Cheapfakes VS Deepfakes: จาก “มะนาวโซดารักษามะเร็ง” สู่ “AI ปลอมเสียง“ พัฒนาการกลโกงออนไลน์ ภัยร้ายจากมิจฉาชีพ

เฝ้าระวัง ‘อย่าเพิ่งเชื่อ’ ร่วมกับภาคีโคแฟค สร้างโมเดลการรู้เท่าทันข้อมูลยุคดีฟเฟค 

ไฮไลต์

ชีปเฟก (cheapfakes) คือการหลอกลวงหรือบิดเบือนข้อมูลด้วยวิธีการง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน เช่น ภาพตัดต่อ

• ดีปเฟก (deepfakes) คือการหลอกลวงหรือบิดเบือนข้อมูลโดยใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อน เช่น ใช้ AI ในการปลอมใบหน้าบุคคล ปลอมเสียง 

• ทั้งชีปเฟกและดีปเฟกยังคงสร้างความเสียหายให้เศรษฐกิจไทย โดยคนไทยถูกหลอกด้วย ชีปเฟกมากกว่าและยังถูกหลอกจากจากสายโทรเข้าและส่งข้อความหลอกลวงมากเป็นอันดับ 1 ในเอเชีย

ท่ามกลางข้อมูลข่าวสารที่ถาโถมผ่านสื่อต่าง ๆ ในปัจจุบันโดยเฉพาะโซเชียลมีเดีย “ข่าวปลอม” หรือ “ข่าวลวง” นับเป็นภัยสังคมที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน ทั้งในแง่ของปริมาณ รูปแบบการนำเสนอ และความซับซ้อนของเทคโนโลยีที่ใช้ สร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจและสังคมอย่างมหาศาล งาน สัมมนาระดับชาติเนื่องในโอกาสวันตรวจสอบข่าวลวงโลก 2567 (International Fact-Checking Day 2024) ภายใต้หัวข้อ “Cheapfakes สู่ Deepfakes: เตรียมรับมืออย่างไรให้เท่าทัน” โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับภาคีโคแฟค ประเทศไทย และกรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้สร้างความตระหนักและความเข้าใจในอันตรายที่เกิดขึ้นจากข่าวลวง ตลอดจนนำเสนอวิธีการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลบนโลกออนไลน์ก่อนส่งต่อเพื่อป้องกันความเสียหายต่อจิตใจและทรัพย์สิน

สุขภาพกับความกลัว…เรื่องใกล้ตัวที่มักโดนหลอก

 หมาล่าพิษ น้ำประปาคลอรีนเกินมาตรฐาน และมะนาวโซดารักษามะเร็ง คือตัวอย่างหนึ่งของข่าวลวงที่ผู้คนมักตกเป็นเหยื่อและแชร์ต่อในทันที ทั้งนี้ เนื่องจากเรื่องสุขภาพเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สร้างความกังวลใจได้มากที่สุด ยิ่งเมื่อสื่อกระแสหลักหรือผู้มีอิทธิพลบนโซเชียลมีเดีย (อินฟลูเอนเซอร์) เป็นผู้เผยแพร่เนื้อหาดังกล่าวโดยปราศจากการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล ข่าวลวงดังกล่าวจะยิ่งดูมีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น 

จาก “หลอกให้เชื่อแล้วแชร์” สู่ “หลอกให้ซื้อ-โอน-กู้”

 เดิมที ข่าวลวงมักมีลักษณะ “พาดหัวยั่วให้คลิก” (clickbait) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อหลอกให้เชื่อแล้วแชร์หรือมุ่งสร้างความเข้าใจผิดในลักษณะ “ให้ร้าย” (bully) บุคคล หน่วยงาน หรือผลิตภัณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่งโดยใช้ “ชีปเฟก” (Cheapfakes) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ไม่ซับซ้อน เช่น ภาพตัดต่อ คลิปปลอม แต่ปัจจุบันพบว่าข่าวลวงมักมีเป้าหมายหลอกเอาข้อมูลส่วนบุคคล (phishing) เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในทางทุจริต ไม่ว่าจะเป็นการหลอกให้ซื้อสินค้า หลอกให้โอนหรือกู้เงิน ตลอดจนหลอกให้ลงทุน โดยใช้ “ดีปเฟก” (Deepfakes) หรือเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อนเสมือนจริงยิ่งขึ้น อาทิ การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการปลอมภาพและเสียง โดยยังคงอาศัยความกลัวเป็นปัจจัยหลักอย่างเช่น ปลอมเสียงของเจ้าหน้าที่รัฐโดยสามารถบอกข้อมูลของเหยื่อได้ถูกต้องครบถ้วนเพื่อหลอกให้กระทำการบางอย่าง เช่น ให้ข้าราชการเกษียณกดลิงก์หรือแจ้งข้อมูลส่วนตัวโดยหลอกว่าหากไม่ทำจะไม่ได้รับเงินบำนาญเข้าบัญชี หรือปลอมหมายเลขโทรเข้าด้วยหมายเลข 191 ซึ่งไม่ใช่หมายเลข 191 จริงแต่มักมีเครื่องหมายอย่าง +191  หรือ 191. และมีตำรวจ (ปลอม) หลอกให้โอนเงินเนื่องจากญาติของเหยื่อกำลังเดือดร้อน เป็นต้น

“โลภ-หลง-เหลื่อมล้ำ-ความหวัง” ปัจจัยที่ทำให้ยังเชื่อ

 แม้ว่าปัจจุบันจะมีความตระหนักในข่าวลวงมากขึ้นกว่าเดิม แต่ปัจจัยสำคัญที่ยังคงทำให้หลายคนตกเป็นเหยื่อคือธรรมชาติที่อยู่คู่กับมนุษย์มาโดยตลอดนั่นคือ ความโลภและความหลง ไม่ว่าจะเป็นสินค้าออนไลน์ราคาถูกเกินจริง การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงเหลือเชื่อ หรือหลอกให้รักในลักษณะ “พิศวาสอาชญากรรม” (Romance scam) ผ่านแอปหาคู่หรือโซเชียลมีเดียแล้วจึงลงมือปฏิบัติการหลอกซ้ำซ้อนให้โอนเงินหรือกระทำใด ๆ ที่สร้างความเสียหาย นอกจากนี้ ปัจจัยระดับชาติอย่างความเหลื่อมล้ำทางสังคม การไม่สามารถเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุข ยังทำให้ข่าวลวงประเภทมะนาวโซดารักษามะเร็งได้ ยังคงมีคนเชื่ออยู่ด้วยความหวัง (ลม ๆ แล้ง ๆ) ว่าจะรักษาได้ รวมทั้งความคิดที่ว่าลองดูก็ไม่เสียหาย

ป้องกันภัยด้วยสุขอนามัยทางดิจิทัล 

วิธีที่ดีที่สุดที่จะไม่ตกเป็นเหยื่อของข่าวลวงคือ การสร้างสุขอนามัยทางดิจิทัล (Digital Hygiene) ให้กับตนเอง โดยฝึกเป็นคนช่างสังเกตอย่างเช่น สังเกตว่าภาพที่สร้างขึ้นจากเอไอมักมีความบกพร่องแฝงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นอวัยวะต่าง ๆ อย่างมือ เท้า ปาก รอยต่อหน้าผากกับเส้นผมขาดความละเอียด ศีรษะไม่ขยับ ตาไม่กะพริบ ฯลฯ การจัดระเบียบการเก็บเงินในบัญชีธนาคารโดยแบ่งเป็น “กระเป๋าร้อน” ซึ่งเป็นบัญชีสำหรับหมุนเวียนหรือเก็บเงินเฉพาะที่จำเป็นต่อการใช้จ่ายและเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตเพื่อถอนใช้ได้สะดวก กับ “กระเป๋าเย็น” ซึ่งเป็นบัญชีเงินเก็บที่ไม่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตและการเบิกถอนมีขั้นตอนยุ่งยาก เป็นต้น

รู้เท่าทันสื่อ…สำนึกพลเมือง สำนึกสาธารณะ สติ 

 นอกจากนี้ ในระยะยาว เรายังต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตนเอง โดยทุกคนต้องมีจิตสำนึกพลเมืองด้วยการตระหนักในสิทธิที่ได้รับข้อมูลและข้อเท็จจริงที่ถูกต้องของตนเอง ผ่านการเรียกร้องให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนสื่อมวลชนให้ร่วมกันรับผิดชอบต่อข้อมูลข่าวสารที่เผยแพร่ในปัจจุบันให้มากขึ้น อีกทั้งยังต้องมีจิตสำนึกสาธารณะช่วยกันเป็นหูเป็นตาและให้ความร่วมมือกับทุกฝ่ายในการตรวจสอบและไม่เผยแพร่ข่าวลวง โดยเฉพาะในขณะที่มิจฉาชีพไม่เคยหยุดพัฒนาวิธีการหลอกลวงและกระทำได้แยบยลมากขึ้นเรื่อย ๆ ผ่านแหล่งที่น่าเชื่อถืออย่างเช่น ข้อความ SMS จากธนาคาร จดหมายจากสถาบันการเงิน เป็นต้น ดังนั้น ภูมิคุ้มกันเบื้องต้นที่ดีที่สุดคือ สติ ที่จะช่วยให้เกิดการตื่นรู้ ไหวตัวทัน และไม่ตกเป็นเหยื่อ ตลอดจนตระหนักว่า อย่าเพิ่งเชื่อ อย่าแชร์ อย่าเพิ่งโอน และตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูลอย่างเคร่งครัดเสียก่อน ก็จะสามารถป้องกันไม่ให้ตนเองตกเป็นเหยื่อของข่าวลวงและมิจฉาชีพได้


