‘รถไฟฟ้า2ที่นั่งรูปทรงน่ารัก’ไม่ได้ผลิตโดย‘มิตซูบิชิ’ โปรดสังเกต‘โลโก้-ชื่อ’ดูให้ชัวร็ก่อนแชร์ COFACT Special Report 25/66

By : Zhang Taehun

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในฐานการผลิตรถยนต์ที่สำคัญของโลก ขณะที่ตลาดภายในก็ต้องบอกว่าคึกคักแทบจะตลอดเวลา โดยในแต่ละปีจะมี งานใหญ่ สำหรับ คนรักรถอยู่ 2 ครั้ง คือ “Bangkok International Motor Show” ที่จัดมาตั้งแต่ปี 2522 โดยจัดขึ้นในช่วงปลายเดือนมีนาคม-ต้นเดือนเมษายนของทุกปี กับอีกงานคือ “Thailand International Motor Expo” ที่เริ่มจัดงานครั้งแรกในปี 2527 โดยจะอยู่ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน-ต้นเดือนธันวาคมของทุกปี ซึ่งทั้ง 2 งาน บรรดาผู้ผลิตก็จะนำรถยนต์ภายใต้แบรนด์ของตนมาจัดแสดง มีตั้งแต่รถสำหรับจำหน่ายที่มาพร้อมเงื่อนไขพิเศษดึงดูดใจผู้มาเยี่ยมชม และรถต้นแบบที่มาเพื่ออวดโฉมความก้าวหน้าทางนวัตกรรม

อย่างไรก็ตาม ในงานใหญ่ครั้งล่าสุดของวงการยานยนต์เมืองไทยอย่าง Thailand International Motor Expo 2023 ซึ่งจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย. – 11 ธ.ค. 2566 มีเรื่องราวที่เรียกเสียงฮือฮาอย่างมาก เมื่อสำนักข่าวออนไลน์แห่งหนึ่ง โพสต์ภาพพร้อมข้อความอ้างว่า มิตซูบิชิ ค่ายรถยนต์ชื่อดังจากประเทศญี่ปุ่น เปิดตัว รถไฟฟ้าสองที่นั่ง รัศมีการมอง 360 องศา สีหวานพาสเทล” ซึ่งก็ดูจะได้รับความนิยมอย่างมาก มีการแชร์ข่าวดังกล่าวเป็นวงกว้าง รวมถึงมีผู้นำภาพเข้าไปถามในเพจเฟซบุ๊กทางการของมิตซูบิชิสาขาประเทศไทย

แต่ก็ต้องบอกว่าสำหรับคนที่เห็นภาพนี้แล้วรู้สึกว่า “รถอะไรเนี่ย?..ทำไมมันน่ารักตะมุตะมิเหลือเกิน?” แล้วรู้สึกอยากได้มาขับสักคัน เตรียมแต่งตัวเดินทางไปบูธของมิตซูบิชิที่งาน Thailand International Motor Expo เผื่อจะได้สิทธิ์เงื่อนไขพิเศษในการจองรถเฉพาะงานนี้กับเขาบ้าง เมื่อไปถึงงานก็คงรู้สึก “เก้อ” และอาจบ่นแบบงงๆ ว่า “ฉันมาทำอะไรที่นี่?” เพราะจริงๆ แล้ว “รถที่เห็นในภาพไมมีอยู่จริงในงาน และไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยกับมิตซูบิชิ” ในขณะที่อีกหลายคนอาจยังไม่ได้ออกจากบ้าน เพราะสังเกตเห็น “ความผิดปกติ” บางอย่างในภาพเสียก่อน

ภาพที่ 1 : รถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่อ้างว่า “มิตซูบิชิ (Mitsubishi)” นำมาเปิดตัวในงาน อย่าง Thailand International Motor Expo 2023 แต่เมื่อสังเกตดูดีๆ (ขีดเส้นสีแดง) จะเห็นว่าตัวรถมีตัวหนังสือคำว่า “มิตูบิชิ (Mitubishi)” ซึ่งหากเป็นสินค้าของมิตซูบิชีจริงๆ คงไม่ปล่อยให้สะดวกชื่อบริษัทตนเองผิดๆ แบบนี้

เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 7 ธ.ค. 2566 มีผู้ส่งภาพนี้มาถามผู้เขียนว่าตกลงแล้วเป็นข่าวจริงหรือไม่ ในตอนแรกผู้เขียนก็ตั้งใจจะออกไปดูที่งาน Thailand International Motor Expo 2023 เพราะที่พักไม่ห่างจากศูนย์ประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อันเป็นสถานที่จัดงานมากนัก แตจู่ๆ ก็สะดุดตากับตัวหนังสือเหนือโลโก้ และเมื่อลอง Crop ภาพมาซูมดู ก็พบว่า ตัวอักษร หลังตัวอักษร T” หายไป ดังนั้นแทนที่จะอ่านว่า มิตซูบิชิ (Mitsubishi)” ก็เลยต้องอ่านว่า มิตูบิชิ (Mitubishi)” แทน 

อีกทั้งเมื่อตรวจสอบกับเพจเฟซบุ๊ก “Mitsubishi Motors Thailand” ซึ่งเป็นเพจทางการของมิตซูบิชิประจำประเทศไทย (ในส่วนการผลิตและจำหน่ายรถยนต์) ในช่วงที่มีการจัดงาน Thailand International Motor Expo 2023 ก็ไม่มีภาพหรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ที่อ้างถึงในข่าวนั้นแต่อย่างใด นอกจากนั้น ยังมีบางโพสต์ที่มีผู้เข้าไปโพสต์ภาพรถยนต์ที่หน้าตาคล้ายๆ กันเพื่อสอบถาม ทางแอดมินหรือผู้ดูแลเพจตอบในทำนองเชิญชวนให้ดูรถรุ่นอื่นของค่ายแทน ในขณะที่รถซึ่งทางค่ายได้นำไปจัดแสดง หากมีผู้สนใจเข้ามาสอบถาม แอดมินจะเชิญชวนให้มาดูรถคันจริงที่บูธของมิตซูบิชิทันที (ซึ่งคงไม่มีเหตุผลอะไรหากมีรถโชว์ในงานจริงแล้วจะไม่เชิญให้ผู้สนใจมาชม) ที่สำคัญคือ “ไม่มีโพสต์ข่าวนี้อยู่ในเพจของสำนักข่าวต้นทาง” ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจลบข่าวไปแล้วหลังรู้ว่าไม่ใช่เรื่องจริง

ภาพที่ 2 : (ซ้าย) รถปริศนาหน้าตาคล้ายกับคันที่เป็นข่าวในภาพแรก กับ (ขวา) รถยนต์มิตซูบิชิรุ่น Xpander Cross ที่ถูกนำมาโชว์ในงาน Thailand International Motor Expo 2023 จะเห็นวิธีการตอบที่แตกต่างกันของผู้ดูแลเพจ
ภาพที่ 3 : เป็นอีกภาพที่อ้างว่าเป็นการเปิดตัวรถยนต์ของมิตซูบิชิ (Mitsubishi) ในช่วงเวลาเดียวกับภาพที่ 1 แต่เมื่อซูมดูจะพบความผิดปกติ 2 จุด คือ (1) โลโก้ในงานอ่านว่า “มิตูบิชิ (Mitubishi)”กับ (2) ที่ป้ายทะเบียนด้านหน้าตัวรถ อ่านได้ว่า “มิตูบิบิ (Mitubibhi)”

ยังมีผู้ส่งรูปซึ่งคล้ายกับที่ปรากฎในข่าวของสำนักข่าวออนไลน์แห่งนั้นมาให้ผู้เขียนดูอีก ซึ่งเป็นภาพที่แชร์กันในเพจอุปกรณ์ประดับยนต์ (และเป็นภาพที่มีผู้นำไปถามแอดมินเพจมิตซูบิชิประเทศไทย) เมื่อลองซูมดูดีๆ ก็จะพบว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับมิตซูบิชิเช่นกัน หรือแม้แต่ภาพที่ถูกแชร์กันบนแพลตฟอร์ม X (หรือเดิมคือทวิตเตอร์) ที่มีผู้สงสัยว่ามาจากงานแสดงรถยนต์ที่จัดในประเทศญี่ปุ่น เพราะบรรยายภาพเป็นภาษาญี่ปุ่น เมื่อซูมดูก็ไม่ได้อ่านว่ามิตซูบิชิอย่างถูกต้องแต่อย่างใด

ดังนั้นข้อสรุปในเบื้องต้นคือ “รถยนต์ไฟฟ้าหน้าตากลมๆ มนๆ น่ารัก” ที่ถูกแชร์ภาพแล้วบอกว่า “เป็นรถของมิตซูบิชิ” นั้น “ไม่เป็นความจริง” ส่วนที่มาของภาพนั้นยังมีเรื่องที่น่าสงสัย เพราะในขณะที่หลายความเห็นบอกว่าเป็นการใช้เทคโนโลยี “ปัญญาประดิษฐ์ (AI)” สร้างขึ้น แต่ผู้เขียนก็ยังไม่พบคำอธิบายในรายละเอียดมากไปกว่านั้น แต่อีกด้านหนึ่ง ผู้เขียนลองนำชื่อรถแปลกๆ ที่พบจากภาพเหล่านี้ไปค้นหาในอินเตอร์เน็ต ก็พบการกล่าวถึงอยู่บ้าง

ภาพที่ 5 : โพสต์จากเว็บบอร์ด SkyscraperCity วันที่ 27 ม.ค. 2549 ตอนหนึ่งมีการกล่าวถึงเครื่องยนต์ (Engine) ของรถยนต์ยี่ห้อ มิตูบิชิ (Mitubishi) ไม่ใช่ มิตซูบิชิ (Mitsubishi)
 

เช่น ในเว็บบอร์ดของเว็บไซต์ SkyscraperCityชุมชนออนไลน์สำหรับผู้สนใจตึกระฟ้าและการพัฒนาเมือง ที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2545 ในหัวข้อสนทนา “Chinese Auto Industry” หรืออุตสาหรรมยานยนต์ของประเทศจีน หัวข้อนี้เริ่มเปิดมาตั้งแต่วันที่ 6 ส.ค. 2547 ซึ่งในหน้าที่ 8 มีการโพสต์ภาพพร้อมข้อความ “Brilliance Auto’s own engine will be assembled in the new car this year. Right now the Mitubishi engine is installed in the new car.” โดยหากสังเกตดีๆ ผู้โพสต์ใช้คำว่า มิตูบิชิ (Mitubishi) ไม่ใช่ มิตซูบิชิ (Mitsubishi) โดยโพสต์ไว้ตั้งแต่วันที่ 24 ม.ค. 2549 หรือเมื่อกว่า 17 ปีก่อน

หรือในเว็บไซต์ dubizzle แพลตฟอร์มประกาศซื้อ-ขาย (และเช่า) สิ่งของต่างๆ ที่เปิดให้บริการในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) มาตั้งแต่ปี 2548 ผู้เขียนพบประกาศขายรถมือ 2 ที่เมืองชาร์จาห์ (Sharjah) ทั้ง มิตซูบิชิ ปาเจโร (Mitsubishi Pajero) และ มิตับชิ ปาเจโร (Mitubshi Pajero) แต่เป็นรถทรงเดียวกัน หน้าตาเหมือนกัน อีกทั้งชื่อของรถยนต์ มิตับชิ (Mitubshi) ยังไปปรากฎในแพลตฟอร์มรวมข่าวสารของประเทศในจีเรียอย่าง Nairaland ที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2548 

โดยในเว็บไซตืดังกล่าว มีผู้มาลงประกาศ “High Grade L300 Mitubshi Short Frame For Sale In Awka” ไว้เมื่อวันที่ 5 ต.ค. 2555 โดยเป็นประกาศขายรถตู้รุ่น L300 ที่เมืองอาวคา (Awka) อย่างไรก็ตาม ในเว็บบอร์ดเดียวกัน ก็มีการลงประกาศ “Clean Mitsubishi L300 Delica Bus For Sale In PH” ในวันที่ 11 ธ.ค. 2565 ซึ่งมิตซูบิชินั้นมีการผลิตรถตู้รุ่น L300 รวมถึงรถ SUV อย่าง ปาเจโร ออกมาขายจริง

ภาพที่ 6 ประกาศขายรถ มิตับชิ (Mitubshi) และ มิตซูบิชิ (Mitsubishi) บนแพลตฟอร์ม dubizzle ที่เมืองชาร์จาห์ (Sharjah) สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทั้ง 2 ยี่ห้อใช้ชื่อรุ่น “ปาเจโร (Pajero)” เหมือนกัน
ภาพที่ 7 ประกาศขายรถ มิตับชิ (Mitubshi) และ มิตซูบิชิ (Mitsubishi) บนแพลตฟอร์ม Nairalandประเทศไนจีเรีย ทั้ง 2 ยี่ห้อใช้ชื่อรุ่น “L300” เหมือนกัน

ยังพบการกล่าวถึงรถยี่ห้อ มิตับชิ (Mitubshi) ในเพจเฟซบุ๊ก Jamaica Classified Online ซึ่งเป็นของแพลตฟอร์มชื่อเดียวกันที่ให้บริการลงประกาศซื้อ-ขาย (และเช่า) สิ่งของต่างๆ ในประเทศจาไมกา โดยในวันที่ 11 ม.ค. 2563 มีประกาศขายรถกระบะ Mitubshi L200 แต่เมื่อไปดูในส่วนของเว็บไซต์ ก็พบการขายรถยนต์ มิตซูบิชิ (Mitsubishi) รุ่น L200 เช่นกันในปี 2564 โดย Mitsubishi L200 สำหรับประเทศไทยจำหน่ายในชื่อ Mitsubishi Triton L200เมื่อปี 2561

ภาพที่ 8 : ประกาศขายรถกระบะในแพลตฟอร์ม Jamaica Classified Online ประเทศจาไมกา (ซ้าย) ระบุยี่ห้อ Mitubshi L200 (ขวา) ระบุยี่ห้อ Mitsubishi L200

ถึงกระนั้น ผู้เขียนก็ไม่สามารถค้นหาต่อไปได้อีกว่าตกลงแล้ว รถยนต์ยี่ห้อ มิตับชิ (Mitubshi) หรือแม้แต่ มิตูบิชิ (Mitubishi) มีจริงหรือไม่ (อาจเป็นเพียงการใส่ข้อมูลผิด) หรือหากมีจริงแล้วผลิตขึ้นที่ใดกันแน่ (เพราะไม่มีข้อมูลบริษัทชื่อนี้เลยในอินเตอร์เน็ต) แต่ที่แน่ๆ ข้อคิดขอการค้นหาข้อมูลในครั้งนี้ยังคงเหมือนเดิมคือ เช็คให้ชัวร์ก่อนแชร์” ยังคงสำคัญเสมอ 

ยิ่งโดยเฉพาะองค์กรที่ทำงานในฐานะ สื่อ ยิ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะยุคสื่อสังคมออนไลน์ ข้อมูลข่าวสารสามารถแพร่กระจายเป็นวงกว้างได้ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ และแม้จะรู้ตัวรีบลบออกในภายหลังก็ยับยั้งไม่ทันเสียแล้ว!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://www.facebook.com/MitsubishiMotorsTH(เพจเฟซบุ๊ก Mitsubishi Motors Thailand)

https://www.skyscrapercity.com/threads/chinese-auto-industry.614117/page-8 (หัวข้อสนทนา “Chinese Auto Industry” ในเว็บไซต์ SkyscraperCity)

https://sharjah.dubizzle.com/motors/search/?keyword=mitubshi

https://www.nairaland.com/1066091/high-grade-l300-mitubshi-short#12433864

https://www.nairaland.com/7475142/clean-mitsubishi-l300-delica-bus#119073817

https://www.facebook.com/JamaicaClassifiedOnline/posts/for-sale-mitubshi-l200-pick-up-in-spanish-town-st-catherine-call-now-18765700750/2681263438636095/

https://jamaicaclassifiedonline.com/auto/vans-suvs/l200-mitsubishi-205547.htm

https://www.mitsubishi-motors.co.th/th/about-us/heritage/explore-triton-l200


จริยธรรมอยู่ตรงไหน ในยุคที่สื่อไทยเริ่ม “ลองของ” กับ AI? COFACT Special Report 24/66

โดย ธีรนัย จารุวัสตร์ สมาชิก Cofact 

สื่อมืออาชีพในต่างประเทศ ถอดบทเรียนจากหลายกรณีการใช้ AI ที่ผิดหลักจริยธรรมสื่อ และได้เริ่มทยอยออกแนวปฏิบัติว่าด้วยการใช้ AI อย่างชัดเจนกันบ้างแล้ว แต่การเฝ้าระวังและป้องกันในลักษณะเช่นนี้ยังไม่เกิดขึ้นในวงการสื่อไทย กลายเป็น “สุญญากาศด้านจริยธรรม” ที่ควรจะเร่งแก้ไขโดยเร็ว

