สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 2 มีนาคม 2567

กระดาษชำระ สาเหตุการเกิดมะเร็งปากมดลูก…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/bao8sby5l3lt


ดื่มน้ำโซดาช่วยในการย่อย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3tv2drqvwbcrn


ระวัง QR CODE ในจดหมายราชการปลอม…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/l8hmkzac2her


  รัฐบาลเปิดโครงการ DRIP MODEL ฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/roetoiapbf1a


 เงินช่วยเหลือผู้สูงอายุ ปรับปรุงที่อยู่หรือซ่อมแซมบ้าน สูงสุด 4 หมื่นบาท

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3ezi63pnebz92


ผ่าตัดลดขนาดกระเพาะ รักษาโรคอ้วน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3mjqkph4gdw3g


เตือนระวัง หลอดเลือดสมองแตกหลังอาบน้ำ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/28tsvhj4kcs48


‘หลักธรรมพุทธ’ในยุคดิจิทัล! รู้เท่าทันใจตนก่อนสื่อสารออกไป ลดปัญหา‘ข่าวลวง-ข้อมูลสร้างความแตกแยก’

Editors’ Picks

27 ก.พ. 2567 ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) จัดCofact Live Talk หัวข้อ “ธรรมะกับการรับมือข้อมูลยุค AI” เนื่องในโอกาสเทศกาลวันมาฆบูชาประจำปี 2567 ถ่ายทอดสดผ่านเพจ “Cofact โคแฟค” โดยมี พระมหานภันต์ สันติภัทโท ประธานกรรมการมูลนิธิ มูลนิธิสถาบันการจัดการวิถีพุทธเพื่อสุขและสันติ (มูลนิธิ สกพ.) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ เป็นผู้นำสนทนา และมี สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) เป็นผู้ดำเนินรายการพร้อมด้วย เพชรี พรหมช่วย ผู้ดำเนินรายการธรรมในใจ ช่อง 33 , ญาณี รัชต์บริรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมระบบสื่อและสุขภาวะทางปัญญา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ พิมพ์รภัช ดุษฎีอิสริยกุล ผู้จัดการโครงการมูลนิธิฟริดิชเนามัน ร่วมตั้งคำถาม เปิดประเด็นชวนคิดเพื่อรับมือปัญหาเส้นแบ่งความจริง-ความลวง ของข้อมูลข่าวสารจำนวนมหาศาลในยุคดิจิทัลที่ถาโถมเข้ามา

พระมหานภันต์ เริ่มต้นด้วยการกล่าวถึง ศีลข้อ 4 (มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ)หมายถึง พึงงดเว้นจากการกล่าวคำเท็จ ส่อเสียด หยาบคายและเพ้อเจ้อ ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงการแชร์ข้อมูลเท็จ หรือแม้ไม่เชิงเท็จแต่เป็นการตีความจากเพียงบางมุมมองจนอาจกลายเป็นการเสี้ยมได้ ซึ่งคนที่แสดงความคิดเห็นอาจมองว่าเป็นเสรีภาพในการแสดงออกและมีคำถามว่าทำได้หรือไม่  

แม้สิทธิในการคิด การพูด หรือการนับถือศาสนา ได้รับการรับรองในรัฐธรรมนูญ แต่เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขในสังคมจะต้องคำนึงมากกว่ารัฐธรรมนูญ อย่างที่หลวงพ่อ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เคยเรียบเรียงหนังสือชื่อ ธรรมนูญชีวิตโดยภายในหนังสือจะมีธรรมะหลายหมวดที่แนะนำว่า “ธรรม” อย่างไรคนกับคนจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ทั้งนี้แนวคิดของศาสนาพุทธ เห็นว่า มุสาวาทหักรานประโยชน์ หมายถึงเมื่อกล่าวคำเท็จทำให้คนพลาดจากความจริง 

แม้แต่คำว่า “White Lie (โกหกสีขาว)” ทำไปด้วยเจตนาดีก็ยังเป็นสิ่งที่ไม่สมควร ดังตัวอย่างของ มะนาวโซดารักษามะเร็ง จริงอยู่ที่คนส่งต่อข้อความนี้อาจทำให้ไปด้วยความหวังดีไม่ได้คิดร้าย แต่ก็ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งเสียชีวิตเพราะไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี แต่ไปเชื่อข้อความที่ถูกส่งมาจากบุคคลที่ตนเองคิดว่าเชื่อถือได้ หรือหากขยายระดับผลกระทบให้รุนแรงขึ้น ในศาสนาพุทธมีคำว่า สังฆเภท หมายถึงทำให้คณะสงฆ์แตกแยกกัน ซึ่งจัดเป็น อนันตริยกรรม คือกรรมที่หนักที่สุด 

โดยมีเรื่องเล่าเป็นอุทาหรณ์ในพระธรรมบท ว่าด้วยพระสงฆ์ 2 รูป เคยรักใคร่กันมากเหมือนพี่น้อง ต่อมามีพระสงฆ์รูปที่ 3 เริ่มพูดจายุแยงทีละเล็กทีละน้อย เข้าทำนอง น้ำหยดลงหินทุกวันหินยังกร่อนสุดท้ายพระทั้ง 2 รูปที่เคยรักกันก็แตกแยกกัน และนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมศาสนาพุทธจึงย้ำเรื่องพึงงดเว้นจากการกล่าวคำเท็จ ส่อเสียด หยาบคายและเพ้อเจ้อ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็น วจีทุจริต ทั้งสิ้น 

ขณะที่ กาลามสูตร หลักธรรมเตือนสติที่ว่าด้วยการอย่าเพิ่งเชื่อเพราะเหตุต่างๆ รวม 10 ประการ ซึ่งตามบทกวีของ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ศิลปินแห่งชาติ ได้เรียบเรียงจนจดจำได้ง่ายว่า หนึ่งฟังตามกันมาอย่าได้เชื่อ สองทำกันทุกเมื่อ เชื่อไม่ได้ สามตื่นข่าวป่าวมาอย่าเชื่อไป สี่อย่าไว้ใจแม้แต่ตำรา ห้าอย่าเชื่อเพราะเดาเอาเองเล่น หกกะเกณฑ์คาดคะเนไว้ล่วงหน้า เจ็ดเพราะนึกตรึกตรองหรือตรวจตรา แปดเพราะว่าต้องตามธรรมเนียมตน เก้าอย่าเชื่อเพราะเพื่อควรเชื่อเขา สิบครูเราแท้แท้มาแต่ต้น ก็ใช่จักเชื่อได้น้ำใจคน จงเชื่อผล เชื่อเหตุ สังเกตเทอญในส่วนท้ายที่ว่า จงเชื่อผล เชื่อเหตุ สังเกตเทอญ” จะมีข้อควรพิจารณา ดังนี้

1.เรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่น สิ่งที่แนะนำกันมา บัณฑิตหรือวิญญูชนมีความเห็นอย่างไรตำหนิติเตียนหรือไม่ กับ 2.เรียนรู้จากประสบการณ์ของตนเอง ลองปฏิบัติแล้วพบว่าเป็นโทษหรือเป็นประโยชน์ ส่วนคำถามที่ว่า จะวางใจอย่างไรกับข้อมูลที่เข้ามา? ขอฝากข้อคิดไว้ว่า ผู้นำต้องวางตนเป็นแบบอย่าง อย่างพระสงฆ์สมัยโบราณ เมื่อมีใครจะเข้ามานินทาคนนั้นคนนี้ ท่านจะบอกว่าไม่ขอรับฟัง เพราะไม่ต้องการสนับสนุนวัฒนธรรมการนินทาลับหลัง แต่หากมาบอกด้วยความประสงค์ดี ถามว่าจะทำอย่างไรดีก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

