สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 6 เมษายน 2567

เตือนภัยดูดเงินผ่านแอป ไม่ต้องกดลิงก์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1n0vb79q7gg35


3 จุดสังเกตไตอ่อนแอ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1n9xgxgsovgop


ถอดกระดิ่งคอมาถือ ฟ้าผ่าดับคาทุ่งรับเคราะห์แทนวัว…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/hw5nnrd5m83p


จ.ระยองมีผู้ติดเชื้อVibrio Valnificusที่มาจากหอยแครงและหอยแมลงภู่ 2 ราย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/15lztvierqls3


กรมการขนส่งฯ ออกระเบียบรถบัส 2 ชั้น ให้ต่อทะเบียนซึ่งมีค่าใช้จ่ายแพง และงดวิ่งสงกรานต์ทั่วประเทศ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1u4tvyac1x73t


   จองตั๋วรถไฟออนไลน์ สแกนจ่ายผ่านพร้อมเพย์ผ่านหน้าเว็บไซต์การรถไฟแห่งประเทศไทย

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/33ar5x592xwp6


  สิ่งของ 6 อย่างที่ห้ามวางไว้ในรถยนต์

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2zt9wv75iu85h


   พบ “กากแร่แคดเมียม” สารปนเปื้อนอันตรายร้ายแรง-สารก่อมะเร็ง 15,000 ตัน ภายในโรงงาน จ.สมุทรสาคร

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/py5fay5t8q57


  แผ่นดินไหว 6.0 เขย่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือญี่ปุ่น รับรู้ถึง ‘โตเกียว’ ไม่มีเตือนสึนามิ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1ixl7qvhmh402


ผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/ar0f0d4ws0gt


กัมพูชาขึ้นทะเบียนสงกรานต์ ทรัพย์สินทางวัฒนธรรมมรดกโลก…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/14oul1hy0wh74


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 30 มีนาคม 2567

เทคนิคแก้ไมเกรนหาย ด้วยลูกโป่งเพียงลูกเดียว…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1bw3eg7u6lvw5


ผงชูรส กับบัญชีดำ 8 อาหารก่อมะเร็ง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/kqeaylpb9bug


“น้ำส้มสายชูหมัก” ลดลิ่มเลือดอุดตันจากวัคซีนโควิด-19…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/zeghfka8sbxr


“พริกแห้งหมาล่า อันตรายต่อตับและร่างกายทุกส่วน  ทำมาจากโซดาไฟราดพริก”…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/klpp4muje73t


   ‘เจ็บป่วยเล็กน้อย 16 กลุ่มอาการ’ ใช้สิทธิบัตรทอง รับยาที่ร้านยาใกล้บ้านฟรี

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/ap9szaidm3ak


  แพทยศาสตร์ จุฬาฯ ตามหาญาติ ‘อาจารย์ใหญ่’ 18 ท่าน

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3rbvg5pxlzjm0


  กฟน. ร่วมกับ คิวช่าง มอบส่วนลดล้างแอร์ราคาพิเศษ จำนวน 10,000 สิทธิ์

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2xiu05k312ybc


สภาผ่านร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมแล้ว…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3qof4z0c6jxvj

2 เมษา ชวนร่วมงานจาก Cheapfakes สู่ Deepfakes: เตรียมรับมืออย่างไรให้เท่าทัน [วันตรวจสอบข่าวลวงโลก 2567 :International Fact-Checking Day 2024 ]

Editors’ Picks

กำหนดการ

จาก Cheapfakes สู่ Deepfakes: เตรียมรับมืออย่างไรให้เท่าทัน
Running from Tigers, Facing the Crocodiles
การสัมมนาระดับชาติเนื่องในโอกาสวันตรวจสอบข่าวลวงโลก 2567 
International Fact-Checking Day 2024 

2 เมษายน 2567 เวลา 10.30 – 20.00 น. 

 ณ ห้องเอนกประสงค์ชั้น 1 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร แยกปทุมวัน กทม.

10.30 – 12.00 น. เปิดบูธ 1. การ์ดเกม ‘การรู้เท่าทันสื่อ’ > มูลนิธิฟรีดิชเนามันเพื่อเสรีภาพ

2. อบรมตรวจสอบข้อมูลพื้นฐาน > ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย อสมท

12.00 – 13.00 น. พัก-อาหารเที่ยง 

13.00 – 13.05 น. หมอลำโคแฟคจากขอนแก่น เพลง ‘หยุดข่าวลวง ทวงความจริง’

13.05 – 13.15 น. กล่าวต้อนรับโดย คุณชัชชาติสิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

13.15 – 13.25 น. กล่าวเปิดโดย  นายแพทย์พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุน
การสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)  

13.25 – 13.35 น. กล่าวนำโดย Faith Chen, APAC News Partnerships, Google News Initiative 

13.35 – 14.05 น. ปาฐกถา หัวข้อ “From Cheapfakes to Deepfakes: Strengthening quality journalism to fight disinformation” 

  • Cédric Alviani หัวหน้าสำนักงาน องค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรหมแดน Reporters without Borders (RSF) ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

แนะนำมาตรฐานสากลของวารสารศาสตร์ที่น่าเชื่อถือ ของ Journalism Trust Initiative (JTI) องค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรหมแดน โดย 

  • Liang-wei, HUANG เจ้าหน้าที่ภูมิภาค JTI เอเชียแปซิฟิค 

14.05 – 15.05 น. Lightning Talks: ภาพรวมการตรวจสอบข้อมูลลวงในรอบปี 2566 

  • รองศาสตราจารย์ดร. เจษฎาเด่นดวงบริพันธ์ Fact Checker, นักสื่อสารวิทยาศาสตร์และอาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • คุณณัฐกรปลอดดีผู้ตรวจสอบข่าวประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค  สำนักข่าวเอเอฟพี  Agence France-Presses (AFP)
  • ดร.สันติภาพเพิ่มมงคลทรัพย์รองผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม 
  • คุณพีรพลอนุตรโสตถิ์ ผู้จัดการศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย อสมท
  • คุณสุภิญญากลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) และ ทีมโคแฟค 

ดำเนินรายการโดย  ธนภณ เรามานะชัย ผู้เชี่ยวชาญการตรวจสอบข้อมูล ภาคีโคแฟค/ดร.คันธิราฉายาวงศ์ คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 

15.05 – 15.15 น. Dance break 

15.15 – 16.15 น. เสวนาหัวข้อจากชีพเฟคถึงดีพเฟคการตรวจสอบรู้เท่าทันยังเพียงพอหรือไม่  

  • คุณจีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง เลขาธิการสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
  • คุณภิญโญ ตรีเพชราภรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารความเสี่ยงภาพรวม  ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) 
  • Professor Masato Kajimoto ศาสตราจารย์ประจำศูนย์วารสารศาสตร์และสื่อศึกษา มหาวิทยาลัยฮ่องกง
  • Faith Chen, APAC News Partnerships, Google News Initiative (GNI)
  • คุณฐิตินันท์ สุทธินราพรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท Gogolook และ Whoscall
  • ดร.จิรพรวิทยศักดิ์พันธุ์ ประธานคณะกรรมการบริหารแผนคณะที่ 8 สสส.

ดำเนินรายการโดย  ดร.พิมพ์รภัช ดุษฎีอิสริยกุล ผู้จัดการโครงการ มูลนิธิฟรีดริชเนามันเพื่อเสรีภาพ  /ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.เจษฎาศาลาทอง อาจารย์ประจำภาค วิชาการสื่อสารมวลชน คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

16.15 – 16.30 น.   Musical break – ไวโอลิน โดย วง Sky & Sea 

16.30 – 17.30 น.   เสวนาหัวข้อการรับมือกับข้อมูลลวงทั้งมวลด้วยมิติทางจิตวิญญาณ

  • พระมหานภันต์สนฺติภทฺโท ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร และประธานกรรมการ มูลนิธิสถาบันการจัดการวิถีพุทธเพื่อสุขและสันติ (สกพ.)
  • บาทหลวงอนุชา ไชยเดช ผู้อำนวยการสื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย
  • คุณอันธิกา เสมสรรผู้แทนเครื่อข่ายสื่อมุสลิมเชียงใหม่
  • คุณธนิสรา เรืองเดช CEO และผู้ร่วมก่อตั้ง PUNCH UP
  • คุณธนกฤต ศรีวิลาศเจ้าของช่อง The Principia 

ดำเนินรายการโดย   คุณเพชรีพรหมช่วยพิธิกรรายการธรรมในใจช่อง 33/คุณธีระพลเต็มอุดม หัวหน้าโครงการธนาคารจิตอาสา

17.30 – 18.00 น. Yoga break โดยคุณเพชรี พรหมช่วย 

18.00 – 18.30 น. อาหารเย็น  

18.30 – 20.00 น. การแสดงทางศิลปวัฒนธรรม 

– ช่างฟ้อน Slow dance Slow pay จากพะเยา เครือข่ายโคแฟคแสงเหนือ

ทอล์กโชว์ อย่าฟ้าวเชื่ออย่าฟ้าวแชร์อย่าฟ้าวโอนโดยคุณกมลหอมกลิ่นภาคีอีสานโคแฟค 

– โชว์ Cover Dance เพลง Fact Check – NCT127

– เพลง ให้ความจริงเกิดจากเรา โดย ฟ้าเดอะวอยซ์

– เดินแบบโดย Friends of COFACT Thailand 

(เสื้อและกระเป๋า รุ่นอย่าเพิ่งเชื่อ” Limited edition by Cofact x Moreloop) 

เซิ้งม่วนๆ ส่งท้าย โดยคณะหมอลำโคแฟค 

กล่าวปิดโดย      ผศ.ดร.เอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์ที่ปรึกษาภาคีโคแฟค ประเทศไทย 

พิธีกรรับเชิญ    ดร.รดี ธนารักษ์ / ผศ.ดร.ณภัทร เรืองนภากุลภาคีโคแฟคแสงเหนือ 

หมายเหตุ ถ่ายทอดสดผ่านทางเพจ/Youtube ThaiPBS และ Cofact โคแฟค


สอบถามเพิ่มเติมโทร 095-169-5328 พลินี, 061-169-1621 นาฟีลา, 088-386-2420 พริม 

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 23 มีนาคม 2567

มุสลิมสามารถซื้อที่ดินได้ไม่จำกัด ส่วนชาวพุทธซื้อที่ดินได้แค่ 50 ไร่ เท่านั้น…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/mf1w7j4zylhh


หลีกเลี่ยงรับประทานปูที่มีรู เพราะมีการฉีดสารฟอร์มาลีนเข้าไป…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/182unm6cylwuo


การบินไทยจัดโปรโมชันบินภายในประเทศ ราคารวมภาษี เริ่มต้น 555 บาท…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1t9k71n1k7x69


ใช้น้ำอัดลมเทใส่เนื้อหมูสด ทำให้หนอนหรือพยาธิออกจากเนื้อหมู…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/20gepl195dz4w


 นอนตะแคงซ้ายช่วยลดอาการแสบร้อนกลางอกจากกรดไหลย้อนได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/qvggzdlxaogq


  คลังเปิดบริการออมเพลิน บนแอปฯ เป๋าตัง

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/23vtk5j598xxd


 กระดาษเมามีฤทธิ์หลอนประสาทรุนแรง มีผลต่อการรับรู้และการตัดสินใจ อาจถึงขั้นทำร้ายผู้อื่นและฆ่าตัวตายได้

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3jecoql1fgw69


‘AI-Deepfake’เทคโนโลยีซับซ้อนปลอมเนียนน่ากังวล แต่อย่าประมาท ‘Cheapfake’ ทริกง่ายๆ  ก็หลงเชื่อกันได้

