By : Zhang Taehun
“ ความกลัว อคติ และความเกลียดชังชาวมุสลิมที่นำไปสู่การยั่วยุ ความเป็นปรปักษ์ และการไม่ยอมรับความแตกต่าง ด้วยการข่มขู่ การคุกคาม การล่วงละเมิด การยั่วยุ และการข่มขู ่ทั้งต่อบุคคลที่เป็น มุสลิมและไม่ใช่มุสลิม ทั้งในโลกออนไลน์และออฟไลน์ โดยมี แรง จูง ใจ มา จากความเกลียดชังทางสถาบัน อุดมการณ์ การเมือง และศาสนา ซึ่งก้าวข้ามไปสู่การเหยียดเชื้อชาติเชิงโครงสร้างและวัฒนธรรม โดยมุ่งเป้าไปที่สัญลักษณ์และเครื่องหมายของการเป็นมุสลิม ”
ข้างต้นนี้คือนิยาม “Islamophobia” หรือ “ กระแสหวาดกลัวอิสลาม ” ที่ถูกกำหนดโดย องค์การสหประชาชาติ (UN) โดยที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้มีมติซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก 60 ประเทศสมาชิกขององค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) กำหนดให้tวันที่ 15 มีนาคมของทุกปี เป็นวันต่อต้านกระแสหวาดกลัวอิสลามสากล (International Day to Combat Islamophobia)
นายอันโตนิโอ กูเตร์เรส (Antonio Guterres) เลขาธิการสหประชาชาติ ได้กล่าวไว้ในปี 2564 เนื่องในการจัดแห่งงานวันต่อต้านกระแสหวาดกลัวอิสลามสากลครั้งแรกว่า การต่อต้านมุสลิมเป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆของการฟื้นคืนชีพในลัทธิชาตินิยมชาติพันธุ์ การตีตรา และคำพูดแสดงความเกลียดชังที่พุ่งเป้าไปที่ประชากรกลุ่มเปราะบาง เช่น ชาวมุสลิม ชาวยิว ชุมชนคริสเตียนชนกลุ่มน้อย รวมถึงชุมชนอื่นๆ
Britannica สารานุกรมที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงของอังกฤษ ระบุว่า ทัศนคติการมองศาสนาอิสลามในแง่ลบอยู่คู่กับโลกตะวันตกมาตั้งแต่ยุคที่ศาสนาอิสลามถือกำเนิดขึ้น เนื่องด้วยรัฐชาติของชาวตะวันตกหรือก็คือชาวยุโรปมีศาสนาคริสต์เป็นแกนหลักทางความเชื่อ และตลอดห้วงประวัติศาสตร์ของรัฐหรืออาณาจักรในยุโรปก็มีความขัดแย้งกับรัฐหรืออาณาจักรที่มีศาสนาอิสลามเป็นแกนหลักทางความเชื่อมาอย่างต่อเนื่อง เช่น สงครามครูเสด การทำสงครามชิงดินแดนในสเปนจากผู้ปกครองที่เป็นมุสลิม และการขยายอิทธิพลของอาณาจักรออตโตมัน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม กระแสหวาดกลัวอิสลามในยุคสมัยใหม่ เกิดขึ้นจริงจังภายหลังเหตุการณ์ผุ้ก่อการร้ายขับเครื่องบินพุ่งชนอาคารเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์ ในมหานครนิวยอร์กของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2544 หรือเหตุการณ์ “9/11” ชาวมุสลิมในสหรัฐฯ และยุโรปตกเป็นเป้าถูกทำร้ายตั้งแต่ทางวาจาไปจนถึงการทำร้ายร่างกาย มีการจัดตั้งองค์กรที่ระบุวัตถุประสงค์ชัดเจนว่าเพื่อสกัดกั้นไม่ให้ศาสนาอิสลามมีอิทธิพลทางวัฒนธรรมหรือกฎหมายต่อสังคมตะวันตก และหลายประเทศมีกฎหมายจำกัดหรือเฝ้าระวังการแสดงออกทางอัตตาลักษณ์ของชาวมุสลิม
เช่น ฝรั่งเศส ห้ามสตรีมุสลิมสวมผ้าคลุมศีรษะที่มีลักษณะปิดบังใบหน้า (นิกอบ) ขณะที่ ออสเตรีย มีการเผยแพร่แผนที่ออนไลน์ ระบุสถานที่ตั้งของมัสยิด ศูนย์ชุมชนและสถานที่อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง หรือ สวิตเซอร์แลนด์ ประชาชนลงมติให้ออกกฎหมายควบคุมการก่อสร้างหอสวดอาซาน สิ่งก่อสร้างสำคัญที่อยู่คู่กับมัสยิดหรือศาสนสถานของชาวมุสลิม หรือในบางรัฐของสหรัฐอเมริกา ก็มีการผลักดันข้อเรียกร้องไม่ให้ศาลอ้างกฎหมายชารีอะห์ หรือกฎหมายของศาสนาอิสลาม โดยให้เหตุผลว่าขัดแย้งกับค่านิยมของอารยธรรมตะวันตก
อนึ่ง ตามข้อมูลของ Britannica ยังมีการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับกระแสหวาดกลัวอิสลามไว้อีกว่า แนวความคิดที่เกลียดชังอิสลามเกี่ยวกับศาสนาอิสลามโดยทั่วไปยังนำ “ ชาวมุสลิม ” กับ “ ภูมิภาคตะวันออกกลาง (Middle East)” มาผูกรวมเข้าด้วยกัน ทั้งนี้ในความเป็นจริง ชาวตะวันออกกลางจำนวนมากไม่ใช่มุสลิม และชาวมุสลิมส่วนใหญ่ทั่วโลกอาศัยอยู่นอกตะวันออกกลาง (5 อันดับชาติที่มีประชากรนับถือศาสนาอิสลาม คือ อินโดนีเซีย ปากีสถาน อินเดีย บังกลาเทศและไนจีเรีย ซึ่งแต่ละชาติในกลุ่มนี้มีประชากรมุสลิมราว 100 ล้านคนหรือมากกว่า)
