สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 12 ธันวาคม 2564

จริงหรือไม่…? โควิดสามารถแพร่เชื้อทางสายตา

ไม่จริง

เพราะ…ไม่สามารถติดจากการมองตากันได้ แต่หากละอองสารคัดหลั่งของผู้ป่วยเข้าตา ก็เสี่ยงติดเชื้อได้

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/qccx3nkqy7qb


จริงหรือไม่…? ผู้หญิงหลังจากฉีดวัคซีนโควิดก่อให้เกิดการมีบุตรยาก

ไม่จริง

เพราะ…ยังไม่มีหลักฐานว่าวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จะส่งผลต่อความสามารถในการมีบุตร ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/1w47jtahfww3h


จริงหรือไม่…? ice bathing นอนแช่น้ำแข็ง เป็นการกระตุ้นเซลล์คนเป็นมะเร็ง และหากเป็นโควิดทำแล้วอาการจะดีขึ้น

ไม่จริง

เพราะ…แพทย์ยืนยัน ยังไม่เคยมีข้อมูลว่าวิธีการแบบนี้สามารถรักษามะเร็งได้ อีกทั้งการกระทำดังกล่าว อาจทำให้ถึงอันตรายแก่ชีวิต

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/2lh3kg2b473el


จริงหรือไม่…? แอปพลิเคชันเป๋าตัง เปิดให้ยืมเงินฉุกเฉิน 5 พันบาท อนุมัติไวใน 3 นาที

ไม่จริง

เพราะ…ธนาคารกรุงไทย ชี้แจง ไม่มีนโยบายให้สินเชื่อ หรือยืมเงินสดผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังแต่อย่างใด

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/3udm4hyi2ud4j


จริงหรือไม่…? ขึ้นทางด่วน ฟรี 5 วันรวด ดีเดย์ 30 ธ.ค. 64 – 3 ม.ค. 65

จริง

เพราะ…ยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษเส้นกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) (รวมทางเชื่อม) ในช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยไม่มีการจัดเก็บค่าผ่านทางพิเศษของทางสายดังกล่าว เช่นเดียวกับทางพิเศษบูรพาวิถี

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/ngcypm7ywm1j


จริงหรือไม่…? โลชั่นเร่งผิวขาวอันตรายแก่ผิวหนัง

จริง

เพราะ…โลชั่นดังกล่าวมักจะมีสารสเตียรอยด์ เมื่อใช้ไปนานๆ อาจก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/27gi08raya4ud


จริงหรือไม่…? สภาองค์กรของผู้บริโภค  เปิดตัว LINE Official Account เพื่อร้องทุกข์ปัญหาผู้บริโภค

จริง

เพราะ…เพื่อให้ข่าวสารความเคลื่อนไหวของ สอบ. สาระความรู้สำหรับผู้บริโภค หรือแม้แต่การร้องเรียนปัญหาผู้บริโภคที่เจอมา

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/15637syc766ta


ข่าวจริงบางส่วน

เพราะ…ผู้ติดเชื้อจากไวรัสโอไมครอน จะมีอาการ ปวดกล้ามเนื้อ ไม่ไอ ไม่มีผลกระทบเรื่องได้กลิ่นและรับรสชาด

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/iu7pjqs98pej


จริงหรือไม่…? จากการติดเชื้อโควิด ไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีน

ข่าวจริงบางส่วน

เพราะ…แม้จะมีภูมิต้านทานอยู่ในร่างกาย แต่จะค่อยๆ ลดลง มีโอกาสที่จะติดเชื้อได้ใหม่ ควรฉีดวัคซีนป้องกัน หลังหายแล้ว 3-6 เดือน

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/xdu50clpwh6f


โคแฟค’เปิดตัวเครือข่ายระดับภูมิภาค ขยายแนวร่วมตรวจสอบข่าวลวงสู่ท้องถิ่น

Editors’ Picks

วันที่ 7 ธ.ค. 2564 โคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สถาบันเชนจ์ฟิวชั่น, มูลนิธิฟรีดริซเนามัน,อีสาน Cofact, อันดามัน Cofact, อุบลคอนเนก, สมาคมผู้บริโภคสงขลา, เชียงรายพะเยาทีวี, ตราดทีวี , สมาคมสื่อสารมวลชนจังหวัดตราด และ Deep South Cofact  จัดแถลง “เปิดตัวเครือข่ายตรวจสอบความจริงระดับภาค”  เพื่อขยายการทำงานการตรวจสอบข่าวให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น 

ผศ.ดร.เอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์ ที่ปรึกษาโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า โคแฟคเป็นแพลตฟอร์มภาคประชาสังคม ก่อตั้งขึ้นในปี 2562 โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากโคแฟคไต้หวัน ด้วยเชื่อว่าโลกออนไลน์นั้นมีข้อมูลข่าวสารแพร่กระจายหลากหลายไหลเวียน แต่ข้อมูลข่าวสารเหล่านั้นมีทั้งข้อเท็จจริง ความคิดเห็น ความผิดพลาดอย่างไม่ตั้งใจ ไปจนถึงการตั้งใจเพื่อให้เกิดผลจากข้อมูล ดังนั้นการตรวจสอบข้อมูลข่าวสารจึงเป็นหน้าที่ของประชาชนผู้ตื่นรู้

“ในรอบปี 2563 โคแฟคได้ไปตระเวนในภูมิภาคต่างๆ ทั้งภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไปพบปะพูดคุยกับภาคีต่างๆ แล้วทางการทำงาน โคแฟคก็ได้ประสานเชื่อมโยงในกิจกรรมต่างๆ ทางออนไลน์บ่อยครั้งมาก วันนี้เป็นโอกาสอันดีที่โคแฟคจะเปิดตัวเครือข่ายซึ่งจะทำงานร่วมกันตรวจสอบความจริง” ผศ.ดร.เอื้อจิต กล่าว

นางญาณี รัชต์บริรักษ์ รักษาการผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมระบบสื่อและสุขภาวะทางปัญญา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า ย้อนไปในครั้งที่โคแฟคประเทศไทยก่อตั้งขึ้น วันนั้นมีภาคีเครือข่ายร่วมกันเพียง 8 องค์กร แต่ปัจจุบันมีมากกว่า 39 องค์กรที่ร่วมประกาศเจตนารมณ์ทำงานร่วมกัน ด้วยเหตุที่มองเห็นปัญหาข้อมูลข่าวสารไหลบ่าโดยเฉพาะในช่วงวิกฤติโควิด-19 และ สสส. ก็ยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนงานของโคแฟค

โดยเป้าหมายของโคแฟคคือการพัฒนาให้ทุกคนมีทักษะในการตรวจสอบข้อมูลข่าวสาร (Fact Checker) ตอบโจทย์ความเป็นพลเมืองดิจิทัล ซึ่งที่ผ่านมาโคแฟคได้เสนอแนะแนวทางการพัฒนาไว้ 5 ระดับ 1.ระดับบุคคล ต้องมีทักษะการรู้เท่าทันสื่อและตรวจสอบข้อมูลข่าวสาร 2.ระดับสังคม-วัฒนธรรม ลดอคติความเชื่อ และสร้างวัฒนธรรมการสื่อสารความจริงร่วมกัน 3.ระดับโครงสร้าง ขับเคลื่อนงานในทุกภาคส่วนตั้งแต่ภาครัฐ สื่อมวลชน การศึกษา และภาคประชาชน เพื่อให้เอื้อต่อการสร้างกลไกตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างมีส่วนร่วมทุกภาคส่วน 4.ระดับประเทศ สร้างฐานข้อมูลกลางที่น่าเชื่อถือและเข้าถึงได้โดยสร้างความร่วมมืออกับทุกเครือข่าย และ 5.ระดับชุมชน ธรรมชาติของข้อมูลบิดเบือนหรือข่าวลวงนั้นเกิดขึ้นได้ทั้งระดับสังคมและชุมชนหรือท้องถิ่น โดยที่แต่ละชุมชนจะมีข้อมูลข่าวสารแตกต่างกันไปตามบริบทของในพื้นที่นั้นๆ เช่น ภัยพิบัติ ก็จะเห็นข่าวลวงที่วนเวียนอยู่ในพื้นที่ การเกิดกลไกตรวจสอบข่าวลวงในระดับภูมิภาคและเชื่อมโยงกัน จะช่วยให้เกิดประสิทธิภาพในการตรวจสอบข้อมูลข่าวลวงและข้อเท็จจริงในบริบทของพื้นที่ และช่วยคลี่คลายปัญหาการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารได้อย่างมาก

“ความโดดเด่นของงานโคแฟคซึ่งเป็นเอกลักษณ์จริงๆ จะมีอยู่ 3 ด้าน ซึ่งก็สอดคล้องกับการทำงานขับเคลื่อนของ สสส. และภาคีเครือข่าย คือการก่อเกิดนวัตกรรมใหม่ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงภาคประชาสังคม-ภาคประชาชน โดยการพัฒนาทักษะพลเมืองในยุคดิจิทัล ใช้ Big Data และเทคโนโลยีภาคพลเมืองบนฐานของปัญญาร่วม หรือ Wisdom of the Crowd มาช่วยด้านการสานพลังเครือข่าย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนงานที่โดดเด่นของการทำงานเครือข่ายโคแฟค เนื่องจากทุกคนเป็นเจ้าของร่วมหรือในพื้นที่หรือชุมชนสาธารณะนี้ แล้วมีการสานต่อ ขยายผลการทำงานให้กว้างขวางขึ้นเรื่อยๆ” นางญาณี กล่าว 

นายสุชัย เจริญมุขยนันท ผู้ก่อตั้ง Ubon Connect จังหวัดอุบลราชธานี กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของเครือข่ายใน จ.อุบลราชธานี มาจากการรวมตัวของคนที่สนใจเรื่องภัยพิบัติผ่านแพลตฟอร์ม Open Chat ในปี 2562 ซึ่งปีนั้น จ.อุบลราชธานี เผชิญสถานการณ์น้ำท่วมอย่างรุนแรง จากนั้นในปี 2563 เมื่อเกิดสถานการณ์โควิด-19 ได้ก่อตั้ง Open Chat ในประเด็นโควิด-19 ในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี โดยเฉพาะ และเมื่อโคแฟคเข้ามาสนับสนุน ก็ต้องเพิ่มเติมการตรวจสอบข่าวลวงขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่งอย่างต่อเนื่อง

“นอกจากใน Open Chat หรือในเพจแล้วยังทำเป็นรายการ เรื่องจริงมันเป็นอย่างไร อย่างโรงเรียนอนุบาลอุบลฯ ติดโควิด ผู้ร่วมกฐินหลวงติดโควิด เราไล่มาเลย เพจนี้ว่าอย่างนี้ ชาวบ้านว่าอย่างนี้ แล้วเรื่องจริงมันเป็นอย่างไร ก็บอกเรื่องจริงที่เราตรวจสอบ หรือกรณีโรงพยาบาลสรรพสิทธิ์ประสงค์จะมีโครงการขึ้นมา เราตรวจสอบกับโรงพยาบาลแล้วว่าไม่จริง ก็เป็นเพจในอุบลฯ เหมือนกัน หรือกรณีสามเณรแต่งหญิง ภาพเก่าเอามาแชร์กันในช่วงนี้ จริงๆ มันเป็นภาพเก่าไม่ใช่ตอนที่เขาเป็นสามเณร” นายสุชัย กล่าว