แต่เมื่อได้ยินได้ทราบข้อมูลแล้ว ตัวเราเองต้องเป็นอย่างที่คำโบราณว่าไว้ 1.พกหินในอกอย่าพกนุ่น จิตใจต้องหนักแน่น 2.ดีอยู่ที่ปาก-ทุกข์ยากอยู่ที่มือ หมายถึงได้รับข้อมูลอะไรมาก็ไม่ใช่ถึงกับต้องทิ้งไปเลยในทันที แต่ต้องตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลนั้นก่อน นอกจากนั้น ยังมีหลักธรรมเรื่อง สาราณียธรรม ที่ว่าด้วยการอยู่ร่วมกันได้ดีของคน ประกอบด้วย 1.เมตตากายกรรม แสดงออกต่อกันด้วยดี 2.เมตตาวจีกรรม พูดกันดีๆ 3.เมตตามโนกรรม คิดดีต่อกัน 4.สาธารณโภคี เอื้อเฟื้อแบ่งปันกัน 5.สีลสามัญญตา ประพฤติเสมอกันไม่มีหลายมาตรฐาน และ 6.ทิฏฐิสามัญญตา ความเห็นความเข้าใจเสมอกัน

“3 ข้อแรก ปกติในพุทธศาสนาพูดถึงเรื่องใจก่อน แต่พอเป็นสาราณียธรรม พระพุทธเจ้าพูดเรื่องกายก่อน นี่คือน้ำหนักของลำดับที่เห็นว่าภายนอกต้องแสดงออกกันให้ดีก่อนนะ ต้องพูดกันดีๆ แล้วค่อยมาถึงใจ ไม่ได้เอาใจขึ้นก่อน” พระมหานภันต์อธิบาย

คำถามต่อมา ผู้ดูแลชุมชนออนไลน์ควรจะมีบทบาทอย่างไรบ้าง? เพราะปัจจุบันมีการตั้งชุมชนทำนองนี้จำนวนมาก เช่น เพจหรือกลุ่มในเฟซบุ๊ก พระมหานภันต์ให้ข้อคิดจากประสบการณ์ที่เป็นแอดมินกลุ่มแบบนี้เช่นกัน ว่า ที่ผ่านมาจะย้ำเสมอ โยมไม่จำเป็นต้องเห็นเหมือนกับอาตมา แต่เราสามารถอยู่ร่วมกันได้ โดยจะไม่บล็อกผู้เห็นต่าง เว้นแต่ว่าเป็นการแสดงความคิดเห็นด้วยถ้อยคำหยาบคายล้วนๆ โดยไม่ได้ฟังอะไรเลย แต่ก็จะให้โอกาสด้วยการเตือนก่อน หากยังทำซ้ำเป็นครั้งที่ 3 จึงจะบล็อก

หรือเมื่อเกิดกรณีสมาชิกใช้ถ้อยคำส่อเสียด ยุให้คนนั้นผิดใจกับคนนี้ ก็จะเตือนว่า อาตมาไม่อยากอยู่ในสังคมที่คนพร้อมแทงข้างหลัง แต่เราควรอยู่กันแบบกัลยาณมิตร โดยสรุปแล้ว การสื่อสารนั้นคือพลังการเปลี่ยนแปลงโลก และเราสามารถช่วยกันได้ เริ่มตั้งแต่ ในครอบครัว เช่น เมื่อลูกมาเล่าให้พ่อแม่ฟังว่าไปโรงเรียนแล้วไปพูดอะไรที่เป็นการล้อเลียนกลั่นแกล้งรังแก (Bully) ผู้อื่น ก็อาจเตือนว่าไม่ควรพูดแบบนั้น แล้วก็จะค่อยๆ ขยายวงออกไป จนทุกคนรับรู้ได้ว่าสิ่งใดไม่สมควรทำ อย่างในอดีตที่เคยมีการล้อเลียนรูปร่างหน้าตากัน แต่ต่อมาเราก็ตระหนักได้ว่าไม่ควรไปสร้างเรื่องตลกโดยทำร้ายความรู้สึกใคร

“อาตมาเชื่อว่าวันนี้ประเทศไทยเติบโตมามาก เพราะหลายเรื่องที่สมัยก่อนย้อนกลับไปเราจะไม่กล้าพูดถึงกัน วันนี้เราพูดถึงกันแล้ว ด้วยความเคารพก็มี ด้วยความเข้าใจก็มี ด้วยความไม่เข้าใจก็มี แต่อาตมาเชื่อว่าอันนี้มันเป็นแนวทางที่เห็นแล้วว่าคนเริ่มเห็นทั้งเสรีภาพและความรับผิดชอบ และในมุมอาตมา ฝากหนังสือ ‘เมื่อวินัยไม่มีเสรีภาพก็หายไป’ ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต)ท่านยกตัวอย่างง่ายๆ สมมติว่าตรงนี้ทุกคนมีเสรีภาพ แต่ถ้าทุกคนไม่ฟังกันเลย เสรีภาพในการพูดนั้นไม่มีประโยชน์เลย คือถ้าไม่มีวินัย ไม่รักษากติกาว่าพูดทีละคนจะได้ฟังกัน ถ้าทุกคนนึกอยากจะพูดอะไรก็พูด ไม่ยกมือ ไม่ฟังใคร สุดท้ายต่อให้มีเสรีภาพในการพูดมันก็ไม่มีความหมายใด” พระมหานภันต์ กล่าว

พระมหานภันต์ ยังฝากข้อคิดโดยอิงไปกับชื่อหัวข้อการสนทนาในครั้งนี้อย่าง “ธรรมะกับการรับมือข้อมูลยุค AI” ว่า คำว่า “AI” ในที่นี้ไม่ใช่ “Artificial Intelligence” หรือปัญญาประดิษฐ์ แต่อยากเสนอให้เป็น “Arahat Intelligence” หรือปัญญาของพระอรหันต์ หมายถึง พระผู้ซึ่งปราศจากกิเลส กล่าวคือ เมื่อรู้อะไรก็เพียงรู้ โดยไม่มีคำว่าชอบหรือชังเข้ามาอยู่ด้วย เพราะเมื่อเรารับรู้ว่ามีกลุ่มต่างๆ เกิดขึ้นหลากหลาย หากเราไม่ระวัง เราก็จะไม่ชอบกลุ่มที่เราไม่ชอบ 

และหากยิ่งตัวเราเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงหรือมีอิทธิพลในสังคม การไม่ระวังแบบนี้ก็จะกลายเป็นตัวเราที่ทำให้คนในสังคมทะเลาะกัน เช่น เราไม่ชอบคนกลุ่มนี้ ก็ยุยงให้สมาชิกในกลุ่มเกลียดแบบเดียวกับตนเองด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็เกิดมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าในประวัติศาสตร์ เข้าใจได้ว่าปุถุชนอย่างไรก็ต้องมีความรู้สึกอยู่บ้าง แต่อย่าใช้ความชอบหรือไม่ชอบไปสร้างผลดีหรือผลร้ายกับคนกลุ่มอื่น อย่างไรก็ตาม การปล่อยวางก็ไม่ใช่การปล่อยปละละเลยข้อมูลที่ไม่ถูกต้องอย่างแน่นอนสามารถทักท้วงได้ แต่การทักท้วงก็ต้องมีศิลปะในการสื่อสารอีก อย่านำเรื่องการเป็นคนตรงหรือจริงใจไปปนกับการเป็นคนที่ไม่นึกถึงใจผู้อื่นหรือไม่รู้จักกาลเทศะ