บทความ “ 5 Myths about American Muslims 10 Years after 9/11 ” เผยแพร่ในเว็บไซต์ ipsu.org ของ Institute for Social Policy and Understandingสถาบันวิจัยที่มุ่งเน้นเป้าหมายชาวอเมริกันที่นับถือศาสนาอิสลาม เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2554 หรือ 2 วันก่อนครบรอบ 10 ปีเหตุการณ์ 9/11 ผู้เขียนคือ เอ็นจี อับเดลคาเดอร์ (Engy Abdelkader) นักวิชาการด้านกฎหมายของ ISPU และเป็นทนายความด้านสิทธิมนุษยชนในพื้นที่นิวยอร์ก/นิวเจอร์ซีย์ ระบุ 5 เรื่องที่สังคมอเมริกันเข้าใจผิดเกี่ยวกับชาวมุสลิม ดังนี้
1. ชาวอเมริกันมุสลิมไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย ในความเป็นจริง นับตั้งแต่เหตุการณ์ 9/11 ชุมชนชาวอเมริกันมุสลิมได้ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายในการป้องกันมากกว่าร้อยละ 40 ของแผนการก่อการร้ายของกลุ่มอัลกออิดะห์ต่อสหรัฐฯ เบาะแสเบื้องต้นที่ใหญ่ที่สุดสำหรับเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับแผนการต่างๆ มาจากชุมชนชาวอเมริกันมุสลิม แท้จริงแล้ว การรักษาบ้านเกิดเมืองนอนเป็นความมุ่งมั่นร่วมกันและมีความสำคัญเป็นลำดับแรกสำหรับชุมชนมุสลิมในสหรัฐฯ
2. มัสยิดเป็นแหล่ง บ่ม เพาะของลัทธิหัวรุนแรง และ การก่อการร้ายในชุมชน อเ มริกัน มุสลิม การศึกษาเวลา 2 ปีเกี่ยวกับชาวอเมริกันมุสลิมในหัวข้อ “ บทเรียนต่อต้านการก่อการร้ายของชาว เอมริกัน มุสลิม ” โดยศาสตราจารย์ เดวิด ชานเซอร์ (David Schanzer) และ ชาร์ลส์ เคิร์ซแมน (Charles Kurzman) ร่วมกับ Duke’s Sanford School of Public Policy และ University of North Carolina ตามลำดับ พบว่า ความเป็นจริงแล้ว บทบาทของมัสยิดในปัจจุบันกลับช่วยขัดขวางการแพร่กระจายของลัทธิอิสลามหัวรุนแรงและการก่อการร้ายเสียด้วยซ้ำไป
“ ผู้ที่ไม่เคยเข้าร่วมพิธี ในมัสยิดอเมริกันสมัยใหม่อาจรู้สึกประหลาดใจ เมื่อรู้ว่าการเทศนาของผู้นำมุสลิมมักเน้นไปที่หน้าที่ของชาวมุสลิมในการบริจาคอย่างไม่เห็นแก่ตัวเพื่อการกุศล การจัดการความโกรธ การแสดงความเคารพต่อสามีหรือภรรยา คุณธรรมแห่งความอดทนและการให้อภัยในประเพณีอิสลาม ความส ำคัญของการมีส่วนร่วมในชีวิตพลเมืองอเมริกันโดยการใช้สิทธิลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ หรือเคารพหลักนิติธรรมในสถานที่ที่คุณอยู่
ยิ่งไปกว่านั้น ในทศวรรษที่ผ่านมา ผู้นำทางจิตวิญญาณชาวอเมริกันมุสลิมที่มีชื่อเสียงจำนวนมากได้ใช้ธรรมาสน์เพื่อประณามการกระทำของลัทธิหัวรุนแรงและความรุนแรงทางศาสนา ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลย เนื่องจากความเข้าใจที่กระจ่างแจ้งเกี่ยวกับกฎหมายอิสลามเผยให้เห็นว่า การก่อการร้ายนั้นไม่มีนัยสำคัญต่อหลักการ ของกฎหมายดังกล่าว ” บทความระบุ
3. กฎหมายชาริอะห์ (กฎหมายจารีตอิส ลาม) คือภัยคุกคามที่กำลังแทรกซึมเข้าไปในระบบกฎหมายของสหรัฐอเมริกา ไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือใดที่จะสนับสนุนข้อกล่าวอ้างที่ว่าชาวอเมริกันมุสลิมกำลังผลักดันการนำหลักศาสนาอิสลามไปใช้ในอเมริกา(ปี 2554 มีบทความนี้เผยแพร่)
4. ผู้นำมุสลิมไม่ประ ณ ามการก่อการร้ายใ นนามของศาสนาอิสลาม ในความเป็นจริง ผู้นำมุสลิมในอเมริกาส่วนใหญ่ได้ทำตรงกันข้ามอย่างชัดเจน ศาสตราจารย์ชาร์ลส เคิร์ซแมน แห่งมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา ได้รวบรวมกิจกรรมการประณามต่อเหตุการณ์ก่อการร้ายเมื่อวันที่ 11 กันยายน ที่นำโดยผู้นำมุสลิม โดยเฉพาะ พวกเขายังมีส่วนร่วมในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์กับชุมชนผู้บังคับใช้กฎหมายอย่างสม่ำเสมอ และทำงานเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจระหว่างศาสนาและระหว่างวัฒนธรรมกับกลุ่มคนต่างศาสนาและชุมชนขนาดใหญ่ที่อยู่รอบตัว
