สมรภูมิข่าวลวงการเมืองไต้หวัน ผ่านมุมมองของพรรค DPP

ความตึงเครียดระหว่างจีนกับไต้หวัน ที่ปะทุขึ้นไม่กี่วันหลังจากนายไล ชิง-เตอ แห่งพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (Democratic Progressive Party-DPP) สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2567 ตอกย้ำว่าประธานาธิบดีคนใหม่ของไต้หวันและพรรค DPP จะต้องรับมือกับความท้าทายอันหนักหน่วง ซึ่งรวมถึงปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (Information Operation-IO) ที่มีแนวโน้มจะเข้มข้นรุนแรงขึ้นนับจากนี้

นายไล หรือ “วิลเลียม ไล” กล่าวสุนทรพจน์ในพิธีสาบานตนตอนหนึ่ง เรียกร้องให้จีนหยุดคุกคามไต้หวันทั้งทางการทหารและการเมือง และเคารพการเลือกของชาวไต้หวัน ทำให้โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนออกมาย้ำว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน และจีนจะใช้มาตรการตอบโต้ใครก็ตามที่ไม่ยอมรับนโยบายจีนเดียวและสนับสนุนเอกราชไต้หวัน จากนั้นจีนก็เปิดฉากซ้อมรบรอบเกาะไต้หวันเมื่อวันที่ 23 พ.ค. โดยระบุชัดว่าเพื่อปราบปราม “กองกำลังแบ่งแยกดินแดน” ขณะที่บีบีซีรายงานว่า สื่อของรัฐบาลจีนโจมตีนายไลอย่างดุเดือด เช่น หนังสือพิมพ์โกลบอลไทม์ส เรียกนายไลว่า “คนอวดดี” ส่วนสถานีโทรทัศน์ซีซีทีวีเตือนว่า หากประธานาธิบดีไต้หวันและพรรค DPP ยังคงเดินหน้านำไต้หวันสู่อิสรภาพ พวกเขาจะ “ถูกบดขยี้และเผาไหม้” ในที่สุด

นี่เป็นสัญญาณว่า สงครามข้อมูลข่าวสารระลอกใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

ราวสองสัปดาห์ก่อนพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี แม้ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่พรรค DPP จะมีภารกิจรัดตัว แต่ก็สละเวลาเปิดที่ทำการพรรคในกรุงไทเปเมื่อวันที่ 3 พ.ค. 2567 ต้อนรับทีมงานโคแฟคและสื่อมวลชนไทยที่เดินทางไปศึกษาดูงานเรื่องบทเรียนการรับมือกับข่าวลวงของภาคส่วนต่าง ๆ ในไต้หวัน ในวาระครบรอบ 5 ปี การก่อตั้งโคแฟค ประเทศไทย การศึกษาดูงานครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิฟรีดิช เนามันเพื่อเสรีภาพ หนึ่งในภาคีร่วมก่อตั้งโคแฟค

ผู้แทนพรรค DPP นำโดยคุณหยาง ยี-ชาน รักษาการเลขาธิการพรรค คุณพูมา เชน สมาชิกสภานิติบัญญัติ คุณจาน เหอ-เชิน ผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมสื่อ และคุณเวน ลี ผู้อำนวยการฝ่ายต่างประเทศ ได้ให้ข้อมูล ข้อสังเกต และความคิดเห็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับสถานการณ์การเผยแพร่ข่าวลวงทางการเมือง (political disinformation) ในช่วงก่อนและหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวันเมื่อวันที่ 13 ม.ค. 2567 โดยประเด็นที่พรรค DPP ให้ความสนใจและจับตาดูอย่างใกล้ชิดก็คือบทบาทของจีนในสงครามข้อมูลข่าวสารเพื่อชี้นำความคิดของชาวไต้หวันและประชาคมโลก

นี่คือข้อสังเกต 5 ประการเกี่ยวกับสถานการณ์ข่าวลวงทางการเมืองในมุมมองของพรรค DPP  

1. ข่าวลวงระบาดทั้ง “ออฟไลน์” และ “ออนไลน์”

ก่อนจะมาเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติ คุณพูมา เชน เป็นผู้ร่วมก่อตั้งและผู้บริหาร Doublethink Lab องค์กรภาคประชาชนที่ศึกษาและเปิดโปงปฏิบัติการไอโอของจีน ประเด็นแรกที่คุณพูมาตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับข่าวลวงการเมืองในไต้หวันคือ ช่องทาง “ออฟไลน์” หรือการพูดกันแบบ “ปากต่อปาก” ยังมีบทบาทมากในการเผยแพร่ข่าวลวง/ข่าวลือ เช่น ตามร้านน้ำชา การพบปะกันในกิจกรรมทางศาสนาและความเชื่อ หรือผ่านการกระจายข่าวของผู้นำชุมชน

ส่วนในช่องทางออนไลน์ แน่นอนว่าข่าวลวงปรากฏทั้งใน IG, Facebook, YouTube, TikTok และ Line ประชาชนไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารจากสื่อกระแสหลักอย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว แต่รับเนื้อหาจากบัญชีโซเชียลมีเดียของบุคคลทั่วไปที่จะเผยแพร่เนื้อหาอะไรก็ได้ และกลายมาเป็นช่องทางสำคัญในการเผยแพร่ข่าวลวง ซึ่งพรรค DPP มองว่าส่งผลกระทบต่อการสื่อสารของพรรคกับประชาชนทั้งในช่วงหาเสียงเลือกตั้งและการสื่อสารนโยบายในการบริหารประเทศ 

คุณพูมาเรียกบัญชีผู้ใช้โซเชียลมีเดียเหล่านี้ว่าเป็น “อินฟลูเอนเซอร์จิ๋ว” (micro influencer) ที่มีผู้ติดตามไม่มากนัก ราวหลักหมื่น แต่ถ้าอินฟลูเอนเซอร์จิ๋วเหล่านี้พร้อมใจกันแพร่ข่าวลวง พวกเขาก็สามารถกระจายข่าวลวงและมีอิทธิพลต่อความคิดความเชื่อของผู้คนจำนวนมากได้    

พูมา เชน สมาชิกสภานิติบัญญัติ สังกัดพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญวิทยา กฎหมายสิทธิมนุษยชน และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งองค์กร Doublethnk Lab ที่ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับปฏิบัติการด้านข้อมูลข่าวสารของจีน