By : Zhang Taehun

ระยะหลังๆ มานี้ ดูเหมือนคำว่า ดีพเฟค (Deepfake)” จะเป็นที่คุ้นเคยของสังคมไทยไปเสียแล้ว เมื่อเทียบกับเมื่อ 2 – 3 ปีก่อนหน้าที่อาจเป็นเพียงศัพท์เฉพาะกลุ่มของผู้สนใจเทคโนโลยี ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะเริ่มมีข่าว โจรออนไลน์ ก็นำเทคโนโลยีนี้มาหลอกเหยื่อ โดยประเทศไทย เท่าที่พอจะสืบค้นข้อมูลได้ เริ่มพบรายงานมาตั้งแต่วันที่ 10 มี.ค. 2565 โดย นสพ.ผู้จัดการ รายงานข่าวผู้ใช้ TikTok ชื่อ “siripatty” โพสต์คลิปวิดีโอเตือนภัยมิจฉาชีพที่ใช้รูปภาพเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และมีการท้าให้เปิดกล้อง ซึ่งเมื่อเปิดก็พบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจตามภาพที่ปรากฏนั่งอยู่ แต่สิ่งที่แปลกก็คือ ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจพูดนั้น มีเพียงแค่ปากและตาที่ขยับ ซึ่งไม่สอดคล้องกับรูปของใบหน้า

จากนั้นเพียง 1 วัน ในวันที่ 11 มี.ค. 2565 เพจเฟซบุ๊ก กองสารนิเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติออกประกาศแจ้งเตือนประชาชน แก๊งคอลเซ็นเตอร์ไฮเทค ใช้ Deep Fake ตัดต่อคลิปตำรวจ หลอกเอาเงิน โดย พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า มิจฉาชีพได้ปรับเปลี่ยนวิธีการ จากที่นำคลิปวิดีโอจากการให้สัมภาษณ์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งสวมใส่หน้ากากอนามัย มาตัดต่อใส่เสียงของคนร้าย มาเป็นการใช้เทคนิค Deepfake ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยี Deep Learning ในการพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ให้สามารถตัดต่อคลิปวิดีโอหรือภาพถ่ายของบุคคลหนึ่ง ให้สามารถขยับปากตามเสียงของบุคคลอื่นได้

ยิ่งต่อมายังพบการใช้ “AI ปลอมเสียง ก็ยิ่งทำให้ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตและสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ตื่นตัว (และกังวล) มากขึ้น อาทิ รายงานจากสถานีโทรทัศน์ช่อง 8 เมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2565 เล่าเรื่องของผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ที่เจอหมายเลขโทรศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยโทรเข้ามา ปลายสายเป็นเสียงของเพื่อนที่รู้จักกันมานานถึง 30 ปี อ้างว่าเปลี่ยนเบอร์แล้ว ให้บันทึกเบอร์ที่โทรเข้ามาใหม่นี้ไว้แล้วลบเบอร์เก่าทิ้ง และส่งเลขบัญชีมาให้เพื่อขอยืมเงิน 

ถึงตรงนี้จึงเริ่มเอะใจ เพราะชื่อบัญชีไม่ใช่ชื่อจริงของเพื่อนคนดังกล่าว บวกกับเคราะห์ดีที่ยังมีไลน์ของเพื่อนคนนี้ (ส่วนเบอร์เก่าลบทิ้งไปเพราะหลงเชื่อมิจฉาชีพ) จึงทักไปสอบถาม และได้รับคำยืนยันว่าไม่มีการทักมายืมเงินแต่อย่างใด แถมยังไม่ได้เปลี่ยนเบอร์มือถืออีกต่างหาก แล้วเมื่อนำเรื่องราวทั้งหมดไปแจ้งความ ตำรวจก็ให้ข้อมูลว่ามีเหยื่อคนอื่นๆ โดนแบบเดียวกันแล้วหลายราย

ก่อนหน้านี้ โคแฟคเคยนำเสนอเรื่องราวของทั้ง Deepfake และ AI ปลอมเสียงไปแล้ว ซึ่งในต่างประเทศ นอกจากจะหวั่นเกรงมิจฉาชีพนำไปใช้หลอกเอาทรัพย์สินของเหยื่อ ยังน่ากังวลหากวันหนึ่งถูกนำไปใช้หลอกว่าเป็นคลิปเสียงหรือคลิปวีดีโอของบุคคลสำคัญกำลังพูดบางอย่าง จนกลายเป็นสถานการณ์โกลาหลหรือก่อความรุนแรงในทางการเมืองหรือสังคมได้โดยที่เจ้าตัวไม่ได้พูดเช่นนั้นจริงแต่คนจำนวนมากหลงเชื่อไปแล้ว

เมื่อในวันที่ 17 ก.ค. 2560 สำนักข่าว BBC ของอังกฤษ รายงานกรณีคณะผู้วิจัยจาก มหาวิทยาลัยวอชิงตัน ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) สร้างเค้าโครงปากของ บารัค โอบามา อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และผสานเข้ากับภาพวีดีโอของ โอบามา ที่เผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆ โดยคณะผู้วิจัยรวบรวมมาถึง 14 ชั่วโมง สำหรับนำมาทดลองในงานนี้ และในที่สุดก็สามารถนำเสียงของบุคคลอื่นเข้าไปใส่ในใบหน้าของอดีตผู้นำสหรัฐฯ ได้อย่างแนบเนียน

นอกจากนี้ในรายงานข่าววันที่ 25 มี.ค. 2566 โดยสำนักข่าว Euronews เครือข่ายสถานีโทรทัศน์ของยุโรปที่มีสำนักงานใหญ่ในเมืองลียง ประเทศฝรั่งเศส ยกตัวอย่างการทดลองใช้เทคโนโลยีนี้เลียนแบบเสียงของ เอ็มมา วัตสัน (Emma Watson) นักแสดงสาวชาวอังกฤษ ให้อ่านออกเสียงข้อความในหนังสือ “การต่อสู้ของข้าพเจ้า (Mein Kampf)” งานเขียนของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) ผู้นำเผด็จการนาซีเยอรมัน ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2

ในวันที่ 15 พ.ย. 2566 กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง แนะนำประชาชนในเบื้องต้นว่าด้วย การใช้เทคโนโลยี Deepfake ปลอมใบหน้าคน” มีข้อสังเกตคือ 1.สังเกตการขยับริมฝีปาก : หากเป็นคลิปสร้างจาก AI การขยับปากของคนในคลิปจะไม่สอดคล้องกับเสียงในวิดีโอ และดูไม่เป็นธรรมชาติ2.ใบหน้า : มีลักษณะที่ผิดสัดส่วนธรรมชาติ โดยเฉพาะเมื่อก้มเงยหน้าหรือหันซ้ายหันขวา 3.สีผิวเข้มหรืออ่อนเป็นหย่อมๆ : แสงและเงาบริเวณผิวไม่สอดคล้องต่อการเคลื่อนไหว และ 4.การกะพริบตาถี่เกินไป หรือน้อยเกินไป : ดูไม่เป็นธรรมชาติ

ส่วน การใช้ AI ปลอมเสียง” มีวิธีสังเกต คือ 1.จังหวะการเว้นวรรคคำพูด : เสียงพูดจาก AI จะไม่มีอารมณ์หรือความรู้สึก เสียงจึงจะไม่มีจังหวะหยุด ไม่มีเว้นวรรคจังหวะหายใจ และจะพูดประโยคยาว 2.น้ำเสียงราบเรียบ : เสียงจาก AI ที่มิจฉาชีพใช้จะมีเสียงที่ราบเรียบ ไม่มีการเน้นน้ำหนักเสียง หรือความสำคัญของคำ และ 3.คำทับศัพท์ : เสียงจาก AI จะพูดคำศัพท์เฉพาะไม่ค่อยชัด คำบางคำเวลาออกเสียง จะมีความผิดเพี้ยนไปบ้าง เนื่องจาก AI อาจยังไม่สามารถออกเสียงวรรณยุกต์ เสียงสูง-ต่ำ ได้ในบางคำ

ข้างต้นนั้นเป็นเรื่องของการสร้างข่าวลวง (Fake News) หรือข้อมูลบิดเบือน (Disinformation) แบบที่ต้องใช้เทคโนโลยีซับซ้อน ซึ่งหลายคนก็กำลังกังวลว่านับวัน AI ยิ่งพัฒนาให้ทำสิ่งเหล่านั้นได้เนียนขึ้น ทำให้การระมัดระวังทำได้ยากขึ้น แต่นั่นคือเรื่องของอนาคต ในขณะที่ปัจจุบัน ดูๆ แล้ว ข่าวลวงหรือข้อมูลบิดเบือนประเภท ชีพเฟค (Cheapfake)” น่าจะเป็นสิ่งที่เราทุกคนเจอได้บ่อยกว่า 

“อะไรคือชีพเฟค?” บทความ “What Are Cheapfakes (Shallowfakes)?” เผยแพร่โดย Samsung SDS บริษัทด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัล ในเครือซัมซุงของเกาหลีใต้ อธิบายว่า Cheapfake หรืออีกคำหนึ่งคือ “แชลโลว์เฟค (Shallowfake)” แปลกันแบบตรงตัว คือ “การหลอกลวงหรือบิดเบือนข้อมูลด้วยวิธีการแบบบ้านๆ ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน (Cheap แปลว่าราคาถูก ส่วน Shallow แปลว่าตื้นเขิน) อาจใช้เทคโนโลยีช่วยบ้างแต่ก็ไม่ต้องอาศัยความรู้ชั้นสูงนัก” ซึ่งต่างจาก Deepfake ที่ต้องเข้าใจเรื่อง AI และ Machine learning พอสมควร โดยวิธีการทำ Cheapfake ที่พบได้บ่อยๆ เช่น แต่งภาพด้วยโปรแกรมพื้นฐานอย่าง Photoshop , ตัดต่อวีดีโอด้วยการเร่งหรือลดความเร็ว 

ภาพ01 : ภาพเก่าของ บารัค โอบามา สมัยเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ตรวจเยี่ยมการพัฒนาวัคซีนโรคอีโบลา ในแล็บที่รัฐแมรีแลนด์ของสหรัฐฯ ในปี 2557 ถูกนำไปอ้างในปี 2563 ที่โลกเผชิญสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ระบาด ว่า เป็นภาพการไปดูโครงการเกี่ยวกับค้างคาว (สัตว์พาหะนำเชื้อโควิด-19) ที่เมืองอู่ฮั่นของจีน ในปี 2558 หรือ 5 ปีก่อนเกิดสถานการณ์โรคระบาด

หรือไม่ต้องใช้เทคโนโลยีอะไรเลย เพียงนำภาพเก่ามาโพสต์ใหม่แต่บรรยายในบริบทอื่นที่ไม่ตรงกับเหตุการณ์จริงในภาพนั้น (Re – Contextualizing) เท่านั้น โดยบทความยกตัวอย่างภาพ บารัค โอบามา อยู่ในห้องทดลองแห่งหนึ่ง ที่มาจริงๆ ของภาพนั้นอยู่ในปี 2557 สมัยที่โอบามา ยังเป็น ปธน. สหรัฐฯ ไปตรวจเยี่ยมการพัฒนาวัคซีนโรคอีโบลาในแล็บที่รัฐแมรีแลนด์ แต่ในปี 2563 ที่โลกเริ่มเผชิญสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ที่เริ่มมาจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน มีการนำภาพดังกล่าวกลับมาแชร์กันอีกครั้ง แล้วบอกว่า เป็นภาพในปี 2558 ที่ ปธน.โอบามา ไปฟังบรรยายโครงการบางอย่างที่เกี่ยวกับค้างคาว (ซึ่งต่อมาจะถูกอ้างว่าเป็นพาหะนำเชื้อโควิด-19) ที่แล็บในเมืองอู่ฮั่น

ในวันที่ 18 ธ.ค. 2566 WIRED นิตยสารดังของสหรัฐฯ ที่เน้นเสนอข่าวสารด้านเทคโนโลยี เผยแพร่บทความ Worried About Political Deepfakes? Beware the Spread of ‘Cheapfakes’ ระบุว่า ในขณะที่แวดวงการเมืองทั่วโลก (โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่กำลังนับถอยหลังสู่การเลือกตั้งประธานาธิบดีในช่วงปลายปี 2567) กำลังกังวลเกี่ยวกับข้อมูลหรือเนื้อหาที่สร้างโดยปัญญาประดิษฐ์ (Generative AI) แต่การเผยแพร่ข้อมูลที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดทำได้ง่ายกว่าด้วยการติดป้ายกำกับรูปภาพ วิดีโอ หรือคลิปเสียงผิดบริบทเพื่อบอกเป็นนัยว่ามาจากเวลาหรือสถานที่อื่น หรือแก้ไขสื่อเพื่อให้ดูเหมือนมีบางอย่างเกิดขึ้นทั้งที่เรื่องนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริง

บทความของ WIRED ยกตัวอย่างในปี 2563 มีคลิปวีดีโอ แนนซี เพโลซี (Nancy Pelosi – ปัจจุบันเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ) เป็นคลิปจริงไม่ได้ใช้ AI ทำขึ้น แต่ใช้วิธีตัดต่อให้เล่นด้วยความเร็วช้าลง เพื่อให้ผู้ที่ชมคลิปเข้าใจว่านักการเมืองผู้นี้อยู่ในอาการมึนเมา ซึ่งเมื่อดูการกำกับดูแลของแต่ละแพลตฟอร์ม พบว่า ในขณะที่ X (ทวิตเตอร์) TikTok และยูทูบ ลบคลิปดังกล่าวออกจากระบบ แต่เฟซบุ๊กไม่ได้ลบออกโดยทำเพียงมีคำเตือนว่า “มีเนื้อหาบางส่วนเป็นเท็จ” ซึ่งบทความนี้มองว่า เนื้อหาทำนองนี้ยังคงมีผลกระทบอย่างมากหากได้รับอนุญาตให้เผยแพร่บนแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์

สำนักข่าวออนไลน์ในสหรัฐฯ อย่าง Slate เผยแพร่รายงาน Beware the Cheapfakes เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2562 เตือนประชาชนว่า แม้ Deepfake จะเป็นเทคโนโลยีที่น่ากังวล แต่ความเสียหายหลายๆ ครั้งก็เกิดจากเทคนิคพื้นๆ แบบ Cheapfake โดยยกตัวอย่างคลิปวีดีโอนักการเมืองอเมริกัน แนนซี เพโลซี ที่ดูเหมือนมีอาการมึนเมา แต่ในความเป็นจริงคือคลิปนี้ถูกตัดต่อด้วยการทำให้เล่นด้วยความเร็วช้าลง ซึ่งท้าทายการตรวจจับและหักล้างเพราะเป็นคลิปวีดีโอจริงที่ผ่านการแก้ไขดัดแปลงเพียงเล็กน้อย

คลิปวีดีโอที่ถูกตั้งชื่อว่า Drunk Pelosi ถูกโพสต์บนเพจเฟซบุ๊กหนึ่งที่มียอดผู้ติดตามถึง 35,000 บัญชี บรรยายว่า แนนซี เพโลซีพูดไม่ชัดและมีกิริยาอาการเหมือนคนเมา อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับวิดีโออื่นจากเหตุการณ์เดียวกัน แม้แต่คนที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญก็ยังดูออกว่าวิดีโอถูกลดความเร็วลง ถึงกระนั้นก็น่าเป็นห่วง เพราะคลิปบิดเบือนนี้ถูกนำไปไปขยายความต่อโดย โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีในขณะนั้น รวมถึงนักการเมืองคนอื่นๆ ของพรรครีพับลิกัน อันเป็นขั้วการเมืองตรงข้ามกับพรรคเดโมแครตที่ เพโลซี สังกัดอยู่ 

ภาพ 02 : โพสต์คำเตือนจากศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรณีมีการแชร์ภาพที่อ้างว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ลงพื้นที่ช่วงเดือน มี.ค. 2563 ปลุกคนไทยสู้ภัยโควิด – 19 ว่าเป็นข่าวลวง โดยเป็นภาพเก่าที่ พล.อ.ประยุทธ์ ไปลงพื้นที่ถนนเยาวราช
ภาพ 03 : เว็บไซต์ นสพ.ผู้จัดการ รายงานข่าว วันที่ 15 ธ.ค. 2562 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ลงพื้นที่ถนนเยาวราชเพื่อเยี่ยมชมกิจกรรมถนนคนเดินและสตรีทฟู้ด ซึ่งหลังจากนั้นไม่กี่เดือน จะมีภาพจากงานนี้ถูกนำไปใช้อ้างว่า พล.อ.ประยุทธ์ ลงพื้นที่กลางกรุงเทพฯ ปลุกคนไทยสู้ภัยโควิด – 19 

กลับมาที่ประเทศไทย Cheapfake ที่น่าจะผ่านหูผ่านตากันบ่อยๆ คงเป็นเรื่องของภาพเก่าเล่าใหม่อย่างผิดบริบท (Re – Contextualizing) ยกตัวอย่างจากที่ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เคยรวบรวมไว้ เช่น ในเดือน มี.ค. 2563 ที่ประเทศไทยเริ่มเผชิญสถานการณ์โรคระบาดโควิด – 19 มีการแชร์ภาพ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ลงพื้นที่ปราศรัยบนท้องถนนใจกลางกรุงเทพฯ ปลุกพลังคนไทยสู้ภัยไวรัสโคโรนา แต่เรื่องนี้เป็นข่าวลวง เพราะในความเป็นจริง ภาพดังกล่าวถูกถ่ายในวันที่ 15 ธ.ค. 2562 ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ไปลงพื้นที่ถนนเยาวราชเพื่อเยี่ยมชมกิจกรรมถนนคนเดินและสตรีทฟู้ด 

หรือในช่วงปี 2565 ที่มีการแชร์ภาพปั๊ม ปตท. ใน สปป.ลาว ถูกไฟไหม้ซึ่งอ้างว่ามีการวางเพลิงเกิดขึ้น วนไป – มาอยู่หลายครั้ง ในความเป็นจริงภาพที่แชร์กันเป็นเหตุการณ์ในประเทศไทยเมื่อหลายปีก่อน เช่น ภาพรถกระบะถูกไฟไหม้ เหตุเกิดที่ปั๊ม ปตท. ละงูปิโตรเลียม ริมถนนละงู-ปากบารา เขตเทศบาลตำบลกำแพง อ.ละงู จ.สตูล วันที่ 22 พ.ย. 2560 โดยพบสื่อไทย 2 สำนัก คือ นสพ.ไทยรัฐ และ นสพ.ผู้จัดการ รายงานข่าวนี้ โดยในส่วนของ นสพ.ไทยรัฐ ยังรายงานด้วยว่า สาเหตุการเกิดไฟไหม้ครั้งนี้ เกิดจากขณะคนงานกำลังใช้เครื่องสูบน้ำมันแบบใช้มือหมุน สูบน้ำมันอี 20 ลงถัง ได้เกิดการเสียดสีบริเวณปากถัง 200 ลิตร และเกิดประกายไฟขึ้นมาจนทำให้เกิดไฟไหม้

เทคนิค Cheapfake ยังถูกมิจฉาชีพนำไปใช้หลอกให้เหยื่อ (โดยเฉพาะที่เป็นคน “ใจดี – ใจบุญ” ชอบสร้างกุศลบริจาคเงิตช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก) โอนเงินบริจาคได้ด้วย รายงานข่าวเมื่อวันที่ 16 มี.ค. 2564 มีคุณแม่ท่านหนึ่งได้ออกมาเปิดเผยเป็นอุทาหรณ์ว่า ตนได้เข้าแจ้งความที่ สภ.บึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์ หลังพบมีมิจฉาชีพ นำภาพเก่าของลูกชายที่เข้ารับการรักษาโรคปากแหว่งเพดานโหว่เมื่อเดือน มิ.ย. 2563 ไปโพสต์ขอรับบริจาคนม ผ้าอ้อมหรือปัจจัยช่วยค่าใช้จ่ายในการรักษา พร้อมระบุเลขบัญชีธนาคาร โดยอ้างว่าเด็กในภาพเป็นโรคหัวใจหอบ ซึ่งคุณแม่ท่านนี้ยืนยันว่า ปัจจุบันลูกชายตน (หรือเด็กที่ถูกนำภาพไปแอบอ้าง) สุขภาพแข็งแรงดี 

ภาพ 04 : ข้อความและภาพเรื่องตา-ยายพิการเก็บขยะเลี้ยงหลาน 5 ชีวิต ที่สอบถามเข้ามาในระบบของ Cofact และที่แชร์ทางกลุ่มเฟซบุ๊ก ในเดือน ก.พ. และ มี.ค. 2567 ระบุผู้ต้องการความช่วยเหลือคือ นายไพศาล แซ่ตั๊น 
ภาพ 05 : ข่าวจาก นสพ.สยามรัฐ เมื่อวันที่ 2 ก.ค. 2560 เนื้อข่าวเดียวกันกับที่ถูกนำมาแชร์ในอีกเกือบ 7 ปีให้หลัง ยกเว้นชื่อของผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ คือนายณรงค์ ทองมนต์ 

ภาพ 06 : ข่าวจาก นสพ. ผู้จัดการ เมื่อวันที่ 4 ก.ค. 2560 เนื้อข่าวและภาพประกอบเดียวกันกับที่ถูกนำมาแชร์ในอีกเกือบ 7 ปีให้หลัง ยกเว้นชื่อของผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ คือนายณรงค์ ทองมนต์ 

นอกจากการใช้ภาพเก่าแล้ว การใช้ข่าวเก่าแบบลอกมาทั้งหมด แต่เปลี่ยนชื่อและบัญชีธนาคารผู้รับบริจาค ก็ต้องระมัดระวัง โดยเมื่อเดือน ก.พ. 2567 มีผู้ส่งข้อความเข้ามาถามในระบบฐานข้อมูลของ Cofact เป็นเรื่องของ ตา-ยายพิการเก็บขยะเลี้ยงหลาน 5 ชีวิต” ในพื้นที่ ต.ดงเดือย อ.กงไกรลาศ จ.สุโขทัย ซึ่งเมื่อลองนำส่วนหนึ่งของข้อความไปค้นหาดู ยังพบการแชร์ในกลุ่มเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 4 มี.ค. 2567 อย่างไรก็ตาม เมื่อทดลองนำข้อความที่โพสต์ไปค้นหาในอินเตอร์เน็ต กลับพบว่าทั้งภาพและเนื้อหา ไปตรงกับข่าวที่มีสื่ออย่างน้อย 2 สำนัก รายงานเมื่อเกือบ 7 ปีก่อน 

โดย นสพ.สยามรัฐ และ นสพ.ผู้จัดการ เคยรายงานข่าวนี้เมื่อวันที่ 2 และ 4 ก.ค. 2560 ตามลำดับ จะแตกต่างก็มีเพียงข่าวจากหนังสือพิมพ์ 2 ฉบับข้างต้น ระบุครอบครัวที่ได้รับความเดือดร้อน คือ นายณรงค์ ทองมนต์ บัญชีเลขที่ 055610268819 ธนาคารออมสิน สาขากงไกรลาศ หมายเลขโทรศัพท์ 093-8475136 ในขณะที่ข้อความซึ่งแชร์กันบนโลกออนไลน์ ตามเวลาล่าสุดที่พบคือเดือน ก.พ. และ มี.ค. 2567 ได้เปลี่ยนเป็นชื่อ นายไพศาล แซ่ตั๊น บัญชีเลขที่ 177-3-412258 ธนาคารกสิกรไทย สาขากงไกรลาศ หมายเลขโทรศัพท์ 09-4371-4208

(หมายเหตุ : กรณีข่าวตา-ยายพิการเก็บขยะเลี้ยงหลาน 5 ชีวิต ในพื้นที่ ต.ดงเดือย อ.กงไกรลาศ จ.สุโขทัย ผู้เขียนมิได้เจตนากล่าวหาบุคคลที่ปรากฏชื่อว่าเป็นมิจฉาชีพ เพียงแต่พบข้อสงสัยว่าด้วยเนื้อหาและภาพข่าวเดียวกันแต่ถูกเผยแพร่ส่งต่อในต่างห้วงเวลาและมีการแก้ไขชื่อ เลขบัญชีธนาคาร รวมถึงหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งถือว่าเป็นข้อน่าสงสัย จึงหยิบยกขึ้นมาเพื่อเป็นกรณีศึกษา ทั้งนี้ ผู้เขียนพร้อมเผยแพร่คำชี้แจงเพิ่มเติมหากผู้ถูกพาดพิงชี้แจงเข้ามา)

