เช่น ในเว็บบอร์ดของเว็บไซต์ SkyscraperCityชุมชนออนไลน์สำหรับผู้สนใจตึกระฟ้าและการพัฒนาเมือง ที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2545 ในหัวข้อสนทนา “Chinese Auto Industry” หรืออุตสาหรรมยานยนต์ของประเทศจีน หัวข้อนี้เริ่มเปิดมาตั้งแต่วันที่ 6 ส.ค. 2547 ซึ่งในหน้าที่ 8 มีการโพสต์ภาพพร้อมข้อความ “Brilliance Auto’s own engine will be assembled in the new car this year. Right now the Mitubishi engine is installed in the new car.” โดยหากสังเกตดีๆ ผู้โพสต์ใช้คำว่า มิตูบิชิ (Mitubishi) ไม่ใช่ มิตซูบิชิ (Mitsubishi) โดยโพสต์ไว้ตั้งแต่วันที่ 24 ม.ค. 2549 หรือเมื่อกว่า 17 ปีก่อน
โดยในเว็บไซตืดังกล่าว มีผู้มาลงประกาศ “High Grade L300 Mitubshi Short Frame For Sale In Awka” ไว้เมื่อวันที่ 5 ต.ค. 2555 โดยเป็นประกาศขายรถตู้รุ่น L300 ที่เมืองอาวคา (Awka) อย่างไรก็ตาม ในเว็บบอร์ดเดียวกัน ก็มีการลงประกาศ “Clean Mitsubishi L300 Delica Bus For Sale In PH” ในวันที่ 11 ธ.ค. 2565 ซึ่งมิตซูบิชินั้นมีการผลิตรถตู้รุ่น L300 รวมถึงรถ SUV อย่าง ปาเจโร ออกมาขายจริง
สื่อมืออาชีพในต่างประเทศ ถอดบทเรียนจากหลายกรณีการใช้ AI ที่ผิดหลักจริยธรรมสื่อ และได้เริ่มทยอยออกแนวปฏิบัติว่าด้วยการใช้ AI อย่างชัดเจนกันบ้างแล้ว แต่การเฝ้าระวังและป้องกันในลักษณะเช่นนี้ยังไม่เกิดขึ้นในวงการสื่อไทย กลายเป็น “สุญญากาศด้านจริยธรรม” ที่ควรจะเร่งแก้ไขโดยเร็ว
ภาพประกอบโดย Yasmin Dwiputri จากเว็บไซต์ Better Images of AI
ย้อนไปเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน สำนักข่าว ThaiPBS World ได้จัดเวทีเสวนาในหัวข้อ “AI and the Future of Newsroom” หรือแปลได้ว่า “AI กับอนาคตของการทำงานสื่อ” มีตัวแทนจากหลากหลายภาคส่วนร่วมงานดังกล่าว ซึ่งผู้จัดได้ระบุว่า งานนี้มีขึ้นเพื่อให้คนในอุตสาหกรรมสื่อและเทคโนโลยี มาพูดคุยกันเพื่อหา “กรอบจริยธรรม” ที่เหมาะสมในการใช้ AI ของสื่อมวลชน
แต่กรณีของ ThaiPBS ผู้เขียนมองว่ามีความแปลกใหม่อยู่มาก เพราะเป็นการนำเอาเทคโนโลยี generative AI มาใช้ในการทำงานของกองบรรณาธิการเลยทีเดียว นั่นคือเอาภาพที่ AI ทำขึ้น มาเป็นภาพประกอบข่าว แทนที่จะใช้ภาพที่ช่างภาพ(ที่เป็นมนุษย์)ถ่าย แถมยังไม่มีข้อความ disclaimer ด้วย ตามที่ได้อธิบายมาแล้ว
ผู้เขียนมองว่ากรณีนี้น่าเป็นห่วงเป็นพิเศษ เพราะในปัจจุบัน ยังไม่มีหลักการหรือแนวปฏิบัติว่าด้วยการใช้ AI ของสื่อมวลชนที่เป็นที่ยอมรับในวงกว้างในประเทศไทย แม้แต่บรรดาองค์กรวิชาชีพสื่อทั้งหลาย ซึ่งควรจะทำหน้าที่เป็นผู้ชี้แนะหลักการจริยธรรมให้แก่สื่อมวลชนอย่างแข็งขัน ก็ดูมะงุมมะงาหรากับเรื่องนี้ ยังไม่มีท่าทีหรือแนวทางปฏิบัติอย่างเป็นทางการ เรียกได้ว่าเป็นสุญญากาศทางจริยธรรมก็ว่าได้
อุทธาหรณ์จากต่างแดน
