดระวังเนื้อหาปลอมจากเทคโนโลยีเริ่มไตร่ตรองและมองถึงความถูกต้องมากขึ้น แต่ลำพังภาคประชาสังคม เช่น โคแฟค อาจกระจายข้อมูลได้ไม่มากนักเมื่อเทียบกับสื่อมวลชนตลอดจนบรรดาผู้มีชื่อเสียงและอิทธิพลทางความคิดบนโลกออนไลน์ (อินฟลูเอนเซอร์) ภาคประชาสังคมก็ต้องทำงานร่วมกับสื่อและอินฟลูฯ เพื่อสื่อสารกับประชาชน 

4.ภาครัฐ ปัจจุบันหลายประเทศเริ่มพยายามออกกฎหมายเพื่อควบคุมแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ให้ต้องมีความรับผิดชอบต่อความเสียหายและป้องกันกลุ่มเปราะบาง เช่น ออสเตรเลีย อังกฤษ เริ่มจำกัดอายุขั้นต่ำที่อนุญาตใช้สื่อสังคมออนไลน์ได้นอกจากนั้นภาครัฐต้องมีบทบาทเรื่องการพัฒนาเทคโนโลยีตรวจจับข้อมูลลวง ให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ประชาชนเข้าถึงได้

5.แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ เป็นผู้ให้บริการ แต่ก็มีข่าวกรณีเอกสารตรวจสอบภายในของเมตา (Meta) ที่มีรายได้ร้อยละ 10 จากโฆษณาหลอกลวงบนเฟซบุ๊ก แสดงว่าแพลตฟอร์มได้ผลประโยชน์จากการกระทำผิดกฎหมาย เช่น โฆษณาขายสินค้าปลอม โฆษณารับสมัครงานแต่สุดท้ายเป็นการล่อลวงไปเป็นเหยื่อค้ามนุษย์

เฟซบุ๊กหรือเจ้าของแพลตฟอร์มจะมองว่าเขาเป็นผู้ให้บริการ ดังนั้นจะทำอย่างไรให้รัฐออกกฎหมายว่าเขาต้องเป็นผู้มีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วย ผศ.ดร.ภีรกาญจน์กล่าว

บัญชา จันทร์สมบูรณ์ กองบรรณาธิการโคแฟค และอดีตผู้สื่อข่าว นสพ.แนวหน้า กล่าวถึงบทบาทของแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของผู้ใช้งานรวมถึงองค์กรสื่อต่างๆ เช่น เดิมทีคนเราก็มีแนวโน้มรับข้อมูลข่าวสารที่ตรงกับจริตความชอบของตนเองอยู่แล้ว เมื่อบวกกับอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ที่มักจดจำพฤติกรรมการใช้งานและคัดเลือกเฉพาะเนื้อหาที่คนนั้นชอบหรือสนใจมาให้พบเห็น ยิ่งตอกย้ำซ้ำๆ ว่าสิ่งที่ตัวเราเชื่อนั้นถูกต้องที่สุดและไม่แม้แต่จะรับฟังข้อมูลชุดอื่นที่แตกต่างออกไป หรือการที่แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ให้คุณค่ารวมถึงรายได้โดยวัดจากปริมาณการมีส่วนร่วม (Engagement) โดยก่อนหน้านี้มีคำว่า Clickbait หรือการพาดหัวล่อเป้าให้คนสงสัยแล้วกดเข้าไปอ่าน จนถึงเมื่อเร็วๆ นี้ที่มีคำว่า Ragebait หรือการพาดหัวยั่วให้โมโหเพื่อให้กดเข้าไปอ่าน ในอดีตเรื่องพวกนี้สื่อหลักเคยต่อต้าน เตือนกันว่าอย่าทำ แต่ปัจจุบันสื่อหลักเมื่อต่อต้านไม่ได้ก็เข้าร่วมด้วยเสียเลย 

เช่นเดียวกับช่วงที่สถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา กำลังระอุ มีข้อสังเกตว่าหลายคนโพสต์ข่าวลวง โดยนำคลิปวิดีโอเหตุการณ์เก่าบ้าง เหตุการณ์สงครามอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องบ้างมาอ้างว่าเป็นเหตุการณ์ไทย – กัมพูชา พร้อมกับติดแฮชแท็ก เช่น เปิดการมองเห็น คลิปสั้นสร้างรายได้ ครีเอเตอร์มือใหม่ แม้กระทั่งสื่อหลักบางครั้งก็ยังนำคลิปที่อ้างกันผิดๆ ไปเผยแพร่ต่อ เพื่อเรียกยอด Engagement มีผลกับรายได้ สื่อหลักสู้อินฟลูฯ ที่ผลิตเนื้อหาแรงๆ ไม่ไหว ก็เข้าร่วมทำบ้าง 

ส่วนคลิป AI นั้น มีตัวอย่างคลิปวิดีโอน้ำท่วมที่มีเด็กกอดสุนัขรอความช่วยเหลืออยู่บนหลังคาบ้าน คลิปนี้พบการแจ้งเตือนที่เวียดนาม แต่ก็ยังมีคนนำภาพจากคลิปดังกล่าวมาโพสต์เป็นภาษาไทยในช่วงเวลาที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา กำลังเผชิญกับน้ำท่วม แม้ผู้โพสต์จะไม่ได้ระบุข้อความว่าน้ำท่วมหาดใหญ่ แต่เมื่อมาโพสต์ในห้วงเวลานั้นก็ทำให้ผู้พบเห็นหลายคนเข้าใจไปว่าเป็นเหตุการณ์ที่หาดใหญ่ แต่ที่น่าห่วงคือภาพจากคลิปเดียวกันถูกนำไปเปิดรับบริจาคโดยอ้างเหตุพายุและน้ำท่วมที่ฟิลิปปินส์ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับมิจฉาชีพหรือไม่ 

มีข้อเสนอว่ารัฐควรออกกฎหมายกำกับดูแลแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ นั้นว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ในบริบทสังคมไทย เนื่องจากในความเป็นจริงดูเหมือนประชาชนจะไม่เชื่อมั่นในภาครัฐเท่าใดนักไม่ว่ารัฐบาลชุดใดก็ตาม โดยกังวลว่ากฎหมายอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ขณะนี้ประเทศไทยน่าจะยังไม่มีกรอบกลาง ไม่ว่าในแง่กฎหมายหรือแนวปฏิบัติแนะนำ เกี่ยวกับการใช้ AI ทำให้แต่ละคนใช้กันอย่างเต็มที่โดยอาจไม่รู้ว่าอะไรควร – ไม่ควร 

อีกเรื่องหนึ่งคือ ผมเชื่อว่าทุกคนถ้าไม่ได้อยู่ในอาชีพที่ต้องมอนิเตอร์ข่าวเยอะๆ เราไม่สามารถรับรู้ได้ทุกเรื่อง ฉะนั้นถ้าเรื่องไหนที่ไม่เกี่ยวกับเราก็ปล่อยผ่าน แต่ถ้าเรื่องไหนเกี่ยวกับเราจริงๆ อาจต้องลงทุนลงแรงในการสืบค้นข้อเท็จจริง ซึ่งเดี๋ยวนี้หลายๆ อย่างข้อมูลก็เปิดมากขึ้น ก็จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อถูกหลอก บัญชา กล่าว

มูฮัมหมัดอ่ายุบ ปาทาน อดีตประธานสภาประชาสังคมชายแดนใต้ กล่าวว่า หากจะสู้กับสิ่งเหล่านี้ การพัฒนาศักยภาพมีความจำเป็นมาก จะทำแบบเดิมไม่ได้ ไม่เช่นนั้นสถานการณ์จะลามเต็มไปหมด ต้องมาคิดว่าจะพัฒนาศักยภาพกันอย่างไรเพื่อจะได้ไม่หลงเทคโนโลยี ขณะที่ในบริบท 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีความซับซ้อนกว่าที่อื่น เช่น เรื่องภาษาที่แตกต่าง และต้องคิดแบบยุทธศาสตร์ เช่น เมื่อรู้ว่าปัญหาเป็นอย่างนี้แล้วจะนำเรื่องนี้ไปจัดการในชุมชนอย่างไร จะทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยอย่างไร 

และการทำงานแบบต่างคนต่างทำไม่สามารถรับมือปัญหานี้ได้ โดยต้องมีทีมงานประกอบด้วยคนรุ่นใหม่ที่เก่งเรื่องเทคโนโลยี ซึ่งได้รับการหนุนเสริมโดยสถาบันการศึกษา เช่น จะตรวจสอบภาพว่าทำขึ้นจาก AI หรือไม่ ได้อย่างไร เพราะคนที่ไม่ได้อยู่กับเรื่องนี้เป็นประจำอาจไม่รู้ อีกทั้งการสร้างความตระหนักรู้ต้องทำซ้ำๆ ไม่ใช่ทำเพียงครั้งเดียวแล้วหาย ต้องมีกลไกทำงานระดับพื้นที่ เช่น สถาบันการศึกษาทั้งของรัฐและเอกชน 

ต้องมีเครือข่ายในการช่วยกันตรวจสอบข้อมูล รวมถึงกลไกด้านศาสนาและวัฒนธรรม ซึ่งสามารถสื่อสารถึงคนในพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว เพราะแม้จะมีการตรวจสอบแล้วว่าข้อมูลใดปลอม แต่ที่สำคัญไม่แพ้กันคือต้องสื่อสารเผยแพร่ถึงคนอื่นๆ ด้วย แม้กระทั่งกลุ่มผู้ผลิตเนื้อหาทางออนไลน์ (ครีเอเตอร์) อาจไม่รู้ก็ได้ว่าสิ่งที่ทำอยู่ส่งผลกระทบอย่างไร แต่เขาอาจมีความตั้งใจดี และแม้จะมีคนเก่งเทคโนโลยี แต่หากไม่สามารถรวมตัวกันเป็นเครือข่ายเทคโนโลยีเพื่อตรวจสอบข่าวปลอมในพื้นที่ได้ก็ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ 