ยังมีกรณีที่เทคนิค Cheapfake ไม่ได้ใช้เพื่อหลอกคนบนโลกออนไลน์ แต่นำไปใช้ตบตาเจ้าหน้าที่ตำรวจบนท้องถนน โดยเมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2566 สถานีโทรทัศน์ช่อง 7 รายงานข่าวตำรวจจับผู้ต้องหา เปิดเพจเฟซบุ๊กจำหน่ายป้ายทะเบียนรถปลอมและป้ายแสดงการเสียภาษีประจำปี (ป้ายวงกลม) ปลอม โดยผู้ต้องหารับสารภาพว่า ป้ายทะเบียนปลอมนั้นซื้อมาขายต่อ แต่ป้ายแสดงการเสียภาษีประจำปี (ป้ายวงกลม) ปลอม ทำขึ้นเองโดยใช้โปรแกรม Photoshop ใช้เวลาทำประมาณ 3 นาที ต้นทุนไม่ถึง 10 บาท แต่ขายได้ราคาสูงถึง1,300 – 1,500 บาท

โดยสรุปแล้ว แม้เราจะกังวลกับเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง AI หรือ Deepfake ที่ทำให้ข่าวลวงหรือข้อมูลบิดเบือนทำได้แนบเนียนจับผิดได้ยาก แต่ก็อย่าลืมหรืออย่าประเมินอันตรายของ Cheapfake ต่ำเกินไป เพราะอย่างหลังนี้เจอได้บ่อยๆ เนื่องจากสามารถทำได้ง่ายๆ ไม่ต้องอาศัยความรู้ซับซ้อน และหากมันไป กระตุ้นอารมณ์ บางอย่างในตัวเรา เมื่อนั้นไม่ว่าใครก็อาจเผลอ เชื่อ และ แชร์ ข่าวนั้นต่อไปได้

อย่างข่าวอดีตนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ ลงพื้นที่ปลุกสู้ภัยโควิด-19 ท่ามกลางผู้คนห้อมล้อมหนาแน่น ก็อาจกระตุ้นได้ทั้งคนที่ชอบ-ไม่ชอบ พล.อ.ประยุทธ์ ให้ตีความและแชร์ออกไปในมุมที่ต่างกัน กลายเป็นความขัดแย้งทะเลาะเบาะแว้งขึ้นมาในหมู่ประชาชน หรือข่าวตา-ยายชีวิตรันทดเปิดรับบริจาค หากรีบโอนไปทันทีด้วยใจสงสารโดยยังไม่ทันได้ตรวจสอบ เงินนั้นก็อาจไปไม่ถึงมือของผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากและต้องการความช่วยเหลือจริงๆ

ตั้งสติก่อนเชื่อ..เช็คให้ชัวร์ก่อนแชร์ (และโอนเงิน)” ยังคงเป็นหลักปฏิบัติที่ต้องยึดให้มั่นเสมอ!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://mgronline.com/onlinesection/detail/9650000023797 (แก๊งคอลเซ็นเตอร์” ก้าวไปอีกขั้น ใช้ “deepfake” ภาพตำรวจขยับแค่ปากหลอกเหยื่อ : ผู้จัดการ 10 มี.ค. 2565)

https://www.facebook.com/photo/?fbid=5217890471594448&set=a.1047112478672289 (ตร. เตือน แก๊งคอลเซ็นเตอร์ไฮเทค ใช้ Deep Fake ตัดต่อคลิปตำรวจ หลอกเอาเงิน : กองสารนิเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 11 มี.ค. 2565)

https://www.thaich8.com/news_detail/112669(เตือนภัย! มิจฉาชีพคิดกลโกงใหม่ ใช้ AI ปลอมเสียงเป็นคนคุ้นเคยโทรหลอกยืมเงิน : ช่อง8 26 ก.ย. 2565)

https://www.bbc.com/news/av/technology-40598465 (Fake Obama created using AI tool to make phoney speeches : BBC 17 ก.ค. 2560)

https://blog.cofact.org/deepfake2022/(‘DEEPFAKE’อีกระดับของข่าวปลอม ‘หลอกเนียน-ลวงเหมือน-สกัดยาก’รู้อีกทีเป็นเหยื่อ : Cofact 13 มี.ค. 2565)

https://www.euronews.com/next/2023/03/25/audio-deepfake-scams-criminals-are-using-ai-to-sound-like-family-and-people-are-falling-fo (Audio deepfake scams: Criminals are using AI to sound like family and people are falling for it : Euronews 25 มี.ค. 2566)

https://blog.cofact.org/specialreport4-66/ (‘ปลอมเสียงคนรู้จัก’ เทคโนโลยี‘AI’ก้าวหน้า..เอื้อ ‘มิจฉาชีพ’ สวมรอยหลอกเหยื่อแนบเนียน : Cofact 9 พ.ค. 2566)

https://www.facebook.com/photo/?fbid=364219319444945&set=a.127278969805649(ระวัง Deepfake สู่ Fake News วิธีสังเกตคนจริง หรือ AI : ตำรวจสอบสวนกลาง 15 พ.ย. 2566)

https://www.samsungsds.com/en/insights/what-are-cheapfakes.html (What Are Cheapfakes (Shallowfakes)? : Samsung SDS : 23 พ.ค. 2565)

https://www.wired.com/story/meta-youtube-ai-political-ads/ (Worried About Political Deepfakes? Beware the Spread of ‘Cheapfakes’ : WIRED 18 ธ.ค. 2566)

https://slate.com/technology/2019/06/drunk-pelosi-deepfakes-cheapfakes-artificial-intelligence-disinformation.html (Beware the Cheapfakes : Slate 12 มิ.ย. 2562)

https://www.facebook.com/AntiFakeNewsCenter/photos/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-นายกฯ-ลงพื้นที่ปลุกคน-สู้-covid-19-กลางถนนตามที่ได้มีข่าวปรากฎ/205219940912187/?locale=it_IT&paipv=0&eav=AfY6ugC3AEHqWGJt9fjHB8xovtbNPBpNnOrmekHIkXQtaPJ1Z3CKkbNZ0S-ol8jISq4&_rdr (ข่าวปลอม อย่าแชร์! นายกฯ ลงพื้นที่ปลุกคน สู้ COVID-19 กลางถนน : ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ 23 มี.ค. 2563)

https://mgronline.com/politics/detail/9620000119525 (“บิ๊กตู่” ลุยถนนคนเดินเยาวราช ประกาศสู้ ปชช.ตะโกนเชียร์ลุง : ผู้จัดการ 15 ธ.ค. 2562)

https://www.antifakenewscenter.com/ความสงบและความมั่นคง/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-มีการ-3/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! มีการเผาปั๊มน้ำมันปตท. ในประเทศลาว : ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ 2 ธ.ค. 2565)

https://www.thairath.co.th/news/society/1133465 (นาทีระทึก! คลิปไฟไหม้รถกระบะในปั๊มน้ำมัน อ.ละงู เสียวระเบิด : ไทยรัฐ 23 พ.ย. 2560)

https://mgronline.com/south/detail/9600000117842 (เพลิงไหม้กระบะวอดทั้งคันขณะนำน้ำมันลงท่อในปั๊ม ปตท.ละงู กลางเมืองสตูล : ผู้จัดการ 22 พ.ย. 2560)

https://www.thairath.co.th/news/local/northeast/2051281 (แม่อุ้มลูกน้อยแจ้งจับโจรในโซเชียล เอารูปเด็กไปโพสต์ ขอรับบริจาค : ไทยรัฐ 16 มี.ค. 2564)

https://cofact.org/article/28nr75gxky3s9

https://siamrath.co.th/n/18721 (น่าเวทนา!ตายายพิการเก็บขยะขายเลี้ยงดูหลาน 5 คน ลูกสาวเพิ่งเสียชีวิต : สยามรัฐ 2 ก.ค. 2560)

https://mgronline.com/local/detail/9600000067779 (สุดลำเค็ญ…ตา-ยายพิการเก็บขยะเลี้ยงหลาน 5 ชีวิต ลูกตายชาวบ้านต้องช่วยทำศพ : ผู้จัดการ 4 ก.ค. 2560)

https://news.ch7.com/detail/694950 (จับพ่อค้าหัวใส ทำป้ายปลอมขาย : ช่อง 7 27 ธ.ค. 2566)


สื่อคาทอลิก เปิดฉาก จับมือกับหลายฝ่าย ตามหาจริยธรรม AI #ข่าวคาทอลิก

วันที่ 18 มีนาคม 2024 สื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทยร่วมกับ Google News Initiative และ Cofact (ประเทศไทย)จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “สื่อคาทอลิกกับการตรวจสอบข้อมูลในยุค AI” ห้องประชุมสภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งประเทศไทย ซ.นาคสุวรรค กรุงเทพฯ


งานเริ่มโดยการขอพรพระเพื่อการสัมมนาในวันนี้จะได้เกิดประโยชน์และสร้างสรรค์การอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขและพึ่งพากัน โดยคุณพ่ออนุชา ไชยเดช ผู้อำนวยการสื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย คุณพ่อได้กล่าวถึงจุดตั้งต้นของแรงบันดาลใจซึ่งมาจากสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ที่มอบสาส์นในวันสันติภาพสากล ปี 2024 ในประเด็น “ปัญญาประดิษฐ์และสันติภาพ” หลังจากนั้นก็พบเรื่องราวเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง จึงเป็นเหตุผลที่ต้องลุกขึ้นมา ให้ข้อมูลกัน และใช้โอกาสเหล่านี้ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ นอกจากจะทำให้สาส์นของสมเด็จพระสันตะปาปาเป็นที่รับรู้และเข้าใจในมุมมองที่ถูกต้องแล้ว ยังเป็นการพาทุกคนก้าวเดินไปด้วยกันในยุคปัจจุบัน กับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
หลังจากนั้นผู้เข้าร่วมสัมมนาได้พบกับคุณธนภณ เรามานะชัย ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบข้อมูล ภาคีโคแฟค ร่วมบรรยายในหัวข้อ “เครื่องมือดิจิตัลสำหรับการตรวจสอบข้อมูล” เป็นการให้ข้อมูลภาพรวมและเชิงลึกเป็นต้นเครื่องมือ AI พื้นฐานในการสร้างคอนเทนต์และยังเชิญชวนให้สังเกตเนื้อหา การตรวจสอบ การบิดเบือน รวมทั้งการตรวจสอบย้อนหลัง นอกจากนั้นยังแนะนำวิธีการสร้างข้อมูลของ AI


ในช่วงบ่ายคุณสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค(ประเทศไทย) และทีมงาน ได้แนะนำการทำงานของโคแฟคถึงกิจกรรมต่าง ๆ หลักคิด การจัดตั้ง บริบทของงาน และยังเน้นย้ำถึงการมีจริยธรรมของสื่อและประเด็นลิขสิทธิ์กับ AI
การสัมมนาเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้เป็นการเปิดศักราชของการทำความเข้าใจเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการนำไปใช้ รู้เท่าทันและแสวงหาต่อไปกับจริยธรรมในAI ที่ยังคงต้องเรียนรู้กันอีก การสัมมนาในครั้งนี้มีผู้เข้าร่วม 35 ท่านจากหน่วยงานสื่อคาทอลิก คณะนักบวชคาทอลิก โรงเรียนคาทอลิก องค์กรคาทอลิกทั้งในระดับสภาพระสังฆราช และสังฆมณฑล


การสัมมนาในครั้งนี้ทำให้เข้าใจได้ว่า ทำไมสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส จึงได้ให้ความสำคัญกับประเด็นนี้ เพราะนอกจากจะเป็นประโยชน์กับความก้าวหน้าของโลกแล้ว ยังต้องระมัดระวังและเลือกใช้ ให้เหมาะสมตามประสิทธิภาพภายใต้จริยธรรมที่มีและถูกสร้างในหัวใจของผู้ใช้ด้วย


รอติดตามข่าวความร่วมมือ การจัดสัมมนา หรือกิจกรรมสื่อศึกษาในโอกาสต่อไปจากช่องทางต่างๆของสื่อมวลชนคาทอลิกกันต่อไป

โดย สื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย

https://www.facebook.com/651851281/posts/pfbid02RP3mjeP4xSqb8qFScF7A73LHzUJ4VpHy9UursStZH7Xrdeq1km31Eg6uCLeg2uPAl/?



สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 16 มีนาคม 2567

ผู้อื่นรู้ยอดเงินในธนาคารได้ หากรู้เบอร์มือถือที่ผูกพร้อมเพย์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/14kf7gi24z1kn


พฤติกรรมการดูดนิ้ว กัดเล็บของเด็ก ช่วยให้รอดพ้นจากโรคภูมิแพ้เมื่อโตขึ้นได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1k9bt7ilwkqmq


“หูฟังบลูทูธ” เป็นตัวล่อไฟฟ้าแรงสูง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2wespp1qnwo14


เตือนระวังใบแจ้งค่าไฟปลอม หลอกสแกนดูดเงินหมดบัญชี …จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2999ofoqempx8


มีติ่งเนื้อขึ้นบริเวณคอ แขน ข้อมือ เสี่ยงป่วยเป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และไขมันในเลือดสูง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/xwxqyxn8tuo1


 สภาวะเอลนีโญส่งผลให้อุณหภูมิโลก และน้ำทะเลสูงขึ้นกว่าเดิม

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1iy7w0nd501in


 ค่าฝุ่น PM 2.5 ในภาคเหนือสูง เพราะเกิดจากหมอกควันข้ามแดน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2zktgnufstps


 นายกฯ ร่วมประชุมผู้นำอาเซียน-ออสเตรเลีย พร้อมชวน 6 บริษัทชั้นนำลงทุนในไทย

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1df5f01zvm82n


  คนที่ดื่มแอลกอฮอลล์หนักและสูบบุหรี่จัด ทำให้เลือดเเยกเป็นชั้นไขมัน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3vy8m3slharpd


เฝ้าระวัง ‘Islamophobia’ กระแสความหวาดกลัวทางศาสนาที่ผลิตซ้ำจากข้อมูลลวงออนไลน์

By : Zhang Taehun

ความกลัว อคติ และความเกลียดชังชาวมุสลิมที่นำไปสู่การยั่วยุ ความเป็นปรปักษ์ และการไม่ยอมรับความแตกต่าง ด้วยการข่มขู่ การคุกคาม การล่วงละเมิด การยั่วยุ และการข่มขู่ทั้งต่อบุคคลที่เป็นมุสลิมและไม่ใช่มุสลิม ทั้งในโลกออนไลน์และออฟไลน์ โดยมีแรงจูงใจมาจากความเกลียดชังทางสถาบัน อุดมการณ์ การเมือง และศาสนา ซึ่งก้าวข้ามไปสู่การเหยียดเชื้อชาติเชิงโครงสร้างและวัฒนธรรม โดยมุ่งเป้าไปที่สัญลักษณ์และเครื่องหมายของการเป็นมุสลิม

ข้างต้นนี้คือนิยาม “Islamophobia” หรือ กระแสหวาดกลัวอิสลาม ที่ถูกกำหนดโดย องค์การสหประชาชาติ (UN) โดยที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้มีมติซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก 60 ประเทศสมาชิกขององค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) กำหนดให้tวันที่ 15 มีนาคมของทุกปี เป็นวันต่อต้านกระแสหวาดกลัวอิสลามสากล (International Day to Combat Islamophobia) 

นายอันโตนิโอ กูเตร์เรส (Antonio Guterres) เลขาธิการสหประชาชาติ ได้กล่าวไว้ในปี 2564 เนื่องในการจัดแห่งงานวันต่อต้านกระแสหวาดกลัวอิสลามสากลครั้งแรกว่า การต่อต้านมุสลิมเป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆของการฟื้นคืนชีพในลัทธิชาตินิยมชาติพันธุ์ การตีตรา และคำพูดแสดงความเกลียดชังที่พุ่งเป้าไปที่ประชากรกลุ่มเปราะบาง เช่น ชาวมุสลิม ชาวยิว ชุมชนคริสเตียนชนกลุ่มน้อย รวมถึงชุมชนอื่นๆ 

Britannica สารานุกรมที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงของอังกฤษ ระบุว่า ทัศนคติการมองศาสนาอิสลามในแง่ลบอยู่คู่กับโลกตะวันตกมาตั้งแต่ยุคที่ศาสนาอิสลามถือกำเนิดขึ้น เนื่องด้วยรัฐชาติของชาวตะวันตกหรือก็คือชาวยุโรปมีศาสนาคริสต์เป็นแกนหลักทางความเชื่อ และตลอดห้วงประวัติศาสตร์ของรัฐหรืออาณาจักรในยุโรปก็มีความขัดแย้งกับรัฐหรืออาณาจักรที่มีศาสนาอิสลามเป็นแกนหลักทางความเชื่อมาอย่างต่อเนื่อง เช่น สงครามครูเสด การทำสงครามชิงดินแดนในสเปนจากผู้ปกครองที่เป็นมุสลิม และการขยายอิทธิพลของอาณาจักรออตโตมัน เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม กระแสหวาดกลัวอิสลามในยุคสมัยใหม่ เกิดขึ้นจริงจังภายหลังเหตุการณ์ผุ้ก่อการร้ายขับเครื่องบินพุ่งชนอาคารเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์ ในมหานครนิวยอร์กของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2544 หรือเหตุการณ์ “9/11” ชาวมุสลิมในสหรัฐฯ และยุโรปตกเป็นเป้าถูกทำร้ายตั้งแต่ทางวาจาไปจนถึงการทำร้ายร่างกาย มีการจัดตั้งองค์กรที่ระบุวัตถุประสงค์ชัดเจนว่าเพื่อสกัดกั้นไม่ให้ศาสนาอิสลามมีอิทธิพลทางวัฒนธรรมหรือกฎหมายต่อสังคมตะวันตก และหลายประเทศมีกฎหมายจำกัดหรือเฝ้าระวังการแสดงออกทางอัตตาลักษณ์ของชาวมุสลิม 

เช่น ฝรั่งเศส ห้ามสตรีมุสลิมสวมผ้าคลุมศีรษะที่มีลักษณะปิดบังใบหน้า (นิกอบ) ขณะที่ ออสเตรีย มีการเผยแพร่แผนที่ออนไลน์ ระบุสถานที่ตั้งของมัสยิด ศูนย์ชุมชนและสถานที่อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง หรือ สวิตเซอร์แลนด์ ประชาชนลงมติให้ออกกฎหมายควบคุมการก่อสร้างหอสวดอาซาน สิ่งก่อสร้างสำคัญที่อยู่คู่กับมัสยิดหรือศาสนสถานของชาวมุสลิม หรือในบางรัฐของสหรัฐอเมริกา ก็มีการผลักดันข้อเรียกร้องไม่ให้ศาลอ้างกฎหมายชารีอะห์ หรือกฎหมายของศาสนาอิสลาม โดยให้เหตุผลว่าขัดแย้งกับค่านิยมของอารยธรรมตะวันตก

อนึ่ง ตามข้อมูลของ Britannica ยังมีการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับกระแสหวาดกลัวอิสลามไว้อีกว่า แนวความคิดที่เกลียดชังอิสลามเกี่ยวกับศาสนาอิสลามโดยทั่วไปยังนำ ชาวมุสลิม กับ ภูมิภาคตะวันออกกลาง (Middle East)” มาผูกรวมเข้าด้วยกัน ทั้งนี้ในความเป็นจริง ชาวตะวันออกกลางจำนวนมากไม่ใช่มุสลิม และชาวมุสลิมส่วนใหญ่ทั่วโลกอาศัยอยู่นอกตะวันออกกลาง (5 อันดับชาติที่มีประชากรนับถือศาสนาอิสลาม คือ อินโดนีเซีย ปากีสถาน อินเดีย บังกลาเทศและไนจีเรีย ซึ่งแต่ละชาติในกลุ่มนี้มีประชากรมุสลิมราว 100 ล้านคนหรือมากกว่า)

บทความ Myths about American Muslims 10 Years after 9/11” เผยแพร่ในเว็บไซต์ ipsu.org ของ Institute for Social Policy and Understandingสถาบันวิจัยที่มุ่งเน้นเป้าหมายชาวอเมริกันที่นับถือศาสนาอิสลาม เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2554 หรือ 2 วันก่อนครบรอบ 10 ปีเหตุการณ์ 9/11 ผู้เขียนคือ เอ็นจี อับเดลคาเดอร์ (Engy Abdelkader) นักวิชาการด้านกฎหมายของ ISPU และเป็นทนายความด้านสิทธิมนุษยชนในพื้นที่นิวยอร์ก/นิวเจอร์ซีย์ ระบุ 5 เรื่องที่สังคมอเมริกันเข้าใจผิดเกี่ยวกับชาวมุสลิม ดังนี้

1.ชาวอเมริกันมุสลิมไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย ในความเป็นจริง นับตั้งแต่เหตุการณ์ 9/11 ชุมชนชาวอเมริกันมุสลิมได้ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายในการป้องกันมากกว่าร้อยละ 40 ของแผนการก่อการร้ายของกลุ่มอัลกออิดะห์ต่อสหรัฐฯ เบาะแสเบื้องต้นที่ใหญ่ที่สุดสำหรับเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับแผนการต่างๆ มาจากชุมชนชาวอเมริกันมุสลิม แท้จริงแล้ว การรักษาบ้านเกิดเมืองนอนเป็นความมุ่งมั่นร่วมกันและมีความสำคัญเป็นลำดับแรกสำหรับชุมชนมุสลิมในสหรัฐฯ

2.มัสยิดเป็นแหล่งบ่มเพาะของลัทธิหัวรุนแรงและการก่อการร้ายในชุมชนอเมริกันมุสลิม การศึกษาเวลา 2 ปีเกี่ยวกับชาวอเมริกันมุสลิมในหัวข้อ บทเรียนต่อต้านการก่อการร้ายของชาวเอมริกันมุสลิมโดยศาสตราจารย์ เดวิด ชานเซอร์ (David Schanzer) และ ชาร์ลส์ เคิร์ซแมน (Charles Kurzman) ร่วมกับ Duke’s Sanford School of Public Policy และ University of North Carolina ตามลำดับ พบว่า ความเป็นจริงแล้ว บทบาทของมัสยิดในปัจจุบันกลับช่วยขัดขวางการแพร่กระจายของลัทธิอิสลามหัวรุนแรงและการก่อการร้ายเสียด้วยซ้ำไป

ผู้ที่ไม่เคยเข้าร่วมพิธีในมัสยิดอเมริกันสมัยใหม่อาจรู้สึกประหลาดใจ เมื่อรู้ว่าการเทศนาของผู้นำมุสลิมมักเน้นไปที่หน้าที่ของชาวมุสลิมในการบริจาคอย่างไม่เห็นแก่ตัวเพื่อการกุศล การจัดการความโกรธ การแสดงความเคารพต่อสามีหรือภรรยา คุณธรรมแห่งความอดทนและการให้อภัยในประเพณีอิสลาม ความสำคัญของการมีส่วนร่วมในชีวิตพลเมืองอเมริกันโดยการใช้สิทธิลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ หรือเคารพหลักนิติธรรมในสถานที่ที่คุณอยู่

ยิ่งไปกว่านั้น ในทศวรรษที่ผ่านมา ผู้นำทางจิตวิญญาณชาวอเมริกันมุสลิมที่มีชื่อเสียงจำนวนมากได้ใช้ธรรมาสน์เพื่อประณามการกระทำของลัทธิหัวรุนแรงและความรุนแรงทางศาสนา ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลย เนื่องจากความเข้าใจที่กระจ่างแจ้งเกี่ยวกับกฎหมายอิสลามเผยให้เห็นว่า การก่อการร้ายนั้นไม่มีนัยสำคัญต่อหลักการของกฎหมายดังกล่าว” บทความระบุ

3.กฎหมายชาริอะห์ (กฎหมายจารีตอิสลาม) คือภัยคุกคามที่กำลังแทรกซึมเข้าไปในระบบกฎหมายของสหรัฐอเมริกา ไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือใดที่จะสนับสนุนข้อกล่าวอ้างที่ว่าชาวอเมริกันมุสลิมกำลังผลักดันการนำหลักศาสนาอิสลามไปใช้ในอเมริกา(ปี 2554 มีบทความนี้เผยแพร่) 