ผศ.ดร. ณภัทร เรืองนภากุล อาจารย์คณะสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ช่วงปี 2563-2564 การทำงานร่วมกับโคแฟคเน้นสร้างเครือข่ายนักเรียน-นักศึกษา เช่น จัดกิจกรรมให้ความรู้ด้านทักษะตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact Checker) การส่งทีมเข้าแข่งขัน FACTkathon พัฒนานวัตกรรมทางสังคมเพื่อพลเมืองฐานราก เป็นต้น ส่วนเป้าหมายในปีต่อไป มีเป้าหมายร่วมกับโคแฟค 3 ประการคือ 

1.พัฒนาศูนย์ข้อมูลตรวจสอบข่าวลวงในภูมิภาค โดยเชื่อมโยงเยาวชนกับกลุ่มคนต่างวัย 2.ขยายฐานข้อมูลโคแฟคโดยเพิ่มเติมข่าวลวงที่พบในระดับภูมิภาคมากขึ้น และ 3.พัฒนาทักษะการตรวจสอบข้อมูลให้กับเครือข่ายพลเมือง ทั้งในแง่คุณภาพและปริมาณ ทั้งนี้ กลุ่มหลักที่ทำงานด้วยยังคงเป็นนักศึกษาซึ่งเป็นจุดแข็งเพราะเป็นคนรุ่นใหม่ โดยอบรมเพิ่มเติมเรื่องการตรวจสอบข้อมูลบิดเบือน โดยร่วมกับสื่อมวลชนระดับท้องถิ่น ก่อนลงพื้นที่ไปทำงานกับอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน (อสม.) ในพื้นที่ จ.อุตรดิตถ์ และประชาชนฐานรากในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ 

“รูปแบบการทำงานเราจะมีการถ่ายทอดติดตั้งองค์ความรู้เรื่องการตรวจสอบข้อมูล การใช้แพลตฟอร์มโคแฟค การสร้างเนื้อหาร่วมกัน โดยจะมีการวัดผลทั้งก่อนและหลัง ทั้งกลุ่มของนักศึกษาและกลุ่มของประชาชนที่เข้าร่วมกิจกรรม นอกจากนี้ข้อมูลที่ได้จากท้องถิ่น เราก็จะใส่เพิ่มเข้าไปในฐานข้อมูลข่าวลวงหรือข้อมูลบิดเบือนจากภาคเหนือเข้าไปอยู่ในระบบโคแฟคไม่ต่ำกว่า 20 ชิ้น รวมถึงผลิตเนื้อหาจากข่าวลวงและข้อมูลบิดเบือนเพื่อสร้างการรู้เท่าทัน” ผศ.ดร.ณภัทร กล่าว

นายชัยวัฒน์ จันธิมา บรรณาธิการพะเยาทีวี ทีวีชุมชน จังหวัดพะเยา กล่าวว่า พะเยาทีวีเป็นสื่อท้องถิ่นครอบคลุมพื้นที่ จ.พะเยา และ จ.เชียงราย ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 มีประชาชนส่งข้อความมาสอบถามเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง เช่น การเดินทางข้ามจังหวัด การพบผู้ติดเชื้อ ซึ่งด้วยความที่อยู่ในชุมชนก็ทำให้ได้เห็นปัญหาข่าวลวง เช่น ไปบอกว่าบุคคลนั้นหรือร้านนี้พบการติดเชื้อ ซึ่งแม้ต่อมาพบว่าไม่เป็นความจริงแต่ความเสียหายก็เกิดขึ้นแล้ว 

ทั้งนี้ สิ่งที่พะเยาทีวีต้องการทำงานร่วมกับโคแฟค มี 3 ประเด็นซึ่งพบสถานการณ์ในพื้นที่ คือ 1.ศาสนาและความเชื่อ เช่น ความแตกต่างระหว่างคณะสงฆ์ฝั่งประเทศเมียนมา คณะสงฆ์ที่กรุงเทพฯ และคณะสงฆ์ใน จ.พะเยา หรือกลุ่มชาติพันธุ์ วัฒนธรรมประเพณีต่างๆ ในชุมชน เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง 2.กฎหมายและเทคโนโลยี เช่น การซื้อ-ขายสินค้าทางออนไลน์แล้วถูกหลอก หรือประเด็นด้านสุขภาพ และ 3.ข่าวสถานการณ์ต่างๆ ทีเกิดขึ้นในพื้นที่ เช่น ภาพหรือข่าวเก่าที่ถูกนำมาแชร์วนใหม่ ไปจนถึงประกาศเชิญชวนต่างๆ ที่พบในชุมชน

“พะเยาทีวีมีเครือข่ายความร่วมมือทั้งคณะสงฆ์ ปราชญ์ ด้านกฎหมายตอนนี้เราก็ทำงานร่วมกับคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา รวมถึงคณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพราะมีเรื่องเทคนิคที่ชาวบ้านต้องการความรู้ ส่วนอื่นๆ ที่เราทำร่วมอยู่แล้วคือเครือข่ายแหล่งข่าว และคณะสื่อสารสื่อใหม่ของมหาวิทยาลัยพะเยา และมหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย” นายชัยวัฒน์ กล่าว

นายจักรกฤชณ์ แววคล้ายหงษ์ นายกสมาคมสื่อสารมวลชน จังหวัดตราด กล่าวว่า ด้วยบทบาทการทำงานสื่อมา 30 ปี จึงต้องกลายเป็นที่พึ่งของประชาชนเมื่อมีข้อสงสัยในประเด็นต่างๆ ว่าเรื่องไหนจริงเรื่องไหนเท็จไปโดยปริยาย อาทิ เรื่องหนึ่งที่เป็นข่าวมาแล้วไม่ต่ำกว่า 10 ปี คือเรื่องหาดทรายดำใน จ.ตราด มีความเชื่อกันว่าใครไปนอนให้ร่างกายหมกทรายจะสามารถรักษาโรคได้ แต่เรื่องนี้ก็เป็นเพียงความเชื่อไม่ใช่ความจริง หรือมีชุมชนแห่งหนึ่ง เชื่อกันว่าชายหนุ่มไปอยู่กินกับหญิงสาวได้ก่อนหากไม่พอใจค่อยเลิกทีหลัง นี่ก็เป็นความเชื่อ เป็นต้น

“เราจะมีเวทีตรวจสอบความจริง 3 เวที เวทีกับสมาคมสื่อ เวทีกับสภาเด็กและเยาวชน และเครือข่ายประชาชนและสมาคมผู้ปกครองจังหวัดตราด อันนี้คือสิ่งที่ศูนย์ตรวจสอบความจริงของจังหวัดตราด จะมีการดำเนินการในต่อไป” นายกสมาคมสื่อสารมวลชน จังหวัดตราด กล่าว

รศ.ดร.สุชาดา พงศ์กิตติวิบูลย์ อาจารย์หลักสูตรนิเทศศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยบูรพา จังหวัดชลบุรี กล่าวว่า ในปี 2563 โคแฟคเคยจัดเวทีสัญจรภาคตะวันออก ซึ่งได้เชิญมหาวิทยาลัยในภาคตะวันออกมาเข้าร่วม ส่วนการตรวจสอบข่าวลวงเป็นการบูรณาการร่วมกับการเรียนการสอนวิชาการรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) โดยคัดเลือกนิสิต 40 คน มาเป็นคณะทำงานซึ่งมีคณาจารย์ 4 ท่านเป็นพี่เลี้ยง 

โดยหัวข้อที่สนใจ คือโครงการพัฒนาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ เช่น ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) การขยายตัวของอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยว หรือประเด็นสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะมีการปะทะกันของข้อมูลข่าวสารจากฝ่ายต่างๆ โดยจุดเด่นที่สำคัญคือความเข้มแข็งของเครือข่าย ตั้งแต่นักวิชาการในมหาวิทยาลัย หน่วยงานภาครัฐ เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประชาสัมพันธ์จังหวัด ไปจนถึงภาคประชาชนในพื้นที่ เข้ามามีส่วนร่วม

“นอกจากการตรวจสอบแล้ว เรายังมีพื้นที่ในการผยแพร่ข่าวที่ตรวจสอบมาแล้วว่าความจริงมันคืออะไร เราจะมีเว็บไซต์ภาควิชานิเทศศาสตร์ของเราในการเป็นช่องทางเผยแพร่หลัก อีกอันหนึ่งเราจะจัดเวทีหลังจากการทำงานแล้ว เป็นเวทีขยายการทำงานเพิ่มมากขึ้น จาก 30-40 คนที่คัดเลือกมา ไปสู่นิสิตทั้ง ม.บูรพา และในเครือข่ายจากมหาวิทยาลัยราชภัฎรำไพรรรณี และมหาวิทยาลัยศรีปทุม อีกประเด็นคือจะมีการพัฒนาทีมทำงานของเราด้วย ให้เขามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการตรวจสอบข่าวลวงที่มากขึ้นและเข้มข้นขึ้น” รศ.ดร.สุชาดา กล่าว 

ภญ.ชโลม เกตุจินดา กรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครอง ผู้บริโภคภาคใต้ จังหวัดสงขลา กล่าวว่า ทำงานร่วมกับเครือข่ายทั้งสภาองค์กรชุมชน เครือข่ายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และผู้บริโภคทั่วไป มีการอบรมการใช้เครื่องมือดิจิทัลให้กับอาสาสมัครแกนนำชุมชน เช่น อสม. ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ สอนกันตั้งแต่การเก็บหลักฐานภาพหน้าจอ การจัดเก็บข้อมูลในกลุ่มไลน์ การค้นข้อมูลเก่า ซึ่งพบว่าสมาชิกเครือข่ายจำนวนมากเป็นผู้สูงวัย อายุเฉลี่ย 50 ปีขึ้นไป ขาดการวิเคราะห์ข้อมูลเพราะเชื่อว่ามีคนคัดกรองมาให้แล้วก่อนแชร์มาถึงตนเอง

แต่การสร้างเครือข่ายที่สามารถแทรกซึมไปตามกลุ่มไลน์ ซึ่งอาสาสมัครแต่ละคนจะอยู่ในหลายกลุ่มเพราะต้องทำงานร่วมกับหลายฝ่าย ก็ช่วยให้จัดการกับข่าวลือต่างๆ ทั้งเรื่องโควิด-19 และความขัดแย้งในพื้นที่ได้ตั้งแต่หน้างาน ทั้งนี้ ยังมีทีมผู้ประสานงานคอยนำข้อมูลจากกลุ่มไลน์มาแปลงเพื่อเก็บในโปรแกรมเอ็กเซล และจะถูกส่งไปให้อาจารย์ที่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ช่วยวิเคราะห์ให้ตามหลักวิชาการ โดยคาดหวังว่าคนกลุ่มนี้จะต้องเป็นพลเมืองดิจิทัล มีทักษะรู้เท่าทันเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Literacy) ควบคู่ไปกับการรู้เท่าทันประเด็นสุขภาพ (Health Literacy) 

“ช่วงหนึ่งจะมีข่าวสารเกี่ยวกับการใช้สมุนไพรต่างๆ กระชายขาวปั่นแล้วกินได้เลย ก็มีข้อควรระวังซึ่งเราจะต้องควบคู่ไปกับการรักษาทางเลือกของทางโควิดด้วย ซึ่งสมุนไพรก็มีส่วนอยู่เยอะ ดังนั้นเราจะรักษาสมดุลในเรื่องของข้อมูล ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น กับสิ่งที่ชาวบ้านจะต้องแสวงหาเพื่อดูแลสุขภาพตัวเอง ส่วนนี้ก็จะกลายเป็นเนื้อเรื่องหลักในการที่เราจะทำคู่กันไป” ภญ.ชโลม กล่าว