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 20 เมษายน 2567

กำไลลวดทองแดง รักษาสารพัดโรค…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2wn6no87w0k5d


ภาพถ่ายของ “แพนด้า” ที่เดินทางในชั้นธุรกิจบนเที่ยวบิน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1w0bvrniimpgn


ธอส. ใช้เบอร์ 082-946-4808 โทรสอบถามเลขบัญชี เพื่อโอนเงินให้ 2,000 บาท…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1sblgechnljta


ซื้อ-ขายข้าว ต้องผ่านรัฐเท่านั้น ฝ่าฝืนมีโทษ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/216ysirzf6tri


  สาเหตุผู้โดยสารหมดสติ – อาเจียนในรถตู้ ขณะเดินทางช่วงสงกรานต์ คาดเกิดจากก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1nwexaaxt4342


  เงินพิเศษกลุ่มผู้พิการเลื่อนจ่ายเร็วขึ้น 19 เม.ย. 67

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/i1oik3ut8c3z


  ไม่ควรโกนขน สุนัข สายพันธุ์ที่มีขน 2 ชั้น

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2mteqrtigf4ad


“มุ้งสู้ฝุ่น PM2.5″ สำหรับผู้ป่วยติดเตียง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1fpomhpiji790


ดีอี เตือน ระวังคนร้ายแอบอ้างเป็นศูนย์ 1441…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3fdjexmue74t6


ข่าวลวง-คลิปเก่าระบาดทั่วเน็ต หลังอิหร่านโจมตีตอบโต้อิสราเอล COFACT Special Report 33/67

ระบบป้องกันทางอากาศของอิสราเอล สกัดขีปนาวุธและโดรนจากอิหร่าน ขณะมุ่งมายังเป้าหมายในประเทศอิสราเอล เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2567 ภาพโดย Reuters

โดย ธีรนัย จารุวัสตร์

สมาชิก Cofact

ผู้เชี่ยวชาญพบคลิปและภาพเชิงบิดเบือนในโซเชียลมีเดียจำนวนมาก ขณะเหตุการณ์กองทัพอิหร่านยิงขีปนาวุธและโดรนนับร้อยลูกใส่อิสราเอลเมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่เผยแพร่โดยบรรดาบัญชีผู้ใช้ที่อ้างตัวเองว่าเป็น “แหล่งข่าว” น่าเชื่อถือ ที่มียอดผู้ติดตามรวมกันหลายล้านคน 

สถานการณ์ในภูมิภาคตะวันออกกลางขณะนี้ หากจะใช้สำนวนว่า “ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก” ก็คงไม่ผิดนัก เมื่อสองชาติคู่อริไม้เบื่อไม้เมาตลอดกาล “อิหร่าน-อิสราเอล” กำลังเผชิญหน้ากันท่ามกลางความตึงเครียดในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน จนหลายฝ่ายกังวลว่าอาจจะบานปลายเป็นสงครามระลอกใหม่ในภูมิภาค

ชนวนเหตุการเผชิญหน้าครั้งนี้ เริ่มจากเหตุกองทัพอากาศอิสราเอลทิ้งระเบิดใส่สถานกงสุลอิหร่าน ณ กรุงดามัสกัส ประเทศซีเรีย เมื่อวันที่ 1 เมษายน คร่าชีวิตผู้คนกว่า 16 ราย มีทั้งเสนาธิการและเจ้าหน้าที่การทหารระดับสูงของอิหร่านจำนวนมาก และประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้องอีก 2 ราย 

ต่อมาเมื่อกลางดึกของคืนวันที่ 13 เมษายน ถึงเช้ามืดวันที่ 14 เมษายน อิหร่านได้โต้ตอบการโจมตีดังกล่าว ด้วยการปล่อยขีปนาวุธและโดรนติดอาวุธกว่า 300 ลูก ไปยังอิสราเอล ซึ่งส่วนใหญ่ถูกสกัดโดยระบบป้องกันทางอากาศของอิสราเอลและชาติพันธมิตร ทั้งนี้ ถึงแม้จะไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตจากการโจมตีของอิหร่าน แต่รัฐบาลอิสราเอลยืนยันว่าจะต้องโต้ตอบกลับไปยังอิหร่านอีกรอบเช่นกัน

ด้าน António Guterres เลขาธิการสหประชาชาติ ได้แถลงประณามทั้งเหตุโจมตีสถานกงสุลอิหร่านโดยอิสราเอล และประณามการโจมตีอิสราเอลโดยอิหร่าน พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายช่วยกันใช้ความอดกลั้นต่อกัน ไม่ให้การเผชิญหน้ารุนแรงไปมากกว่านี้

ขณะเดียวกัน ข่าวสารเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ในโลกอินเทอร์เน็ต ยังได้มาพร้อมกับ “ข่าวบิดเบือน” ระลอกใหญ่ตามระเบียบ 

AI อาละวาดก่อนใครเพื่อน

กรณีแรกๆของข่าวบิดเบือนระลอกนี้ เริ่มต้นตั้งแต่ช่วงวันที่ 4 เมษายน หรือไม่กี่วันหลังกองทัพอิสราเอลเปิดฉากสังหารเจ้าหน้าที่อิหร่านคาสถานกงสุลในซีเรีย โดยผู้ใช้ทวิตเตอร์ (หรือที่เปลี่ยนชื่อเป็น “X”) จำนวนมาก สังเกตเห็นข่าวใหญ่ในแท็บ Explore ของทวิตเตอร์ พาดหัวว่า “อิหร่านยิงมิสไซล์ถล่มกรุงเทลอาวีฟ”  

ส่วนเนื้อหาข่าวระบุด้วยว่า การโจมตีของอิหร่านสร้างความเสียหายอย่างหนัก เกิดเพลิงไหม้ในอาคารบางแห่ง 

ข่าวดังกล่าวได้สร้างความสับสนอย่างมาก เพราะขณะนั้นไม่ได้มีการโจมตีจากอิหร่านแต่อย่างใด ประกอบกับผู้ใช้ทวิตเตอร์จำนวนมาก รีทวีตและเผยแพร่ข่าวนี้อย่างแพร่หลาย จนทำให้ข่าวการโจมตีจากอิหร่าน(ซึ่งไม่มีอยู่จริง)ติดอันดับข่าว trending ในเวลาอันรวดเร็ว ยิ่งสร้างความสับสนเข้าไปใหญ่

ต้นตนของข่าวบิดเบือนครั้งนี้มาจาก “Grok” ซึ่งเป็น AI chatbot ของทวิตเตอร์ ซึ่ง Elon Musk เจ้าของทวิตเตอร์ได้พยายามโหมโฆษณามาตลอดหลายเดือนว่าเป็น AI chatbot ที่มีประสิทธิภาพและน่าเชื่อถือ ผู้ใช้ทวิตเตอร์สามารถพูดคุยกับ Grok เพื่อติดตามข่าวสารต่างๆได้รวดเร็ว

แต่ปรากฎว่า Grok เกิดอาการ “หลอน” ขึ้นมากระทันหัน และประมวลข่าวโจมตีจากอิหร่านออกมาโดยไม่มีข้อเท็จจริงใดๆรองรับ แถมอัลกอริทึมเจ้ากรรมของทวิตเตอร์ ยังรีบดันข่าวนี้ของ Grok ให้คนจำนวนมากได้พบเห็น อันเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามจากทีมผู้บริหารทวิตเตอร์ เพื่อเพิ่มยอดการมองเห็นของ Grok นั่นเอง

นับเป็นอีกหนึ่งอุทาหรณ์สอนใจว่าด้วยการใช้ AI ในโซเชียลมีเดีย ซึ่งมักมาพร้อมความเสี่ยงต่อความผิดพลาดของข้อมูล ดังที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า 

เรื่องเก่าเล่าใหม่

เมื่ออิหร่านเปิดฉากโจมตีตอบโต้อิสราเอลขึ้นมาจริงๆในวันที่ 13 เมษายน ข้อมูลข่าวสารบิดเบือนระลอกใหญ่ก็ถล่มโซเชียลมีเดียทันที โดยเฉพาะในทวิตเตอร์ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะทวิตเตอร์มีบัญชีผู้ใช้จำนวนมากระบุว่าเป็นแหล่งข่าว “ข่าวกรองทางแหล่งข้อมูลเปิด” (Open source intelligence หรือ OSINT) 

บัญชีผู้ใช้เหล่านี้มักเผยแพร่ “ข่าวกรอง” ที่ได้มาจากประชาชนทั่วไปหรือข้อมูลที่รวบรวมจากสาธารณะ อย่างไรก็ตาม หลังอิหร่านโจมตีอิสราเอล บัญชีเหล่านี้กลับกลายเป็นตัวการเผยแพร่ภาพและคลิปบิดเบือนจำนวนมากเสียเอง ยกตัวอย่างเช่น 