4.ผู้นำมุสลิมไม่ประามการก่อการร้ายในนามของศาสนาอิสลาม ในความเป็นจริง ผู้นำมุสลิมในอเมริกาส่วนใหญ่ได้ทำตรงกันข้ามอย่างชัดเจน ศาสตราจารย์ชาร์ลส เคิร์ซแมน แห่งมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา ได้รวบรวมกิจกรรมการประณามต่อเหตุการณ์ก่อการร้ายเมื่อวันที่ 11 กันยายน ที่นำโดยผู้นำมุสลิม โดยเฉพาะ พวกเขายังมีส่วนร่วมในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์กับชุมชนผู้บังคับใช้กฎหมายอย่างสม่ำเสมอ และทำงานเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจระหว่างศาสนาและระหว่างวัฒนธรรมกับกลุ่มคนต่างศาสนาและชุมชนขนาดใหญ่ที่อยู่รอบตัว

5.มุสลิมที่ฝึกฝนทุกคนจะมีส่วนร่วมในทากียะฮ์ ซึ่งได้รับคำสั่งจากศาสนาให้โกหก คำว่า ทากียะฮ์(Taqiyya)” ในภาษาอาหรับ หมายถึงการปกปิดศรัทธาของตนเพื่อให้รอดพ้นจากความตาย คำนี้ต้องย้อนไปดูประวัติศาสตร์ของชาวมุสลิมกลุ่มแรกๆ เมื่อ 1,500 ปีก่อน ที่พวกเขาก็เชื่อในพระเจ้าองค์เดียวกับอับราฮัม โมเสส และพระเยซู แต่ก็ถือเป็นกลุ่มเปราะบางที่เสี่ยงต่อการถูกทรมานและประหัตประหารด้วยเหตุผลทางศาสนา แต่ในปัจจุบัน ชาวมุสลิมโดยเฉลี่ยได้เรียนรู้ตั้งแต่สมัยเด็กๆ ว่าการโกหกนั้นผิดเหมือนกับชาวอเมริกันทั่วไป และชุมชนอเมริกันมุสลิมก็ไม่ได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกันกับที่มุสลิมกลุ่มแรกต้องเผชิญเมื่อนานมาแล้ว

โรคระบาด ก็เป็นอีกปัจจัยที่กระตุ้นกระแสหวาดกลัวอิสลาม มีตัวอย่างจากประเทศอินเดีย ซึ่งมักมีเหตุกระทบกระทั่งระหว่างชาวฮินดูกับชาวมุสลิมอยู่เนืองๆ ในช่วงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ก็มีการแชร์ข่าวลวง (Fake News) ที่เกี่ยวข้องกับกระแสหวาดกลัวอิสลาม โดย The Logical Indian ซึ่งเป็นสำนักข่าวออนไลน์ในอินเดีย รวบรวมไว้ 5 เรื่อง เผยแพร่เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2563 อันเป็นช่วงที่อินเดียประกาศล็อกดาวน์อย่างเข้มงวดเพื่อควบคุมโรค ในชื่อบทความ “Top Five Fake News Targeting Muslim Community Amid Nationwide Lockdown” ดังนี้ 

1.วิดีโอเก่าอ้างว่าผู้ขายผลไม้ถ่มน้ำลายเพื่อแพร่เชื้อโคโรนาไวรัส มีการแชร์คลิปวิดีโอความยาว 30 วินาทีของพ่อค้าผลไม้ที่กำลังเลียนิ้วขณะหยิบผลไม้บนรถเข็น โดยอ้างว่าชาวมุสลิมจงใจแพร่เชื้อโควิด-19 ในประเทศ เบื้องต้นเหตุการณ์ถูกระบุว่าเกิดขึ้นในเขต Raisen ของรัฐมัธยประเทศ ซึ่งเวลานั้นยังไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่ดังกล่าว แต่ชายคนที่ปรากฏในคลิปถูกตำรวจจับเมื่อวันที่ 3 เม.ย. 2563 อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2563 โดยผู้ร้องเรียนเห็นภาพดังกล่าวแล้วกังวลว่า ผู้ขายผลไม้รายนี้จงใจแพร่เชื้อผ่านทางน้ำลาย ดังนั้นกรณีนี้คือการนำคลิปวีดีโอเก่ากลับมาแชร์ใหม่อย่างผิดบริบท (false context)

2.วีดีโอเก่าอ้างว่าร้านอาหารของชาวมุสลิมถ่มน้ำลายใส่อาหาร คล้ายๆ กับกรณีแรก ซึ่งการตรวจสอบทำโดยใช้เครื่องมือ InVid แบ่งวิดีโอออกเป็นหลายเฟรม และค้นหารูปภาพแบบย้อนกลับของคีย์เฟรมหลายรายการใน Google ในที่สุดพบว่าวิดีโอดังกล่าวมีการโพสต์ไว้ตั้งแต่เดือน เม.ย. 2562 บนเว็บไซต์แห่งหนึ่งในจีน และแม้จะสืบย้อนกลับไปไม่ถึงต้นตอ แต่อย่างน้อยก็ยืนยันได้ว่าคลิปวีดีโอนี้ถูกเผยแพร่มาก่อนสถานการณ์โควิด-19 นานพอสมควร

3.สมาชิก Tablighi Jamaat ขออาหารที่ไม่ใช่มังสวิรัติและถ่ายอุจจาระในที่โล่ง โดย Tablighi Jamaat เป็นขบวนการศาสนาอิสลามระดับนานาชาติที่มุ่งเน้นการชักชวนชาวมุสลิมให้เคร่งครัดในศาสนามากขึ้น ซึ่งในวันที่ 5 เม.ย. 2563 มีรายงานข่าวอ้างว่า ผู้เข้าร่วมกลุ่ม Tablighi Jamaat ได้ขออาหารที่ไม่ใช่มังสวิรัติและถ่ายอุจจาระในที่โล่ง ณ สถานที่กักกันที่ตั้งอยู่ใน Saharanpur รัฐอุตตรประเทศ อย่างไรก็ตาม หน่วยงานตำรวจของ Saharanpur ได้โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ (ปัจจจุบันคือ X) ยืนยันว่าไม่มีเหตุการณ์เรียกร้องตามที่กล่าวอ้างเกิดขึ้น

4.ชาวมุสลิมพร้อมใจกันจามโดยเจตนาเพื่อแพร่เชื้อโควิด-19 มีการเผยแพร่คลิปวีดีโอที่อ้างว่าเป็นเหตุการณ์ในมัสยิด Hazrat Nizamuddin ในกรุงนิวเดลี ผู้คนกำลังจามโดยเจตนาเพื่อแพร่เชื้อโควิด-19 แต่นั่นเป็นการกล่าวอ้างอย่างเกินจริงๆ เพราะในวิถีปฏิบัติในศาสนาอิสลาม มีการสวดอธิษฐานที่เรียกว่า Zikr เป็นการกล่าวถึงพระอัลเลาะห์ พระผู้เป็นเจ้าในศาสนาอิสลามซ้ำๆ และพิธีกรรมนี้มักมีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก การเคลื่อนไหวบางอย่าง เช่น การแกว่งไปมาหรือหมุนจากขวาไปซ้าย จะถูกรวมไว้ในกิจกรรมนี้ระหว่างการใช้น้ำเสียงและทำพร้อมกันในทำนองเดียวกัน

5.ชาวมุสลิมเลียภาชนะใส่อาหารเพื่อแพร่เชื้อโควิด-19 มีการแชร์คลิปวิดีโอที่แสดงภาพกลุ่มคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเยาวชนในชุมชน Dawoodi Bohra กำลังนั่งอยู่กับภาชนะและเลียภาชนะเหล่านั้น ซึ่งคลิปนี้แม้เป็นเหตุการณ์จริง โดยระบุว่า ภายใต้การนำของ Syedna Mufaddal หัวหน้าบาทหลวง Bohra กำลังทำความสะอาดจานใหญ่ที่เรียกว่า Thal เพื่อไม่ให้อาหารเหลือทิ้ง แต่เหตุการณ์ในคลิปเกิดขึ้นก่อนสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19

ในขณะที่อินเดียใกล้จะสิ้นสุดมาตรการล็อกดาวน์ 21 วันซึ่งประกาศโดยนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี เพื่อควบคุมการแพร่กระจายของโควิด-19ชาวอินเดียยังคงต้องทนทุกข์ทรมานจากไวรัสอีกชนิดหนึ่ง นั่นก็คือ โรคกลัวอิสลาม ผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และความเกลียดชังของชุมชนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ใน WhatsApp, Facebook, Twitter, YouTube และแม้แต่ช่องข่าวโทรทัศน์ ความคลั่งไคล้ก็เดือดพล่านไปทั่ว ขอให้เราอย่าใส่ร้ายและตีตราเหมารวมทั้งชุมชน จากเหตุการณ์ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันซึ่งดำเนินการโดยคนเพียงไม่กี่คนรายงานของ The Logical Indian ฝากข้อคิดทิ้งท้าย

กลับมาที่ ประเทศไทย แม้จะไม่ได้มีกระแสหวั่นเกรงเหตุก่อการร้ายมากเท่าสหรัฐอเมริกา และไม่ได้มีความบาดหมางที่อิงกับศาสนาอย่างร้าวลึกเหมือนกับอินเดีย แต่ด้วยความที่ไทยก็มีปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส) ซึ่งมักถูกนำไปเชื่อมโยงกับศาสนาอิสลามที่เป็นวัฒนธรรมหลักในพื้นที่ ก็ยังทำให้มองเห็นร่องรอยกระแสหวาดกลัวอิสลามในสังคมได้บ้าง ผ่านข่าวลวงที่ถูกแชร์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ 

ดังตัวอย่างจาก ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผู้เขียนลองใช้ Keyword 3 คำ คือ มุสลิม’ , “อิสลาม และ มัสยิด สืบค้น ณ วันที่ 24 ม.ค. 2567 ตัวอย่างข่าวลวงที่พบบ่อยคือ รัฐไทยอำนวยความสะดวกอย่างมากในการก่อสร้างและดำเนินกิจการมัสยิด” เช่น แชร์กันว่า กระทรวงมหาดไทย ออกใบอนุญาตย้อนหลังให้สร้างมัสยิด ที่ จ.บึงกาฬ พบครั้งแรก วันที่ 4 มิ.ย. 2563 และอีกครั้งวันที่ 30 มิ.ย. 2565 

ซึ่งตามข้อกฎหมาย การสร้างมัสยิดต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดหรือคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย (กรณีจังหวัดที่ไม่มีคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด) เป็นสำคัญ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดหรือปลัดกรุงเทพมหานครแล้วแต่กรณี ตามคำสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ 494/2542 ลงวันที่ 20 พ.ย. 2542 เป็นเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ในการจดทะเบียนจัดตั้งมัสยิด ไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแต่อย่างใด , 

ภูเก็ตใช้พื้นที่ป่าสงวนกว่า 19 ไร่ และใช้งบกว่า 250 ล้านบาท เพื่อสร้างมัสยิด วันที่ 28 ต.ค. 2564 และ 16 ก.ค. 2565 คำชี้แจงคือ เป็นโครงการศูนย์อบรมจริยธรรมศาสนาอิสลาม ไม่ใช่เป็นการก่อสร้างมัสยิดแต่อย่างใด อีกทั้งในโครงการนี้ อบจ. ภูเก็ตได้ตั้งงบประมาณจำนวน 56 ล้านบาทตั้งแต่ปีงบประมาณ 2562 ไม่ใช่ งบ 250 ล้านบาท โดยโครงการดังกล่าว เป็นไปตามนโยบายการส่งเสริมทำนุบำรุงศาสนาทุกศาสนา ก่อสร้างบริเวณสวนป่าบางขนุน ใกล้กับวิทยาลัยเทคนิคถลาง ซึ่ง อบจ. ได้รับอนุญาตใช้พื้นที่จากรมป่าไม้แล้ว ขณะที่ในวันที่ 5 ธ.ค. 2564 ยังพบข่าว ผู้ว่าจังหวัดภูเก็ต อนุมัติงบสร้างมัสยิด 56 ล้านบาท และขนชาวมุสลิมเดินทางเข้าภูเก็ต มีการชี้แจงว่า ผู้ว่าจังหวัดภูเก็ตนับถือศาสนาพุทธ อีกทั้งไม่เคยอนุมัติงบ 56 ล้านบาทเพื่อ สร้างมัสยิด และไม่เคยลักลอบพาชาวมุสลิมเข้ามาในจังหวัดภูเก็ตแต่อย่างใด , 