2. เนื้อหามุ่งทำลายความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวันกับประเทศอื่น

เนื้อหาข่าวลวงทางการเมืองที่พรรค DPP เจอมีตั้งแต่ประเด็นเชิงนโยบาย ข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริต ไปจนถึงเรื่องส่วนตัวของบุคคลในพรรค แต่แนวโน้มที่น่าสนใจในความเห็นของคุณเวน ลี ผู้อำนวยการฝ่ายต่างประเทศของพรรค คือการเพิ่มขึ้นของข่าวลวงที่เกี่ยวกับประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เช่น ความใกล้ชิดระหว่างพรรค DPP กับสหรัฐอเมริกา ตลอดรวมทั้งข่าวลวงที่มุ่งทำลายความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวันกับประเทศต่าง ๆ ในเอเชียและยุโรป ซึ่งคุณเวน ลี มองว่าข่าวลวงเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อชี้นำให้คนไต้หวันเชื่อว่า ไม่มีประเทศไหนที่น่าไว้ใจเลยนอกจากจีน

3. ต่อสู้กับข่าวลวง “ไม่ง่าย” 

แม้จะเป็นพรรคการเมืองใหญ่ มีบุคลากรระดับหัวกะทิ และทีมงานจำนวนมาก แต่ DPP ก็ยังพบว่าการต่อสู้กับข่าวลวงนั้นเป็น “งานยาก” และเผชิญอุปสรรคไม่ต่างจากองค์กรที่ทำงานด้านการตรวจสอบข้อเท็จจริง เช่น การที่ข่าวลวง/ข้อมูลเท็จเข้าถึงประชาชนได้ง่ายกว่าและรวดเร็วกว่าความจริง/ข้อมูลที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นผลจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นอัลกอริทึมของโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มที่เอื้อต่อการทำให้ข่าวลวงกลายเป็นไวรัล พฤติกรรมการเสพข้อมูลข่าวสารของประชาชน และปฏิบัติการไอโอที่ทำให้การเผยแพร่ข่าวลวงเป็นไปอย่างมีระบบ

คุณจาน เหอ-เชิน ผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมสื่อ พรรค DPP ผู้ดูแลงานสื่อสารสาธารณะของพรรค กล่าวเสริมว่า จากประสบการณ์ทำงานรณรงค์หาเสียงทางการเมืองมากว่า 10 ปี เขาพบว่า 2-3 ปีที่ผ่านมาเป็นช่วงที่ภูมิทัศน์การสื่อสารทางการเมืองเปลี่ยนไปมากที่สุด พรรคการเมืองต้องทุ่มสรรพกำลังจำนวนมากไปกับการตรวจสอบข้อมูล หักล้างข่าวลวง/ข้อมูลเท็จ และเผยแพร่ข้อเท็จจริงแก่ประชาชน นอกจากนี้ยังต้องออกแบบการสื่อสารและเนื้อหาให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายที่แตกแยกย่อยเป็นกลุ่ม มีความสนใจเฉพาะและพฤติกรรมการรับข้อมูลข่าวสารที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

เวน ลี (ซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายต่างประเทศ พรรค DPP และ สส. พูมา เชน

4. AI ทำให้สถานการณ์ข่าวลวงซับซ้อนยิ่งขึ้น

ช่วงหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวันเมื่อเดือนมกราคม 2567 เครือข่ายพลเมืองด้านการตรวจสอบข้อเท็จจริง พบการใช้ Artificial Intelligence (AI) สร้างวิดีโอที่มีเนื้อหาเท็จหรือ Deepfake เพื่อโจมตีพรรค DPP ซึ่งคุณพูมามองว่ายังมีจำนวนไม่มากนัก แต่แนวโน้มการใช้ AI สร้างข่าวลวงการเมืองจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน และจะส่งผลต่อการเผยแพร่ข่าวลวงในอย่างน้อย 3 มิติ คือ

  • AI ทำให้ข่าวลวงมีหลากหลายรูปแบบมากขึ้นและเหมือนจริงมากขึ้นจนทำให้แยกแยะว่าอะไรจริง-ไม่จริงได้ยากมาก จึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีที่มาช่วยจับเท็จ Deepfake ควบคู่ไปกับการทำให้ประชาชนมีภูมิคุ้มกันข่าวลวง ด้วยการรู้เท่าทันเทคโนโลยีและมีทักษะในการตรวจสอบข้อเท็จจริง
  • AI ทำให้เกิดการบิดเบือนความเห็นสาธารณะด้วยการเผยแพร่ข้อมูลและความเห็นผ่าน bots และจากนั้นอัลกอรึทึมของโซเชียลมีเดีย ก็จะทำให้เนื้อหาที่มาจาก bots เพิ่มจำนวนและแพร่กระจายได้กว้างขวางอย่างรวดเร็ว กลายเป็นความเห็นสาธารณะที่ไม่ได้มาจากบุคคลที่มีตัวตน และกลบเสียงของประชาชนที่แท้จริง
  • AI สร้างข่าวลวงหลายภาษา ความสามารถในการแปลภาษาของ AI ทำให้ข่าวลวงก้าวข้ามพรมแดนของภาษาสู่การรับรู้ของผู้คนในหลากหลายประเทศ เกิดการเข้าถึงและ engagement มหาศาล

5. ความร่วมมือกัน คือหนทางสู้ข่าวลวง 

คุณพูมาให้ความเห็นว่า การต่อสู้กับข่าวลวงจะสำเร็จได้ต้องอาศัยความร่วมมือกัน โดยเฉพาะความร่วมมือจากผู้ให้บริการแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ในการกำหนดมาตรฐานการใช้งานร่วมกันของชุมชนเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของข่าวลวงและสนับสนุนการเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้อง เขายกตัวอย่างการประสานงานระหว่างพรรค DPP กับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มในการลบเนื้อหาเท็จว่าด้วยการทุจริตการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นในช่วงหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวัน คุณพูมาย้ำว่าผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเป็นตัวแปรสำคัญในสมรภูมิการต่อสู้กับข่าวลวง

นอกจากความร่วมมือกับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มแล้ว พรรค DPP ยังเสนอให้ประเทศต่าง ๆ ร่วมมือกันในทุกระดับเพื่อต่อต้านข่าวลวง เพราะด้วยเทคโนโลยี AI ทำให้ข่าวลวงก้าวข้ามพรมแดน ก้าวข้ามภาษาที่สามารถจุดชนวนความขัดแย้งระหว่างประเทศ และบ่อนทำลายประชาธิปไตยได้