ภาพประกอบโดย Yasmin Dwiputri จากเว็บไซต์ Better Images of AI

ย้อนไปเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน สำนักข่าว ThaiPBS World ได้จัดเวทีเสวนาในหัวข้อ “AI and the Future of Newsroom” หรือแปลได้ว่า “AI กับอนาคตของการทำงานสื่อ” มีตัวแทนจากหลากหลายภาคส่วนร่วมงานดังกล่าว ซึ่งผู้จัดได้ระบุว่า งานนี้มีขึ้นเพื่อให้คนในอุตสาหกรรมสื่อและเทคโนโลยี มาพูดคุยกันเพื่อหา “กรอบจริยธรรม” ที่เหมาะสมในการใช้ AI ของสื่อมวลชน

ในช่วงเปิดงานเสวนา รศ.ดร.วิลาสินี พิพิธกุล ผู้อำนวยการ ThaiPBS ได้กล่าวตอนหนึ่งว่า AI เป็นความท้าทายของสื่อมวลชน รวมถึงสื่อสาธารณะอย่าง ThaiPBS ในการเตรียมความพร้อมปรับตัวเพื่อรับมือภายใต้ภูมิทัศน์สื่อที่เปลี่ยนแปลง การบูรณาการเทคโนโลยีเข้ากับแนวทางปฏิบัติด้านสื่อมวลชนเดิมโดยตั้งอยู่บนข้อพิจารณาด้านจริยธรรม เพื่อให้สามารถคงเจตนารมณ์คุณค่าที่ยึดโยงกับประชาชน และมีความน่าเชื่อถือ

แต่ทว่า หลังจากที่งานเสวนาผ่านไปไม่กี่สัปดาห์ ThaiPBS ได้ตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่าด้วยหลักจริยธรรมในการใช้ AI เสียเอง 

เหตุเกิดจากรายงานข่าวของ ThaiPBS ในวันที่ 9 ธันวาคม ในประเด็นข่าวที่ “ยูเนสโก้” ได้ขึ้นทะเบียนประเพณีการเฉลิมฉลองวันสงกรานต์ของไทยเป็น “มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้” อย่างเป็นทางการ 

แต่ผู้อ่านตาดีบางส่วนตั้งข้อสังเกตว่า ภาพประกอบข่าวชิ้นดังกล่าว กลับมีลักษณะหลายอย่างของภาพที่ทำขึ้นโดย AI (AI generated) เช่น มือและหน้าตาของบุคคลในรูปผิดธรรมชาติ อีกทั้งองค์ประกอบของรูป ดูเหมือนเป็นการเฉลิมฉลองเทศกาล “โฮลี” ของประเทศอินเดีย มากกว่าจะเป็นเทศกาลสงกรานต์ของไทย 

บุคคลในวงการสื่อมวลชนจำนวนหนึ่ง (รวมถึงผู้เขียนเองด้วย) ได้ทักท้วงการกระทำครั้งนี้ของ ThaiPBS ในทันที เพราะหมิ่นเหม่ต่อการละเมิดจริยธรรมว่าด้วยการใช้ AI ถึงสองเด้ง

เด้งที่หนึ่ง คือการใช้ภาพที่ AI ทำขึ้นมาประกอบข่าวเหตุการณ์ ทั้งที่สำนักข่าว ThaiPBS เองก็น่าจะมีแฟ้มภาพการฉลองสงกรานต์จำนวนมาก แต่ทำไมจึงกลับเลือกใช้ AI?

เด้งที่สอง คือการใช้ภาพที่ AI ทำขึ้น โดยไม่มีการเปิดเผย (disclaimer) ต่อผู้อ่านด้วย

ต่อมา ด้านทีมข่าว ThaiPBS ได้ลบภาพดังกล่าวออกอย่างเงียบๆ โดยยังไม่มีคำชี้แจงต่อสาธารณะแต่อย่างใด

รถทรงกลมกับกระดูกนก

ในห้วงเวลาเดียวกัน ได้เกิด “ดราม่า” เกี่ยวกับ AI ในสื่อไทยอีกกรณีไล่เลี่ยกัน นั่นคือโพสต์ของสำนักข่าว ThaiTribune ที่ระบุว่า “มิตซูบิชิ” เปิดตัวรถไฟฟ้ารูปแบบใหม่ที่มีรูปทรงกลม

“6 ธันวาคม 2566 ช่วงนี้มีงาน #มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40″ หรือ “MOTOR EXPO 2023” ระหว่างวันที่ 30 พ.ย. – 11 ธ.ค. 2566 ที่เมืองทองธานี ที่เห็น #มิตซูบิชิ ออกแบบรถไฟฟ้าสองที่นั่ง รัศมีการมอง 360 องศา สีหวานพาสเทลทีเดียว!” ThaiTribune ระบุ พร้อมด้วยภาพประกอบ

แต่เมื่อลองวิเคราะห์ต้นทางของภาพดังกล่าว ปรากฎว่าไม่ได้เป็นภาพจากงาน Motor Expo ตามที่ ThaiTribue กล่าวอ้าง และไม่ได้เป็นภาพจริงๆด้วยซ้ำๆ แต่เป็นภาพรถยนต์ทรงกลมที่ผู้ใช้ทวิตเตอร์ในประเทศญี่ปุ่นทำขึ้นจาก AI และนำมาเผยแพร่เท่านั้น 

ไม่แน่ชัดว่าเหตุใดกองบรรณาธิการของ ThaiTribune จึงนำภาพดังกล่าวมา แถมยังเขียนบรรยายเสร็จสรรพด้วยอีกต่างหากว่า มาจากงาน Motor Expo ที่ประเทศไทย ซึ่งในปัจจุบัน โพสต์นี้ของ ThaiTribune ยังคงเผยแพร่อยู่ และมียอดแชร์กว่า 2,000 ครั้ง

นอกจากนี้ เมื่อดูโพสต์ก่อนๆของ ThaiTribune จะพบว่าเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน สำนักข่าวดังกล่าวได้เผยแพร่รูปโครงกระดูกนกพร้อมข้อความว่า “อย่าจับสัตว์ทุกชนิด ใน #ฤดูผสมพันธุ์ เพราะนี่คือผลลัพธ์ที่นำมาให้ดู!!” ซึ่งมียอดแชร์กว่า 1,700 ครั้ง พร้อมคอมเมนต์แสดงความสะเทือนใจจำนวนมาก แต่ถ้าหากลองสังเกตดีๆ จะพบว่าภาพดังกล่าวมีลักษณะเป็นรูปที่ AI ทำขึ้นอีกนั่นเอง 

คนละเรื่องเดียวกัน

กรณีทั้งสองเป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับ AI และจริยธรรมของสื่อไทย แต่ผู้เขียนก็มองว่ามีความแตกต่างที่สำคัญอยู่เหมือนกัน

กรณีของ ThaiTribune นั้น ดูเหมือนจะเข้าข่ายเป็นการนำเอาภาพปลอมมาเผยแพร่ต่อ พร้อมด้วยข้อความที่ชวนสร้างความเข้าใจผิดว่าเป็นภาพเหตุการณ์จริง ซึ่งผู้เขียนเองก็ไม่ทราบว่ากองบรรณาธิการจงใจเผยแพร่ภาพปลอมเพื่อเรียกยอดไลค์-ยอดแชร์ หรือนำมาแชร์ต่อโดยไม่ทราบจริงๆว่าเป็นภาพปลอม และก็ไม่ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนด้วย 

ซึ่งไม่ว่าเหตุผลใด ก็ย่อมละเมิดหลักจริยธรรมพื้นฐานสื่อมวลชนเหมือนกันทั้งคู่ เพราะตามหลักจริยธรรมนั้น สื่อไม่ควรเอาสิ่งที่ทราบอยู่แล้วว่าเป็นเท็จมาเผยแพร่ต่อ และไม่ควรเอาข่าว เนื้อหา หรือภาพมาเผยแพร่ต่อโดยไม่ตรวจสอบหรือพิสูจน์ทราบที่มาเสียก่อน 

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนก็ยังมองว่า เคสนี้ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกใหม่มากนักในมาตรฐานจริยธรรมสื่อแบบไทยๆ เพราะที่ผ่านๆมา สื่อมวลชนไทยก็มักจะกระทำผิดลักษณะนี้ให้เห็นกันตลอด (หากจะให้ใช้ภาษาบ้านๆ ก็คงต้องพูดว่า “ผิดแบบเดิมๆ”) ไม่ต้องเป็นภาพที่ AI ทำขึ้น สื่อไทยก็เคย “โดนดัก” หรือรีบร้อนเอามารายงานต่อโดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงกันอยู่แล้ว 

ไม่ว่าจะเป็นภาพที่ตัดต่อขึ้น (photoshopped), ภาพข่าวจากอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยภาพหรือเนื้อหาข่าวที่ไม่ทราบที่มา เนื้อหาข่าวจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือไม่ได้ ไปจนถึงเพจดัก-เพจล้อเลียน ฯลฯ 

แต่กรณีของ ThaiPBS ผู้เขียนมองว่ามีความแปลกใหม่อยู่มาก เพราะเป็นการนำเอาเทคโนโลยี generative AI มาใช้ในการทำงานของกองบรรณาธิการเลยทีเดียว นั่นคือเอาภาพที่ AI ทำขึ้น มาเป็นภาพประกอบข่าว แทนที่จะใช้ภาพที่ช่างภาพ(ที่เป็นมนุษย์)ถ่าย แถมยังไม่มีข้อความ disclaimer ด้วย ตามที่ได้อธิบายมาแล้ว

ผู้เขียนมองว่ากรณีนี้น่าเป็นห่วงเป็นพิเศษ เพราะในปัจจุบัน ยังไม่มีหลักการหรือแนวปฏิบัติว่าด้วยการใช้ AI ของสื่อมวลชนที่เป็นที่ยอมรับในวงกว้างในประเทศไทย แม้แต่บรรดาองค์กรวิชาชีพสื่อทั้งหลาย ซึ่งควรจะทำหน้าที่เป็นผู้ชี้แนะหลักการจริยธรรมให้แก่สื่อมวลชนอย่างแข็งขัน ก็ดูมะงุมมะงาหรากับเรื่องนี้ ยังไม่มีท่าทีหรือแนวทางปฏิบัติอย่างเป็นทางการ เรียกได้ว่าเป็นสุญญากาศทางจริยธรรมก็ว่าได้

อุทธาหรณ์จากต่างแดน

ตรงกันข้าม วงการวิชาชีพสื่อในต่างประเทศได้มีการวางแนวปฏิบัติว่าด้วยการใช้ภาพหรือเนื้อหาจาก AI กันอย่างแพร่หลายแล้ว เช่น ไม่นำเอาภาพที่ AI ทำขึ้นมาเป็นภาพประกอบข่าว เพราะจะทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ไม่นำเอา AI มาแทนที่คนทำงาน (เช่น ช่างภาพ) ไม่นำเอาเนื้อหาที่ AI ทำขึ้นมารายงานในข่าวโดยไม่ตรวจสอบก่อน เพราะ AI มีประวัติ “หลอน” และแสดงข้อมูลผิดพลาดบ่อยครั้ง หรือถ้าหากมีการใช้ภาพหรือเนื้อหาที่ AI ทำขึ้น จะต้องระบุ disclaimer ให้ผู้อ่านได้รับทราบอย่างชัดเจน เพื่อความโปร่งใส เป็นต้น 

เมื่อมีแนวปฏิบัติและกรอบจริยธรรมปรากฎขึ้นมาเช่นนี้ สำนักข่าวและสื่อมืออาชีพในต่างประเทศจึงเริ่มมีวัฒนธรรมเฝ้าระวังการใช้ AI ที่เข้มแข็ง และช่วยเป็นเกราะป้องกันจากการใช้ AI ในทางที่ผิดจริยธรรม แบบที่บางสำนักข่าวได้เคยกระทำมาแล้ว จนถูกวิจารณ์อย่างหนักและสูญเสียความน่าเชื่อถือของตนทั้งสิ้น

เช่นสำนักข่าว CNET ที่ใช้ AI เขียนข่าวธุรกิจ แต่ AI กลับคำนวนเลขผิด (บอกว่ารายได้ดอกเบี้ย 3% ของเงินฝาก 10,000 เหรียญ คือ 10,300 เหรียญ) สื่อในเครือ G/O Media ที่ถูกจับได้ว่าใช้ AI เขียนข่าวบันเทิง เพราะมั่วข้อมูลเกี่ยวกับลำดับของภาพยนตร์ Star Wars (บอกว่า Clone Wars เกิดหลังหนังไตรภาคของดีสนีย์) บทความที่ใช้ AI เขียนขึ้นของเว็บไซต์ MSN พาดหัวข่าวนักบาสเกตบอลที่เพิ่งเสียชีวิตด้วยคำว่า “ไร้ประโยชน์”  ฯลฯ 

ดังนั้น เป็นเรื่องน่าเสียดายอยู่เหมือนกันที่ว่า เรามีอุทธาหรณ์การที่สื่อมวลชนใช้ AI อย่างผิดหลักจริยธรรมมากมายจากในต่างประเทศ แต่สุดท้ายเราก็มีอุทธาหรณ์ในลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นในประเทศของเรา และดันมา “หวยออก” กับสื่อสาธารณะ ทั้งที่ควรจะมีบรรทัดฐานทางจริยธรรมที่เคร่งครัดกว่าสื่อทั่วๆไปด้วย

ปิดสุญญากาศทางจริยธรรม

ด้วยธรรมชาติของอุตสาหกรรมสื่อไทย ที่ผู้บริหารและฝ่ายการตลาดมักจะมองหา “ของเล่นใหม่ๆ” เพื่อตามเทรนด์หรือลดต้นทุน โดยไม่คำนึงถึงคุณภาพของเนื้อหาข่าวที่นำเสนอหรือจริยธรรมด้านสื่อมวลชนขั้นพื้นฐาน ผู้เขียนมองว่าถ้าหากการใช้ AI แบบในลักษณ​ะที่ไม่รอบคอบ​ ไม่ระมัดระวัง และ​ไม่รับผิดชอบ ดังที่กรณีต่างๆที่ยกมาข้างต้น ยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ​ อาจทำให้ยิ่งสุ่มเสี่ยงต่อจริยธรรมการนำเสนอข้อเท็จจริง อันเป็นหัวใจสำคัญของวิชาชีพสื่อมวลชน

กล่าวคือ ในอนาคต สำนักข่าวอาจจะเริ่มใช้ภาพที่ AI ทำขึ้น มาเป็นภาพประกอบข่าวเหตุการณ์บ่อยครั้งขึ้น ซึ่งอาจจะบิดเบือนองค์ประกอบไปจากข้อเท็จจริง จนสุดท้ายผู้ที่อ่านข่าวจะเริ่มแยกไม่ออกแล้วว่าภาพไหนเป็นภาพเหตุการณ์จริง 

ต่อมา เมื่อการใช้ภาพข่าวที่ AI ทำขึ้นกลายเป็นเรื่องปกติหรือบรรทัดฐานที่ยอมรับกัน (norm) สำนักข่าวก็อาจจะเริ่มขยายไปใช้เนื้อหาข่าวที่ AI ทำขึ้นด้วย โดยที่ไม่ได้ตรวจสอบก่อน (หรือตรวจสอบไม่หมด) ว่าเนื้อหาที่ AI ผลิตขึ้น มีความแม่นยำถูกต้องมากน้อยแค่ไหน กลายเป็นการผลักภาระให้ผู้ติดตามข่าวสาร ต้องคอยตรวจสอบเองว่าเรื่องใดจริงบ้าง 

ท้ายสุด เมื่อทั้งภาพและข่าวที่ AI ผลิตขึ้น กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ในวงการสื่อไปแล้ว บรรดาผู้บริหารสื่อก็อาจจะเริ่มมีแนวคิดว่า ไม่จำเป็นต้องจ้างนักข่าวหรือช่างภาพไว้อีกต่อไป เพราะให้ AI ผลิตภาพและเนื้อหาข่าวก็ได้ ซึ่งถึงแม้ว่าแนวคิดดังกล่าวจะนำไปสู่วิกฤติทางคุณภาพและจริยธรรมวิชาชีพสื่อ แต่ผู้เขียนมองว่าที่ผ่านมา การลดต่ำลงทางด้านคุณภาพหรือจริยธรรมมักจะถูกมองว่าเป็น “ราคาที่ยอมรับได้” ในอุตสาหกรรมสื่อไทย​ เมื่อเทียบกับโอกาสทางรายได้หรือผลประโยชน์ทางธุรกิจ​ อันเป็นสภาพการณ์ที่พอเห็นได้ในปัจจุบัน)

พูดโดยสรุปคือ กลายเป็น “เคราะห์กรรม” ร่วมกันทั้งองคาพยพ ทั้งผู้อ่านข่าว ทั้งคนทำงาน และทั้งหลักจริยธรรมวิชาชีพสื่อ 

