เหตุใดคนมุสลิมจึงตกเป็น ‘แพะรับบาป’ ในเหตุฆ่าหมู่ออสเตรเลีย

Editors’ Picks
ประชาชนวางดอกไม้อาลัยผู้เสียชีวิตในเหตุไล่แทงผู้คนที่ย่าน Bondi Junction ใกล้นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย (ภาพโดย AFP)

โดย ธีรนัย จารุวัสตร์ สมาชิก Cofact

กรณีผู้ก่อเหตุใช้มีดแทงผู้คนกลางเมืองในประเทศออสเตรเลีย จนมีผู้เสียชีวิต 6 ราย ถูกนักการเมืองและสื่อมวลชนบางกลุ่มบิดเบือนว่าเป็นฝีมือการก่อการร้ายโดยชาวมุสลิมหัวรุนแรง ซึ่งตำรวจออสเตรเลียยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ด้านผู้เชี่ยวชาญเตือนว่านี่คืออีกหนึ่งตัวอย่างของ “กระแสเกลียดกลัวอิสลาม” หรือ “อิสลามโมโฟเบีย” ในโลกโซเชียลมีเดีย

ย้อนกลับไปเมื่อวันเสาร์ที่ 13 เมษายน ขณะที่ย่าน Bondi Junction ใกล้นครซิดนีย์ พลุกพล่านด้วยผู้คนที่ออกมาจับจ่ายซื้อของและพบปะมิตรสหายในช่วงวันหยุด 

แต่ทว่าวันดังกล่าวได้กลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ของออสเตรเลีย เมื่อจู่ๆ ชายคนหนึ่งใช้อาวุธมีดไล่ฟันแทงผู้คนตามห้างสรรพสินค้าและร้านค้าในย่านแห่งนั้น ตำรวจออสเตรเลียต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการปิดล้อมพื้นที่และตามล่าคนร้ายให้จนมุม จนกระทั่งผู้ก่อเหตุถูกวิสามัญฯหลังไม่ยอมวางอาวุธ

เมื่อเหตุสงบลงในที่สุด ตำรวจสรุปรายงานว่าคนร้ายได้คร่าชีวิตผู้คนรวม 6 ราย สร้างความโศกเศร้าใจและสะเทือนขวัญชาวออสเตรเลียโดยทั่วไป 

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เหตุการณ์ยังไม่ทันสงบ ปรากฎว่าผู้คนจำนวนมากในโซเชียลมีเดียกลับปล่อยข่าวบิดเบือนไปเรียบร้อยแล้วว่าผู้ก่อเหตุเป็น “ผู้ก่อการร้ายมุสลิม” ทั้งที่ไม่มีหลักฐานใดๆ จนสร้างความเสียหายต่อชุมชนชาวมุสลิมในประเทศออสเตรเลีย และยิ่งเสี่ยงให้ความขัดแย้งด้านเชื้อชาติและศาสนาบานปลายยิ่งกว่าเดิมอีกด้วย 

สื่อ-กลุ่มขวาจัดกระพือข่าว

กระแสข่าวบิดเบือนดังกล่าวเริ่มไวรัลขึ้นมา หลัง Julia Hartley-Brewer นักจัดรายการวิทยุชาวอังกฤษของสำนักข่าว Talk Radio ระบุว่าเหตุฆ่าหมู่ในออสเตรเลียเป็น “การก่อการร้ายของพวกผู้ก่อการร้ายอิสลามมิสต์อีกแล้ว”

ด้าน Rachel Riley ผู้สื่อข่าวและพิธีกรรายการชื่อดังของสำนักข่าว Channel 4 โยงเหตุสังหารหมู่ครั้งนี้ว่า เป็นผลมาจากกระแสการประท้วงของผู้สนับสนุนชาวปาเลสไตน์ ตั้งแต่อิสราเอลเริ่มถล่มฉนวนกาซ่าในเดือนตุลาคม 2566 “สิ่งที่คนพวกนี้เรียกร้องมาตลอดอย่างภาคภูมิใจ คือการก่อเหตุแบบใน [ออสเตรเลีย] แต่ยิ่งทวีคูณหลายเท่าตัวเข้าไปอีก” Riley กล่าวในทวิตเตอร์ ซึ่งเธอลบทิ้งในเวลาต่อมา 

ต่อมาไม่นาน นักการเมืองฝ่ายขวาจัดในโลกตะวันตกก็ร่วมผสมโรงและเผยแพร่ข่าวบิดเบือนนี้ด้วย เช่น ผู้ก่อตั้งพรรคอนุรักษ์นิยมสุดโต่ง Britain First และ Tommy Robinson นักเคลื่อนไหวต่อต้านอิสลามคนสำคัญ ที่กล่าวว่าเหตุไล่แทงผู้คนที่ Bondi Junction เป็น “จีฮัด” ของผู้ก่อการร้ายมุสลิม 

แน่นอนว่าแต่ละบุคคลที่กล่าวมาข้างต้น มีผู้ติดตามในโซเชียลมีเดียรวมกันนับล้านคน ดังนั้น การกล่าวอ้างที่โทษชาวมุสลิมเช่นนี้จึงแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วในอินเทอร์เน็ต ก่อนจะเริ่มมีการ “ใส่สีตีไข่” ไปกันใหญ่ด้วย บางโพสต์เพิ่มข้อมูล(ลวง)ว่าผู้ก่อเหตุเป็นผู้ลี้ภัย หรือเป็นผู้อพยพ และกล่าวโจมตีนโยบายด้านผู้ลี้ภัยของรัฐบาลออสเตรเลีย

ในเวลาต่อมา ตำรวจออสเตรเลียแถลงว่าผู้ก่อเหตุครั้งนี้ เป็นชาวออสเตรเลียโดยกำเนิด และไม่พบหลักฐานที่เชื่อมโยงกับกลุ่มหรืออุดมการณ์ทางศาสนาใดๆ โดยตำรวจตั้งข้อสันนิษฐานไว้ว่า คนร้ายมีอาการทางจิต พร้อมสรุปว่าการก่อเหตุดังกล่าวมิได้เกี่ยวเนื่องการกับก่อการร้ายแต่อย่างใด กระแสข่าวบิดเบือนจึงเริ่มค่อยๆ ซาลงไป หลังก่อความเสียหายไว้เรียบร้อยแล้ว 

ทั้งนี้ รายงานระบุว่าหนึ่งใน 6 ผู้เสียชีวิต เป็นชายมุสลิมอายุ 30 ปีนามว่า Faraz Tahir มีอาชีพเป็นยามรักษาความปลอดภัยของห้างสรรพสินค้าใน Bondi Junction และยังมีสถานะเป็นผู้ลี้ภัยจากประเทศปากีสถานด้วย

เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุและช่วยเหลือผู้บาดเจ็บที่ Bondi Junction ใกล้นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2567 (ภาพโดย AFP)

พยานที่เห็นเหตุการณ์ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า Faraz เข้าช่วยเหลือประชาชนในห้างสรรพสินค้าให้หลบหนีจากที่เกิดเหตุและพยายามหยุดยั้งผู้ก่อเหตุด้วย จนตนเองถูกแทงเสียชีวิต ด้านผู้แทนคณะทูตปากีสถานในออสเตรเลียได้กล่าวไว้อาลัยนาย Faraz ว่าเป็นผู้ที่มีความกล้าหาญอย่างยิ่ง

กระแสข่าวบิดเบือนทำให้องค์กรและเครือข่าวชาวมุสลิมต่างแสดงความผิดหวังและวิตกกังวลกับเรื่องนี้ เพราะก่อนหน้านี้ก็มีกรณีการเหยียดหยาชาวมุสลิม หรือนำเสนอภาพชาวมุสลิมว่าเป็น “พวกหัวรุนแรง” เกิดบ่อยครั้งขึ้น โดยเฉพาะในสื่อมวลชนตะวันตกกระแสหลัก ดังที่เรียกว่า “อิสลามโมโฟเบีย” (Islamophobia) 

ก่อนหน้านี้ ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากก็ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ปรากฎการณ์อิสลามโมโฟเบียพุ่งสูงขึ้น หลังการสู้รบรอบล่าสุดระหว่างอิสราเอลกับฮามาสปะทะขึ้นเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566 ซึ่งนำไปสู่การทิ้งระเบิดถล่มฉนวนกาซาครั้งมโหฬารโดยกองทัพอิสราเอล และปลุกกระแสประท้วงในหลายประเทศเพื่อเรียกร้องการหยุดยิง

คนยิวก็โดนป้ายสีด้วย  

ขณะที่ชาวมุสลิมกลายเป็นแพะรับบาปในโซเชียลมีเดีย ก็มีกลุ่มฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาจัดบางส่วน กระพือข่าวลือด้วยว่า ผู้ก่อเหตุไม่ใช่ชาวมุสลิมแต่เป็นคนยิวต่างหาก ถึงขนาดมีการส่งต่อกันในทวิตเตอร์ว่า คนร้ายมีชื่อว่า “Benjamin Cohen” 

และก็ตกเป็นโชคร้ายของชายชาวยิวในออสเตรเลียคนหนึ่ง ที่มีชื่อว่า Benjamin Cohen พอดี เมื่อ “นักสืบอินเทอร์เน็ต” เอาชื่อและภาพของเขาไปแชร์กันว่า เขาเป็นผู้ก่อการร้ายชาวยิวที่ก่อเหตุไล่แทงประชาชนที่ Bondi Junction

เคราะห์กรรมของ Benjamin Cohen (ตัวจริง) ยังไม่จบสิ้น เมื่อสำนักข่าว Seven News ในออสเตรเลีย เอาข่าวลือนี้ไปรายงานต่อในช่วงข่าวด่วนถึงสองครั้ง พร้อมด้วยรูปของนาย Cohen ทำให้เขาและครอบครัวถึงกับช็อก ทำให้เขาต้องตัดสินใจดำเนินคดีกับสำนักข่าว

ต่อมา สำนักข่าว Seven News ได้ออกแถลงการณ์ขอโทษอย่างเป็นทางการ และได้มอบเงินชดเชยให้แก่นาย Cohen เพื่อเป็นการไกล่เกลี่ยแลกกับการยุติเรื่องคดี ซึ่งนาย Cohen ได้ระบุว่าขอให้กรณีของตนเป็นอุทาหรณ์ว่าด้วยการแชร์ข่าวบิดเบือนโดยไม่ตรวจสอบ จนสร้างผลกระทบต่อประชาชนธรรมดาๆอย่างตัวเขาเอง

“ผมรู้สึกผิดหวังอย่างมากที่เห็นผู้คนนับหมื่นๆคน แห่ข้อมูลเท็จส่งต่อกันแบบไม่ฉุกคิดแม้แต่นิดเดียวที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน หรือคำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมาในชีวิตบ้าง” Cohen กล่าวให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ทั้งนี้ รายงานระบุว่าแม้เหตุการณ์ที่ Bondi Junction จะสงบลงแล้วก็ตาม โพสต์ที่กล่าวว่าหา Cohen ว่าเป็นผู้ก่อเหตุยังปรากฎอยู่ตามโพสต์ในทวิตเตอร์ถึง 70,000 ครั้ง 

ด้านองค์กรสภาชาวยิวแห่งออสเตรเลียกล่าวว่า การป้ายสีนาย Cohen มีลักษณะหวังผลสร้างความเกลียดกลัวชาวยิว หรือที่เรียกว่า “antisemitism” ซึ่งมีแนวโน้มเกิดขึ้นบ่อยครั้งเช่นกัน ตั้งแต่ศึกระหว่างอิสราเอลกับฮามาสรอบล่าสุดเปิดฉากเมื่อเดือนตุลาคม 

“พวกเราขอประณามความพยายามใดๆ ที่ยุยงให้เกิดความกลัว ความเกลียดชัง หรือการเลือกปฏิบัติต่อผู้อพยพ ชาวมุสลิม หรือชาวยิว จากเหตุการณ์สะเทือนขวัญครั้งนี้” แถลงการณ์ระบุ 

‘ก่อการร้าย’ หรือ ‘ไอ้คลั่ง’ ใครตัดสิน? 