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค: รายงาน

อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง

โดนตัวไหนมาพี่?? AI ของ Google เกิด ‘หลอนหนัก’ ทำชาวเน็ตฮาครืน

ผ่านไปไม่กี่สัปดาห์หลังบริษัท Google เปิดตัว ‘AI Overview’ ฟีเจอร์ใหม่ในสหรัฐฯ ที่ใช้ AI ในการช่วยตอบคำถามต่างๆ แต่คำตอบของ AI ตัวล่าสุดนี้กลับทำให้ผู้ใช้ถึงต้องกุมขมับ เช่น แนะนำให้กินก้อนหินวันละก้อน ใส่กาวในพิซซ่า และผู้หญิงควรเล่นกีฬาซูโม่ขณะตั้งครรภ์

Sundar Pichai ผู้บริหารของ Google แถลงข่าวเปิดตัว AI Overview เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2567

“ให้ AI ทำงานให้คุณ” เป็นคำแถลงจาก Google ในงานเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ “AI Overview” เทคโนโลยีที่จะใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence (AI) ในการช่วยผู้ใช้ Google ในการค้นหาเว็บไซต์และถามคำถามต่างๆ ในระบบของ Google 

โดยแทนที่จะแสดงผลการค้นหาเป็นเว็บไซต์แบบที่เป็นอยู่ AI Overview จะช่วยสรุปข้อมูลให้แก่ผู้ใช้ได้ทันที

ฟีเจอร์ดังกล่าวเริ่มนำร่องในประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ท่ามกลางเสียงฮือฮาจากนักวิเคราะห์และสื่อมวลชน ซึ่งต่างคาดการณ์กันว่าเป็นอีกหนึ่งลูกเล่นของ Google  ที่สร้างขึ้นมาเพื่อรักษาความเป็นเจ้าตลาด search engine และไล่ตามการแข่งขันเทคโนโลยีด้านปัญญาประดิษฐ์ที่กำลังดุเดือดอย่างมากในขณะนี้

แต่ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน บรรดาผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในสหรัฐอเมริกากลับเริ่มสังเกตว่า คำตอบของ AI Overview ต่อบางคำถามดูพิลึกๆ เพราะบางครั้งตอบไม่ตรงคำถาม หรือให้คำตอบที่ผิดข้อเท็จจริง หรือไปเอาข้อมูลผิดบริบทมาใช้ หรือถึงขั้นให้คำตอบที่สุ่มเสี่ยงที่จะทำอันตรายต่อผู้ใช้ก็มี 

อาการ “หลอน” เหล่านี้ของ AI Overview ได้สร้างความขบขันให้แก่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวนมาก จนกลายเป็นกระแสไวรัลขึ้นมาในโลกโซเชียล หลายคนแชร์ประสบการณ์คำตอบแปลกๆของ AI Overview และผู้เขียนขอยกบางส่วนมาเป็นตัวอย่าง ณ ที่นี้

ถามอบพิซซ่าอย่างไรชีสจึงจะติดอยู่บนหน้าพิซซ่า?

Google ตอบ: ผสมชีสเข้าด้วยกัน แล้วเทกาวจำนวน ⅛ ถ้วย บนหน้าพิซซ่า 

หมายเหตุ: คำตอบนี้ AI Overview ดึงมาจากมุขตลกของผู้ใช้เว็บไซต์ Reddit คนหนึ่งที่โพสต์ไว้เมื่อ 11 ปีที่แล้ว โดยที่ไม่ทราบว่าเป็นมุขตลก

ถามฉันควรกินก้อนหินวันละกี่ก้อน?

Google ตอบ: นักธรณีวิทยาที่มหาวิทยาลัย UC Berkeley ระบุว่าควรรับประทานก้อนหินขนาดเล็กอย่างน้อยหนึ่งก้อนต่อวัน เนื่องจากก้อนหินเป็นแหล่งสำคัญของแร่ธาตุและวิตามินหลายชนิด

หมายเหตุ: AI Overview ดึงคำตอบมาจากบทความหนึ่งของเว็บไซต์ข่าวล้อเลียนชื่อดัง The Onion โดยที่ไม่ทราบว่าเป็นมุขตลกเช่นกัน 

ถามสตรีตั้งครรภ์ควรเล่นกีฬาซูโม่หรือไม่?

Google ตอบ: ผู้ใช้ Reddit ให้คำแนะนำว่ากีฬาซูโม่ปลอดภัยสำหรับสตรีที่กำลังตั้งครรภ์มากกว่ากีฬาประเภทอื่นๆ เช่น ยิงปืน

หมายเหตุ: AI Overview ดึงคำตอบมาจากมุขตลกของผู้ใช้ Reddit คนหนึ่ง ทั้งนี้ ผู้เขียนมีความเห็นว่าสตรีตั้งครรภ์ไม่ควรเล่นซูโม่อย่างแน่นอน

ถามควรทำความสะอาดเครื่องซักผ้าอย่างไร?

Google ตอบ: ใช้สารฟอกขาวผสมกับน้ำส้มสายชูกลั่นในการทำความสะอาด

หมายเหตุ: หากผสมกันตามที่ AI Overview แนะนำเช่นนี้จะทำให้เกิดแก๊สพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย คำตอบที่ถูกต้องคือต้องใช้แยกกัน 

ถามสะพานแห่งใดบ้างที่เหมาะสำหรับการกระโดดน้ำตาย?

Google ตอบ: สะพานโกลเดนเกต นครซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา 

หมายเหตุ: คำถามดังกล่าวถือว่าเข้าข่ายการทำร้ายตัวเอง (self-harm) ซึ่งถ้าหากใช้ Google ธรรมดา คำตอบจะแนะนำให้ขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิหรือกลุ่มให้คำปรึกษาแก่ผู้มีความคิดทำร้ายตัวเอง แต่ดูเหมือนว่าระบบ AI Overview จะไม่มีการแยกแยะแต่อย่างใด

ถามชื่อประเทศใดบ้างในทวีปแอฟริกาที่ขึ้นต้นด้วยตัว K? 