ดังนั้น ผู้เขียนจึงมองว่า ทั้งคนทำงานสื่อมวลชนและผู้ที่เห็นความสำคัญของหลักวิชาชีพสื่อ ควรที่จะร่วมกันยืนยันว่าการใช้ AI ใดๆก็ตามในวงการสื่อมวลชน ต้องอยู่ในกรอบจริยธรรมและไม่ฉุดให้คุณภาพสื่อยิ่งลดต่ำลง เพื่อไม่ให้ฉากทัศน์ (scenario) เหล่านั้นกลายเป็นความจริงขึ้นมา 

เริ่มต้นด้วยการปิดสุญญากาศทางจริยธรรมว่าด้วยการใช้ AI ในวิชาชีพสื่อมวลชน เช่น การออกแนวปฏิบัติอย่างเป็นทางการจากองค์กรวิชาชีพสื่อ, การร่วมกันแสดงเจตน์จำนงจากคนทำงานและผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมสื่อ, การรณรงค์ให้ความรู้และสอดส่องจากหน่วยงานกำกับดูแลอย่าง กสทช. เป็นต้น

การแก้ไขและป้องกัน ควรเริ่มตั้งแต่วันนี้ เราไม่ควรปล่อยให้การใช้ AI อย่างผิดจริยธรรม กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ที่ “ใครๆเขาก็ทำกัน” ดังเช่นปัญหาด้านจริยธรรมอื่นๆ ที่กัดกินและฝังรากลึกในอุตสาหกรรมสื่อไทยมานาน

หมายเหตุ: ผู้เขียนได้เคยเขียนข้อเสนอเกี่ยวกับ “สื่อมวลชนไทย ควรมีแนวทางปฏิบัติในการใช้ ‘AI’ อย่างไร?” ไว้ในเว็บไซต์ของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ซึ่งรวบรวมขึ้นจากแนวปฏิบัติอื่นๆในสื่อต่างประเทศ หากท่านใดสนใจศึกษาแนวทางดังกล่าว สามารถอ่านได้ที่ลิงก์นี้ 


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 9 ธันวาคม 2566

เป็นตะคริวบ่อยจะทำให้เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/olm8ey5hkme2


ลุกจากที่นอนกระทันหัน ทำให้กระดูกกะโหลกศีรษะแตก หัวใจหยุดเต้น…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1ofe9mdxqfyhg


ผู้ป่วยโรคมะเร็งห้ามรับประทานปลา เพราะโปรตีนจากปลาทำให้เกิดการอักเสบระดับเซลล์ ไตทำงานหนัก เลือดเป็นกรด …จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2vxzyuc5qt1dg


 “แตงโมไร้เมล็ด” นั้น ไม่ได้หมายความว่า มันจะไม่มีเมล็ดเลยแม้แต่เมล็ดเดียว

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/35vki52trr2fe


กสทช. จัดระเบียบซิมโทรศัพท์ ปี 67 ใครถือครองเกิน 6 ซิม ต้องยืนยันตัวตน

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/2rjf4snoddsmn


สปสช. เผยใช้บัตรทองผ่าตัดแปลงเพศได้

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/38wv22u41fo2b


กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ยุติการขายบัตร E ticket เป็นการชั่วคราว

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/uem6a9z5vt9k


คณะทำงานคุ้มครองผู้บริโภคสื่อห่วงปัญหาจริยธรรมสื่อ เหตุคนดูข่าวลดลง AI ทำสับสนเรื่องไหนจริง-ไม่จริง

Editors’ Picks

คณะทำงานคุ้มครองผู้บริโภคสื่อ สภาการสื่อมวลชนฯ สรุปการทำงานพบว่ายังมีปัญหาจริยธรรมสื่อที่น่ากังวล การแก้ปัญหาก็ยังล่าช้า คนสนใจดูข่าวลดลง ยังมีเรื่อง AI เข้ามา จนแยกลำบากเรื่องไหนจริง-ไม่จริง ต้นปีหน้าจัดมีเดีย ฟอรั่ม “อนาคตข่าวที่คนหลีกเลี่ยงข่าว อะไรคือทางออก” และร่วมมือภาคีเครือข่ายจัดเวิร์คชอปสื่อให้มีทักษะคัดกรองข้อมูลในยุค Generative AI

เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2566 นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ ประธานคณะทำงานคุ้มครองผู้บริโภคสื่อ สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ เปิดเผยหลังการประชุมคณะทำงานฯ ว่าที่ประชุมคณะทำงานฯ รับทราบการสรุปงานที่ทำร่วมกับคณะกรรมการจริยธรรม สภาการสื่อมวลชนฯ ในหลาย ๆ ประเด็น โดยปีที่ผ่านมาปัญหาจริยธรรมสื่อยังมีหลายเรื่องน่ากังวล การแก้ปัญหายังล่าช้าในกลไกการกำกับดูแลกันเอง ยังมีปัจจัยใหม่ ๆ ที่จะมาทําให้จริยธรรมสื่อมีข้อท้าทายมากยิ่งขึ้น ทั้งการแข่งขันกันสูงในยุคที่คนนิยมดูข่าวน้อยลง และยังเป็นข้อท้าทายเรื่องความน่าเชื่อถือของเทคโนโลยี AI ที่เข้ามาด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่สื่อเองต้องปรับตัว และสังคมก็ต้องร่วมกันช่วยสื่อด้วย โดยเฉพาะการช่วยสนับสนุนสื่อที่ทำงานอย่างมีคุณภาพ สนับสนุนข้อเท็จจริง เพราะแนวโน้มทิศทางทั่วโลกคนจะเสพข่าวที่เป็นข่าวจริงจังน้อยลงเรื่อย ๆ ซึ่งจะทําให้อนาคตของวารสารศาสตร์ค่อนข้างมืดมน จริยธรรมสื่อเองก็ลําบากไปด้วย เพราะสังคมเปลี่ยนแปลงไปเร็วมากโดยเฉพาะในยุคที่มีอินฟลูเซอร์ ยุคที่ทุกคนต่างเป็นสื่อได้

นางสาวสุภิญญา กล่าวอีกว่า ต้นปีหน้าคณะทำงานฯ จะจัดมีเดียฟอรั่มเรื่อง “อนาคตข่าวในยุคที่คนหลีกเลี่ยงข่าว อะไรคือทางออก” นอกจากนี้จะร่วมมือกับเครือข่าย จัดเวิร์คชอปให้สมาชิกของสภาการสื่อมวลชนฯ มีทักษะเพื่อคัดกรองข้อมูลในยุค Generative AI โดยเฉพาะภาพ ที่ตอนนี้ทำให้สับสนได้ว่าเป็นภาพจริงหรือตัดต่อจาก AI โดยการจัดเวิร์คชอปจะร่วมกับภาคีต่าง ๆ เช่น Cofact  สํานักข่าวเอเอฟพี และ Google News Initiative เพื่อที่จะให้กองบรรณาธิการข่าวและนักข่าวมีทักษะเบื้องต้นในการที่จะใช้เครื่องมือหรือเทคนิคที่จะตรวจสอบข้อมูล เป็นการกลั่นกรองให้ข้อมูลนั้นมีความน่าเชื่อถือต่อผู้บริโภค รวมทั้งจะร่วมกับภาคีจัดวงเสวนาพูดคุยในการรับมือกับยุค AI เพื่อให้แยกแยะได้ว่าอะไรจริงหรือไม่จริง เพราะปีต่อ ๆ ไปจะเป็นประเด็นร่วมสมัยและท้าทายการทํางานของสื่อมากขึ้นทั้งเรื่องของข้อเท็จจริงและจริยธรรม

ประธานคณะทำงานคุ้มครองผู้บริโภคสื่อ กล่าวอีกว่า ส่วนปัญหาเดิม ๆ ที่ยังคงเกิดขึ้น เช่น จริยธรรมของสื่อ ข้อกล่าวหาเรื่องการรับเงินจากแหล่งข่าว การละเมิดจริยธรรมขั้นพื้นฐานยังมีอยู่ อันนี้ก็เป็นปัญหาภายในขององค์กรวิชาชีพจะต้องยกเครื่องการทํางาน เช่น กระบวนการรับเรื่องร้องเรียน การให้คําตอบกับผู้ร้องเรียนให้มีความเป็นจริงมากขึ้น การกํากับดูแลกันเองอาจจะต้องทําให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น เพื่อให้สังคมเห็นว่าเราเองก็มุ่งมั่นทําหน้าที่ตรงนี้ และควรทํางานร่วมกับองค์กรผู้บริโภคเพื่อช่วยกันรายงานการร้องเรียนเชิงรุก และช่วยกันแก้ปัญหาภาพรวมต่อไป


ขอบคุณที่มาข่าว

เมื่อ ‘ทุนสีเทา’ ไม่ได้แค่หลอกลวงคนไทย แต่กลายเป็น ‘ข่าวลือ’ ทำชาวจีนไม่กล้ามาเที่ยวไทย : COFACT Special Report 23/66

Top Fact Checks Political

By : Zhang Taehun

ในเมื่อโลกออนไลน์ของจีนมีข่าวลบเกี่ยวกับประเทศไทยมาก และเราไม่สามารถไปลบออกได้ นอกเสียจากคนลงคลิปเป็นคนลบออกเอง ททท.จึงต้องเติมเรื่องราวดีๆของประเทศไทย เสมือนเติมน้ำดี น้ำสะอาดลงไป ข่าวลบของประเทศไทยจะได้หมดไปจากโลกออนไลน์ของจีน

รายงานข่าวของ นสพ.ไทยรัฐ อ้างอิงคำกล่าวของ ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในวันที่ 19 ต.ค. 2566 ซึ่งวันดังกล่าว ททท. ร่วมกับ 8 พันธมิตรบริษัทชั้นนำของจีน จัดพิธีลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (LOI) ว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ณ โรงแรม Kerry กรุงปักกิ่ง โดยมีนายกรัฐมนตรีของไทย เศรษฐา ทวีสิน ซึ่งอยู่ระหว่างเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อร่วมการประชุมเวทีข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Forum for International Cooperation : BRF) ร่วมเป็นสักขีพยานด้วย

ที่มาที่ไปของความร่วมมือของ 8 องค์กรพันธมิตรของจีนกับ ททท. ส่วนหนึ่งมาจาก ข่าวลวง  ที่ถูกแชร์กันอย่างล้นหลามในสื่อสังคมออนไลน์ของจีน ทำนองว่า หากมาประเทศไทยจะถูกลักพาตัว ถูกหลอกลวงมากมาย ตกเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และรุนแรงถึงขนาดถูกจับตัวไปขายอวัยวะ ขายไต ฯลฯ

เมื่อประกอบกับการที่คนจีนจำนวนมากไม่ได้เดินทางมาประเทศไทยเป็นเวลานานจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 จึงกลายเป็นความเชื่อฝังใจว่าเป็นเรื่องจริงและเปลี่ยนจุดหมายเดินทางไปเที่ยวประเทศอื่นแทน

“39.9 ล้านคน เป็นจำนวนของ นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาเยือนประเทศไทย ณ ปี 2562(สถิติโดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา) และเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปี 2559 อยู่ที่ 32.5 ล้านคน ปี 2560 อยู่ที่ 35.5 ล้านคน และปี 2561 อยู่ที่ 38.1 ล้านคน ขณะที่ “10.9 ล้านคน” เป็นจำนวนของ นักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางมาเยือนประเทศไทย ณ ปี 2562 เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ซึ่งมีชาวจีนเดินทางมาท่องเที่ยวในไทย 10.5 ล้านคน และปี 2560 มีนักท่องเที่ยวจีน 9.8 ล้านคน และปี 2559 มีจำนวน 8.7 ล้านคน

Research Cafe เว็บไซต์รวมบทความวิชาการหลากหลายสาขา ภายใต้การสนับสนุนของ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เผยแพร่บทความ จีนมาเที่ยวไทยทำไมเที่ยวอย่างไร?” เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2564 เผยปัจจัยที่ทำให้ชาวจีนนิยมเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทย 1.ทะเลน่าเที่ยว หากเทียบกับประเทศจีนซึ่งทะเลไม่ค่อยมีทิวทัศน์สวยงาม สภาพอากาศผันผวน และครึ่งหนึ่งของชายฝั่งอยู่ในเขตหนาว บวกกับจีนมีประชากรมาก พื้นที่ใดที่พอจะลงเล่นน้ำได้คนก็หนาแน่น ทะเลไทยจึงกลายเป็นทางเลือกของชาวจีน โดยจังหวัดทางภาคใต้และภาคตะวันออก มีสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนมาเยือนทั้งหมดร้อยละ 29.79 ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่มากที่สุด และมากกว่าเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ เสียอีก

2.เที่ยวได้แทบจะตลอด 24 ชั่วโมง ในตอนกลางวัน นักท่องเที่ยวสามารถดื่มด่ำกับแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ยังมีแหล่งท่องเที่ยวเชิงนันทนาการในยามค่ำคืน จึงเป็นที่นิยมของวัยรุ่นแดนมังกรที่ท่องเที่ยวกันเป็นหมู่คณะกับกลุ่มเพื่อน 3.วัฒนธรรมการกิน หรือก็คือ วัฒนธรรมอาหาร ซึ่งชาวจีนมาสำรวจและตามรอยเมนูเด็ดในเมืองไทยที่น่าตื่นตาตื่นใจ เช่น ต้มยำกุ้ง หอยทอด ไปจนผลไม้ที่หลากหลาย ทั้งทุเรียน มะพร้าว มะม่วง ทั้งนี้ ระยะหลังๆ ชาวจีนนิยมท่องเที่ยวด้วยตนเองมากกว่าเดินทางกับทัวร์โดยค้นหาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ผ่านอินเตอร์เน็ต โดยเฉพาะจากแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ที่นิยมในจีน

FIT นั้นย่อมาจาก Free Independent Travelers หมายถึง นักท่องเที่ยวที่วางแผนการท่องเที่ยวด้วยตนเอง ตรงข้ามกับการท่องเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์ แสดงให้เห็นว่าในปัจจุบันคนจีนเริ่มนิยมเดินทางมาท่องเที่ยวเองมากขึ้น ซึ่งปัจจัยที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนนิยมมาเที่ยวแบบ FIT มากขึ้น เนื่องมาจากการที่คนจีนสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้มากขึ้น โดยประชากรจีน 1,400 ล้านคน มี 731 ล้านคนที่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ซึ่งกลุ่ม FIT จะค้นหาข้อมูล ติดต่อจองตั๋วเครื่องบิน ห้องพักผ่านระบบออนไลน์ 

โดยเฉพาะช่องทาง Social Media ของจีน ไม่ว่าจะเป็น “Youku” ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับ YouTube / “RenRen” ที่มีลักษณะคล้ายกับ Facebook  / “Weibo” ที่คล้ายกับ Twitter และ “WeChat” ที่คล้ายกับ LINE ขณะที่ Search Engine ที่คนจีนนิยมใช้ค้นหาข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ รวมถึงข้อมูลการท่องเที่ยว คือ “Baidu” แตกต่างจากในไทย ที่นิยมใช้ Google และถ้าเป็นเว็บไซต์สำหรับท่องเที่ยวโดยเฉพาะ คนจีนจะนิยมเข้า “Mafengwo Qyer” (หม่า-เฟิง-โว๋-ฉง-โหย๋ว-หว๋าง) ขณะที่คนไทยจะเข้า TripAdvisor” บทความของ Research Cafe ระบุ

วิกฤติความเชื่อมั่นต่อเมืองไทย

แต่ก็อย่างที่ทราบกันว่า เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตมีด้านมืดคือการเป็นแหล่งรวมของข่าวลือ (Rumor) ข่าวลวง (Fake News) ข้อมูลบิดเบือน (Disinformation) ข้อมูลคลาดเคลื่อน (Misinformation) ไปจนถึงทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory) จากการเกิดและไหลของข้อมูลข่าวสารที่รวดเร็วและกระจายอย่างกว้างขวางได้ง่าย ซึ่งในจีนก็เช่นกัน โดยหากย้อนไปเมื่อช่วงต้นปี 2566 เมื่อจีนกลับมาเปิดประเทศ รัฐบาลแดนมังกรยกเลิกมาตรการควบคุมโรคระบาดโควิด-19 ที่ใช้อย่างเข้มงวดมาถึง 3 ปีเต็ม อนุญาตให้ประชาชนออกไปท่องเที่ยวในต่างแดนได้ ก็เกิดข่าวลือหนึ่งที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของไทย

วันที่ 23 มี.ค. 2566 Global Times นสพ.ในเครือของ People’s Daily ซึ่งเป็น นสพ. ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เผยแพร่บทบรรณาธิการ “Noreason for Thailand not to take good care of Chinese tourists ตอนหนึ่งอ้างถึงข่าวลือเกี่ยวกับ การค้าผู้หญิง (Trafficking of Women) และ การขโมยไต (Removing of Kidney)” ที่เชื่อมโยงกับประเทศไทย ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยหากจะเดินทางไปท่องเที่ยว แต่บทความของ Global Times ก็ได้ย้ำว่า เนื้อหาข่าวเชิงลบเกี่ยวกับไทยที่ถูกแชร์ในสื่อสังคมออนไลน์ก็ถูกตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์จากชาวจีนด้วยกันเอง โดยมองว่าคนที่เขียนเรื่องราวเช่นนั้นสร้างเรื่องราวข่าวลวงขึ้นมาเพื่อเรียกร้องความสนใจ

วันที่ 24 มี.ค. 2566 The China Project สำนักข่าวออนไลน์ที่มีสำนักงานในเมืองนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งเน้นเผยแพร่เนื้อหาเชิงลึกเกี่ยวกับประเทศจีนโดยเฉพาะสำหรับชาวตะวันตก เผยแพร่บทความ Chinese conspiracy theory about Thai human trafficking fuels tourism concern” ระบุว่า ในวันที่ 9 มี.ค. 2566 มีคลิปวีดีโอหนึ่งถูกโพสต์บนแพลตฟอร์มแชร์คลิปวีดีโอของจีนอย่าง Bilibili (เหมือนกับ Youtube ที่คนทั่วโลกใช้) ในคลิประบุว่า ที่ประเทศไทย มีการเปิดสถานบันเทิงบังหน้า ใช้ชายหนุ่มหน้าตาดีล่อลวงหญิงชาวจีนให้เข้าไปเที่ยว ก่อนที่หญิงชาวจีนจะตกเป็นเหยื่อถูกมอมยาเพื่อลักพาตัวไปทำงานฉ้อโกงทางโทรคมนาคม (แก๊งคอลเซ็นเตอร์) แต่ที่เลวร้ายไปกว่านั้น เหยื่ออาจถูกฆ่าเพื่อขโมยไตออกจากร่างกาย

ผู้เผยแพร่คลิปวีดีโออ้างว่า เนื่องจากประเทศไทยไม่พบวิธีใหม่ๆ ในการขยายเศรษฐกิจ จึงจำเป็นต้องพึ่งพาธุรกิจผิดกฎหมายที่ดำเนินกิจการอยู่ในพื้นที่สีเทา ทำไมบางคนถึงขอมให้ชายหนุ่มแต่งตัวแบบข้ามเพศ หากพวกเขาสามารถสร้างรายได้ด้วยวิธีที่ดีต่อสุขภาพ ในหลายช่วงของคลิปวีดีโอ ยังมีการอ้างด้วยว่า มีกองกำลังตะวันตกที่ต่อต้านประเทศจีน (Anti-China Western Force) ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ขบวนการค้ามนุษย์ในประเทศไทย รวมถึงให้คำปรึกษาทางเทคนิคเพื่อทำร้ายชาวจีนเพื่อแบ่งผลกำไร บทความจาก The China Project ระบุ

ที่ดูจะเป็น ตลกร้าย เพราะบทความของ The China Project กล่าวว่า ทั้งที่ผู้โพสต์คลิปวีดีโอไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ เลยที่น่าเชื่อถือ แต่มันกลับมีคนเข้ามาดูและแชร์ต่ออย่างกว้างขวาง โดยก่อนที่คลิปจะถูกลบออกจากระบบของ Bilibili มียอดการดูสูงถึง 6.8 แสนครั้ง และคลิปเดียวกันที่โพสต์ผ่านแพลตฟอร์ม Douyin (TikTok เวอร์ชั่นที่ใช้กันในจีน) มีจำนวนการกดถูกใจถึง 2 ล้าน ก่อนที่บัญชีผู้โพสต์คลิปจะถูกระงับการเข้าถึง

เมื่อไปดูความคิดเห็นของผู้ที่ชมคลิปดังกล่าว เช่น ผู้หญิงคนหนึ่งเล่าว่า เธอเกือบจะตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงหลายครั้งที่เกี่ยวข้องกับคนขับแท็กซี่และพนักงานโรงแรมเมื่อเธอมาเยือนประเทศไทยในปี 2561 และยังกล่าวด้วยว่า เธอเคยได้ยินเรื่องตลาดมืดค้าอวัยวะมนุษย์ในประเทศไทย แต่ก็เชื่อว่าหากอยู่ในเมืองใหญ่คงจะปลอดภัย 

ขณะเดียวกัน ก็มีความเห็นจากชาวเน็ตจีนที่เป็นผู้หญิง กล่าวโทษนโยบายของรัฐบาลไทยเรื่องการปลดกัญชาพ้นจากสิ่งผิดกฎหมาย การไม่ควบคุมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ รวมถึงการไม่ดำเนินการใดๆ กับปัญหาการหลอกลวงข้ามประเทศ รวมถึงยังกล่าวกับชาวจีนคนอื่นๆ ที่ไปท่องเที่ยวที่ประเทศไทย ว่า โชคดีแล้วหากไม่มีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นเมื่ออยู่ในประเทศไทย แต่การบอกคนอื่นว่าการไปเยือนยังปลอดภัยนั้นถือเป็นการขาดความรับผิดชอบ

จากข่าวลือทีเกิดขึ้น สถานทูตไทยประจำประเทศจีน ชี้แจงผ่านเพลตฟอร์ม Weibo ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นข้อมูลบิดเบือน และเน้นย้ำว่าประเทศไทยให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ซึ่งประเทศไทยได้รับความนิยมจากนักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลกมาโดยตลอด และหลายเมืองของไทยได้รับการจัดอันดับจากองค์กรต่างๆ ให้เป็นเมืองที่ปลอดภัยในการอยู่อาศัย ทั้งนี้ ได้มีการเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ในการต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวจีนและเพิ่มช่องทางการสื่อสารให้สามารถยื่นรายงานและรับทราบข้อมูลในสถานการณ์ฉุกเฉินได้ทันที

ถึงกระนั้น สำหรับคนที่เชื่อ..ใช่ว่าจะเปลี่ยนความคิดกันได้ง่าย การชี้แจงจากสถานทูตไทยก็ดี หรือการลบคลิปวีดีโอและระงับการใช้งานบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ของผู้โพสต์รายนี้ ซึ่งเป็น อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer)” หรือคนดังบนโลกออนไลน์ กลับยิ่งทำให้กลุ่มผู้ติดตามเชื่อหนักขึ้นไปอีกว่า อินฟลูเอนเซอร์รายนี้ถูกอิทธิพลมืด ปิดปาก ไม่ให้พูดความจริง โดยก่อนหน้าที่จะโพสต์คลิปเกี่ยวกับประเทศไทย ยังเคยโพสต์เกี่ยวกับทฤษฎีสมคบคิดว่าด้วย ไวรัสโควิด-19 ถูกคิดค้นจากชาติตะวันตกเพื่อกวาดล้างประชากรสูงอายุ รวมไปถึงการให้ความเห็นในประเด็นต่างๆ ทางการเมืองสังคมเป็นประจำ

ด้าน Sixth Tone สำนักข่าวออนไลน์ของรัฐจีน ซึ่งมีสำนักงานในเมืองเซี่ยงไฮ้ รายงานข่าว Dark Rumors on Chinese Social Media Alarm the Thai Gov’t เมื่อวันที่ 30 มี.ค. 2566 กล่าวถึงกรณีบล็อกเกอร์ชาวจีนที่เผยแพร่คลิปวีดีโอผ่านแพลตฟอร์ม Bilibili และ Douyin เช่นกัน โดยผู้โพสต์คลิปอ้างว่า องค์กรอาชญากรรมได้ย้ายฐานปฏิบัติการจากเมียนมาและกัมพูชาเข้าไปยังประเทศไทย โดยร่วมมือกับกองกำลังตะวันตกที่ต่อต้านประเทศจีน เล็งเหยื่อที่เป็นชาวจีน มีการอ้างถึงสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง ใช้พนักงานเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี ล่อลวงหญิงชาวจีนเข้าไปก่อนมอมยาเพื่อส่งไปบังคับค้าประเวณี และใช้ผู้หญิงล่อลวงชายชาวจีนมาที่ประเทศไทยเพื่อสังหารและขโมยอวัยวะ

รายงานของ Sixth Tone ยังอ้างถึงกรณี “ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงในท้องถิ่น” ที่มณฑลหูเป่ย ทางตอนกลางของจีน ออกประกาศเตือนประชาชนเมื่อวันที่ 7 ก.พ. 2566 ว่าไม่ควรเดินทางไปในประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) หากไม่มีเหตุจำเป็น แต่ต่อมาได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจนต้องยกเลิกประกาศดังกล่าวพร้อมกับชี้แจงว่า ประกาศที่ออกมามุ่งเป้าไปที่ชาวจีนซึ่งต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมายในต่างประเทศเท่านั้น โดยอ้างถึงมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์ซึ่งมีฐานปฏิบัติการจำนวนมากอยู่ในกัมพูชา และแก๊งเหล่านี้เป็นองค์กรอาชญากรรมที่ขับเคลื่อนโดยชาวขีน แต่ถึงจะชี้แจงแล้ว ข่าวลือเกี่ยวกับประเทศไทยก็ยังคงมีคนเชื่อและแชร์ต่อไป

นอกจากนี้ ยังมีการอ้างถึงอินฟลูเอนเซอร์ชาวจีนที่เดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศไทย แล้วไม่ได้โพสต์อะไรบนสื่อสังคมออนไลน์ในช่วงกลางเดือน มี.ค. 2566 เป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้ชาวเน็ตจีนลือกันไปต่างๆ นานา ว่าทั้งหมดอาจถูกลักพาตัว อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 26 มี.ค. 2566 สื่อท้องถิ่นในจีนได้รายงานข่าวว่า ทั้งหมดได้กลับมาใช้งานบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ โดยโพสต์ว่าพวกตนยังปลอดภัยดีและกลับถึงจีนแล้ว 

อย่างไรก็ตาม ข่าวลือได้ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ต้องการเดินทางไปประเทศไทย เช่น จากที่คิดว่าจะไปคนเดียวก็หันไปชวนเพื่อนฝูงเดินทางเป็นกลุ่ม เพื่อลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย

จากโลกออนไลน์ สู่จอเงิน

No More Bets ภาพยนตร์จีนตีแผ่ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์

เรื่องของข่าวลือที่ส่งผลกระทบต่อการเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยของชาวจีน กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้งภายหลังจากภาพยนตร์ No More Bets ที่เข้าฉายในจีนเมื่อเดือน ส.ค. 2566 และทำรายได้ถล่มทลายไปกว่า 3 พันล้านหยวน ภาพยนตร์จีนเรื่องนี้เนื้อหาว่าด้วยหนุ่ม-สาวชาวจีนที่ต้องการไปทำงานหาเงินในต่างแดน ก่อนตกเป็นเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์ถูกบังคับให้เข้าร่วมกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่ปัญหาคือ ในภาพยนตร์มีการอ้างถึงการลักพาตัวชาวจีนในประเทศไทยก่อนส่งข้ามชายแดนไปยังประเทศเพื่อนบ้าน” ทำให้ประเทศไทยถูกมองว่าเป็นสถานที่อันตรายในสายตาชาวจีน 

The Japan Times นสพ.เก่าแก่ของญี่ปุ่น รายงานข่าว “Hit Chinese movie raises fears of travel in Southeast Asia” วันที่ 5 ก.ย. 2566 อ้างถึงผลการสำรวจบนแพลตฟอร์มจีนอย่าง Weibo (ซึ่งมีลักษณะคล้ายๆกับ Twitter ในประเทศอื่นๆ) พบว่าร้อยละ 85 ของผู้ตอบแบบสอบถาม ลังเลที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวยังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย 

สื่อญี่ปุ่นข้างต้นยังกล่าวด้วยว่า ในปี 2565 ที่ผ่านมา ทางการจีนสามารถปิดคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์และการหลอกลวงทางออนไลน์ได้ 464,000 คดี จับกุมสมาชิกองค์กรอาชญากรรมระดับหัวหน้าหรือผู้บริหารระดับสูงที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมดังกล่าวได้ 351 ราย อีกทั้งในเดือน ส.ค. 2566 ทางการจีนยังประสานความร่วมมือกับทางการไทย เมียนมาและลาว เพื่อจัดการกับเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมในเมียนมา โดยมีการตั้งศูนย์ประสานงานใน จ.เชียงใหม่ ทางภาคเหนือของประเทศไทย

รายงานข่าว Blockbuster movie No More Bets scaring Chinese tourists away from Thailand over scam fears โดย นสพ.The Straits Times ของสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2566 ระบุว่า ภาพยนตร์จีนเรื่อง No More Bets ใช้คำว่า อ้างอิงจากเหตุการณ์จริง (based on real events) เนื้อหาเล่าเรื่องการค้ามนุษย์ในประเทศสมมติในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งองค์ประกอบหลายๆ อย่างในฉากดูคล้ายกับประเทศไทย อย่างไรก็ตาม สื่อสิงคโปร์ได้ชี้ว่า แม้จะมีต้นตอจากคดีที่เกิดขึ้นจริง แต่เรื่องราวในภาพยนตร์ก็ไม่ใช่เรื่องจริงไปเสียทั้งหมด

การรายงานของสื่ออย่างกว้างขวางได้บันทึกว่ามีชาวจีนหลายพันคนถูกล่อลวงไปยังฐานปฏิบัติการต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในเมียนมาและกัมพูชา เพื่อดำเนินการหลอกลวงเงินจากเหยื่อผ่านช่องทางออนไลน์ แต่ผู้ถูกล่อลวงส่วนใหญ่ตกเป็นเหยื่อจากโฆษณาชวนเชื่อเรื่องงานรายได้สูงที่ไม่มีอยู่จริง (fake offers of lucrative work) ไม่ได้ถูกลักพาตัวจากท้องถนนในระหว่างการพักผ่อนวันหยุด และจนถึงขณะนี้ยังไม่พบองค์ประกอบของการหลอกลวงดังกล่าวในประเทศไทย รายงานของ The Straits Times กล่าว

รายงานข่าว “#trending: Chinese netizens afraid of Southeast Asia travel after hit movie No More Bets shows human trafficking scams”จากสื่ออีกสำนักหนึ่งในสิงคโปร์ อย่าง นสพ.Today เมื่อวันที่ 2 ต.ค. 2566 กล่าวถึงการฉ้อโกงทางออนไลน์ที่หลากหลายรูปแบบ ทั้งการหลอกให้รัก (Love Scam หรือ Romance Scam) หลอกให้ลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล ไปจนถึงล่อลวงให้เล่นการพนันออนไลน์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถูกนำไปเล่าในภาพยนตร์ No More Bets ซึ่งสอดคล้องกับรายงานในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เกี่ยวกับพลเมืองจากหลายประเทศ ถูกล่อลวงเข้าสู่วงจรค้ามนุษย์ในแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มีฐานปฏิบัติการในเมียนมาและกัมพูชา แต่ก็ย้ำว่า ผู้ตกเป็นเหยื่อมาจากการหลงเชื่อคำโฆษณาเรื่องงานรายได้ดี (แต่ไม่มีงานนั้นให้ทำจริงๆ)

สื่อสิงคโปร์ยังอ้างถึงรายงานขององค์การสหประชาชาติ (UN) ที่เผยแพร่เมื่อเดือน ส.ค. 2566 ซึ่งระบุว่า มีเหยื่ออย่างน้อย 120,000 รายในเมียนมา และ 100,000 รายในกัมพูชา ถูกบังคับโดยองค์กรอาชญากรรมให้เป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว ฟิลิปปินส์ และไทย ถูกมองว่าเป็นทางผ่านหรือปลายทางของเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์หลายหมื่นคน

ขบวนการค้ามนุษย์ ภัยมืดที่มีอยู่จริง

สำหรับรายงานของ UN ที่ถูกอ้างถึงนั้นคือ Online Scam Operations and Trafficking Into Forced Criminality in Southeast Asia : Recommendations for a Human Rights Response” จัดทำโดย สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) เผยแพร่พร้อมรายงานข่าว “Hundreds of thousands trafficked into online criminality across SE Asia” เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2566 ทางเว็บไซต์ news.un.org ซึ่งเป็นเว็บไซต์สำหรับประชาสัมพันธ์ข่าวสารของหน่วยงานต่างๆ ในสังกัด UN 

รายงานของ OHCHR ระบุว่า เหยื่อขบวนการค้ามนุษย์ซึ่งถูกบังคับให้ร่วมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีพื้นเพมาจากหลากหลายประเทศ ทั้งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ดินแดนใกล้เคียงอย่างจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง ไต้หวัน ภูมิภาคเอเชียใต้ และมีแม้กระทั่งเหยื่อที่เดินทางมาจากภูมิลำเนาที่ไกลออกไป อย่างทวีปแอฟริกาและภูมิภาคลาตินอเมริกา 