5. มุสลิมที่ฝึกฝนทุกคนจะมีส่วนร่วมในทากียะฮ์ ซึ่งได้รับคำสั่งจากศาสนาให้โกหก คำว่า “ ทากียะฮ์ (Taqiyya)” ในภาษาอาหรับ หมายถึงการปกปิดศรัทธาของตนเพื่อให้รอดพ้นจากความตาย คำนี้ต้องย้อนไปดูประวัติศาสตร์ของชาวมุสลิมกลุ่มแรกๆ เมื่อ 1,500 ปีก่อน ที่พวกเขาก็เชื่อในพระเจ้าองค์เดียวกับอับราฮัม โมเสส และพระเยซู แต่ก็ถือเป็นกลุ่มเปราะบางที่เสี่ยงต่อการถูกทรมานและประหัตประหารด้วยเหตุผลทางศาสนา แต่ในปัจจุบัน ชาวมุสลิมโดยเฉลี่ยได้เรียนรู้ตั้งแต่สมัยเด็กๆ ว่าการโกหกนั้นผิดเหมือนกับชาวอเมริกันทั่วไป และชุมชนอเมริกันมุสลิมก็ไม่ได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกันกับที่มุสลิมกลุ่มแรกต้องเผชิญเมื่อนานมาแล้ว
“ โรคระบาด ” ก็เป็นอีกปัจจัยที่กระตุ้นกระแสหวาดกลัวอิสลาม มีตัวอย่างจากประเทศอินเดีย ซึ่งมักมีเหตุกระทบกระทั่งระหว่างชาวฮินดูกับชาวมุสลิมอยู่เนืองๆ ในช่วงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ก็มีการแชร์ข่าวลวง (Fake News) ที่เกี่ยวข้องกับกระแสหวาดกลัวอิสลาม โดย The Logical Indian ซึ่งเป็นสำนักข่าวออนไลน์ในอินเดีย รวบรวมไว้ 5 เรื่อง เผยแพร่เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2563 อันเป็นช่วงที่อินเดียประกาศล็อกดาวน์อย่างเข้มงวดเพื่อควบคุมโรค ในชื่อบทความ “Top Five Fake News Targeting Muslim Community Amid Nationwide Lockdown” ดังนี้
1. วิดีโอเก่าอ้างว่าผู้ขายผลไม้ถ่มน้ำลายเพื่อแพร่เชื้อโคโรนาไวรัส มีการแชร์คลิปวิดีโอความยาว 30 วินาทีของพ่อค้าผลไม้ที่กำลังเลียนิ้วขณะหยิบผลไม้บนรถเข็น โดยอ้างว่าชาวมุสลิมจงใจแพร่เชื้อโควิด-19 ในประเทศ เบื้องต้นเหตุการณ์ถูกระบุว่าเกิดขึ้นในเขต Raisen ของรัฐมัธยประเทศ ซึ่งเวลานั้นยังไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่ดังกล่าว แต่ชายคนที่ปรากฏในคลิปถูกตำรวจจับเมื่อวันที่ 3 เม.ย. 2563 อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2563 โดยผู้ร้องเรียนเห็นภาพดังกล่าวแล้วกังวลว่า ผู้ขายผลไม้รายนี้จงใจแพร่เชื้อผ่านทางน้ำลาย ดังนั้นกรณีนี้คือการนำคลิปวีดีโอเก่ากลับมาแชร์ใหม่อย่างผิดบริบท (false context)
2.วีดีโอเก่า อ้างว่าร้านอาหารของชาวมุสลิม ถ่ม น้ำลายใส่อาหาร คล้ายๆ กับกรณีแรก ซึ่งการตรวจสอบทำโดยใช้เครื่องมือ InVid แบ่งวิดีโอออกเป็นหลายเฟรม และค้นหารูปภาพแบบย้อนกลับของคีย์เฟรมหลายรายการใน Google ในที่สุดพบว่าวิดีโอดังกล่าวมีการโพสต์ไว้ตั้งแต่เดือน เม.ย. 2562 บนเว็บไซต์แห่งหนึ่งในจีน และแม้จะสืบย้อนกลับไปไม่ถึงต้นตอ แต่อย่างน้อยก็ยืนยันได้ว่าคลิปวีดีโอนี้ถูกเผยแพร่มาก่อนสถานการณ์โควิด-19 นานพอสมควร
3. สมาชิก Tablighi Jamaat ขออาหารที่ไม่ใช่ มังสวิรัติ และถ่ายอุจจาระในที่โล่ง โดย Tablighi Jamaat เป็นขบวนการศาสนาอิสลามระดับนานาชาติที่มุ่งเน้นการชักชวนชาวมุสลิมให้เคร่งครัดในศาสนามากขึ้น ซึ่งในวันที่ 5 เม.ย. 2563 มีรายงานข่าวอ้างว่า ผู้เข้าร่วมกลุ่ม Tablighi Jamaat ได้ขออาหารที่ไม่ใช่มังสวิรัติและถ่ายอุจจาระในที่โล่ง ณ สถานที่กักกันที่ตั้งอยู่ใน Saharanpur รัฐอุตตรประเทศ อย่างไรก็ตาม หน่วยงานตำรวจของ Saharanpur ได้โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ (ปัจจจุบันคือ X) ยืนยันว่าไม่มีเหตุการณ์เรียกร้องตามที่กล่าวอ้างเกิดขึ้น
4.ชาวมุสลิมพร้อมใจกันจามโดยเจตนาเพื่อแพร่เชื้อโควิด-19 มีการเผยแพร่คลิปวีดีโอที่อ้างว่าเป็นเหตุการณ์ในมัสยิด Hazrat Nizamuddin ในกรุงนิวเดลี ผู้คนกำลังจามโดยเจตนาเพื่อแพร่เชื้อโควิด-19 แต่นั่นเป็นการกล่าวอ้างอย่างเกินจริงๆ เพราะในวิถีปฏิบัติในศาสนาอิสลาม มีการสวดอธิษฐานที่เรียกว่า Zikr เป็นการกล่าวถึงพระอัลเลาะห์ พระผู้เป็นเจ้าในศาสนาอิสลามซ้ำๆ และพิธีกรรมนี้มักมีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก การเคลื่อนไหวบางอย่าง เช่น การแกว่งไปมาหรือหมุนจากขวาไปซ้าย จะถูกรวมไว้ในกิจกรรมนี้ระหว่างการใช้น้ำเสียงและทำพร้อมกันในทำนองเดียวกัน