Google ตอบ: ไม่มี

หมายเหตุ: คำตอบที่ถูกต้องคือประเทศเคนยา หรือ Kenya ในกรณีนี้ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่า AI Overview ผิดพลาดในข้อเท็จจริงพื้นฐานได้อย่างไร 

ถามประธานาธิบดีสหรัฐคนใดบ้างสำเร็จการศึกษาที่มหาวิทยาลัย UW Madison?

Google ตอบ: Andrew Jackson สำเร็จการศึกษาเมื่อปี 2005, Andrew Johnson สำเร็จการศึกษาเมื่อปี 2012, James Buchanan สำเร็จการศึกษาเมื่อปี 2013 และ John Kennedy สำเร็จการศึกษาเมื่อปี 1993 

หมายเหตุ: อดีตประธานาธิบดีทุกคนที่ Google ยกมานั้น ล้วนเสียชีวิตแล้วทั้งหมดก่อนปีดังกล่าว คาดว่าเป็นการสับสนในข้อมูลของ AI Overview

ถามสหรัฐอเมริกาเคยมีประธานาธิบดีมุสลิมมาแล้วกี่คนบ้าง?

Google ตอบ: สหรัฐอเมริกาเคยมีประธานาธิบดีมุสลิม 1 คน ได้แก่ บารัก ฮุสเซน โอบามา 

หมายเหตุ: คำตอบนี้ผิด คาดว่า AI Overview อาจดึงคำตอบมาจากเว็บไซต์ของกลุ่มขวาจัดและทฤษฎีสมคบคิด ที่มักเผยแพร่ข่าวบิดเบือนว่าอดีตประธานาธิบดีโอบามาเป็นมุสลิม ทั้งที่ตามข้อเท็จจริงแล้วโอบามานับถือศาสนาคริสต์ 

ฯลฯ ฯลฯ

Google รับ มีข้อผิดพลาดจริง

จริงอยู่ว่าคำถามบางคำถามที่ยกมานั้น มีจุดประสงค์อยากทดลองว่า AI Overview จะตอบคำถามอย่างถูกต้อง หรือจะเกิดความสับสนในตัวเอง (เช่น คงไม่มีใครคิดอยากจะถาม AI ว่าเราควรกินก้อนหินกี่ก้อน)

แต่ผลการทดลองต่างๆ ดังกล่าวยืนยันอย่างปฏิเสธไม่ได้ว่า ระบบของ AI Overview นั้น ยังมีปัญหาในเรื่องความถูกต้องของข้อมูล การแยกแยะแหล่งข้อมูลระหว่างข้อเท็จจริงกับมุขตลกล้อเลียน และสุ่มเสี่ยงที่จะกลายเป็นการผลิตซ้ำข่าวลือหรือข้อมูลบิดเบือนจากกลุ่มทฤษฎีสมคบคิดด้วย 

“กรณีเช่นนี้ตอกย้ำว่า เป็นเรื่องง่ายเพียงใดที่จะป้อนข้อมูลที่สับสนและผิดพลาดให้แก่ AI Overview” A.J. Kohn เจ้าของบริษัทด้านการตลาดดิจิทัลแห่งหนึ่ง ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน

ผู้เชี่ยวชาญและนักวิเคราะห์ด้านเทคโนโลยีต่างแสดงความเห็นด้วยว่า หากไม่มีการแก้ไขปรับปรุงระบบ ความผิดต่างๆ เหล่านี้ของ AI Overview อาจมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ใช้ต่อ Google ในระยะยาวเองด้วย โดยเฉพาะในยุคที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตบางส่วน เริ่มหันไปใช้ระบบค้นหาของ TikTok แทนแล้ว

ด้านโฆษกของ Google ระบุกับสื่อมวลชนว่า AI Overview ยังเป็นเพียงการทดลองนำร่องเท่านั้น และ Google ได้แสดงความข้อความเตือนกำกับไว้ทุกครั้งด้วย

โฆษกระบุด้วยว่า Google ได้รับทราบเกี่ยวกับคำตอบแปลกๆ ที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตพบเจอแล้ว โดยกรณีเหล่านี้มักจะเกิดจากคำค้นหาที่เจาะจงเป็นพิเศษ และผู้ใช้ส่วนใหญ่สามารถใช้ AI Overview ได้โดยไม่พบเจอปัญหาแต่อย่างใด 

อย่างไรก็ตาม ทีมผู้ดูแลจะนำไปปรับปรุงระบบของ AI Overview ต่อไป โดยในเบื้องต้นจะเริ่มปิดคำตอบของการค้นหาบางส่วนที่เป็นปัญหา  

แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจ AI 

นับว่าเหตุการณ์นี้เป็นอีกหนึ่งอุปสรรคสำหรับ Google ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เพื่อแข่งขันกับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อื่นๆ โดยก่อนหน้านี้ Google ได้เคยเปิดตัว “Gemini” generative AI ที่สามารถสร้างภาพตามคำสั่งของผู้ใช้ เป็นการท้าทายคู่แข่งอื่นๆอย่าง DALL-E อย่างชัดเจน 

แต่เคราะห์กรรมก็เป็นของ Google เมื่อผู้ใช้พบว่า Gemini มีพฤติกรรมที่ดูไม่เหมาะสมเกี่ยวกับเชื้อชาติของบุคคลในภาพที่สร้างขึ้น เช่น หากสั่งให้ทำภาพคู่รักชาวจีน หรือคนผิวดำ หรือชาวยิว Gemini ก็ทำให้ตามปกติ แต่เมื่อสั่งให้ทำภาพคู่รักคนผิวขาว Gemini กลับไม่ยอมทำให้ โดยอ้างแบบงงๆ ว่าอาจจะกลายเป็นการเหยียดผิว

และก็เป็นเรื่องขึ้นมา เมื่อผู้ใช้คนหนึ่งลองให้ Gemini จำลองภาพของกองทัพเยอรมันในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง Gemini กลับสร้างภาพเป็นคนผิวดำใส่เครื่องแบบของทหารเยอรมันและพรรคนาซี แต่ไม่มีชาวเยอรมันผิวขาวอยู่เลย ซึ่งขัดต่อข้อเท็จจริงตามประวัติศาสตร์ และยิ่งทำให้ชาวเน็ตยิ่งสับสนเข้าไปอีกว่า Gemini มีนโยบายเกี่ยวกับเชื่อชาติอย่างไรกันแน่ 