ตรงกันข้าม วงการวิชาชีพสื่อในต่างประเทศได้มีการวางแนวปฏิบัติว่าด้วยการใช้ภาพหรือเนื้อหาจาก AI กันอย่างแพร่หลายแล้ว เช่น ไม่นำเอาภาพที่ AI ทำขึ้นมาเป็นภาพประกอบข่าว เพราะจะทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ไม่นำเอา AI มาแทนที่คนทำงาน (เช่น ช่างภาพ) ไม่นำเอาเนื้อหาที่ AI ทำขึ้นมารายงานในข่าวโดยไม่ตรวจสอบก่อน เพราะ AI มีประวัติ “หลอน” และแสดงข้อมูลผิดพลาดบ่อยครั้ง หรือถ้าหากมีการใช้ภาพหรือเนื้อหาที่ AI ทำขึ้น จะต้องระบุ disclaimer ให้ผู้อ่านได้รับทราบอย่างชัดเจน เพื่อความโปร่งใส เป็นต้น
เมื่อมีแนวปฏิบัติและกรอบจริยธรรมปรากฎขึ้นมาเช่นนี้ สำนักข่าวและสื่อมืออาชีพในต่างประเทศจึงเริ่มมีวัฒนธรรมเฝ้าระวังการใช้ AI ที่เข้มแข็ง และช่วยเป็นเกราะป้องกันจากการใช้ AI ในทางที่ผิดจริยธรรม แบบที่บางสำนักข่าวได้เคยกระทำมาแล้ว จนถูกวิจารณ์อย่างหนักและสูญเสียความน่าเชื่อถือของตนทั้งสิ้น
เช่นสำนักข่าว CNET ที่ใช้ AI เขียนข่าวธุรกิจ แต่ AI กลับคำนวนเลขผิด (บอกว่ารายได้ดอกเบี้ย 3% ของเงินฝาก 10,000 เหรียญ คือ 10,300 เหรียญ) สื่อในเครือ G/O Media ที่ถูกจับได้ว่าใช้ AI เขียนข่าวบันเทิง เพราะมั่วข้อมูลเกี่ยวกับลำดับของภาพยนตร์ Star Wars (บอกว่า Clone Wars เกิดหลังหนังไตรภาคของดีสนีย์) บทความที่ใช้ AI เขียนขึ้นของเว็บไซต์ MSN พาดหัวข่าวนักบาสเกตบอลที่เพิ่งเสียชีวิตด้วยคำว่า “ไร้ประโยชน์” ฯลฯ
ดังนั้น เป็นเรื่องน่าเสียดายอยู่เหมือนกันที่ว่า เรามีอุทธาหรณ์การที่สื่อมวลชนใช้ AI อย่างผิดหลักจริยธรรมมากมายจากในต่างประเทศ แต่สุดท้ายเราก็มีอุทธาหรณ์ในลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นในประเทศของเรา และดันมา “หวยออก” กับสื่อสาธารณะ ทั้งที่ควรจะมีบรรทัดฐานทางจริยธรรมที่เคร่งครัดกว่าสื่อทั่วๆไปด้วย
วันที่ 23 มี.ค. 2566 Global Times นสพ.ในเครือของ People’s Daily ซึ่งเป็น นสพ. ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เผยแพร่บทบรรณาธิการ “Noreason for Thailand not to take good care of Chinese tourists” ตอนหนึ่งอ้างถึงข่าวลือเกี่ยวกับ “การค้าผู้หญิง (Trafficking of Women)” และ “การขโมยไต (Removing of Kidney)” ที่เชื่อมโยงกับประเทศไทย ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยหากจะเดินทางไปท่องเที่ยว แต่บทความของ Global Times ก็ได้ย้ำว่า เนื้อหาข่าวเชิงลบเกี่ยวกับไทยที่ถูกแชร์ในสื่อสังคมออนไลน์ก็ถูกตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์จากชาวจีนด้วยกันเอง โดยมองว่าคนที่เขียนเรื่องราวเช่นนั้นสร้างเรื่องราวข่าวลวงขึ้นมาเพื่อเรียกร้องความสนใจ