อีกประเด็นหนึ่งที่ผู้เชี่ยวชาญและนักวิจารณ์ด้านสื่อมวลชนตั้งข้อสังเกตคือ การรายงานข่าวของสื่อมวลชนและการสรุปเหตุการณ์โดยเจ้าหน้าที่ทางการเวลาเกิดเหตุสังหารหมู่ในโลกตะวันตก ดูเหมือนจะแตกต่างกันไปตามเชื้อชาติและศาสนาของผู้ก่อเหตุ ซึ่งกรณี Bondi Junction นี้ก็อาจจะเป็นตัวอย่างหนึ่งได้ด้วย

กล่าวคือ เมื่อเกิดเหตุสังหารหมู่ (ไม่ว่าจะเป็นกราดยิง ไล่แทงผู้คน ฯลฯ) และผู้ก่อเหตุดูเหมือนจะเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลาม หรือมาจากประเทศแถบตะวันออกกลางหรือเอเชีย สื่อมวลชนและทางการมักจะตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนว่าเป็นการก่อการร้าย โดยที่ความรุนแรงนั้นๆ อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นเชื้อชาติหรือศาสนาเลยก็ได้

ในทางกลับกัน เมื่อผู้ก่อเหตุเป็นคนผิวขาว หรือไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลาม สื่อมวลชนและทางการมักจะสรุปโดยรวบรัดเกือบทุกครั้งว่า เป็น “ไอ้คลั่ง” ที่ก่อเหตุเพราะ “อาการทางจิต” แต่กลับละเลยที่จะพิจารณาแรงจูงใจ ของผู้ก่อเหตุคนนั้นๆ ซึ่งอาจมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มการเมืองหรืออุดมการณ์สุดโต่งด้วย

ภาพมุขตลกในอินเทอร์เน็ตล้อเลียนการนำเสนอข่าวของสื่อกระแสหลักในตะวันตก ที่มักจะสรุปว่าผู้ก่อเหตุเป็น “ผู้ก่อการร้าย” หากเป็นคนผิวสี แต่ถ้าหากเป็นคนผิวขาวจะสรุปว่าเป็น “ผู้ป่วยทางจิต”

กรณี Bondi Junction ก็เหมือนกัน นักวิเคราะห์ตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ก่อเหตุดูจงใจพยายามพุ่งเป้าไล่แทงเฉพาะเหยื่อที่เป็นสุภาพสตรีอย่างเดียว (กรณีนาย Faraz Tahir ที่ถูกแทงเสียชีวิต เป็นเพราะผู้ตายพยายามเข้าระงับเหตุและปกป้องผู้หญิงคนอื่นๆ) ซึ่งอาจจะบ่งบอกว่า ผู้ก่อเหตุอาจมีอุดมการณ์หรือความเกลียดชังต่อผู้หญิงเป็นพิเศษขณะก่อเหตุหรือไม่ ดังเช่นในสหรัฐอเมริกา ซึ่งกลุ่มหัวรุนแรงในชุมชนขวาจัดจำนวนมาก มักมีความเชื่อมโยงกับกระแสความเกลียดชังต่อสตรีนิยมด้วย 

เป็นที่มาของเสียงวิจารณ์จากผู้เชี่ยวชาญในวงการสื่อมวลชนว่า การนำเสนอข่าวที่เอนเอียงของสื่อกระแสหลัก สุ่มเสี่ยงที่จะทำให้ “ความสุดโต่ง” หรือความรุนแรงทางอุดมการณ์เป็นเรื่องของคนศาสนาใดคนศาสนาหนึ่ง แต่พอผู้ก่อเหตุเป็นคนอีกกลุ่มหนึ่ง มักถูกนำเสนอให้กลายเป็นเพียงเรื่องของ “อาการทางจิต” เท่านั้น 

เรื่องนี้จึงเป็นอีกปมว่าด้วย “ความรู้เท่าทันสื่อ” (media literacy) ที่ทั้งคนทำงานสื่อมวลชน และประชาชนผู้เสพข้อมูลข่าวสาร ควรตระหนักไว้ด้วยนั่นเอง 

อ่านเพิ่มเติม

Bondi attack triggers false claims 

False claims started spreading about the Bondi Junction stabbing attack as soon as it happened

Sydney stabbing incidents stoke Islamophobia, antisemitism as social tensions in Australia unravel

เฝ้าระวัง ‘Islamophobia’ กระแสความหวาดกลัวทางศาสนาที่ผลิตซ้ำจากข้อมูลลวงออนไลน์


องค์กรนักข่าวไร้พรมแดน รายงานการจัดอันดับเสรีภาพสื่อมวลชนทั่วโลก ไทยเลื่อนอันดับจาก 106 เป็น 87 #ข่าวสามมิติ

ข่าว3มิติ : วันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก

รับขมคลิก

https://www.facebook.com/share/v/JYLuSHYHUqKtSyNc/?mibextid=WC7FNe

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 4 พฤษภาคม 2567

CDS ผสมกับน้ำเกลือ 50cc ใช้หยอดตา ช่วยทำให้ฝ้าขาวในตาหาย มองเห็นได้ชัดขึ้น…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/35k8grork5moh


“พัดลมคล้องคอ” แบรนด์ดัง เสี่ยงมะเร็ง – โรคร้ายอันตราย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2epg3rvpl62te


วิกฤตโลก อากาศสุดขั้ว ไทยร้อนต่อถึง เดือนกันยายน

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/1ocr92z7986ov


   เปลวแดด แผดเผาเอเชีย อากาศร้อนจัดที่สุดในโลก

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2hb9kf71plbd1


   อนุมัติฟรีวีซ่าคาซัคสถาน อยู่ไทยได้เพิ่มอีก 6 เดือนไม่ต้องขอวีซ่า

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1kjlu43nnmp09


ผลข้างเคียงวัคซีนโควิดที่แอสตร้าเซนเนก้า…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/64uxxpn2n18n


Happy World Press Freedom Day! 🫶

ประเด็นสุขภาพ

ภาคีโคแฟคร่วมฉลองวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลกจากไทเปในธีม Freedom Fights Fake!


วาระครบ 5 ปีโคแฟคประเทศไทยที่ได้แรงบันดาลใจจาก Cofacts Taiwan ขอบคุณทุกภาคีที่ร่วมขับเคลื่อนแนวคิด Everyone is a fact-checker!

ส่องข้อกังวล เมื่อสารคดี Netflix ใช้ AI จำลอง ‘ภาพจากอดีต’ 

ธีรนัย จารุวัสตร์ สมาชิก CoFact

อุตสาหกรรมบันเทิงตะวันตกหันมาใช้เทคโนโลยี AI มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดข้อถกเถียงว่าอะไรคือขอบเขตที่เหมาะสมของการใช้ AI ในสื่อบันเทิง หลังเริ่มมีกรณีรายการสารคดีนำเอา “หลักฐานในอดีต” ที่ AI ทำขึ้นเอง มาเสนอราวกับว่าเป็นเรื่องจริง 

ตลอดช่วงปี 2566 อุตสาหกรรมบันเทิงในสหรัฐอเมริกาต้องสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ เมื่อสหภาพคนทำงานสื่อบันเทิง นักเขียนบท และนักแสดง รวมตัวกันหยุดงานประท้วง ติดต่อกันหลายเดือน เพื่อเรียกร้องค่าตอบแทนและสวัสดิการที่เป็นธรรมจากบรรดากลุ่มทุนเจ้าของค่ายหนังและสื่อบันเทิงต่างๆ 

ที่น่าสนใจคือ หนึ่งในประเด็นปัญหาที่นำไปสู่การนัดหยุดงานประท้วงครั้งนี้ คือการที่ผู้บริหารสื่อบันเทิงใช้ ปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence (AI) สร้างผลงานแทนคนทำงานบ่อยครั้งขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังเริ่มมีกรณีบังคับให้นักแสดงรุ่นใหม่ๆ ยินยอมให้ค่ายหนังเก็บภาพและเสียงของตน เพื่อนำไปใช้เป็น AI ในสื่อต่างๆ โดยถือสิทธิ์ขาดแต่เพียงผู้เดียว เป็นต้น

การประท้วงดำเนินต่อเนื่องตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ก่อนจะสิ้นสุดลงในเดือนพฤศจิกายน หลังการเจรจาต่อรองระหว่างสหภาพกับตัวแทนผู้บริหารเป็นผลสำเร็จ แต่ในขณะนั้น ผู้เชี่ยวชาญหลายคนตั้งข้อสังเกตว่าประเด็นการใช้ AI ในอุตสาหกรรมบันเทิง มิได้มีข้อยุติอย่างสมบูรณ์เช่นเดียวกับข้อเรียกร้องอื่นๆ พร้อมเตือนไว้ว่าเรื่องนี้จะกลับมาเป็นปมปัญหาในอนาคตอีกอย่างแน่นอน 

ตัดภาพมาที่ปี 2567 คำเตือนเหล่านั้นดูเหมือนจะกลายเป็นจริง เพราะ AI ยังปรากฎตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในสื่อบันเทิง จนเสมือนว่ากลายเป็นเรื่อง “ปกติ” ไปแล้วก็ว่าได้

สร้างสรรค์หรือขี้เกียจ?