ท้ายที่สุด Google ต้องปิดระบบ Gemini กลางคัน หลังโดนถล่มจากเสียงวิจารณ์เหล่านี้ โดยในขณะนั้น Google กล่าวว่า เทคโนโลยีของตนพยายามสนับสนุนความหลากหลายทางเชื้อชาติ แต่ในบางครั้ง ก็เกิดความผิดพลาดขึ้นมาแทน

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ Google เพียงเจ้าเดียวที่พบเจอปัญหา AI แสดงอาการ “หลอน” เช่นนี้ เพราะ AI ตัวอื่นๆอย่าง ChatGPT ก็มีปัญหาดังกล่าวบ่อยครั้งเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอข้อมูลที่ผิดพลาด ข้อมูลที่ผิดบริบท หรือข้อมูลที่ AI สร้างขึ้นมาเอง โดยที่ไม่มีใครทราบว่าเอามาจากไหน ตามที่สื่อมวลชนได้เสนอข่าวไว้แล้วอย่างแพร่หลาย 

ดังนั้น เราจึงควรนำเอากรณีการทดลองของ AI Overview ครั้งนี้ เป็นหนึ่งอุทาหรณ์ในการใช้ AI เพื่อค้นหาข้อมูลอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสื่อมวลชน คนทำงานสื่อไม่ควรนำเอาข้อมูลที่ได้จาก AI มานำเสนอเป็นข่าวโดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน เพราะจะสุ่มเสี่ยงนำเอาความผิดพลาดหรืออาการ “หลอน” ของ AI มาส่งต่อให้แก่สาธารณชนนั่นเอง

อ่านเพิ่มเติม:

Google’s A.I. Search Errors Cause a Furor Online | New York Times

Google’s AI Overview seems to be spewing inaccurate, dangerous answers | Salon

Google’s AI Overview Appears To Produce Misleading Answers | Forbes


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 25 พฤษภาคม 2567

กระทรวงศึกษาธิการ สั่งประกาศให้ยกเลิกแต่งชุดนักเรียนจริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2ooj4fw0dor23


เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด ปี 2567 ได้รับ 1,000 บาท…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2ozx04kbkxo78


ดื่มน้ำเย็น ดับร้อนเสี่ยงหลอดเลือดแตก…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1v1uwzjtft5ms


ดื่มแอลกอฮอล์ติดต่อกัน ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายและป้องกันปัญหาสุขภาพ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2ia4xdkv0y2v7


ลงทะเบียนทำใบขับขี่ออนไลน์ ผ่านเพจ (FB)ศูนย์รับทำใบขับขี่ใหม่หรือต่อ ทั่วประเทศ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/5x2hyofjd5z8


  เตรียมผลักดัน Soft Power 1 ครอบครัว 1 Soft Power

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2ywqtipf6ff6g


  กรมทางหลวงชนบท เร่งดำเนินการแก้ไขรอยต่อสะพาน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2ody6rodwgds0


 กปน. เปิดจุดให้บริการน้ำประปาดื่มได้ฟรี 18 แห่ง เริ่ม 13 พ.ค. นี้ 

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1cclet0l0mz6v


ผ่าปม ลิ่มเลือดอุดตันจากวัคซีน ‘แอสตร้าเซนเนก้า’ น่ากังวลเพียงใด?

Editors’ Picks
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ของแอสตร้าเซนเนก้า ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2564 (ภาพโดยมหาวิทยาลัยมหิดล)

โดย ธีรนัย จารุวัสตร์ สมาชิก Cofact

ถึงแม้บริษัทผู้ผลิตวัคซีน “แอสตร้าเซนเนก้า” จะยอมรับกับศาลอังกฤษว่าวัคซีนของตนมีผลในการเกิดภาวะลิ่มเลือดหัวใจอุดตันจริง แต่นักวิชาการและวงการแพทย์เห็นตรงกันว่าความเสี่ยงจากอาการนี้ยังถือว่าหายากมาก ขณะที่ประโยชน์จากวัคซีนในการป้องกันโรคก็สูงมากกว่าหลายเท่าตัว

เมื่อปลายเดือนเมษายน วัคซีนต้านโรคโควิด 19 ของบริษัท “แอสตร้าเซนเนก้า” กลับมาเป็นที่สนใจสื่อในไทยและต่างประเทศจำนวนมากอีกครั้ง หลังสำนักข่าว Telegraph รายงานว่า แอสตราเซเนก้าได้ยอมรับในเอกสารต่อศาลในสหราชอาณาจักรว่า วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าสามารถก่อให้เกิด “ภาวะที่มีลิ่มเลือดอุดตันและมีเกล็ดเลือดต่ำ” (Thrombosis with Thrombocytopenia Syndrome หรือ TTS) 

เอกสารดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้คดีกันระหว่างแอสตร้าเซนเนก้า กับผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบจากอาการลิ่มเลือดอุดตัน ซึ่งเกิดขึ้นหลังได้รับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าในช่วงที่โรคโควิดกำลังระบาดเมื่อปี 2561 ทำให้รวมตัวกันเพื่อฟ้องร้องและเรียกค่าชดเชยจากบริษัทผู้ผลิตวัคซีน

รายงานข่าวเรื่องนี้ ได้สร้างความฮือฮามากพอสมควรไปทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยด้วย เพราะวัคซีนของแอสตร้าเซนเนเก้าถือเป็นวัคซีนหลักตัวหนึ่ง ที่ได้ส่งออกไปยังหลายประเทศ รวมกันกว่า 3 พันล้านโดส 

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ก็มีรายงานข่าวอีกเรื่องตามมาติดๆ เมื่อบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าระบุว่า ได้ยุติการผลิตวัคซีน และถอนการขอใบอนุญาตเพื่อรับรองวัคซีนจากตลาดต่างๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้านสื่อมวลชนหลายสำนักได้เชื่อมโยงว่า อาจจะเกี่ยวข้องกับการยอมรับในศาลในประเด็นเรื่องภาวะลิ่มเลือดหรือไม่ 

ข่าวดังกล่าวคงสร้างความกังวลใจให้กับหลายคนที่เคยรับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าในช่วงการระบาดของโรคโควิด 19 แต่ความจริงแล้ว เรื่องนี้น่าวิตกมากน้อยเพียงใดกันแน่? 