  • คลิปวิดิโอที่ระบุว่า “ชาวอิสราเอลวิ่งหนีแตกตื่น ขณะอิหร่านยิงมิสไซล์ถล่มอิสราเอล” แท้จริงแล้ว เป็นคลิปแฟนเพลงรุมล้อมศิลปินชาวอังกฤษ Louis Tomlinson ที่กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา
  • ภาพที่ระบุว่า “โดรนของอิหร่านบินไปไม่ถึงอิสราเอล เพราะเกี่ยวติดสายไฟ” แท้จริงแล้ว เป็นภาพอุบัติเหตุโดรนตกที่ประเทศซีเรีย 
  • คลิปวิดิโอที่ระบุว่า “ขีปนาวุธถล่มเป้าหมายในอิสราเอล” แท้จริงแล้วเหตุการณ์สู้รบระหว่างฮามาสกับกองทัพอิสราเอล ตั้งแต่เมื่อปี 2564 และปลายปี 2566 
  • คลิปวิดิโอที่ระบุว่าเป็นจังหวะที่กองทัพอิหร่านยิงขีปนาวุธไปยังอิสราเอล แท้จริงแล้วเป็นคลิปการสู้รบในประเทศตุรกี ตั้งแต่uเมื่อปี 2563
  • คลิปวิดิโอที่ระบุว่า “ชาวอิสราเอลแห่ไปยังสนามบิน เพื่อหนีออกนอกประเทศ หลังอิหร่านโจมตีอิสราเอล” แท้จริงแล้วเป็นคลิปในสถานีรถไฟใต้ดินกรุงปารีส ตั้งแต่เมื่อปี 2562 
  • คลิปวิดิโอที่ระบุว่าเป็นจังหวะที่ขีปนาวุธลูกใหญ่ของอิหร่าน ถล่มเป้าหมายในอิสราเอล แท้จริงแล้วเป็นคลิปขีปนาวุธยูเครนถล่มกองทัพเรือรัสเซีย เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
  • คลิปวิดิโอที่ระบุว่าเป็นชาวปาเลสไตน์ออกมาเฉลิมฉลองการโจมตีอิสราเอลโดยอิหร่าน แท้จริงแล้ว เป็นคลิปชาวปาเลสไตน์ทำพิธีละหมาดร่วมกันที่มัสยิดอัล-อักซอ ในช่วงเดือนรอมฎอนที่ผ่านมา

ฯลฯ 

จะสังเกตได้ว่า กรณีเหล่านี้เป็นการเอาภาพหรือคลิปจากเหตุการณ์อื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกัน มาเชื่อมโยงกับสถานการณ์ปัจจุบัน อันเป็นรูปแบบข้อมูลข่าวสารบิดเบือนที่ชาว factcheckers มักจะพบเจอเป็นประจำนั่นเอง 

สื่อทางการโดนดักด้วย (หรือเจตนา?)

นอกจากนี้ แม้แต่ช่องทางสื่อสารทางการของทั้งอิสราเอลและอิหร่าน ก็ได้นำเสนอข้อมูลผิดพลาดดังเช่นลักษณะข้างต้นด้วยเช่นกัน 

เช่น กองทัพอิสราเอลได้เผยแพร่คลิปวิดิโอที่ระบุว่าเป็นภาพการปล่อยจรวดซัลโวชุดใหญ่โดยกองทัพอิหร่าน แต่ปรากฎว่าเป็นคลิปเหตุการณ์กองทัพรัสเซียซ้อมรบตั้งแต่เมื่อปี 2560

ส่วนสื่อทางการของอิหร่าน ก็ได้เผยแพร่คลิปที่อ้างว่าเป็นระเบิดลูกใหญ่ในอิสราเอล หลังขีปนาวุธอิหร่านตกใส่เป้าหมายอย่างจัง แต่จริงๆแล้ว เป็นคลิปเหตุการณ์เพลิงไหม้ที่ประเทศชิลี เมื่อต้นปีที่ผ่านมาต่างหาก

ขณะเดียวกัน สื่อทางการอิหร่านยังได้เอาคลิปแฟนเพลง Louis Tomlinson ที่ประเทศอาร์เจนตินา ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น มาเผยแพร่ในรายการข่าว แล้วระบุว่าเป็นความแตกตื่นโกลาหลในประเทศอิสราเอลด้วย 

ข่าวกรองหรือข่าวกลวง?

ทั้งนี้ ดังที่ผู้เขียนได้กล่าวมาแล้วว่า ภาพและคลิปเหตุการณ์ที่บิดเบือนส่วนใหญ่นั้น ล้วนแต่มาจากบรรดาแหล่งข่าว “ข่าวกรองทางแหล่งข้อมูลเปิด” หรือ “OSINT” ในทวิตเตอร์ 

บัญชี OSINT เหล่านี้ ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เพราะมักจะนำเอาข้อมูล ภาพ คลิปวิดิโอ ฯลฯ จากบุคคลในพื้นที่การสู้รบหรือความขัดแย้งในประเทศต่างๆ มาเผยแพร่ต่อ โดยในหลายๆสถานการณ์เป็นเหตุการณ์ที่สื่อมวลชนทั่วไปไม่สามารถเข้าไปยังพื้นที่ได้ เช่น สงครามระหว่างยูเครนกับรัสเซียที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2565

แต่ขณะเดียวกัน แหล่งที่มาของข้อมูลเหล่านี้ก็มักจะขาดความน่าเชื่อถือ เพราะในหลายๆครั้ง เป็นการเอาคลิปหรือภาพที่ส่งต่อกันในโซเชียลมีเดียมาเผยแพร่อีกที โดยที่ไม่ได้ตรวจสอบว่าเป็นภาพหรือคลิปเหตุการณ์อะไรกันแน่ ทำให้เสี่ยงที่จะความผิดพลาดและบิดเบือนสูง ดังที่ผู้เขียนยกตัวอย่างมาในบทความนี้

Shayan Sardarizadeh นักตรวจสอบข้อมูล (fact checker) มือฉมังจากสำนักข่าว BBC ก็ได้แสดงความเห็นไว้ด้วยว่า ผู้เสพข่าวสารในปัจจุบันควรหลีกเลี่ยงบรรดาบัญชี OSINT เกือบทั้งหมดที่เกลื่อนโซเชียลมีเดียขณะนี้ 

อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผู้เสพข้อมูลข่าวสาร แยกแยะแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือได้ยากเย็นขึ้น นั่นคือการที่นาย Elon Musk เปลี่ยนนโยบายสำคัญของทวิตเตอร์ จากที่เมื่อก่อนทวิตเตอร์จะให้เครื่องหมาย blue checkmark เฉพาะกับสื่อมวลชนหรือแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ เปลี่ยนมาเป็นใครก็ตามสามารถ “ซื้อ” เครื่องหมาย blue checkmark ได้ด้วยเงินเพียง 8 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือนเท่านั้น 

แถมบัญชีผู้ใช้ที่มีเครื่องหมาย blue checkmark ในปัจจุบันยังสามารถสร้างรายได้จากยอดการเข้าชม (views) และยอดปฏิสัมพันธ์ (engagement) กับผู้ใช้อื่นๆได้ด้วย 

ผลที่เกิดขึ้นคือ บัญชี OSINT ซึ่งมีประวัติเผยแพร่ข่าวสารบิดเบือนมาแล้วหลายครั้ง ยังสามารถมีเครื่องหมาย blue checkmark และมีแรงจูงใจทางการเงินที่จะเผยแพร่คลิปหรือวิดิโอที่ไม่ตรวจสอบให้แน่ชัดก่อน เวลาเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นในโลก เพื่อกระตุ้นยอดการเข้าชมและยอดปฏิสัมพันธ์โดยไม่ต้องสนใจต่อข้อเท็จจริงนั่นเอง

อ่านเพิ่มเติม:

As Iran attacked Israel, old and faked videos and images got millions of views on X

Shayan Sardarizadeh, BBC Verify


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 13 เมษายน 2567

Dermaxil ได้ผลจริง เพราะสามารถกำจัดสาเหตุและช่วยรักษาอาการของโรคสะเก็ดเงินได้ …จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/mlo9r01wj0tr


จับกุมธนบัตร 1 พันบาทจำนวน 2 ล้านฉบับที่ อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/32zp59tbj3yyp


NASA ประกาศสุริยะจากดวงอาทิตย์ขนาดใหญ่จะกระทบโลก…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1dn0cro5uv15b


  ข่าวดี! ขยายเวลาเก็บภาษีที่ดิน – สิ่งปลูกสร้าง ปี 67 ออกไปอีก 2 เดือน

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1xkux1qe9218f


”อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ จัดสัมมนาประจำปี 2024 ชวนคนสื่อในทุกภาคส่วนต่าง ๆ ร่วมแบ่งปันความรู้ มุมมองและข้อสรุบเพื่อก้าวต่อไป