ตัวอย่างหนึ่งของการใช้ AI เมื่อไม่นานมานี้ คือโปสเตอร์โปรโมทภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ “Civil War – วิบัติสมรภูมิเมืองเดือด” ซึ่งได้นำเสนอภาพจินตนาการสภาพบ้านเมืองในสหรัฐอเมริกา หลังเกิดเหตุการณ์สงครามกลางเมืองระหว่างฝ่ายต่างๆ 

แต่เมื่อชาวเน็ตสายตาดีลองเพ่งดู กลับพบว่าโปสเตอร์ดังกล่าวมีรายละเอียดพิลึกๆ เช่น ทหารไม่มีขา, รถยนต์มี 3 ประตู, รูปแบบสถาปัตยกรรมที่ผิดรูปร่าง, หงส์มีสัดส่วนผิดปกติ ฯลฯ จนกระทั่งแหล่งข่าวของค่ายหนังยอมรับกับสื่อมวลชนว่า โปสเตอร์เหล่านี้เป็นผลงานของ AI ตามที่หลายคนสงสัย

ยิ่งทำให้ชาวเน็ตหลายคนเกาหัวกันแกรกๆ เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้งบประมาณในการตลาดและโฆษณาหลายล้านเหรียญสหรัฐ แต่ทำไมค่ายหนังกลับอุตริประหยัดเงิน ด้วยการใช้ AI สังเคราะห์ภาพที่บิดเบี้ยวขึ้นมา แทนที่จะให้ศิลปินทำโปสเตอร์แบบหนังเรื่องอื่นๆ

เหตุการณ์คล้ายๆกัน เกิดขึ้นเมื่อต้นปีนี้ เมื่อแฟนคลับซีรีส์ชื่อดัง “True Detective” ของ HBO สังเกตว่าสิ่งของประกอบฉาก ของฉากหนึ่งในซีรีส์ ดูผิดเพี้ยนแบบแปลกๆ

Props ดังกล่าวคือโปสเตอร์ของวง IVE และวง Metallica แต่กลับเป็นโปสเตอร์ที่ AI สร้างขึ้นมา และผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ ไม่ได้มีความใกล้เคียงกับโปสเตอร์ของจริงแต่อย่างใด เช่น สะกดผิด และภาพก็บิดเบี้ยวด้วย แถมหน้าตาสมาชิกวง Metallica กลับกลายเป็นหน้าของวง KISS อีกต่างหาก 

ด้านคอมเมนต์จากชาวเน็ตจำนวนหนึ่งก็ตั้งคำถามว่า ทำไมผู้ผลิตรายการถึงต้องใช้ AI ทำภาพขึ้นมา แทนที่จะใช้ภาพของจริง (ซึ่งหาได้ทั่วไปในอินเทอร์เน็ต)

“อันนี้ดูขี้เกียจโคตรๆ” ผู้ใช้ Reddit คนหนึ่งแสดงความเห็น

สารคดีกับความจริง(ที่ทำขึ้น)

การใช้ AI ในสื่อบันเทิงยังดูเหมือนจะยิ่ง “ข้ามเส้น” ไปอีกขั้น พร้อมกับสารคดีของ Netflix เรื่อง What Jennifer Did

สารคดีดังกล่าวนำเสนอชีวประวัติของ Jennifer Pan หญิงชาวแคนาดาที่กลายเป็นผู้ต้องหาในคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญ หลังจากที่เธอและแฟนหนุ่มจ้างมือปืนให้สังหารบิดาและมารดาของตนเอง เพราะความโลภอยากได้เงินมรดกจำนวนมหาศาล เหตุเกิดเมื่อปี 2553

อย่างไรก็ตาม มีชาวเน็ตตาดี (อีกแล้ว) สังเกตว่าสารคดีดังกล่าว เอาภาพที่ AI ทำขึ้น มาใช้ประกอบในฉากที่อ้างว่าเป็นภาพในอดีตของ Jennifer Pan

ดังนั้น เหตุการณ์นี้จึงถือว่า “ข้ามเส้น” ไปยิ่งกว่าหลายกรณีอื่นๆ เพราะ (1) กรณีอย่าง Civil War และ True Detective เป็นผลงานบันเทิง ซึ่งผู้ชมทราบดีว่าไม่ได้เกิดขึ้นจริง แต่กรณีของ What Jennifer Did เป็นสารคดี ซึ่งผู้ชมคาดหวังว่าข้อมูลต่างๆ ต้องเป็นเรื่องจริง และมีความถูกต้อง

(2) ในขณะที่กรณี Civil War และ True Detective ที่นำเอา AI มาใช้ผลิตผลงานด้านการตลาด หรือผลิตของประกอบฉาก แต่ในกรณีของ What Jennifer Did ถือได้ว่าเป็นการใช้ AI สร้างข้อมูลหลักฐานในอดีตขึ้นมาใหม่ทั้งหมดเลยทีเดียว นับเป็นมาตรฐาน “ใหม่” ของวงการสารคดีก็ว่าได้ 

เทียบเท่าได้กับว่า สมมติมีสารคดีเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ แต่ผู้ทำสารคดีกลับใช้ AI สร้างภาพหรือคลิปเก่าๆ แล้วนำเสนอว่าเป็นเหตุการณ์จริงในอดีต แทนที่จะค้นคว้าหาภาพหรือคลิปจากประวัติศาสตร์จริงๆ

นอกจากนี้ หลายคนยังวิจารณ์ว่านอกจาก Netflix จะทำผิดกระทงแรกด้วยการเอา AI มาใช้ในสารคดีแล้ว ยังทำผิดกระทงที่สองด้วย นั่นคือไม่ได้เปิดเผยว่าภาพที่นำมาใช้ประกอบในสารคดี ไม่ได้เป็นภาพจริงๆ ต่างจากการทำสารคดีทั่วๆไป ซึ่งถ้าหากมีการจำลองเหตุการณ์ หรือทำภาพและคลิปเหตุการณ์ขึ้นมาใหม่ จะขึ้นคำเตือนให้ผู้ชมได้รับทราบ 

กรณีดังกล่าวไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้ผลิตสารคดีทดลองการใช้คอนเทนต์จาก AI โดยก่อนหน้านี้เมื่อปี 2564 สารคดีเรื่อง “Roadrunner: A Film About Anthony Bourdain” เกี่ยวกับเชฟชื่อดัง Anthony Bourdain ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักมาแล้ว เพราะใช้เทคโนโลยี “deepfake” สร้างเสียงพูดของ Bourdain ขึ้นมาเอง เพื่อใช้ประกอบสารคดี และไม่ได้แจ้งให้ผู้ชมได้รับทราบว่าเป็นการใช้เทคโนโลยี ไม่ใช่เสียงของเชฟ Bourdain จริงๆ

ในครั้งนั้น ผู้กำกับสารคดีอ้างว่าได้ปรึกษากับครอบครัวของ Bourdain แล้ว รวมถึงอดีตภรรยาของเชฟคนดังกล่าวด้วย และทุกคนยินยอมให้สารคดีทำเสียงจำลองขึ้นมา แต่ปรากฎว่าอดีตภรรยาของ Bourdain เองยืนยันว่า ตนเองไม่เคยให้คำยินยอมตามที่ผู้กำกับกล่าวอ้าง

AI ความบันเทิง และความโปร่งใส

ด้วยกระแส AI ที่กำลังมาแรงตอนนี้ กรณีการใช้ AI ในธุรกิจบันเทิง คงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงยาก และที่น่ากังวลคือในขณะนี้ยังไม่มีมาตรฐานหรือจริยธรรมที่ผู้ผลิตสื่อบันเทิงตกลงร่วมกัน ว่าด้วยขอบเขตของการใช้ AI อย่างเหมาะสม

ทั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคโนโลยี AI มีศักยภาพอย่างมากในการช่วยให้คนทำงานสื่อบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์หรือสารคดี สามารถทำงานได้ง่ายและประหยัดเวลามากขึ้น 

แต่ผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่งก็ได้เริ่มเตือนเช่นกันว่า ถ้าหาก AI นำเอามาใช้ผิดวิธี หรือประหยัดงบประมาณ หรือใช้แทนคนทำงาน ก็จะกลายเป็นผลร้ายต่อวงการสื่อบันเทิงเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพงานที่ต่ำลง การเลิกจ้างงานหรือกดราคาคนทำงานโดยไม่เป็นธรรม หรือแม้กระทั่งกระทบต่อความน่าเชื่อถือของผลงานนั้นๆเอง

“ตอนนี้พวกเราก็ถูกกดันในเรื่องงบประมาณกันอยู่แล้ว” Dawn Porter ผู้กำกับภาพยนตร์ ให้สัมภาษณ์กับ Variety “พวกบริษัททีวีกับสตรีมเมอร์ชอบมาหาเราแล้วก็ถามว่า ‘คุณทำงานโดยใช้งบประมาณน้อยลงได้มั้ย?’ แต่วิธีเดียวที่จะทำให้งานนั้นใช้งบประมาณนั้นน้อยลงได้ ก็คือต้องตัดคนออก เพราะส่วนที่ใช้เงินมากที่สุดในการทำภาพยนตร์คือ ค่าจ้างงาน

“เพราะฉะนั้น ถ้าผมเอาเครื่องจักรมาใช้ทำงานแทนคนเขียนบท หรือผู้ช่วยโปรดิวเซอร์ แน่นอนว่าผมจะสามารถประหยัดงบประมาณได้อยู่แล้ว แต่ก็หมายความว่าสิ่งที่เสียไปก็คือคนทำงาน ซึ่งเป็นเรื่องไม่ดีสำหรับอุตสาหกรรมของเรา และหมายความว่าคุณภาพงานก็จะลดต่ำลงด้วย”

ด้านผู้กำกับอีกคนหนึ่ง Andrew Rossi ระบุว่าตนเคยใช้ AI ในผลงานมาแล้วในสารคดีเกี่ยวกับศิลปิน Andy Warhol โดยใช้ AI สร้างเสียงของ Warhol ขึ้นมาเช่นกัน แต่ขณะเดียวกัน ตนก็เปิดเผยให้ผู้ชมได้รับทราบเกี่ยวกับการใช้ AI และได้รับความยินยอมอย่างเป็นทางการจากทายาทของศิลปินคนดังกล่าวแล้วด้วย 

ดังนั้น Rossi จึงมองว่าอุตสาหกรรมบันเทิงสามารถใช้ AI ได้ในโอกาสที่เหมาะสม แต่สิ่งที่ละเลยไม่ได้เลยคือ “ความโปร่งใส” 

“ทางที่ดีที่สุดคือต้องทำอย่างจริงจัง ต้องแสวงหาคำปรึกษา และ – อันนี้สำคัญที่สุด – คุณต้องเปิดเผยอย่างชัดเจนกับผู้ชมของคุณ” Rossi กล่าวสรุป ซึ่ง Porter ก็เห็นด้วยในประเด็นนี้ 

“ผมเคยทำงานที่สำนักข่าว ABC News และเจ้านายผมย้ำอยู่ตลอดว่า ถ้าสาธารณชนไม่ไว้ใจเราอีกต่อไป เราก็จบเห่” Porter กล่าว “ผมคิดว่าสารคดีก็อยู่ในจุดนี้เหมือนกัน ผมคิดว่าตอนนี้เราควรมาตั้งหลักแล้วคิดกันใหม่จริงๆจังๆว่า อะไรคือสารคดีกันแน่?” 