เชื่อว่าอันนี้เป็นผลบุญอย่างหนึ่ง ถ้าตรวจสอบข่าวปลอมได้ คนไม่หลงกับมัน ผลบุญได้โดยอัตโนมัติเลย เพราะนี่เป็นการป้องกันฟิตนะฮ์ (การล่อลวง) มันเป็นฟิตนะฮ์อย่างหนึ่ง ทำให้เกิดความสูญเสียด้วย อันนี้คิดว่าน่าจะเอามาใช้ คือเราจะต้องสร้างขบวการ แน่นอนมันเป็นเรื่องยากแต่ต้องทำ ถ้ากระบวนการข่าวปลอมมันทำมาเป็นขบวนแต่เราทำไม่เป็นขบวน เราจะแพ้ข่าวปลอม มูฮัมหมัดอ่ายุบ กล่าว

‘สมรภูมิข้อมูลข่าวสาร’เรื่องใหญ่ยุคดิจิทัล ‘เอไอ-โซเชียล’ปั่นกระแส หวั่นรุนแรงออนไลน์ลามสู่โลกจริง

3 ธ.ค. 2568 สถานเอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย ร่วมกับ ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย)สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) Digital4Peace เทศบาลนครยะลา พิพิธภัณฑ์เมืองยะลา และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน จัดงานเสวนานักคิดดิจิทัล Digital Thinkers Forum ครั้งที่ 32“สมรภูมิข้อมูลข่าวสาร สื่อ สันติภาพ และความมั่นคงสมัยใหม่ (THE INFORMATION BATTLEFIELD)” ณ พิพิธภัณฑ์เมืองยะลาอ.เมือง จ.ยะลา

มะรูฟ เจะบือราเฮง ประธานมูลนิธิดิจิทัลเพื่อสันติภาพ (Digital4Peace) ชวนย้อนคิดถึงภาพน้ำท่วม จ.ปัตตานี ที่เคยเป็นกระแสในพื้นที่สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) เมื่อหลายปีก่อน โดยเป็นภาพน้ำสีฟ้าสวยงาม ภาพนี้ถูกแชร์เป็นหมื่นครั้งพร้อมกับมีความเห็นจากคนพื้นที่อื่นๆ ว่าอยากมาเที่ยว จ.ปัตตานี เพราะขนาดน้ำท่วมยังมีสีเหมือนสระน้ำ แต่ท้ายที่สุดเมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นภาพที่ถูกตกแต่งด้วยแอปพลิเคชั่น 

เมื่อเร็วๆ นี้ มีภาพสุนัขคาบแมวหนีน้ำท่วมไปส่งเรือกู้ภัยถูกแชร์อย่างกว้างขวาง ถูกจับสังเกตได้ว่าเป็นภาพที่สร้างโดยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ขณะที่ในต่างประเทศ พบกรณีการแข่งขันทางการเมืองและมีการใช้ AI สร้างรูปปลอมขึ้นมา หัวข้องานในครั้งนี้จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัว เราอาจรู้สึกรักหรือเกลียดใครบางคนได้เพียงเพราะรับสื่อที่ถูกสร้างโดย AI 

ข้อมูลต่างๆ ที่เข้ามาหาเรา หลายครั้งถูกตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อให้เรามีความรู้สึกอะไรบางอย่าง แล้วมันมีคำว่า Information Battlefield (สมรภูมิข้อมูลข่าวสาร) บางทีเราอาจไม่รู้ตัวว่า TikTok ที่เราใช้มันไม่ใช่แค่พื้นที่ของความบันเทิง แต่เป็นพื้นที่ของการรบกันของใครบางคน และเราเป็นหนึ่งในคนที่อาจเป็นเหยื่อหรือเป็นคนหนึ่งที่ถูกทำให้เชื่อ ถูกทำให้โกรธ ถูกทำให้หลง มะรูฟ กล่าว

วิศาล จิรภาพงพันธ์ รองนายกเทศมนตรีนครยะลา กล่าวว่า วันนี้หลายๆ แพลตฟอร์มที่เรารับข้อมูลนั้นแยกไม่ออก หากไม่ใช้วิจารณญาณก็จะทำให้เราตกเป็นเหยื่อของการเสพข้อมูลข่าวสาร ขณะที่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือความต่างระหว่างช่วงวัย (Generation) กล่าวคือ คนยุคเบบี้บูมเมอร์หรือเจนเอ็กซ์จะใช้เฟซบุ๊ก ขณะที่ Gen Yหรือ Gen Zmจะใช้อินสตาแกรมหรือ X ส่วน Gen Alpha จะใช้ TikTok อะไรที่รวดเร็ว อ่านไม่เกิน 10 วินาที เป็นต้น การจัดเวทีครั้งนี้เป็นประโยชน์และน่าจะมีคุณค่าในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน 

การเรียนรู้ที่จะอยู่กับข่าวสารที่เป็นข่าวจริง ต้องแยกแยะให้ได้ เพราะวันนี้ AI เข้ามามีบทบาทสำคัญในการดำรงชีวิต แล้วก็ต้องบอกว่า Fake News (ข่าวปลอม) เข้ามามีบทบาท สงครามข่าวสารวันนี้เป็นเรื่องที่เราต้องใช้วิจารณญาณอย่างถี่ถ้วนรองนายกเทศมนตรีนครยะลา กล่าว

Sweta Madhuri Kannan, First Secretary, Cultural Affairs and Press สถานเอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย กล่าวว่า ในประเทศเยอรมนี มีตัวอย่างข้อมูลบิดเบือนที่ทำลายความไว้วางใจต่อสถาบันต่างๆ ตลอดจนความเชื่อมั่นในการเลือกตั้ง ขณะที่ประเทศไทยก็เผชิญกับความขัดแย้งและภัยคุกคาม ทำให้เราเหมือนกับอยู่ในห้องเสียงสะท้อน (Echo Chamber) ในข้อมูลข่าวสารของตนเอง 

ทั้งนี้ จากการผ่านบทเรียนสงครามโลกถึง 2 ครั้ง ชาวเยอรมันจึงเห็นความสำคัญของการปกป้องประชาธิปไตย มีการลงทุนอย่างมากในการให้การศึกษาภาคพลเมือง (Civic Education) ให้ความสำคัญต่อเสรีภาพสื่อ และจัดวางสมดุลไม่ให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งขึ้นมามีอำนาจเหนือกลุ่มอื่นๆ อนึ่ง การที่สังคมจะเปิดกว้างได้นั้นประชาชนต้องรู้จักคิดวิเคราะห์ และสังคมประชาธิปไตยจะขึ้นอยู่กับความไว้เนื้อเชื่อใจ หากเราขาดความเชื่อมั่นใจสถาบันประชาธิปไตยหรือองค์ประกอบต่างๆ ของประชาธิปไตย ประชาชนก็จะมีความเปราะบางจากการเข้าถึงข้อมูล 

และในสถานการณ์ที่สังคมแบ่งขั้ว ลำพังการตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อมูลก็ยังไม่เพียงพอ อย่างในเยอรมนี เมื่อปี 2560 มีการออกกฎหมายกำหนดให้นำเนื้อหาสร้างความเกลียดชังออกจากพื้นที่ของข้อมูลข่าวสาร ซึ่งแม้ว่าจะไม่ใช่กฎหมายที่ดีที่สุดแต่ก็เป็นมาตรการหนึ่งที่ถูกนำมาใช้ ยังมีโครงการที่ทำร่วมกับนักศึกษาและครอบครัว สร้างความเข้าใจการทำงานของอัลกอริทึม รู้เท่าทันโลกดิจิทัล และจะตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูลต่างๆ ได้อย่างไร 

จากประสบการณ์ที่มีความร่วมมือกับหลายๆ ประเทศ สิ่งหนึ่งก็คือเราไม่ควรควบคุม แต่ว่าเป็นการป้องกันไม่ให้ข้อมูลมาทำร้ายสังคมได้ คือการเปิดกว้างดีกว่าการปิดกั้น รัฐบาลไม่สามารถต่อสู้ในสมรภูมิที่เปลี่ยนแปลงแบบนี้ได้เพียงลำพัง แต่แพลตฟอร์มจะต้องมีส่วนช่วยในเรื่องนี้ด้วย รวมทั้งสื่อเองก็น่าจะต้องมีบทบาทที่จะต้องขับเคลื่อนเรื่องนี้ Sweta กล่าว

ผศ.ดร.กุสุมา ภูใหญ่ สถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวถึงคำว่า “Splinternet” ที่มาจาก 2 คำ คือ Splint+ Internet ที่หมายถึงก่อนหน้านี้เราเคยเชื่อว่าเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตจะทำให้โลกกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ทุกคนเชื่อมต่อกันได้ทั้งหมด แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับกลายเป็นว่าผู้คนไม่อยากเป็นพลเมืองโลก (Global Citizen) แต่อยากแยกตัวออกไปอยู่กันเอง อย่างประเทศจีนซึ่งสร้างกำแพงเมืองจีนทางออนไลน์ (The Great Firewall) มีประตูเปิด – ปิด (Gateway) เพื่อควบคุมการเข้า -ออกของข้อมูลข่าวสารจากโลกภายนอก และใครที่เข้าไปในจีนต้องใช้ระบบออนไลน์ที่ถูกสร้างขึ้นไว้ใช้งานภายในของจีน เป็นภาพสะท้อนการแตกออกของภูมิทัศน์ (Landscape) ในส่วนต่างๆ ของโลกตามแรงจูงใจทางการเมืองหรือเศรษฐกิจ 

สถานการณ์แบบเดียวกันยังเกิดขึ้นในภูมิภาคยุโรปตะวันออก โดยเฉพาะช่วงที่เกิดสงครามรัสเซีย – ยูเครน ซึ่งมีการทำสงครามไซเบอร์ (Cyber Warfare) ดังนั้นสงครามทางกายภาพกับสงครามข้อมูลข่าวสารจึงดำเนินไปด้วยกัน ขณะที่เมื่อย้อนกลับมาดูสังคมไทย ประเทศที่ผู้คนมีความสุขกับความเร็วอินเตอร์เน็ตที่สูงกว่าอีกหลายประเทศในโลก เราไม่มีระบบป้องกันใดๆ ถึงกระนั้นก็ไม่เห็นด้วยกับการสร้างประตูเข้า – ออก ซึ่งจะมีโอกาสนำไปสู่การปิดกั้นข้อมูลข่าวสารและเสรีภาพในการสื่อสาร 