นายเจริญ ถิ่นเกาะแก้ว ผู้ประสานงานเครือข่ายอันดามันโคแฟค , เครือข่ายสื่อมวลชนท้องถิ่น จังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า เครือข่ายอันดามันโคแฟค เคยได้รับการอบรมในเวทีโคแฟคสัญจรภาคใต้ มีจังหวัดภูเก็ต พังงาและกระบี่ เข้าร่วม และทำงานร่วมกันระหว่างเครือข่ายสื่อมวลชนของ 3 จังหวัด ร่วมด้วยเครือข่าย อสม. และเครือข่ายผู้สูงอายุ อาทิ ที่ จ.กระบี่ มีหลักสูตรการรู้เท่าทันสื่อสำหรับผู้สูงอายุ จะตรวจสอบอย่างไรให้รู้ความจริงอย่างชัดเจน ส่วนที่ จ.พังงา และ จ.ภูเก็ต มีการรวมตัวกันผ่านกลุ่มไลน์ เพื่อตรวจสอบข่าวและกระจายข้อมูลที่ถูกต้องในฐานะที่เป็นสื่อมวลชน 

อนึ่ง การทำงานของเครือข่าย จ.ภูเก็ต ให้ความสำคัญกับประเด็นผู้สูงอายุถูกมิจฉาชีพหลอกลงทุน จึงร่วมมือกับ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จัดวิทยากรมาร่วมพูดคุยในรายการ “สุขสันต์วันเสาร์” ให้ความรู้กับประชาชนเกี่ยวกับการถูกชักชวนให้ร่วมลงทุนต่างๆ ว่าต้องตรวจสอบก่อนตัดสินใจลงทุน เช่น การลงทุนนั้น ก.ล.ต. รับรองหรือไม่ หรือเป็นแชร์ลูกโซ่ 

 “สิ่งที่เราจะตรวจสอบนั้นมีอยู่ 3 ด้าน ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น เอาภาพเก่ามาเวียนซ้ำ อันนี้เยอะมาก หรือด้านสุขภาพซึ่งก็สอดคล้องกับที่สมาคมคุ้มครองผู้บริโภคเขาทำอยู่ เรื่องยา เรื่องสมุนไพร เรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับสุขภาพทั้งหลาย แล้วก็ด้านเศรษฐกิจ อันนี้สำคัญมากโดยเฉพาะผู้สูงอายุจะตกเป็นเป้าหมาย เช่น เชิญชวนให้ลงทุน ลงหุ้นโน่นนี่ ซึ่งมีอยู่มาก นายเจริญ กล่าว

ในช่วงท้ายของการแถลงข่าว ยังมี 2 วิทยากรซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบข่าวลวงมาร่วมให้มุมมอง โดย นายพีรพล อนุตรโสตถิ์ ผู้จัดการ ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ บมจ. อสมท. กล่าวว่า แนวคิดที่เคยพูดคุยกันเมื่อ 2-3 ปีก่อน วันนี้ถูกนำไปขยายผลอย่างมากในการสร้างนื้อหาที่เป็นประโยชน์กับประชาชนในพื้นที่ ทำให้ไม่ต้องรอส่วนกลาง อีกทั้งนำจุดแข็งของตนเองมาผสมผสาน วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ โดยหวังให้คนในพื้นที่ไม่ตกเป็นเหยื่อข่าวปลอม ข้อมูลเท็จและภัยไซเบอร์

“สิ่งที่แต่ละท่านทำก็ได้ทำจากความถนัดของตัวเอง ทำจากเครือข่ายที่มี ทำจากเป้าหมายที่มีอยู่แล้วและนำมาขยายผลต่อ ผมคิดว่าน่าจะเป็นวิธีที่เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงมากในการแก้ปัฐหาข่าวปลอม-ข้อมูลเท็จในพื้นที่ แล้วก็สามารถช่วยป้องกันภัยเฉพาะหน้าได้ทันที” นายพีรพล กล่าว 

ขณะที่ นายธนภณ เรามานะชัย Trainer, Google News Initiative (GNI) กล่าวว่า จากที่รับฟังผู้ตรวจสอบข้อมูลทุกภูมิภาค พบว่าต้องการเทคโนโลยีตรวจสอบภาพว่าเป็นเหตุการณ์ในอดีตแต่ถูกแชร์วนซ้ำ หรือเป็นภาพตัดต่อหรือไม่ ดังนั้นหากในอนาคตมีการจัดอบรมกันอีกในระดับภูมิภาคก็น่าจะเน้นประเด็นนี้มากขึ้นเพราะเป็นสิ่งที่พบได้บ่อย รวมถึงเพิ่มเติมในส่วนกระบวนการทำงานตรวจสอบที่เข้าใจง่ายและเข้าใจตรงกันทั้งเครือข่าย

ซึ่งหากเป็นคนทำงานด้านสื่อหลายคนจะเข้าใจกระบวนการตรวจสอบ อีกทั้งรู้จักบุคคลที่เป็นแหล่งข่าวสามารถติดต่อขอให้ช่วยอธิบายข้อมูลต่างๆ ได้ แต่หลายคนที่ไม่ได้อยู่ในสายงานนี้ แม้เห็นข้อมูล ดูแล้วมั่นใจว่าไม่ใช่เรื่องจริงแต่ไม่รู้จะไปหาอะไรมายืนยันแล้วจะทำอย่างไร เช่น ทักษะการติดต่อสอบถามผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบว่าคนคนนั้นมีตัวตนจริง อยู่ในเหตุการณ์จริง ตลอดจนการแยกแยะระหว่างข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงกับความคิดเห็น จะใช้วิจารณญาณอย่างไร

บางอย่างที่เป็นข้อมูลความคิดเห็น เช่น ความคิดเห็นด้านการเมือง หรือข้อมูลความคิดเห็นที่มาจากบุคคลคนหนึ่งซึ่งอาจจะไม่ได้มีประสบการณ์หรือคุณวุฒิที่เหมาะสมในสถานการณ์นั้น เช่น เป็นแพทย์แต่ไม่ใช่แพทย์ด้านโรคติดต่อ แต่มาให้ข้อมูลด้านโควิด บางอย่างมันเป็น Process ที่จะต้องมาวิเคราะห์ว่าอะไรคือ Dis หรือ Misinformation (ข้อมูลคลาดเคลื่อนหรือข้อมูลบิดเบือน) ต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งผมคิดว่า Process เหล่านี้น่าจะมีประโยชน์กับเครือข่าย นายธนภณ กล่าว 

ปิดท้ายด้วย น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง (โคแฟค ประเทศไทย) (COFACT Thailand) และอดีตกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า นอกจาก 7 เครือข่ายที่มาร่วมแถลงข่าวในครั้งนี้ ยังมีเครือข่ายอีสานโคแฟคที่ทำงานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ Deep South Cofact ที่ทำงานใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่จุดเริ่มต้นในครั้งนี้ก็เป็นโอกาสอันดีที่จะนำไปสู่การขยายเครือข่ายเพิ่มเติม และต้องขอบคุณ สสส. ที่เห็นความสำคัญของการสร้างความเข็มแข็งของสุขภาพพลเมืองในการตร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริง

“สิ่งที่เราจะทำกันในปีหน้าก็น่าจะเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น นอกจากทุกท่านจะได้นำเสนอผลงานและลงลึกในการร่วมกับพี่น้องประชาชนในการรับมือกับปัญหา ซึ่งอาจจะมีการระบาดของโรคระบาดรอบใหม่หรือเปล่าก็ยังไม่แน่ใจ รวมทั้งเราอาจจะมีความเข้มข้นทางการเมืองท้องถิ่นมากขึ้น แล้วก็อาจจะมีปัญหาใหม่ๆ ตามมา โดยเฉพาะตอนนี้หน้าหนาว ฝุ่น PM อะไรต่อมิอะไรซึ่งเป็นเรื่องของสภาพแวดล้อม ซึ่งก็เป็นประเด็นใหญ่ระดับโลกที่ควรให้ความสนใจ แล้วก็น่าจะเป็น Theme ที่คาบเกี่ยวกันในแต่ละพื้นที่ที่นำเสนอ” น.ส.สุภิญญา กล่าว

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

เที่ยวต่างประเทศช่วงนี้ ต้องเตรียมอะไรบ้าง Cofact Special Report #9

บทความ

Cofact Special Report #9

Fact-Check เที่ยวต่างประเทศช่วงนี้ ต้องเตรียมอะไรบ้าง

English Summary

Holiday season is here, and some Thais are eager to travel abroad again. With the current COVID-19 situation and many countries put their border restriction back, we look at the latest travel and health measures in Singapore, UAE, the US, and the UK. These countries are among dozens of countries that allow Thais who live in Thailand within the past 14 days to travel without quarantine. However, getting all the travel documents ready, including all the COVID tests are not as simple as it once was before COVID. 

ปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกที่ประชาชนฉีดวัคซีนได้เป็นจำนวนมากเริ่มปรับมาตรการให้ประชาชนใช้ชีวิตกับโควิด-19 ให้ได้ และเริ่มเปิดประเทศรับนักเดินทางต่างชาติอีกครั้ง อย่างไรก็ตามแทบทุกประเทศยังคงใช้มาตรการควบคุมการแพร่เชื้อ โดยเฉพาะการตรวจหาเชื้อนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศ บางประเทศยังคงใช้มาตรการกักตัวผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ถึงแม้ไทยเราจะเปิดประเทศและอนุญาตให้คนไทยเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศได้แล้ว แต่การจะเดินทางต่างประเทศแต่ละครั้งจะต้องเตรียมเอกสารการเดินทางมากกว่าช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโควิด ทำให้การเดินทางไปต่างประเทศไม่ได้สะดวกสบายเหมือนแต่ก่อน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเดินทางไม่ได้ หากเราต้องการเดินทางท่องเที่ยวช่วงนี้ เราต้องเตรียมความพร้อมอะไรบ้าง

1. สิงคโปร์

สิงคโปร์เป็นหนึ่งในประเทศที่คนไทยนิยมไปเที่ยว เนื่องจากค่าใช้จ่ายไม่สูง สามารถเดินทางไปเที่ยวได้ในระยะเวลาสั้นๆ ล่าสุดรัฐบาลสิงคโปร์ประกาศให้ไทยเป็นหนึ่งในประเทศ VTL หรือ Vaccinated Travel Lane นั่นคือชาวไทยและชาวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนครบโดส และอาศัยอยู่ในไทยไม่ต่ำกว่า 14 วันสามารถเดินทางไปสิงคโปร์ได้โดยไม่ต้องกักตัว ซึ่งผู้ที่จะเดินทางไปสิงคโปร์จะต้องเตรียมเอกสารดังต่อไปนี้:

  • ใบรับรองการฉีดวัคซีนครบตามจำนวนโดสของบริษัทผู้ผลิตยา และต้องเป็นวัคซีนที่ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (วัคซีนที่ใช้ในไทยทุกตัวได้รับการรองรับจากองค์การอนามัยโลก) หากเป็นการฉีดสูตรไขว้ วัคซีนที่ใช้ฉีดทุกตัวจะต้องได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลกเช่นกัน
  • ลงทะเบียนผ่านระบบ Vaccinated Travel Lane ที่เว็บไซต์: https://safetravel.ica.gov.sg/vtl/requirements-and-process#Application 
  • ผู้โดยสารจะต้องเดินทางด้วยเที่ยวบินที่สามารถรับส่งผู้โดยสาร VTL เท่านั้น โดยสังเกตจากตัวอักษร VTL หรือ Vaccinated Travel Lane ขณะทำการจอง หรือสอบถามจากสายการบิน
  • มีเอกสารยืนยันผลตรวจโควิด-19 เป็นลบ ด้วยวิธี RT-PCR จากสถานพยาบาลชั้นนำเป็นภาษาอังกฤษ ไม่เกิน 48 ชั่วโมงก่อนเดินทาง
  • มีประกันการเดินทางครอบคลุมการรักษาโควิด-19 วงเงินไม่ต่ำกว่า 30,000 ดอลลาร์สิงคโปร์
  • มีใบจองโรงแรมสำหรับพักรอผลตรวจ RT-PCR เมื่อเดินทางถึงสิงคโปร์ อย่างน้อย 1 คืน โดยโรงแรมที่เข้าพักจะต้องผ่านมาตรฐาน SHA ดูรายชื่อโรงแรมได้ที่: https://sha.org.sg/hotel-accommodation 

เมื่อผู้โดยสารเดินทางถึงสิงคโปร์แล้ว จะต้องปฏิบัติตัวดังนี้:

  • เข้ารับการตรวจ RT-PCR ที่สนามบินชางงี สิงคโปร์ ผู้โดยสารสามารถเข้ารับการตรวจแบบ Walk-In หรือจองคิวก่อนเพื่อความสะดวกได้ที่เว็บไซต์: https://safetravel.changiairport.com/ ค่าบริการ 125 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อคน
  • เมื่อตรวจ RT-PCR เสร็จ จะต้องเดินทางไปยังโรงแรมทันทีด้วยรถแท็กซี่ หรือ Grab ห้ามโดยสารรถโดยสารสาธารณะ และไม่แวะระหว่างทาง
  • เมื่อถึงโรงแรมแล้วจะต้องเข้าพักในห้องพัก และอยู่ในห้องจนกว่าจะได้รับผลตรวจ RT-PCR เป็นลบทาง SMS หรืออีเมล จึงจะสามารถออกจากห้องพัก และเที่ยวตามปกติได้
  • ประกาศจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมา กำหนดให้ผู้ที่เดินทางเข้ามายังสิงคโปร์ทุกคนจะต้องตรวจหาเชื้อโควิด-19 แบบ ATK (หรือ RT-PCR) วันที่ 3 และ 7 หลังจากที่เดินทางมาถึง สามารถตรวจด้วยตนเองที่บ้าน และส่งผลการตรวจผ่านแอปพลิเคชั่น Trace Together หากอยู่ไม่ถึง 7 วัน สามารถส่งผลการตรวจ ATK เฉพาะวันที่ 3 และ/หรือก่อนเดินทางกลับไม่เกิน 72 ชั่วโมง

2. สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี)

ยูเออีเปิดให้ชาวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนครบโดสเดินทางเข้าประเทศตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อเข้าชมงานนิทรรศการระดับโลก Dubai Expo 2020 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2021 ไปจนถึง 31 มีนาคม 2022 ผู้โดยสารชาวไทยสามารถเดินทางเข้ายูเออีด้วยวีซ่านักท่องเที่ยว (e-Visa) แบบสมัครทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ของสายการบินเอมิเรตส์ และเอธิฮัต เมื่อจองตั๋วเครื่องบินและได้รับวีซ่าเรียบร้อยแล้ว จะต้องเตรียมเอกสารต่างๆ ดังต่อไปนี้

  • ผลการตรวจ RT-PCR ก่อนเดินทางไม่เกิน 72 ชั่วโมง โดยเอกสารแสดงผลการตรวจจะต้องเป็นภาษาอังกฤษ ออกโดยสถานพยาบาลชั้นนำ
  • นำผลการตรวจ RT-PCR ไปแสดงที่เคาท์เตอร์สายการบินเพื่อเช็คอิน

เมื่อผู้โดยสารเดินทางถึงสนามบินดูไบ หรืออาบูดาบี สามารถเดินทางออกจากสนามบินไปยังที่พัก หรือเดินทางท่องเที่ยวในรัฐต่างๆ ของยูเออีได้ทันที อย่างไรก็ตามผู้ที่จะเข้าชมงาน Dubai Expo 2020 จะต้องแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบโดส (วัคซีนชนิดใดก็ได้) แสดงให้กับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้าชมงาน นักท่องเที่ยวไทยสามารถใช้ Vaccine Passport (เล่มสีเหลือง) หรือแอปพลิเคชั่นหมอพร้อมแสดงให้กับเจ้าหน้าที่ได้

3. สหรัฐอเมริกา

สหรัฐอเมริกาเปิดให้นักท่องเที่ยวไทย รวมทั้งผู้ที่ถือวีซ่านักเรียน นักศึกษา วีซ่าทำงาน และผู้ที่มีบัตรพำนักถาวร (กรีนการ์ด) เข้าประเทศได้ โดยผู้ที่จะเดินทางเข้าสหรัฐฯ จะต้องเตรียมเอกสารต่างๆ ดังต่อไปนี้

  • เอกสารแสดงผลการฉีดวัคซีนที่ผ่านการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) แบบครบโดสตามที่บริษัทผู้ผลิตยากำหนด จะเป็นรูปแบบดิจิทัล (หมอพร้อม) หรือ Vaccine Passport (เล่มสีเหลือง) ก็ได้
  • ผลการตรวจ RT-PCR ก่อนเดินทางไม่เกิน 24 ชั่วโมงเป็นภาษาอังกฤษ ออกโดยสถานพยาบาลชั้นนำ สำหรับผู้ที่มีเหตุผลด้านสุขภาพ หรือไม่สามารถตรวจ RT-PCR ได้ ให้แจ้งเหตุผลความจำเป็นต่อสถานทูตสหรัฐฯ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่: https://th.usembassy.gov/th/waiver-process-for-cdc-order-on-pre-flight-testing-th/ 

เมื่อเดินทางถึงสหรัฐฯ ผู้โดยสารไม่จำเป็นต้องกักตัว แต่ให้สังเกตอาการตัวเองและเข้ารับการตรวจหาเชื้อหากมีอาการป่วย ทั้งนี้บางรัฐ และบางเมืองของสหรัฐฯ จะมีแอปพลิเคชั่นสำหรับติดตามตัว และแสดงผลการฉีดวัคซีนโดยเฉพาะ ดังนั้นควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการของเมืองปลายทาง และดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นเหล่านั้นให้พร้อมก่อนเดินทาง 

4. สหราชอาณาจักร (อังกฤษ, เวลส์, สกอตแลนด์, ไอร์แลนด์เหนือ)

สหราชอาณาจักรอนุญาตให้คนไทย ทั้งนักท่องเที่ยว นักเรียน นักศึกษา และผู้พำนักถาวรที่ฉีดวัคซีนครบโดสเดินทางเข้าได้โดยไม่ต้องกักตัว เอกสารที่จะต้องเตรียมได้แก่:

  • หลักฐานการฉีดวัคซีนครบโดสมาไม่ต่ำกว่า 14 วัน โดยจะต้องเป็นวัคซีนที่กระทรวงสาธารณสุขของสหราชอาณาจักรรับรอง ได้แก่:
    • ไฟเซอร์ 2 เข็ม
    • โมเดอร์นา 2 เข็ม
    • แอสตราเซเนกา 2 เข็ม
    • ซิโนแวก หรือ ซิโนฟาร์ม 2 เข็ม
    • จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน 1 เข็ม
    • สูตรไขว้ ระหว่างแอสตราเซเนกา กับ ไฟเซอร์ หรือ โมเดอร์นา
    • สูตรไขว้ ระหว่างซิโนแวก หรือ ซิโนฟาร์ม กับ แอสตราเซเนกา ไฟเซอร์ หรือ โมเดอร์นา
  • กรอกข้อมูลการฉีดวัคซีนก่อนเดินทางที่เว็บไซต์: https://www.gov.uk/provide-journey-contact-details-before-travel-uk
  • หลักฐานการตรวจ RT-PCR ก่อนเดินทางไม่เกิน 48 ชั่วโมง https://www.bbc.com/news/business-59517823 และหลักฐานการจองตรวจ RT-PCR อีกครั้งภายใน 2 วันหลังจากเดินทางถึง https://www.gov.uk/find-travel-test-provider

เมื่อเดินทางถึงสหราชอาณาจักร ผู้โดยสารจะต้องปฏิบัติตัวดังนี้:

  • เข้ารับการตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR ภายใน 2 วัน โดยเดินทางไปตรวจยังสถานพยาบาลที่ทำการจองไว้ จากนั้นให้กักตัวในที่พัก (บ้าน หรือ โรงแรม) จนกว่าจะทราบผล
  • หากผลการตรวจเป็นลบ สามารถออกมาท่องเที่ยวตามปกติได้
  • หากผลตรวจเป็นบวก ให้กักตัวดูอาการในที่พักเป็นเวลา 10 วัน หากอาการไม่ดีขึ้น ให้โทรศัพท์แจ้งสำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติ (NHS) เพื่อเข้ารับการรักษาตัวต่อไป

เตรียมความพร้อมก่อนเดินทางกลับ

สิงคโปร์ ยูเออี สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ล้วนเป็นประเทศที่รัฐบาลไทยจัดอยู่ในกลุ่มสีเขียว ซึ่งชาวไทยและต่างชาติที่มาจากสี่ประเทศดังกล่าว และอีกกว่าหกสิบประเทศสามารถเดินทางเข้าไทยได้โดยไม่ต้องกักตัว ดูรายชื่อประเทศทั้งหมดได้ที่: https://www.mfa.go.th/th/content/updatelist301064-2?page=5f2105b4a014f20ab74ef9c3&menu=5f59b22cc565c81d9874ee62 

อย่างไรก็ตาม คนไทยที่เดินทางกลับมาจากประเทศเหล่านี้จะต้องเตรียมเอกสาร และปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ ดังนี้:

  • ลงทะเบียนเข้าระบบ Thailand Pass และได้รับการอนุมัติให้เข้าประเทศ ลงทะเบียนที่: https://tp.consular.go.th/ 
  • ใบรับรองการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบโดส สำหรับคนไทยสามารถใช้แอปพลิเคชั่นหมอพร้อม หรือใบรับรองแบบกระดาษที่ออกให้โดยกระทรวงสาธารณสุขได้ (ไม่ต้องใช้ Vaccine Passport เล่มเหลือง)
  • มีผลตรวจโควิด-19 แบบ RT-PCR จากสถานพยาบาลชั้นนำไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง
  • เอกสารการจองห้องพักโรงแรม SHA+ พร้อมค่าตรวจ RT-PCR หลังเดินทางกลับ ซึ่งโรงแรมส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมโครงการจะมีแพคเกจ Test & Go สำหรับผู้ที่เดินทางมาไทย สามารถสอบถามรายละเอียดและจองได้จากโรงแรมโดยตรง