อ่านเพิ่มเติม

Doc Filmmakers Debate Growing Use of AI in Non-Fiction Projects: ‘We Are Supposed to Be the Truth’

Netflix doc accused of using AI to manipulate true crime story 


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 27 เมษายน 2567

นอนตะแคงเล่นมือถือ ทำให้สายตาเอียง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2fdzunb1q2ehe


ผลิตภัณฑ์ Firmax-3 เป็นครีมมหัศจรรย์ รักษาสารพัดโรค …จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2c4awgj030o0e


2 นาที คลายร้อนให้รถ เมื่อจอดรถตากแดดนานๆ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2bhumf2u8gw1e


กระดาษทิชชู ทำให้ไฟไหม้ในรถได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/kn69ligctjlj


   สั่งดำเนินการให้เครื่องครัว stainless เป็นสินค้าควบคุม 7 รายการ หวั่นโลหะหนักปนเปื้อน

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/lshr6ml7wfel


  กรุงไทยช่วยข้าราชการกลุ่มเปราะบาง ปล่อยสินเชื่อรวมหนี้ข้าราชการ ยั่งยืน

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3vshmzyflkrfe


  เตรียมคืนเงินที่เหลือในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นเงินสดผ่านบัญชีพร้อมเพย์

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3udj8nlxjegma


เตือน ขับรถร้อน ๆ ระวังโดนสาดน้ำเย็น ทำกระจกรถแตกได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/paz3x3881nlx


“มะเร็งลำไส้” มะเร็งอันดับ 3 ของไทย …จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2fi5dascc1tvv


กสทช. ย้ำ เครื่องหมาย + นำหน้าเบอร์โทร รู้ไว้…ให้ระวัง เป็นเบอร์ที่โทรจากต่างประเทศ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/33f63eqzrf8op


จากศาสนาถึงวิทยาศาสตร์! ‘มีสติ-ตั้งคำถาม-ตรวจสอบข้อมูล’ หลักคิดป้องกันภัย ‘ข่าวลวง’

Editors’ Picks

เมื่อเร็วๆ นี้ ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) และองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เปิดวงเสวนา “การรับมือกับข้อมูลลวงทั้งมวล ด้วยมิติทางจิตวิญญาณ” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานสัมมนาระดับชาติเนื่องในวันตรวจสอบข่าวลวงโลก 2567 (International Fact-Checking Day 2024)ภายใต้ธีมงาน “Cheapfakes สู่ Deepfakes: เตรียมรับมืออย่างไรให้เท่าทัน” ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร พร้อมถ่ายทอดสดผ่านเพจเฟซบุ๊ก “Cofact โคแฟค” และช่องยูทูบ “Thai PBS”

พระมหานภันต์ สนฺติภทฺโท ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร และประธานกรรมการ มูลนิธิสถาบันการจัดการวิถีพุทธเพื่อสุขและสันติ (สกพ.) กล่าวว่า การรับมือข่าวลวง จะมีทั้งคนที่รู้และไม่รู้ ซึ่งคนที่ไม่รู้จะถูกกระทบ ดังนั้นต้องมี Mindfulness (การมีสติ) ซึ่งไม่ควรเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล แต่ควรเป็นเรื่องทั้งสังคม ดังนั้นจึงอนุโมทนากับโคแฟคที่สร้างชุมชนที่ทุกคนสามารถเป็นผู้ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลได้

ทั้งนี้ ชีวิตของคนเรา คือ เสียงสะท้อนของสิ่งที่เราคิด พูด และทำ และเราล้วนอยู่ในห้องเสียงสะท้อน (Echo Chamber) ที่เรียกว่า สังคม ซึ่งมีวัฒนธรรม ศาสนา ความเชื่อ หลายอย่างที่ทำให้เราคิด-เราพูด แล้วก็สะท้อนกลับมาที่ตัวเรา สิ่งที่ควรทำ คือ การทำลายห้องเสียงสะท้อนที่ทำให้เราคิดและเชื่อไปทางเดียวกันโดยไม่ได้ฟังความต่างเพราะสภาวะดังกล่าวจะทำให้ข่าวลวงหรือข้อมูลที่ไม่เป็นจริงได้ผล และสุดท้ายก็จะทำลายเรา

“บางทีข่าวลวงไม่ได้ทำลายเฉพาะปัจเจกบุคคลที่เชื่อว่า มะนาวโซดาช่วยแก้มะเร็งได้ แต่บางครั้งมันไปถึงการทำให้คนเชื้อชาตินี้ ศาสนานั้น คนภาคนั้นภาคนี้เกลียดกัน แล้วสุดท้ายก็ห้ำหั่นบีฑากัน ทั้งหมดนี้เกิดจากภาวะที่ทั้งตัวคนและตัวสังคมไม่มีกลไกในการรับรู้ต่อสู้กับข่าวลวง ฉะนั้นมุมของอาตมาที่อยากจะฝาก คือ พระพุทธเจ้าตรัสว่า สติ เตสัง นิวารณัง สติเป็นเครื่องมือที่จะปิดกั้นกระแสของกิเลส ความเชื่อความเข้าใจผิด ๆ ทิฐิที่ไม่ถูกต้อง ตลอดจนการประพฤติผิดทั้งทางการพูด การคิด การลงมือทำ ดังนั้นจึงใช้สติในการช่วยรับข้อมูลข่าวสาร ด้วยพุทโธ-รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ตื่น-ทำในสิ่งที่ตัวเองรู้ และรับส่งข้อมูลด้วยความเบิกบาน” พระมหานภันต์ กล่าว

บาทหลวงอนุชา ไชยเดช ผู้อนวยการสื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย กล่าวว่า ในศาสนาคริสต์มีคำสอนว่า เมื่อเราอยู่กับผู้คน เราต้องฟังด้วยหัวใจ” หมายถึง ไม่ใช่เพียงการฟังด้วยหู แต่ต้องแปลสารที่ได้รับฟังนั้นด้วยหัวใจของเรา ดังนั้นการอยู่ในสังคมที่มีทั้งข่าวจริงและข่าวลวง สิ่งแรกคือการเริ่มที่ตัวเรา ด้วยการฟังที่หัวใจและสัมผัสให้ได้ แล้วเวลาสื่อสารอย่าพยายามเป็นอีกคนหนึ่งที่เผยแพร่ข่าวลวงหรือข่าวที่ทำให้ไม่เกิดสันติสุข

“เราจะต้องมีโคแฟคอีกกี่หน่วยงานที่ลุกขึ้นมาต่อต้านความลวงโลก แต่ถ้าเรามีตัวตนของเราที่มี Wisdom (ปรีชาญาณ) ฟังด้วยหัวใจ เราอาจจะไม่นับถือใคร แต่อย่างน้อยนับถือตัวเองที่จะต้องสื่อสารที่ดี ศาสนาคริสต์จึงสอนให้รักเพื่อน-พี่น้อง เพราะฉะนั้นเราจึงปฏิบัติต่อพี่น้องด้วยสิ่งที่เราอยากให้เขาปฏิบัติต่อเรา” บาทหลวงอนุชา กล่าว 

อันธิกา เสมสรร ผู้แทนเครือข่ายสื่อมุสลิมเชียงใหม่ กล่าวว่า ในหลักคิดของศาสนาอิสลามมีโองการขององค์อัลเลาะห์ที่กล่าวไว้ว่า พระองค์ได้สร้างมนุษย์ด้วยรูปลักษณ์ที่สวยงามพร้อมกับให้สติปัญญาที่ดีสำหรับการไตร่ตรอง และเราเชื่อว่า ทุกการกระทำ คำพูด หรือแม้แต่ความคิดจะถูกบันทึกเสมอ ทั้งความดีและความชั่ว นอกจากนั้น ท่านศาสดายังมีคำสอนที่ว่า หากเราไม่สามารถพูดในสิ่งที่ดีได้ก็จงนิ่งเสีย นี่คือสิ่งที่มุสลิมทุกคนพึงตระหนัก

“สิ่งที่เราจะสื่อสารออกไป ในมุมของคนที่จะสร้างข่าวลวงหรือส่งต่อสิ่งที่เกิดความเสียหายกับคนอื่น ถ้าเราเชื่อในคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้ากับคำสอนของท่านศาสดา มันก็จะช่วยให้เรายับยั้งตัวเราในการที่จะส่งต่อสิ่งที่ไม่ดี กับอีกอันหนึ่งที่เป็นโองการจากพระอัลเลาะห์ คือ ถ้ามีคนชั่วคนใดคนหนึ่งบอกกล่าวข่าวสารที่ไม่ดี แล้วเราไม่สอบสวน แล้วส่งต่อข่าวสารที่ไม่ดีนั้น จนเกิดความเสียหายกับคนอื่น นั่นคือ เราต้องรับผิดชอบเท่ากับคนที่ส่งต่อมาให้เรา เพราะพระองค์ให้สติปัญญามาแล้วหมายความว่า เมื่อเราได้รับข่าวสารมา เราจะต้องทำการตรวจสอบข้อมูลก่อน จึงจะส่งต่อข้อมูลนั้นไปให้ผู้อื่นได้” อันธิกา กล่าว

ธนิสรา เรืองเดช CEO และผู้ร่วมก่อตั้ง PUNCH UP กล่าวว่า งานที่ตนทำเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Science) ซึ่งเมื่อมองข้อมูลข่าวสาร อย่างแรกที่มองคือ Pool of Resource หมายถึง ของที่มีอยู่ทั้งหมด ส่วนจะดี-ไม่ดี หรือจริง-ไม่จริงอย่างไรค่อยจำแนก ซึ่งเปรียบเทียบได้กับการเดินเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ต การมีสินค้าให้เลือกจำนวนมากนั้นย่อมดีกว่าไม่มีอะไรให้เลือกเลย

ส่วนการนิยามคำว่า ความจริง-ความลวงเป็นสิ่งที่เราต้องถกเถียงกัน อย่างในมุมของวิทยาศาสตร์ก็ถกเถียงว่า ความจริงนั้นมีเพียงหนึ่งเดียวจริงหรือไม่? หรือเป็นเพียงความจริงเฉพาะ ณ เวลานั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป การมีเทคโนโลยีหรือวิธีวิจัยที่ดีขึ้น ก็อาจมีความจริงอีกชุดหนึ่งเกิดขึ้นได้ ในทางกลับกัน หลายครั้งความลวงก็ไม่ได้เกิดขึ้นโดยตั้งใจ แต่มาจากความไม่รู้หรือความเชื่อว่าเป็นแบบนั้น จึงสรุปออกมาเป็นหลักสำคัญ 4 ประการ คือ