เปีย โอเบรอย (Pia Oberoi) ที่ปรีกษาอาวุโสด้านการโยกย้ายถิ่นฐานและสิทธิมนุษยชนในเอเชียแปซิฟิกo OHCHR กล่าวว่า ปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาคที่เกิดขึ้นควบคู่ไปกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ขาดเส้นทางที่สม่ำเสมอและปลอดภัยไปสู่โอกาสในการทำงานที่ดี นั่นหมายความว่าประชากรมีแนวโน้มที่จะพึ่งพาฟอรัมจัดหางานหรือคนกลางมากขึ้น มิจฉาชีพจึงมุ่งเป้าไปที่บุคคลมากขึ้นผ่านแพลตฟอร์มเหล่านี้ โดยโฆษณาชวนเชื่อว่าเหยื่อจะได้เดินทางไปทำงานจริงๆ 

สถานการณ์กำลังเผยให้เห็นในพื้นที่ที่กฎระเบียบอ่อนแอ เช่น ความขัดแย้งที่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ชายแดนในเมียนมา ซึ่งมีหลักนิติธรรมเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย รวมไปถึงในเขตอำนาจศาลที่มีการควบคุมอย่างหละหลวม เช่น เขตเศรษฐกิจพิเศษในลาวและกัมพูชา นอกจากนั้น ความสามารถของพลเมืองอาเซียนในการเดินทางข้ามพรมแดนโดยไม่ต้องขอวีซ่า ยังหมายถึงการขาดการคัดกรองที่มีความละเอียดอ่อนในการป้องกัน เนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่ได้รับการฝึกอบรมเพื่อตอบสนองต่อความละเอียดอ่อนในการป้องกันเสมอไป โอเบรอย กล่าว

ด้าน โวลเกอร์ เติร์ก (Volker Turk) ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ กล่าวว่า ประเทศต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด จำเป็นต้องเรียกร้องเจตจำนงทางการเมืองเพื่อเสริมสร้างสิทธิมนุษยชน และปรับปรุงธรรมาภิบาลและหลักนิติธรรม รวมถึงผ่านความพยายามอย่างจริงจังและยั่งยืนเพื่อจัดการกับการทุจริต เพราะแนวทางแบบองค์รวมเท่านั้นที่สามารถทำลายวงจรของการไม่ต้องรับโทษ และรับประกันการคุ้มครองและความยุติธรรมแก่ผู้ที่ถูกทารุณกรรมเหล่านี้ได้

1 เดือนต่อมา วันที่ 29 ก.ย. 2566 เว็บไซต์ news.un.org เผยแพร่รายงานข่าว “UNODC joins regional crime fighters to tackle scams and human trafficking in SE Asia” อ้างข้อมูลจากสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ที่ระบุว่า การค้ามนุษย์เพื่อคัดเลือกเหยื่อเข้าสู่กิจกรรมผิดกฎหมายเป็นเพียงแง่มุมหนึ่งของขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติซึ่งมักจะเชื่อมโยงกับการดำเนินงานของบ่อนคาสิโนบริเวณชายแดน การฟอกเงินขนาดใหญ่ อาชญากรรมในโลกไซเบอร์ และความผิดทางอาญาอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ ยังมีรายงานที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับการทรมานและการขู่กรรโชกในปฏิบัติการเหล่านี้ในช่วงปีที่ผ่านมา

เจเรมี ดักลาส (Jeremy Douglas) ผู้แทนระดับภูมิภาคของ UNODC ประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก กล่าวว่า การค้ามนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับคาสิโนและการหลอกลวงที่ดำเนินการโดยกลุ่มอาชญากรได้ลุกลามไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในแถบลุ่มแม่น้ำโขง จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนสำหรับความร่วมมือระดับภูมิภาคเพื่อจัดการกับอาชญากรรมที่มีการบูรณาการและเชื่อมโยงกันมากขึ้นในภูมิภาคนี้ เช่นเดียวกับระบบนิเวศที่อาชญากรรมเหล่านี้มีอยู่

กลุ่มอาชญากรกำลังรวมตัวกันในภูมิภาคที่พวกเขามองเห็นช่องโหว่ การดำเนินการต่อต้านองค์กรอาชญากรรมในบางประเทศ เช่น ฟิลิปปินส์ ทำให้บางส่วนโยกย้ายถิ่นฐาน และเราได้เห็นพวกเขาย้ายโครงสร้างพื้นฐานไปยังสถานที่ที่มองเห็นโอกาส โดยพื้นฐานแล้วคือที่ที่พวกเขาคาดหวังว่าจะสามารถใช้ประโยชน์และไม่ต้องรับผิดชอบ นั่นคือการไปยังพื้นที่ห่างไกลและชายแดนของแม่น้ำโขงดักลาส กล่าว

ยังมีรายงาน “Trafficking in Persons Report”หรือรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ในประเทศต่างๆ (TIP Report) ที่จัดทำและเผยแพร่ทุกปีโดยกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งรายงานฉบับปี 2566 (2023 Trafficking in Persons Report) ระบุในตอนหนึ่งว่า ประเทศไทยเป็นทั้งแหล่งที่มาและทางผ่านสำหรับองค์กรอาชญากรรมที่ดำเนินธุรกิจหลอกลวงทางไซเบอร์ในประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมา และฟิลิปปินส์ ซึ่งมักอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งพวกเขาแสวงหาประโยชน์จากเหยื่อในการบังคับใช้แรงงาน การบังคับให้ร่วมก่ออาชญากรรม และการค้ามนุษย์ด้านการแสวงหาประโยชน์ทางเพศ

“มิจฉาชีพหลอกลวงทางไซเบอร์ ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านโดยการรับสมัครคนงานจากหลายประเทศ โดยสัญญาว่าจะได้งานที่มีค่าตอบแทนสูงในประเทศไทย จากนั้นจึงขนส่งพวกเขาไปยังประเทศเพื่อนบ้านซึ่งการดำเนินงานเหล่านี้ตั้งอยู่ และบังคับให้พวกเขาทำการหลอกลวงออนไลน์ที่ผิดกฎหมาย และมีการทำร้ายร่างกายเหยื่อเหล่านี้”รายงานของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุ

โปสเตอร์จากเพจเฟซบุ๊ก “Royal Thai Embassy, Yangon” หรือสถานทูตไทยประจำเมียนมา เตือนคนไทยระวังถูกหลอกไปทำงานผิดกฎหมายในเมียนมา (เผยแพร่เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2566)

วันที่ 10 พ.ย. 2566 รายงานข่าวของสำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ ประเทศไทย ระบุว่า สถานทูตไทยประจำเมียนมา เตือนคนไทยระวังตกเป็นเหยื่อกลุ่มทุนสีเทา ที่มีการโฆษณาชักชวนว่ามีงานรายได้สูงให้ทำในเมียนมา ซึ่งผู้หลงเชื่อจะถูกบังคับให้ทำงานผิดกฎหมายอย่างการเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือไม่ก็ถูกบังคับค้าประเวณี และจะถูกทำร้ายร่างกายหากไม่สามารถทำยอดเงินได้ตามเป้าหมายที่กำหนดหรือปฏิเสธที่จะทำงาน รวมไปถึงถูกขายต่อเป็นทอดๆ และการช่วยเหลือออกมานั้นทำได้ยากมาก หรือแม้ช่วยออกมาได้ก็ยังถูกดำเนินคดีตามกฎหมายในเมียนมาอีก 

สรุปได้ว่า ลำพังหลอกคนไทยให้สูญเงินเป็นจำนวนมากไปหลายรายก็ว่าหนักแล้ว แต่ตอนนี้ปัญหา แก๊งคอลเซ็นเตอร์-มิจฉาชีพออนไลน์ทุนสีเทาผิดกฎหมายที่ก่ออาชญากรรมข้ามแดน ยังทำลายภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยในสายตาชาวจีน อันเป็นตลาดใหญ่และความหวังในการฟื้นฟูเศรษฐกิจอีก

และนี่คือ ความท้าทาย” ของทางการไทย ว่าจะทำอย่างไรเพื่อคุ้มครองคนไทย และเรียกความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมา

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://www.thairath.co.th/money/economics/analysis/2734707 (สร้างความมั่นใจตลาดท่องเที่ยวจีน ททท.บุกโลกออนไลน์สร้างภาพลักษณ์ไทย : ไทยรัฐ 23 ต.ค. 2566)

https://www.mots.go.th/news/category/585(จำนวนและรายได้นักท่องเที่ยวต่างชาติ รายเดือน ปี 2559-2562R (ปรับปรุงจำนวนและรายได้ 2562) : กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา)

https://www.isranews.org/content-page/item/84811-tourism.html (นักท่องเที่ยวต่างชาติปี 62 โต 4.2% จีนเข้าไทยเฉียด 11 ล้านคน : สำนักข่าวอิศรา 23 ม.ค. 2563)

https://www.tcijthai.com/news/2019/2/scoop/8786 (คนไทยรู้ยัง: คาดปี 2562 นักท่องเที่ยวจีนมาไทย 10.80-10.99 ล้านคน : TCIJ 22 ก.พ. 2562)

https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ/1449418 (“นักท่องเที่ยว” จีน คนที่ 10 ล้าน มาจาก “คุนหมิง” มอบรางวัลล้น! : ไทยรัฐ 20 ธ.ค. 2561)

https://www.tcijthai.com/news/2017/31/scoop/6874 (คนไทยรู้ยัง: ปี 2559 นักท่องเที่ยวจีนยังมาเที่ยวไทยมากที่สุด : TCIJ 31 มี.ค. 2560)

https://researchcafe.tsri.or.th/chinese-tourists/ (จีนมาเที่ยวไทยทำไม…เที่ยวอย่างไร? : Research Café สกสว. 24 ก.ค. 2564)

https://www.globaltimes.cn/page/202303/1287884.shtml (No reason for Thailand not to take good care of Chinese tourists: Global Times editorial : 23 มี.ค. 2566)

https://thechinaproject.com/2023/03/24/chinese-conspiracy-theory-about-thai-human-trafficking-fuels-tourism-concern/ (Chinese conspiracy theory about Thai human trafficking fuels tourism concern : The China Project 24 มี.ค. 2566)

https://www.reuters.com/business/media-telecom/the-china-project-media-company-shuts-due-funding-problem-2023-11-07/ (‘The China Project’ media company shuts due to funding problem : รอยเตอร์ 7 พ.ย. 2566)

https://www.aljazeera.com/news/2023/11/7/the-china-project-media-shuts-blaming-politically-motivated-attacks (‘The China Project’ media shuts, blaming ‘politically-motivated attacks’ : Aljazeera 7 พ.ย. 2566)

https://thechinaproject.com/2023/11/06/some-sad-news/ (Some sad news : The China Project 6 พ.ย. 2566)

https://www.sixthtone.com/news/1012607 (Dark Rumors on Chinese Social Media Alarm the Thai Gov’t : Sixth Tone 30 มี.ค. 2566)

https://www.tnnthailand.com/news/trueinside/154102/ (No More Bets!! รายได้ทะลุ 3 พันล้านหยวน ขึ้นแท่นหนังจีนทำเงินสูงสุดปีนี้ : TNN Thailand 24 ส.ค. 2566)

https://www.japantimes.co.jp/news/2023/09/04/asia-pacific/crime-legal/china-cambodia-myanmar-tourism-cyberscams-trafficking/ (Hit Chinese movie raises fears of travel in Southeast Asia : The Japan Times 5 ก.ย. 2566)

https://www.straitstimes.com/asia/se-asia/blockbuster-movie-no-more-bets-scares-chinese-tourists-away-from-thailand-over-scam-fears (Blockbuster movie No More Bets scaring Chinese tourists away from Thailand over scam fears : The Straits Times 26 ก.ย. 2566)

https://www.todayonline.com/world/no-more-bets-movie-chinese-tourists-2271816 (#trending: Chinese netizens afraid of Southeast Asia travel after hit movie No More Bets shows human trafficking scams : Today 2 ต.ค. 2566)

https://news.un.org/en/story/2023/08/1140187(Hundreds of thousands trafficked into online criminality across SE Asia : องค์การสหประชาชาติ29 ส.ค. 2566)

https://www.state.gov/reports/2023-trafficking-in-persons-report/Thailand (2023 Trafficking in Persons Report: Thailand : กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา)

https://thainews.prd.go.th/th/news/detail/TCATG231110105940591 (ย้ำเตือนคนไทยอย่าหลงเชื่อกลลวงเครือข่ายนายทุนสีเทา ทำงานในเมียนมามีรายได้งาม : สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ 10 พ.ย. 2566)

https://www.facebook.com/RoyalThaiEmbassyYangon/posts/pfbid0eCGFDf6qBUxpyjSov5FHNHu1qf2T1rqx3KeJe933KEuCFHekfMGvAJ9kNyP3oQSql (สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง ขอย้ำเตือน คนไทยอย่าได้หลงเชื่อกลลวงเครือข่ายนายทุนสีเทา โฆษณาชวนเชื่อว่าพอไปทำงานในเมียนมาแล้ว จะได้รายได้หลักหมื่นหลักแสน : Royal Thai Embassy, Yangon : 7 พ.ย. 2566)


‘โคแฟค’ผนึกกำลัง‘เจริญเคเบิลทีวี’ เผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องด้านการดูแลสุขภาพ

Editors’ Picks

27 พ.ย. 2566 ที่ห้องประชุมชั้น 2 ห้อง 201 อาคารสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซอยงามดูพลี กรุงเทพฯ มีการแถลงข่าวความร่วมมือในการรณรงค์ตรวจสอบข้อมูลสุขภาพ และความร่วมมือระหว่าง ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) กับ บริษัท เจริญเคเบิลทีวี เน็ตเวอร์ค จำกัด พร้อมถ่ายทอดสดผ่านเพจเฟซบุ๊ก “Cofact โคแฟค”

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในยุค 4จี – 5จี ทุกคนรับรู้ข้อมูลผ่านโทรศัพท์มือถือมากขึ้น แต่ก็ยังจำเป็นต้องอาศัยสื่อดั้งเดิมหรือสื่อกระแสหลัก เช่น โทรทัศน์ในการแก้ไขข่าวหรือนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องกับประชาชน ซึ่งวันนี้ก็ถือเป็นโอกาสดี ต้องขอขอบคุณบริษัทเจริญเคเบิลทีวี เน็ตเวิร์ค จำกัด ที่มาร่วมมือกับโคแฟค รวมถึง สสส. ในการที่จะเผยแพร่แนวคิดเรื่องการตรวจสอบข้อมูลข้อมูลข่าวสาร 

“มีคุณเพชรี พรหมช่วย ซึ่งหลายท่านคงคุ้นหน้า ก็เคยอยู่ช่อง 3 ก็มาช่วยผลิตรายการ ‘รู้มั้ย by Cofact’ ซึ่งเป็นรายการที่นำเสนอเกี่ยวกับข้อมูลด้านสุขภาพที่ถูกต้องสำหรับผู้สูงอายุ  ซึ่งจะนำไปออกอากาศที่เจริญเคเบิลด้วย และอาจจะมีรายการอื่นๆ เพิ่มเติม ถือว่าเป็นโอกาสดีที่เราได้มาแถลงความร่วมมือในวันนี้ และหวังว่าจะเป็นประโยชน์ สำหรับสมาชิกเจริญเคเบิลได้ดูรายการที่เป็นประโยชน์แน่นอน ท่านใดที่ไม่ได้เป็นสมาชิกก็ติดตามทางยูทูบ โคแฟคได้” สุภิญญา กล่าว

วิชิต เอื้ออารีวรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจริญเคเบิลทีวี เน็ตเวอร์ค จำกัด กล่าวว่า การนำรายการมาออกอากาศทางเคเบิลทีวี เป็นทางเลือกให้กับผู้รับสื่อ   เพราะว่าสื่อทุกวันนี้มาจากหลายแหล่ง เจริญเคเบิลทีวี ทำหน้าที่ช่วยเผยแพร่ ออกครั้งแรกคนอาจไม่สนใจ แต่ออกบ่อยๆ คนเริ่มเห็น-เริ่มฟังว่าพูดเรื่องอะไร ตอนหลังคนก็จะรู้ จึงน่าจะนำหลักนี้มาใช้กับการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องด้านสุขภาพ

“จริงๆ อยากจะได้รายการค่อนข้างเยอะ หลายคนอาจมองว่า Content พวกนี้ ถ้าเป็นคนทำรายการเขาจะรู้ว่ามันช้ำ แต่จริงๆ ในมุมของพวกเรา รายการประเภทนี้มันเป็นรายการที่ทันสมัยเสมอและเป็นประโยชน์อย่างมาก ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจริญเคเบิลทีวี เน็ตเวอร์ค จำกัด กล่าว