ย้อนรอย แอสตร้าเซนเนก้ากับอาการ TSS 

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2564 ท่ามกลางวิกฤติไวรัสโควิด 19 ที่ระบาดไปทั่วโลก จนคร่าชีวิตผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัว อีกทั้งยังสร้างความปั่นป่วนให้แก่เศรษฐกิจและการใช้ชีวิตของประชาชนนับพันล้านคน 

หลังจากการระบาดเกิดขึ้น นักวิจัยและบริษัทยาชั้นนำต่างเร่งผลิตวัคซีนเพื่อต่อกรกับโคโรน่าไวรัส นำไปสู่บรรดาวัคซีนที่เราคุ้นชื่อกันดีทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นซิโนแวค ซิโนฟาร์ม ไฟเซอร์ โมเดิร์นน่า และแอสตร้าเซนเนก้าด้วย ถึงแม้วัคซีนในระยะแรกจะมีความแตกต่างกันบ้างในตัวเลขของประสิทธิภาพ แต่หลักฐานและข้อมูลทางการแพทย์ในระยะยาวต่างๆ ยืนยันตรงกันว่า ทุกวัคซีนล้วนช่วยให้ตัวเลขการเจ็บป่วยและเสียชีวิตลดลงอย่างเห็นได้ชัด จนหลายประเทศค่อยๆ เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติในที่สุด

อย่างไรก็ตาม ขณะที่การแจกจ่ายวัคซีนดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เริ่มมีรายงานข่าวในสหราชอาณาจักรว่าบางคนมีอาการป่วยจากภาวะลิ่มเลือดอุดตันหลังรับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ก่อนจะมีกรณีคล้ายกันในประเทศอื่นๆแถบยุโรปด้วย และมีบางกรณีผู้ป่วยถึงกับเสียชีวิตโดยฉับพลัน ทำให้เกิดคำถามว่า อาการเหล่านี้เป็นผลมาจากวัคซีนหรือไม่ 

ในช่วงแรก ทั้งบริษัทผู้ผลิตวัคซีน หน่วยงานด้านสาธารณสุขอย่าง “องค์การอนามัยโลก” (WHO) และรัฐบาลต่างๆ ที่นำเข้าแอสตร้าเซนเนก้า (รวมถึงรัฐบาลไทยในขณะนั้นด้วย) ยืนยันว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะเชื่อมโยงว่าอาการป่วยเหล่านั้นมีความเกี่ยวเนื่องกับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าจริง ซึ่งเป็นการประเมินจากหลักฐานที่มีอยู่ขณะนั้น ประกอบกับอาการลิ่มเลือดอุดตันที่เกิดขึ้น มีจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ได้รับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า

แต่เมื่อเวลาผ่านไปและมีหลักฐานทางการแพทย์ละเอียดมากขึ้น หน่วยงานต่างๆ จึงยืนยันอย่างเป็นทางการว่า มีความเชื่อมโยงระหว่างวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้ากับภาวะลิ่มเลือดอุดตันจริง พร้อมกับค่อยๆ ปรับเปลี่ยนคำแนะนำเกี่ยวกับวัคซีนไปตามหลักฐานที่ปรากฎขึ้น

เมื่อมีคำยืนยันเช่นนี้ กลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะลิ่มเลือดอุดตันและครอบครัวของผู้เสียชีวิต จึงดำเนินการฟ้องร้องเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากแอสตร้าเซนเนก้า นอกเหนือจากค่าชดเชยที่รัฐบาลสหราชอาณาจักรจ่ายให้แล้วส่วนหนึ่ง ซึ่งผู้ได้รับผลกระทบและครอบครัวระบุว่า ไม่เพียงพอกับความเสียหายที่เกิดขึ้น 

ถึงแม้บริษัทแอสตร้าเซนเนก้าจะต่อสู้คดีด้วยการปฏิเสธในช่วงแรกว่า วัคซีนของตนไม่เกี่ยวข้องกับอาการลิ่มเลือดอุดตัน (TSS) แต่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา บริษัทได้ยอมรับต่อศาลสูงอังกฤษในที่สุด ก่อนที่เรื่องนี้จะได้รับการรายงานครั้งแรกในปลายเดือนเมษายน โดยสำนักข่าว Telegraph เป็นผู้เปิดเผย ดังที่กล่าวมาแล้วตอนต้น

ข้อมูลเรื่องลิ่มเลือดอุดตัน ไม่ใช่ “ข้อมูลใหม่” 

ดังนั้น การยอมรับของแอสตร้าเซนเนก้าในศาลอังกฤษ จึงไม่ใช่ข้อมูลใหม่แต่อย่างใด เพราะเป็นที่ทราบในวงการแพทย์ทั่วโลกมาระยะหนึ่งแล้ว และหน่วยงานด้านสาธารณสุขได้เฝ้าระวังความเสี่ยงของภาวะ TSS มาตลอด ตามที่สถาบันวัคซีนแห่งชาติของประเทศไทยได้ชี้แจงไว้ในแถลงการณ์เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมว่า:

“ข้อมูลดังกล่าวไม่ใช่ข้อมูลใหม่ แต่เป็นข้อมูลที่ได้รับจากการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่เมื่อเริ่มมีการใช้วัคซีนโควิด-19 ชนิดไวรัสเวกเตอร์ ของ บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ในวงกว้าง ซึ่งจากข้อมูลทั่วโลก พบว่า ภาวะ TTS ที่เกิดขึ้นภายหลังการได้รับวัคซีนโควิด-19 ชนิดไวรัสเวกเตอร์ เป็นเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่พบได้น้อยมาก

โดยรายงานการเกิดภาวะ TTS ภายหลังการฉีดวัคซีนส่วนใหญ่มาจากสหราชอาณาจักร (UK) และสหภาพยุโรป (EU) และจากรายงานทั่วโลกพบว่า อุบัติการณ์ของภาวะ TTS ภายหลังการฉีดวัคซีน มีความแตกต่างทางภูมิศาสตร์อย่างมาก โดยมีรายงานน้อยมากที่มาจากประเทศนอกยุโรป…

ทั้งนี้ ข้อมูลความเสี่ยงของภาวะดังกล่าว ได้ถูกเพิ่มเติมในเอกสารกำกับยาของวัคซีนโควิด-19 ของบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า หัวข้อ “คำเตือนพิเศษ และข้อควรระวังในการใช้ยา” ตั้งแต่ วันที่ 8 ก.ย.2564 ภายหลังจากที่มีข้อมูลภายหลังการใช้วัคซีนในวงกว้างมากขึ้น ทำให้หลังจากนั้นสามารถติดตามเฝ้าระวังอาการไม่พึงประสงค์ดังกล่าวที่อาจเกิดขึ้นภายหลังการฉีดวัคซีน และสามารถให้การรักษาภาวะดังกล่าวได้อย่างเหมาะสม”