1. มีสติในการรับรู้ (Mindfulness) หมายถึง เมื่อรับรู้หรือได้ข้อมูลอะไรมา อย่าเพิ่งจบเพียงตรงนั้นหรืออย่าเพิ่งเชื่อในทันที ควรใส่เครื่องหมายคำถามให้ตั้งคำถามกับข้อมูลนั้น เช่น มันเป็นแบบนั้นหรือไม่? มีทางอื่นอีกหรือเปล่า? หรือก็คือการคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) 2. หาคำตอบ (Prove)อย่างในมุมของวิทยาศาสตร์ข้อมูล ก็ต้องไปเรียนรู้ว่ามีเครื่องมืออะไรบ้าง อย่างโคแฟคก็เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งในการหาความรู้ของคนมารวมกัน ซึ่งไม่ได้หมายความว่า เสียงข้างมากคือความจริง แต่เป็นการหาความเป็นไปได้ รวมถึงทำให้เห็นว่าคนที่เชื่อในความจริงชุดอื่น ๆ เขามีเหตุผลเบื้องหลังอย่างไร 

3. สร้างการรู้เท่าทัน (Literacy) การแบ่งปันความรู้และการทำความเข้าใจกับกลไกการทำงานของสิ่งนั้นหรือกลลวงที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร เช่น เคยมีคนใกล้ตัวตกเป็นเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สิ่งที่เขาทำได้คือ แชร์ประสบการณ์กับคนรอบข้างว่าไปทำอย่างไรถึงถูกหลอก ซึ่งการทำงานเรื่องความจริงความลวงก็เช่นเดียวกัน คือ การนิยามว่าอะไรคือความจริง-ความลวง หรือมีจุดประสงค์ที่ใช้เป็นอย่างไร 

และ 4.รู้เท่าทันอารมณ์ตนเอง (Emotional Awareness) สังเกตความรู้สึกของตนเอง

อย่าง “บางทีเรารู้ว่ามันอาจจะไม่ได้จริง 100% แต่เราอยากเชื่อ ทำไมเราถึงไปหาหมอดูคนเดิมทั้งๆ ที่เราไม่รู้ว่าแม่นหรือเปล่า แต่เราบอกเขาแม่นเพราะว่าเขาพูดในสิ่งที่เราอยากได้ยิน คิดว่าข้อมูลข่าวสารคล้าย ๆ กัน บางทีเราจมอยู่กับสิ่งที่เราอยากได้ยินมากกว่าสิ่งที่มาตั้งคำถามกับสิ่งที่เชื่อของเรา” ธนิสรา กล่าว

ธนกฤต ศรีวิลาศ เจ้าของช่อง The Principiaกล่าวว่า ในทางวิทยาศาสตร์มีการแบ่งชั้นข้อมูลเป็น 2 ระดับ คือ ข้อมูลปฐมภูมิ เป็นข้อมูลที่นักวิจัยลงพื้นที่ไปเก็บข้อมูลและศึกษาด้วยตนเอง เป็นข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือสูง กับ ข้อมูลทุติยภูมิเป็นการนำข้อมูลปฐมภูมิที่นักวิจัยทำไว้แล้วมาบอกเล่าต่อ ความน่าเชื่อถือก็อาจเชื่อไม่ค่อยได้ หรืออาจเชื่อถือได้หากมีหลักฐานอื่น ๆ มาสนับสนุน เช่น เปรียบเทียบจากผลการศึกษาหลายๆ ชิ้น

ดังนั้นเมื่อไปดูข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์ หลายครั้งเป็นข้อมูลที่ถูกส่งต่อกันมาหลายทอด ความน่าเชื่อถือก็อาจลดทอนลง อย่างไรก็ตาม แม้กระทั่งข้อมูลปฐมภูมิก็ใช่ว่าจะน่าเชื่อถือไปเสียทั้งหมดเช่น เคยมีนักวิจัยชาวญี่ปุ่นเคยเผยแพร่งานวิจัยที่อ้างว่าสามารถเปลี่ยนเซลล์ของหนูให้กลายเป็นสเต็มเซลล์ได้ แต่เมื่อนักวิจัยคนอื่น ๆ ลองนำวิธีการนั้นไปใช้กลับพบว่าไม่สามารถทำได้ จนเมื่อไปตรวจสอบย้อนหลังก็พบว่า งานวิจัยถูกตีพิมพ์ไปทั้งที่ไม่ใช่เรื่องจริง

จริง ๆ แล้ววิทยาศาสตร์หลักการของมันเลยคือเราจะต้อง Falsification ได้ หมายถึง เราจะต้องตรวจว่ามันผิดได้ ไม่ใช่ตรวจว่ามันถูก หมายถึง ถ้าเราดูข้อมูลแล้วเราพยายามจับผิดมันเพื่อหาข้อมูลว่ามันมีตรงไหนที่ผิดหรือเปล่า? หรือมันมีหลักฐานสนับสนุนครบถ้วนทุกส่วนเลย เพราะอย่างนี้มันถึงได้มีการต่อยอดงานวิจัยได้เรื่อย ๆ ว่าถ้าเกิดเจอช่องโหว่ของงานวิจัยก่อนหน้า เราก็จะทำการวิจัยต่อยอดจากงานวิจัยเดิม ๆ ได้ ในขณะเดียวกันการตรวจสอบข้อมูลจากหลาย ๆ แหล่งที่ตรงกันก็อาจนำไปสู่คำตอบที่น่าเชื่อถือได้ ธนกฤต กล่าว

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

วันตรวจสอบข่าวลวงโลกปี’67 ‘มิจฉาชีพออนไลน์’เรื่องใหญ่น่าห่วง ส่ออันตรายขึ้นในยุค‘Deepfake’

Editors’ Picks

เมื่อเร็วๆนี้ ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) และองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้จัดงานสัมมนาระดับชาติเนื่องในวันตรวจสอบข่าวลวงโลก 2567 (International Fact-Checking Day 2024) ภายใต้ธีมงาน “Cheapfakes สู่ Deepfakes: เตรียมรับมืออย่างไรให้เท่าทัน” ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร พร้อมถ่ายทอดผ่านเพจเฟซบุ๊ก “Cofact โคแฟค” และช่องยูทูบ “Thai PBS”

รองศาสตราจารย์ ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวว่า ข่าวลวงหรือข่าวปลอมก็เหมือนกับเชื้อโรค เช่น ในสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 สมมติมีคำถามว่าโควิดจะแก้อย่างไร ในช่วงแรกบอกว่าล้างมือให้สะอาดเพื่อฆ่าเชื้อโรค แต่จริง ๆ แล้วทำอย่างไรเชื้อโรคก็ไม่หมดเพราะมันมีเยอะมาก หรือสวมหน้ากากปิดปาก-จมูกเพื่อไม่ให้แพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น ก็เหมือนกับตัวเราไม่เป็นผู้แพร่กระจายข่าวปลอม แต่สุดท้ายก็ต้องฉีดวัคซีนสร้างภูมิต้านทาน

“ผมว่าภูมิต้านทานของคนสำคัญที่สุด ถ้าคนมีภูมิต้านทานโอกาสที่ข่าวปลอมมันจะทำร้ายเรา มันจะน้อยลง เราอาจจะไปไล่กำจัดข่าวปลอมไม่ได้หมดหรอก เพราะว่ามันมีเยอะเหมือนกับเชื้อโรค แต่สุดท้าย ถ้าคนมีภูมิต้านทานก็จะทำให้เราสามารถป้องกันเชื้อโรคร้ายได้” ผู้ว่าฯ กทม. กล่าว

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า เวทีครั้งนี้เป็นการมาพูดคุยกันว่า จะทำอย่างไรให้ทุก ๆ คน เป็นผู้ตรวจสอบข่าวลวง ซึ่งในวันที่ 2 เมษายนของทุกปีเป็นวันตรวจสอบข่าวลวงของโลก โดยเลือกวันที่ต่อจากวันที่ 1 เมษายน ซึ่งเป็นวัน April Fool’s Day หรือวันข่าวลวงของโลก เพื่อตรวจสอบว่าเมื่อวันข่าวลวงผ่านพ้นไปมีข่าวลวงเรื่องใดผ่านเข้ามาบ้าง ทุกคนจึงต้องมาช่วยกันทำเรื่องนี้ โดยเฉพาะกรณีการหลอกลวงทางออนไลน์มิจฉาชีพจะมุ่งเจาะเป้าหมายทุกคนที่อ่อนแอ มีภูมิต้านทานข่าวลวงต่ำ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมารวมพลังกันเพื่อสร้างเกราะป้องกันจากข่าวลวง เพราะหากคนที่อ่อนแอหลาย ๆ คนมารวมกันก็จะเกิดความเข็มแข็งขึ้นมาได้

อย่างไรก็ตาม มีรายงานจาก Whoscall แอปพลิเคชั่นระบุตัวตนสายเรียกเข้าที่ไม่รู้จักและป้องกันสแปม พบว่า ประเทศไทยถูกหลอกลวงเป็นอันดับ 1 ในทวีปเอเชีย โดยแต่ละคนจะได้รับ SMS หลอกลวงเฉลี่ย 20 ข้อความต่อคนต่อปี และในปี 2566 อัตราการหลอกลวงเพิ่มขึ้นร้อยละ 18 หรืออยู่ที่ 79 ล้านครั้ง หมายความว่า มิจฉาชีพมีความพยายามหลอกลวงเอาทรัพย์สินจากเหยื่อให้ได้มากขึ้น ดังนั้นเราจึงต้องยิ่งรวมกลุ่มกันให้เข้มแข็งมากขึ้น ซึ่งตนเห็นว่า โคแฟคเป็นจุดตั้งต้น ขณะที่ สสส. ก็พยายามสนับสนุน แต่ทุกภาคส่วนต้องลุกขึ้นมาร่วมมือกัน ไม่ว่าจะเป็น ประชาชน มหาวิทยาลัย นักวิชาการ และภาคประชาสังคมต้องร่วมกันสร้างความเข้มแข็ง สร้างจิตอาสาเพื่อร่วมกันช่วยเหลือในการตรวจสอบข่าวลวง และช่วยป้องกันคนที่อาจจะอยู่ในความเสี่ยงในการรับข่าวสารต่าง ๆ เช่น กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มผู้ที่อยู่ห่างไกลข้อมูล เป็นต้น

สสส. ได้ทำงานร่วมกับทีมโคแฟคตั้งแต่ปี 2563 และต้องขอบคุณอาจารย์หลาย ๆ ท่านที่ทำโครงการนี้ เพราะเครือข่ายที่สร้างขึ้นมานี้ ทำให้ สสส. ได้อาศัยเครือข่ายในการที่จะช่วยกันตรวจสอบข่าว  ซึ่งการมีส่วนร่วมดังกล่าวสำคัญอย่างยิ่ง นพ.พงศ์เทพ กล่าว