เพชรี พรหมช่วย ผู้ผลิตรายการ รู้มั้ย by Cofact” กล่าวว่า ที่มาของรายการนี้ คือ  อยากให้ความรู้ที่สามารถนำไปใช้จริงได้ด้วย เพราะการมีความรู้แต่ใช้ในชีวิตประจำวันไมได้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ซี่งรายการนี้เหมาะกับผู้สูงอายุ ที่ดูแลสุขภาพทั้งกายและใจ

ไม่อยากเรียกว่าผู้สูงวัย เราเรียกว่าอายุที่เพิ่มขึ้น อายุที่มากขึ้น ชีวิตของเราก็ต้องดีขึ้น เพื่อที่จะรับมือกับตัวเองให้ได้ ดังนั้น รู้มั้ย’ จะบอกเรื่องราวที่เราสนใจ เพราะเราไม่เคยทำสื่อโซเชียลมาก่อน แต่พอฟังไอเดียจากโคแฟคแล้วมันใช่ ก็ต้องเริ่มต้นจากสิ่งที่เราสนใจ และทางโคแฟคเองก็มีข้อมูลที่เครือข่ายของโคแฟค ให้ข้อมูลมาว่าอยากจะรู้เรื่องอะไรมากขึ้น เราในฐานะเป็นสื่อก็ไปสัมภาษณ์แล้วก็นำมาย่อยเพื่อเผยแพร่ เพชรี กล่าว

นอกจากนี้ยังมีการอบรมการใช้นวัตกรรมโคแฟค เพื่อการตรวจสอบข้อมูลสุขภาพ เช่น ไลน์แชทบอท @Cofact ตัวช่วยตรวจสอบข้อมูลจริง-ลวง เนื่องจากเป็นแชทบอทที่เปิดใช้งานมาได้ระยะหนึ่งแล้วจึงมีฐานข้อมูลมากพอสมควร ซึ่งสิ่งที่สังเกตเห็นได้ประการหนึ่ง คือข่าวลวงจำนวนไม่น้อยมักจะถูกแชร์วนซ้ำกลับเข้ามาในระบบ จึงสามารถใช้แชทบอทนี้ค้นหาข้อมูลเบื้องต้นก่อนได้ นอกจากนั้นยังมี ไลน์โอเพนแชท ซึ่งเป็นกลุ่มสนทนาของผู้สนใจตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลข่าวสารก่อนตัดสินใจแชร์ต่อ รวมถึงมีทีมแอดมิน Cofact ช่วยค้นหาข้อมูลให้

ในช่วงท้าย ดร.พิมพ์รภัส ดุษฎีอิสริยกุล ผู้จัดการโครงการ มูลนิธิฟรีดิชเนามัน (ประเทศไทย)กล่าวปิดงาน ระบุว่า เราพยายามหาโอกาสทำงานกับผู้สูงอายุมานานมากแล้ว และกิจกรรมที่เกิดขึ้นครั้งนี้อยากให้โคแฟคดำเนินการต่อไปเรื่อยๆ อย่างกิจกรรมฝึกอบรมการตรวจสอบข้อมูลจริง-ลวง ตนรู้สึกประทับใจที่เห็นความตื่นตัวและความอยากรู้ จึงหวังว่าจะมีโอกาสได้มีกิจกรรมแบบนี้อีก

อันนี้เป็นก้าวแรกที่ได้มาเห็นและอยากจะสนับสนุนให้ดำเนินการต่อ แล้วตัวเองได้เรียนรู้ด้วย จริงๆ โคแฟคตั้งแต่ทำกันมาก็พยายามทำความเข้าใจว่าเราจะใช้เครื่องมือ หรือทำให้คนทุกๆ กลุ่มในสังคมสามารถที่จะตื่นตัวและตรวจสอบข้อมูลตั้งแต่เช้าได้อย่างไร ตื่นเช้าขึ้นมาก็ดูก่อน อะไรที่มันมีข่าวแพร่กระจายบ้าง แล้วเรามาเช็คให้ชัวร์ที่โคแฟคได้ ดร.พิมพ์รภัส กล่าว

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 2 ธันวาคม 2566

 ต้มเปลือกแตงโมดื่มเป็นชาทุกวัน ช่วยแก้เปลือกตาบวม ปัสสาวะเหลืองแสบ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1mmpcyevwkauc


รัฐบาลเก็บภาษีรถกระบะ 2 ประตู หรือ กระบะแค็บ เท่า 4 ประตู…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2ypdxeq2hp6r9


ผู้สูงอายุ60ปีขึ้นไปที่เสียชีวิต ทายาทได้ 30,000บาท…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3n5fzbki46pwo


แป้งหมี่ใช้รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3c5truk6ksjw2


 ครม. ขยายเวลาออกกฎหมายลูก 9 ฉบับตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงานอีก 1 ปี

อ่านต่อได้ที่    https://cofact.org/article/dpgjz32iq3em


กรมอุทยานฯ อนุมัติเคลื่อนย้ายลิงลพบุรีได้

อ่านต่อได้ที่    https://cofact.org/article/2hiiy32obhzqq


ครม. อนุมัติแผนปฏิบัติการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดต่อหรือโรคระบาด พ.ศ. 2566-2570

อ่านต่อได้ที่    https://cofact.org/article/1dan4w1338jll


การรถไฟฯ เตรียมย้ายสถานีรถไฟหัวหิน ไปใช้อาคารใหม่ของโครงการรถไฟทางคู่ ในวันที่ 11 ธ.ค. 66

อ่านต่อได้ที่    https://cofact.org/article/2ev3kkd7f28si


กรมการแพทย์ใช้หุ่นยนต์ฝึกเดิน ช่วยผู้ป่วยทางระบบประสาทให้เดินได้เร็วขึ้น

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/1evkk7044d3m5 


โคแฟคเปิดวงเสวนาข้อมูลบิดเบือนความเชื่อและความจริงด้านสุขภาพในสื่อออนไลน์  สร้างความสับสนให้ผู้รับสื่อ

Editors’ Picks

27 พ.ย. 2566 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) และ บริษัท เจริญเคเบิลทีวี เน็ตเวิร์ค จำกัด จัดงาน “Infodemic Literacy Forum เสวนาสาธารณะรู้เท่าทันข้อมูลสุขภาพ #1” ณ ห้องประชุมชั้น 2 ห้อง 201 อาคารสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซอยงามดูพลี กรุงเทพฯ พร้อมถ่ายทอดสดผ่านเพจเฟซบุ๊ก “Cofact โคแฟค”

นางญาณี รัชต์บริรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมระบบสื่อและสุขภาวะทางปัญญา กล่าวเปิดการประชุมว่า ย้อนกลับไปในปี 2563 ซึ่งเกิดสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในเวลาเดียวกันยังเกิดการระบาดของข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือนหรือข้อมูลลวง โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้เรียกสถานการณ์นี้ว่า “อินโฟเดมิก (Infodemic)” ส่งผลต่อสุขภาพและชีวิตของคนในสังคมอย่างมาก

จากนั้นในปี 2565 สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (EDTA) สำรวจพบคนไทยร้อยละ 85 ใช้สื่อออนไลน์ อย่างไรก็ตาม ไทยก็ติด 1 ใน 10 ของโลก ว่าด้วยประเทศที่ผู้คนวิตกกังวลเรื่องข่าวลาวง ทั้งในแง่ความรู้สึกและปริมาณ โดยคะแนนความกังวลของไทยอยู่ที่ 62 สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่ประมาณ 50 กว่า แต่เรื่องนี้มองได้ 2 ด้าน ทั้งการที่คนไทยเผชิญวิกฤติของการระบาดของข้อมูลข่าวสารบิดเบือนสูงมาก และการที่คนไทยตื่นตัว ระแวดระวังสูงมากด้วยเช่นกัน 

ข้อมูลเหล่านี้ก็มีทั้งข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ มีประโยชน์ อ้างอิงได้ ในขณะเดียวกันก็เป็นข้อมูลที่บิดเบือน ผสมผสานความเชื่อ-ความจริงแบบมีชั้นเชิง หรือใส่ความเชื่อที่ขาดการพิสูจน์ไว้อย่างแนบเนียนมากๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เกิดจากความกลัว ความไม่รู้ของผู้คน และการขาดการเท่าทันสื่อ ไม่ว่าคนที่ทำขึ้นมาจะหวังผลทางธรกิจ หรือหวังผลที่เรียกว่า คลิกเบท (Click Bait-พาดหัวล่อเป้า) ยอดไลค์ยอดแชร์ต่างๆ แต่ผู้คนในสังคมก็จำเป็นที่จะต้องได้รับการติดตั้งทักษะในการที่จะมีภูมิคุ้มกันต่อการที่จะเท่าทันสื่อ และใช้สื่อที่เอื้อต่อการมีสุขภาวะที่ดีนางญาณีกล่าว

ต่อด้วยวงเสวนา “เมื่อความเชื่อ VS ความจริง เราควรรับมือข้อมูลสุขภาพอย่างไร” โดย พญ.ณัษฐา พิภพไชยาสิทธิ์ หัวหน้ากลุ่มงานโภชนศาสตร์ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวว่า ไม่มีใครอยากเจ็บป่วยและเสียชีวิต สุขภาพจึงเป็นประเด็นที่ทุกคนให้ความสำคัญ ขณะที่โรคมะเร็งถือเป็นโรคเรื้อรัง (NCDs) เช่นเดียวกับโรคเบาหวานหรือโรคความดัน ซึ่งการรักษาค่อนข้างซับซ้อนและมีผลข้างเคียงมาก ทำให้ผู้คนหวาดกลัวกับโรคและการรักษา จึงมีการเกิดขึ้นของสารพัดข้อมูลที่พยายามทำให้เกิดผลข้างเคียงน้อยและรักษาหายได้มาก

ที่เป็นเช่นนั้นเพราะทุกคนอยากฟังแต่ข้อดีหรือข่าวดี ไม่มีใครอยากฟังเรื่องน่ากลัวหรืออันตราย ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ในฐานะที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ เป็นทั้งผู้ให้บริการด้านสุขภาพ ในสังกัดกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ขณะเดียวกันก็ยังเป็นสถาบันทางวิชาการด้วย จึงได้พบเจอข้อมูลมากมายในสังคม ทั้งความเชื่อและแนวทางการรักษาต่างๆ มากมาย จึงต้องให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ต้องยอมรับว่าข้อมูลทางการแพทย์สามารถเปลี่ยนแปลงได้เมื่อเวลาผ่านไป วิธีการรักษาบางอย่างในอดีตอาจถูก แต่ปัจจุบันกลายเป็นวิธีที่ผิดก็มี

ปัจจุบันอยู่กับคำว่าหลักฐานเชิงประจักษ์ (Evidence-based) คือวิธีการรักษาต้องมีหลักฐานพิสูจน์ได้ และอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต เช่น ยาที่ผ่านการวิจัย ทดลอง เก็บข้อมูล กว่าจะได้รับการรับรองบางทีเป็นสิบปี แต่พอออกมาตลาด ใช้ไปอีกสิบปี ปรากฎว่ายานี้เป็นอันตราย เพราะตอนทดลองใช้กลุ่มตัวอย่างหลักร้อย-หลักพันคนเห็นผลข้างเคียงเล็กน้อยแล้วมองว่าไม่เป็นอะไร แต่พอมาใช้จริงมีผู้ใช้ยาเป็นหลักหมื่น-หลักแสน-หลักล้านคน และใช้กันมาเป็นเวลานานเพียงพอจนเห็นผลข้างเคียงชัดขึ้น ยานั้นก็ต้องถูกถอดออกจากการใช้รักษา

“สถาบันมะเร็งแห่งชาติ เราต้องอ้างอิงข้อมูลการศึกษาวิจัยต่างๆ ที่มีในปัจจุบัน ไม่แต่เพียงภายในประเทศ แต่รวมถึงข้อมูลต่างๆ ทั่วโลก เพื่อทำให้ได้ข้อมูลเพื่อเผยแพร่ สื่อสารกับประชาชน แล้วก็ภาคีเครือข่ายที่ช่วยเป็นกระบอกเสียงในการสื่อสารออกไปให้ถูกต้อง เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง จะได้ไม่เอาตัวไปเสี่ยงกับอะไรที่มันยังไม่รู้ เราคงไม่อยากเป็นหนูทดลองโดยที่เราไม่รู้ระเบียบการวิจัย” พญ.ณัษฐา กล่าว

ภญ.อาสาฬา เชาวน์เจริญ เภสัชกรชำนาญการ ศูนย์หลักฐานเชิงประจักษ์ด้านการแพทย์ แผนไทยและสมุนไพร โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรกล่าวว่า ข่าวลือเรื่องวิธีการรักษาโรคมะเร็ง ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการใช้สมุนไพร อย่างไรก็ตาม มี 2 คำที่ความหมายไม่เหมือนกัน คือคำว่า ต้านกับคำว่า รักษา โดยข้อมูลจำนวนมากที่ระบุถึงสมุนไพรซึ่งมีฤทธิ์ต้านมะเร็ง เป็นข้อมูลที่มีส่วนจริง โดยอ้างอิงการทดลองเพาะเซลล์มะเร็งแล้วใส่สารจากสมุนไพรลงไป แล้วพบว่าสามารถยุบหรือลดการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งได้

แต่เมื่อนำสมุนไพรดังกล่าวมาใช้ในมนุษย์ที่เป็นผู้ป่วยมะเร็งจะได้ผลแบบเดียวกับการทดลองในหลอดทดลอง นอกจากนี้ โดยส่วนใหญ่แล้วยังไม่มีงานวิจัยใดที่ยืนยันได้อย่างชัดเจนว่า การใช้สมุนไพรแบบเดี่ยวๆ แล้วสามารถรักษาโรคมะเร็งได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าสมุนไพรจะไม่มีประโยชน์เลยกับผู้ป่วยมะเร็ง โดยผู้ป่วยอาจใช้แล้วช่วยลดผลข้างเคียงจากการรักษาด้วยการให้ยาเคมีบำบัด เช่น บางคนไม่สามารถให้ยาเคมีบำบัดตามรอบที่แพทย์กำหนดได้เพราะภูมิคุ้มกันตก แต่หากดูแลตนเองได้ดีก็อาจทำการรักษาได้ต่อเนื่องตามแผนที่วางไว้

“สมุนไพรจึงมีบทบาทแค่ในแง่ของทางเลือก ที่จะเสริมควบคู่ไปกับการรักษาแผนปัจจุบัน ซึ่งวิธีการเลือกสมุนไพรส่วนใหญ่เราจะเลือกจากหลักฐานงานวิจัยส่วนหนึ่ง ซึ่งแม้อาจจะไม่ไปถึงขั้นในคน แต่ถ้ามันพอมีข้อมูลอยู่บ้างและมีการใช้มายาวนาน อย่างเช่นขมิ้นชัน ใครๆ ก็รู้จัก ทั่วโลกรู้จัก หรือส่วนใหญ่เราจะมองว่ามันใช้ได้ สมมติว่ามีคนมาถามว่าขมิ้นรักษามะเร็งได้ไหม เราก็จะบอกว่าไม่ได้ แต่ถ้าคนไข้อยากใช้ก็คือใช้เป็นทางเลือกเสริม โดยหวังผลในแง่การลดอักเสบซึ่งมันก็ลดได้จริง ซึ่งฐานรากเหง้าของมะเร็งจริงๆ คือการอักเสบที่เกิดขึ้น” ภญ.อาสาฬา กล่าว

น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า จากการทำงานร่วม 4 ปีของโคแฟค นอกจากโควิด-19 แล้ว โรคมะเร็งจะเป็นอีกเรื่องที่มีข้อมูลข่าวสารเป็นจำนวนมาก แต่การตรวจสอบข้อเท็จจริงของบางองค์กรจะมีลักษณะฟันธงไปเลยว่าเป็นข้อมูลจริงหรือลวง แต่แนวคิดของโคแฟคอยากให้ทุกคนมีสติ รับรู้ข้อมูลข่าวสารแล้วตรวจสอบ บนฐานของการหาความจริงร่วม หมายถึงเปิดกว้างกับข้อเท็จจริงหลายชุด เพราะเชื่อว่าในแต่ละประเด็นอาจไม่ได้มีข้อเท็จจริงเพียงชุดเดียว แต่ข้อมูลก็ต้องอยู่บนหลักฐานเชิงประจักษ์และหลักเหตุและผลด้วย