เตรียมเอกสารเหล่านี้ให้พร้อม และแสดงต่อเจ้าหน้าที่สายการบินเพื่อทำการเช็คอิน จากนั้นเมื่อถึงไทยจะต้องแสดงเอกสารเหล่านี้อีกครั้งให้กับเจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรคที่สนามบินในไทย เมื่อผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง รับกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว จะต้องนั่งรถที่โรงแรมจัดเตรียมมาให้ไปยังที่พักและเข้ารับการตรวจ RT-PCR ที่สถานพยาบาลเครือข่ายที่ได้จองไว้ จากนั้นจะต้องอยู่ในห้องพักจนกว่าจะได้รับผลการตรวจเชื้อเป็นลบ จึงจะสามารถออกจากห้องพัก และเดินทางต่อ หรือกลับบ้านได้ โดยปกติจะทราบผลการตรวจไม่เกินหนึ่งวัน

อย่างไรก็ตามมาตรการต่างๆ ทั้งฝั่งไทยและต่างประเทศอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในประเทศ ดังนั้นก่อนจะเดินทางเราจะต้องตรวจสอบมาตรการล่าสุดของประเทศปลายทางอีกครั้ง

ติดตามข้อมูลเพิ่มเติม

https://th.usembassy.gov/health-alert-u-s-embassy-bangkok-thailand-3/

เกี่ยวกับผู้เขียน

ธนภณ เรามานะชัย (ไมค์) Fact-checker และ คอลัมนิสต์ประจำ Cofact Thailand 

ปัจจุบันทำหน้าที่วิทยากรด้านการตรวจสอบข้อมูลข่าวและเครื่องมือดิจิทัลด้านข่าวให้กับ Google News Initiative ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้ประกาศข่าวเทคโนโลยีให้กับสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี (Voice TV) และอดีตกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT)  https://www.damikemedia.com

7 ธค. 10โมง รับชมงานแถลงข่าวเปิดตัวเครือข่ายตรวจสอบความจริงระดับภาค ทางเพจ FB Cofact, UbonConnect, พะเยาทีวี

Editors’ Picks

 

แถลงข่าว : เปิดตัวเครือข่ายตรวจสอบความจริงระดับภาค

วันที่ 7 ธันวาคม 2564 เวลา 10.00 – 12.00 น. 

การแถลงข่าวผ่านระบบ zoom 

___________________________________

10.00 – 10.30 น.     กล่าวเปิดการแถลงข่าว

  • คุณญาณี รัชต์บริรักษ์     รักษาการผอ.สำนักสร้างเสริมระบบสื่อและสุขภาวะทาง

ปัญญา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

10.30 – 11.30 น.        ทิศทางตรวจสอบความจริง 7 เครือข่าย

  • คุณสุชัย  เจริญมุขยนันท์        ผู้ก่อตั้ง Ubon Connect จังหวัดอุบลราชธานี
  • คุณจักรกฤชณ์ แววคล้ายหงส์    นายกสมาคมสื่อสารมวลชน จังหวัดตราด
  • คุณเจริญ ถิ่นเกาะแก้ว        ผู้ประสานงานเครือข่ายอันดามันโคแฟค

เครือข่ายสื่อมวลชนท้องถิ่น  จังหวัดภูเก็ต

  • คุณชัยวัฒน์  จันธิมา        พะเยาทีวี  ทีวีชุมชน  จังหวัดพะเยา
  • ผศ.ดร. ณภัทร  เรืองนภากุล        คณะสารสนเทศและการสื่อสาร 

มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่

  • รศ.ดร.สุชาดา พงศ์กิตติวิบูลย์    อาจารย์ประจำหลักสูตรนิเทศศาสตร์บัณฑิต 

มหาวิทยาลัยบูรพา  จังหวัดชลบุรี

  • อาจารย์ชโลม  เกตุจินดา        กรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครอง

ผู้บริโภคภาคใต้   จังหวัดสงขลา

            สะท้อนมุมคิดจาก Fact Checker  มืออาชีพ 

  • คุณพีรพล  อนุตรโสตถิ์     ผู้จัดการ ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ บมจ. อสมท

ความร่วมมือจาก Global สู่ Local 

  •   คุณธนภณ  เรามานะชัย   Trainer, Google News Initiative (GNI)

    ดำเนินการอภิปราย  โดย    

ผศ.ดร.เอื้อจิต  วิโรจน์ไตรรัตน์     ที่ปรึกษาโคแฟค (ประเทศไทย)

11.30 -11.45 น.          สรุปปิดการแถลงข่าว โดย

            คุณสุภิญญา  กลางณรงค์   ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค  

11.45 – 12.30 น.    อบรมเชิงปฏิบัติการการเพิ่มข้อมูลในระบบโคแฟค  

            โดย กองบรรณาธิการโคแฟค

_________________________

ถ่ายทอดสดทางเพจ Cofact . Ubon Connect , พะเยาทีวี  

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 5 ธันวาคม 2564

จริงหรือไม่…? Vernon Coleman อ้างว่า วัคซีนโรคโควิด-19 นั้น กำลังถูกนำมาใช้เพื่อกำจัดมวลมนุษย์

ไม่จริง

เพราะ…เป็นวิดีโอที่สร้างโดยผู้ที่มีประวัติโจมตีวัคซีน และไม่ได้มีหลักฐานว่าวัคซีนโควิด-19 ได้ทำให้คนที่ฉีดล้มตายจำนวนมาก

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/31r3ds09i8epl#_=_


จริงหรือไม่…? วัคซีนหลายชนิดมีเกลืออลูมิเนียมเป็นส่วนประกอบทำให้สมองเสื่อม

ไม่จริง

เพราะ…ชัวร์ก่อนแชร์ ตรวจสอบพบว่า วัคซีนโควิด-19 ที่ใช้งานกันอยู่ไม่มีส่วนผสมใดๆ ที่จะทำให้เกิดสนามแม่เหล็กได้

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/2y71oyp04j03a


จริงหรือไม่…? วิกฤติ “ขาดแคลนเลือด” เพราะเลือดผู้บริจาคที่ฉีดวัคซีนดำ

ไม่จริง

เพราะ…ตรวจสอบพบว่า ภาพเลือดสีแดงสด และ เลือดสีเข้ม ไม่เกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีน และศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ยืนยันว่า ไม่ได้เกิดเหตุการณ์ดังที่แชร์กัน

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/3cfdfvmhc1kwd


จริงหรือไม่…? สารกันบูดที่อยู่บนผิวปลาทูนึ่ง หากสัมผัสโดนทำให้เป็นมะเร็งผิวหนัง

ไม่จริง

เพราะ…ยังไม่มีหลักฐานหรือข้อมูลวิชาการที่บ่งชี้ว่าการสัมผัสสารกันบูดส่งผลให้เกิดมะเร็งผิวหนัง

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/279vd4sad9r07


จริงหรือไม่…? ให้ผู้ที่เดินทางมาจาก 8 ประเทศทางใต้ของทวีปแอฟริกา มารายงานตัวกับ ศบค. ด่วน

จริง

เพราะ…คนไทยและคนต่างชาติ ทั้ง 252 คน ที่มาจากกลุ่มเสี่ยงสูง 8 ประเทศ ในทวีปแอฟริกาใต้  ขอให้มารายงานตัว เพื่อให้รับการตรวจ RT-PCR กับทางโรงพยาบาลของรัฐฟรี

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/nz9myekh8zy6


จริงหรือไม่…? กระทรวงต่างประเทศ ระงับการลงทะเบียน Thailand Pass ผู้เดินทางจาก 8 ประเทศแอฟริกา ชั่วคราว

จริง

เพราะ…พร้อมมาตรการดูแลผู้เดินทางเข้า-ออกไทยกับอีก 8 ประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. เบรกบุคคลเดินทางเข้าไทย ยกเว้นคนไทยบินเข้ามาได้ทุกวันพุธ

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/2cxtsdox4zadu


จริงหรือไม่…? 13 หน้ากากอนามัยที่ผ่านเกณฑ์

จริง

เพราะ…สภาองค์กรของผู้บริโภค แนะ หน้ากากอนามัยที่มีคุณภาพ ต้องมีเลขทะเบียนของ อย.

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/8vmg8i7ple93


จริงหรือไม่…? ทวิตเตอร์ ปรับนโยบายใหม่ ห้ามลงรูปเปิดเผยตัวตนหากเจ้าตัวไม่ยินยอม

จริง

เพราะ…เพื่อป้องกันการทำร้ายจิตใจและความรู้สึกของผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์ม เว้นในกรณีของบุคคลสาธารณะ ถ้าหากภาพ วิดีโอคลิปหรือโพสต์ดังนั้นเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/9bamdmukmfxz


จริงหรือไม่…? หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่ทำลายกระดูก

ข่าวจริงบางส่วน

เพราะ…ไม่มีอาหารที่ทำลายกระดูกโดยตรง แต่กระดูกมีการสลายตัวทุกวัน แต่ทำให้สลายช้าลงได้ ด้วยโปรตีน แร่ธาตุ

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/3gxirvs4rygs8

สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในยุโรปและสหรัฐฯ ล่าสุด จะกระทบไทยหรือไม่? Cofact Special Report #8

บทความ

Cofact Special Report 8

สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในยุโรปและสหรัฐฯ ล่าสุด จะกระทบไทยหรือไม่?

English Summary

Many countries in Europe and the US have been facing the newest surge of COVID-19. Some countries such as Germany and Austria face the highest daily new cases ever. Most of the new cases come from the unvaccinated population and those who had their last COVID vaccine shot more than 6 months ago. This prompts many countries to put more restrictions back, including partial lockdown and mask mandate. The new COVID surge worries many countries that have loosened restrictions, and now they are watching Europe closely on how they handle the situation. In this article, we also answer some of the questions on misinformation about the latest COVID surge in Europe and why the vaccine booster shot may be the solution to solve this crisis.

ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาหลายประเทศในยุโรป รวมทั้งสหรัฐฯ ประสบกับการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 อีกระลอก บางประเทศมีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ถึงแม้ประชาชนจะฉีดวัคซีนเยอะแล้วก็ตาม ทั่วโลกต่างเฝ้าจับตาสถานการณ์ล่าสุดอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะประสิทธิภาพของวัคซีนที่ลดลงตามระยะเวลาที่ฉีดว่าเป็นส่วนหนึ่งของปัญหานี้หรือไม่

คำถาม: สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ล่าสุดในประเทศแถบตะวันตกเกิดจากอะไร?

คำตอบ: แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดในยุโรป และสหรัฐฯ ระบุตรงกันว่า สาเหตุการระบาดของโควิด-19 ล่าสุดมาจากหลายสาเหตุ ตั้งแต่อัตราการฉีดวัคซีนที่เริ่มต่ำลง ประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่ฉีดวัคซีน ภูมิคุ้มกันที่เริ่มลดลงในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง และอากาศที่เริ่มหนาวเย็นในช่วงเดือนพฤศจิกายน ส่งผลให้ประชาชนใช้เวลาในอาคารมากขึ้น เมื่อประชาชนจำนวนมากอาศัยในพื้นที่ปิดร่วมกันเป็นเวลานานๆ ความเสี่ยงที่จะติดเชื้อก็มีมากขึ้นกว่าในช่วงฤดูร้อนที่ประชาชนมักจะใช้ชีวิตกลางแจ้ง หรือในพื้นที่โล่งมากกว่า

คำถาม: ยอดผู้ติดเชื้อที่มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในยุโรป และสหรัฐฯ มาจากโควิดสายพันธุ์ใหม่หรือไม่?