พระพุทธเจ้าท่านตรัสหลักไว้ในอภัยราชกุมารสูตร ความว่า ที่ตถาคตกล่าว 1.ต้องจริง 2.ต้องมีประโยชน์ 3.คนฟังชอบใจ-ไม่ชอบใจ พระองค์ไม่ได้ถือเป็นสำคัญ บางทีถ้าจริงและมีประโยชน์ อันสุดท้ายที่เป็นตัวพิจารณาสำคัญคือดูกาลเทศะ ถ้ามันจริงและมีประโยชน์ ต่อให้พูดไปแล้วคนฟังไม่ชอบ พระพุทธเจ้าพิจารณาแล้วว่ามันเป็นเวลาที่ควรจะพูดเรื่องนี้พระองค์ก็พูด แต่ในขณะที่ที่ประชุม ไม่พูดในที่ประชุมแล้วไปพูดกันข้างนอก มันจะแก้ปัญหาอะไรได้ หรือถ้าเกิดคิดว่าการนินทาหนึ่งเป็นช่องทางในการสื่อสารไปถึงหัวหน้าหรือผู้บริหารก็ว่ากันไป แต่ถ้าถามอาตมา เราควรจะปลูกฝังวัฒนธรรมที่จริง มีประโยชน์ พระมหานภันต์ กล่าว

หมายเหตุ : สามารถรับชมคลิปการสนทนาธรรมCofact Live Talk หัวข้อ ธรรมะกับการรับมือข้อมูลยุค AI” ได้ที่ Link https://www.facebook.com/CofactThailand/videos/3364914970467853?locale=th_TH

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2567

โรคมะเร็งกระเพาะอาหาร สามารถติดต่อทางน้ำลายได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2hz5nmij6cx1w


จะมีพายุฤดูร้อนทั่วไทยตอนบน ช่วงวันที่ 24-26 กพ.67 นี้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1il3fch3x4gsm


จังหวัดระยองมีผู้ติดเชื้อ Vibrio Valnificus ที่มาจากหอยแครงและหอยแมลงภู่ 2 ราย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3p7rvkrn1wabz


ดื่มน้ำโซดาช่วยให้อาหารย่อยได้ง่ายขึ้น…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1u7yk49eiotdy#_=_


ผลิตภัณฑ์ยาลม 300 จำพวก หรือยาอายุวัฒนะ ตราปานเทพ เป็นยาตำรับช่วยกระตุ้นให้เลือดลมไหลเวียน สร้างระบบภูมิคุ้มกัน ลดความเสี่ยงสำหรับผู้ที่มีภูมิต่ำ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/oyvzabeq8aga#_=_


ระวังการสแกนจ่าย QR CODE เสี่ยงโดนดูดเงินหมดบัญชี …จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2e400wfrc98ml#_=_


กฟภ. ส่ง SMS แจ้งมิเตอร์ไฟฟ้าเสี่ยงชำรุด คิดค่าไฟเกินจริง ให้ติดต่อเปลี่ยนมิเตอร์ฟรี พร้อมรับเงินคืน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1uu7xpkftqxy7


 ผู้มีบัตรทองสามารถจองคิวพบแพทย์ผ่านแอปฯ หมอพร้อมและเป๋าตังได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3a91okfmlxiui


 สธ. แจกถุงยางฟรี ผ่านตู้กดสินค้าอัตโนมัติ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/39iyndlbtv6ic


 ล้างจมูกเด็กด้วยน้ำเกลืออย่างถูกวิธี บรรเทาหวัด ขจัดเชื้อโรค

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/4ri5azkuman#_=_


 สัญญาณภัยแล้ง ลำน้ำมูลแห้งขอด สันดอนดินทรายโผล่เห็นชัด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3ltrvsux2cmec


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2567

ดื่มน้ำยางจากกล้วย รักษาโรคกระเพาะและกรดไหลย้อนได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่

https://cofact.org/article/fldbs9um0juj


รัฐหลอกให้ลงทะเบียนรับเงินเยียวยา เพื่อจะเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1qu23atd1ew6n


สธ. เปิดเพจเฟซบุ๊กศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ – ศอตช….จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/126uvm5tagh20


ผู้บริหารสำนักงาน ก.ล.ต. ส่งแชทไลน์ชักชวนลงทุน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2d5f2zews1lm4


 สปสช. เพิ่มสิทธิประโยชน์ใหม่ด้านมะเร็ง 5 รายการ ปี 2567

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1bbfejzt92qq9


 สิทธิประกันสังคมสามารถผ่าตัดเส้นเลือดสำหรับฟอกไตได้ฟรี ที่ รพ. ลานนา

อ่านต่อได้ที่

https://cofact.org/article/1flyaz85jbqf1


 กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกัมพูชา จัดตั้ง Hotline แก้ปัญหาฝุ่นหมอกควันข้ามพรมแดน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2w3s0vijp6n0n


ดื่มกาแฟแล้วใจสั่นอันตราย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2psh44g63zvcq


มอง‘AI’ในมุม‘คริสตศาสนา’ สิ่งสำคัญกว่าเครื่องมือคือ‘มโนธรรม’ของมนุษย์

Editors’ Picks

13 ก.พ. 2567 ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) จัด Live Talk หัวข้อ “สาส์นจากพระสันตปาปาว่าด้วย AI” ณ อาสนวิหารอัสสัมชัญ บางรัก กรุงเทพฯ พร้อมถ่ายทอดผ่านเพจเฟซบุ๊ก “Cofact โคแฟค” โดย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค(ประเทศไทย) ดำเนินรายการ กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อต้นปี 2567 สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ได้ออกสาส์นในวันสันติภาพสากล ว่าด้วยเรื่องปัญญาประดิษฐ์และสันติภาพ ข้อห่วงใย หลักธรรมของคาทอลิกที่มีต่อเรื่องพัฒนาทางการทางเทคโนโลยี ซึ่งมีความน่าสนใจและน่าศึกษาแลกเปลี่ยนเรียนรู้

นอกจากนี้ หลายคนอาจเคยเห็นสื่อต่างประเทศพาดหัวข่าวตั้งคำถามว่าเหตุใดพระสันตะปาปาจึงกลายเป็นที่นิยมในการนำไปทำภาพที่สร้างด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เช่น มีภาพของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส สวมชุดแบรนด์เนมดัง ซึ่งไม่ใช่ภาพจริงแต่มีคนเชื่อด้วยความเข้าใจผิดเป็นจำนวนมาก นี่คือตัวอย่างหนึ่งของโลกเสมือนจริงที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ จึงเป็นที่มาของการพูดคุยในครั้งนี้

โดย บาทหลวงอนุชา ไชยเดช ผู้อำนวยการสื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย กล่าวว่า วันสันติภาพสากล ตรงกับวันที่ 1 มกราคม ของทุกปี หรือวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งสมเด็จพระสันตะปาปาจะทรงออกสาส์นมาทุกปี และครั้งล่าสุดน่าจะเป็นครั้งที่ 57 ซึ่งเป็นสาส์นแห่งความห่วงใยทุกๆ คนไม่เฉพาะแต่ชาวคาทอลิกเท่านั้น เช่น เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่ในปี 2024 (2567) เรื่องปัญญาประดิษฐ์เป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างมาก สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส จึงออกสาส์นนี้มาเพื่อจะบอกว่า แม้ปัญญาประดิษฐ์จะเป็นพัฒนาการของโลกและมนุษย์ แต่อย่าลืมคำนึงเรื่องสันติภาพ

จากนั้นในวันที่ 24 มกราคม 2567 ตรงกับวันสื่อมวลชนสากล สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ก็ทรงออกสาส์นมาอีกฉบับหนึ่ง ชื่อว่า ปัญญาประดิษฐ์และปรีชาญาณแห่งหัวใจ มุ่งไปสู่การสื่อสารของมวลมนุษย์อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นในความหมายของสาส์นที่พระองค์ทรงออกมาล้วนแสดงความห่วงใย ต้องการกล่าวถึงจิตวิญญาณของผู้คนที่ต้องดำเนินชีวิตท่ามกลางสิ่งที่เกิดขึ้น เหมือนกับพลวัติที่เคลื่อนตาม เป็นนวัตกรรมที่ต้องศึกษา แต่ขณะเดียวกัน เราจะใช้สิ่งนี้เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติได้อย่างไร