ทั้งนี้ เรื่องสุขภาพการตรวจสอบข้อเท็จจริงไม่ได้ง่าย เพราะมีหลายแง่มุม เช่น กรณีวัคซีนโควิด-19 การใช้กัญชาหรือสมุนไพรต่างๆ เพื่อรักษาโรค เป็นต้น จึงนำมาสู่ข้อถกเถียง ซึ่งเราจะพยายามมองอย่างเข้าใจ ไม่แบ่งแยกว่าคนที่แชร์ข่าวแนวหนึ่งแบบมองว่าทำไมไม่รู้จักคิด-ทำไมถึงเชื่อ แม้บางเรื่องเราอาจตั้งคำถามว่าทำไมจึงมีการแชร์ต่อ แต่ก็จะพยายามหามุมมองที่ทำให้ทุกคนรู้สึกเปิดใจรับฟังกันและทำความเข้าใจ ด้วยความที่ตนก็เป็นผู้ป่วยโรคมะเร็ง จึงเข้าใจว่าเหตุใดผู้คนจึงแชร์ข่าวโรคนี้กันมาก

“ส่วนหนึ่งคนอาจจะท้อถอยในการรักษาแผนปัจจุบัน เพราะมันแพง มันใช้เวลา มันยุ่งยาก มันต้องกินอาหารเสริม ต้องฉีดกระตุ้นเม็ดเลือดขาว จะต้องกินไข่ขาว จะต้องไปรับโอโซนให้ร่างกายสดชื่น อะไรแบบนี้ มันมีต้นทุนทั้งนั้น ก็เลยเข้าใจได้ว่าถ้าจะรักษาให้ครบกระบวนการไม่ใช่ทุกคนจะทำได้ อันนี้เราต้องเข้าใจคนด้วยว่าทำไมเขาถึงไปหาสายมู สายสมุนไพร หรือสายวัด มันก็จะต้องมาแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้างนี้ด้วย ว่าจะรองรับให้คนเข้าสู่กระบวนการในการรักษาได้อย่างไร” น.ส.สุภิญญากล่าว

นายวิชิต เอื้ออารีวรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจริญเคเบิลทีวี เน็ตเวอร์ค จำกัด กล่าวว่า เจริญเคเบิลทีวี มีผู้ชมประมาณ 1.5 ล้านครัวเรือน และเป็นการชมแบบเสียค่าบริการ แบ่งเป็นอาคารประเภทต่างๆ เช่น โรงแรม โรงพยาบาล อพาร์ตเมนท์ คอนโดมิเนียม ที่เจ้าของสถานที่เป็นผู้จ่ายค่าบริการ ร้อยละ 60 กับบ้านเรือนทั่วไปที่ครัวเรือนจ่ายเอง ร้อยละ 40 โดยช่องที่ออกอากาศในเจริญเคเบิลทีวี มีทั้งหมด 150 ช่อง เป็นช่องดิจิทัล 36 ช่อง และส่วนที่เหลือจะเป็นช่องดาวเทียม 

แต่ทุกช่องที่ดึงสัญญาณมาออกอากาศ ต้องเป็นช่องที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) รับรอง เพราะถือว่าเป็นช่องที่ออกอากาศถูกกฎหมาย แต่นอกจากช่องของผู้ประกอบการสื่อรายอื่นๆ ที่ดึงมาแล้ว ยังมีช่องที่เจริญเคเบิลทีวีเปิดไว้เป็นช่องสาธารณะ คล้ายๆ กับสถานีโทรทัศน์ ThaiPBS โดยจะคัดสรรรายการที่ดี มีสาระ เป็นประโยชน์มาออกอากาศ โดยตั้งไว้ที่ช่อง 37 ต่อจากช่องดิจิทัลที่ 36 เพื่อให้เข้าถึงผู้ชมได้ง่าย เพราะเข้าใจดีว่ารายการแบบนี้คงไม่มีใครตั้งใจดูตั้งแต่ต้น

“ผมว่าข่าวดีๆ มีเยอะ ข่าวไม่ดีก็เยอะ ข่าวก้ำกึ่งก็เยอะ ผมต้องการคนกลางสักคนหนึ่ง อย่างโคแฟคจะร่วมกับเครือข่ายเคเบิ้ลช่วยเป็นคนสกรีนให้ผมได้ไหม แล้วไปเอาเนื้อหามา ผมมีหน้าที่อย่างเดียวคือเอามาร้อยเรียงเพื่อออกอากาศ ผมคอยทำหน้าที่ตรงนี้ จะเอาอะไรเอาออกมาเลย ไม่คิดเงินด้วย ผมให้ช่องนี้เลย 24 ชั่วโมง” นายวิชิต กล่าว 

ดร.วิจิตรา สุริยกุล ณ อยุธยา นักวิจัย องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ และสมาคมนักวิจัยไทยรุ่นใหม่ กล่าวว่า เหตุที่คนแชร์ข้อมูลลวง คือปัจจุบันผู้คนใช้สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) และพอเห็นข่าวแล้วก็อยากส่งต่อให้คนที่เรารักและเป็นห่วง เห็นว่าแม้ตนเองจะไม่ได้ใช้แต่ก็อาจเป็นประโยชน์กับผู้อื่น โดยที่อาจรู้หรือไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่แชร์ออกไปส่งผลกระทบอย่างไรกับคนที่เห็นว่าตัวเราน่าเชื่อถือสำหรับเขา อย่างเคยมีแพทย์ท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า แม่ของแพทย์ก็ยังแชร์ข้อมูลบางอย่างซึ่งลูกเตือนก็ไม่เชื่อ แต่หากนำไปส่งต่อกันในกลุ่มไลน์หมู่บ้านก็จะดูน่าเชื่อถือ

การที่คนได้ชุดข้อมูลที่ไม่เหมือนกันเป็นเรื่องดีเพราะทำให้ได้ฝึกการคิดเชิงวิเคราะห์ (Critical Thinking) แต่การฝึกทักษะนี้ต้องอาศัยทั้งชุดข้อมูล วิจารณญาณส่วนบุคคล และคนรอบข้าง ซึ่งตามหลักการสื่อสารทางวิทยาศาสตร์จะเรียกว่า ทุนทางวิทยาศาสตร์ ว่าเราสามารถเข้าถึงคนที่สามารถหาข้อมูลได้หรือไม่ 

“สื่อที่มีในปัจจุบัน ต้องบอกว่า สื่อต่างๆ ทางทีวี มูลค่าทางเศรษฐกิจเยอะมากกับผู้สูงอายุที่ดูทีวีอยู่ที่บ้าน เราไม่รู้ว่าที่เขาโฆษณาเพียงน้อยนิดเพื่อทำการโฆษณา มันอาจจะมีตัวอื่นๆ ผสมกันขึ้นมา แล้วก็อาจมีทั้งที่มี อย. และไม่มี อย. จริงๆ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เป็นหน่วยงานทื่ทำงานหนักมากที่จะขึ้นทะเบียนทางยา ตรวจสอบทางยา แต่กระบวนการของเขาอาจจะไม่ทันกับทางธุรกิจ” ดร.วิจิตรา กล่าว

นอกจากนี้ยังมีการแถลงความร่วมมือในการรณรงค์ตรวจสอบข้อมูลสุขภาพ และความร่วมมือระหว่างบริษัทเจริญเคเบิลทีวี เน็ตเวิร์ค จำกัด กับภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) รวมถึงมีการเปิดตัวฐานข้อมูล Health Information Update และ Line Open Chat โคแฟคเช็คข่าว ถามตอบข้อมูลลวง ขณะที่กิจกรรมในช่วงบ่าย มีการเปิดตัวซีรีย์รายการ “รู้มั้ย by Cofact” ตัวกรองข้อมูลสุขภาพเพื่อผู้สูงวัยทางช่องยูทูปโคแฟค สาธิตการสร้างความตระหนักและการดูแลสุขภาพสำหรับผู้สูงวัยและอบรมการใช้นวัตกรรมโคแฟค เพื่อการตรวจสอบข้อมูลสุขภาพ

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

ถกปัญหา‘มายาคติกับความรุนแรงทางเพศ’ ชี้‘ยุคสมัยเปลี่ยนไวแต่ความเข้าใจไม่เท่ากัน’ปัจจัยทำแก้ไขได้ยาก

Editors’ Picks

29 พ.ย. 2566 สถาบันนิติวัชร์ สำนักงานอัยการสูงสุด ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และโคแฟค (ประเทศไทย) จัดเสวนาสาธารณะในหัวข้อ “มายาคติ ความเข้าใจผิดที่ส่งผลต่อความรุนแรงทางเพศ” เนื่องในวันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากล ณ ห้องประชุม 301สำนักงานอัยการสูงสุด ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะอาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (อาคาร A) และเปิดให้ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมงานผ่านช่องทางออนไลน์ระบบ ZOOM

ม.ล.ศุภกิตต์ จรูญโรจน์ เลขาธิการสถาบันนิติวัชร์กล่าวเปิดการเสวนา ระบุว่า ในความเข้าใจของตน สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในระบบหรืออยู่ในโลกมนุษย์ สิ่งมีชีวิตที่มีกำลังชอบมีอำนาจเหนือสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอกว่าเป็นปกติ แม้กระทั่งมนุษย์ที่มองว่าตนเองเป็นสัตว์   เป็นสิ่งมีชีวิตที่สูงส่งมีศีลธรรมและอารยธรรม แต่จิตใต้สำนึกของสิ่งชีวิตที่มีกำลังที่กระทำต่อสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอกว่าก็ยังอยู่ แม้จะมีระบบศีลธรรม คุณธรรมและกฎหมายครอบอยู่ก็เพียงแต่กดทับอยู่ภายนอก 

ดังนั้นหากมองตามความเป็นจริง คนที่มีอำนาจเหนือกว่าแค่มองตาแล้วบอกให้ไป ก็ทำให้คนที่อ่อนแอกว่าก้มหน้าแล้วก็เดินไปทางที่สายตาของผู้มีอำนาจมองไป บางคนอาจบอกว่าก็ในเมื่อไม่ได้ขัดขืนก็แสดงว่ายินยอม แต่ก็มีข้อถกเถียงว่าจริงๆ ที่ยอมก็เพราะอีกฝ่ายมีอำนาจเหนือกว่า ตัวอย่างนี้ไม่ใช่ความรุนแรงทางกายภาพแต่เป็นความรุนแรงทางจิตใจ และเป็นมายาคติหรือความเข้าใจว่าการกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งที่ผู้แข็งแรงกว่าหรือมีอำนาจมากกว่าสามารถกระทำกับผู้ที่อ่อนแอกว่าได้

ทั้งนี้ องค์การสหประชาชาติ (UN) กำหนดให้วันที่ 25 พฤศจิกายน ของทุกปี เป็นวันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากล ซึ่งคำว่าสตรีสากลในความหมายตน ไม่ใช่สตรีเพียงทางร่างกาย กล่าวคือ บางคนกายไม่ใช่สตรีแต่ใจเขาเป็นสตรี คำว่าสตรีนี้ไม่ใช่มีตามเพศกำเนิด ไม่ใช่ดูจากอวัยวะที่อยู่ใต้กระโปรงหรือกางเกง แต่ดูที่สภาพจิตใจ และเหตุที่มีวันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากล เพราะทั่วโลกตระหนักว่าความรุนแรงแบบนี้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถกระทำได้

“มีการรณรงค์ทุกภาคส่วน จนกระทั่งมีกิจกรรมต่างๆ ด้วยเหตุความรุนแรงทางเพศ เริ่มตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน จนไปจบวันที่ 10 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันสิทธิมนุษยชนสากล เพราะฉะนั้นใน 16 วันนี้เป็นวันที่ดำเนินกิจกรรมต่อต้านความรุนแรงด้วยเหตุทางเพศ และวันนี้เป็นวันหนึ่งที่เราดำเนินกิจกรรมด้วยเหตุนี้” เลขาธิการสถาบันนิติวัชร์ กล่าว

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค(ประเทศไทย) กล่าวว่า เวลาเราพูดถึงวันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากล ในยุคนี้ความเป็นสตรี-บุรุษ มีความลื่นไหลมากขึ้น บางคนอาจไม่อยากเรียกตนเองว่าเป็นหญิงหรือชาย เราก็ต้องเข้าใจว่าบริบทสังคมได้เปลี่ยนแปลงไป อย่างการลงทะเบียนทำกิจกรรมต่างๆ ทางออนไลน์ ก็มีให้เลือกระบุตัวตนเพียงเพศหญิงกับเพศชาย แต่ปัจจุบันมีให้เลือกมากกว่านั้น เช่น LGBT หรือไม่ต้องการบอก ดังนั้นหัวข้อการเสวนาครั้งนี้จึงจะเน้นไปที่ประเด็นความรุนแรงทางเพศ ซึ่งจริงๆ อาจเกิดกับใครก็ได้

และเมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงไป สิ่งที่เคยเป็นบรรทัดฐาน (Norm) หรือความจริงร่วมที่คนในสังคมเคยยอมรับร่วมกันในอดีต ปัจจุบันอาจกลายเป็นมายาคติหรือสิ่งที่สังคมไม่ยอมรับอีกแล้วก็ได้ ส่วนมายาคติและความรุนแรงทางเพศคืออะไร งานในครั้งนี้จะค่อยๆ หาคำตอบ ส่วนหนึ่งก็เพื่อรณรงค์ให้สังคมตื่นตัวและระมัดระวัง เพราะความคิดดูเหมือนจะไม่เป็นอันตราย แต่เมื่อความคิดแปรเปลี่ยนเป็นคำพูด สุดท้ายก็อาจกลายเป็นการกระทำและส่งผลกระทบต่อผู้อื่นโดยที่เราไม่ตั้งใจก็ได้ โดยเฉพาะในเรื่องเพศที่เป็นเรื่องละเอียดอ่อน

ขณะที่ประเด็นความรุนแรงในครอบครัว หลายครั้งผู้หญิงเลือกที่จะปิดปากเพราะไม่อยากทำลายความสมานฉันท์ของครอบครัว หรืออาจกลัวกระแสสังคม แต่ระยะหลังๆ ก็จะเห็นว่าผู้หญิงมีความกล้ามากขึ้นที่จะสะท้อนปัญหาของตนเอง อย่างไรก็ตามสังคมมีความซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะการมีสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) มุมหนึ่งผู้หญิงอาจไม่กล้าร้องเรียนก็ยกประโยชน์ให้ แต่อีกมุมหนึ่ง ผู้ชายหรือบุคคลที่ถูกกล่าวหาก็อาจโต้แย้งว่าไมได้กระทำหรือไม่ได้ตั้งใจกระทำ คำถามคือเส้นแบ่งบางๆ แบบนี้จะตั้งหลักกันอย่างไร

ทั้งนี้ ตนเคยมีประสบการณ์ไปร่วมสัมมนาระดับนานาชาติ ซึ่งเป็นงานที่ละเอียดอ่อนเรื่องประเด็นทางเพศอย่างมาก มีผู้เข้าร่วม 200-300 คน จากหลายประเทศ และบางประเทศอาจถูกมองว่าผู้ชายมีความละเอียดอ่อนเรื่องนี้น้อย จึงมีแนวปฏิบัติ (Code of Conduct) ให้ผู้เข้าร่วมระมัดระวังเรื่องการคุกคามทางเพศ (Sexual Harassment) ในตอนแรกตนก็คิดว่าต้องขนาดนี้เลยหรือ แต่ก็มีเรื่องร้องเรียนจริงๆ จากทีมที่มาช่วยจัดงาน 

แต่จากการสอบสวนก็พบว่า เข้าทำนองสำนวน หมาหยอกไก่ ในภาษาไทย หมายถึงยังไม่ถึงขั้นสัมผัสทางกายถึงเนื้อถึงตัว (Skinship) แต่เป็นการใช้สายตาหรือใช้คำพูด แล้วผู้หญิงที่มาช่วยงานรับไม่ได้จึงร้องเรียน ซึ่งเวทีดังกล่าวก็ตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างจริงจังมาก ด้านหนึ่งเชิญผู้หญิงที่ร้องเรียนมาให้ข้อมูล แต่อีกด้านก็ให้ผู้ชายซึ่งถูกกล่าวหาได้มาชี้แจงด้วย กระทั่งได้ข้อเท็จจริงที่พบว่าเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนเรื่องการใช้ถ้อยคำ โดยฝ่ายชายยืนยันว่าไม่มีเจตนา โดยเป็นการชวนพูดคุยแต่ฝ่ายหญิงรู้สึกว่าถูกคุกคาม

ตอนแรกเขาก็คุยกันว่าถ้าผลสรุปออกมาว่าเป็นการละเมิดคุกคามแม้จะโดยวาจาก็จริง เขาก็จะมีมาตรการขั้นรุนแรงคือขับออกจากงานเสวนา แต่พอฟังฝ่ายชายแล้วก็เหมือนมีความคลุมเครือ ถามฝ่ายหญิงว่าผู้ชายเขายืนยันว่าแบบนี้จะเอาอย่างไรต่อ เขาก็ยังคิดว่าเขาถูกคุกคามแต่ก็พอใจแล้วที่ให้ความเป็นธรรมกับเขา ก็ไม่เรียกร้องอะไรต่อจากนี้ คนนั้นก็ยังได้ร่วมสัมมนาต่อแต่โดนขึ้นบัญชีไว้ แล้วก็มีการแถลงในที่ประชุมว่าต้องระวังเรื่องเหล่านี้ มันก็เป็นกระบวนการที่ดี ซึ่งในเมืองไทยไม่แน่ใจว่ามีลักษณะแบบนี้มาก-น้อยแค่ไหนเวลามีเคสเกิดขึ้นสุภิญญา กล่าว

จะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่า ความรุนแรงทางเพศที่เกิดขึ้นกับผู้หญิง นอกจากมาจากทัศนคติชายเป็นใหญ่ รวมถึงวิธีคิดแบบโทษเหยื่อ เช่น เมื่อไปแจ้งความตำรวจจะถามผู้หญิงว่าแต่งตัวล่อแหลมหรือไม่? ไปอยู่ในที่เปลี่ยวหรือไม่? หรือในกรณีบุคลากรทางการศึกษา ที่ครูจะปกป้องกันเอง บอกว่าเด็กมาชอบครูแต่เมื่อครูไม่ชอบก็ไปแจ้งความ หรือมองว่าเด็กที่ถูกกระทำเป็นเด็กที่ทำตัวก๋ากั่นหรือเด็กไม่ดี ตลอดจนคนในสังคมก็ตีตราเหยื่อเป็นคนไม่ดี เข้าหาผู้ชาย โดยดูจากลักษณะการแต่งตัว จึงไม่อยากไปเป็นพยานให้ เป็นต้น

ซึ่งเมื่อรวมกับการที่ผู้มีอำนาจมากกว่ากระทำต่อผู้มีอำนาจน้อยกว่าก็ทำให้การต่อสู้เป็นไปได้ยากเช่น เคยมีกรณีสายการบินแห่งหนึ่ง ครูฝึกสอนแอร์โฮสเตสลวนลามพนักงานที่มาฝึกอบรม เรื่องนี้ไม่มีใครอยากเข้าไปช่วยเหลือเพราะกลัวมีปัญหา โดยเมื่อมีเรื่องร้องเรียนมาที่มูลนิธิฯ อย่างมากที่สุดจึงทำได้เพียงทำหนังสือไปให้สายการบินต้นสังกัดให้ดำเนินการทางวินัย แต่ก็จบลงด้วยครูคนนี้ลาออกไป แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปทำพฤติกรรมแบบเดียวกันที่อื่นอีกหรือไม่ หรือเคยมีกรณีผู้จัดการธนาคารกระทำกับพนักงานที่มีอำนาจน้อยกว่า 

ผอ.มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวต่อไปว่า การคุกคามทางเพศเป็นเรื่องใหญ่ ไม่เหมือนกับการข่มขืน เนื่องจากการข่มขืนมักจะมีหลักฐาน มีการต่อสู้ โดยเฉพาะคดีข่มขืนเด็ก หากญาติพี่น้องไม่ยอมก็มักจะมีหลักฐานและมีการต่อสู้ แต่การอนาจารหรือคุกคามทางเพศเป็นเรื่องที่ค่อนข้างไม่ง่าย และกฎหมายไทยก็ยังมีความคลุมเครือค่อนข้างสูง เช่น กฎหมายอาญาแม้จะกล่าวถึงการคุกคามทางเพศ แต่ไม่ชัดเจนว่าคุกคามทางเพศมีลักษณะสถานการณ์อย่างไร นอกจากนั้น การคุกคามทางเพศยังถูกมองว่าเป็นการยินยอม หรือมองว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา

“มายาคติที่เราเจอคือเรื่องคุกคามทางเพศเป็นการยินยอม เพราะผู้หญิงอาจชอบผู้ชาย หรือเวลาผู้ชายใช้สายตา วาจา หรือใช้ Social Media ก็เหมือนกับเป็นเรื่องหมาหยอกไก่ เป็นเรื่องอะไรธรรมดามาก คุณก็ต้องอดทนเอา เพราะมันก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนทั่วไปที่เขาก็มีสิทธิ์ที่จะมองคุณแบบนี้ อย่างเช่นเราแต่งตัวมาธรรมดา แต่เขามองเราไปบางทีบางคนก็มองถึงขั้นหน้าอก หรือบางคนก็ใช้คำพูดที่มันค่อนข้างที่จะหมาหยอกไก่ หรือบางคนก็มีลักษณะเป็นแบบหัวงู เวสาจะเอาผิดคนกลุ่มนี้มันเป็นเรื่องค่อนข้างยาก แล้วในแง่กฎหมายก็ไม่รู้จะฟ้องร้องอย่างไร” จะเด็จ กล่าว

วสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติกล่าวว่า สาเหตุที่ผู้ถูกกระทำความรุนแรงไม่ไปแจ้งความกับตำรวจ หรือไม่ได้ไปพบแพทย์ ทำให้ไม่มีการรายงานในฐานข้อมูลสถิติต่างๆ นั้น คือผู้กระทำอาจเป็นคนใกล้ตัว เป็นผู้มีพระคุณจึงไม่อยากเอาเรื่อง หรือมีความหวาดกลัวจึงไม่กล้าไปแจ้งความ ซึ่งในวันที่ 25 พ.ย. 2566 กสม. ได้ออกแถลงการณ์เนื่องในวันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากล เรียกร้องให้ทุกภาคส่วนในสังคมร่วมกันดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ

ซึ่งได้มีข้อเสนอแนะต่อประเทศไทย เพื่อให้คุ้มครองสิทธิ สวัสดิภาพ และความปลอดภัยของผู้หญิงและเด็กทุกคนจากความรุนแรงทั้งทางกาย ทางจิตใจ และทางเพศ และสนับสนุนให้ทุกคนร่วมกันหยัดยืนเพื่อพิทักษ์สิทธิและเสรีภาพของผู้หญิงและเด็ก เป็นพลังในการขับเคลื่อนสังคม ที่จะไม่ให้มีใครตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงอีกต่อไป นอกจากนั้น รัฐบาลไทยยังมีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตั้งแต่เมื่อปี 2542 ให้เดือนพฤศจิกายนของทุกปี เป็นเดือนรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรีด้วย แต่ความรุนแรงก็ยังเกิดขึ้นไม่เฉพาะสังคมไทยแต่เป็นกันทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ระยะหลังๆ มีความพยายามต่อสู้มากขึ้น เช่น เมื่อหลายปีก่อนมีการใช้ทวิตเตอร์ รณรงค์ด้วยแฮชแท็ก #MeToo จุดเริ่มต้นมาจากคนในวงการบันเทิง ดารานักแสดง ออกมาเปิดเผยประสบการณ์ถูกล่วงละเมิดทางเพศขณะอยู่ในกองถ่ายจนนำไปสู่การดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด ก่อนขยายวงออกไปเป็นกระแสให้ผู้หญิงทั่วโลกกล้าออกมาเปิดเผยเรื่องราวทำนองเดียวกัน หรือในประเทศไทย มีกรณีการแนะนำว่าผู้หญิงไม่ควรแต่งตัวล่อแหลมไปเล่นสาดน้ำวันสงกรานต์เพื่อจะได้ไม่ถูกลวนลาม ก็ถูกตั้งคำถามว่าควรจะไปเฝ้าระวังผู้ที่อาจกระทำผิดจะดีกว่าหรือไม่

“ในเมืองไทยถ้าพูดถึงเรื่องความรุนแรงทางเพศ เรื่องการกระทำต่อเด็กและผู้หญิง จริงๆ เกิดขึ้นเยอะ แต่มีการรายงาน การแจ้งความ การดำเนินคดีไม่มาก ในส่วนของ กสม. ก็เช่นเดียวกัน เรื่องที่ร้องเรียนเข้ามาไม่ได้เยอะมาก  อาจมีบ้างแต่ละปีมีไม่กี่เรื่อง แต่เมื่อเราได้รับเรื่องเข้ามาเราก็จะให้ความสำคัญในเรื่องการดูแล และเปิดเวทีรับฟังจากผู้ร้อง-จากผู้ถูกร้อง และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง แล้วก็พยายามที่จะมีข้อเสนอแนะที่เป็นเชิงระบบ-เชิงนโยบาย หรือข้อเสนอแนะในการแก้ไขกฎหมายหรือกฎระเบียบต่างๆ เนื่องจากเรามองว่าอันนั้นจะเป็นเชิงป้องกันไม่ให้เกิดลักษณะแบบนี้ขึ้นอีก”วสันต์ กล่าว

ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สส.) กรุงเทพฯ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า เหมือนสังคมไทยเราอยู่แบบนี้กันมานานมากจนเป็นเรื่องปกติ ซึ่งคำว่าเรื่องปกติเป็นเรื่องอันตรายมาก อย่างการที่มองว่าการคุกคามทางเพศเป็นเรื่องปกติ ทำให้เห็นว่าเป็นความท้าทายในการแก้ไขปัญหา เพราะ วัฒนธรรมกับกฎหมายอาจไปไม่ทันกันกฎหมายบางฉบับมีมาหลายสิบปี แต่สังคมบางครั้งเปลี่ยนไวมาก และความเข้าใจของคนก็จะยึดโยงกับกฎหมาย แม้กระทั่งในพรรคเองก็มีมุมมองเรื่องนี้ที่ไม่ตรงกัน 

อย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพรรคก้าวไกล เมื่อสำรวจความคิดเห็นในสื่อสังคมออนไลน์ ด้านดีคือพบคนที่เข้าใจมากขึ้น แต่อีกมุมก็มีคนที่เข้าใจผิดเรื่องนี้อยู่อีกมาก จึงต้องใช้เวลาในการค่อยๆ ปรับเปลี่ยน อย่างในแวดวงกฎหมาย ในอดีตมีแต่ผู้ชายทั้งผู้พิพากษา อัยการ ทนายความ เนื่องจากมีผู้หญิงที่เข้าสู่อาชีพเหล่านี้ยังมีน้อย อยู่กันแบบสังคมที่มีผู้ชายเป็นส่วนใหญ่มาตลอดทำให้ปรับตัวไม่ทัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็มีการปรับตัวมากขึ้น ถึงกระนั้นก็ยังอาจไม่ทันกับโลกที่ปรับไปไว จึงมองว่าเป็นหน้าที่ของผู้แทนราษฎรที่ต้องเป็นกระบอกเสียงในเรื่องนี้ 

หรือแม้แต่ในพรรค แม้จะมีจุดที่เชื่อมกันได้ เช่น เรื่องประชาธิปไตย เรื่องรัฐธรรมนูญ เรื่องความเท่าเทียม แต่พอเป็นเรื่องความรุนแรงทางเพศอาจจะมีบางส่วนที่มีความเข้าใจไม่เท่ากัน แน่นอนว่าทุกคนรู้ว่าการคุกคามทางเพศนั้นไม่ถูกต้อง หรือรู้ว่าความรุนแรงทางเพศเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ แต่ด้วยระดับ (Level) ความเข้าใจเนื้อหาของแต่ละคนไม่เท่ากัน เช่น บางคนอาจจะมองว่าการแตะเนื้อต้องตัวเป็นเรื่องปกติ เป็นต้น

“อย่างเคยได้ฟังคนที่จบต่างประเทศมา เขาก็ถึงเนื้อถึงตัวกันปกติ เขาไม่ได้มองเป็นเรื่องคุกคามทางเพศ หรือบางทีมองว่าผู้หญิงก็ไมได้อะไร คงจะเป็นความยินยอมหรือเปล่า อันนี้เรามองว่าประเด็นสำคัญ เพราะทำให้เราเห็นว่าเป็นสิ่งที่คนเข้าใจผิดเยอะมาก เพราะพอเราได้คุยกับผู้หญิงหลายๆ คน จริงๆ คือฉันก็ไม่อยากจะด่าคุณต่อหน้าคนอื่น มันก็เพื่อนกันจะให้ไปด่าต่อหน้าคนอื่นก็เกรงใจ แต่ถามว่าชอบไหมก็ไม่ได้มีใครชอบ” ศศินันท์ กล่าว 

สันทนี  ดิษยบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานเลขาธิการสถาบันนิติวัชร์ กล่าวว่า มายาคติหรือความเชื่อนำไปสู่ความคิดและสุดท้ายก็ไปที่การกระทำ ความเชื่อหรือทัศนคติจึงเป็นปัจจัยที่ส่งผลมาก เช่น ตำรวจอาจไม่รับแจ้งความกรณีความรุนแรงทางเพศของคู่รักที่แต่งงานใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเพราะมองว่าน่าจะเป็นเรื่องสมยอม ทั้งนี้ หลักการดำเนินคดีอาญาคือการมุ่งพิสูจน์ความผิด แต่เมื่อเป็นคดีที่เกี่ยวกับเพศกลับมุ่งไปที่ความน่าเชื่อถือของผู้เสียหาย เนื่องจากมีทัศนคติว่าด้วย “ความเป็นเหยื่อที่สมบูรณ์แบบ (Perfect Victim)” ควรจะมีลักษณะอย่างไร

เช่น เป็นคนที่อ่อนแอไร้ทางสู้ หรือดูจากพฤติกรรมทางเพศหรือความประพฤติที่เคยเป็นมา ซึ่งผู้เสียหายที่ไม่เข้าข่ายทัศนคติแบบนี้ก็จะต้องออกแรงมากขึ้นเพื่อให้ได้รับความเป็นธรรม แต่มายาคติก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ โดยมีตัวอย่างของอาชีพอัยการ ในอดีตเคยมีกฎหมายไม่อนุญาตให้ผู้หญิงรับราชการในส่วนนี้โดยให้เหตุผลว่าไม่เหมาะสมกับลักษณะงาน ก่อนจะมีการยกเลิกข้อห้ามดังกล่าวในปี 2518 ซึ่งสังคมไทยในอดีตก็มีความเชื่อว่าผู้หญิงควรอยู่เหย้าเฝ้าเรือน แต่เมื่อความเชื่อในสังคมเปลี่ยนไปกฏหมายก็ถูกแก้ไขไปด้วย

ทั้งนี้ องค์การสหประชาชาติ เคยทำการศึกษากระบวนการยุติธรรมในคดีล่วงละเมิดทางเพศในหลายประเทศ ซึ่งกรณีของประเทศไทย พบว่า ร้อยละ 87 ของผู้เสียหายไม่แจ้งความ และเมื่อวิเคราะห์สาเหตุก็พบปัจจัยเรื่องทัศนคติของผู้ปฏิบัติงานในกระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่ตำรวจที่ถามเรื่องการแต่งตัวหรือสาเหตุที่ไปอยู่ในที่เกิดเหตุนั้น แทนที่จะถามลักษณะของเหตุการณ์ ทำให้ผู้เสียหายรู้สึกว่าตนเองมีส่วนผิดและถอนตัวออกจากการดำเนินคดี 

หรือความเชื่อเรื่องผู้ก่อเหตุและสถานที่เกิดเหตุ พบว่า ร้อยละ 80 ของผู้ต้องสงสัยเป็นคนรู้จักกับผู้เสียหาย อีกทั้งมักเกิดเหตุในพื้นที่ส่วนตัว เช่น บ้านของผู้กระทำหรือของผู้เสียหาย เนื่องจากมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด ขณะที่ความเชื่อเรื่องผู้เสียหายต้องมีการต่อสู้ขัดขืนหรือผู้กระทำต้องใช้อาวุธ แต่ตามสถิติก็พบเรื่องการใช้อาวุธน้อยมากและผู้เสียหายเองก็ไม่ได้ลงบันทึกว่าตนเองได้รับบาดเจ็บอะไร

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยจากสื่อ ที่แม้จะไม่ได้เป็นผู้สร้างมายาคติโดยตรง แต่ก็ช่วยโหมกระพือ เช่น ในอดีตมีละครที่นำเสนอว่าพระเอกข่มขืนนางเอกสุดท้ายก็รักกันและแต่งงานกัน ซึ่งในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมาก จะมีใครที่รักคนที่ข่มขืนตนเอง หรืออีกด้านหนึ่ง ตัวร้ายถูกตัวร้ายข่มขืนก็เป็นสร้างสร้างมายาคติว่าคนไม่ดีก็สมควรถูกกระทำแล้ว ซึ่งก็มีผลต่อทัศนคติในกระบวนการยุติธรรมด้วย เพราะผู้ที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมก็เป็นคนทั่วไป

ไม่ว่าจะปฏิเสธการรับแจ้งความตั้งแต่ต้น หรือมองว่าเป็นเรื่องในครอบครัวเดี๋ยวคุณก็ยอมกันแล้ว เสียค่าใช้จ่าย เสียเวลาในการดำเนินคดีไปเปล่าๆ ฉะนั้นก็กลับไปก่อนแล้วกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันทำให้ผู้เสียหายก็ท้อถอยไปเอง” ผู้อำนวยการสำนักงานเลขาธิการสถาบันนิติวัชร์ กล่าว

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-