คำตอบ: ไม่ใช่ ผู้ป่วยโควิด-19 ในยุโรป และสหรัฐฯ ณ ขณะนี้เกือบทั้งหมดเป็นผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลต้า

คำถาม: ประเทศเหล่านี้ล้วนมีอัตราการฉีดวัคซีนสูง แล้วทำไมยอดผู้ติดเชื้อล่าสุดจึงสูงเช่นนี้?

คำตอบ: ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดในยุโรป และสหรัฐฯ เผยผลการศึกษาที่ไปในแนวทางตรงกันว่า วัคซีนโควิด-19 ที่ประชาชนในประเทศเหล่านี้ฉีดไปตั้งแต่เมื่อช่วงต้นปีในตอนนี้ผ่านมากว่า 6 เดือนแล้ว ประสิทธิภาพของวัคซีนจะเริ่มลดลง ทำให้ภูมิคุ้มกันของพวกเขาลดลงตามมา ซึ่งจำนวนผู้ติดเชื้อล่าสุดจำนวนหนึ่งเป็นผู้ที่ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มมานานกว่า 6 เดือน แต่ก็ยังเป็นจำนวนที่น้อยกว่าผู้ป่วยที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนเลยแม้แต่เข็มเดียว

คำถาม: ดังนั้นการฉีดวัคซีน 2 เข็มก็ไม่ได้ช่วยให้เราไม่ติดหรือไม่ป่วยจากโควิด-19?

คำตอบ: ไม่จริง การฉีดวัคซีนครบเข็ม หรือครบตามจำนวนที่ผู้ผลิตยากำหนด ยังคงช่วยลดอัตราการเสียชีวิต และอาการป่วยหนักจากโควิด-19 อยู่ แต่ภูมิคุ้มกันของผู้ที่ฉีดวัคซีนครบสองเข็มจะเริ่มลดลงหลังจากฉีดไปได้ 6 เดือน ดังนั้นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้ฉีดเข็มที่สามเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน 

สำหรับประเทศไทยเอง ประชาชนส่วนใหญ่เพิ่งจะได้รับการฉีดเข็มที่สอง และเข็มที่สามสำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีนเชื้อตาย หากเราเทียบกับผลการศึกษาในสหรัฐฯ และยุโรป ก็พอจะสรุปได้ว่าการระบาดระลอกใหม่ในไทยอาจจะยังไม่เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศยังมีภูมิคุ้มกันในระดับสูง

คำถาม: ในยุโรป และสหรัฐฯ มีการฉีดกระตุ้นเข็ม 3 ด้วยวัคซีนชนิดใดบ้าง?

คำตอบ: เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ หรือ FDA อนุญาตให้ใช้วัคซีนโควิด-19 ที่ผลิตโดยไฟเซอร์ และโมเดอร์นาเป็นเข็มกระตุ้น หรือเข็มที่สามให้กับประชากรผู้ใหญ่ทุกคนในประเทศ ขณะที่ในสหภาพยุโรปก็อนุญาตให้มีการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ทั้งไฟเซอร์ โมเดอร์นา และแอสตราเซเนกา

คำถาม: ในยุโรป และสหรัฐฯ มีมาตรการรับมือกับการแพร่ระบาดระลอกใหม่อย่างไร? 

คำตอบ: เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ออสเตรียเป็นประเทศแรกในยุโรปที่ออกมาตรการล็อกดาวน์ห้ามประชาชนออกจากบ้านโดยไม่จำเป็น ทั้งผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วและผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน เนื่องจากออสเตรียเป็นประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปที่มียอดผู้ติดเชื้อต่อวันเพิ่มสูงที่สุดนับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ออสเตรียเป็นหนึ่งในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปที่มียอดการฉีดวัคซีนน้อยที่สุด ดังนั้นรัฐบาลจึงมองว่าการล็อกดาวน์ 10 วันเพื่อยับยั้งการแพร่เชื้อถือเป็นวิธีการแก้ปัญหาระยะสั้นที่ดีที่สุด หลังจากครบกำหนดแล้วรัฐบาลจะอนุญาตให้เฉพาะผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วเท่านั้นที่จะออกมาใช้ชีวิตตามปกติได้ ส่วนผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนจะไม่อนุญาตให้เข้าใช้บริการร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า และบริการสาธารณะต่างๆ 

ขณะที่เยอรมนี และอิตาลี และประเทศในยุโรปส่วนใหญ่ยังไม่ใช้มาตรการล็อกดาวน์ทั้งประเทศ แต่จะบังคับใช้เฉพาะกับผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน หรือผู้ที่ไม่มีผลการตรวจหาเชื้อเป็นลบ โดยประชาชนกลุ่มนี้จะไม่ได้รับการอนุญาตให้เข้าใช้บริการร้านอาหาร สถานบันเทิง ผับ บาร์ และสถานออกกำลังกายในร่ม มาตรการลักษณะนี้ยังใช้ในเมืองใหญ่ๆ ในสหรัฐฯ บางเมือง เช่นนครนิวยอร์ก และซานฟรานซิสโก

ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่า หลังจากสหรัฐฯ และหลายประเทศในยุโรปเริ่มอนุญาตให้มีการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้กับประชาชนผู้ใหญ่ทั้งหมดแล้ว ก็น่าจะช่วยให้ยอดผู้ติดเชื้อเริ่มลดลงในอีกไม่นาน

คำถาม: การแพร่ระบาดระลอกใหม่ในยุโรป และสหรัฐฯ จะส่งผลต่อการเปิดประเทศของไทยอย่างไร? 

คำตอบ: ปัจจุบันประเทศไทยยังคงอนุญาตให้นักท่องเที่ยวจากยุโรปและสหรัฐฯ เดินทางเข้าไทยได้โดยไม่ต้องกักตัว แต่พวกเขาต้องได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบสองเข็ม หรือครบตามจำนวนโดสที่บริษัทผู้ผลิตยากำหนด นอกจากนี้พวกเขาจะต้องมีผลตรวจโควิดด้วยวิธี RT-PCR ก่อนเดินทางไม่เกิน 72 ชั่วโมงจึงจะสามารถเดินทางมาไทยได้ เมื่อเดินทางมาถึง นักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องได้รับการตรวจโควิดด้วยวิธี RT-PCR ซ้ำอีกครั้ง เท่ากับว่าภายในระยะเวลา 3-4 วัน พวกเขาจะต้องโดนตรวจหาเชื้อถึง 2 ครั้ง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่มองว่าเป็นวิธีที่เข้มงวด และปลอดภัย 

อย่างไรก็ตาม จากมาตรการล็อกดาวน์ และสถานการณ์การแพร่ระบาดในยุโรป ก็อาจเป็นไปได้ที่ประชาชนบางส่วนอาจจะเลื่อนแผนการเดินทางออกไปจนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศของตนจะดีขึ้น 

ที่มา:

https://apnews.com/article/coronavirus-pandemic-lifestyle-health-europe-restaurants-9627ef468fa8484796d33e8dc656e989

https://www.reuters.com/markets/stocks/austria-enters-fourth-lockdown-covid-cases-soar-anew-europe-2021-11-22/

https://www.theguardian.com/world/2021/nov/21/icu-is-full-of-the-unvaccinated-my-patience-with-them-is-wearing-thin

https://apnews.com/article/europe-coronavirus-vaccinated-vs-unvaccinated-eca483dc933075818334c74de26fb9c0

https://www.cnbc.com/2021/11/19/austria-announces-national-lockdown-as-covid-cases-surge.html

เกี่ยวกับผู้เขียน

ธนภณ เรามานะชัย (ไมค์) Fact-checker และ คอลัมนิสต์ประจำ Cofact Thailand 

ปัจจุบันทำหน้าที่วิทยากรด้านการตรวจสอบข้อมูลข่าวและเครื่องมือดิจิทัลด้านข่าวให้กับ Google News Initiative ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้ประกาศข่าวเทคโนโลยีให้กับสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี (Voice TV) และอดีตกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT)  https://www.damikemedia.com

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 27 พฤศจิกายน 2564


จริงหรือไม่…? หลังฉีดวัคซีนไฟเซอร์ แล้ว เกิดการตั้งครรภ์

ไม่จริง

เพราะ…ไม่มีหลักฐานการทางแพทย์ว่าเป็นเรื่องจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การฉีดวัคซีน” จะไปส่งผลต่อ “ยาคุม” ทำให้เกิดการตั้งครรภ์ ทั้งๆ ที่มีการคุมกำเนิดด้วย

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/sdcq2g8w5qaq


จริงหรือไม่…? วัคซีนไฟเซอร์  แท้จริงคืออาวุธทางชีวภาพ

ไม่จริง

เพราะ…ยังไม่มีหลักฐานทางวิชาการ หรือทฤษฎีใด ๆ ที่สามารถนำมายืนยันเรื่องดังกล่าวได้

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/296pli71bx268#_=_


จริงหรือไม่…? โรคงูสวัด หากขึ้นวนรอบตัวจะทำให้เสียชีวิต

ไม่จริง

เพราะ…โรคงูสวัดจะเกิดตามแนวยาวของเส้นประสาทเพียงซีกเดียวของร่างกาย ไม่ถือเป็นโรคร้ายแรง ยกเว้นในผู้ที่ร่างกายอ่อนแอหรือภาวะภูมิคุ้มกันต่ำมาก ๆ อาจมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจนเป็นสาเหตุที่ทำให้เสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/2szlarr3vnodk


จริงหรือไม่…? น้ำมะนาวร้อนรักษาโรคมะเร็ง

ไม่จริง

เพราะ…ดื่มน้ำอุ่นแช่มะนาวฝานไม่ได้มีคุณสมบัติในการที่จะไปยังยั้งหรือฆ่าเซลล์มะเร็งแต่อย่างใด

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/30e04dra066x7


จริงหรือไม่…? ต้นไมยราบ ดื่มแทนน้ำ ช่วยรักษาโรคมะเร็งเต้านม

ไม่จริง

เพราะ…ยังไม่มีหลักฐานงานวิจัยทางคลินิกที่ยืนยันแน่ชัดว่าการดื่มน้ำต้มไมยราบสามารถรักษาโรคมะเร็งเต้านมในมนุษย์ได้

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/31sdi14evl1gt


จริงหรือไม่…? เฟซบุ๊ก บอกให้ ผู้ใช้ คัดลอก ข้อความ เพื่อส่งต่อในกรณีไม่ให้ Facebook /Meta นำข้อมูลและรูปภาพทั้งหมดไปใช้

ไม่จริง

เพราะ…Facebook ยืนยัน ให้ความสำคัญการปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน ผู้ใช้งานทุกคนสามารถตรวจสอบและตั้งค่าความเป็นส่วนตัวได้ตลอดเวลา 

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/3mz5gea386hkm


จริงหรือไม่…? กระทรวงพาณิชย์ส่ง SMS เชิญชวนประชาชนทำงานเสริมที่บ้าน และให้เพิ่มเพื่อนในไลน์เพื่อสมัคร

ไม่จริง

เพราะ…เป็นการแอบอ้างนำชื่อของกระทรวงไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยกระทรวงพาณิชย์ไม่ได้เป็นผู้ส่งข้อความดังกล่าวถึงประชาชน อีกทั้งไลน์ ID : 669844 ไม่ใช่ไลน์ทางการของกระทรวงพาณิชย์