นอกจากนี้ ยังมีข้อสังเกตว่าภูมิทัศน์ของข้อมูลข่าวสารในประเทศไทยอาจเรียกได้ว่าอ่อนแอ โดยมีคำถามว่าเหตุใดการกำหนดวาระข่าวสารจึงไปอยู่ที่ผู้มีอิทธิพลทางความคิดบนโลกออนไลน์ (อินฟลูเอนเซอร์) หรือในช่วง 2 – 3 ปีล่าสุด เกิดปรากฏการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองบนพื้นที่ออนไลน์ หมายถึงผู้คนแปลงตนเองเป็นพลเมืองดิจิทัลเข้าไปวิจารณ์การเมืองในสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งมุมหนึ่งก็มีคำถามกลับมาว่าแล้วความเป็นพลเมืองในโลกจริงอ่อนแอลงหรือไม่ เช่น ปรากฏการณ์ทัวร์ลง การด่าทอในโลกออนไลน์เกิดขึ้นได้ง่ายกว่าการรวมตัวเพื่อช่วยเหลือกัน  

สื่อเองก็อ่อนแอ การทำงานของสื่อมวลชนที่เป็นระแสหลักหรือสื่อมวลชนที่มีการตรวจสอบข้อมูลข่าวสาร หลายสำนักก็ต้องพยายามปรับตัว เราก็จะเห็นทีวีก็ต้องรักษาเรตติ้ง ดังนั้นในแง่ของข้อมูลข่าวสารที่เป็นข้อมูลข้อเท็จจริงมันสู้ไม่ทันกับข้อมูลข่าวสารที่เป็นข่าวลวง (Disinformation) หรือข่าวสารที่สร้างความเกลียดชัง ผศ.ดร.กุสุมา กล่าว

รศ.เอกรินทร์ ต่วนศิริ คณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า ข้อมูลที่มากทำให้เราแตกแยก มีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น แม้กระทั่งตัวเราเองความคิดก็ยังไม่นิ่ง บางวันเป็นเสรีประชาธิปไตยแต่บางวันก็เป็นเผด็จการ หรือบางเรื่องตอบสนองแบบหัวก้าวหน้าแต่บางเรื่องก็ตอบสนองแบบดูโหดร้ายเหลือเกิน หลักคิดจึงเป็นหัวใจสำคัญ เรายอมรับความหลากหลายได้หรือไม่ว่าคนอื่นคิดไม่เหมือนเรา และการยอมรับก็ต้องไม่ใช้ความรุนแรงต่อกัน ไม่ระดมทัวร์จนนำไปสู่การอาฆาตมาดร้ายและเกิดการใช้ถ้อยคำที่สนับสนุนให้ทำร้ายกัน 

ขณะที่เมื่อมองดูบทบาทของผู้กำกับดูแลก็พบว่าไม่สามารถทำได้เต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งมีคำว่า ทุนนิยมเหนือรัฐ หรือคำว่า ทุนนิยมยึดรัฐองค์กรกำกับดูแลไม่ดำเนินการให้เกิดการแข่งขันอย่างเสมอภาค หรือที่มีหลักจริยธรรมว่าผู้พิพากษาเมื่อออกจากอาชีพดังกล่าวไปแล้วห้ามไปเป็นที่ปรึกษาให้บริษัทเอกชน แต่ก็พบว่ามีการไปอยู่กับบริษัทยักษ์ใหญ่ ส่งผลกระทบตั้งแต่ค่าใช้จ่ายสินค้าอุปโภค – บริโภคที่เพิ่มสูงขึ้น การไหลเวียนของสินค้าและข้อมูลข่าวสารถูกทำให้เป็นหน้าเดียวกันหมด ความหลากหลายหรือการแข่งขันแบบการค้าเสรีก็ไม่เกิดขึ้นจริง 

ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในสภาวะที่ผมคิดว่ามันเป็นรัฐที่ถูกกำกับดูแลด้วยแค่คนกลุ่มหนึ่งเท่านั้นโดยผ่านกฎหมาย และสิ่งที่มันเกิดขึ้น ใครที่จะเติบโตภายใต้ระบบโครงสร้างแบบนี้ ฉะนั้นคนที่ดิ้นหลุดจากโครงสร้างออกมาทำแบบใหม่ก็ไม่มีกำลังจะต่อสู้ภายใต้โครงสร้างที่มันไม่เกิดการแข่งขันที่เปิดโอกาสให้แก่คนรุ่นใหม่ รศ.เอกรินทร์ กล่าว

ผศ.ดร.ยาสมิน ซัตตาร์ คณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ไล่เรียงประวัติศาสตร์ว่า หากย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 19 (ปี 2343 – 2442) เป็นยุคที่ภูมิรัฐศาสตร์ให้ความสำคัญกับแผนที่และการลากเส้นเขตแดน แต่เมื่อโลกเข้าสู่ยุคสงครามเย็น (Cold War) ที่ชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตมีมุมมองต่อภูมิรัฐศาสตร์ว่าไม่ใช่เพียงเรื่องดินแดนแต่รวมถึงอุดมการณ์ด้วย ยุคนี้จะเริ่มพบการใช้โฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) จากทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อทำให้รัฐชาติอื่นๆ เชื่อว่าข้อมูลของฝ่ายตนนั้นถูกและมองข้อมูลของอีกฝ่ายว่าผิด 

คำว่าภูมิรัฐศาสตร์ได้หายไปจากการรับรู้อยู่ช่วงหนึ่งเมื่อสิ้นสุดยุคสงครามเย็น ก่อนจะกลับมาในช่วงไม่กี่ปีล่าสุด เนื่องจากโลกได้เกิดขั้วอำนาจขึ้นมาแข่งขันกันหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ จีน รัสเซีย ยุโรป แม้กระทั่งโลกมุสลิม ขณะที่สงครามที่แม้จะยังมีการสู้รบด้วยอาวุธหรือกำลังทหารจริงๆ แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือการสู้รบด้วยข้อมูลข่าวสารและการโจมตีทางไซเบอร์ ปรากฏการณ์เหล่านี้แบ่งแยกคนออกจากกันมากขึ้นยิ่งกว่าในอดีต เพราะข้อมูลโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ สามารถเข้าถึงคนได้ง่ายขึ้น 

ในอดีตหากคนไม่ได้เข้าถึงสื่อโทรทัศน์หรือหนังสือพิมพ์ก็อาจไม่รับรู้ข้อมูลข่าวสาร หรือสื่ออย่างหนังสือพิมพ์ก็อาจถูกควบคุมโดยรัฐและประชาชนก็จะไม่รับรู้ข้อมูลข่าวสารส่วนอื่นๆ นอกเหนือจากนั้น แต่ปัจจุบันทุกคนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ทางออนไลน์ แน่นอนว่ามีเรื่องของอัลกอริทึมที่จะจดจำพฤติกรรมของผู้ใช้งานแต่ละคน เช่น การค้นหาหรือมีส่วนร่วมกับข้อมูลข่าวสาร ทำบ่อยๆ เข้าเราก็จะเชื่อว่าข้อมูลชุดนั้นถูกต้องที่สุด แต่หากเลือกรับหรือค้นหาข้อมูลชุดอื่นๆ บ้าง ก็อาจทำให้เรามีข้อมูลมาตั้งคำถามกับสิ่งที่เชื่อได้ รวมถึงไม่ส่งต่อข้อมูลที่ผิด

ขั้นสุดของพีระมิดแห่งความเกลียดชัง (Pyramid of Hate) คือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แต่กว่าที่มันจะขยับไปสู่เรื่องของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ Baseline (พื้นฐาน) ที่สำคัญที่สุดก็คือ Bias (อคติ) การที่เรามีอคติต่อกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง หลายครั้งยิ่งเราได้รับข้อมูลเพิ่มขึ้น เราถูกสอนเพิ่มขึ้น สุดท้ายมันจะขยับขึ้นมาสู่สิ่งที่เริ่มเป็น Action (การกระทำ) จากแค่วิธีคิดเราเริ่มทำแล้ว เริ่ม Bully (เหยียดหยามรังแกสุดท้ายขยับขึ้นไปถึงการใช้ความรุนแรง อาจเป็นความรุนแรงที่เอามายิงกันได้ สุดท้ายมันเป็นความรุนแรงระดับที่ใหญ่มาก ผศ.ดร.ยาสมินกล่าว

ผศ.ดร.อับดุลรอนิง สือแต คณะศิลปศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยฟาอนี ยกตัวอย่างความขัดแย้งอิสราเอล – ปาเลสไตน์ ที่ข่าวมุ่งนำเสนอเหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค. 2566 เมื่อกลุ่มฮามาสบุกเข้าไปจับตัวประกันในอิสราเอลเพื่อใช้แลกเปลี่ยนกับชาวปาเลสไตน์ที่ถูกอิสราเอลควบคุมตัวอยู่ก่อนหน้านั้นเป็นจำนวนมากแต่ไม่ค่อยปรากฏเป็นข่าว แต่ในทางกลับกัน ภาพความรุนแรงที่กระทำต่อชาวปาเลสไตน์จากปฏิบัติการตอบโต้ของอิสราเอลถูกนำเสนอสู่สายตาชาวโลกจากฝ่ายที่ไม่ใช่รัฐแต่เป็นกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับปฏิบัติการนั้น 

หรือการพยายายามสร้างภาพลักษณ์ของฮามาสหรือกลุ่มที่ต่อสู้เพื่อปาเลสไตน์ว่าเป็นผู้ก่อการร้าย แต่เมื่อสืบย้อนเรื่องราวกลับไปก็จะพบว่าอิสราเอลหรือยิวไซออนนิสต์เป็นผู้เข้ามายึดครองดินแดนของปาเลสไตน์ แต่ประเด็นเหล่านี้ไม่ถูกพูดถึง นี่คือเรื่องของข้อมูลข่าวสารที่ปัจจุบันเป็นสงครามที่เกิดขึ้นทั้งที่มีฝักฝ่ายและที่เป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยไม่สังกัดฝ่ายใด ซึ่งรวมถึงเราทุกคนที่ติดตามและเผยแพร่ข่าวสารต่างๆ ด้วย แต่สิ่งที่ต้องระวังคือความเข้าใจว่าเราไม่ได้ถูกกำหนด

มันเหมือนกับทฤษฎีเรื่องของนกพิราบจิกข้าวจิกถั่วแล้วมันก็แปรขบวนไปตามจุดที่คนวางข้าววางถั่วให้มันเป็นไปตามรูปภาพที่เขากำหนด ตรงนี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่น่าหวาดกลัวในการที่จะต้องใช้ความพินิจพิจารณา วิเคราะห์ในสิ่งต่างๆ ว่ากระบวนการที่เรากำลังรู้สึกเกลียด – รู้สึกชอบ เรากำลังตกอยู่ในวังวนของการสนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือวัตถุประสงค์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งด้วยหรือไม่ผศ.ดร.อับดุลรอนิง กล่าว

Fact-check: พรรคประชาชน “ไม่เอาทหาร” ? 