จากนั้นจึงเข้าสู่ช่วง Lightning Talks ในหัวข้อภาพรวมการตรวจสอบข้อมูลลวงในรอบปี 2566ประกอบด้วย วิทยากร 5 ท่านที่ร่วมให้มุมมอง ได้แก่ ศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ เจ้าของเพจ อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์เปิดเผยว่า สิ่งที่พบในรอบปีที่ผ่านมา คือ ข่าวปลอมที่พบและได้โพสต์อธิบายชี้แจง มากกว่าครึ่งเป็นเรื่องเดิม ที่ถูกแชร์วนซ้ำกลับมาใหม่ วนกลับมาทุกปีบ้าง หรือบางครั้งก็กลับมาแชร์ใหม่ในรอบ 10 ปี 

ขณะที่เนื้อหาข่าวลวงหรือข่าวปลอมที่พบได้บ่อยๆ คือ ข่าวที่เป็นเรื่องใกล้ตัว เช่น เรื่องสุขภาพ เพราะผู้พบเห็นจะเกิดความตกใจและอยากแชร์ต่อ แต่เนื้อหาที่สร้างผลกระทบต่อสังคมอย่างมาก คือ ข่าวปลอมประเภทแอบอ้างบริษัทที่มีชื่อเสียงเพื่อชักชวนให้ลงทุน เพราะเป็นเนื้อหาที่ทำให้ผู้หลงเชื่อสูญเสียทรัพย์สิน ซึ่งสังเกตว่า แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์อย่างเฟซบุ๊ก นอกจากจะไม่ช่วยนำเนื้อหาทำนองนี้ออกจากระบบแล้วยังเหมือนกับสนับสนุนการเผยแพร่เสียด้วยซ้ำไป 

“พวกนี้มักจะเป็นโพสต์ที่มีสปอนเซอร์หมดเลย แม้จะช่วยกันรีพอร์ตอย่างไรมันก็ไม่ออกไป เป็นสถานการณ์ที่น่าห่วงในรอบปีที่ผ่านมา ตัวแพลตฟอร์มเองทำให้เราเจอข่าวปลอม ส่วนหนึ่งที่ใกล้ชิดประชาชนอาจจะไม่ได้อยู่ในโลกโซเชียล คือกลุ่ม SMS หลอกลวง คอลเซ็นเตอร์ต่าง ๆ พวกนี้ผลกระทบสูงมาก เฉพาะที่ผมเจอกับตัวเองแล้วเอาไปโพสต์ให้ดูว่าผมเจออย่างนี้ชาวบ้านเจอไหม? เจอกันทุกคน ข่าวปลอมที่น่าห่วงคือ เรื่องที่ทำให้สูญเสียทรัพย์สิน ในช่วงรอบปีที่ผ่านมาถือเป็นอันที่เด่นชัดและอันตรายมาก” รศ.ดร.เจษฎา กล่าว

นอกจากนี้ รศ.ดร.เจษฎา ยังให้ข้อมูลว่า แหล่งที่มาของข่าวปลอมที่มาจากผู้ที่ได้รับความน่าเชื่อถือในสังคม ไม่ว่าจะเป็น หมอ อาจารย์ หรือ อินฟลูเซอร์จากแพลตฟอร์มต่าง ๆ ถือเป็นสิ่งที่น่ากังวลไม่น้อย เช่น ข่าวต่อต้านดื่มนมที่มีที่มามาจากกลุ่มแพทย์ทางเลือกที่มีชื่อเสียงและศรัทธาในสังคม รวมทั้งข่าวปลอมที่สร้างขึ้นมาจากปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่คนยังไม่สามารถแยกแยะความจริงกับความลวงออกจากกันได้จากข่าวเหล่านั้นได้

 

ณัฐกร ปลอดดี ผู้ตรวจสอบข่าวประจภูมิภาคเอเชียแปซิฟิ สนักข่าว AFP กล่าวถึง การตรวจสอบข่าวลวง อย่าง ภาพที่ถูกดัดแปลงหรือถูกสร้างด้วยปัญญาประดิษฐ์แล้วเผยแพร่ออกไปหากเทียบระหว่างการโพสต์ภาพธรรมดา กับการโพสต์ภาพที่มาพร้อมกับคำบรรยาย หรือโพสต์ที่ถูกแชร์ออกไปโดยคนที่ทำงานสื่อ แบบใดจะส่งผลกระทบต่อสังคมมากกว่ากัน ดังนั้นสื่อจึงต้องทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact-checker) ที่มาของข้อมูล และต้องคัดกรอง (Gatekeeper) ระหว่างข้อมูลที่ดีกับข้อมูลที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน

“เมื่อสื่อกระแสหลักให้พื้นที่กับข้อมูลพวกนี้ เท่ากับเป็นการอนุญาตให้ข้อมูลชุดนี้ขึ้นไปสู่ Highway (ถนนสายหลัก) แล้วก็มีการแชร์กันต่ออย่างรวดเร็ว อีกประเด็นที่กลับมาอีกครั้งในปีนี้ ก็คือ ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับวัคซีน อาจจะโยงไปถึงเรื่องทฤษฎีสมคบคิด และหากสื่อหลักโดยเฉพาะสื่อที่มียอดผู้ติดตามอย่างต่อเนื่องสูงๆ ให้พื้นที่กับข้อมูลเหล่านี้ จะยิ่งขยายไปอย่างเร็วเร็วมากและ Fact-check ที่ตามตรวจสอบ Viral (การแพร่กระจาย) ไม่เท่ากับตัวข้อมูลชุดที่ผิดแน่นอน” ณัฐกร กล่าว

ดร.สันติภาพ เพิ่มมงคลทรัพย์ รองผู้อนวยการศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า ในช่วงแรกของการเปิดศูนย์ฯ ซึ่งอยู่ในช่วงที่มีสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งมีข่าวปลอมที่เกี่ยวกับโควิดจำนวนมาก จากนั้นก็จะมีข่าวที่เกี่ยวกับอาหารเสริม แต่ปัจจุบันภัยที่เกิดขึ้น  มากไปกว่าข่าวปลอมแล้ว คือ การหลอกลวงทางออนไลน์หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทำให้ระยะหลัง ๆ จะมีข้อมูลเหล่านี้เข้ามาให้ศูนย์ฯ ช่วยตรวจสอบมากขึ้น และส่วนใหญ่เป็นการแอบอ้างหน่วยงานภาครัฐ 

ส่วนใหญ่จะเป็นข่าวที่ส่งมาเป็น Link โดยที่มิจฉาชีพจะส่ง Link ไปให้กลุ่มเป้าหมายด้วยการอ้างว่ามาจากกรมที่ดิน เมื่อเป้าหมายเห็นแล้วอยากรู้ว่าใช่กรมที่ดินจริงหรือไม่ ก็กดเข้าไปดู แล้วก็พบว่า หน้าเว็บไซต์เหมือนเว็บจริงของกรมที่ดินแทบทุกอย่าง ต่างก็แต่เพียง URL ของ Link ที่ใช้เข้าไปดูเว็บไซต์เท่านั้น หรือเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น แอปพลิเคชั่นแต่งภาพปรับหน้าตาของเราให้ดูดีขึ้นโดยไม่ต้องไปให้แพทย์ทำศัลยกรรม ทำให้เกิดกรณีภาพที่เห็นกับตัวจริงที่ได้พบเจอเหมือนเป็นคนละคน 

“ช่วงนี้ในการที่จะตัดต่อ แต่งเติม หรือเผยแพร่ข่าวสาร ทำได้ง่ายมาก ๆ มีคนไม่น้อยสามารถเป็นนักข่าวได้ เป็น Bubble Culture (วัฒนธรรมฟองสบู่) ที่ทุกคนแห่กันผลิตสื่อ อยู่ ๆ ผมอาจจะอุปโลกน์ขึ้นมาว่าเป็นหมอคนหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครมาโชว์ใบรับรองคุณวุฒิวิชาชีพ และพูดเนื้อหาเกี่ยวกับสุขภาพแบบผิดๆ ถูกๆ เป็นเรื่องที่พึงระวังในยุคปัจจุบัน”สันติภาพ กล่าว

พีรพล อนุตรโสตถิ์ ผู้จัดการศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สนักข่าวไทย อสมท. กล่าวว่า ปัจจุบันการทำงานของชัวร์ก่อนแชร์ล่วงเข้าสู่ปีที่ 10 แล้ว ตอนแรกที่เริ่มทำตั้งใจจะทำเพียง 10 ปี แต่วันนี้เห็นแล้วว่ายังมีอะไรต้องทำต่ออีกมาก จากความท้าทาย 3 ประการ คือ 1ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่จะหลอกประสาทสัมผัสของเรา ทำให้แยกแยะสิ่งต่าง ๆ ได้ยากขึ้น 2ข้อมูลเก่ากลับมาแชร์วนซ้ำบนแพลตฟอร์มใหม่ ข่าวลวงหลายเรื่องเกิดมาตั้งแต่ยุคฟอร์เวิร์ดเมล ก่อนแปลงเข้าสู่สื่อสังคมออนไลน์ ล่าสุดนำไปแชร์กันในแพลตฟอร์ม TikTok และอนาคตก็อาจไปต่อที่แพลตฟอร์มอื่น ๆ อีก และ 3การหลอกลวงสามารถแปลงเป็นเงินได้ ขณะที่แพลตฟอร์มดูเหมือนจะกลายเป็นเครื่องมือของมิจฉาชีพ

“หลายแพลตฟอร์มกลายเป็นเครื่องมือของมิจฉาชีพ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากังวลมาก ถ้าเราเห็นคำว่า ‘ได้รับการสนับสนุน’ บนโพสต์เมื่อไหร่ อันดับแรกคิดไว้ก่อนว่าหลอกหรือเปล่า? เพราะคนร้ายใช้เรื่องนี้ในการหลอกลวงเราเยอะมาก” พีรพล กล่าวสิ่งสำคัญที่สุดของ Fact-checker คือ การสร้างความรู้ ความเข้าใจในการเท่าทันสื่อให้แก่ทุก ๆ คน เพื่อไม่ให้ตนเองตกเป็นเหยื่อ

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า โคแฟคทำงานมาจนถึงปัจจุบันซึ่งเป็นปีที่ 5 แล้ว โดยในช่วง 2-3 ปีแรกที่เริ่มทำงานตรงกับสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ดังนั้นข่าวลวงที่ได้ตรวจสอบบ่อย ๆ ก็จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ เช่น เรื่องโควิด เรื่องวัคซีน กระทั่งในปี 2566 ที่ผ่านมา ข้อมูลจำนวนมากที่พบจะเป็นเรื่องการเมือง จนปัจจุบันที่ข้ามจาก Cheapfake มาเป็น Deepfake แม้เรื่องอย่างมะนาวโซดารักษามะเร็ง เรื่องทฤษฎีสมคบคิด เรื่องการเมือง หรือเรื่องศาสนาที่ทำให้เกิดความขัดแย้งเกลียดชังกันจะยังคงมีอยู่ประปราย 