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/2euzxcsjnaddx#_=_


จริงหรือไม่…? EU เตรียมออกกฎใหม่ หากรับวัคซีนครบ 9 เดือนต้องฉีดกระตุ้นก่อนเดินทาง

จริง

เพราะ…สหภาพยุโรปกำลังพยายามเสนอออกกฎใหม่ เพื่อให้ประเทศสมาชิกใช้มาตรการในรูปแบบเดียวกัน

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/3k5nq1dg4v6p0


จริงหรือไม่…? ศิริราช เตือน ธ.ค. เสี่ยงโควิดระลอกใหม่ หลัง “ยุโรป” กลับมาระบาดซ้ำ

ข่าวจริงบางส่วน

เพราะ…ศิริราชออกมาเตือนจริง ตามที่องค์การอนามัยโลกได้ออกมาเตือนว่า เป็นช่วงเวลาความเสี่ยงของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ อย่างไรก็ตามต้องรอดูสถานการณ์ต่อไป

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/2kie8qiq2mdqv


จริงหรือไม่…? วัคซีนคุ้มกันการติดเชื้อในกระแสโลหิตสำหรับวัย 65 ปีขึ้นไป เข็มเดียวป้องกันตลอดชีวิต

ข่าวจริงบางส่วน

เพราะ… ชัวร์ก่อนแชร์ ตรวจสอบพบว่า การติดเชื้อในกระแสเลือด ไม่ใช่โรค แต่เป็นภาวะอย่างหนึ่ง ที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อรุนแรง และวัคซีน Pneunococci vaccine เป็นวัคซีนป้องกันติดเชื้อแบคทีเรีย สเตรปโตค็อกคัส นิวโมเนีย หรือ นิวโมคอคคัส ไม่สามารถป้องกันจากเชื้ออื่นได้

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/2znzm0t80ukjs


จริงหรือไม่…? กินโกโก้เย็นกับไอติมช็อกโกแลต ช่วยลดอาการทอนซิลอักเสบ

ข่าวจริงบางส่วน

เพราะ…แต่ต้องเป็นไอติม หรือโกโก้ที่เป็น “ดาร์ก ช็อกโกแลต” เพราะในช็อกโกแลตมีสารที่ชื่อ “ฟลาโวนอยด์” ช่วยลดการอักเสบในร่างกายได้

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/1n2lf8zs48ee6


วงเสวนาชี้เทคโนโลยีล้ำหน้าคนยิ่งต้องรู้เท่าทันข้อมูลจริง-ลวง

Editors’ Picks

24 พ.ย. 2564 สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ  จัดเวทีเสวนานักคิดดิจิทัลส่งท้ายปลายปี 2564 ครั้งที่ 19 “จากข้อมูลลวงสู่โลกเสมือน : แนวทางการหาความจริงร่วม” ณ รร.โนโวเทล สยาม กรุงเทพฯ โดยการสนับสนุนของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มูลนิธิฟรีดริชเนามัน ประเทศไทย  Centre for Humanitarian Dialogue (HD)  โคแฟค (ประเทศไทย) และสถาบันเชนจ์ฟิวชั่น  

ภายในงานมีพิธีการมอบรางวัลให้กับ 5 ทีมที่ได้รับรางวัลจากการแข่งขันระดมสมองเชิงลึก “FACTkathon: Fact-Collab to Debunk Dis-infodemic หักล้างข้อมูลเท็จ แสวงหาความจริงร่วม” โดย รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ทีม “บอท” จากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ ทีม “TU Validator” จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ ทีม “New Gen Next FACTkathon” มหาวิทยาลัยพายัพ รางวัลชมเชย มี 2 รางวัล ได้แก่ ทีม “ออนซอน Online” จากมหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด และทีม “Friends for Facts” จากมหาวิทยาลัยแม่โจ้

นายธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กล่าวเปิดงานครั้งนี้ ว่า ทั้ง 5 ทีมได้เข้าร่วมระดมสมองเพื่อสืบค้นข้อมูล หาแนวคิดและพัฒนานวัตกรรมการตรวจสอบข่าวและข้อมูลสุขภาพต่างๆ ตั้งแต่ช่วงวันที่ 8-10 ต.ค. ที่ผ่านมา  โดยเป็นการแข่งขันโดยทางออนไลน์ โดยความประทับใจ คือเห็นการทำงานข้ามมหาวิทยาลัย หรือมหาวิทยาลัยเดียวกันแต่ข้ามศาสตร์ ข้ามสาขาวิชา  นำมาบูรณาการได้อย่างลงตัว   จากการเข้าร่วมติดตามการแข่งขันพบว่าทั้ง 5 ทีมล้วนมีความเป็นเลิศ และมั่นใจว่าทั้ง 5 ทีม จะต่อยอดและพัฒนาแนวคิดที่ระดมสมองออกมาให้เป็นจริงในทางปฏิบัติได้ 

นายเฟรเดอริค สปอร์ (Mr.Frederic Spohr) หัวหน้าสำนักงานประจำประเทศไทยและเมียนมา มูลนิธิฟรีดริชเนามัน กล่าวว่า ความจริงร่วมเกิดจากการที่แต่ละคนมีมุมมองความคิดที่แตกต่างกัน  แล้วเราจะสามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้หรือไม่ว่า ที่ทุกคนยอมรับกันได้ในแต่ละเรื่องมีประเด็นอะไรบ้าง เพราะความจริงร่วมนั้นมีความสำคัญกับการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน ในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์และสร้างสังคมร่วมกัน

นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ กล่าวว่า กิจกรรมการแข่งขันระดมสมองเชิงลึก “FACTkathon: Fact-Collab to Debunk Dis-infodemic หักล้างข้อมูลเท็จ แสวงหาความจริงร่วม” เป็นโครงการแรกที่มีการแข่งขัน Hackathon ทางออนไลน์เพื่อค้นหานวัตกรรมการแก้ปัญหาข่าวลวง  เป็นความท้าทายทั้งผู้ร่วมแข่งขัน ผู้จัดการแข่งขันและคณะกรรมการตัดสิน อีกทั้งยังต้องประชุมทางออนไลน์เนื่องด้วยข้อจำกัดในสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 และกว่าจะประกาศผลรางวัลต่างๆ คณะกรรมการต้องลงมติกันหลายรอบ เนื่องจากผลงานของทั้ง 5 ทีมอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน  และเป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่เราได้เยาวชนคนรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้   

จากนั้น รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย          เจ้าของเพจ “อ่อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง By เจษฎ์”   และอาจารย์ยังได้รับรางวัลนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ประจำปี 2564 มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ จากข้อมูลลวงสู่โลกเสมือน : แนวทางการหาความจริงร่วมว่า สังคมไทยเคยชินกับการเชื่อตามๆ กันมา เชื่อตามวัยวุฒิ  คุณวุฒิ  เมื่ออยู่ในโลกที่ความจริงไม่เป็นอย่างที่ควรจะเป็น แต่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยเหตุผลต่างๆ ตั้งแต่เพื่อความสนุกสนาน เช่น จดหมายลูกโซ่หรือฟอร์เวิร์ดเมล ไปจนถึงบิดเบือนเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง เช่น กรณีเครื่องตรวจวัตถุระเบิด GT200 ที่มีเพียงกระป๋องเปล่ากับเสาอากาศ แต่กลับเชื่อว่าใช้งานได้จริง  เป็นต้น

การเชื่อตามกันแบบไม่ตั้งคำถามยังเกิดขึ้นแม้กระทั่งในแวดวงการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ ทั้งที่หัวใจสำคัญของวิทยาศาสตร์คือการพิสูจน์ความเชื่อดั้งเดิมที่ดำรงอยู่มาก่อนหน้าว่าจริงหรือเท็จ อีกทั้งวิทยาศาสตร์พร้อมจะเปลี่ยนแปลงความเชื่อได้เสมอ เช่น วันนี้เชื่อว่าผีไม่มีจริงเพราะไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่ามี แต่หากในอนาคตมีผู้พิสูจน์ได้ว่าผีมีจริงวันนั้นวิทยาศาสตร์ก็พร้อมจะเชื่อว่ามีจริง ดังนั้นต้องระบบการศึกษาต้องถูกรื้อ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะแม้จะรู้ว่าเด็กควรเป็นอย่างไรแต่คนเป็นครูบาอาจารย์ก็ถูกสอนมาอีกอย่าง

ส่วนสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งพบข่าวปลอมจำนวนมากนั้น มีได้ตั้งแต่ทฤษฎีสมคบคิดซึ่งเชื่อมโยงกับความเชื่อดั้งเดิม เช่น ความไม่ไว้ใจรัฐ ประเทศหรือการแพทย์ จนถึงความพยายามส่งต่อข้อมูลเพื่อช่วยเหลือกัน เช่น ช่วงแรกๆ ที่เริ่มมีข่าวโรคระบาดแล้วยังไม่มีวิธีการตรวจคัดกรองหาผู้ติดเชื้อ ก็มีการส่งต่อว่าให้ลองกลั้นหายใจ 10 วินาที หากใครทำไม่ได้แสดงว่าติดเชื้อแล้ว ซึ่งข้อมูลนี้ไม่เป็นความจริง เป็นต้น โดยข่าวปลอมนั้นกระจายไปได้พราะตรงกับใจของผู้รับสารที่ต้องการความรวดเร็วแต่ให้ไม่ทัน แต่เมื่อรัฐจะมีมาตรการบางอย่างก็จะไปมองว่าเป็นทฤษฎีสมคบคิด

รศ.ดร.เจษฎา กล่าวต่อไปถึง เมตาเวิร์ส (Metaverse)” พื้นที่ออนไลน์แห่งอนาคตที่สามารถจำลองโลกเสมือนอีกใบหนึ่งแล้วให้ผู้คนเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในนั้น ว่า ในอีกมุมหนึ่งก็มีประเด็นน่าห่วง คือ ในโลกนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าคนอื่นๆ ที่อยู่ด้วยจะเป็นตัวจริงหรือมีการปลอมแปลงหน้าตาเป็นบุคคลอื่น ซึ่งก่อนหน้านี้คนเราเชื่อสิ่งที่เห็นด้วยตา ต่อมาก็เชื่อสิ่งที่เห็นในภาพ และต่อมาอีกก็เชื่อสิ่งที่เห็นในโทรทัศน์ 

กระทั่งล่าสุดเมื่อเข้าสู่ยุคของเมตาเวิร์ส คนเข้าไปอยู่ในโลกนั้นไม่ต้องออกจากบ้าน และเราก็จะเชื่อสิ่งที่อยู่ในนั้น คำถามคือเราจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าข้อมูลหรือเนื้อหาที่เราเชื่อไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมา ขณะเดียวกันระบบการเงินในอนาคตก็จะไม่ใช่เงินที่ประเทศรับรอง เช่น เงินบาท แต่เป็น เงินคริปโต (Cryptocurrency)” ซึ่งก็มีหลายสกุลเงินอีก และเมื่อหันไปมองผู้ให้บริการนั้นก็อยากให้เราเชื่อในสิ่งที่เขาต้องการ ดังนั้นอนาคตเราไม่มีทางรู้เลยว่าเราจะถูกควบคุม (Manipulate) มากเพียงใด