Editors’ Picks

AI ความท้าทายในสังคมสมัยใหม่ กับ บทบาททางการอภิบาลของบาทหลวงคาทอลิก


วันที่ 10 เมษายน 2024 บ้านผู้หว่าน อ.สามพราน จ.นครปฐม คณะกรรมการจัดสัมมนาพระสงฆ์อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ โดยร่วมกับสื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย นำเสนอสาระที่เกี่ยวข้องกับ สื่อมวลชนในแง่มุมต่าง ๆ เป็นต้น สถานการณ์ของปัญญาประดิษฐ์หรือ AI เพื่อสร้างการตระหนัก รับรู้ รับมือ และทำความเข้าใจเพื่อสามารถแสดงบทบาทของตนในเชิงอภิบาล


การแบ่งปันเริ่มด้วย ดร.รัชดา มนต์เทียรวิเชียรฉาย เลขาธิการองค์กรสื่อนานาชาติ Signis World และผู้ร่วมก่อตั้งสำนักข่าวคาทอลิก Licas News ในหัวข้อ “พระศาสนจักรคาทอลิก – AI และพระสันตะปาปาฟรังซิส”. โดยได้นำสมณสาส์นต่าง ๆ ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ตั้งแต่เริ่มสมณสมัยในปี 2013 จนถึงปัจจุบันเป็นต้นสารวันสื่อสารมวลชนในปี 2024 ซึ่งมีจุดเน้นคือ การแสวงหาปรีชาญาณและการฟังด้วยหัวใจ มากกว่าการให้ความสำคัญกับเทคนิค หรือเครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ ซึ่งถ้าการบรรยายในวันนี้ผ่านไป เพียง 2-3 เดือน ข้อมูล หรือการพัฒนาข้อมูล อาจจะถูกปรับเปลี่ยนและมีข้อมูลใหม่เพิ่มขึ้นไปอีก
นอกจากนั้นดร.รัชดา ยังเล่าถึงการอภิบาลในสนามจริง ของบรรดามิชชันนารี นักบุญ หรือแม้กระทั่งบรรดาชาวบ้านที่ใช้ชีวิตจริงตามที่ต่าง ๆ อันเป็นข้อมูลที่คอมพิวเตอร์หรือเอไอให้ไม่ได้ เป็นข้อมูลที่การสั่งสมของเอไออาจจะมองว่า ไม่ปกติ ไม่ใช่เรื่องของคนส่วนใหญ่ มีความบ้าบิ่น แต่นั่นคือ เรื่องราวของการดำเนินชีวิตในแบบคริสตชน


คุณพีรพล อนุตรโสตถิ์ ผู้จัดการศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ บริษัทอสมท จำกัด (มหาชน) วิทยากรท่านถัดไป ได้แบ่งปันในหัวข้อ “AI กับความท้าทายเพื่อสร้างสรรค์” คุณพีรพล ได้เล่าประสบการณ์ที่พบเห็นในการทำรายการชัวร์ก่อนแชร์ ได้ท้าทายผู้เข้าร่วมสัมมนาด้วยการนำเสนอประสบการณ์และให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาดูข้อมูลต่าง ๆ เพื่อฝึกสังเกตว่า ข้อมูลไหนจริงข้อมูลไหนเป็นการสร้างภาพลวงจากเอไอ นอกจากนั้นยังแนะนำข้อควรระวังที่อาจจะเกิดขึ้นจากการรับสื่อในปัจจุบัน และการลองเปิดการทำงานของเอไอบางตัว เพื่อให้เห็นว่าข้อมูลจากเอไอนั้นต้องนำมาเช็คอีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะเชื่อ หรือนำไปขยายผลต่อ


ช่วงสุดท้ายในภาคเช้า คุณเทเรซา ณัฐพร สันธนะวิทย์ สัตบุรุษจากวัดพระมารดา ที่อยู่ในแวดวงการประกอบอาชีพด้านสื่อมวลชน ได้นำ Work Shop เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ในภาคปฏิบัติ โดยให้คุณพ่อสองท่าน อ่านบทเทศน์สองบท ในเนื้อหาจากพระคัมภีร์ตอนเดียวกัน แต่มีบทเทศน์แตกต่างกัน และถามว่า บทไหนถูกเขียนโดยคน และบทไหนถูกเขียนโดยเครื่อง ต่อจากนั้นจึงประเมินความเข้าใจ โดยแบ่งเป็น 3 หัวข้อ คือ I like ,I wish และ I wonder และตบท้ายด้วยตัวอย่างของการใช้เอไอในการแต่งเพลงเพื่อใช้ในศาสนา โดยสื่อให้เห็นถึงความรวดเร็ว คุณภาพที่พอใช้ได้ เป็นตัวอย่างของกิจกรรมบางอย่างที่นำแง่ดีมาพัฒนาต่อในกิจกรรมศาสนาได้


ในช่วงสุดท้ายจัดเป็นช่วงเสวนาในประเด็น “มุมมองเพื่อสร้างชุมชนที่เข้มแข็ง เพื่อก้าวไปด้วยกันในยุค AI”โดยมีผู้ร่วมเสวนา คือ คุณภัควัฒน์ ไกรสมสุข จากสื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย ,คุณสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟคประเทศไทย ซิสเตอร์ฉวีวรรณ เกษทองมา คณะธิดาแม่พระองค์อุปถัมภ์โดยมีคุณพ่อพรสรร เป็นผู้ดำเนินรายการ


คณะวิทยากรได้ให้ข้อมูลในมุมของตนเองเกี่ยวกับการนำเอไอไปใช้ในแง่มุมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้เอไอในพระศาสนจักรคาทอลิก เช่นการประชุมสหพันธ์สภาพระสังฆราชแห่งเอเซีย หรือการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ ไปใช้ในการประชุมซีนอดครั้งล่าสุด ประสบการณ์การเข้าร่วมกิจกรรมสื่อกับเยาวชนทั่วโลก กิจกรรมต่าง ๆ ของโคแฟค ที่จัดทั้งการให้ความรู้ในระดับต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวมทั้งเครื่องมือในการตรวจสอบความถูกต้อง และการแบ่งปันของซิสเตอร์เป็นต้นการอบรมเยาวชนในโรงเรียนกับการใช้สื่อ มุมมองของเยาวชนในยุคปัจจุบันที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับสื่อ โดยเป็นของคู่กันในชีวิตไปแล้ว รวมทั้งบทบาทของนักบวชในการแนะนำสื่อให้แก่เยาวชน ฯลฯ บรรดาวิทยากรในช่วงเสวนายังได้ตอบข้อซักถามและแบ่งปันประสบการณ์จริงจากชีวิตเพื่อบอกว่า เอไอไม่ได้เป็นอะไรที่น่ากลัว เราสามารถนำมาใช้ได้อย่างรู้เท่าทัน รู้ตัว และก่อเกิดประโยชน์ได้


แน่นอนว่าเทคโนโลยีย่อมนำความเจริญมาสู่สังคมมนุษย์ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นความท้าทายถึงผลกระทบ และผลร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นต่อชีวิตของทุกคน เป็นพิเศษสำหรับบรรดาเยาวชน รวมทั้งการปฏิสัมพันธ์ที่แท้จริง ของความเป็นมนุษย์ AI จึงเป็นความท้าทายในสังคมสมัยใหม่ ที่บทบาทของบาทหลวงคาทอลิกในการเป็นผู้อภิบาล ผู้นำทางจิตวิญญาณจะต้องปรับตัว เรียนรู้ เพื่อเดินร่วมไปด้วยกันกับประชากรของพระเจ้า ประชาคมโลก และเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อจะเป็นมโนธรรมให้กับสังคมสร้างเสริมจิตวิญญาณของกันและกัน ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป


สื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย รายงาน

ภาพ ‘ทหารอิสราเอลถือธงชาติไทย’ ที่มายังไม่ชัดเจนกับความกังวลภารกิจช่วยตัวประกันในฉนวนกาซา COFACT Special Report 32/67

เป็นเวลากว่า 5 เดือนแล้ว นับตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค. 2566 ที่กลุ่มติดอาวุธฮามาสยกพลข้ามจากฉนวนกาซา ซึ่งเป็นดินแดนปกครองของปาเลสไตน์ได้เข้าโจมตีอิสราเอล และนำไปสู่การเปิดปฏิบัติการกวาดล้างกลุ่มฮามาสโดยกองทัพอิสราเอล  แม้จะเป็นเหตุการณ์ที่ห่างไกลจากประเทศไทยมากเพราะทั้งอิสราเอลและปาเลสไตน์อยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลาง แต่ก็มีความสำคัญเพราะมีคนไทยจำนวนมากไปทำงานเป็นแรงงานภาคการเกษตรในอิสราเอล และมีแรงงานไทยหลายคนเสียชีวิตและถูกจับเป็นตัวประกันจากเหตุการณ์นี้

ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 28 มีนาคม 2567 นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ระบุว่ายังเหลือคนไทยที่ถูกจับเป็นตัวประกันอีก 8 คน ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศยังคงติดตามสถานการณ์อยู่ทุกวัน และคาดหวังว่าการผ่านมติโดยองค์การสหประชาชาติ (UN) ให้หยุดยิงทันทีในฉนวนกาซาสมรภูมิสู้รบระหว่างกองทัพอิสราเอลและกองกำลังติดอาวุธกลุ่มฮามาส จะทำให้ตัวประกันได้รับอิสรภาพมากขึ้น