5.ชาวมุสลิมเลียภาชนะใส่อาหารเพื่อแพร่เชื้อโควิด-19 มีการแชร์คลิปวิดีโอที่แสดงภาพกลุ่มคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเยาวชนในชุมชน Dawoodi Bohra กำลังนั่งอยู่กับภาชนะและเลียภาชนะเหล่านั้น ซึ่งคลิปนี้แม้เป็นเหตุการณ์จริง โดยระบุว่า ภายใต้การนำของ Syedna Mufaddal หัวหน้าบาทหลวง Bohra กำลังทำความสะอาดจานใหญ่ที่เรียกว่า Thal เพื่อไม่ให้อาหารเหลือทิ้ง แต่เหตุการณ์ในคลิปเกิดขึ้นก่อนสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19
“ ในขณะที่อินเดียใกล้จะสิ้นสุดมาตรการล็อกดาวน์ 21 วันซึ่งประกาศโด ยนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี เพื่ อควบคุมการแพร่กระจายของโควิด- 19 ชาวอินเดียยังคงต้องทนทุกข์ทรมานจากไวรัสอีกชนิดหนึ่ง นั่นก็คือ โรคกลัวอิสลาม ผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด- 19 และความเกลียดชังของชุมชนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ใน WhatsApp, Facebook, Twitter, YouTube และแม้แต่ช่องข่าวโทรทัศน์ ความคลั่งไคล้ก็เดือดพล่านไ ปทั่ว ขอให้เราอย่าใส่ร้ายและตีตรา เหมารวม ทั้งชุมชน จากเหตุการณ์ที่ ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ซึ่งดำเนินการโดยคนเพียงไม่กี่คน ” รายงานของ The Logical Indian ฝากข้อคิดทิ้งท้าย
กลับมาที่ “ ประเทศไทย ” แม้จะไม่ได้มีกระแสหวั่นเกรงเหตุก่อการร้ายมากเท่าสหรัฐอเมริกา และไม่ได้มีความบาดหมางที่อิงกับศาสนาอย่างร้าวลึกเหมือนกับอินเดีย แต่ด้วยความที่ไทยก็มีปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส) ซึ่งมักถูกนำไปเชื่อมโยงกับศาสนาอิสลามที่เป็นวัฒนธรรมหลักในพื้นที่ ก็ยังทำให้มองเห็นร่องรอยกระแสหวาดกลัวอิสลามในสังคมได้บ้าง ผ่านข่าวลวงที่ถูกแชร์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์
ดังตัวอย่างจาก ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผู้เขียนลองใช้ Keyword 3 คำ คือ “ มุสลิม ’ , “ อิสลาม ” และ “ มัสยิด ” สืบค้น ณ วันที่ 24 ม.ค. 2567 ตัวอย่างข่าวลวงที่พบบ่อยคือ “ รัฐไทยอำนวยความสะดวกอย่างมากในการ ก่อ สร้าง และดำเนินกิจการ มัสยิด ” เช่น แชร์กันว่า “ กระทรวงมหาดไทย ออกใบอนุญาตย้อนหลังให้สร้างมัสยิด ที่ จ.บึงกาฬ ” พบครั้งแรก วันที่ 4 มิ.ย. 2563 และอีกครั้งวันที่ 30 มิ.ย. 2565
ซึ่งตามข้อกฎหมาย การสร้างมัสยิดต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดหรือคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย (กรณีจังหวัดที่ไม่มีคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด) เป็นสำคัญ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดหรือปลัดกรุงเทพมหานครแล้วแต่กรณี ตามคำสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ 494/2542 ลงวันที่ 20 พ.ย. 2542 เป็นเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ในการจดทะเบียนจัดตั้งมัสยิด ไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแต่อย่างใด ,
“ ภูเก็ตใช้พื้นที่ป่าสงวนกว่า 19 ไร่ และใช้งบกว่า 250 ล้านบาท เพื่อสร้างมัสยิด ” วันที่ 28 ต.ค. 2564 และ 16 ก.ค. 2565 คำชี้แจงคือ เป็นโครงการศูนย์อบรมจริยธรรมศาสนาอิสลาม ไม่ใช่เป็นการก่อสร้างมัสยิดแต่อย่างใด อีกทั้งในโครงการนี้ อบจ. ภูเก็ตได้ตั้งงบประมาณจำนวน 56 ล้านบาทตั้งแต่ปีงบประมาณ 2562 ไม่ใช่ งบ 250 ล้านบาท โดยโครงการดังกล่าว เป็นไปตามนโยบายการส่งเสริมทำนุบำรุงศาสนาทุกศาสนา ก่อสร้างบริเวณสวนป่าบางขนุน ใกล้กับวิทยาลัยเทคนิคถลาง ซึ่ง อบจ. ได้รับอนุญาตใช้พื้นที่จากรมป่าไม้แล้ว ขณะที่ในวันที่ 5 ธ.ค. 2564 ยังพบข่าว “ ผู้ว่าจังหวัดภูเก็ต อนุมัติงบสร้างมัสยิด 56 ล้านบาท และขนชาวมุสลิมเดินทางเข้าภูเก็ต ” มีการชี้แจงว่า ผู้ว่าจังหวัดภูเก็ตนับถือศาสนาพุทธ อีกทั้งไม่เคยอนุมัติงบ 56 ล้านบาทเพื่อ สร้างมัสยิด และไม่เคยลักลอบพาชาวมุสลิมเข้ามาในจังหวัดภูเก็ตแต่อย่างใด ,
