แต่จริงๆ ท่ามือที่เห็นไม่ใช่เรื่องลึกลับอะไร โดยมันถูกเรียกว่า The Hand Steeple (หรือ The Hand Steeple Gesture , Steepling Hands) และได้รับการอธิบายจากผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาและบุคลิกภาพ ว่าเป็นท่าที่บรรดาผู้นำทั้งแวดวงการเมืองและธุรกิจชอบใช้เพื่อแสดงความมั่นใจของตนเอง อาทิ บทความ 5 body language behaviors from a retired FBI agent to help improve your confidence เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2561 อ้างอิงเนื้อหาจากหนังสือ The Dictionary of Body Language (ฉบับแปลไทยใช้ชื่อว่า “พจนานุกรมอ่านคนตั้งแต่หัวจรดเท้า”)
หนังสือเล่มดังกล่าวซึ่งเขียนโดย โจ นาวาร์โร (Joe Navarro) อดีตเจ้าหน้าที่สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ (FBI) ได้อธิบายความหมายของ The Hand Steeple ไว้ว่า The Hand Steeple คือการทำท่ามือโดยวางประกบปลายนิ้วของมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน กางฝ่ามือสองข้างออก แล้วงอมือเพื่อให้ปลายนิ้วมือดูเหมือนยอดแหลมของโบสถ์ นี่เป็นการแสดงความมั่นใจแบบสากลและมักใช้โดยผู้ที่อยู่ในตำแหน่งผู้นำ และท่ามือนี้ยังเป็นท่าที่ อังเกลา แมร์เคิล ผู้นำเยอรมนี มักใช้บ่อยครั้ง
หรือบทความ 7 HAND GESTURE BODY LANGUAGE TIPS TO INFLUENCE COMMUNICATION บนเว็บไซต์ sandygerber.com ของ แซนดี เกอร์เบอร์ (Sandy Gerber) ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารชาวแคนาดา อธิบายไว้ว่า Steepling Hands เป็นคำที่บัญญัติโดย ศ.เรย์ เบิร์ดวิสเทล (Prof.Ray Birdwhistell) นักมานุษยวิทยาชาวอเมริกัน ที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาภาษากายของมนุษย์ ว่า เป็นท่าที่นิ้วของมือข้างหนึ่งกดเบาๆ กับนิ้วของมืออีกข้างและก่อตัวเป็นยอดแหลมของโบสถ์
เรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของเนื้อหาที่สร้างความเข้าใจคลาดเคลื่อน (Misinformation) เพราะด้านหนึ่งมีการจัดการแข่งขันที่ว่านี้ไหม? คำตอบคือมี แต่ถูกจัดโดยสหพันธ์เซ็กซ์แห่งสวีเดน ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่ได้รับการรับรองจากสมาพันธ์กีฬาสวีเดน (ให้อธิบายง่ายๆ คือมีองค์กรและองค์กรนั้นพยายามจัดแข่ง แต่องค์กรที่ว่าไม่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่) ส่วนความเข้าใจคลาดเคลื่อนก็น่าจะเกิดมาจากกรณี The Times of India หนังสือพิมพ์ชื่อดังฉบับหนึ่งในอินเดีย พาดหัวข่าว Sweden Will Soon Host the European Sex Championship ในวันที่ 4 มิ.ย. 2566