สอดคล้องกับ Mansoor Amiji ศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์เภสัชกรรม ในสหราชอาณาจักร ที่ได้ให้สัมภาษณ์ว่า เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องใหม่ในเชิงวิทยาศาสตร์แต่อย่างใด สิ่งที่เปลี่ยนไปคือก่อนหน้านี้บริษัทแอสตร้าเซนเนก้าสู้คดีมาตลอดว่า ภาวะ TSS อาจเกิดจากปัจจัยอื่นๆ เช่น โรคประจำตัว หรือโรคแทรกซ้อนอื่นๆ จนกระทั่งบริษัทหันมายอมรับต่อหลักฐานในที่สุด แต่วงการแพทย์ได้ทราบและศึกษาความเชื่อมโยงนี้มาตลอดอยู่แล้ว

ลิ่มเลือดอุดตันจากวัคซีน ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ 

แม้ในปัจจุบันจะมีหลักฐานถึงความเชื่อมโยงระหว่าง TSS กับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า บรรดานักวิชาการ และหน่วยงานด้านสาธารณสุข ต่างพูดตรงกันว่า ภาวะลิ่มเลือดอุดตันที่เกิดจากวัคซีนมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นกับคนทั่วไปน้อยมาก 

“จากข้อมูลของสหราชอาณาจักร (ณ วันที่ 14 มิ.ย.2564) และสหภาพยุโรปคาดการณ์ว่า ความเสี่ยงในการเกิด TTS ของประชากรในภูมิภาคอยู่ที่ประมาณ 1 ราย ต่อ 100,000 ประชากร  ในขณะที่ ฐานข้อมูลความปลอดภัยระดับโลกของ บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า พบว่า อัตราการรายงาน TTS ต่อประชากร 1,000,000 คน อยู่ระหว่าง 0.2 (ในประเทศแถบเอเชียและบราซิล) ถึง 17.6 (ในกลุ่มประเทศนอร์ดิก)” สถาบันวัคซีนแห่งชาติอธิบาย 

“สำหรับประเทศไทย มีการฉีดวัคซีนโควิด 19 ของ บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ทั้งหมด 48,730,984 โดส พบผู้สงสัยหรือยืนยันภาวะลิ่มเลือดอุดตันร่วมกับเกล็ดเลือดต่ำจำนวน 7 คน อัตราการเกิดภาวะ TTS เท่ากับ 0.014 ต่อ 100,000 ประชากร หรือ จะพบผู้มีภาวะดังกล่าวได้ 1 คน ในผู้ได้รับวัคซีนจำนวน 10,000,000 คน”

เช่นเดียวกับ ศาสตราจารย์ Amiji ก็ได้ระบุว่า ในปัจจุบันวงการแพทย์ได้ศึกษากลไกของภาวะ TSS อย่างละเอียดแล้ว ซึ่งยืนยันข้อค้นพบว่าภาวะเช่นนี้เกิดขึ้นกับ “เศษเสี้ยว” เดียวของประชากรส่วนใหญ่ และไม่ได้พบข้อกังวลหรือผลข้างเคียงใหม่ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าแต่อย่างใด

ขณะเดียวกัน ยังมีเสียงยืนยันจากนักวิชาการอื่นๆว่า ความเสี่ยงของผลข้างเคียงจากวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ถึงแม้จะฟังดูน่ากลัวในสายตาคนทั่วไปหรือสื่อมวลชน แต่ยังถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นหากไม่ยอมฉีดวัคซีน เพราะโอกาสที่จะป่วยหนักหรือแม้กระทั่งเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 มีมากกว่าหลายเท่าตัว 

นอกจากนี้ Aziz Sheikh นักวิจัยเกี่ยวกับผลข้างเคียงจากวัคซีนในสก็อตแลนด์ ยังระบุด้วยว่าภาวะลิ่มเลือดอุดตัน ไม่ได้เกิดขึ้นจากวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าอย่างเดียว แต่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นจากโรคโควิด 19 ด้วย เพราะงานวิจัยพบว่าความเป็นไปได้ที่เกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันในกลุ่มคนที่ติดเชื้อโควิด กับกลุ่มคนที่รับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า มีอัตราส่วนราว 12,614 ต่อ 66 คนเลยทีเดียว

พูดง่ายๆ คือ “ประโยชน์” ที่วัคซีนช่วยในการป้องกันและบรรเทาโรคโควิด-19 มีมากกว่า “ความเสี่ยง” ของผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น ดังที่สถาบันวัคซีนแห่งชาติของไทยได้สรุปไว้:

“ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย มีระบบกำกับดูแลความปลอดภัยของการใช้วัคซีนที่มีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์จากการฉีดวัคซีนมากกว่าความเสี่ยงที่ได้รับอย่างดีที่สุด”

การถอนวัคซีนจากตลาด ไม่ใช่เรื่องแปลก

ส่วนประเด็นที่บริษัทแอสตร้าเซนเนก้ายุติการผลิตและส่งออกวัคซีนไปทั่วโลกนั้น ก็ไม่ชัดเจนว่ามีความเกี่ยวเนื่องกับข่าวเรื่องที่บริษัทยอมรับเกี่ยวกับความเสี่ยงของ TSS ในศาลอังกฤษหรือไม่ เพราะข่าวดังกล่าวปรากฏขึ้นครั้งแรกในช่วงปลายเดือนเมษายน 

แต่แอสตร้าเซนเนก้า ได้เริ่มกระบวนการขอถอนใบอนุญาตและยุติการจำหน่ายวัคซีนตั้งแต่เดือนมีนาคมแล้ว จนเพิ่งได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการในต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

ในแง่หนึ่ง ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะวัคซีนบางยี่ห้อได้ยุติการผลิตและส่งออกเป็นที่เรียบร้อย ท่ามกลางสถานการณ์ของโรคโควิด 19 ที่ได้เข้าสู่ภาวะปกติมาระดับหนึ่งแล้ว เช่น วัคซีนซิโนแวคยุติการผลิตเมื่อเดือนมกราคมนี้ ส่วนวัคซีนต้านโควิดของ Johnson & Johnson ก็ได้ยุติการผลิตตั้งแต่กลางปีที่แล้วเช่นกัน  