ทีมเฉพาะกิจ Cofact x The Momentum

[รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการตรวจสอบข้อเท็จจริงทางการเมืองในรัฐสภา ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างกองบรรณาธิการ Cofact และ The Momentum ระหว่างเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2568]

คำกล่าวอ้างว่าพรรคประชาชน “ไม่เอาทหาร” กลับมาอีกครั้งในช่วงที่ประเทศไทยกำลังนับถอยหลังสู่การยุบสภาและการเลือกตั้งทั่วไปตามข้อตกลงร่วมระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาชนที่กำหนดเงื่อนไขให้อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ยุบสภาภายใน 4 เดือน นับแต่รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อ 29 ก.ย. 2568

“เขาบอกว่าพรรคประชาชนตรวจสอบทหารและเป็นลักษณะว่าไม่เอาทหาร…อยากถามพรรคประชาชนว่าวันนี้กับเมื่อวานที่ท่านพูดว่าไม่เอาทหาร วันนี้ยังยืนหยัดในแนวทางเดิมหรือไม่” ผู้สื่อข่าวจาก จ.อุบลราชธานี ถามผู้แทนจากพรรคประชาชนในเวที Policy Checking Forum “เมื่อ ‘นโยบาย’ ต้องเผชิญหน้า ‘ข้อเท็จจริง’” ที่รัฐสภาเมื่อวันที่ 20 พ.ย. 2568 

ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส. กทม. พรรคประชาชน ตอบคำถามด้วยการเรียกร้องให้สื่อมวลชนตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าพรรคประชาชนเคยพูดว่าไม่เอาทหารจริงหรือไม่ ก่อนจะยืนยันว่า “เราไม่เคยพูดแน่นอนว่าเราไม่เอาทหาร”

ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส. กทม. พรรคประชาชน ตอบคำถามผู้สื่อข่าวในเวที Policy Checking Forum “เมื่อ ‘นโยบาย’ ต้องเผชิญหน้า ‘ข้อเท็จจริง’” ที่รัฐสภาเมื่อวันที่ 20 พ.ย. 2568 

“พรรคประชาชนเป็นประธานคณะกรรมาธิการทหาร เราทำงานร่วมกับทหารเป็นหลักมาตลอด 2 ปีนี้ นโยบายชุดแรกที่เราทำเป็นเอกสารเสร็จสมบูรณ์คือนโยบายเกี่ยวกับทหาร ซึ่งเราทำร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหารหลายคนทั้งระดับสูงและระดับปฏิบัติงาน ว่าต้องการนโยบายที่จะช่วยเหลือหรือติดอาวุธให้เขาในแบบไหนบ้าง” ศศินันท์กล่าวและอธิบายเพิ่มเติมว่าที่ผ่านมาพรรคได้ชี้แจงหลายครั้งว่า “ยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหาร” ซึ่งเป็นหนึ่งนโยบายที่พรรคก้าวไกลประกาศก่อนการเลือกตั้งปี 2566 กับ “ยกเลิกทหาร” นั้นเป็นคนละเรื่องกัน  

“ทีมเฉพาะกิจ Cofact x The Momentum ตรวจสอบข้อเท็จจริงในสภา” ตรวจสอบนโยบายย้อนหลังตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล จนมาถึงพรรคประชาชนว่านโยบายเกี่ยวกับทหารและกองทัพที่พรรคเคยสื่อสารต่อสาธารณะนั้นเป็นอย่างไร ไม่เอาทหารจริงหรือไม่ 

Timeline: จากพรรคอนาคตใหม่ถึงพรรคประชาชน

15 มี.ค. 2561 พรรคอนาคตใหม่ยื่นจดแจ้งชื่อจัดตั้งพรรคต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง

24 มี.ค. 2562 เลือกตั้งทั่วไป พรรคอนาคตใหม่ได้คะแนนเสียงเป็นอันดับที่สาม รวมจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 80 ที่นั่ง

21 ก.พ. 2563 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้ยุบพรรคอนาคตใหม่พร้อมเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 10 ปี จากกรณีพรรคกู้เงิน 191.2 ล้านบาทจากธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค ซึ่งศาลวินิจฉัยว่าเป็นเงินที่ได้มาโดยไม่ชอบตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560

6 มี.ค. 2563 คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รับรองการเปลี่ยนชื่อพรรคและกรรมการบริหารพพรรคร่วมพัฒนาชาติไทยเป็น “พรรคก้าวไกล” อดีต สส. พรรคอนาคตใหม่เข้ามาสังกัดพรรคก้าวไกล ที่มีพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นหัวหน้าพรรค

14 พ.ค. 2566 พรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้ง ได้ สส. เข้าสภา 151 คน

7 ส.ค. 2567 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ให้ยุบพรรคก้าวไกลและเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 10 ปี เนื่องจากมีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จากการร่วมกันเสนอให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายหาเสียง

9 ส.ค. 2567 แถลงเปิดตัวพรรคประชาชน โดยมีณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ เป็นหัวหน้าพรรคประชาชน ศิริกัญญา ตันสกุล เป็นรองหัวหน้าพรรค และศรายุทธ ใจหลัก เป็นเลขาธิการพรรค 

พรรคอนาคตใหม่

วันที่ 16 ธ.ค. 2561 ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่เปิดตัว “12 นโยบายพรรคอนาคตใหม่ เปิดวิสัยทัศน์ เปลี่ยนอนาคต” ประกอบด้วย โดยนโยบาย “ปฏิรูปกองทัพ ลดนายพล เลิกเกณฑ์ทหาร ซื้ออาวุธโปร่งใส” เป็น 1 ใน 8 นโยบายเสาหลักของพรรค

สื่อมวลชนหลายสำนักรายงานตรงกันว่าพรรคอนาคตใหม่มีนโยบายปฏิรูปกองทัพให้ทันสมัย

The MATTER รายงานว่าพรรคอนาคตใหม่ต้องการปฏิรูปกองทัพให้ทันสมัย ยกเลิกเกณฑ์ทหาร หันมาใช้วิธีสมัครยกเว้นเมื่อเกิดศึกสงคราม รวมทั้งปรับลดกำลังพลประจำการลงครึ่งหนึ่งให้เหลือเพียง 1.7 แสนนาย และลดนายพลให้เหลือ 400 คน จากปัจจุบัน 1,600 คน

The Standard อ้างคำพูดของ พล.ท. พงศกร รอดชมภู รองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ที่ยืนยันหลักการกองทัพต้องอยู่ใต้รัฐบาลพลเรือน ลดขนาดกองทัพให้เล็กลงและทันสมัยขึ้น โดยลดกำลังพลลง 40 เปอร์เซ็นต์ และลดอัตรานายพลลงเหลือ 1 ใน 4 ยกเลิกการเกณฑ์ทหารและเปลี่ยนเป็นระบบสมัครใจ ลงทุนในงานวิจัยเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ให้อำนาจการจัดซื้อจัดจ้างขนาดใหญ่ของกองทัพอยู่กับกระทรวงกลาโหม

The Momentum เผยแพร่บทความ ประชันนโยบายพรรคการเมือง EP 09: กองทัพ โดยให้ข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายด้านกองทัพของพรรคอนาคตใหม่ว่า “รัฐบาลพลเรือนควบคุมกองทัพ เลิกบังคับเกณฑ์ทหารเปลี่ยนเป็นระบบสมัครใจ ปฏิรูปโครงสร้างงบประมาณกองทัพ วิทยาการด้านการป้องกันประเทศ และการผสานระหว่างระบบอุปถัมภ์กับคุณธรรม”

ธนาธรย้ำนโยบายปฏิรูปกองทัพอีกครั้งด้วยการโพสต์เฟซบุ๊ก “Thanathorn Juangroongruangkit – ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” เมื่อวันที่ 24 ธ.ค. 2561 ว่าพรรคอนาคตใหม่เสนอนโยบาย “ปฏิรูปกองทัพให้เป็นกองทัพสมัยใหม่ ยกเลิกเกณฑ์ทหาร ใช้วิธีสมัคร ยกเว้นเวลาเกิดศึกสงคราม, ปรับลดกำลังพลประจำการลงครึ่งหนึ่ง ให้เหลือเพียง 1.7 แสนนาย, ลดจำนวนนายพลจากปัจจุบัน 1,600 คน ให้เหลือเพียง 400 คน” (ลิงก์บันทึก)

ในโพสต์นี้ ธนาธรยังได้จัดทำโพลสำรวจความคิดเห็นโดยให้เลือกระหว่าง “ยกเลิกเกณฑ์ทหาร” กับ “ยังอยากเกณฑ์ทหาร” ซึ่งมีผู้ใช้เฟซบุ๊ก 7.8 หมื่นบัญชีร่วมโหวต ผลคือร้อยละ 92 เลือก “ยกเลิกเกณฑ์ทหาร” และร้อยละ 8 เลือก “ยังอยากเกณฑ์ทหาร”

พรรคก้าวไกล

ก่อนการเลือกตั้ง 14 พ.ค. 2566 พรรคก้าวไกลเสนอชุดนโยบายในชื่อ “300 นโยบายเปลี่ยนประเทศ”  ในส่วนของนโยบายปฏิรูปกองทัพประกอบด้วย 15 ข้อเสนอ ได้แก่  