วันที่ 24 มี.ค. 2566 The China Project สำนักข่าวออนไลน์ที่มีสำนักงานในเมืองนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งเน้นเผยแพร่เนื้อหาเชิงลึกเกี่ยวกับประเทศจีนโดยเฉพาะสำหรับชาวตะวันตก เผยแพร่บทความ “Chinese conspiracy theory about Thai human trafficking fuels tourism concern” ระบุว่า ในวันที่ 9 มี.ค. 2566 มีคลิปวีดีโอหนึ่งถูกโพสต์บนแพลตฟอร์มแชร์คลิปวีดีโอของจีนอย่าง Bilibili (เหมือนกับ Youtube ที่คนทั่วโลกใช้) ในคลิประบุว่า ที่ประเทศไทย มีการเปิดสถานบันเทิงบังหน้า ใช้ชายหนุ่มหน้าตาดีล่อลวงหญิงชาวจีนให้เข้าไปเที่ยว ก่อนที่หญิงชาวจีนจะตกเป็นเหยื่อถูกมอมยาเพื่อลักพาตัวไปทำงานฉ้อโกงทางโทรคมนาคม (แก๊งคอลเซ็นเตอร์) แต่ที่เลวร้ายไปกว่านั้น เหยื่ออาจถูกฆ่าเพื่อขโมยไตออกจากร่างกาย
“ผู้เผยแพร่คลิปวีดีโออ้างว่า เนื่องจากประเทศไทยไม่พบวิธีใหม่ๆ ในการขยายเศรษฐกิจ จึงจำเป็นต้องพึ่งพาธุรกิจผิดกฎหมายที่ดำเนินกิจการอยู่ในพื้นที่สีเทา ทำไมบางคนถึงขอมให้ชายหนุ่มแต่งตัวแบบข้ามเพศ หากพวกเขาสามารถสร้างรายได้ด้วยวิธีที่ดีต่อสุขภาพ ในหลายช่วงของคลิปวีดีโอ ยังมีการอ้างด้วยว่า มีกองกำลังตะวันตกที่ต่อต้านประเทศจีน (Anti-China Western Force) ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ขบวนการค้ามนุษย์ในประเทศไทย รวมถึงให้คำปรึกษาทางเทคนิคเพื่อทำร้ายชาวจีนเพื่อแบ่งผลกำไร” บทความจาก The China Project ระบุ
ด้าน Sixth Tone สำนักข่าวออนไลน์ของรัฐจีน ซึ่งมีสำนักงานในเมืองเซี่ยงไฮ้ รายงานข่าว Dark Rumors on Chinese Social Media Alarm the Thai Gov’t เมื่อวันที่ 30 มี.ค. 2566 กล่าวถึงกรณีบล็อกเกอร์ชาวจีนที่เผยแพร่คลิปวีดีโอผ่านแพลตฟอร์ม Bilibili และ Douyin เช่นกัน โดยผู้โพสต์คลิปอ้างว่า องค์กรอาชญากรรมได้ย้ายฐานปฏิบัติการจากเมียนมาและกัมพูชาเข้าไปยังประเทศไทย โดยร่วมมือกับกองกำลังตะวันตกที่ต่อต้านประเทศจีน เล็งเหยื่อที่เป็นชาวจีน มีการอ้างถึงสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง ใช้พนักงานเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี ล่อลวงหญิงชาวจีนเข้าไปก่อนมอมยาเพื่อส่งไปบังคับค้าประเวณี และใช้ผู้หญิงล่อลวงชายชาวจีนมาที่ประเทศไทยเพื่อสังหารและขโมยอวัยวะ
The Japan Times นสพ.เก่าแก่ของญี่ปุ่น รายงานข่าว “Hit Chinese movie raises fears of travel in Southeast Asia” วันที่ 5 ก.ย. 2566 อ้างถึงผลการสำรวจบนแพลตฟอร์มจีนอย่าง Weibo (ซึ่งมีลักษณะคล้ายๆกับ Twitter ในประเทศอื่นๆ) พบว่าร้อยละ 85 ของผู้ตอบแบบสอบถาม ลังเลที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวยังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย
รายงานข่าว “Blockbuster movie No More Bets scaring Chinese tourists away from Thailand over scam fears”โดย นสพ.The Straits Times ของสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2566 ระบุว่า ภาพยนตร์จีนเรื่อง No More Bets ใช้คำว่า “อ้างอิงจากเหตุการณ์จริง (based on real events)” เนื้อหาเล่าเรื่องการค้ามนุษย์ในประเทศสมมติในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งองค์ประกอบหลายๆ อย่างในฉากดูคล้ายกับประเทศไทย อย่างไรก็ตาม สื่อสิงคโปร์ได้ชี้ว่า แม้จะมีต้นตอจากคดีที่เกิดขึ้นจริง แต่เรื่องราวในภาพยนตร์ก็ไม่ใช่เรื่องจริงไปเสียทั้งหมด