ห้ามชาวบ้านและชาวพุทธ เข้าไปยังเขตเขายายเที่ยง วันที่ 26 เม.ย. 2565 โดยอ้างถึงการสร้างมัสยิดในพื้นที่ดังกล่าว ที่มาที่ไปของมัสยิดแห่งนี้ เกิดขึ้นพร้อมกับการที่ราษฎรได้เข้าบุกรุกถือครองพื้นที่ป้าสงวนแห่งชาติป่าเขาเตียนและป่าเขาเขื่อนลั่น ตั้งแต่ปี 2520 เป็นต้นมา แต่มติครม. ปี 2518 ได้ให้ราษฎรเข้าอยู่ในรูปหมู่บ้านป่าไม้ฯ จนมาถึงปัจจุบัน จึงเป็นพื้นที่ในความรับผิดชอบของกรมป่าไม้และอยู่ในระหว่างการดำเนินการแก้ไขปัญหาของกรมป่าไม้ ซึ่งมัสยิดดารุ้ลอะมีน (มัสยิดเขายายเที่ยง) ได้มีการยื่นขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ตามมติคณะรัฐมนตรี และไม่มีการห้ามชาวบ้านและชาวพุทธเข้าไปยังเขตเขายายเที่ยงแต่อย่างใด , 

มัสยิดเกิน 100 แห่ง ทั่วเมืองเชียงใหม่ วันที่ 21 มิ.ย. 2565 ชี้แจงว่า จากการตรวจสอบทางทะเบียนล่าสุดเมื่อสิ้นปี 2562 (วันที่ 31 ธ.ค. 2562) พบว่าจังหวัดเชียงใหม่มีมัสยิดจดทะเบียนถูกต้องตามพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ.2540 จำนวนทั้งสิ้น 14 แห่งเท่านั้น ซึ่งกฎหมายไม่ได้บังคับว่า มัสยิดต้องจดทะเบียนแต่อย่างใด เพียงแต่เมื่อจดทะเบียนแล้วจะมีสถานะเป็นนิติบุคคล และนอกจากมัสยิดแล้ว ยังมีสถานที่ประกอบศาสนกิจที่เรียกชื่อเป็นอย่างอื่นอีกด้วย เช่น มูศ็อลลา บาแล หรือบาลาเซาะ เป็นต้น ซึ่งมิได้มีกฎหมายบังคับให้ต้องจดทะเบียนแต่อย่างใด , 

มุสลิมยึดที่ว่าการอำเภอเทพา จ.สงขลา สร้างมัสยิดในสถานที่ราชการ ด้วยงบประมาณแผ่นดินของคนไทยทั้งประเทศ ชี้แจงว่าอาคารดังกล่าวที่ปรากฏในโพสต์นั้นเป็นอาคารที่สร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสถานที่ละหมาดให้กับประชาชนที่มาติดต่อราชการในที่ว่าการอำเภอเทพารวมทั้งข้าราชการที่เป็นมุสลิมในพื้นที่ และอาคารดังกล่าวไม่ได้เป็นอาคารมัสยิดที่มีการจดทะเบียนจัดตั้งตามกฎหมายแต่อย่างใด เป็นเพียงสถานที่สำหรับการทำละหมาดเท่านั้น อีกทั้งประชากรส่วนใหญ่ในพื้นที่อำเภอเทพาเป็นผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม , 

มีการสร้างมัสยิดโดยไม่มีมุสลิมในพื้นที่ ณ เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย วันที่ 21 ต.ค. 2563 ซึ่งกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ได้ชี้แจงว่า ในอ.เวียงป่าเป้า มีประชากรที่นับถือศาสนาอิสลาม จำนวน 17 หมู่บ้าน รวม 101 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 16 ตุลาคม 2563) และการก่อสร้างเป็นไปตามมติที่ประชุมของ คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงราย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้มุสลิมที่ดินทางไป-มาระหว่าง จ.เชียงราย และ จ.เชียงใหม่ ได้แวะปฏิบัติศาสนากิจ แต่ทั้งนี้ อาคารมัสยิดดังกล่าวไม่ได้มีการจดทะเบียนจัดตั้งตามกฎหมายแต่อย่างใด และเป็นเพียงสถานที่สำหรับการทำละหมาดชั่วคราวเท่านั้น

อีกหัวข้อที่พบมากคือ ศาสนาอิสลามกำลังเข้ายึดครองระบบการศึกษาของไทย อาทิ มีการแชร์กันว่า บรรจุอิสลามศึกษาเข้าทุกโรงเรียน เพราะเป็นกฎกระทรวง” ในวันที่ 3 พ.ย. 2562 วันที่ 29 เม.ย. 2563 วันที่ 27 ส.ค. 2563 และวันที่ 1 พ.ค. 2565 โดยมีคำชี้แจงว่า กระทรวงศึกษาธิการยังไม่มีนโยบายออกกฎหรือบังคับให้ทุกโรงเรียน เรียนอิสลามศึกษา โดยการจัดการเรียนการสอนอิสลามศึกษาในโรงเรียนสังกัด สพฐ. มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายเฉพาะผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามเท่านั้น ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 มิติ คือ 1.เป็นสาระการเรียนรู้อิสลามศึกษา ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 2.การเรียนการสอนวิชาสามัญควบคู่ศาสนาหรืออิสลามศึกษาแบบเข้ม ตามนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ ปัจจุบันมีโรงเรียนของรัฐที่เปิดสอนวิชาสามัญควบคู่ศาสนา ทั้งสิ้น 350 โรงเรียน

หนังสือเรียนวิชาอิสลาม ระบุห้ามไหว้ผู้มีพระคุณ เพราะผิดหลักศาสนา วันที่ 21 เม.ย. 2563 และ 29 มิ.ย. 2565 มีคำชี้แจงจาก สพฐ. ว่า หนังสือเรียนดังกล่าวไม่มีเนื้อหาสาระส่วนใดส่วนหนึ่งที่ระบุว่าห้ามไหว้พ่อแม่ ห้ามไหว้ครูอาจารย์ ห้ามไหว้พระ ห้ามไหว้พระราชา ห้ามไหว้ผู้มีพระคุณ โดยหนังสือเรียนอิสลามศึกษาตามที่กล่าวอ้าง ได้จัดทำขึ้นสำหรับผู้เรียนที่นับถือศาสนาอิสลามให้ได้นำไปใช้ในการเรียนรู้ในสาระที่ 1 ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 

สำหรับเนื้อหาสาระภายในเล่ม มุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนได้มีความรู้ ความเข้าใจ เป็นการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม เพื่อเป็นพื้นฐานในการนำไปใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตร่วมกันในสังคม พหุวัฒนธรรมได้อย่างสันติสุข อย่างไรก็ตาม ศาสนาอิสลามไม่ได้ห้ามการไหว้เมื่อมีการพบปะหรือจากลากับบุคคลต่างศาสนา เพราะตระหนักดีว่าการไหว้เป็นมารยาทไทย เป็นวัฒนธรรมการทักทายแบบไทยที่แสดงออกถึงความมีสัมมาคารวะและเป็นการให้เกียรติซึ่งกันและกัน แต่ศาสนาอิสลามห้ามการก้มกราบหรือกราบไหว้บูชาทุกสรรพสิ่ง

อิสลาม ห้ามเคารพธงชาติ ร้องเพลงชาติ และเพลงสรรเสริญ วันที่ 24 พ.ค. 2563 และ 26 ก.ย. 2563 มีคำชี้แจงจาก กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ว่า ไม่มีกฏข้อห้ามอิสลามเคารพธงชาติ ร้องเพลงชาติ และเพลงสรรเสริญ เนื่องจากตัดสินนัยยะพิจารณาถึงเจตนาของผู้พูด เมื่อมุสลิมนำมาใช้โดยไม่มีเจตนาที่จะทำและมิได้กระทำ ก็มิได้ทำให้สิ้นสภาพอิสลาม เนื่องจากคำพูดที่แสดงถึงเจตนาว่า จะปฏิบัติการกระทำที่ทำให้สิ้นสภาพอิสลาม โดยไม่ได้กระทำจริงตามนั้น ยังไม่ถือว่าสิ้นสภาพอิสลาม แต่ถ้าจิตใจคิดที่จะเลิกจากสภาพอิสลาม หรือจะนับถือศาสนาอื่น เพียงแต่มีความลังเลในหัวใจต่อความคิดนั้น ก็ทำให้สิ้นสภาพอิสลามได้แล้ว

ถ้าสมมุติจะยึดตามบางคนที่แปลบทเพลงไปตามความหมายที่นิยามตามหลักศาสนาอื่นๆ เมื่อมุสลิมนำมาใช้โดยไม่มีเจตนาที่จะทำและมิได้กระทำ เช่นอาจจะแปลคำ กราน เป็นกราบหรือ นบ เป็น กราบ หรือ บังคม เป็น กราบ คำพูดก็เป็นเพียงคำพูดซึ่งยังไม่มีการกระทำ จึงไม่ถือเป็นคำพูดที่ทำให้ขาดสภาพอิสลาม เพราะการกราบผิดตรงการกระทำ แต่เมื่อนำมาเป็นคำพูดก็ยังสามารถจะแปลออกไปได้อีกตามเจตนาของผู้พูดเอง ดังกล่าวไว้แล้ว

ยังมีเรื่องของ การเพิ่มจำนวนประชากรมุสลิมด้วยการนำเข้าชาวต่างชาติ อาทิ มีการแชร์กันว่า มีการแอบลักลอบนำชาวมุสลิมต่างด้าวหลายคนเข้า จ.ภูเก็ต ในเวลากลางคืนด้วยรถตู้” วันที่ 24 ต.ค. 2564 และ 21 ต.ค. 2565 สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดภูเก็ต ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่าข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ผู้ว่าจังหวัดภูเก็ตไม่เคยลักลอบพาชาวมุสลิมเข้ามาในจังหวัดภูเก็ตตามที่กล่าวอ้าง และผู้ว่าฯจังหวัดภูเก็ตนับถือศาสนาพุทธ โดยข้อมูลดังกล่าวเป็นการตัดบางช่วงบางตอนของรายการหนึ่ง แล้วนำมาเขียนพาดหัวข่าวใหม่เพื่อให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด

ซาอุดิอาระเบียสนับสนุนการนำคนมุสลิมเข้าไทย พบ 2 หัวข้อ คือ ผู้นำซาอุฯ แต่งตั้งตำแหน่งให้นายกฯ นำคนอิสลามเข้าไทยแบบผิดกฎหมายวันที่ 2 ก.พ. 2565 กระทรวงการต่างประเทศ ได้ชี้แจงว่า เรื่องดังกล่าวไม่ได้เป็นเรื่องจริง เนื่องจากการเยือนซาอุดิอาระเบียของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในตอนนั้น มิได้มีการหารือเรื่องการแต่งตั้งให้ นายกฯ ดำรงตำแหน่งสำคัญใด ๆ หรือการนำคนมุสลิมเข้าในประเทศไทย แต่ไปเพื่อต้องการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับซาอุฯ และสร้างโอกาสที่สำคัญสำหรับทั้งสองประเทศให้แก่ประชาชน โดยทำการฟื้นฟูด้านการท่องเที่ยวพลังงาน แรงงาน อาหาร สุขภาพ ความมั่นคง การศึกษาและศาสนา และการค้าการลงทุน รวมถึงด้านการกีฬา เป็นต้น

อีกครั้งในวันที่ 29 พ.ย. 2565 กับหัวข้อ ซาอุฯ นำคนมุสลิมเข้าไทย ล้านคนในปี 2565” ทางกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง ภายหลังจากการเยือนซาอุดิอาระเบียของนายกฯ การท่องเที่ยวเป็น 1 ใน 9 สาขา ที่ไทยพุ่งเป้าผลักดัน และส่งเสริมความร่วมมือกับซาอุดิอาระเบียโดยคาดว่านักท่องเที่ยวซาอุฯ จะเดินทางมาท่องเที่ยวไทยเพิ่มขึ้น อันมาจากการส่งเสริมการท่องเที่ยว และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (medical tourism) ซึ่งเป็นเชิงบวก และไม่ได้มีลักษณะที่จะขนคนมุสลิมเข้ามาจำนวนมากเพื่อจุดประสงค์อื่นแต่อย่างใด