ประเด็นสำคัญของสาส์นจากสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส เกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์หรือ AI มาจากมนุษย์ใช้ความช่วยเหลือจากเทคโนโลยี ไม่ว่าการเรียนรู้ ความเร็ว การรวบรวมข้อมูล ดังนั้นเราสามารถใช้เทคโนโลยีเดียวกันเพื่อสร้างสันติสุข ผลบวกและผลลบจากเทคโนโลยี เทคโนโลยีทำให้เราสื่อสารกันได้มากขึ้น ความเร็วของข้อมูล การรวบรวมประชากร แต่ขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงต่อมนุษยชาติ ดังนั้นอย่าลืมคำนึงถึงผลที่จะตามมาด้วย

เทคโนโลยีก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง และความเปลี่ยนแปลงนั้นเกี่ยวข้องกับชีวิตคนในทุกมิติเช่น การสื่อสาร การบริหารราชการ การศึกษา การบริโภค การปฏิสัมพันธ์ และในความเปลี่ยนแปลงมีความหลากหลาย ดังนั้นเราต้องเข้าใจตัวตนของปัญญาประดิษฐ์ก่อน โดยสมเด็จพระสันตะปาปา ให้ข้อคิดว่า ปัญญาประดิษฐ์ทำได้เพียงการเลียนแบบและผลิตซ้ำการทำงานบางอย่างของปัญญามนุษย์หากเราไม่เข้าใจก็อาจไปยกย่องเทิดทูนสิ่งที่สร้างมาจากมือเรา 

“จริงๆ สาส์นที่เผยแพร่ในวันสื่อมวลชนสากลพูดชัดขึ้นไปอีก บอกว่าเราไม่ควรเรียกปัญญาประดิษฐ์ เพราะเราให้ค่ากับ AI เกินไป ท่านบอกว่าเราควรจะเรียกว่า การเรียนรู้ด้วยตนเองของคอมพิวเตอร์ การใช้คำว่า ปัญญาประดิษฐ์ ทำให้สื่อเหมือนว่ามีปัญญา (Intellectual) จริงๆ แล้วมันเป็นการเรียนรู้ที่คอมพิวเตอร์พัฒนามาจากมนุษย์ ท่านพูดแบบนั้น กลับมาที่เรื่องสาส์นวันสันติภาพสากล ที่สุดท่านก็ไล่เรียงให้เห็นถึงเทคโนโลยี ความรู้ ขีดจำกัดอะไรที่มันเกิดขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วที่สุดท่านก็พามาถึงประเด็นร้อนแรงของสื่อ ที่อาจจะเกิดขึ้นในด้านจริยธรรม” บาทหลวงอนุชา กล่าว

บาทหลวงอนุชา กล่าวต่อไปว่า สาส์นวันสื่อมวลชนสากลให้ข้อคิดที่สำคัญว่า แม้ปัญญาประดิษฐ์จะช่วยเรา แต่สิ่งที่อยู่เหนือปัญญาประดิษฐ์คือหัวใจของมนุษย์หรือมโนธรรม ข้อมูลจากปัญญาประดิษฐ์คือข้อมูลที่มนุษย์ใส่เข้าไป แต่ข้อมูลที่เป็นชีวิต การปฏิสัมพันธ์ การพูดคุยสนทนากันจริงๆ เป็นของที่จริงกว่าและควรนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ สมเด็จพระสันตะปาปา ยังตั้งคำถามมากมาย เช่น เราจะปกป้องอาชีพและศักดิ์ศรีของผู้ทำงานด้านข้อมูลและการสื่อสารทั่วโลกได้อย่างไร จะมั่นใจในการร่วมกันของแพลตฟอร์มได้อย่างไร เป็นต้น

ขณะที่ประเด็นคนรุ่นใหม่ซึ่งเกิดและเติบโตมากับเทคโนโลยี (Digital Native) ทางศาสนจักรก็เป็นห่วง ซึ่งเรื่องการดูแลเยาวชนเป็นภารกิจของหนึ่งใน 16 หน่วยงานของศาสนจักร ซึ่งความพยายามเข้าถึงคนรุ่นใหม่ไม่ได้หมายความว่าทำให้ศาสนาอ่อนลง แต่ทำให้เปิดกว้างมากขึ้น เข้าใจคนรุ่นใหม่มากขึ้น อย่างสาส์นของสมเด็จพระสันตะปาปา ก็ยังลงท้ายว่าสันติภาพให้แก่คนรุ่นถัดไปในอนาคต

ทั้งนี้ หากผู้ใช้เครื่องมือไม่มีมโนธรรม เครื่องมือก็จะถูกใช้เพื่อตนเอง เช่น เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ เพื่อการบิดเบือนข้อมูล อย่างก่อนหน้านี้มีคำว่าข่าวลวง (Fake News) แต่ปัจจุบันมีคำว่าดีปเฟค (Deep Fake) ที่ปลอมแปลงได้ลึกขึ้นไปอีก (ปลอมเสียง-ภาพวีดีโอ) เรามองเห็นด้านมืดหรือความเสี่ยงของเทคโนโลยี แต่ก็คงไปบอกให้เลิกหรือปิดกั้นการใช้เทคโนโลยีไม่ได้ แต่ก็ต้องหาทางปิดหายนะที่จะตามมาจากสิ่งเหล่านี้

ถ้าในมุมของความน่าเชื่อถือ ความถูกต้อง แน่นอนระบบป้องกันในเชิงสื่อศึกษา การรู้ต้นตอของมันก็เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ทำความเข้าใจเหมือนสังคมทั่วไป แต่ในเรื่องของจิตอารมณ์ สิ่งที่เราควรที่จะแชร์-พูดถึงก็คือความจริง เพราะจากคำสอนที่บอกว่า พระองค์เป็นหนทางความจริงและชีวิต’ เราคงไม่สามารถนำเรื่องที่ไม่เป็นความจริงมาเผยแพร่ได้ เพราะผิดกฎ แต่เพื่อจะเช็คว่าตรงไหนเป็นความจริง ในแง่ของสื่อมวลชนคาทอลิก เราก็พยายามให้ข้อมูลว่าต้องกลับไปที่ต้นคอ” บาทหลวงอนุชา ระบุ

บาทหลวงอนุชา ยกตัวอย่างเรื่องการกลับไปที่ต้นตอของข่าว เช่น มีข่าวการประกาศตำแหน่งบิชอป หรือสังฆราชที่สังฆมณฑลนครสวรรค์ กลับมีการแชร์กันไปว่าบาทหลวงท่านนั้นท่านนี้จะได้เป็นโดยไม่ได้ดูแหล่งข้อมูล ดังนั้นก็ต้องสอนให้ตามกลับไปดูว่าข่าวมาจากไหน อย่างเรื่องนี้ข่าวควรมาจากสังฆมณฑลนครสวรรค์ อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ประชากรคาทอลิกมีจิตใจอยากช่วยเหลือสังคม รู้อะไรมาก็อยากจะเผยแพร่ ดังนั้นก็ต้องค่อยๆ บอก ค่อยๆ เรียนรู้กันไป การแบ่งปันคือเรื่องที่ดี แต่การแบ่งปันสิ่งที่ถูกต้องด้วยย่อมดีกว่า