ถึงกระนั้น ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีรายงานข่าวที่สร้างความวิตกกังวลให้กับคนไทย เมื่อมีการแชร์ภาพ ทหารอิสราเอลถ่ายภาพพร้อมกับถือธงชาติไทย เพราะภาพดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อความพยายามช่วยเหลือตัวประกันของทางการไทย และที่ผ่านมาไทยได้พยายามวางท่าที เป็นกลาง มาโดยตลอด รวมถึงการใช้ทุกช่องทางเพื่อช่วยเหลือนับตั้งแต่วันแรกที่ทราบข่าวว่ามีคนไทยถูกจับเป็นตัวประกัน จนกลุ่มฮามาสเริ่มทยอยปล่อยตัวประกันมาอย่างต่อเนื่อง

จากรายงานข่าวของ นสพ.ผู้จัดการ เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2567 อ้างอิงข้อมูลจาก ยูนิส ทีราวี (Younis Tirawi) นักข่าวปาเลสไตน์ด้านความมั่นคงและการเมือง ได้โพสต์ภาพทหารอิสราเอลยืนอยู่ด้านหน้ารถถังโดยถือธงชาติไทยอยู่ด้วยผ่านทวิตเตอร์ (หรือ X ในปัจจุบัน) เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2567 ซึ่งอ้างว่าภาพดังกล่าวนำมาจากอินสตา  แกรมของ เซกี เน็ตเซอร์ (Segi Netzerr) ซึ่งเป็นทหารอิสราเอลที่ปรากฏอยู่ในภาพ ทั้งนี้ ยูนิส ทีราวี ปรากฏชื่อว่าทำงานให้กับสำนักข่าวเบลิงแคต (Bellingcat) ของเนเธอร์แลนด์

จากนั้นในวันที่ 29 มีนาคม 2567 สำนักข่าวในไทยหลายแห่ง อาทิ สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 , เว็บไซต์ The Standard , นสพ.ข่าวสด รายงานข่าวโดยอ้างความเห็นจากกระทรวงการต่างประเทศของไทย ซึ่งสรุปได้ดังนี้ 

1) กระทรวงการต่างประเทศสั่งการให้สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว และแสดงความห่วงกังวลต่อผลกระทบที่อาจตามมาจากภาพดังกล่าว

2) กระทรวงการต่างประเทศอิสราเอลแจ้งว่า ไม่สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ว่า ภาพดังกล่าวเป็นภาพที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อโฆษณาชวนเชื่อ (propaganda) หรือเป็นภาพจริง และหากทหารอิสราเอลถือธงชาติไทยจริงก็อาจเป็นการกระทำของทหารอิสราเอลโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทั้งนี้ รัฐบาลอิสราเอลไม่ได้ให้การสนับสนุน แต่ยอมรับว่าไม่สามารถควบคุมการกระทำส่วนตัวของทหารทุกรายได้ 3) เอกอัครราชทูตฯ ย้ำขอให้ฝ่ายอิสราเอลตรวจสอบเรื่องดังกล่าว ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศอิสราเอลได้ตอบรับที่จะประสานงานกับกองทัพอิสราเอล (IDF) เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติม และ 4) หากมีความชัดเจนมากขึ้น ทางกระทรวงการต่างประเทศ จะแจ้งให้ทราบต่อไป

รวมถึงมีรายงานเพิ่มเติมว่า ตามที่กระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงกรณีภาพทหารอิสราเอลถือธงชาติไทย โดยได้มอบหมายให้สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ทักท้วงเรื่องดังกล่าวกับฝ่ายอิสราเอลนั้น ขณะนี้มีผู้แทนระดับสูงของฝ่ายอิสราเอลได้แจ้งสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ว่า กระทรวงการต่างประเทศอิสราเอลกำลังเร่งตรวจสอบ ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นภาพจริงหรือภาพตัดต่อ แต่เห็นด้วยว่าหากเกิดขึ้นจริงถือเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมจึงได้ขอให้กองทัพอิราเอลเร่งตรวจสอบภาพดังกล่าวด้วยแล้ว  

ในการนี้ ฝ่ายไทยได้เน้นย้ำถึงความห่วงกังวลและขอให้ฝ่ายอิสราเอลได้กำชับเจ้าหน้าที่ให้ระมัดระวังมากขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดการกระทำในลักษณะดังกล่าวขึ้นอีก เนื่องจากไทยมิได้มีความขัดแย้งกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด และประสงค์ให้ความขัดแย้งนี้ยุติโดยเร็ว บนพื้นฐานของการเจรจามาโดยตลอด ทั้งนี้ประเทศไทยมีความห่วงใยต่อสวัสดิภาพของตัวประกันชาวไทยที่เหลืออีก 8 คน โดยขอย้ำคำเรียกร้องให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามข้อมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเมื่อวันที่25 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา ที่เรียกร้องให้ทุกฝ่ายหยุดยิงโดยทันทีในช่วงเดือนรอมฎอน เพื่อนำไปสู่การหยุดยิงที่ยั่งยืนในพื้นที่ฉนวนกาซา และปล่อยตัวประกันทั้งหมดโดยทันทีและไม่มีเงื่อนไข

อนึ่ง สำหรับรายงานข่าวของเว็บไซต์ The Standard นั้นยังมีการอ้างถือความเห็นของ นางออร์นา ซากิฟ (Orna Sagiv) เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย ที่กล่าวว่า ภาพที่ปรากฏนั้นอาจเป็นภาพปลอมหรือภาพที่สร้างจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) หรืออาจเป็นการกระทำส่วนบุคคลของทหารที่ชื่นชอบประเทศไทย ซึ่งตนมองว่าภาพที่ออกมานั้นไม่ได้เป็นผลลบ หรือชี้ว่าไทยเกี่ยวข้องในความขัดแย้ง

ภาพที่ 1 : โพสต์จากบัญชีแพลตฟอร์ม X หรือทวิตเตอร์ ของ ยูนิส ทีราวี นักข่าวปาเลสไตน์ วันที่ 30 มี.ค. 2567 
ภาพที่ 2 : โพสต์จากบัญชีแพลตฟอร์ม X หรือทวิตเตอร์ ของ THAI for Palestine ที่แชร์โพสต์ของ ยูนิส ทีราวี นักข่าวปาเลสไตน์ วันที่ 30 มีนาคม 2567

อีกด้านหนึ่ง บัญชี X หรือทวิตเตอร์ของ Younis Tirawi | يونس หรือ @ytirawi  ซึ่งเป็นบัญชีทางการของ ยูนิส ทีราวี นักข่าวปาเลสไตน์ต้นเรื่อง ได้โพสต์ข้อความและภาพเพิ่มเติม เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2567 ระบุว่า “หลังจากที่ตนโพสต์ภาพทหารอิสราเอลถือธงชาติไทย ทางกระทรวงการต่างประเทศของไทยได้เรียกร้องให้อิสราเอลเร่งตรวจสอบภาพดังกล่าว และสถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงเทลอาวีฟได้ประท้วงเรื่องนี้กับทางอิสราเอล”

ขณะที่ในวันเดียวกัน บัญชี X ที่ใช้ชื่อว่า THAI for Palestine ได้แชร์โพสต์ดังกล่าวของ ทีราวีพร้อมระบุข้อความว่า “ปรากฏที่มาภาพของทหารอิสราเอลถือธงชาติไทยว่า มาจาก IG ของทหารอิสราเอลนายหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันเข้าถึงไม่ได้แล้วทางกระทรวงต่างประเทศของไทยจึงได้เรียกร้องให้อิสราเอลสืบสวนกรณีที่เกิดขึ้น” และเมื่อผู้เขียนลองนำชื่อ saginetzerr ไปค้นหา ก็ไม่พบบัญชีอินสตาแกรมชื่อนี้เช่นกัน แต่กลับพบบัญชีชื่อคล้ายกันคือ saginetzer1 ที่ตั้งค่าเป็นส่วนตัวและไม่สามารถเข้าไปดูได้ (ค้นหาล่าสุด ณ วันที่ 31 มี.ค. 2567 เวลา 15.00 น.)