“ ห้ามชาวบ้านและชาวพุทธ เข้าไปยังเขตเขายายเที่ยง ” วันที่ 26 เม.ย. 2565 โดยอ้างถึงการสร้างมัสยิดในพื้นที่ดังกล่าว ที่มาที่ไปของมัสยิดแห่งนี้ เกิดขึ้นพร้อมกับการที่ราษฎรได้เข้าบุกรุกถือครองพื้นที่ป้าสงวนแห่งชาติป่าเขาเตียนและป่าเขาเขื่อนลั่น ตั้งแต่ปี 2520 เป็นต้นมา แต่มติครม. ปี 2518 ได้ให้ราษฎรเข้าอยู่ในรูปหมู่บ้านป่าไม้ฯ จนมาถึงปัจจุบัน จึงเป็นพื้นที่ในความรับผิดชอบของกรมป่าไม้และอยู่ในระหว่างการดำเนินการแก้ไขปัญหาของกรมป่าไม้ ซึ่งมัสยิดดารุ้ลอะมีน (มัสยิดเขายายเที่ยง) ได้มีการยื่นขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ตามมติคณะรัฐมนตรี และไม่มีการห้ามชาวบ้านและชาวพุทธเข้าไปยังเขตเขายายเที่ยงแต่อย่างใด ,
“ มัสยิดเกิน 100 แห่ง ทั่วเมืองเชียงใหม่ ” วันที่ 21 มิ.ย. 2565 ชี้แจงว่า จากการตรวจสอบทางทะเบียนล่าสุดเมื่อสิ้นปี 2562 (วันที่ 31 ธ.ค. 2562) พบว่าจังหวัดเชียงใหม่มีมัสยิดจดทะเบียนถูกต้องตามพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ.2540 จำนวนทั้งสิ้น 14 แห่งเท่านั้น ซึ่งกฎหมายไม่ได้บังคับว่า มัสยิดต้องจดทะเบียนแต่อย่างใด เพียงแต่เมื่อจดทะเบียนแล้วจะมีสถานะเป็นนิติบุคคล และนอกจากมัสยิดแล้ว ยังมีสถานที่ประกอบศาสนกิจที่เรียกชื่อเป็นอย่างอื่นอีกด้วย เช่น มูศ็อลลา บาแล หรือบาลาเซาะ เป็นต้น ซึ่งมิได้มีกฎหมายบังคับให้ต้องจดทะเบียนแต่อย่างใด ,
“ มุสลิมยึดที่ว่าการอำเภอเทพา จ.สงขลา สร้างมัสยิดในสถานที่ราชการ ด้วยงบประมาณแผ ่นดินของคนไทยทั้งประเทศ ” ชี้แจงว่าอาคารดังกล่าวที่ปรากฏในโพสต์นั้นเป็นอาคารที่สร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสถานที่ละหมาดให้กับประชาชนที่มาติดต่อราชการในที่ว่าการอำเภอเทพารวมทั้งข้าราชการที่เป็นมุสลิมในพื้นที่ และอาคารดังกล่าวไม่ได้เป็นอาคารมัสยิดที่มีการจดทะเบียนจัดตั้งตามกฎหมายแต่อย่างใด เป็นเพียงสถานที่สำหรับการทำละหมาดเท่านั้น อีกทั้งประชากรส่วนใหญ่ในพื้นที่อำเภอเทพาเป็นผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม ,
“ มีการสร้างมัสยิดโดยไม่มีมุสลิมในพื้นที่ ณ เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย ” วันที่ 21 ต.ค. 2563 ซึ่งกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ได้ชี้แจงว่า ในอ.เวียงป่าเป้า มีประชากรที่นับถือศาสนาอิสลาม จำนวน 17 หมู่บ้าน รวม 101 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 16 ตุลาคม 2563) และการก่อสร้างเป็นไปตามมติที่ประชุมของ คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเชียงราย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้มุสลิมที่ดินทางไป-มาระหว่าง จ.เชียงราย และ จ.เชียงใหม่ ได้แวะปฏิบัติศาสนากิจ แต่ทั้งนี้ อาคารมัสยิดดังกล่าวไม่ได้มีการจดทะเบียนจัดตั้งตามกฎหมายแต่อย่างใด และเป็นเพียงสถานที่สำหรับการทำละหมาดชั่วคราวเท่านั้น
อีกหัวข้อที่พบมากคือ “ ศาสนาอิสลามกำลังเ ข้ายึดครองระบบการศึก ษาของ ไทย ” อาทิ มีการแชร์กันว่า “ บรรจุอิสลามศึกษาเข้าทุกโรงเรียน เพราะเป็นกฎกระทรวง ” ในวันที่ 3 พ.ย. 2562 วันที่ 29 เม.ย. 2563 วันที่ 27 ส.ค. 2563 และวันที่ 1 พ.ค. 2565 โดยมีคำชี้แจงว่า กระทรวงศึกษาธิการยังไม่มีนโยบายออกกฎหรือบังคับให้ทุกโรงเรียน เรียนอิสลามศึกษา โดยการจัดการเรียนการสอนอิสลามศึกษาในโรงเรียนสังกัด สพฐ. มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายเฉพาะผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามเท่านั้น ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 มิติ คือ 1.เป็นสาระการเรียนรู้อิสลามศึกษา ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 2.การเรียนการสอนวิชาสามัญควบคู่ศาสนาหรืออิสลามศึกษาแบบเข้ม ตามนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ ปัจจุบันมีโรงเรียนของรัฐที่เปิดสอนวิชาสามัญควบคู่ศาสนา ทั้งสิ้น 350 โรงเรียน
“ หนังสือเรียนวิชาอิสลาม ระบุห้ามไหว้ผู้มีพระคุณ เพราะผิดหลักศาสนา ” วันที่ 21 เม.ย. 2563 และ 29 มิ.ย. 2565 มีคำชี้แจงจาก สพฐ. ว่า หนังสือเรียนดังกล่าวไม่มีเนื้อหาสาระส่วนใดส่วนหนึ่งที่ระบุว่าห้ามไหว้พ่อแม่ ห้ามไหว้ครูอาจารย์ ห้ามไหว้พระ ห้ามไหว้พระราชา ห้ามไหว้ผู้มีพระคุณ โดยหนังสือเรียนอิสลามศึกษาตามที่กล่าวอ้าง ได้จัดทำขึ้นสำหรับผู้เรียนที่นับถือศาสนาอิสลามให้ได้นำไปใช้ในการเรียนรู้ในสาระที่ 1 ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