แต่โจทย์ที่ยากขึ้น คือ การหลอกลวงของมิจฉาชีพ ซึ่งตามสถิติของ Whoscall ในปีที่ผ่านมา ประเทศไทยขึ้นอันดับ 1 ของเอเชียในการที่ถูกหลอก ทำให้โคแฟคมีโจทย์ที่ซับซ้อนขึ้น อย่างปัจจุบันที่โคแฟคมีไลน์แชทบอทให้คนเข้ามาถามข่าว-ตรวจสอบ ยังทันหรือไม่ในยุคของ Deepfakeจึงค่อนข้างกังวล อย่างไรก็ตาม โคแฟคยังคงยืนหยัดในการทำงาน 3 เรื่อง ก็คือ 

1.สร้างนวัตกรรมเครื่องมือในการตรวจสอบง่าย ๆ ให้กับพลเมือง ที่จะสามารถใช้เช็คได้ด้วยตนเอง ต่อมา 2การสร้างขยายเครือข่ายชุมชนที่เข้มแข็ง อย่างทุกคนที่มาร่วมงานในครั้งนี้ และ 3) งานแคมเปญเชิงนโยบาย อย่างในปี 2567 นี้เราอาจต้องทำงานกับหลายภาคส่วนมากขึ้น เช่น กสทช. ตำรวจ ธนาคารแห่งประเทศไทย องค์กรผู้บริโภค เพื่อรับมือกับ Deepfake ซึ่งไม่ว่าจะเป็น Deepfake หรือ Cheapfake ล้วนมาจากปัญหาเดียวกันคือ การตั้งใจใช้ข้อมูลเพื่อหลอกลวงผู้อื่น

Cheapfake ก็คือ การหลอกลวงกันแบบง่าย ๆ โทร.มาหลอก ขนาดใช้ Cheapfake ยังเสียหาย 3 หมื่นกว่าล้านบาท ถ้า Deepfake จะเป็นเท่าไหร่?เป็นเรื่องที่เราต้องช่วยกันคิดในการรับมือ สุภิญญา กล่าว

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีวงเสวนาอีก 2 หัวข้อ คือ “จากชีพเฟคถึงดีพเฟค การตรวจสอบรู้เท่าทันยังเพียงพอหรือไม่” ประกอบด้วยผู้ร่วมเสวนา ดังนี้ภิญโญ ตรีเพชราภรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารความเสี่ยงภาพรวม ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.), ฐิตินันท์ สุทธินราพรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท Gogolook และ Whoscall, จีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง เลขาธิการสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย, จิรพร วิทยศักดิ์พันธุ์ ประธานคณะกรรมการบริหารแผนคณะที่ 8 สสส., มาซาโต กาจิโมโต ศาสตราจารย์ประจำศูนย์วารสารศาสตร์และสื่อศึกษา มหาวิทยาลัยฮ่องกง และเฟธ เฉิน ตัวแทนจาก APAC News Partnerships, Google News Initiative (GNI)

และหัวข้อ การรับมือกับข้อมูลลวงทั้งมวล ด้วยมิติทางจิตวิญญาณ ประกอบด้วยผู้ร่วมเสวนา ดังนี้พระมหานภันต์ สนฺติภทฺโท ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร และประธานกรรมการ มูลนิธิสถาบันการจัดการวิถีพุทธเพื่อสุขและสันติ (สกพ.), บาทหลวงอนุชา ไชยเดช ผู้อำนวยการสื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย, อันธิกา เสมสรร ผู้แทนเครือข่ายสื่อมุสลิมเชียงใหม่, ธนิสรา เรืองเดช CEO และผู้ร่วมก่อตั้ง PUNCH UP และธนกฤต ศรีวิลาศ เจ้าของช่อง The Principia

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

วงเสวนา ‘Deepfake-Cheapfake’ แนะวิธีป้องกันการถูกหลอก-หวังเป็นสำนึกร่วมของสังคม

Editors’ Picks

เมื่อเร็วๆ นี้ เภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) และองค์กรที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ เปิดวงเสวนา “จาก ‘ชีพเฟค’ ถึง ‘ดีพเฟค’ การตรวจสอบรู้เท่าทันยังเพียงพอหรือไม่” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานสัมมนาระดับชาติเนื่องในวันตรวจสอบข่าวลวงโลก 2567 (International Fact-Checking Day 2024) ภายใต้ธีมงาน “Cheapfakes สู่ Deepfakes: เตรียมรับมืออย่างไรให้เท่าทัน” ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร พร้อมถ่ายทอดผ่านเพจเฟซบุ๊ก “Cofact โคแฟค” และช่องยูทูบ “Thai PBS”

ภิญโญ ตรีเพชราภรณ์ ผู้อนวยการฝ่ายบริหารความเสี่ยงภาพรวม ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ความหมายของคำว่า ชีพเฟค (Cheapfake) ก็ตรงตามชื่อคือ การหลอกลวงด้วยวิธีง่าย ๆ และมีมาอย่างยาวนาน เช่น การตัดต่อภาพบุคคลมีชื่อเสียงเพื่อเอาไปใช้แอบอ้างว่าเป็นบุคคลนั้น หรือการตัดต่อคลิปวีดีโอแบบไม่ซับซ้อน อย่าง การทำภาพหน้าคนให้ขยับเฉพาะส่วนปากเท่านั้นจึงทำให้การสังเกตการหลอกลวงแบบชีพเฟคสามารถทำได้ง่าย เพราะจะไม่ค่อยเหมือนของจริงและใช้เพียงเทคโนโลยีพื้นฐานที่ทำขึ้นได้อย่างง่าย 

ในขณะที่ ดีพเฟค (Deepfake) เป็นการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่และต้องมีการศึกษาโดยละเอียด เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ทำให้เนื้อหาที่ผลิตออกมา ทั้งภาพ เสียง หรือคลิปวิดีโอมีความคล้ายกับของจริงหรือบุคคลนั้นมากขึ้น แต่การใช้เทคโนโลยีดีพเฟคเพื่อการหลอกลวงยังจำกัดอยู่ที่การใช้บุคคลที่มีชื่อเสียงเพื่อแอบอ้างในการสวมรอย จึงทำให้บุคคลมีชื่อเสียงที่ปรากฏตัวในสื่อบ่อย ๆ ถูกมิจฉาชีพนำไปใช้หลอกลวงได้ง่าย

ถ้าเราเจอลักษณะนี้จะมีมุมมองในการสังเกตหรือเป้องกันได้อย่างไร? ให้เข้าใจแบบง่าย ๆ คือเทคโนโลยีมีอยู่จริง แต่ว่ามันก็ไม่ได้เหมือน 100อันดับแรกให้ดูก่อนว่า คนที่พูดมีลักษณะการพูดอย่างไร ถึงแม้จะป็นดีพเฟค มันก็จะมีลักษณะจุดบกพร่องให้เห็น คือ ต้องบอกว่าถ้าจะทำให้เหมือนจริง ๆ เทคโนโลยีต้องเป็นระดับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีเทคโนโลยี Processer (ประมวลผล) ระดับสูง แต่ถ้าเป็นมิจฉาชีพอาจจะมีส่วนที่ไม่ได้เหมือนจริงบ้าง จึงควรดูเรื่องของการขยับปาก พูดคำที่ไม่ตรงกัน เป็นอย่างแรก

แต่ถ้าเราสังเกตตรงนี้ไม่ได้ เราต้องเริ่มใช้วิจารณญาณตัวเองเพิ่ม ด้วยการดูที่เนื้อหาว่าลักษณะที่เขาหลอกลวงให้เราไปลงทุนด้วยเงินไม่กี่บาทได้ผลตอบแทนจำนวนมาก มันสมเหตุสมผลหรือเปล่า? ให้ปรึกษาคนข้าง ๆ อย่าฟังข้อมูลเพียงคนเดียว ให้ชวนคนอื่นมาฟังด้วย ให้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า เวลาคนเขามาหลอกเรา เขาจะพยายามให้เราอยู่คนเดียว ด่านสุดท้ายในการสังเกต คือ ถ้าเราเชื่อแล้วต้องโอนเงินให้เขา จังหวะที่จะโอนเงินให้ดูชื่อบัญชีนิดหนึ่ง ถ้าชื่อบัญชีไม่ตรงกับเจ้าของหน้า ขอให้ระวังไว้เลยว่าอาจไม่ใช่ตัวจริง เพราะส่วนใหญ่โจรที่หลอกให้เราโอนเงินเพื่อไปลงทุน เขาจะใช้บัญชีม้า” ภิญโญ กล่าว

มาซาโต กาจิโมโต ศาสตราจารย์ประจำศูนย์วารสารศาสตร์และสื่อศึกษา มหาวิทยาลัยฮ่องกงได้เพิ่มเติมข้อน่ากังวลไว้ว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโยลีและการพัฒนาเทคโนโลยีที่ใช้ทุนน้อยลงทำให้เส้นแบ่งระหว่างชีพเฟคและดีพเฟคเกิดความเบลอมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น การเปิดเผยข้อมูลจาก OpenAI ที่ว่า ตอนนี้มีเทคโนโลยีที่สามารถใช้เสียงต้นแบบแปลงเป็นภาษาต่าง ๆ ได้  

ทั้งนี้ ตามสถิติความเสียหายที่เกิดขึ้น พบว่า ปริมาณหรือจำนวนผู้เสียหาย อันดับ 1 คือ การหลอกลวงเกี่ยวกับการซื้อ-ขายสินค้าทางออนไลน์ ประเภทซื้อของแต่ไม่ได้ของ แต่หากดูจากมูลค่าความเสียหาย อันดับ 1 จะเป็นการหลอกลวงให้ลงทุน ซึ่งหากติดตามข่าวจะพบว่า ในระยะหลัง ๆ มิจฉาชีพใช้วิธีปลอมแปลงใบหน้าของผู้มีชื่อเสียง หรือการทำคลิปเสียงหรือคลิปวีดีโอที่เหมือนกับว่าคนคนนั้นเป็นผู้พูดจริง ๆ เพื่อชักชวนให้เข้าร่วมลงทุน ทำให้มีผู้หลงเชื่อที่นำไปสู่การถูกหลอกให้เสียเงินไปจำนวนมาก