อย่างไรก็ตาม บนเพจเฟซบุ๊ก “Israel in Thailand” ซึ่งเป็นเพจทางการของสถานทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย นับตั้งแต่ที่เริ่มมีการแชร์ภาพทหารอิสราเอลถือธงชาติไทย ก็ยังไม่ปรากฏว่า มีการเผยแพร่คำชี้แจง    ใด ๆ (ค้นหาล่าสุด ณ วันที่ 1 เม.ย. 2567 เวลา 15.00 น.) ดังนั้นก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่า ตกลงแล้วภาพนี้มีที่มาอย่างไร แต่ไม่ว่าจะเป็นภาพตัดต่อ ภาพสร้างโดย AI หรือภาพจริงของทหารอิสราเอลที่ถือธงชาติไทยไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ๆ เรื่องนี้ถือเป็นความกังวลใจของไทย ที่ในปัจจุบันยังคงมีตัวประกันชาวไทยอีก 8 คน ตกอยู่กลางสมรภูมิความขัดแย้ง และในอนาคตที่จะยังมีแรงงานไทยกลับไปทำงานในอิสราเอลอีกต่อไป จึงหวังว่า จะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนโดยเร็ว!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://www.thaipbs.or.th/news/content/338524 (“ปานปรีย์” เชื่อช่วย 8 ตัวประกันไทยได้ หลัง “ยูเอ็น” ประกาศหยุดยิง : ThaiPBS วันที่ 28 มี.ค. 2567)

https://www.bangkokbiznews.com/world/1092705  (ไทย ‘ปรับท่าที’ เป็นกลางสงคราม ‘อิสราเอล-ฮามาส’ สนับสนุนแนวทาง 2 รัฐ : กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 9 ต.ค. 2566)

https://www.voathai.com/a/thai-negotiator-pledge-to-continue-talk-on-freeing-thai-remaining-hostages/7398652.html  (“หน้าที่เรายังไม่หมด”: ชุดเจรจาเผยเบื้องหลังคุย ‘ฮามาส’ และการช่วยตัวประกันไทย : Voice of America ภาคภาษาไทย วันที่ 15 ธ.ค. 2566)

https://mgronline.com/around/detail/9670000027595 (ระอุ! นักข่าวปาเลสไตน์ชื่อดังโพสต์หราภาพ “ทหารอิสราเอล” ชู “ธงชาติไทย” หลังรถถัง IDF ในเขตฉนวนกาซา กระทรวงต่างประเทศโต้ “ไทย” ไม่เกี่ยวข้องมั่นใจ “ไม่กระทบตัวประกัน” ในมือฮามาส : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 28 มี.ค. 2567)

https://www.bellingcat.com/author/younis/

https://ch3plus.com/news/international/ch3onlinenews/393487 (‘กต.ไทย’ จี้ ‘อิสราเอล’ เร่งตรวจสอบภาพทหารถือธงชาติไทย ชี้ยังพิสูจน์ข้อเท็จจริงไม่ได้ : 3Plus วันที่ 29 มี.ค. 2567)

https://www.khaosod.co.th/update-news/news_8163365 (กต.ห่วงภาพทหารอิสราเอล ถือธงชาติไทย เร่งตรวจสอบภาพจริงหรือตัดต่อ : ข่าวสดออนไลน์ วันที่ 29 มี.ค. 2567)

https://thestandard.co/images-of-israeli-soldiers-holding-thai-flags/  (กต. แจ้งอิสราเอลเร่งตรวจสอบภาพทหารถือธงชาติไทย ทูตชี้อาจเป็นภาพปลอม – AI : The Standard วันที่ 29 มี.ค. 2567)

https://twitter.com/ytirawi/status/1773817429530960215/photo/1

https://www.facebook.com/IsraelinThailand/

https://www.facebook.com/thaiembassytelaviv/?locale=th_TH

ปี 66 ไทยขึ้นอันดับ 1 เอเชีย มิจฉาชีพโทร-ส่งข้อความหลอกคนไทย 79 ล้านครั้ง พุ่งสูงขึ้น 18%  

Editors’ Picks

สสส.-ภาคีโคแฟค-กทม. เปิดเวทีสัมมนาวันตรวจสอบข่าวลวงโลก 67 ชวนใช้เครื่องมือดิจิทัล ตรวจสอบข่าวเช็คให้ชัวร์ก่อนเผยแพร่ สร้างพื้นที่สื่อออนไลน์ปลอดภัย สานพลังสังคมสร้างสุขภาวะที่ดี

เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2567 ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.ร่วมกับภาคีโคแฟค ประเทศไทย และกรุงเทพมหานคร (กทม.) จัดงาน “สัมมนาระดับชาติเนื่องในโอกาสวันตรวจสอบข่าวลวงโลก 2567 (International Fact-Checking Day 2024)” ภายใต้หัวข้อ “Cheapfakes สู่ Deepfakes: เตรียมรับมืออย่างไรให้เท่าทัน” เนื่องจากเครือข่ายองค์กรตรวจสอบข่าวสากล (International Fact Checking Network – IFCN) กำหนดให้วันที่ 2 เมษายนของทุกปีเป็น “วันตรวจสอบข่าวลวงโลก” หวังกระตุ้นให้คนทั่วโลกตื่นตัว ตรวจสอบข้อมูลบนโลกออนไลน์ก่อนส่งต่อ และเข้าใจอันตรายที่เกิดขึ้นจากข่าวลวง

โดย นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า  จากรายงานประจำปี 2566 ของ ฮูสคอลล์ (Whoscall) แพลตฟอร์มระบุตัวตนสายเรียกเข้าที่ไม่รู้จักและป้องกันสแปม พบว่า ปี 2566 คนไทยโดนหลอกจากสายโทรเข้าและส่งข้อความหลอกลวง 79 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่มี 66.7 ล้านครั้ง คิดเป็นเพิ่มขึ้น 18% โดยเฉลี่ยคนไทย 1 คน ได้รับ      เอสเอ็มเอสหลอกลวง 20.3 ข้อความ ถือว่าไทยถูกหลอกลวงมากเป็นอันดับ 1 ของเอเชีย รองลงมาคือ ฟิลิปปินส์ และฮ่องกง ทั้งนี้ งานสัมมนาระดับชาติฯ ที่จัดขึ้น สสส. หวังสร้างความเข้าใจต่อสาธารณะในประเด็นการตรวจสอบข้อมูลก่อนเชื่อหรือแชร์ด้วยเครื่องมือดิจิทัล ประเด็นการใช้ปัญญาประดิษฐ์อย่างสร้างสรรค์ และรณรงค์ให้สังคมตระหนักถึงการตรวจสอบข้อมูล นำไปสู่การสร้างสังคมสุขภาวะให้ยั่งยืนของประเทศไทยต่อไป

“สสส. วางเป้าหมายพัฒนานิเวศสื่อสุขภาวะที่ส่งผลต่อค่านิยมและพฤติกรรมการใช้สื่อเพื่อ        สุขภาวะ เสริมทักษะรู้เท่าทันสื่อ และให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้เกิดสื่อสุขภาวะและปกป้องผู้ใช้สื่อออนไลน์ทุกช่วงวัย จากผลการดำเนินงานของ โคแฟค ประเทศไทย ที่สสส. ร่วมผลักดันสนับสนุนให้         โคแฟคเป็นพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงบนสื่อออนไลน์ ตั้งแต่ปี 2563-2567 โคแฟค ได้บริการตรวจสอบข่าวลวง 7,672 บทความ ช่วยปกป้องคนไทยไม่ให้ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพผ่านการอบรมตรวจสอบข้อมูลกว่า 5,000 คน สสส. มุ่งหวังให้ทุกคนเป็นพลเมืองเท่าทันสื่อ มีความสามารถในการตรวจสอบข่าวได้ด้วยตนเอง จนมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังตรวจสอบข้อมูล  และเปิดพื้นที่ให้ทุกคนมาช่วยกันตรวจสอบข่าวลวงได้ โดยเชื่อว่า “Everyone is a fact checker”   นพ.พงศ์เทพ กล่าว

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทช่วยให้การใช้ชีวิตของคนในปัจจุบันสะดวก รวดเร็ว และง่ายขึ้น ไม่ว่าจะด้านการทำธุรกรรมทางการเงิน  หรือการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ต้องการ ทุกคนสามารถเป็นผู้ผลิตและเผยแพร่ข้อมูลบนโลกออนไลน์ได้ง่ายๆ แต่ความเสี่ยงต่อการถูกหลอก สร้างความเข้าใจผิด ความเกลียดชัง ถูกหลอกให้ลงทุนและโอนเงินออกจากบัญชี ก็เกิดขึ้นให้เห็นทุกวัน กทม. ให้ความสำคัญการป้องกันภัยคุกคามจากออนไลน์ทุกรูปแบบ จึงร่วมกับ สสส. เร่งสร้างการรับรู้ภัยอันตรายที่เกิดจากข่าวลวง ข่าวปลอม ซึ่งเครือข่าย “โคแฟค ประเทศไทย” จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ให้คนในสังคมได้ตรวจสอบข้อมูลข่าวหลอกลวงที่เกิดขึ้นร่วมกัน และขยายผลความรู้ความเข้าใจเพื่อให้ประชาชนเตรียมรับมือได้อย่างเท่าทัน

น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า คนไทยถูกมิจฉาชีพใช้ชีพเฟคหลอกลวงมากกว่าดีฟเฟค สอดคล้องกับสถิติศูนย์บริหารการรับแจ้งความออนไลน์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รายงานว่า ตั้งแต่ 1 มี.ค. 2565-15 มี.ค. 2567 มีประชาชนแจ้งความออนไลน์มากกว่า 400,000 คดี สูงสุด 3 ประเภทที่มักโดนหลอก ได้แก่ 1.ถูกหลอกให้ซื้อสินค้าหรือบริการ (ไม่เป็นขบวนการ) 2.หลอกให้โอนเงินเพื่อทำงาน 3.หลอกให้กู้เงิน ปีนี้ โคแฟค จึงบูรณาการภาครัฐและเอกชนอบรมสร้างทักษะการตรวจสอบข้อมูลในยุคเอไอทั่วประเทศมีผู้เข้าร่วม 2,500 คน และสร้างคอนเทนต์ในอินฟลูเอนเซอร์สายตรวจสอบข่าว และพัฒนาให้เกิดศูนย์ตรวจสอบข่าวลวงภูมิภาคกว่า 7 แห่ง อาทิ อีสานโคแฟค มหาวิทยาลัยบูรพา สามจังหวัดชายแดนใต้ และจะเปิดรับภาคีใหม่มาทำกิจกรรมตรวจสอบข่าวและสร้างพลเมืองทุกคนให้เป็น fact-checker ต่อไป  และสุดท้ายขอชวนประชาชนทุกคนฝึกตรวจสอบข่าวเช็คให้ชัวร์ก่อนเผยแพร่ ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ โดยเฉพาะในยุคปัญญาประดิษฐ์ เพื่อป้องกันการถูกหลอกลวง สามารถเข้าใช้งานได้ที่เว็บไซต์ cofact.org


ยูเครนอยู่เบื้องหลังเหตุฆ่าหมู่กรุงมอสโกจริงหรือ? 