  1. เอาทหารออกจากการเมือง: ห้ามทหารยศนายพลดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นเวลา 7 ปีหลังออกจากราชการเพื่อไม่ให้เกิดการแทรกแซงทางการเมืองโดยอดีตนายพลที่ยังมีสายสัมพันธ์ในกองทัพ
  2. กองทัพอยู่ใต้รัฐบาลพลเรือน ยกเลิกสภากลาโหม
  3. ตั้งผู้ตรวจการกองทัพที่มาจากสภาผู้แทนราษฎรเพื่อตรวจสอบการทำงานของกองทัพ
  4. ยกเลิกศาลทหารในสถานการณ์ปกติ ให้มีได้เฉพาะช่วงการประกาศสงครามเท่านั้น ให้คดีเกี่ยวกับวินัยทหารและคดีอาญาที่ทหารเป็นคู่ความเข้าสู่ศาลปกครองและศาลยุติธรรม
  5. ลดขนาดกองทัพ 30-40% 
  6. ลดจำนวนนายพลเหลือ 400 นาย และสร้างความเป็นธรรมระหว่างข้าราชการทหารและข้าราชการพลเรือน
  7. ยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหาร
  8. ปฏิรูปการศึกษาทหาร
  9. การนำเข้ายุทโธปกรณ์ต้องมีการจ้างงานและถ่ายโอนเทคโนโลยี (Defence Offset)
  10. คืนที่ดินกองทัพให้ประชาชน
  11. คืนธุรกิจกองทัพให้รัฐบาล
  12. เพิ่มสวัสดิการทหารชั้นผู้น้อยให้ปลอดภัย มั่นคง และมีอนาคต
  13. ยุบกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) 
  14. ยกเลิกกาประกาศกฎอัยการศึกในจังหวัดชายแดนภาคใต้
  15. ยกเครื่องกฎหมายความมั่นคงพิเศษซึ่งรวมถึงกฎอัยการศึก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร

วันที่ 18 มี.ค. 2566 พิธาขึ้นปราศรัยบนเวทีเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครพรรคก้าวไกลที่ จ.กาญจนบุรี โดยในช่วงหนึ่งเขาได้ตั้งคำถามว่า “ทหารมีไว้ทำไม”

“…ทหารมีไว้ทำไม พวกคุณจะไปรบกับใคร สมมติจะมีคนมารุกรานคุณ ผมก็ไม่เชื่อว่าคุณจะรบชนะด้วย แล้วอีกอย่าง ตอนนี้มันเป็นเรื่องของอาวุธ ประเทศที่อยู่ใกล้ ๆ กัน ที่เคยทะเลาะกันก็ไม่ทะเลาะกันแล้ว ทุกวันนี้ลดกองทัพได้ บางประเทศไม่ต้องมีกองทัพด้วยซ้ำไปถ้าผู้นำฉลาดพอ มันคือเรื่องกฎกติกาสากล เรื่องระเบียบโลก ยิ่งประเทศเล็ก ๆ แบบพวกเรายิ่งต้องฉลาด สามารถที่จะทำให้ประหยัดงบกองทัพไปเยอะ ทหารมีไว้ทำไม วันนี้เราจะมาชวนหาคำตอบนี้” พิธากล่าว 

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ตั้งคำถามว่า “ทหารมีไว้ทำไม” บนเวทีปราศรัยที่ จ.กาญจบุรี เมื่อวันที่ 18 มี.ค. 2566

การตั้งคำถามว่า “ทหารมีไว้ทำไม” ของพิธาบนเวทีปราศรัยในวันนั้นถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางโดยเฉพาะจากผู้สนับสนุนกองทัพว่าสะท้อนถึงการไม่เห็นความสำคัญของทหารและกองทัพ 

ข้อความนี้ยังถูกนำมาประกอบเนื้อหาเท็จโจมตีพรรคก้าวไกลว่าไม่เอาทหารและต้องการยกเลิกกองทัพ โดยเฉพาะในช่วงความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาที่ปะทุขึ้นในช่วงปลายเดือน พ.ค. 2568 ซึ่งพิธาได้ให้ความเห็นในรายการ “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” ของสรยุทธ สุทัศนะจินดาเมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 2568 ว่าเป็นการตัดคำพูดเพียงบางส่วนมาเผยแพร่โดยขาดบริบท 

พิธาอธิบายว่าคำถาม “ทหารมีไว้ทำไม” เป็นการพูดบนเวทีปราศรัยเมื่อปี 2566 ใน จ.กาญจนบุรี ซึ่งเรียกได้ว่าเป็น “เขตทหาร” และมีประชาชนจำนวนหนึ่งได้รับผลกระทบจากการใช้ที่ดินของกองทัพ อีกทั้งในช่วงนั้นยังมีประเด็นเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในค่ายทหารด้วย 

เมื่อพิธีกรถามพิธาว่า “ทหารมีไว้ทำไม” อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกลตอบว่า “ทหารมีไว้ปกป้อง ไม่ได้มีไว้ปกครอง ถ้าจะให้ตอบแบบไม่เหมือนเดิมก็คือ ทหารมีไว้ป้องกันการคุกคามจากต่างประเทศ แต่ไม่ยุ่งกับการเมืองภายในประเทศ…มีไว้ระมัดระวังภัยความมั่นคงทุกรูปแบบจากนอกประเทศ แต่ไม่ยุ่งการเมืองในประเทศ”

“มุมมองของผมต่อทหารคือ ผมต้องการให้ทหาร smart ทหารเป็นมืออาชีพ ลดจำนวนทหารลงเพื่อที่จะได้มียุทโธปกรณ์มาสู้กับภัยความมั่นคงในศตวรรษที่ 21 ที่มาจาก hybrid warfare ไม่ได้เป็นสงครามแบบดั้งเดิม” พิธากล่าว

พรรคประชาชน  

เนื่องจากพรรคประชาชนเป็นพรรคที่ก่อตั้งขึ้นหลังจากพรรคก้าวไกลถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคเมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2567 นโยบายของพรรคจึงเป็นการสานต่อจากพรรคก้าวไกล อย่างไรก็ตามแนวคิดและนโยบายด้านทหารของพรรคประชาชนภายใต้การนำของณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สามารถประมวลได้จากร่างกฎหมายที่พรรคประชาชนผลักดันและจากชุดนโยบายที่ณัฐพงษ์นำเสนอในการประชุมวิสามัญพรรคประชาชนเมื่อ 25 ต.ค. 2568

เว็บไซต์พรรคประชาชน รายงานความคืบหน้าร่างกฎหมายที่พรรคก้าวไกล/พรรคประชาชนเสนอ ซึ่ง ณ สิ้นเดือน พ.ย. 2568 เสนอเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรรวม 134 ฉบับ ในจำนวนนี้มีร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับทหาร  ในจำนวนนี้มีร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับทหาร ได้แก่

  • ร่าง พ.ร.บ. ธรรมนูญศาลทหาร 2 ฉบับ
  • ร่าง พ.ร.บ. รับราชการทหาร (ยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหาร) 2 ฉบับ
  • ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ปรับขอบเขตอำนาจศาลทหาร)
  • ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหาร)
  • ร่าง พ.ร.บ. ยกเลิกพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 (ยุบ กอ.รมน.)
  • ร่างแก้ไข พ.ร.บ. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
  • ร่าง พ.ร.บ. จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม (ระเบียบราชการกลาโหม)
  • ร่าง พ.ร.บ. ยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 14/2559 เรื่อง คณะกรรมการที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการกำหนดอำนาจหน้าที่ของ กอ.รมน. ลงวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2559 

ร่างกฎหมายแต่ละฉบับมีความคืบหน้าแตกต่างกันไป บางฉบับถูกตีตกไปเนื่องจากเป็นกฎหมายที่เกี่ยวด้วยการเงิน เช่น ร่าง พ.ร.บ.รับราชการทหาร (ยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหาร) แต่ยังเหลืออีกฉบับหนึ่งซึ่งเป็นร่างที่ไม่เกี่ยวด้วยการเงิน และร่าง พ.ร.บ. ยกเลิกพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 (ยุบ กอ.รมน.) บางฉบับอยู่ระหว่างการพิจารณาในชั้นกรรมาธิการ บางฉบับได้รับการบรรจุวาระแล้วและอยู่ระหว่างรอการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร 

นอกจากการผลักดันกฎหมายตามนโยบายปฏิรูปกองทัพแล้ว ในการประชุมสภา สส. พรรคประชาชนยังได้อภิปรายในประเด็นที่เกี่ยวกับการตรวจสอบการทำงานของกองทัพ เช่น การตรวจสอบเรื่องปฏิบัติการmางอข้อมูลข่าวสาร (IO) ของกองทัพ ตรวจสอบนโยบายปฏิรูปกองทัพของพรรคเพื่อไทย และการติดตามคดีการเสียชีวิตของภคพงศ์ ตัญกาญจน์ อดีตนักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 ของคณะกรรมาธิการการทหาร ซึ่งเดิมมีวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.พรรคประชาชนเป็นประธาน ก่อนจะลาออกและให้เอกราช อุดมอำนวย จากพรรคเดียวกันมารับช่วงต่อ 

สำหรับการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในปี 2569 นโยบายปฏิรูปกองทัพยังคงเป็นหนึ่งในชุดนโยบายและแผนงานของพรรคประชาชนตามที่ณัฐพงษ์นำเสนอในการประชุมวิสามัญพรรคประชาชนเมื่อ 25 ต.ค. 2568  


ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ได้นำเสนอหัวข้อ “มุ่งหน้าสู่การเลือกตั้ง 2569” ในการประชุมวิสามัญพรรคประชาชนเมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2568 โดยเปิดเผยชุดนโยบายบางส่วน ซึ่งนโยบายปฏิรูปกองทัพเป็นหนึ่งในนั้น

ข้อสรุป

จากการตรวจสอบนโยบายพรรคอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกลและพรรคประชาชนที่เผยแพร่ในช่องทางที่เป็นทางการของพรรค รวมทั้งถ้อยคำที่หัวหน้าพรรคคือธนาธร (อนาคตใหม่) พิธา (ก้าวไกล) และณัฐพงษ์ (ประชาชน) ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหรือพูดต่อสาธารณะระหว่างปี 2561-2568 พบว่ามีการนำเสนอนโยบายปฏิรูปกองทัพจริง แต่ไม่มีเนื้อหาใดที่ระบุว่า “ไม่เอาทหาร” หรือ “ยกเลิกกองทัพ”  

นโยบายปฏิรูปกองทัพถูกจัดอยู่ในหมวดนโยบายด้านการสร้างประชาธิปไตยเต็มใบของพรรคก้าวไกล/พรรคประชาชน ซึ่งประกอบด้วยข้อเสนอหลายข้อ เช่น ยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหาร, ลดจำนวนทหารยศนายพล, ลดจำนวนพลทหาร, ยกเลิกศาลทหารในสถานการณ์ปกติ, ยุบ กอ.รมน., โอนการถือครองที่ดินกองทัพกลับมาเป็นของกรมธนารักษ์เพื่อให้การจัดสรรที่ดินเป็นประโยชน์แก่คนส่วนใหญ่, โอนถ่ายธุรกิจกองทัพทั้งหมดมาให้กระทรวงการคลังดูแล, เพิ่มสวัสดิการทหารชั้นผู้น้อย เป็นต้น 