“การรายงานของสื่ออย่างกว้างขวางได้บันทึกว่ามีชาวจีนหลายพันคนถูกล่อลวงไปยังฐานปฏิบัติการต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในเมียนมาและกัมพูชา เพื่อดำเนินการหลอกลวงเงินจากเหยื่อผ่านช่องทางออนไลน์แต่ผู้ถูกล่อลวงส่วนใหญ่ตกเป็นเหยื่อจากโฆษณาชวนเชื่อเรื่องงานรายได้สูงที่ไม่มีอยู่จริง (fake offers of lucrative work) ไม่ได้ถูกลักพาตัวจากท้องถนนในระหว่างการพักผ่อนวันหยุด และจนถึงขณะนี้ยังไม่พบองค์ประกอบของการหลอกลวงดังกล่าวในประเทศไทย” รายงานของ The Straits Times กล่าว
รายงานข่าว “#trending: Chinese netizens afraid of Southeast Asia travel after hit movie No More Bets shows human trafficking scams”จากสื่ออีกสำนักหนึ่งในสิงคโปร์ อย่าง นสพ.Today เมื่อวันที่ 2 ต.ค. 2566 กล่าวถึงการฉ้อโกงทางออนไลน์ที่หลากหลายรูปแบบ ทั้งการหลอกให้รัก (Love Scam หรือ Romance Scam) หลอกให้ลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล ไปจนถึงล่อลวงให้เล่นการพนันออนไลน์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถูกนำไปเล่าในภาพยนตร์ No More Bets ซึ่งสอดคล้องกับรายงานในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เกี่ยวกับพลเมืองจากหลายประเทศ ถูกล่อลวงเข้าสู่วงจรค้ามนุษย์ในแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มีฐานปฏิบัติการในเมียนมาและกัมพูชา แต่ก็ย้ำว่า ผู้ตกเป็นเหยื่อมาจากการหลงเชื่อคำโฆษณาเรื่องงานรายได้ดี (แต่ไม่มีงานนั้นให้ทำจริงๆ)
สำหรับรายงานของ UN ที่ถูกอ้างถึงนั้นคือ “Online Scam Operations and Trafficking Into Forced Criminality in Southeast Asia : Recommendations for a Human Rights Response” จัดทำโดย สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) เผยแพร่พร้อมรายงานข่าว “Hundreds of thousands trafficked into online criminality across SE Asia” เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2566 ทางเว็บไซต์ news.un.org ซึ่งเป็นเว็บไซต์สำหรับประชาสัมพันธ์ข่าวสารของหน่วยงานต่างๆ ในสังกัด UN
นอกจากนี้ยังมีการแถลงความร่วมมือในการรณรงค์ตรวจสอบข้อมูลสุขภาพ และความร่วมมือระหว่างบริษัทเจริญเคเบิลทีวี เน็ตเวิร์ค จำกัด กับภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) รวมถึงมีการเปิดตัวฐานข้อมูล Health Information Update และ Line Open Chat โคแฟคเช็คข่าว ถามตอบข้อมูลลวง ขณะที่กิจกรรมในช่วงบ่าย มีการเปิดตัวซีรีย์รายการ “รู้มั้ย by Cofact” ตัวกรองข้อมูลสุขภาพเพื่อผู้สูงวัยทางช่องยูทูปโคแฟค สาธิตการสร้างความตระหนักและการดูแลสุขภาพสำหรับผู้สูงวัยและอบรมการใช้นวัตกรรมโคแฟค เพื่อการตรวจสอบข้อมูลสุขภาพ