หรือมีอีกตัวอย่างหนึ่ง เป็นคลิปวีดีโอบาทหลวงเหมือนกับมีอภินิหารทำให้คนป่วยลุกเดินได้ แต่ตนเป็นคนที่ดูภาพยนตร์มามาก เห็นคลิปทำให้รู้ทันทีว่าตัดมาจากภาพยนตร์เรื่องใด และบาทหลวงดังกล่าวไม่ได้ถูกสื่อในทางที่ดีด้วยเพราะอยู่ฝั่งปีศาจ อย่างแรกต้องเปิดใจก่อน ต้องรู้ว่าเทคโนโลยีคือสิ่งนี้ แม้แต่คนที่อยู่ในสนามสื่อก็ใช่ว่าจะรู้ทั้งหมด ต้องละเอียดอ่อนมากขึ้น ชัวร์ก่อนแชร์ ไม่ชัวร์ก็ใจเย็นๆ ไว้ก่อน

อีกด้านหนึ่ง การที่เรามองผู้คนเหมือนเป็นพี่-น้อง ก็เป็นอีกหลักการที่สำคัญ ซึ่งในศาสนาคริสต์มีคำสอนว่า ทุกคนเป็นภาพลักษณ์ (Image) ของพระเจ้า ดังนั้นเมื่อคนเรามองกันดี จะทำอะไรก็ต้องทำสิ่งดีออกมา แต่ก็ต้องใช้ข้อมูลมากขึ้น อย่างที่มีคำพูดว่าเหมือนโลกนี้จะอยู่ยากขึ้น จึงเป็นความพยายามของสมเด็จพระสันตะปาปา ที่ต้องการให้กลับไปที่หัวใจ ที่การฟังที่มโนธรรมของแต่ละคน และก้าวไปด้วยกัน ซึ่งเมื่อเราก้าวไปด้วยกันอย่างเป็นพี่เป็นน้อง ก็เชื่อมั่นว่าสันติสุขมันจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ส่วนคำถามที่ว่า ศาสนาคริสต์ให้คุณค่ากับคำว่าเสรีภาพอย่างมาก แต่อีกด้านของเสรีภาพก็มีด้านลบ ดังตัวอย่างก่อนหน้านี้ประมาณ 10-20 ปี หลายคนมองอินเตอร์เน็ตว่าเป็นพื้นที่แห่งเสรีภาพ แต่ระยะหลังๆ หลายคนถึงกับเลิกใช้ไปเลยก็มี เพราะทนไม่ไหวกับข้อมูลที่มีทั้งการหลอกลวงและความรุนแรง แต่ขณะเดียวกันไม่อยากให้ต้องปิดกั้นเสรีภาพจนเกินไป เรื่องนี้ บาทหลวงอนุชา ให้ความเห็นว่า ในมุมศาสนา พระเจ้าให้เสรีภาพ แต่ทั้งตัวเราและผู้อื่นต่างก็มีเสรีภาพ เราจะไปก้าวก่ายผู้อื่นก็คงไม่ได้ ดังนั้นเสรีภาพต้องตามมาด้วยความรับผิดชอบ

บาทหลวงอนุชา กล่าวสรุปจากสาส์นวันสันติภาพสากล และวันสื่อมวลชนสากล ในปี 2567 ซึ่งให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ มีประเด็น 3 หัวข้อ 1.จับมือกันหน่วยงานอื่นๆ เช่น เราเป็นองค์กรศาสนา แม่นเรื่องศาสนาแต่อาจไม่แม่นเรื่องเชิงเทคนิค จึงต้องจับมือกันและสร้างความร่วมมือเพื่อทำให้เกิดสิ่งดีๆ กับสังคมและเรียนรู้ไปด้วยกัน 

2.สร้างคนรุ่นใหม่ ปัจจุบันนี้เป็นเวลาของคนรุ่นใหม่แล้ว จะสร้างคนรุ่นนี้ได้อย่างไร ให้เข้าใจและส่งต่อโลกที่มีพัฒนาการและให้เข้าใจหลักศาสนาที่เราหลอมรวมกันมา และ 3.จะใช้เครื่องมือเทคโนโลยีอย่างไรให้เกิดสิ่งที่พัฒนาต่อไป ให้คนเข้าใจศาสนามากขึ้น ตอบโจทย์สังคมมากขึ้น เข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้แต่ก็ไม่หลงลืมสิ่งเดิมๆ เช่น พระคัมภีร์ รูปภาพเก่าๆ ที่ทำให้เรามีความเชื่อและศรัทธามาตั้งแต่อดีต

ผมชอบประโยคที่อยู่ในสาส์นมาก เขาพูดคล้ายๆ ว่าปัญญาประดิษฐ์มันเกิดขึ้นจากปัญญาของเรา มันไม่ได้อยู่ดีๆ แล้วจะดีเลิศ เราก็ใส่ข้อมูลให้เขาไปเรื่อยๆ แต่สิ่งที่ปัญญาประดิษฐ์ไม่มีคือมโนธรรม เขาไปต่อไม่ได้ เขาวาดรูปจากสิ่งที่สั่งสม เขามีข้อมูลจากการสั่งสม แต่มันเป็นการที่เขาก็พัฒนาของเขาไป แต่มมนุษย์พัฒนาไปไกลมาก แต่บางทีเราไปหยุดแต่สิ่งที่เป็นเครื่องมือ วันนี้มีปัญญาประดิษฐ์ อนาคตไม่รู้มีอะไรประดิษฐ์ต่อ ผมอยากบอกให้เชื่อมั่นว่าไม่ว่าจะนับถือศาสนาอะไรก็ตาม แต่เมื่อมีชีวิตแล้วมันเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดก่อน แต่ชีวิตที่จะเจริญไป อาจเจอความยากลำบาก โรคภัยไข้เจ็บหรืออะไรต่างๆ ขอให้มองว่ามันเป็นของจริง มันเป็นสิ่งที่ต้องเจออยู่แล้ว แต่ศาสนาจะช่วยเยียวยา” บาทหลวงอนุชา กล่าวในตอนท้าย

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

‘Bully-Hate Speech’  คำก่อวงจร ‘ความรุนแรง’สะสมบานปลาย ใช้สื่อออนไลน์พึงตระหนัก ‘ใจเขาใจเรา’

Editors’ Picks

เมื่อเร็วๆ นี้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ร่วมกับกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ มูลนิธิฟรีดริช เนามัน ประเทศไทย TikTok Thailand บริษัท เทลสกอร์ จำกัด  โคแฟค (ประเทศไทย) มูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย และเครือข่ายเสริมสร้างอินเทอร์เน็ตปลอดภัย ประเทศไทย จัดกิจกรรมเปิดตัวโครงการประกวดคลิปสั้นติ๊กต๊อก (TikTok) รณรงค์เสริมสร้างความตระหนักรู้เรื่องการสื่อสารที่ไม่สร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) ภายใต้แคมเปญ “ฮักบ่Hate” ณ Creator House by TikTok ชั้น 4 สยามพารากอน กรุงเทพฯ

วสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติกล่าวเปิดงาน โดยระบุว่า เนื่องในโอกาสที่เดือนกุมภาพันธ์ถือเป็นเดือนแห่งความรัก ขณะเดียวกัน ยังเป็นเดือนที่มีการรณรงค์ส่งเสริมความปลอดภัยทางอินเตอร์เน็ต (Safer Internet Day) ทั้งของประเทศไทยและสากล ซึ่งการส่งเสริมให้การใช้อินเตอร์เน็ตมีความปลอดภัยเป็นเรื่องสำคัญ และหนึ่งในความไม่ปลอดภัย คือการสร้างภาษาหรือถ้อยคำที่ไปทำร้ายผู้อื่น หรือสร้างความเกลียดชัง อย่างที่เรียกกันว่า “ประทุษวาจา (Hate Speech)” จึงอยากจัดกิจกรรมรณรงค์เพื่อให้การสื่อสารเป็นไปอย่างสร้างสรรค์