ประชาชนมีสิทธิที่จะแสดงความไม่เห็นด้วย คัดค้านหรือวิพากษ์วิจารณ์นโยบายปฏิรูปกองทัพและข้อเสนอของพรรคการเมืองนี้ได้อย่างเต็มที่ แต่การสรุปว่าพรรคอนาคตใหม่/ก้าวไกล/ประชาชน “ไม่เอาทหาร” นั้นเป็นการบิดเบือนและเป็นข้อสรุปที่ไม่ตรงกับนโยบายที่พรรคเสนออย่างเป็นทางการต่อสาธารณะ

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ




กรรมการมูลนิธิธรรมนัสฯ ระบุ ร.อ.ธรรมนัส มอบอำนาจให้แจ้งความหมิ่นประมาทผู้ใช้เฟซบุ๊กจริง

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: ผู้ใช้เฟซบุ๊กระบุโดน ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า แจ้งความหมิ่นประมาท 

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาจริง**

📝เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 1 ธ.ค. 2568 ผู้ใช้งานเฟซบุ๊กชื่อ Suphaphorn Phosri โพสต์ข้อความว่าได้รับหมายเรียนจากพนักงานสอบสวน สภ.เมืองพะเยา ในคดีที่ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แจ้งความเธอในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา (ลิงก์บันทึก)

ภาพหมายเรียกที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายนี้นำมาเผยแพร่ระบุว่าเป็นหมายเรียกครั้งที่ 1 ออกที่ สภ.เมืองพะเยา จ.พะเยา ลงวันที่ 20 พ.ย. ในคดีความอาญาระหว่าง ร.อ.ธรรมนัส โดยนายอาทิตย์ มานัสสา เป็นผู้รับมอบอำนาจ เป็นผู้กล่าวหา กับผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Suphaphorn Phosri หรือ น.ส.สุภาภรณ์ โพธิ์ศรี ผู้ต้องหา จากการโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “ซึ่งเป็นข้อความหมิ่นประมาทผู้เสียหายในเฟซบุ๊กสาธารณะ ทำให้ได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง” และกำหนดให้ผู้ต้องหาไปพบ ร.ต.อ. สุชาติ วงศ์ประกาย พนักงานสอบสวนเจ้าของคดีที่ สภ.เมืองพะเยา ในวันที่ 4 ธ.ค.

ทั้งนี้ ในตอนท้ายของหมายเรียกสะกดชื่อผู้ต้องหาผิดเล็กน้อย ประกอบกับการที่สุภาภรณ์โพสต์เลขที่บัญชีเพื่อขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปพบพนักงานสอบสวน จึงมีผู้เข้ามาตั้งข้อสงสัยว่าหมายเรียกฉบับนี้เป็นเอกสารของทางราชการจริงหรือไม่

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: นายอาทิตย์ มานัสสา ซึ่งหมายเรียกระบุว่าเป็นผู้รับมอบอำนาจจาก ร.อ.ธรรมนัส ให้สัมภาษณ์โคแฟคทางโทรศัพท์เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. ว่า ร.อ.ธรรมนัสได้มอบหมายให้เขาแจ้งความดำเนินคดีกับสุภาภรณ์จริง เนื่องจากพบว่าเธอโพสต์ข้อความที่สร้างความเสียหายและสร้างความเข้าใจผิดต่อ ร.อ.ธรรมนัส 

ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

นายอาทิตย์กล่าวว่าเขามีตำแหน่งเป็นกรรมการมูลนิธิธรรมนัส พรหมเผ่า และเป็นผู้ได้รับมอบอำนาจจาก ร.อ.ธรรมนัสร้องทุกข์กล่าวโทษกับผู้ที่เผยแพร่ข้อความหมิ่นประมาท ร.อ.ธรรมนัสจำนวนหลายราย แต่ไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัดว่าขณะนี้มีบุคคลที่ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีทั้งหมดกี่คน

โคแฟคติดต่อไปที่ สภ.เมืองพะเยา เจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลว่า ร.ต.อ. สุชาติ วงศ์ประกา  เป็นพนักงานสอบสวนประจำ สภ.เมืองพะเยาจริง แต่ปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับหมายเรียกในคดีนี้

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ

คลิปผู้ช่วย สส. เพื่อไทย ยืนแช่น้ำท่วมระดับหน้าอกในเมืองหาดใหญ่ เป็นคลิปที่สร้างจาก AI

กองบรรณาธิการโคแฟค

❓ เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปผู้ช่วย สส. ยืนแช่น้ำท่วมที่หาดใหญ่เรียกร้องพรรคประชาชนตรวจสอบรัฐบาลอนุทิน

❌ ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เป็นคลิปที่สร้างจากเอไอ โดยมีบางส่วนที่เป็นภาพจริง** 

📝 เนื้อหาโดยสรุป: คลิป “น้ำท่วมหาดใหญ่ น้ําท่วมภาคใต้ พรรคประชาชนตรวจสอบรัฐบาลอนุทิน หรือยัง ” ถูกเผยแพร่เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 68 บนบัญชีเฟซบุ๊ก X และอินสตาแกรมของนายชีพธรรม คำวิเศษณ์ ซึ่งระบุในโปรไฟล์ของตัวเองว่าเป็นผู้ช่วยนายสุธรรม แสงประทุม สส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) 

ในคลิปความยาว 15 วินาที (ลิงก์บันทึก) มีภาพนายชีพธรรมพูดว่า “ผมยืนอยู่กลางน้ำท่วมกลางเมืองหาดใหญ่เลยครับ น้ำสูงเกือบถึงเอว บ้านร้านค้าปิดกันหมด คนต้องอพยพขึ้นเรือแบบนี้กันทั้งเมือง พี่น้องประชาชนเดือดร้อนขนาดไหน ภาพมันชัดหมดแล้ว” และถามหาความรับผิดชอบจากพรรคประชาชนว่าได้ตรวจสอบรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล เกี่ยวกับการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยอย่างไรบ้าง  

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: ภาพเกือบทั้งหมดในคลิปนี้สร้างจาก Sora ซึ่งเป็นโมเดลเอไอของ OpenAI เจ้าของเดียวกันกับ ChatGPT สังเกตได้จากโลโกและชื่อแอปพลิเคชันที่ปรากฏอย่างชัดเจนตลอดทั้งคลิป รวมถึงยังพบความผิดปกติหลายจุด เช่น ป้ายชื่อร้านค้าในเมืองเป็นกลุ่มคำที่ไม่มีความหมาย ป้ายกระทรวงสาธารณสุขที่สะกดผิดทั้งภาษาอังกฤษและไทย ครุฑสีทองหน้าอาคารที่มีลักษณะต่างกับตราครุฑของจริง และระดับน้ำท่วมที่ไม่สอดคล้องกันโดยเปรียบเทียบจากคำบรรยายว่า “น้ำท่วมเกือบถึงเอว” แต่บริเวณพื้นหลังน้ำท่วมสูงแค่ระดับข้อเท้า 

จุดสังเกตว่าบางส่วนของคลิปนี้สร้างจาก AI เช่น ป้ายชื่อร้านค้าในเมืองเป็นกลุ่มคำที่ไม่มีความหมาย ป้ายกระทรวงสาธารณสุขที่สะกดผิดทั้งภาษาอังกฤษและไทย ครุฑสีทองหน้าอาคารที่มีลักษณะต่างกับตราครุฑของจริง ระดับน้ำท่วมที่ไม่สอดคล้องกันโดยเปรียบเทียบจากคำบรรยายว่า “น้ำท่วมเกือบถึงเอว” แต่บริเวณพื้นหลังน้ำท่วมสูงแค่ระดับข้อเท้า และโลโก “Sora” โมเดล AI ของ OpenAI

อย่างไรก็ตามมีบางส่วนของคลิปที่ใช้ภาพจริง เช่น ช่วงที่นายชีพธรรมนั่งพูดอยู่ในห้อง

สำหรับประเด็นที่เสียงในคลิปตั้งคำถามพรรคประชาชน (ปชน.) ว่าได้ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอนุทินเกี่ยวกับการจัดการน้ำท่วมหรือยัง รายการ “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” ออกอากาศสดบนช่องยูทูบ “สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว” ในวันที่ 2 ธ.ค. สัมภาษณ์นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้า ปชน. ขณะลงพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ในประเด็นว่าความโกลาหลในการรับมือวิกฤตอุทกภัยครั้งนี้ร้ายแรงพอที่พรรคประชาชนจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลหรือไม่ นายณัฐพงษ์กล่าวว่าทั้ง ปชน. และ พท. มีคะแนนเสียงเพียงพอที่จะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่ตนมองว่าสิ่งที่ประชาชนต้องการมากที่สุดขณะนี้คือความต่อเนื่องในการแก้ไขปัญหา จึงไม่อยากนำเงื่อนไขทางการเมืองอย่างเช่นการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาเป็นตัวกำหนด และอยากให้วาระเร่งด่วนอย่างวิกฤตน้ำท่วมได้รับการแก้ไขก่อน

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ

‘เสวนานักคิดดิจิทัล’เยือนอีสาน  ปลุกรู้เท่าทัน‘ข่าวลวงปั่นเกลียดชัง’หวังสร้างสันติในสังคมออนไลน์

25 พ.ย. 2568 สถานเอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย ร่วมกับ ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) อีสานโคแฟค สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) Ubon Connect และมูลนิธิสื่อสร้างสุข จัดงานเสวนานักคิดดิจิทัล ครั้งที่ 31 “บทบาทของสื่อและอินฟลูฯ สู่สังคมออนไลน์สันติประชาธรรม (Role of Media & Influencers to debunk disinformation, promote Peace & Democracy)” ณ ห้องปทุมวัน ชั้น 5 โรงแรมสุนีย์แกรนด์ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี

กมล หอมกลิ่น หัวหน้าโครงการอีสานโคแฟคกล่าวว่า งานเสวนานักคิดดิจิทัล หรือ Digital Thinkers Forum ครั้งนี้   อีสานโคแฟคเป็นเจ้าภาพร่วมกับภาคีทั้งส่วนกลางและในพื้นที่ โดยมีการออกแบบให้เกิดการถกเถียงแลกเปลี่ยนประเด็นเชิงนโยบายสาธารณะเพื่อให้ทุกคนที่เข้าร่วมงานได้แสดงความคิดเห็น ระดมสมอง นำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่มีมาพูดคุยกัน ในหัวข้อ “บทบาทของสื่อและอินฟลูฯ สู่สังคมออนไลน์สันติประชาธรรม” (Role of Media & Influencers to debunk disinformation, promote Peace & Democracy)เกี่ยวข้องกับบทบาทของสื่อ ต่อมาในสื่อโซเชียลมีเดียเกิด “อินฟลูเอนเซอร์” จำนวนมากที่เข้ามามีบทบาทต่อการนำสังคม

บทบาทของสื่อและอินฟลูฯ จะนำไปสู่การสร้างข้อมูลจริง – ข้อมูลลวงหรือไม่ สำคัญอย่างไร เราจึงตั้งหัวข้อนี้ขึ้นมา ประกอบกับในเวลาอันใกล้นี้จะมีการเลือกตั้งท้องถิ่น ทั้งเทศบาล อบต. และการเลือกตั้งใหญ่ของปรทศไทย  การรณรงค์หาเสียง  สุ่มเสี่ยงกับการเกิดถ้อยคำที่นำไปสู่การสร้างความเกลียดชัง(Hate Speechในเวทีนี้น่าจะทำให้ได้ทิศทางการทำงานการตรวจสอบข้อมูลและบทบาทหน้าที่ของสื่อที่ควรจะเป็น หัวหน้าโครงการอีสานโคแฟค กล่าว

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวถึงการเข้ามาของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ทำให้เปลี่ยนจากยุคข้อมูลลวงเข้าสู่ยุคข้อมูลหลอน หมายถึงเราอาจไม่รู้ว่าอะไรจริง – ไม่จริง เนื่องจาก AI สามารถผลิตเนื้อหาทั้งบทความ ภาพและคลิปวิดีโอได้เสมือนจริง ทำให้เป็นเรื่องยากในการแยกแยะ เนื่องจากสิ่งที่ AI สร้างขึ้นนำมาจากข้อมูลที่มีเค้าโครงข้อเท็จจริง ลำพังการรับมือข้อมูลว่าอะไรจริง – เท็จมีความยากอยู่แล้ว แต่ข้อมูลหลอนมีทั้งจริงบ้าง – ไม่จริงบ้าง เป็นความซับซ้อนของข้อมูลข่าวสารที่มีคำถามว่าจะรู้เท่าทันได้อย่างไร 

ในประเด็นนี้ มาเรีย เรสซา (Maria Ressa) ผู้สื่อข่าวชาวฟิลิปปินส์ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ประจำปี 2021 (พ.ศ.2564) ได้กล่าวในการประชุมสหประชาชาติเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ถึง “มหาสงครามข้อมูล (Information Armageddon)”โดยคำว่า Armageddon ให้ความรู้สึกถึงวันสิ้นโลก แต่ในที่นี้หมายถึงการสิ้นสุดของข้อเท็จจริงหรือความจริง ซี่งอาจเกิดขึ้นได้ในอนาคตหากเราไม่ทำอะไร ดังนั้นทุกฝ่ายต้องลุกขึ้นมารับมือ 

โดยเฉพาะบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีที่ให้บริการแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งมุมหนึ่งได้ประโยชน์จากการได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งาน แต่อีกมุมก็ปล่อยให้คนที่ทำไม่ถูกต้องหรือมิจฉาชีพเข้ามาใช้ประโยชน์ ทั้งนี้ จ.อุบลราชธานี เพิ่งผ่านภาวะสงครามข้อมูลข่าวสาร (Information Warfare) ด้วยความที่เป็นจังหวัดชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน มีปัญหาความขัดแย้งและการสู้รบ ในโลกออนไลน์ก็มีการสู้รบทางข้อมูลข่าวสารอย่างหนักหน่วงจากทั้ง 2 ฝ่าย 

หนทางที่จะรับมือกับมหาสงครามข้อมูล ต้องสร้างสิ่งที่เรียกว่า Information Integrity ที่ต้องทำให้ข้อมูลนั้นมีความน่าเชื่อถือ ศักดิ์ศรีของข้อมูล ความถูกต้อง ความสร้างสรรค์ ถ้าเปรียบเทียบกับคน คือต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต มีความรับผิดชอบในหน้าที่การงาน ไม่เป็นอันตรายกับคนอื่น เรียกว่าธรรมาภิบาลหรือคุณธรรมก็ได้ คุณธรรมของข้อมูลคืออะไร? แน่นอนที่สุดต้องถูกต้องเชื่อถือได้ แต่ต้องอยู่บนระบบโครงสร้างที่เอื้อด้วย สุภิญญา กล่าว 

ด้าน นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ประธานมูลนิธิพิทักษ์ธรรมชาติเพื่อชีวิต และอดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวปาฐกถาหัวข้อ การรับมือข้อมูลเท็จเพื่อสร้างสันติภาพและความปลอดภัย เล่าย้อนไปในยุคเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 มีการใช้คำพูด ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป และคนพูดเป็นพระ ซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลทางความคิด หรืออินฟลูเอนเซอร์ คือ บุคคลที่พูดออกไปแล้วมีพลัง 

ทั้งนี้ สื่อสามารถทำให้คนรู้สึกรักหรือเกลียดชังได้หรือหากคนพูดมีอิทธิพล เช่น ผมเป็นแพทย์ด้านโรคไต หากบอกว่ากินยาตัวหนึ่งแล้วรักษาโรคไตได้ ขายยาจนร่ำรวย แต่นี่เป็นการหลอกลวงประชาชน เพราะหากมียารักษาโรคไตได้จริงคงไม่ต้องเปิดศูนย์ไตเทียมหรือผ่าตัดเปลี่ยนไต นี่คือตัวอย่างของการรับสื่อแล้วมีอารมณ์ร่วม และยุคนี้เป็นยุคของข้อมูลข่าวสารปริมาณมาก (Big Data) เรื่องข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญที่เราไม่ปฏิเสธ แต่จะทำอย่างไรให้คนสามารถแยกแยะข้อมูลเหล่านั้น และสื่อจะทำอย่างไรที่ไม่ใช่เพียงการบอกข้อมูล แต่ต้องทำให้ประชาชนรู้เท่าทันด้วย

สำหรับเรื่องการเมืองนั้นเกี่ยวข้องกับเราทุกคนเช่น ข้าวของชาวนาจะขายได้ราคาหรือไม่ แต่สังคมไทยเกลียดนักการเมืองเพราะคิดว่านักการเมืองโกง แต่ถามว่าประเทศอื่นๆ มีนักการเมืองโกงหรือไม่ คำตอบคือมี ดังนั้นอย่ายึดตัวบุคคล นักการเมืองเลวจริงแต่ก็มีโอกาสจะดีได้หากประชาชนรู้เท่าทัน แต่การเมืองเป็นสิ่งที่จำเป็นและประชาชนต้องเรียนรู้ สังคมไทยถูกสอนกันว่าอย่าไปยุ่งกับการเมือง คิดแต่ว่านักการเมืองชั่ว แต่สิ่งที่ชั่วก็คือคน และคนก็มีความหลากหลาย 

หรืออย่างคำว่า “ชาตินิยม” เป็นคำที่ดี แต่สิ่งที่ผิดคือ การกลายเป็นชาตินิยมแบบสุดโต่ง เช่น มองว่าประเทศไทยมีเพียงเชื้อชาติเดียว แต่ในความเป็นจริงคนไทยมีหลายเชื้อชาติ อย่างภาคอีสานมี 20 – 30 ชาติพันธุ์ และการที่สังคมมีความหลากหลายก็ต้องยอมรับการพูดคุยที่มีความหลากหลาย ยอมรับการพูดคุยกับคนที่เห็นต่าง อย่าให้ทะเลาะกัน และหาข้อสรุปที่ทำให้เกิดการยอมรับซึ่งกันและกันให้ได้

ประเด็นที่จะต้องคุยกัน ในฐานะเป็นผู้ผลิต ผู้ทำสื่อ ผู้บริโภคสื่อ บทบาทเราคืออะไร อย่าให้เป็นผู้ถูกกระทำ แต่ต้องลุกขึ้นมาเป็นคนที่เปลี่ยนแปลง 1.คุณต้องการพัฒนาในทฤษฎี คือมีการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย – กฎหมาย 2.เปลี่ยนความเชื่อ และ3.สื่อสารใหม่ นพ.นิรันดร์ กล่าว 

สำหรับกิจกรรมในช่วงเช้า เป็นการจัดประชุมโต๊ะกลม เพื่อระดมสมองประเด็น ความกังวลและการรับมือข่าวลวงเลือกตั้ง / รู้ทัน ‘Hate Speech’ ถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง คู่มือฉบับประชาชน โดยมีทีมอีสานโคแฟค รับหน้าที่วิทยากรกระบวนการ

Fact-check: พนักงานสอบสวนคดี “ส่วยเว็บพนันออนไลน์” ออกหมายเรียก-หมายจับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ได้หรือไม่ ?

ทีมเฉพาะกิจ Cofact x The Momentum

[รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการตรวจสอบข้อเท็จจริงทางการเมืองในรัฐสภา ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างกองบรรณาธิการ Cofact และ The Momentum ระหว่างเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2568]

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กำลังถูกตั้งคำถามถึงการใช้ “สองมาตรฐาน” และ “เลือกปฏิบัติ” ในการดำเนินคดีกับข้าราชการตำรวจระดับสูงและพวก ที่ถูกกล่าวหาว่าพัวพันกันเว็บพนันออนไลน์ 2 คดี คือคดีของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)  กับคดีของ พล.ต.อ. สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีต รอง ผบ.ตร.