โดย ธีรนัย จารุวัสตร์ สมาชิก Cofact

ถึงแม้กลุ่มติดอาวุธสุดโต่ง “ไอเอส” ได้ยืนยันเองว่าสมาชิกของตนเป็นผู้ก่อเหตุโจมตีโรงละครในชานเมืองกรุงมอสโกเมื่อปลายเดือนมีนาคม ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนกว่า 140 ราย แต่เจ้าหน้าที่รัสเซียและสื่อทางการของรัสเซีย กลับเดินหน้ากล่าวหาว่ารัฐบาลยูเครนเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่ดังกล่าว โดยที่ไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือได้มาสนับสนุน

กลายเป็นเหตุการณ์ที่ช็อกโลกอีกครั้ง เมื่อกลุ่มคนร้ายบุกเข้าไปในโรงละคร Crocus City Hall ในชานเมืองกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย และกราดยิงผู้คนอย่างไม่เลือกหน้าเมื่อคืนวันที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา จนมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 140 ราย บาดเจ็บอีกเกือบ 200 ชีวิต นับเป็นโศกนาฎกรรมครั้งใหญ่ในรอบหลายสิบปีของประเทศรัสเซีย

หลังจากเกิดเหตุไม่กี่ชั่วโมง กลุ่มติดอาวุธสุดโต่ง “Islamic State” หรือที่เรียกย่อๆว่า “IS – ไอเอส” ซึ่งมีฐานที่มั่นในตะวันออกกลาง ได้ประกาศแสดงความรับผิดชอบว่าเป็นผู้ก่อเหตุสังหารหมู่ดังกล่าว ทำให้ผู้นำหลายประเทศรุมประณามการโจมตีอันโหดเหี้ยมของไอเอสครั้งนี้ 

ขณะเดียวกัน หน่วยงานความมั่นคงของรัสเซียก็ได้ตะครุบตัวมือปืนไว้ทั้ง 4 คน ขณะกำลังพยายามหลบหนีออกนอกประเทศ และนำตัวส่งศาลเพื่อดำเนินคดีในหลายข้อหาหนัก 

อย่างไรก็ตาม ผลการสำรวจความคิดชาวรัสเซียที่จัดทำโดยเว็บไซต์ OpenMinds เมื่อไม่นานมานี้ กลับระบุว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 50 ไม่ได้คิดว่ากลุ่มไอเอสอยู่เบื้องหลังเหตุโจมตีเมื่อวันที่ 22 มีนาคม เพราะเชื่อว่าการสังหารหมู่ดังกล่าว เป็นฝีมือของรัฐบาลยูเครนต่างหาก! 

เทียบกับจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามเพียงร้อยละ 30 ที่เชื่อว่ากลุ่มไอเอสเป็นผู้ลงมือสังหารโหด

ผลการสำรวจ OpenMinds ระบุว่าชาวรัสเซียส่วนใหญ่เชื่อว่ายูเครนอยู่เบื้องหลังเหตุฆ่าหมู่เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2567

ผลสำรวจดังกล่าวสอดคล้องกับการโหมกระแสข่าวของทางการรัสเซียตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง เจ้าหน้าที่ระดับสูง และสื่อในกำกับของรัฐ เพื่อป้ายสีรัฐบาลยูเครนว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุกราดยิงที่โรงละคร Crocus ซึ่งถึงแม้โดยปราศจากหลักฐานใดๆ นอกเหนือไปจากคำกล่าวอ้างลอยๆเท่านั้น 

นับเป็นตัวอย่างล่าสุดของปฎิบัติการข้อมูลข่าวสาร (Information operation) ของรัสเซียเพื่อหวังผลทางการเมืองจากเหตุความขัดแย้งและโศกนาฎกรรมครั้งใหญ่ครั้งนี้

รัฐบาลจุดกระแส 

กระแสข่าวดังกล่าวเริ่มปะทุขึ้นจากเจ้าหน้าที่รัฐระดับบนสุดของทางการรัสเซียเลยทีเดียว นั่นคือ ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน โดยผู้นำรัสเซียได้กล่าวในถ้อยแถลงว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุถูกจับกุมขณะพยายามข้ามชายแดนไปยังประเทศยูเครน และตนเชื่อว่ามีคนในยูเครนจัดหาช่องทางหลบหนีให้กับกลุ่มผู้ก่อเหตุอย่างแน่นอน 

ต่อมาไม่นาน Alexander Bortnikov ผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองรัสเซีย ได้กระพือกระแสข่าวนี้ให้ไปไกลอีกขั้น ด้วยการแถลงว่าถึงแม้กลุ่มติดอาวุธอิสลามสุดโต่งจะเป็นผู้วางแผนการสังหารหมู่ครั้งนี้ก็ตาม แต่ “หน่วยรบพิเศษของชาติตะวันตกเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือ และหน่วยรบพิเศษของยูเครนมีส่วนร่วมในเหตุการณ์นี้โดยตรง” 

Bortnikov ย้ำคำกล่าวอ้างของประธานาธิบดีปูตินด้วยว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุกราดยิงถูกจับกุมขณะพยายามหลบหนีไปยูเครน ถือเป็นหลักฐานที่ฟ้องถึงความเชื่อมโยงกับรัฐบาลยูเครนอย่างไม่ต้องสงสัย

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ต่างตั้งคำถามกับคำกล่าวอ้างนี้ เพราะมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับตำแหน่งที่กลุ่มผู้ก่อเหตุถูกจับว่าอยู่ตรงไหนกันแน่ โดยรายงานของทางการรัสเซียกล่าวว่ามือปืนทั้ง 4 คนถูกจับกุม 180 กิโลเมตรจากชายแดนยูเครน ขณะที่บางรายงานกล่าวว่าเป็นอีกจุดหนึ่ง ที่อยู่ห่างจากชายแดนเบลารุสไปเพียง 16 กิโลเมตรเท่านั้น

นอกจากนี้ยังไม่นับข้อเท็จจริงด้วยว่า รัสเซียกับยูเครนกำลังอยู่ในสภาวะสงคราม ชายแดนระหว่างสองประเทศถูกปิดตายท่ามกลางการสู้รบอย่างหนักและกำลังทหารจำนวนมาก จึงน่าสงสัยว่าถ้าหากยูเครนอยู่เบื้องหลังการโจมตีครั้งนี้จริง จะสามารถจัดหาช่องทางหลบหนีข้ามชายแดนท่ามกลางภาวะศึกสงครามได้อย่างไร

สื่อรัฐช่วยกระพือ 

ด้านสื่อในสังกัดรัฐของทางการรัสเซีย ก็นำเอาทฤษฎีสมคบคิดดังกล่าวมาเผยแพร่ต่ออย่างทันควัน โดยเสนอข่าวเชิงคำถามว่า กลุ่มไอเอสอยู่เบื้องหลังการโจมตีโรงละคร Crocus หรือเป็นเพียงคำกล่าวอ้างของชาติตะวันตกกันแน่ 

ตัวอย่างเช่น Dmitry Kiselyov นักจัดรายการทีวีชื่อดังของรัสเซีย ได้กล่าวกับผู้ชมในรายการทีวีช่วงไพร์มไทม์ว่า กลุ่มไอเอสไม่ได้อยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่ โดยยกหลักฐานว่า กลุ่มมือปืนพยายามหลบหนีหลังก่อเหตุ แทนที่จะพลีชีพแบบนักรบไอเอสในเหตุการณ์อื่นๆ ตนจึงสงสัยว่าอาจเป็นการสร้างเรื่องโดยรัฐบาลอเมริกันเสียมากกว่า 

“มีความจริงอันไม่สามารถเถียงได้ว่า พวกผู้ก่อการร้ายเหล่านี้พยายามหนีไปพึ่งพิงยูเครน” Kiselyov ย้ำในรายการ

หนึ่งใน 4 มือปืนก่อเหตุโรงละคร Crocus ในสภาพสะบักสะบอม ขณะขึ้นศาลที่กรุงมอสโก (ภาพโดย EPA)

Margarita Simonyan บรรณาธิการบริหารของช่องข่าว Russia Today กล่าวในทำนองเดียวกันว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุไม่น่าจะเป็นสมาชิกไอเอส เพราะไม่ได้ใส่ระเบิดพลีชีพมาด้วย และสรุปเองว่า กลุ่มไอเอสไม่ได้เกี่ยวข้องกับการสังหารหมู่ที่โรงละคร Crocus แน่นอน 