“โครงการประกวดคลิปสั้นทาง TikTok นี้  จะเปิดให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชนทั่วไป ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการที่จะแบ่งปัน แชร์ประสบการณ์ หรือร่วมกันเสริมสร้างความตระหนักเกี่ยวกับเรื่องปัญหา Hate Speech หรือว่าการสร้างความเกลียดชังในสื่อสังคมออนไลน์” วสันต์ กล่าว

จากนั้นเป็นวงเสวนาหัวข้อ ฮักบ่Hate การสื่อสารที่ไม่สร้างความเกลียดชัง โดย วาเนสซ่า ชไตน์เม็ทซ์ ผู้อำนวยการโครงการประจำประเทศไทยและเมียนมา มูลนิธิฟรีดริช เนามัน กล่าวว่า ผลสำรวจในเยอรมนี เมื่อปี 2566 พบว่า ร้อยละ 76 ของชาวเยอรมัน เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับ Hate Speech และร้อยละ 98 ของคนรุ่นใหม่ ไม่เพียงแต่พบเห็นเท่านั้น แต่ยังมีประสบการณ์ตรงและเป็นเหยื่อของเรื่องนี้ด้วย

ซึ่ง Hate Speech ถือเป็นภัยคุกคาม ทำให้เสรีภาพในการแสดงออกไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่เพราะคนจะรู้สึกกลัว และ Hate Speech ที่อยู่ในโลกออนไลน์ก็สามารถทำร้ายคนในโลกแห่งความเป็นจริงได้เช่นกัน ทั้งนี้ เราไม่จำเป็นต้องรักหรือโอบกอดคนที่เราไม่ชอบ แต่เราควรมีการถกเถียงและแลกเปลี่ยนกันอย่างสร้างสรรค์ โดยมีโครงการหนึ่งที่ทำอยู่อยากให้มีพื้นที่ปลอดภัยในการแสดงความคิดเห็น และเราไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยเหมือนกันหมด แต่แม้จะไม่เห็นด้วยก็ควรจะสามารถแลกเปลี่ยนกันได้ เราควรมีวัฒนธรรมของการแลกเปลี่ยน

อย่างไรก็ตาม การที่ในเยอรมนีมีกฎหมายที่กำหนดให้ผู้ให้บริการสื่อสังคมออนไลน์ต้องนำเนื้อหาที่ถูกระบุว่าเป็นการสร้างความเกลียดชังออกจากระบบภายใน 7 วัน มีข้อกังวล 3 ประการ 1.เหมือนกับการลิดรอนเสรีภาพในการแสดงออก 2.ผู้เผยแพร่เนื้อหาที่ถูกนำออกจากระบบไม่มีโอกาสได้ชี้แจง และ 3.เริ่มเห็นปรากฏการณ์ของฝ่ายขวาในเยอรมนี และเห็น Hate Speech ที่กลายเป็น HateCrime (อาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชัง) ก่อให้เกิดความรุนแรงและความแตกแยกขึ้นมาได้นอกจากนั้น ระยะการพิจารณาที่สั้นยังมีผลต่อการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล

“กฎหมายล่าสุด ก็คือ EU European Digital Act 2024 ซึ่งได้รับการบัญญัติขึ้นมาในปีนี้ จะทำให้กฎหมายในแต่ละประเทศในยุโรปมีกฎหมายเดียวในการพิจารณาเรื่องนี้ อาจจะดีกว่าการมีกฎหมายแบบนี้ในแต่ละประเทศ” ผู้อำนวยการโครงการประจำประเทศไทยและเมียนมา มูลนิธิฟรีดริช เนามัน กล่าว

ผศ.ดร.ธานี ชัยวัฒน์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า แม้ตนจะไม่ได้ทำงานเรื่อง Hate Speech โดยตรง แต่ก็ทำเรื่องการต่อต้านปัญหาการกลั่นแกล้งรังแกกัน (Anti-Bullying) มาได้สักระยะหนึ่ง ซึ่งนิยามของการกลั่นแกล้งรังแก (Bully) มีคำสำตัญ (keyword) 3 คำ คือ 1.การกระทำใดๆ ก็ตาม ทั้งทางร่างกาย วาจาหรือความรู้สึก ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องอะไรก็ได้ 

2.ต่อผู้อื่น หมายถึงยึดผู้อื่นเป็นหลัก ไม่ใช่ยึดที่ตัวเราซึ่งบอกว่าตนเองไม่ได้รังแก อย่างที่ในภาษาไทยมีสำนวนว่า เอาใจเขามาใส่ใจเรา หรือคำว่า “Empathy” ในภาษาอังกฤษ ที่หมายถึงการจะทำอะไรให้คิดถึงผู้อื่นไว้ก่อน และ 3.ทำให้มีความคิดในเชิงลบ เช่น เสียใจ เจ็บใจ เศร้าใจ มีความทุกข์ คิดมาก ไม่สบายใจหรืออื่นๆ ขณะที่หากมองผลกระทบของการกลั่นแกล้งรังแก จะมีผู้เกี่ยวข้อง 3 คน 

1.ผู้กระทำ คนที่เติบโตมากับพฤติกรรมกลั่นแกล้งรังแกผู้อื่น จะเรียนรู้ว่าเมื่อใดที่ตนเองมีอำนาจหรือมีความสามารถในการทำร้ายผู้อื่นได้อย่างไม่ต้องรับผิดชอบก็มีแนวโน้มที่จะทำเช่นนั้น 2.ผู้ถูกกระทำ ซึ่งมีสุขภาพจิตที่แย่ลง ยังมีผลกระทบระยะยาวคือถูกทำให้อ่อนแอแล้วเหยียบซ้ำ เพราะเป็นการแสดงความแข็งแรงของคนบางกลุ่ม และในทางกลับกันก็ได้เรียนรู้เช่นกันว่า เมื่อใดตนเองมีอำนาจก็จะสามารถทำร้ายผู้อื่นได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบบ้าง และ 3.คนอื่นๆ ในสังคม ได้เรียนรู้ว่าใครก็ตามที่มีอำนาจจะทำร้ายผู้อื่น ไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวด้วย 

ทั้งนี้ หากถ้าเชื่อมโยงกับประเด็น Hate Speech ตนคิดว่าเติบโตขึ้นตามการเติบโตของCyberbullying (การกลั่นแกล้งรังแกทางออนไลน์) ซึ่ง Cyberbullying มีทั้งข้อดี-ข้อเสีย ข้อดีคือการละเมิดทางกายอาจจะไม่ค่อยเกิดขึ้นเพราะเป็นช่องทางออนไลน์ หลักๆ ก็จะเป็นการละเมิดทางวาจาและทางสังคมเป็นหลัก แต่ข้อเสียที่สำคัญจะมี 2 เรื่อง คือ 1.ทำให้การกลั่นแกล้งรังแกไม่ถูกจำกัดด้วยพื้นที่อีกต่อไป ในอดีตการรังแกมักเกิดขึ้นในโรงเรียน แต่ปัจจุบันทำกันในพื้นที่เปิดและเป็นพื้นที่สาธารณะ กระตุ้นให้เกิดความอยากแสดงอำนาจมากขึ้น

กับ 2.ความเท่าเทียมทำให้โลกออนไลน์กลายเป็นพื้นที่สะสมความรุนแรงที่ตอบโต้ปะทะกัน หากเป็นการกลั่นแกล้งรังแกในพื้นที่ทางกายภาพ มักเป็นเรื่องของคนตัวใหญ่รังแกคนตัวเล็กหรือคนหมู่มากรังแกคนกลุ่มน้อย แต่บนโลกออนไลน์ไม่ว่าจะเป็นใครก็สามารถตอบโต้กันด้วยความรุนแรงได้อย่างเท่าเทียม ซึ่งในแง่นี้ความเท่าเทียมจึงไม่ได้มีความหมายในเชิงบวก แต่เป็นเชิงลบและมีผลกระทบมหาศาล