สำหรับเนื้อหาสาระภายในเล่ม มุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนได้มีความรู้ ความเข้าใจ เป็นการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม เพื่อเป็นพื้นฐานในการนำไปใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตร่วมกันในสังคม พหุวัฒนธรรมได้อย่างสันติสุข อย่างไรก็ตาม ศาสนาอิสลามไม่ได้ห้ามการไหว้เมื่อมีการพบปะหรือจากลากับบุคคลต่างศาสนา เพราะตระหนักดีว่าการไหว้เป็นมารยาทไทย เป็นวัฒนธรรมการทักทายแบบไทยที่แสดงออกถึงความมีสัมมาคารวะและเป็นการให้เกียรติซึ่งกันและกัน แต่ศาสนาอิสลามห้ามการก้มกราบหรือกราบไหว้บูชาทุกสรรพสิ่ง
“ อิสลาม ห้ามเคารพธงชาติ ร้องเพลงชาติ และเพลงสรรเสริญ ” วันที่ 24 พ.ค. 2563 และ 26 ก.ย. 2563 มีคำชี้แจงจาก กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ว่า ไม่มีกฏข้อห้ามอิสลามเคารพธงชาติ ร้องเพลงชาติ และเพลงสรรเสริญ เนื่องจากตัดสินนัยยะพิจารณาถึงเจตนาของผู้พูด เมื่อมุสลิมนำมาใช้โดยไม่มีเจตนาที่จะทำและมิได้กระทำ ก็มิได้ทำให้สิ้นสภาพอิสลาม เนื่องจากคำพูดที่แสดงถึงเจตนาว่า จะปฏิบัติการกระทำที่ทำให้สิ้นสภาพอิสลาม โดยไม่ได้กระทำจริงตามนั้น ยังไม่ถือว่าสิ้นสภาพอิสลาม แต่ถ้าจิตใจคิดที่จะเลิกจากสภาพอิสลาม หรือจะนับถือศาสนาอื่น เพียงแต่มีความลังเลในหัวใจต่อความคิดนั้น ก็ทำให้สิ้นสภาพอิสลามได้แล้ว
ถ้าสมมุติจะยึดตามบางคนที่แปลบทเพลงไปตามความหมายที่นิยามตามหลักศาสนาอื่นๆ เมื่อมุสลิมนำมาใช้โดยไม่มีเจตนาที่จะทำและมิได้กระทำ เช่นอาจจะแปลคำ กราน เป็นกราบหรือ นบ เป็น กราบ หรือ บังคม เป็น กราบ คำพูดก็เป็นเพียงคำพูดซึ่งยังไม่มีการกระทำ จึงไม่ถือเป็นคำพูดที่ทำให้ขาดสภาพอิสลาม เพราะการกราบผิดตรงการกระทำ แต่เมื่อนำมาเป็นคำพูดก็ยังสามารถจะแปลออกไปได้อีกตามเจตนาของผู้พูดเอง ดังกล่าวไว้แล้ว
ยังมีเรื่องของ “ การเพิ่มจำนวนประชากรมุสลิมด้วยการนำเข้าชาวต่างชาติ ” อาทิ มีการแชร์กันว่า “ มีการแอบลักลอบนำชาวมุสลิมต่างด้าวหลายคนเข้า จ.ภูเก็ต ในเวลากลางคืนด้วยรถตู้ ” วันที่ 24 ต.ค. 2564 และ 21 ต.ค. 2565 สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดภูเก็ต ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่าข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ผู้ว่าจังหวัดภูเก็ตไม่เคยลักลอบพาชาวมุสลิมเข้ามาในจังหวัดภูเก็ตตามที่กล่าวอ้าง และผู้ว่าฯจังหวัดภูเก็ตนับถือศาสนาพุทธ โดยข้อมูลดังกล่าวเป็นการตัดบางช่วงบางตอนของรายการหนึ่ง แล้วนำมาเขียนพาดหัวข่าวใหม่เพื่อให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด
“ ซาอุ ดิอาระเบีย สนับสนุนการ นำคนมุสลิมเข้าไทย ” พบ 2 หัวข้อ คือ “ ผู้นำซาอุฯ แต่งตั้งตำแหน่งให้นายกฯ นำคนอิสลามเข้าไทยแบบผิดกฎหมาย ” วันที่ 2 ก.พ. 2565 กระทรวงการต่างประเทศ ได้ชี้แจงว่า เรื่องดังกล่าวไม่ได้เป็นเรื่องจริง เนื่องจากการเยือนซาอุดิอาระเบียของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในตอนนั้น มิได้มีการหารือเรื่องการแต่งตั้งให้ นายกฯ ดำรงตำแหน่งสำคัญใด ๆ หรือการนำคนมุสลิมเข้าในประเทศไทย แต่ไปเพื่อต้องการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับซาอุฯ และสร้างโอกาสที่สำคัญสำหรับทั้งสองประเทศให้แก่ประชาชน โดยทำการฟื้นฟูด้านการท่องเที่ยวพลังงาน แรงงาน อาหาร สุขภาพ ความมั่นคง การศึกษาและศาสนา และการค้าการลงทุน รวมถึงด้านการกีฬา เป็นต้น
อีกครั้งในวันที่ 29 พ.ย. 2565 กับหัวข้อ “ ซาอุฯ นำคนมุสลิมเข้าไทย 1 ล้านคนในปี 2565” ทางกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง ภายหลังจากการเยือนซาอุดิอาระเบียของนายกฯ การท่องเที่ยวเป็น 1 ใน 9 สาขา ที่ไทยพุ่งเป้าผลักดัน และส่งเสริมความร่วมมือกับซาอุดิอาระเบียโดยคาดว่านักท่องเที่ยวซาอุฯ จะเดินทางมาท่องเที่ยวไทยเพิ่มขึ้น อันมาจากการส่งเสริมการท่องเที่ยว และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (medical tourism) ซึ่งเป็นเชิงบวก และไม่ได้มีลักษณะที่จะขนคนมุสลิมเข้ามาจำนวนมากเพื่อจุดประสงค์อื่นแต่อย่างใด