เฟธ เฉิน ตัวแทนจาก APAC News Partnerships, Google News Initiative (GNI) เห็นด้วยกับสามหลักการในการตรวจสอบความเป็นดีพเฟคเบื้องต้นที่ให้พิจารณาดูลักษณะรูปภาพ, วิธีการพูด ดูเนื้อหาว่าเนื้อหาหลอกลวงไหม และดูบัญชีการเงินว่าเป็นของเจ้าตัวจริง ๆ หรือไม่ โดยสามารถใช้ประโยชน์จากทาง Google Search ในการเข้าไปสืบค้นข้อมูลหรือการส่งข้อมูลกลับให้กูเกิล เพื่อสร้างเป็นฐานความรู้ให้คนอื่น ๆ ต่อไป

ฐิตินันท์ สุทธินราพรรณ ผู้อนวยการฝ่ายการตลาดประจภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท Gogolook และ Whoscall กล่าวว่า ตัวอย่างของการหลอกลวงแบบชีพเฟค เช่น มิจฉาชีพโทรศัพท์มาหลอกให้เปลี่ยนแพลตฟอร์มการติดต่อจากการโทรศัพท์พูดคุยไปเป็นแอปพลิเคชันไลน์ เพื่อให้สามารถวีดีโอคอลได้ การพูดคุยแบบวีดีโอคอลจะเห็นภาพของอีกฝ่ายเป็นตำรวจ ถึงแม้จะขยับเพียงริมฝีปาก แต่กลับทำให้มีผู้ตกเป็นเหยื่อได้จำนวนไม่น้อย 

โดยมิจฉาชีพจะเล่นกับอารมณ์คนอยู่ 3 แบบ คือ 1) ความกลัว เช่น การหลอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หรือหลอกว่าเป็นคนใกล้ตัวที่กำลังเดือดร้อน อาทิ อ้างเป็นลูกที่ไปเกิดอุบัติเหตุรถชนแล้วขอให้แม่โอนเงินช่วยเหลือ 2) ความโลภ ลักษณะที่เห็นได้บ่อย ๆ คือข้อความประเภท “ยินดีด้วยคุณได้รับรางวัล” คือใช้ความโลภของเรามาหลอกเรา และ 3) ความรัก คือการหลอกให้รักแล้วชักชวนให้ลงทุน (Romance Scam) ส่วน Deepfake หรือ Cheapfake เป็นเทคโนโลยีที่ถูกนำมาใช้ประโยชน์เพื่อตอบโจทย์ 3 อารมณ์ดังกล่าวที่นำไปสู่การถูกหลอกลวง ซึ่งถือว่าน่ากลัวทั้งคู่

มิจฉาชีพสามารถเข้าไปในกูเกิลและค้นหา How to turn the image into Video (ทำอย่างไรเปลี่ยนรูปให้กลายเป็นคนพูดได้) ได้อย่างง่ายดายจึงทำให้ชีพเฟคน่ากลัวมาก เพราะสามารถนำมาใช้ได้กคน      ส่วนในขอดีพเฟคต่อไปจะถูกพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้ทุกคนสามารถใช้ได้ อย่างที่เราเริ่มเห็นการเอามาใช้งานจริงที่ต่างประเทศเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว 

นั่นคือ การสร้างเป็นวีดีโอคอลของบริษัทหนึ่งที่ฮ่องกง โดยใช้วีดีโอคอลหลอกเป็น CFO (ผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีและการเงิน) แล้วอนุมัติเงินออกไป 25 ล้านดอลลาร์ ในกรณีนี้จะเห็นว่า พอกลายเป็นดีพเฟค มิจฉาชีพเพียงแค่ลงทุนเพิ่มขึ้นนิดหนึ่ง แต่ผลกำไรกลับทวีมหาศาล ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า ทั้งชีพเฟคและดีพเฟคต่างก็น่ากลัวทั้งคู่ ขึ้นอยู่กับว่ามิจฉาชีพจะใช้วิธีหลอกทีละเล็กทีละน้อย หลอกคนไปเรื่อย ๆ หรือหลอกทีหนึ่งเป็นหลอกองค์กรใหญ่เลย” ฐิตินันท์ กล่าว

จีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง เลขาธิการสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า การทำสื่อในปัจจุบันปรับเปลี่ยนมาทางแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น หลายคนออกจากอุตสาหกรรมสื่อไปเปิดเพจหรือเว็บไซต์ของตนเอง แต่องค์ความรู้กลับไม่ได้ตามไปด้วย ซึ่งเมื่อนักข่าวไม่มีความรู้ก็อาจส่งผลกับผู้ที่ติดตามสื่อนั้นด้วย ยกตัวอย่างที่ตนไปร่วมงานสัมมนาในเวทีหนึ่ง มีกรณีศึกษาภาพไดคัทหน้าคนร้องไห้และภาพบ้านพัง พร้อมคำบรรยาย สิ้นเนื้อประดาตัว และภาพนี้ทำให้นักข่าวถูกตำหนิว่าทำไมไม่ให้ความช่วยเหลือ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า บางครั้งทั้งคนทำข่าวและคนติดตามข่าวต่างก็ไม่มีความรู้ในการรับสาร

ทั้งนี้ เพื่อขจัดปัญหาการไม่มีความรู้ในเรื่องชีพเฟคจึงทำให้วงการข่าวได้พยายามเติมความรู้ต่างๆ ในวงเล็ก ๆ ที่ไม่ได้ขยายกว้างในทันทีก่อนในช่วงแรก ส่วนดีพเฟคที่อาจยังไม่เกิดขึ้นในวงกว้างมากนักก็ได้มีการพูดคุยกันภายในองค์กรสื่อ เนื่องจากเห็นนวัตกรรม อย่าง การสร้างภาพใบหน้าและเสียงที่จำลองจากบุคคลที่มีชื่อเสียง ซึ่งหากเกิดขึ้นเป็นข่าวในช่วงที่กำลังมีสถานการณ์แหลมคมหรืออ่อนไหว ไม่ว่าจะเป็น การเมือง เศรษฐกิจ หรือสุขภาพ หากเทคโนโลยีถูกนำไปใช้โดยทำภาพและเสียงเลียนแบบผู้ประกาศข่าวสักคนหนึ่งออกมา นี่คือการส่งสัญญาณว่าผู้รับสื่อต้องมีวิจารณญาณมากขึ้น

“จากที่ไปอบรมในบางหน่วยงาน เช่น สำนักงานความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ทำให้นักข่าวเผยแพร่เรื่องนี้ให้ประชาชนรู้ว่า เวลามิจฉาชีพโทรศัพท์ หรือไลน์มา อย่าเปิดกล้องนะ เพราะจะถูก Generate (สร้าง) หน้าเราไปได้ ยิ่งตอบโต้นาน หน้าไปด้วยเสียงไปด้วย หน้าเราจะถูกปลอมเป็นมิจฉาชีพ หรือพฤติกรรมการแชทในเฟซบุ๊ก เขา Inbox มาแล้วเราตอบ ๆ ไป มิจฉาชีพจะจำพฤติกรรมการตอบของเราเพื่อไปหลอกลวงญาติหรือเพื่อนของเราต่อ ผมมองว่า ในวงการสื่ออาจจะไม่รู้เรื่องดังกล่าวอย่างทั่วถึง หากองค์กรไหนจะมาเพิ่มพูนทักษะความรู้ให้กับนักข่าว เพื่อให้รู้ทันและบอกสังคมต่อได้จะเป็นสิ่งที่ดีมาก ” จีรพงษ์ กล่าว

จิรพร วิทยศักดิ์พันธุ์ ประธานคณะกรรมการบริหารแผนคณะที่ 8 สสส. กล่าวว่า หลายครั้งที่มีคำถามว่า “คนที่ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพเชื่อในสิ่งที่มิจฉาชีพนำมาใช้หลอกลวงได้อย่างไร?” หากเป็นดีพเฟคอาจหมายถึง ความกลัว ความรักหรือความโลภ แต่หากเป็นชีพเฟค คือ เข้าได้กับทุกอย่าง ทั้งความโลภ อยากรวย หรือความอยากสวย-อยากหายป่วย หรืออะไรก็ตามที่จะช่วยทำให้ปัญหาปัจจุบันของตนเองลดลง 

ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นดีพเฟคหรือชีพเฟค คนก็พร้อมกระโจนเข้าไป เพราะมันตอบโจทย์ความต้องการของมนุษย์ปุถุชน ที่ต้องการให้มีเวทมนต์ (Magic) อะไรสักอย่างหนึ่งมาทำให้ปัญหาของตนเองคลี่คลาย เช่น ป่วยแล้วไม่มีเงินหรือไม่มีเวลาไปหาหมอ แต่ไปเจอโฆษณาว่า กินสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้วสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นอยู่ได้ ก็จะมีคนที่คิดว่าลองดูก็ไม่เสียหายอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย และคนจำนวนนี้ก็จะตกเป็นเหยื่อได้อย่างง่ายดาย

ทั้งนี้ สิ่งที่โคแฟคและภาคีเครือข่ายทำนั้นเป็นสิ่งที่ดีและช่วยเหลือสังคมได้มาก แต่หากมองว่า ความรู้เท่าทันสื่อเป็นความรู้และทักษะ ก็ต้องบอกว่ายังไม่เพียงพอ เพราะความรู้ที่กระจายไปต้องไปถึงคนที่อยากรู้ด้วย และเมื่อคนคนนั้นเปิดรับความรู้ก็จะกลายเป็นทักษะติดตัว แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้กลายเป็นสิ่งที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน อย่างครอบครัวไหนที่มีสมาชิกมีความรู้เรื่องนี้ก็อาจรอด สามารถเตือนผู้สูงอายุในบ้านได้ว่าให้รอก่อนอย่าเพิ่งตัดสินใจ ดังนั้นสิ่งที่ภาคประชาสังคมต้องช่วยกัน คือ การทำให้ความรู้และทักษะนี้กลายเป็นจิตสำนึกหรือสำนึกของพลเมือง

อยากมองเป็น 2 ระดับ สำนึกพลเมืองในระดับแรกก็คือ สำนึกในเชิงสิทธิที่จะได้ข้อมูลที่ถูกต้อง ดังนั้นมันจะต้องเกิดกระแสที่เรียกร้องข้อมูลและข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง แล้วก็ต้องพยายามลดข่าวลวง ข่าวปลอม  โดยต้องสร้างกระแสเรียกร้อง ไม่ใช่แค่ภาครัฐ แต่ภาคที่เกี่ยวข้อง เช่น สื่อมวลชน ภาคธุรกิจ โฆษณาหลอกลวง ไม่ใช่เพียงรับรู้แล้วไม่ทำอะไร  แต่ต้องสร้างให้มีสำนึกสาธารณะ ไม่ใช่แค่ปกป้องสิทธิของตัวฉัน แต่ปกป้องสิทธิของสังคม ของชุมชน ของท้องถิ่น ของประเทศชาติด้วย จิรพร กล่าว

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-