“ความยากของประเทศไทย เราเคยพยายาม Detect (ตรวจจับ) เรื่อง Hate Speech แต่ในสังคมไทยมันมีความซับซ้อน เช่น ถ้าในเฟซบุ๊กเขียนว่า ‘แหม! วันนี้เธอสวยจัง’ ไม่รู้ชมหรือด่า? หรือ ‘เพื่อนสนิทแกโพสต์แล้ว’ เพื่อนสนิทนี่แปลว่าคนที่แกชอบหรือไม่ชอบ? หรือถ้าบอกว่า ‘แหม! เรื่องนี้เก่งเป็นพิเศษเลยนะ’ เป็นเรื่องที่ดีหรือเปล่า? มันแยกไม่ได้จริงๆ พอบอกว่าวันนี้fเธอสวยจัง เฉพาะเขาและเพื่อนในกลุ่มเท่านั้นที่รู้ว่าคนนี้ด่าหรือชม แต่พอเราเป็นคนนอกเราจะไม่รู้เลยว่าด่าหรือชม” ผศ.ดร.ธานีกล่าว

ศรีดา ตันทะอธิพานิช กรรมการผู้จัดการมูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย กล่าวว่า การใช้อินเตอร์เน็ตมีกฎอยู่ข้อหนึ่งว่า ต้องตระหนักว่าคนที่คุณสื่อสารด้วยบนโลกออนไลน์มีตัวตนอยู่จริงดังนั้นต้องเข้าใจด้วยว่าทำอะไรไปแล้วย่อมส่งผลกระทบกับคนจริงๆ แต่ปัจจุบันไม่แน่ใจว่ายังมีความตระหนักรู้แบบนี้เหลืออยู่มาก-น้อยเพียงใด เพราะเห็นสิ่งที่โพสต์หรือแชร์กันแบบ ใจร้าย จำนวนมาก 

อย่างเด็กบางคนถูกกระทำมาอย่างหนักแล้วในชีวิตจริง แต่ยังต้องมาเจอถ้อยคำเหยียดหยามบนโลกออนไลน์อีก ซึ่งคนโพสต์อาจมองว่าแค่คำคำเดียวพรุ่งนี้ก็ลืมแล้ว แต่คนที่มาเห็นนั้นอาจเจอมาเป็นคำที่ 1,000 ก็ได้ และกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายถึงขั้นฆ่าตัวตาย ขณะเดียวกัน ยังมีความเข้าใจว่าบางอย่างทำได้ไม่ผิดกฎหมาย เช่น โพสต์ข้อความรุนแรงที่เข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นประมาท แต่ต่อท้ายว่าความเห็นส่วนตัว (คหสต.) 

อนึ่ง “Hate Speech อาจไม่จำเป็นต้องใช้ถ้อยคำหยาบคายเสมอไป แต่หมายถึงถ้อยคำที่นำไปสู่การแบ่งฝักแบ่งฝ่าย กีดกันหรือด้อยค่าก็ได้  เช่น มีการเสนอข่าวบุคคลหลากหลายทางเพศ (LGBT) ที่สวยที่สุด นำไปสู่ความเห็นฝ่ายหนึ่งบอกไม่สวยเลย ไปหาผู้หญิงแท้ดีกว่า แต่อีกฝ่ายก็ย้อนว่า LGBT จะสวยบ้างไม่ได้หรือ ทั้งนี้ การกลั่นแกล้ง รังแก (Bully) หรือที่ราชบัณฑิตใช้คำว่า ระราน แปลคำว่า Cyberbullying หรือการระรานทางออนไลน์ อาจเริ่มจากการแกล้งกันแบบ 1 ต่อ 1 หรือพาพวกไปรุม 

แต่เมื่อแกล้งกันไป-มา มีการล้อเลียนลักษณะทางกาย (Body Shaming) หรือล้อเลียนเรื่องเพศสภาพก็จะมีมวลมหาศาลลุกขึ้นมาสู้กันอีก ก็กลายเป็นการใช้ถ้อยคำสร้างความเกลียดชังหรือ Hate Speech ดังนั้นการ Bully กับ Hate Speech จึงมีความสัมพันธ์แบบไป-กลับซึ่งกันและกัน เช่น จาก Hate Speech ที่เป็นทางวาจา อาจกลายเป็นการ Bully ทำร้ายกันทางกายได้

“ทำร้ายกันทางกายภาพ ถ่ายคลิปวีดีโอขึ้นมา ก็จะมีทางวาจามากระทำซ้ำอีก แชร์ไปบิดเบือน แล้วก็อาจมีการทำร้ายร่างกายแล้วก็ถ่ายขึ้นมาอีก เพราะฉะนั้นตัวเองคิดว่าไม่พูดถึงจำนวนว่ามันมากขึ้นหรือน้อยลง แต่พูดว่ามันบานปลายในแง่ที่ว่าการแกล้งหรือด่าว่าใครสักคนหรือทั้งกลุ่มก้อน พอขึ้นมาบนออนไลน์มันมีคนร่วมเยอะขึ้น แล้วเรื่องมันก็ไปไกลขึ้น ฉะนั้นการแก้ไขก็ยากขึ้น ผลกระทบก็หมู่มากขึ้น อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ตัวเองคิดว่า การใช้เทคโนโลยีทำให้เรื่องนี้มันรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่มีใจเขาใจเรา” ศรีดา กล่าว

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวสรุปความเห็นจากผู้ร่วมเสวนาทั้ง 3 ท่าน ว่า รู้สึกสะท้อนใจในแง่เด็กและเยาวชนมีความทุกข์จากการถูกกลั่นแกล้งในโลกออนไลน์ ซึ่งอาจเป็นเพราะเด็กยุคนี้ใช้เวลากับโลกออนไลน์กันมากจึงมีปฏิกิริยาด้านลบมาก หรือหากเป็นผู้ใหญ่ก็อาจเจอปัญหาอีกแบบหนึ่ง แต่จะแก้ปัญหากันอย่างไร เช่น หากเป็นเรื่องที่มีความผิดชัดเจนก็ต้องบังคับใช้กฎหมาย รวมถึงอาจต้องมีกฎหมายเพิ่มในบางกรณี อาทิ เรื่องเด็กและเยาวชน 

แต่สิ่งที่ต้องมีมากกว่านั้น คือคนทุกคนแม้จะไมได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น ไมได้เป็นทั้งผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ หากนิ่งเฉยก็เท่ากับสมรู้ร่วมคิดด้วย ดังนั้นทุกคนต้องลุกขึ้นช่วยกันแก้ไข ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของโคแฟคที่ทำงานด้านตรวจสอบข่าวลวง ที่เน้นย้ำว่านอกจากแต่ละคนจะต้องตรวจสอบให้ชัดเจนก่อนแชร์ข้อมูลใดๆ ออกไปแล้ว ยังต้องช่วยแก้ไขข่าวลวงที่พบเห็นนั้นด้วย เรื่องของการใช้ Hate Speech หรือการละเมิดก็เช่นเดียวกัน ผู้พบเห็นต้องส่งเสียงไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง 

นอกจากนี้ยังพบว่าการเตือนกันตรงๆ หากเป็นคนรู้จักก็อาจโกรธกัน หรือหากไม่รู้จักกันก็อาจเจอทัวร์ลงได้ ทำให้คนรู้สึกกลัว และจริงๆ ทุกวันนี้หลายคนอาจทยอยหายไปจากโลกออนไลน์แล้วก็ได้ เพราะเบื่อและเหนื่อย ซึ่งตรงกับข้อมูลที่บอกว่า Hate Speech เป็นอุปสรรคของเสรีภาพในการแสดงออก (Free Speech) เพราะหากมี Hate Speech มากๆ คนก็ไม่อยากคุยกัน เพราะคุยไปก็เหนื่อยและเบื่อ