ขณะที่ Cofact เองก็เคยเผยแพร่บทความกรณีศึกษา “ ข้อมูลเท็จเรื่อง พล.อ.ประยุทธ์และภรรยานับถืออิสลาม ยอดภูเขาน้ำแข็งของอิสลามโมโฟเบีย ” วันที่ 28 ก.พ. 2566 ตั้งข้อสังเกตว่า ข้อมูลเรื่อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี (ในขณะนั้น) และภรรยานับถือศาสนาอิสลาม ปรากฏในพื้นที่สื่อสังคมออนไลน์ของกลุ่มที่เคลื่อนไหวต่อต้านนโยบายที่มองว่า เอื้อประโยชน์และขยายอิทธิพลของศาสนาอิสลาม เช่น พ.ร.บ. การบริหารองค์กรอิสลาม พ.ร.บ. ส่งเสริมกิจการฮัจย์ การสนับสนุนอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล การส่งเสริมความเท่าเทียมกันทางศาสนา และการสร้างมัสยิด เป็นต้น แม้จะมีการชี้แจงจากผู้เกี่ยวข้องไปหลายครั้งแล้วก็ตามว่าไม่เป็นความจริง รวมถึงมีภาพถ่ายจำนวนมากที่ยืนยันว่าทั้งนายกฯ และภรรยาเข้าร่วมพิธีทางศาสนาพุทธ
ย้อนไปเมื่อวันที่ 13 ส.ค. 2565 มีการจัดงานเสวนาค้นหาความจริง “ แก้ไขข่าวลวง อิสลามโมโฟเบียในสั งคมไทย ” ที่สถาบันเรียนรู้อิสลามประจำจังหวัดเชียงใหม่ ต.ท่าวังตาล อ.เมือง จ.เชียงใหม่ปวิณ แสงซอน สถาปนิกมุสลิม ฉายภาพ 2 ส่วนที่มาประกอบกันเป็นกระแสหวาดกลัวอิสลาม คือ “ ผู้ส่งสาร ” หรือผู้เผยแพร่ส่งต่อข้อมูลข่าวสาร ซึ่งแบ่งได้ 3 ประเภท คือ
1. ตั้งใจสร้างความเกลียดชัง กลุ่มนี้มีทั้งที่เป็นบุคคลและองค์กร มีกระบวนการผลิตและเผยแพร่เนื้อหาเป็นระบบทั้งทางตรงและทางอ้อม 2. ไม่ได้ตั้งใจแต่นิสัยเป็นเหตุสังเกตได้ หมายถึง ชาวมุสลิมเองก็ไม่ได้เข้าใจการปฏิบัติตนในแต่ละบทบาทในสังคมตามหลักศาสนา ทำให้คนต่างศาสนาที่พบเห็นมองอิสลามในแง่ลบ และ 3. คิดดีแต่ผีเข้า หมายถึงผู้ที่ไม่รู้เท่าทันอารมณ์ตนเองและกาลเทศะ เช่น ประเด็นใดเป็นเรื่องส่วนตัว-ส่วนรวม เป็นประเด็นที่ส่งผลกระทบมาก-น้อยต่อสังคม ประเด็นที่สื่อสารในที่สาธารณะได้กับประเด็นที่ควรพูดคุยกันเฉพาะในห้องเรียน
กับ “ ผู้รับสาร ” แบ่งได้ 3 ประเภทเช่นกัน คือ 1.หาข้อเท็จจริง ได้ข่าวอะไรมาก็พยายามค้นหาที่มาที่ไป เกิดการปะติดปะต่อเรื่องราวนำไปสู่ทัศนคติของคนคนนั้น 2.จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ ไม่มีเหตุผลใดๆ เพราะอยู่กับจินตนาการล้วนๆ และ 3.มีคำตอบในใจแล้ว ต่อให้ฟังข่าวก็ยังคงตัดสินตามที่คิดไว้อยู่ดี ทั้งนี้ “ ผู้ได้รับผลกระทบจากข้อมูลข่าวสารที่สร้างความเข้าใจผิดหรือเกลียดชัง มักเป็นคนทั่วไปหรือคนที่มีสถานะอ่อนด้อยในสังคม ” เช่น คนจน คนยากไร้ ลูกจ้าง มากกว่าคนที่มีชื่อเสียงหรือตำแหน่งในสังคม เพราะคนกลุ่มหลังนี้ยังได้รับความเกรงใจอยู่บ้าง
ขณะที่ สุจินดา คำจร นักวิชาการชาวพุทธผู้ทำวิจัยเกี่ยวกับชุมชนมุสลิม ให้ข้อคิดว่า “ เมื่อรับข้อมูลข่าวสารต้องตั้งคำถามก่อน ” ว่ามันเป็นแบบนั้นจริงหรือเปล่า “ ยิ่งสงสัยยิ่งต้องค้นหาข้อมูลแล้วจะเห็นภาพมากขึ้น ” พื้นที่ทางวิชาการจึงเป็นสิ่งสำคัญ อย่างกรณีของตนเอง การที่เปิดใจยอมรับก็มาจากการศึกษาค้นคว้า แต่หากรีบเชื่อหรือด่วนสุด ก็จะเห็นแต่ภาพเหมารวมอย่างที่เกิดขึ้น “ เข้าใจ-เข้าถึง ” การมีวัฒนธรรมที่แตกต่างไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นเรื่องที่ผิด การเรียนรู้จะทำให้อยู่ร่วมกันได้
ตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับความสำคัญของทักษะการรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) กล่าวคือ ก่อนหน้านี้เคยมีข่าว จ.เชียงใหม่ มีมัสยิดมากถึง 200 แห่ง เรื่องนี้สำหรับคนที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลามได้ยินแล้วคงตกใจ แต่หากเชื่อในทันทีโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงก็จะเป็นการผลิตซ้ำ ซึ่งการตรวจสอบสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การรับข่าวจากหลายช่องทาง โดยเฉพาะแหล่งข่าวจากทางออนไลน์ยิ่งต้องระมัดระวังเพราะอาจไม่ได้กลั่นกรองอย่างเพียงพอ แต่อีกด้านหนึ่ง หน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลเรื่องนั้นๆ ก็สามารถชี้แจงข้อเท็จจริงที่ถูกต้องได้เช่นกัน