อย่างไรก็ตาม ลำพังสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันโดยเฉพาะ เฟซบุ๊ก (Facebook)” โครงสร้างที่เป็นอยู่ก็ทำให้เราติดอยู่กับภาวะ ห้องเสียงสะท้อน (Echo Chamber)” เช่น เมื่อผู้ใช้งานเลือกเป็นเพื่อนกับบุคคลที่มีมุมมองแบบใด หรือเลือกกดดูเนื้อหาแบบใด หลังจากนั้นอัลกอริทึมของเฟซบุ๊กก็จะทำให้ผู้ใช้งานมองเห็นแต่บุคคลหรือเนื้อหาในทำนองเดียวกัน และกรองบุคคลหรือเนื้อหาที่มีมุมมองแตกต่างออกไปจากการรับรู้ ปรากฏการณ์นี้ทำให้แต่ละคนเชื่อในมุมใดมุมหนึ่งอย่างจริงจัง

ปิดท้ายด้วยวงเสวนา “จากข่าวลวงสู่ความฉลาดยุคดิจิทัล : มุมมองจากเยาวรุ่นถึงบูมเมอร์” โดยมีผู้ร่วมเสวนาหลายท่าน อาทิ ผศ.ดร.เอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์ ที่ปรึกษาโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า มีผู้ใช้งานสื่อออนไลน์เพิ่มมากขึ้น ข้อมูลข่าวสารจึงเพิ่มมากขึ้น แต่ก็ไม่อยากมองว่าเป็นสถานการณ์เลวร้าย โดยมองว่าเป็นเรื่องปกติ ทั้งนี้ โคแฟคไม่ใช่แพลตฟอร์มสำเร็จรูปในการตรวจสอบข่าว   แต่เป็นตัวช่วยกระตุ้นให้สังคมสนใจ สร้างการมีส่วนร่วม และเชื่อมโยงกับภาคีต่างๆ 

โดยนอกจากโคแฟคแล้ว ยังมีอีก 2 กลไกที่ทำงานเรื่องข่าวปลอม คือศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักงานข่าวไทย อสมท. และศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DES) ซึ่งทั้ง 3 กลไกแม้จะมีวิธีการทำงานที่แตกต่างกัน แต่มีเป้าหมายแหมือนกันคือสร้างความรับรู้แก่สังคม ในการสนใจพินิจพิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารที่ได้รับมา และไม่ส่งต่อข่าวปลอมหรือข้อมูลที่ยังไม่แน่ใจว่าถูกต้องหรือไม่

น.ส.พิมพ์รภัช ดุษฎีอิสริยกุล ผู้จัดการโครงการมูลนิธิฟรีดริชเนามัน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ความฉลาดในยุคดิจิทัล หมายถึงการที่เราจะรู้เท่าทันสิ่งที่เปลี่ยนแปลงในโลกดิจิทัลมากน้อยเพียงใด ซึ่งนอกจากการรู้จักว่าเทคโนโลยีใหม่ๆ นั้นคืออะไรแล้ว ต้องรู้ถึงนัยเบื้องหลังของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นด้วย แต่หากไม่มีการตั้งคำถามกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็จะไม่สามารถนำไปสู่ความรู้ได้  

นายธนภณ เรามานะชัย Trainer Google News Intiative (GNI) กล่าวว่า ในฐานะที่เคยทำงานเป็นผู้สื่อข่าวมาก่อน ยืนยัน การรู้เท่าทันเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Literacy)” เป็นทักษะที่สำคัญ เพราะเราไม่สามารถพึ่งบริษัทเทคโนโลยีแต่เพียงอย่างเดียวได้ บริษัทก็ต้องดำเนินการให้มีผลกำไร แม้จะสนใจจริยธรรมแต่ก็คงไม่ใช่เป้าประสงค์สูงสุด ดังนั้นคนเราจำเป็นต้องแยกให้ออกว่าอะไรจริง-ไม่จริง ใช่-ไม่ใช่ 

และการได้ความรู้มานั้นก็ต้องรู้ให้จริงไม่ใช่เพียงรู้เพราะเชื่อตามกันมา  จึงต้องมีกระบวนการศึกษาและการตั้งคำถามตั้งแต่วัยเด็ก  นอกจากเข้าใจการทำงานของแพลตฟอร์ม เช่น เว็บไซต์ แอปพลิเคชั่น สื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งเป็นช่องทางนำเสนอแล้ว ก็ต้องให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่นำเสนอผ่านแพลตฟอร์มด้วย เพราะผู้พัฒนาแพลตฟอร์มกับผู้ผลิตเนื้อหาเผยแพร่ผ่านแพลคฟอร์มอาจเป็นคนละส่วนกัน

นายพีรพล อนุตรโสตถิ์ ผู้จัดการศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย อสมท. กล่าวว่า เมื่อพูดถึงเมตาเวิร์ส ความพร้อมก็มี 2 ด้าน คือระบบพร้อมหรือไม่ โดยหากวันหนึ่งสามารถทำให้เทคโนโลยีซูเปอร์คอมพิวเตอร์อยู่ในมือคนทั่วไปได้ และคนพร้อมจะเข้าไปหรือเปล่า แต่ประเด็นนี้ยังไม่สามารถบอกได้เพราะปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลมากพอ ว่าผู้ให้บริการเมตาเวิร์สจะมีกฎหรือข้อกำหนดต่างๆ อย่างไร ถึงกระนั้น ก็มีความพยายามสร้างการรู้เท่าทันมากขึ้น หากสามารถทำได้เร็วพอ ในวันที่เทคโนโลยีมาถึงคนก็อาจจะพร้อมก็ได้

ในวงเสวนายังมีตัวแทนจาก 2 ทีมที่เข้าร่วมการแข่งขันระดมสมองเชิงลึก “FACTkathon: Fact-Collab to Debunk Dis-infodemic หักล้างข้อมูลเท็จ แสวงหาความจริงร่วม” คือ น.ส.สุธิดา บัวคอม จากทีม “บอท” เล่าถึงผลงานของทีมที่คิดค้นให้มีเครื่องมือส่วนขยาย (Extension) ในเว็บเบราเซอร์ ที่เชื่อมโยงกับฐานข้อมูลขององค์กรต่างๆ ที่ตรวจสอบข่าวปลอม  โดยกล่าวว่าทีมไม่ต้องการสร้างนวัตกรรมใหม่ เพราะมีของที่ทำอยู่แล้ว สิ่งที่ต้องคิดคือจะทำให้กลไกตรวจสอบข่าวปลอมมาถึงมือผู้บริโภคได้ง่ายได้อย่างไร

การทำงานของเครื่องมือนี้ เมื่อดาวน์โหลดมาติดตั้ง เมื่อผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตพบข้อความที่สงสัยหรือไม่แน่ใจว่าเป็นข่าวปลอมหรือไม่ สามารถใช้งานได้เพียง คลุมดำ กดลากทับข้อความนั้นและ คลิกขวา ระบบก็จะเชื่อมไปยังฐานข้อมูลขององค์กรตรวจสอบข่าวปลอม โดยจะต้องมีการทำบันทึกความตกลงร่วม (MOU) กับองค์กรเหล่านั้นด้วย อีกทั้งย้ำว่า ไม่ว่าคนรุ่นไหนก็อาจตกเป็นเหยื่อข่าวปลอมได้ ผู้สูงวัยอาจตกเป็นเหยื่อในรูปแบบหนึ่ง แต่คนรุ่นใหม่ก็อาจพลาดในอีกรูปแบบเช่นกัน และการรับมือของคนแต่ละรุ่นก็ต้องใช้วิธีการที่แตกต่างกัน

ด้าน น.ส.ไอริณ ประสานแสง จากทีม “New Gen Next FACTkathon” ที่เลือกใช้ “การ์ตูน” เป็นสื่อในการสร้างความตระหนักถึงการรู้เท่าทันสื่อและไม่ตกเป็นเหยื่อข่าวปลอมโดยสร้างระบบให้ผู้อ่านมีส่วนรวม เพราะเห็นว่าวัยรุ่นนั้นโตมากับการ์ตูนอยู่แล้ว ให้ความเห็นว่า ข่าวปลอมเองก็มีการพัฒนารูปแบบให้ดูแนบเนียนขึ้น หากวันหนึ่งเทคโนโลยีตรวจสอบข่าวปลอมตามไม่ทันจะทำอย่างไร ท้ายที่สุดก็ต้องกลับไปที่คนที่ต้องประมวลผลให้ได้ว่าอะไรคือข่าวจริง-ข่าวปลอม แม้อาจต้องใช้เวลานานในการบ่มเพาะปลูกฝังก็ตาม

ในช่วงท้ายของการเสวนา ผู้ร่วมเสวนายังมีความเห็นตรงกันในประเด็นการแสวงหาความจริงร่วม ว่าต้องมีพื้นที่ให้คนแต่ละรุ่น-แต่ละฝ่ายได้พูดคุยกันโดยไม่มีช่องว่างทางอำนาจไม่ว่าแบบใดมากดทับ และแต่ละฝ่ายควรเปิดใจรับฟังซึ่งกันและกัน แม้จะมีความเห็นไม่ตรงกัน ซึ่งอาจไม่มีถูก-ผิด ขณะเดียวกัน ต้องแยกแยะระหว่างข้อมูล ความรู้และความเห็น อีกทั้งมองว่าการเปลี่ยนแปลงความคิด-ความเชื่อตามข้อเท็จจริงนั้นสามารถทำได้ไม่ใช่เรื่องน่าอายแต่อย่างใด

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

สรุปข่าวลวงประจำวันที่ 21 พฤศจิกายน 2564


จริงหรือไม่…? ฉีดวัคซีนแล้ว มีแม่เหล็กที่แขน

Xไม่จริง

เพราะ… จากการแชร์กันว่าในร่างกายมีเหล็กจนเหรียญติดแขนได้นั้น ไม่เป็นความจริง ที่สามารถติดได้เป็นเพราะเหงื่อ

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/2guo12it4vycm


จริงหรือไม่…? วัคซีน #Pfizer เป็นวัคซีนที่มีสารพิษ หลังจากฉีดเข็มแรกแล้ว

Xไม่จริง

เพราะ…ข้อความดังกล่าวมาจากกลุ่มต่อต้านวัคซีน การฉีดวัคซีนสามารถลดอัตราการป่วยหนัก #วัคซีน ลดการเสียชีวิตได้จริง

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1q2xmkfx1kjkm


จริงหรือไม่…? กระโดดแรงสามารถรักษาอาการปัสสาวะลำบากสำหรับผู้สูงอายุ

Xไม่จริง

เพราะ…AFP ตรวจสอบพบว่าคำกล่าวอ้างนี้เป็น “ข่าวปลอม 100%” และ “อันตรายมาก” เนื่องจากอาจจะส่งผลให้ผู้สูงอายุได้รับบาดเจ็บ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/12412k6m3o7ue


จริงหรือไม่…? โปรไบโอติก และสมุนไพรจีน รักษามะเร็งได้

Xไม่จริง

เพราะ…ชัวร์ก่อนแชร์ ตรวจสอบพบว่า ยังไม่มีข้อมูลใดๆ ที่คิดว่าจะสามารถรักษามะเร็งได้ และสมุนไพรแม้จากธรรมชาติไม่ได้เหมาะกับทุกคนสามารถส่งผลให้กับตับและไตได้

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/3moj7oilr7vxc