ปัญหาคือบรรทัดแรกของข่าวนี้เริ่มบรรยายว่า Sweden has formally recognised sex as a sport and will stage its first-ever sex tournament the following week. (สวีเดนยอมรับการมีเพศสัมพันธ์เป็นกีฬาอย่างเป็นทางการและจะจัดการแข่งขันการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกในสัปดาห์หน้า) มีการใช้คำว่า “formally” ที่แปลว่า “อย่างเป็นทางการ” ขยายความคำว่า “recognise” ที่แปลว่า “ยอมรับ” ซึ่งอาจทำให้ผู้รับสารเข้าใจคลาดเคลื่อนไปว่าทางการสวีเดนยอมรับเซ็กซ์เป็นกีฬาแล้ว
https://www.insider.com/body-language-how-to-improve-confidence-2018-8#hand-steepling-2 (5body language behaviors from a retired FBI agent to help improve your confidence : Insider 29 ส.ค. 2561)
https://sandygerber.com/7-hand-gesture-body-language-tips-to-influence-communication/ (7 HAND GESTURE BODY LANGUAGE TIPS TO INFLUENCE COMMUNICATION)
https://emergency.cdc.gov/han/2023/han00497.asp(Severe Vibrio vulnificus Infections in the United States Associated with Warming Coastal Waters : Emergency Preparedness and Response , CDC 1 ก.ย. 2566)
เช่น ในเว็บบอร์ดของเว็บไซต์ SkyscraperCityชุมชนออนไลน์สำหรับผู้สนใจตึกระฟ้าและการพัฒนาเมือง ที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2545 ในหัวข้อสนทนา “Chinese Auto Industry” หรืออุตสาหรรมยานยนต์ของประเทศจีน หัวข้อนี้เริ่มเปิดมาตั้งแต่วันที่ 6 ส.ค. 2547 ซึ่งในหน้าที่ 8 มีการโพสต์ภาพพร้อมข้อความ “Brilliance Auto’s own engine will be assembled in the new car this year. Right now the Mitubishi engine is installed in the new car.” โดยหากสังเกตดีๆ ผู้โพสต์ใช้คำว่า มิตูบิชิ (Mitubishi) ไม่ใช่ มิตซูบิชิ (Mitsubishi) โดยโพสต์ไว้ตั้งแต่วันที่ 24 ม.ค. 2549 หรือเมื่อกว่า 17 ปีก่อน
โดยในเว็บไซตืดังกล่าว มีผู้มาลงประกาศ “High Grade L300 Mitubshi Short Frame For Sale In Awka” ไว้เมื่อวันที่ 5 ต.ค. 2555 โดยเป็นประกาศขายรถตู้รุ่น L300 ที่เมืองอาวคา (Awka) อย่างไรก็ตาม ในเว็บบอร์ดเดียวกัน ก็มีการลงประกาศ “Clean Mitsubishi L300 Delica Bus For Sale In PH” ในวันที่ 11 ธ.ค. 2565 ซึ่งมิตซูบิชินั้นมีการผลิตรถตู้รุ่น L300 รวมถึงรถ SUV อย่าง ปาเจโร ออกมาขายจริง
สื่อมืออาชีพในต่างประเทศ ถอดบทเรียนจากหลายกรณีการใช้ AI ที่ผิดหลักจริยธรรมสื่อ และได้เริ่มทยอยออกแนวปฏิบัติว่าด้วยการใช้ AI อย่างชัดเจนกันบ้างแล้ว แต่การเฝ้าระวังและป้องกันในลักษณะเช่นนี้ยังไม่เกิดขึ้นในวงการสื่อไทย กลายเป็น “สุญญากาศด้านจริยธรรม” ที่ควรจะเร่งแก้ไขโดยเร็ว
ภาพประกอบโดย Yasmin Dwiputri จากเว็บไซต์ Better Images of AI
ย้อนไปเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน สำนักข่าว ThaiPBS World ได้จัดเวทีเสวนาในหัวข้อ “AI and the Future of Newsroom” หรือแปลได้ว่า “AI กับอนาคตของการทำงานสื่อ” มีตัวแทนจากหลากหลายภาคส่วนร่วมงานดังกล่าว ซึ่งผู้จัดได้ระบุว่า งานนี้มีขึ้นเพื่อให้คนในอุตสาหกรรมสื่อและเทคโนโลยี มาพูดคุยกันเพื่อหา “กรอบจริยธรรม” ที่เหมาะสมในการใช้ AI ของสื่อมวลชน