อีกด้านหนึ่ง อันธิกา (ยามีละห์) เสมสรร ประธานศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพ (สปสช.) จังหวัดนครศรีธรรมราช ฝากถึงองค์กรของชาวมุสลิมเองว่าก็ต้องปรับวิธีคิดด้วย เช่น เมื่อเกิดภัยพิบัติ “ อยากให้เปลี่ยนคำถามจากพื้นที่นี้ ชุมชนมุสลิมได้รับผลกระทบมาก-น้อยเพียงใด เป็น พื้นที่นี้มีชุมชนที่ได้รับผลกระทบอยู ่ตรงไหนบ้าง โดยไม่ต้องแบ่งแยกว่าผู้ได้รับผลกระทบนับถือศาสนาใด ” เพราะการช่วยเหลือโดยแบ่งแยกศาสนา คนภายนอกที่มองเข้ามาก็จะเห็นการเลือกปฏิบัติ ในทางกลับกัน ภาพของการช่วยเหลือโดยไม่แบ่งแยก สามารถลดความรู้สึกเกลียดหรือกลัวมุสลิมลงได้
โดยสรุปแล้ว การระบาดของข่าวลวงหรือข้อมูลเท็จที่เชื่อมโยงกับกระแสความหวาดกลัว (หรือเกลียดกลัว) อิสลาม คงไ ม่อาจแก้ไขได้เพียงคำแนะนำเรื่อง เช็คให้ชัวร์ก่อนแชร์ เพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีพื้นที่ กิจกรรม รวมถึงเนื้อหาสื่อต่างๆ ที่เอื้อต่อการให้ผู้ที่มีพื้นเพความเชื่อแตกต่างกัน ได้เรียนรู้ที ่จะเข้าใจในความแตกต่างนั้น และอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติบนฐานของการ เคารพความแตกต่าง แต่ไม่แตกแยกหรือหวาดกลัวซึ่งกันและกัน !!!
-/-/-/-/-/–/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-
อ้างอิง
https://www.un.org/en/observances/anti-islamophobia-day (International Day to Combat Islamophobia 15 March : องต์การสหประชาชาติ)
https://www.britannica.com/topic/ Islamophobia(Islamophobia : Britannica)
https://worldpopulationreview.com/country-rankings/muslim-population-by-country (Muslim Population by Country 2024 : World Population Review)
https://www.statista.com/statistics/374661/countries-with-the-largest-muslim-population/ (Top 25 countries with the largest number of Muslims in 2022 (in millions)* : Statista)
https://www.ispu.org/5-myths-about-american-muslims-10-years-after-911/ (5 Myths about American Muslims 10 Years after 9/11 : ISPU 9 ก.ย. 2554)
https://thelogicalindian.com/news/islamophobia-covid-19-coronavirus-fake-news-muslim-tablighi-jamaat-20543 (Top Five Fake News Targeting Muslim Community Amid Nationwide Lockdown: The Logical Indian 10 เม.ย. 2563)
https://www.the101.world/hindu-vs-muslim-conflict-in-india/ (‘ชาตินิยมที่มากล้น’ กับต้นทุนทางการเมืองและเศรษฐกิจที่อินเดียต้องแบกรับ : 101)
https://www.antifakenewscenter.com/?s=มัสยิด&asp_active=1&p_asid=1&p_asp_data=1&post_date_to=2024-01-24&post_date_to_real=24-01-2024%20%20%20%20&post_date_from=2017-03-23&post_date_from_real=23-03-2017%20%20%20%20&filters_initial=1&filters_changed=0&qtranslate_lang=0¤t_page_id=13563
https://www.antifakenewscenter.com/?s=อิสลาม&asp_active=1&p_asid=1&p_asp_data=1&post_date_to=2024-01-24&post_date_to_real=24-01-2024%20%20%20%20&post_date_from=2017-03-23&post_date_from_real=23-03-2017%20%20%20%20&filters_initial=1&filters_changed=0&qtranslate_lang=0¤t_page_id=13563
https://www.antifakenewscenter.com/?s=มุสลิม&asp_active=1&p_asid=1&p_asp_data=1&post_date_to=2024-01-24&post_date_to_real=24-01-2024%20%20%20%20&post_date_from=2017-03-23&post_date_from_real=23-03-2017%20%20%20%20&filters_initial=1&filters_changed=0&qtranslate_lang=0¤t_page_id=13563
https://blog.cofact.org/660206-2/ (ข้อมูลเท็จเรื่อง พล.อ.ประยุทธ์และภรรยานับถืออิสลาม ยอดภูเขาน้ำแข็งของ “อิสลามโมโฟเบีย” : Cofact 28 ก.พ. 2566)
https://blog.cofact.org/form0865/ (ถอดบทเรียน‘อิสลามโมโฟเบีย’วงเสวนาชี้‘เข้าใจ-เข้าถึง’เรียนรู้ความแตกต่าง-ช่วยเหลือไม่แบ่งแยก ลดอคติได้ : Cofact 13 ส.ค. 2565)