นอกจาก พล.ต.อ. สุรเชชษฐ์ ที่ออกมาร้องเรียนและกล่าวหา ตร. ว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และเลือกปฏิบัติระหว่างคดีของตนเองกับคดีของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ แล้ว พ.ต.อ. วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร เป็นอีกคนหนึ่งออกมาตั้งคำถามในประเด็นนี้

วันที่ 13 พ.ย. 2568 กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐฯ ซึ่งมีรังสิมันต์ โรม สส. พรรคประชาชนเป็นประธาน เชิญผู้เกี่ยวข้องมาชี้แจงกรณีคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ (ก.ร.ตร.) มีมติชี้มูลความผิดทางวินัยร้ายแรง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กรณีส่วยขบวนการเว็บพนันออนไลน์ 

พ.ต.อ. วิรุตม์ตั้งข้อสังเกตว่าเมื่อมีผู้ร้องเรียนกล่าวโทษข้าราชการตำรวจระดับสูงว่ากระทำผิดอาญา พนักงานสอบสวนจะต้องสอบสวนโดยไม่ชักช้าภายใน 30 วัน ก่อนจะส่งเรื่องไปที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ส่วน ก.ร.ตร. ก็จะต้องเร่งพิจารณาโทษทางวินัย 

พ.ต.อ. วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ตั้งข้อสังเกตถึงการทำงานของพนักงานสอบสวนในคดี พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล อดีต ผบ.ตร. ในที่ประชุม กมธ. เมื่อ 13 พ.ย. 2568

พ.ต.อ. วิรุตม์กล่าวว่าในส่วนของโทษทางวินัย ก.ร.ตร. สามารถมีมติพักราชการ สำรองราชการ หรือให้ข้าราชการตำรวจที่ถูกกล่าวหาออกจากราชการไว้ก่อนได้ ในส่วนของคดีอาญา พนักงานสอบสวนมีอำนาจออกหมายเรียกและหมายจับได้ แต่ก็ไม่มีการดำเนินการในกรณีของ พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ 

ทีมเฉพาะกิจ “Cofact x The Momentum ตรวจสอบข้อเท็จจริงในสภา” เปิดข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบขั้นตอนและอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนว่าเป็นไปตามที่ พ.ต.อ.วิรุตม์กล่าวหรือไม่อย่างไร

ลำดับเหตุการณ์ข้อกล่าวหา พล.ต.อ.ต่อศักดิ์และพวก

1 เม.ย. 2567 นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความ เข้าแจ้งความ พล.ต.อ. ต่อศักดิ์และพวกในข้อหาร่วมกันฟอกเงิน และสมคบกันฟอกเงินที่ สน.เตาปูน ตามด้วยการยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ ก.ร.ตร. เมื่อวันที่ 3 เม.ย. 2567

30 ก.ค. 2567 พนักงานสอบสวน สน.เตาปูนส่งสำนวนการสอบสวนไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช.

16 ธ.ค. 2567 คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณารายงานการตรวจสอบเบื้องต้นกรณีกล่าวหา พล.ต.อ. ต่อศักดิ์กับพวกเรียกรับเงินหรือทรัพย์สินที่เชื่อว่าได้มาจากการกระทำความผิดเกี่ยวกับเว็บพนันออนไลน์ พบว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอจึงมีมติ รับเรื่องไว้พิจารณาและดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงโดยให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งคณะเป็นองค์คณะไต่สวน

22 ต.ค. 2568 ก.ร.ตร. มีมติว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์และพวกที่เป็นตำรวจกว่า 200 นายมีมูลความผิดจริง และอยู่ระหว่างการเปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจง ซึ่ง ก.ร.ตร. จะนำคำชี้แจงนั้นมาพิจารณาเพิ่มเติมเพื่อตัดสินและกำหนดโทษทางวินัย

เนื้อหาที่ตรวจสอบ

พ.ต.อ.วิรุตม์กล่าวในที่ประชุม กมธ. ความมั่นคงแห่งรัฐฯ ว่าเมื่อมีผู้ทำหนังสือร้องเรียนกล่าวโทษถึง ผบ.ตร. หัวหน้าพนักงานสอบสวนหรือผู้รับหนังสือจะต้องรายงานดำเนินการสอบสวนโดยไม่ชักช้าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เพราะข้อกล่าวหานี้ไม่ใช่เรื่องความผิดทางวินัยอย่างเดียว แต่เป็นคำกล่าวโทษทางอาญาด้วย โดยพนักงานสอบสวนจะต้องแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานส่ง ป.ป.ช. ภายใน 30 วัน 

“…ใน 30 วัน ท่านออกหมายเรียกได้ (ออก) หมายจับได้ด้วยซ้ำไป แต่ท่านก็ไม่ได้ทำ” พ.ต.อ.วิรุตม์กล่าว

พ.ร.ป. ป.ป.ช. เขียนไว้ว่าอย่างไร?

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 (พ.ร.ป. ป.ป.ช.) มาตรา 28 (2) ระบุว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหน้าที่และอํานาจในการไต่สวนกรณีเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งรวมถึงข้าราชการตำรวจที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ซึ่งการเรียกรับสินบนเป็นหนึ่งในฐานความผิดที่ ป.ป.ช. มีอำนาจตรวจสอบ ดังนั้น ป.ป.ช. จึงมีอำนาจและหน้าที่ในการไต่สวนคดีของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์และพวก 

มาตรา 61 ระบุว่าเมื่อผู้เสียหายร้องทุกข์หรือมีผู้กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับเจ้าพนักงานของรัฐหรือบุคคลอื่นใดในข้อหาที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. “ให้พนักงานสอบสวนแสวงหาข้อเท็จจริง รวมทั้งรวบรวมพยานหลักฐานเบื้องต้นแล้วส่งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับการร้องทุกข์หรือกล่าวโทษ”

สำหรับประเด็นการออกหมายเรียกและหมายจับที่ พ.ต.อ.วิรุตม์ระบุว่าพนักงานสอบสวนสามารถทำได้ในช่วงการสอบสวนก่อนส่งสำนวนให้ ป.ป.ช. นั้น เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิ.อาญา) ที่ระบุว่าพนักงานสอบสวนสามารถออกหมายเรียกให้บุคคลใดมาพบพนักงานสอบสวนเพื่อสอบสวนได้ 

ส่วนการออกหมายจับนั้น ป.วิ.อาญา มาตรา 66 ระบุเหตุที่จะออกหมายจับได้ คือ (1) เมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลใดน่าจะได้กระทำความผิดอาญาซึ่งมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสามปี หรือ (2) เมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลใดน่าจะได้กระทำความผิดอาญาและมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะหลบหนี หรือจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือก่อเหตุอันตรายประการอื่นถ้าบุคคลนั้นไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง หรือไม่มาตามหมายเรียกหรือตามนัดโดยไม่มีข้อแก้ตัวอันควร ให้สันนิษฐานว่าบุคคลนั้นจะหลบหนี

ตัวอย่างเช่นในคดีของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ที่พนักงานสอบสวน สน.สายไหม ได้ขอศาลออกหมายจับ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ และศาลอนุมัติหมายจับเมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2567 โดยให้เหตุผลว่ามีหลักฐานเชื่อว่ากระทำผิดเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินเว็บพนันออนไลน์และมีพฤติการณ์หลบเลี่ยงหมายเรียกของพนักงานสอบสวน 

พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. กล่าวหาสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่า “เลือกปฏิบัติ” ในการทำคดีของเขากับคดีของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล อดีต ผบ.ตร.

แต่ในคดีของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์นั้นแหล่งข่าวในชุดสอบสวนคดีให้ข้อมูลว่า พนักงานสอบสวน สน.เตาปูน ไม่ได้ออกหมายเรียกและหมายจับเนื่องจากสามารถติดต่อ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ได้และผู้ต้องหายังได้ทำคำให้การเป็นหนังสือ จึงไม่มีเหตุให้ต้องออกหมายเรียกหรือหมายจับ 

การที่พนักงานสอบสวนออกหมายเรียกและขอศาลออกหมายจับ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ แต่ไม่ดำเนินการเช่นเดียวกันในกับ พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินเว็บพนันออนไลน์เช่นกัน เป็นประเด็นหนึ่งที่ทำให้ พล.ต.อ. สุรเชชษฐ์ร้องเรียนว่า ตร. เลือกปฏิบัติ

ข้อสรุป

ตาม พ.ร.ป. ป.ป.ช. และกฎหมาย ป.วิ.อาญา เมื่อมีผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษข้าราชการตำรวจระดับสูงอย่าง พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ อดีต ผบ.ตร. และ พล.ต.อ. สุรเชชษฐ์ อดีต รอง ผบ.ตร. ว่ากระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ซึ่งรวมถึงการรับสินบน คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะมีอำนาจหน้าที่ในการไต่สวนและวินิจฉัยชี้มูลความผิด โดยพนักงานสอบสวนมีหน้าที่รวบรวมข้อเท็จจริงเบื้องต้นและส่งเรื่องไปยัง ป.ป.ช.ภายใน 30 วัน ซึ่งระหว่างนั้น พนักงานสอบสวนสามารถออกหมายเรียกหรือขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหาได้แต่ต้องเป็นไปตามกฎหมาย ป.วิ.อาญา สำหรับการออกหมายจับนั้น ต้องมีหลักฐานว่าผู้ต้องหาน่าจะกระทำความผิดอาญาที่มีโทษจำคุกเกิน 3 ปี มีเหตุอันควรเชื่อว่าจะหลบหนี หรือไม่มาตามหมายเรียกโดยไม่มีเหตุอันควร

ในคดีของ พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ที่ถูกกล่าวหารับสินบนจากเว็บพนันออนไลน์นั้น พนักงานสอบสวนไม่ได้ออกหมายเรียกและหมายจับจริง โดยให้เหตุผลว่าสามารถติดต่อผู้ต้องหาได้และมีที่อยู่เป็นหลักแหล่งชัดเจน จึงไม่มีเหตุให้ต้องออกหมายเรียกหรือหมายจับ

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากคดีของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์นั้น พนักงานสอบสวน สน.เตาปูนได้ส่งสำนวนไปที่ ป.ป.ช. แล้วตั้งแต่วันที่ 30 ก.ค. 2567 และ ป.ป.ช. มีมติรับเรื่องไว้พิจารณาและดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงเมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 2567 คดีนี้จึงอยู่ระหว่างการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. มาตรา 39 ของ พ.ร.ป. ป.ป.ช. ระบุว่า “ในระหว่างการไต่สวน หรือเมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลว่าผู้ใดกระทําความผิดและความผิดนั้นมีโทษทางอาญา หากมีเหตุอันควรเชื่อว่าผู้ถูกกล่าวหาจะหลบหนี ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือผู้ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายมีอํานาจดําเนินการขอให้ศาลที่มีเขตอํานาจออกหมายจับและควบคุมตัวผู้ถูกกล่าวหาไว้”

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