ส่วนหนังสือพิมพ์ของทางการรัสเซีย Rossiyskaya Gazeta ก็เผยแพร่บทความตั้งข้อสังเกตว่าอาวุธปืนของกลุ่มผู้ก่อเหตุ มีลักษณะคล้ายกองกำลังชาวรัสเซียที่แปรพักตร์ไปช่วยรัฐบาลยูเครนรบในสงคราม 

ขณะเดียวกัน Andrei Medvedev ผู้สื่อข่าวของช่องทีวี Rossiya 1 ยิ่งไปไกลกว่าเพื่อน ด้วยการเขียนโพสต์ลงในเทเลแกรมว่า หน่วยข่าวกรองของสหราชอาณาจักร หรือ MI6 เป็นผู้ตระเตรียมการสังหารหมู่เมื่อวันที่ 22 มีนาคม และสั่งการหน่วยข่าวกรองของยูเครนให้เป็นผู้ลงมือ 

“ชาวบริติชมีประวัติศาสตร์ในการล่าอาณานิคมมายาวนาน พวกเขาจึงเป็นมือโปรในด้านการสุมไฟความขัดแย้งทางเชื้อชาติ” Medvedev เขียนในโพสต์ โดยไม่ได้แสดงหลักฐานใดๆ

คลิปปลอมระบาด 

การพยายามเชื่อมโยงรัฐบาลยูเครนให้เกี่ยวข้องกับการโจมตีโรงละคร Crocus ยังได้ยกระดับไปอีกขั้น เมื่อ NTV ช่องทีวีในกำกับของทางการรัสเซีย เผยแพร่คลิปวิดิโอที่ระบุว่าเป็น Oleksiy Danilov เจ้าหน้าที่ความมั่นคงระดับสูงของรัฐบาลยูเครน 

ในคลิปดังกล่าว Danilov กล่าวว่าชาวรัสเซียได้พบเจอ “ความบันเทิง” จากเหตุฆ่าหมู่ที่โรงละครมอสโก และตนหวังว่าจะจัดหา “ความบันเทิง” เช่นนี้ให้ชาวรัสเซียอีกในอนาคต 

คลิปวิดิโอนี้ได้รับการส่งต่อและเผยแพร่อย่างกว้างขวางในโซเชียลมีเดียรัสเซีย และสร้างความโกรธแค้นให้แก่ชาวรัสเซียอย่างมาก อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ของ BBC พบว่าคลิปวิดิโอที่ช่อง NTV นำมาเผยแพร่ มีลักษณะถูกตัดต่อขึ้นจากหลายๆคลิป โดยที่นาย Danilov ไม่ได้พูดเช่นนั้นจริง

คลิปวิดิโอตัดต่อที่สถานีข่าว NTV นำมาออกอากาศ


จึงไม่น่าแปลกใจที่การโหมกระแสข่าวเช่นนี้ ส่งผลให้ชาวรัสเซียจำนวนไม่น้อย มีความกังขาต่อข่าวว่ากลุ่มไอเอสอยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่เมื่อวันที่ 22 มีนาคม และสงสัยว่าผู้ก่อเหตุที่แท้จริงอาจจะเป็นรัฐบาลยูเครน ตามที่ได้กล่าวตอนต้นในบทความ

“ดูเหมือนว่ายูเครนเป็นผู้ลงมือ เพราะพวกผู้ก่อการร้ายหนีไปทางยูเครน” แอนนา ชาวรัสเซียคนหนึ่ง ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Financial Times เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าคิดว่าใครอยู่เบื้องหลังเหตุโจมตี “พวกเขา [ชาวยูเครน] ต้องการสร้างเหตุการณ์เพื่อดึงความสนใจไปจากแนวรบ และที่ผ่านมาพวกคนยูเครนก็มักจะยินดีอย่างยิ่งเวลาได้เห็นประชาชนชาวรัสเซียเสียชีวิต รวมถึงคนรัสเซียที่ไม่เกี่ยวข้องกับสงครามด้วย” 

หลักฐานมัดตัวไอเอส

อย่างไรก็ตาม หลักฐานที่ปรากฎทั้งหลาย ได้บ่งชี้ว่ากลุ่มไอเอสอยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่ที่โรงละคร Crocus อย่างแน่นอน เช่นเดียวกับเหตุการณ์กราดยิงหรือก่อการร้ายอื่นๆ ในหลายประเทศ 

หลักฐานสำคัญชิ้นหนึ่ง คือถ้อยแถลงแสดงความรับผิดชอบของกลุ่มไอเอส มาพร้อมกับคลิปจากกล้องที่ติดอยู่กับตัวผู้ก่อเหตุ (bodycam) ในโรงละคร Crocus แสดงให้เห็นจังหวะกลุ่มมือปืนเหล่านี้ไล่ยิงและฟันแทงชาวรัสเซียอย่างโหดเหี้ยม ซึ่งคลิปดังกล่าวไม่ได้เผยแพร่ทางอื่นมาก่อน 

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลสหรัฐอเมริกาเอง ก็ได้เคยส่งคำเตือนไปยังทางการรัสเซียด้วยว่า สหรัฐฯพบข่าวกรองระบุว่ามีกลุ่มติดอาวุธกำลังวางแผนโจมตีในงานแสดงดนตรีหรือโรงละคร แต่ในขณะนั้นประธานาธิบดีปูตินกลับด่าทอรัฐบาลสหรัฐว่า ปั้นเรื่องให้เกิดความตื่นตระหนกในรัสเซีย 

ด้านผู้เชี่ยวชาญด้านการก่อการร้ายระบุด้วยว่า กลุ่มที่ลงมือก่อเหตุที่กรุงมอสโก มีแนวโน้มว่าเป็นสมาชิกเครือข่าย “ไอเอส-เค” อันเป็น “สาขา” หนึ่งของกลุ่มไอเอสที่มักเคลื่อนไหวในพื้นที่อัฟกานิสถาน ปากีสถาน และอิหร่าน กลุ่มดังกล่าวประณามรัฐบาลรัสเซียมาตลอด เพราะไม่พอใจที่กองทัพรัสเซียช่วยโจมตีกลุ่มไอเอสในพื้นที่ตะวันออกกลางหลายครั้ง

นอกจากนี้ กลุ่มไอเอสเคยังได้เคยก่อเหตุวางระเบิดสถานทูตรัสเซียในกรุงคาบูล ประเทศอัฟกานิสถาน เมื่อปี 2565 การันตีความสุดโต่งและความโกรธแค้นต่อรัสเซียเป็นอย่างดี

ส่วนข้อสังเกตจากสื่อรัสเซียว่ามือปืนที่โรงละคร Crocus ไม่ได้พลีชีพในที่ก่อเหตุ ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใด เพราะก่อนหน้านี้สมาชิกกลุ่มไอเอสก็เคยก่อเหตุกราดยิงหรือวางระเบิดโดยที่ไม่ได้มุ่งหวังพลีชีพในปฏิบัติการเช่นกัน 


อ่านเพิ่มเติม

Moscow attack: Russian state media blames Ukraine and the West

In First Remarks on Attack, Putin Tries to Link Assailants to Ukraine 

Russians back Vladimir Putin in blaming Ukraine for concert hall terror attack

Russia persists in blaming Ukraine for concert attack despite its denial and Islamic State’s claim


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 6 เมษายน 2567

เตือนภัยดูดเงินผ่านแอป ไม่ต้องกดลิงก์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1n0vb79q7gg35


3 จุดสังเกตไตอ่อนแอ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1n9xgxgsovgop


ถอดกระดิ่งคอมาถือ ฟ้าผ่าดับคาทุ่งรับเคราะห์แทนวัว…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/hw5nnrd5m83p


จ.ระยองมีผู้ติดเชื้อVibrio Valnificusที่มาจากหอยแครงและหอยแมลงภู่ 2 ราย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/15lztvierqls3


กรมการขนส่งฯ ออกระเบียบรถบัส 2 ชั้น ให้ต่อทะเบียนซึ่งมีค่าใช้จ่ายแพง และงดวิ่งสงกรานต์ทั่วประเทศ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1u4tvyac1x73t


   จองตั๋วรถไฟออนไลน์ สแกนจ่ายผ่านพร้อมเพย์ผ่านหน้าเว็บไซต์การรถไฟแห่งประเทศไทย

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/33ar5x592xwp6


  สิ่งของ 6 อย่างที่ห้ามวางไว้ในรถยนต์

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2zt9wv75iu85h


   พบ “กากแร่แคดเมียม” สารปนเปื้อนอันตรายร้ายแรง-สารก่อมะเร็ง 15,000 ตัน ภายในโรงงาน จ.สมุทรสาคร

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/py5fay5t8q57


  แผ่นดินไหว 6.0 เขย่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือญี่ปุ่น รับรู้ถึง ‘โตเกียว’ ไม่มีเตือนสึนามิ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1ixl7qvhmh402


ผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/ar0f0d4ws0gt


กัมพูชาขึ้นทะเบียนสงกรานต์ ทรัพย์สินทางวัฒนธรรมมรดกโลก…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/14oul1hy0wh74