ถ้าเป็นเรื่องของการสื่อสารที่ลดความเกลียดชัง ทุกท่านก็พูดตรงกันก็คือกลับมาเข้าอกเข้าใจกัน เห็นใจคนอื่น เอาใจเขามาใส่ใจเรา แต่ขณะเดียวกันก็ต้องลุกขึ้นมาเป็น Changemaker (ผู้สร้างความเปลี่ยนแปลง) ด้วย ในการแก้ไขหรือว่าโต้แย้ง หรือช่วยทำให้สิ่งที่มันไม่ถูกต้องเปลี่ยนทัศนคติ เปลี่ยนวิธีคิดหรือเปลี่ยนพฤติกรรม รวมไปจนถึง Culture (วัฒนธรรม) ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากที่สุด เพราะจากที่ทำงานเรื่องสื่อ เรื่องโครงสร้างมานาน 2 ทศวรรษ เมืองไทยเราผลักดันกฎหมาย องค์กรอิสระ กองทุน คือเรามีทุกอย่างแต่คนก็ยังวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของสื่อและพฤติกรรมการรับสื่อ เพราะส่วนหนึ่ง Culture ลึกๆ มันอาจยังไม่ได้เปลี่ยนแม้ว่าเราจะมีกลไกต่างๆ มากมาย สุภิญญา กล่าว

สำหรับกิจกรรมประกวดคลิปสั้น TikTokรณรงค์เสริมสร้างความตระหนักรู้เรื่องการสื่อสารที่ไม่สร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) ภายใต้แคมเปญ ฮักบ่Hate” มีกติกาโดยให้สร้างสรรค์คลิปความยาวไม่เกิน 1 นาที มีเนื้อหาเกี่ยวกับการแบ่งปันมุมมอง ความเข้าใจ และความตระหนักต่อเรื่องสิทธิมนุษยชนในประเด็นการสื่อสารที่ไม่สร้างความเกลียดชัง หรือ Hate Speech ชิงรางวัลรวมมูลค่า 50,000 บาท 

ผู้สนใจมารถส่งคลิปเข้าร่วมการประกวดได้ตั้งแต่วันนี้ – 8 มีนาคม 2567 และสามารถติดตามรายละเอียดและหลักเกณฑ์การประกวดเพิ่มเติมได้ที่ TikTok : สำนักงาน กสม. (@nhrc_thailand) และ Facebook Fanpage : สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2567

คำแนะนำใช้ไข่ขาวทาแผลไฟไหม้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1scuonzjdvxhc


เล่นมือถือในที่มืดนาน ทำให้เป็นมะเร็งตา หรือ ตาบอดถาวร…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2k9mlz6od25e


3 วิธีรักษาโรคมะเร็งด้วยตนเอง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1yuwm18j2ydfx


ททท. แจกส่วนลดตั๋วเครื่องบิน 300 บาท จำนวน 5 แสนสิทธิ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2nkpxkzovaq8o


เงินฉุกเฉิน กู้ง่ายได้จริงไม่ยุ่งยาก ตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไป ผ่านเพจสินเชื่อ ออมสิน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/864jc4wyp44a


อันตรายการโทรทางไลน์เสี่ยงเกิดเนื้องอกในสมอง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3s5gnh1wxixab


เอกสารหนังสือรับรองให้ยืนยันตัวตนเข้าระบบ เพื่อแก้ไขข้อมูลธนาคาร โดยการฝากเงินเข้าระบบกระเป๋าตังค์ จำนวน 30,000 บาท…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2okl167g6myka


 รถไฟฟ้าสายสีชมพู เปิดให้บริการเดินรถเต็มรูปแบบ 30 สถานี ตั้งแต่ 1 ก.พ. 67 เริ่มเก็บค่าโดยสาร 15-45 บาท

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2sb1tj9eboku3#_=_


 ผู้ประกันตนป่วยหยุดหายใจขณะหลับ สามารถเบิกค่า Sleep test และเครื่อง CPAP ได้

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3vw5kgeugpre2


 ครม. อนุมัติหลักเกณฑ์ใหม่ ดื่มแล้วขับ ดื้อไม่เป่าเครื่องวัดแอลกอฮอล์ ให้อำนาจ ตร. คุมตัวส่ง รพ. พร้อมตรวจหาแอลกอฮอล์จากปัสสาวะได้

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2xxst29vl34tb


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2567

สบู่แดงรักษาโรคมะเร็ง และแผลติดเชื้อเรื้อรัง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/28n6hufm12rlh


บัญชีไลน์ผู้วางแผนการลงทุน อยู่ภายใต้สำนักงาน ก.ล.ต….จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/10nzp3bn0yx93


วัคซีนโควิด-19 ทำให้เป็นโรคงูสวัด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1vauit8yzrg5w


ดวงอาทิตย์คือสาเหตุของสภาวะโลกร้อน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/378613dnmzocy


วัคซีนโควิด-19 ทำให้เป็นโรคเรื้อน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3p7elzjfpkhdk


น้ำยาล้างจานจะช่วยให้น้ำมีอากาศเยอะ ปลาจะไม่ตายง่าย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/37dt11wrrgzs7


 สปสช. เปิดสายด่วน 1330 ให้ประชาชน 4 จังหวัดนำร่อง

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2pmo7ku66jch5


 กองสลากฯ เพิ่มจำนวนสลากดิจิทัล เริ่มงวด 16 ก.พ. 67

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2qax6wfkpk7n4


 สปสช. แจ้งคนไทยต่างแดนสามารถใช้สิทธิบัตรทอง พบหมอออนไลน์ผ่าน 4 แอปพลิเคชัน ฟรี!

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3pg51wayhvnld#_=_


  ไทยเข้าสู่ฤดูร้อนปลายเดือน ก.พ. – พ.ค. 67 อุณหภูมิสูงสุด 44.5 องศา

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/98733ueduwog


10 สัญญาณเตือนโรคแพนิก…จริงหรือ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/11pukklc77n5i


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 27 มกราคม 2567

กินแล้วนอนทำให้เสี่ยงเกิดโรคมะเร็งหลอดเลือด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/387wz3wscq7vz#_=_


น้ำเกลือ Normal Saline ใช้แช่คอนแทคเลนส์ได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/wbmnxjznrevp


สคร. ทำหนังสือประชาสัมพันธ์เชิญชวนเข้าร่วมกลุ่มการลงทุน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2docqxvd4j8ce


ดื่มน้ำใบมะละกอปั่นสด ช่วยป้องกันและรักษาโควิด 19…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/25jxdi0aq9eha


  รฟท. เปิดจองตั๋วรถไฟญี่ปุ่น 4 เส้นทาง Season of Love 200 ที่นั่ง ต้อนรับเดือนแห่งความรัก ก.พ. 67 ตลอดทั้งเดือน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3d2uup0gdrib8


 สปสช. อนุมัติวัคซีนไอกรนชนิดไร้เซลล์อยู่ในชุดสิทธิบัตรทอง

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1noqsify8gs5w


 “ระวังติดเชื้อไข้หูดับ จากการกินหมูดิบ (เผลอใช้ตะเกียบคีบผิด)”

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2tds0g99fkrp6

  เบิกค่า “Sleep Test” ผู้ประกันตน “ป่วยหยุดหายใจขณะหลับ”

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2swdljea5nryk#_=_

  ตร.ซ้อนแผนจับ ศรีสุวรรณ คาบ้านพักย่านปทุมฯ ข่มขู่รีดเงินอธิบดีกรมการข้าว 3 ล้าน

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1uhmyxlgi7cmv


 ฝุ่นละออง PM2.5 ในอากาศ ทำให้การทำงานของระบบประสาทลดลง

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1m9asuwqkhvwp#_=_