ขณะที่ Cofact เองก็เคยเผยแพร่บทความกรณีศึกษา ข้อมูลเท็จเรื่อง พล.อ.ประยุทธ์และภรรยานับถืออิสลาม ยอดภูเขาน้ำแข็งของอิสลามโมโฟเบีย” วันที่ 28 ก.พ. 2566 ตั้งข้อสังเกตว่า ข้อมูลเรื่อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี (ในขณะนั้น) และภรรยานับถือศาสนาอิสลาม ปรากฏในพื้นที่สื่อสังคมออนไลน์ของกลุ่มที่เคลื่อนไหวต่อต้านนโยบายที่มองว่า เอื้อประโยชน์และขยายอิทธิพลของศาสนาอิสลาม เช่น พ.ร.บ. การบริหารองค์กรอิสลาม พ.ร.บ. ส่งเสริมกิจการฮัจย์ การสนับสนุนอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล การส่งเสริมความเท่าเทียมกันทางศาสนา และการสร้างมัสยิด เป็นต้น แม้จะมีการชี้แจงจากผู้เกี่ยวข้องไปหลายครั้งแล้วก็ตามว่าไม่เป็นความจริง รวมถึงมีภาพถ่ายจำนวนมากที่ยืนยันว่าทั้งนายกฯ และภรรยาเข้าร่วมพิธีทางศาสนาพุทธ

ย้อนไปเมื่อวันที่ 13 ส.ค. 2565 มีการจัดงานเสวนาค้นหาความจริง แก้ไขข่าวลวง อิสลามโมโฟเบียในสังคมไทย ที่สถาบันเรียนรู้อิสลามประจำจังหวัดเชียงใหม่ ต.ท่าวังตาล อ.เมือง จ.เชียงใหม่ปวิณ แสงซอน สถาปนิกมุสลิม ฉายภาพ 2 ส่วนที่มาประกอบกันเป็นกระแสหวาดกลัวอิสลาม คือ ผู้ส่งสาร” หรือผู้เผยแพร่ส่งต่อข้อมูลข่าวสาร ซึ่งแบ่งได้ 3 ประเภท คือ 

1.ตั้งใจสร้างความเกลียดชัง กลุ่มนี้มีทั้งที่เป็นบุคคลและองค์กร มีกระบวนการผลิตและเผยแพร่เนื้อหาเป็นระบบทั้งทางตรงและทางอ้อม 2.ไม่ได้ตั้งใจแต่นิสัยเป็นเหตุสังเกตได้ หมายถึง ชาวมุสลิมเองก็ไม่ได้เข้าใจการปฏิบัติตนในแต่ละบทบาทในสังคมตามหลักศาสนา ทำให้คนต่างศาสนาที่พบเห็นมองอิสลามในแง่ลบ และ 3.คิดดีแต่ผีเข้าหมายถึงผู้ที่ไม่รู้เท่าทันอารมณ์ตนเองและกาลเทศะ เช่น ประเด็นใดเป็นเรื่องส่วนตัว-ส่วนรวม เป็นประเด็นที่ส่งผลกระทบมาก-น้อยต่อสังคม ประเด็นที่สื่อสารในที่สาธารณะได้กับประเด็นที่ควรพูดคุยกันเฉพาะในห้องเรียน

กับ ผู้รับสาร แบ่งได้ 3 ประเภทเช่นกัน คือ 1.หาข้อเท็จจริง ได้ข่าวอะไรมาก็พยายามค้นหาที่มาที่ไป เกิดการปะติดปะต่อเรื่องราวนำไปสู่ทัศนคติของคนคนนั้น 2.จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ ไม่มีเหตุผลใดๆ เพราะอยู่กับจินตนาการล้วนๆ และ 3.มีคำตอบในใจแล้ว ต่อให้ฟังข่าวก็ยังคงตัดสินตามที่คิดไว้อยู่ดี ทั้งนี้ ผู้ได้รับผลกระทบจากข้อมูลข่าวสารที่สร้างความเข้าใจผิดหรือเกลียดชัง มักเป็นคนทั่วไปหรือคนที่มีสถานะอ่อนด้อยในสังคม เช่น คนจน คนยากไร้ ลูกจ้าง มากกว่าคนที่มีชื่อเสียงหรือตำแหน่งในสังคม เพราะคนกลุ่มหลังนี้ยังได้รับความเกรงใจอยู่บ้าง 

ขณะที่ สุจินดา คำจร นักวิชาการชาวพุทธผู้ทำวิจัยเกี่ยวกับชุมชนมุสลิม ให้ข้อคิดว่า เมื่อรับข้อมูลข่าวสารต้องตั้งคำถามก่อน” ว่ามันเป็นแบบนั้นจริงหรือเปล่า ยิ่งสงสัยยิ่งต้องค้นหาข้อมูลแล้วจะเห็นภาพมากขึ้น พื้นที่ทางวิชาการจึงเป็นสิ่งสำคัญ อย่างกรณีของตนเอง การที่เปิดใจยอมรับก็มาจากการศึกษาค้นคว้า แต่หากรีบเชื่อหรือด่วนสุด ก็จะเห็นแต่ภาพเหมารวมอย่างที่เกิดขึ้น เข้าใจ-เข้าถึง การมีวัฒนธรรมที่แตกต่างไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นเรื่องที่ผิด การเรียนรู้จะทำให้อยู่ร่วมกันได้ 

ตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับความสำคัญของทักษะการรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) กล่าวคือ ก่อนหน้านี้เคยมีข่าว จ.เชียงใหม่ มีมัสยิดมากถึง 200 แห่ง เรื่องนี้สำหรับคนที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลามได้ยินแล้วคงตกใจ แต่หากเชื่อในทันทีโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงก็จะเป็นการผลิตซ้ำ ซึ่งการตรวจสอบสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การรับข่าวจากหลายช่องทาง โดยเฉพาะแหล่งข่าวจากทางออนไลน์ยิ่งต้องระมัดระวังเพราะอาจไม่ได้กลั่นกรองอย่างเพียงพอ แต่อีกด้านหนึ่ง หน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลเรื่องนั้นๆ ก็สามารถชี้แจงข้อเท็จจริงที่ถูกต้องได้เช่นกัน

อีกด้านหนึ่ง อันธิกา (ยามีละห์) เสมสรร ประธานศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพ (สปสช.) จังหวัดนครศรีธรรมราช ฝากถึงองค์กรของชาวมุสลิมเองว่าก็ต้องปรับวิธีคิดด้วย เช่น เมื่อเกิดภัยพิบัติ อยากให้เปลี่ยนคำถามจากพื้นที่นี้ชุมชนมุสลิมได้รับผลกระทบมาก-น้อยเพียงใด เป็นพื้นที่นี้มีชุมชนที่ได้รับผลกระทบอยู่ตรงไหนบ้าง โดยไม่ต้องแบ่งแยกว่าผู้ได้รับผลกระทบนับถือศาสนาใดเพราะการช่วยเหลือโดยแบ่งแยกศาสนา คนภายนอกที่มองเข้ามาก็จะเห็นการเลือกปฏิบัติ ในทางกลับกัน ภาพของการช่วยเหลือโดยไม่แบ่งแยก สามารถลดความรู้สึกเกลียดหรือกลัวมุสลิมลงได้

โดยสรุปแล้ว การระบาดของข่าวลวงหรือข้อมูลเท็จที่เชื่อมโยงกับกระแสความหวาดกลัว (หรือเกลียดกลัว) อิสลาม คงไม่อาจแก้ไขได้เพียงคำแนะนำเรื่องเช็คให้ชัวร์ก่อนแชร์เพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีพื้นที่ กิจกรรม รวมถึงเนื้อหาสื่อต่างๆ ที่เอื้อต่อการให้ผู้ที่มีพื้นเพความเชื่อแตกต่างกัน ได้เรียนรู้ที่จะเข้าใจในความแตกต่างนั้น และอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติบนฐานของการเคารพความแตกต่าง แต่ไม่แตกแยกหรือหวาดกลัวซึ่งกันและกัน!!!

-/-/-/-/-/–/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://www.un.org/en/observances/anti-islamophobia-day (International Day to Combat Islamophobia 15 March : องต์การสหประชาชาติ)

https://www.britannica.com/topic/ Islamophobia(Islamophobia : Britannica)

https://worldpopulationreview.com/country-rankings/muslim-population-by-country  (Muslim Population by Country 2024 : World Population Review)

https://www.statista.com/statistics/374661/countries-with-the-largest-muslim-population/ (Top 25 countries with the largest number of Muslims in 2022 (in millions)* : Statista)

https://www.ispu.org/5-myths-about-american-muslims-10-years-after-911/ (5 Myths about American Muslims 10 Years after 9/11 : ISPU 9 ก.ย. 2554)

https://thelogicalindian.com/news/islamophobia-covid-19-coronavirus-fake-news-muslim-tablighi-jamaat-20543 (Top Five Fake News Targeting Muslim Community Amid Nationwide Lockdown: The Logical Indian 10 เม.ย. 2563)

https://www.the101.world/hindu-vs-muslim-conflict-in-india/ (‘ชาตินิยมที่มากล้น’ กับต้นทุนทางการเมืองและเศรษฐกิจที่อินเดียต้องแบกรับ : 101)

https://www.antifakenewscenter.com/?s=มัสยิด&asp_active=1&p_asid=1&p_asp_data=1&post_date_to=2024-01-24&post_date_to_real=24-01-2024%20%20%20%20&post_date_from=2017-03-23&post_date_from_real=23-03-2017%20%20%20%20&filters_initial=1&filters_changed=0&qtranslate_lang=0&current_page_id=13563

https://www.antifakenewscenter.com/?s=อิสลาม&asp_active=1&p_asid=1&p_asp_data=1&post_date_to=2024-01-24&post_date_to_real=24-01-2024%20%20%20%20&post_date_from=2017-03-23&post_date_from_real=23-03-2017%20%20%20%20&filters_initial=1&filters_changed=0&qtranslate_lang=0&current_page_id=13563

https://www.antifakenewscenter.com/?s=มุสลิม&asp_active=1&p_asid=1&p_asp_data=1&post_date_to=2024-01-24&post_date_to_real=24-01-2024%20%20%20%20&post_date_from=2017-03-23&post_date_from_real=23-03-2017%20%20%20%20&filters_initial=1&filters_changed=0&qtranslate_lang=0&current_page_id=13563

https://blog.cofact.org/660206-2/ (ข้อมูลเท็จเรื่อง พล.อ.ประยุทธ์และภรรยานับถืออิสลาม ยอดภูเขาน้ำแข็งของ “อิสลามโมโฟเบีย” : Cofact 28 ก.พ. 2566)

https://blog.cofact.org/form0865/ (ถอดบทเรียน‘อิสลามโมโฟเบีย’วงเสวนาชี้‘เข้าใจ-เข้าถึง’เรียนรู้ความแตกต่าง-ช่วยเหลือไม่แบ่งแยก ลดอคติได้ : Cofact 13 ส.ค. 2565)


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 9 มีนาคม 2567

ระวังมิจฉาชีพส่งที่ชาร์จแบตดูดเงินอ้างชื่อ SCB…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/328249wlk7ktp


แป้งหมี่ใช้รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/274u6g3ce1um6


ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อเดือน สามารถขอเงินอุดหนุนคืนเงินได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/15cab6uuq3hyq


การ Swab ลึกถึงเพดานจมูกทำให้เนื้อเยื่อพังผืดที่ห่อหุ้ม Olfactory Nerve เสียหาย ส่งผลเสียต่อสุขภาพ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2hynhdm4p35ni


  โรคเบาหวานควรเลี่ยงการดื่มน้ำมะพร้าว

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/240fs5f7b3xlb


 ประเทศไทยร้อนทะลุ 44.5 องศา ระวังฮีทสโตรกอันตรายถึงชีวิต

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3nx41t1l93tfc