แต่กรณีของ ThaiPBS ผู้เขียนมองว่ามีความแปลกใหม่อยู่มาก เพราะเป็นการนำเอาเทคโนโลยี generative AI มาใช้ในการทำงานของกองบรรณาธิการเลยทีเดียว นั่นคือเอาภาพที่ AI ทำขึ้น มาเป็นภาพประกอบข่าว แทนที่จะใช้ภาพที่ช่างภาพ(ที่เป็นมนุษย์)ถ่าย แถมยังไม่มีข้อความ disclaimer ด้วย ตามที่ได้อธิบายมาแล้ว
ผู้เขียนมองว่ากรณีนี้น่าเป็นห่วงเป็นพิเศษ เพราะในปัจจุบัน ยังไม่มีหลักการหรือแนวปฏิบัติว่าด้วยการใช้ AI ของสื่อมวลชนที่เป็นที่ยอมรับในวงกว้างในประเทศไทย แม้แต่บรรดาองค์กรวิชาชีพสื่อทั้งหลาย ซึ่งควรจะทำหน้าที่เป็นผู้ชี้แนะหลักการจริยธรรมให้แก่สื่อมวลชนอย่างแข็งขัน ก็ดูมะงุมมะงาหรากับเรื่องนี้ ยังไม่มีท่าทีหรือแนวทางปฏิบัติอย่างเป็นทางการ เรียกได้ว่าเป็นสุญญากาศทางจริยธรรมก็ว่าได้
อุทธาหรณ์จากต่างแดน
ตรงกันข้าม วงการวิชาชีพสื่อในต่างประเทศได้มีการวางแนวปฏิบัติว่าด้วยการใช้ภาพหรือเนื้อหาจาก AI กันอย่างแพร่หลายแล้ว เช่น ไม่นำเอาภาพที่ AI ทำขึ้นมาเป็นภาพประกอบข่าว เพราะจะทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ไม่นำเอา AI มาแทนที่คนทำงาน (เช่น ช่างภาพ) ไม่นำเอาเนื้อหาที่ AI ทำขึ้นมารายงานในข่าวโดยไม่ตรวจสอบก่อน เพราะ AI มีประวัติ “หลอน” และแสดงข้อมูลผิดพลาดบ่อยครั้ง หรือถ้าหากมีการใช้ภาพหรือเนื้อหาที่ AI ทำขึ้น จะต้องระบุ disclaimer ให้ผู้อ่านได้รับทราบอย่างชัดเจน เพื่อความโปร่งใส เป็นต้น
เมื่อมีแนวปฏิบัติและกรอบจริยธรรมปรากฎขึ้นมาเช่นนี้ สำนักข่าวและสื่อมืออาชีพในต่างประเทศจึงเริ่มมีวัฒนธรรมเฝ้าระวังการใช้ AI ที่เข้มแข็ง และช่วยเป็นเกราะป้องกันจากการใช้ AI ในทางที่ผิดจริยธรรม แบบที่บางสำนักข่าวได้เคยกระทำมาแล้ว จนถูกวิจารณ์อย่างหนักและสูญเสียความน่าเชื่อถือของตนทั้งสิ้น
เช่นสำนักข่าว CNET ที่ใช้ AI เขียนข่าวธุรกิจ แต่ AI กลับคำนวนเลขผิด (บอกว่ารายได้ดอกเบี้ย 3% ของเงินฝาก 10,000 เหรียญ คือ 10,300 เหรียญ) สื่อในเครือ G/O Media ที่ถูกจับได้ว่าใช้ AI เขียนข่าวบันเทิง เพราะมั่วข้อมูลเกี่ยวกับลำดับของภาพยนตร์ Star Wars (บอกว่า Clone Wars เกิดหลังหนังไตรภาคของดีสนีย์) บทความที่ใช้ AI เขียนขึ้นของเว็บไซต์ MSN พาดหัวข่าวนักบาสเกตบอลที่เพิ่งเสียชีวิตด้วยคำว่า “ไร้ประโยชน์” ฯลฯ
ดังนั้น เป็นเรื่องน่าเสียดายอยู่เหมือนกันที่ว่า เรามีอุทธาหรณ์การที่สื่อมวลชนใช้ AI อย่างผิดหลักจริยธรรมมากมายจากในต่างประเทศ แต่สุดท้ายเราก็มีอุทธาหรณ์ในลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นในประเทศของเรา และดันมา “หวยออก” กับสื่อสาธารณะ ทั้งที่ควรจะมีบรรทัดฐานทางจริยธรรมที่เคร่งครัดกว่าสื่อทั่วๆไปด้วย