ด้านแอสตร้าเซนเนก้าระบุว่า เหตุผลที่ถอนวัคซีนออกจากตลาดเนื่องมาจากในปัจจุบันมีวัคซีนใหม่ๆ ผลิตออกมาเพื่อรับมือกับสายพันธ์ใหม่ๆของ โรคโควิด 19 อย่างต่อเนื่อง ทำให้ความจำเป็นที่จะต้องนำเข้าวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าลดตามลงมาด้วย 

ทั้งนี้ นักวิชาการด้านสาธารณสุขต่างเห็นตรงกันว่า วัคซีนของแอสตร้าเซนเนเก้มีส่วนช่วยในการบรรเทาการระบาดของโรคโควิด-19 อย่างมหาศาล โดยเฉพาะในช่วงแรกๆ ที่วัคซีนมีจำนวนจำกัด 

“วัคซีนตัวนี้ได้ช่วยชีวิตคนไว้หลายล้านคน และเราไม่ควรลืมข้อเท็จจริงนี้” Catherine Bennett  ศาสตราจารย์ด้านระบาดวิทยาในออสเตรเลีย กล่าวให้สัมภาษณ์

อ่านเพิ่มเติม

สถาบันวัคซีน แจงเกิดภาวะลิ่มเลือด-เกล็ดเลือดต่ำ จากวัคซีน AstraZeneca มีน้อย

Should You Be Worried About AstraZeneca Vaccines? 

A study confirms a small risk of blood clots after vaccines, but not as high as the risk Covid brings.


ทำนาย 8 ข่าวลวง-ความเข้าใจผิด ในการเลือก สว.2567

“ระบบที่ซับซ้อน” “ระเบียบที่ไม่ชัดเจนและเข้าใจยาก” และ “ความทรงจำที่ทับซ้อนกับการเลือกตั้ง สส.” เป็นปัจจัยที่ทำให้ รัชพงษ์ แจ่มจิรไชยกุล เจ้าหน้าที่โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) วิเคราะห์ว่าการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในช่วง 2 เดือน นี้ (11 พฤษภาคม – 2 กรกฎาคม 2567) จะมีข้อมูลที่สร้างความเข้าใจผิดและข่าวลวงเกิดขึ้นไม่น้อย

“ผมคิดว่าข่าวลวงที่เกิดขึ้นในการเลือก สว. อาจจะไม่ได้เกิดจากการตั้งใจปล่อย แต่เกิดจากความเข้าใจผิด ซึ่งเป็นผลพวงจากระบบที่ซับซ้อน เข้าใจยาก…ยิ่งเข้าใจยาก ความเข้าใจผิดก็ยิ่งเกิดขึ้นได้ง่าย” รัชพงษ์ให้สัมภาษณ์กองบรรณาธิการโคแฟคเมื่อ 15 พฤษภาคม 2567 โดยวิเคราะห์จากการศึกษากฎหมายและระเบียบว่าด้วยการเลือก สว. 2567 อย่างละเอียดและจากการติดตามความเคลื่อนไหวทางการเมืองในหลายมิติ

ในการตรวจสอบข้อเท็จจริง (fact check) มีการแบ่งข้อมูลข่าวสารเป็น 3 ประเภทตามเจตนาการผลิตและเผยแพร่ ได้แก่ misinformation คือ ข้อมูลผิด ที่ผู้สร้างหรือเผยแพร่เชื่อว่าเป็นความจริงโดยบริสุทธิ์ใจไม่มีจุดประสงค์ร้าย disinformation คือ ข้อมูลเท็จ ที่ผลิตและเผยแพร่โดยเจตนาร้าย เพื่อสร้างความเสียหาย ถ้าเป็นไปเพื่อการโจมตีทางการเมืองเรียกว่า political disinformation และ malinformation คือ ข้อมูลจริงที่เผยแพร่โดยมีเจตนาสร้างความเสียหาย เช่น การปล่อยข้อมูลส่วนบุคคล ภาพหลุด คลิปหลุด ข้อความสนทนาส่วนตัว

รัชพงษ์ แจ่มจิรไชยกุล จากไอลอว์ วิเคราะห์ว่าในการเลือก สว. เราจะเจอกับข้อมูลเท็จที่เกิดจากความเข้าใจผิดมากกว่าข่าวลวงที่จงใจปล่อยโดยเจตนา

หากเป็นไปตามที่รัชพงษ์วิเคราะห์ สิ่งที่เราจะเจอมากที่สุดในการเลือก สว. ครั้งนี้คือข้อมูลที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากความเข้าใจผิดของผู้คน หรือ misinformation แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะมีการจงใจเผยแพร่ political disinformation เพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองบางอย่าง

ต่อไปนี้คือข่าวลวงและข้อมูลที่สร้างความเข้าใจผิด 8 ประเด็น ที่รัชพงษ์ทำนายว่าจะเกิดขึ้นในช่วง 2 เดือนของกระบวนการได้มาซึ่ง สว. ชุดใหม่ 200 คน  

ข่าวลวง #1: ห้ามผู้สมัคร สว. แนะนำตัวว่าเป็นผู้สมัคร

กฎหมายบอกว่า: ผู้สมัครแนะนำตัวเองได้ แต่ต้องเป็นไปตามระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2 ซึ่งระบุว่าผู้สมัครสามารถบอก ชี้แจง หรือแจกเอกสารแนะนำตัวเพื่อให้ผู้สมัครอื่นรู้จักได้ โดยเอกสารแนะนำตัวต้องมีความยาวไม่เกิน 2 หน้ากระดาษ A4 ระบุข้อมูลส่วนตัว รูปถ่าย กลุ่มที่ลงสมัคร หมายเลขผู้สมัคร ประวัติการศึกษา ประวัติและประสบการณ์ในการทำงาน แต่ในการเผยแพร่เอกสานมีข้อห้าม เช่น

  • ห้ามแจกเอกสารแนะนำตัวด้วยการวาง โปรย หรือติดประกาศในที่สาธารณะ และห้ามแจกในสถานที่เลือก สว.
  • ห้ามแนะนำตัวทางวิทยุโทรทัศน์ วิทยุกระจายเสียง เคเบิลทีวี สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อโฆษณาทางดิจิทัล
  • ห้ามแนะนำตัวโดยการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน

ข่าวลวง #2: ห้ามผู้สมัคร สว. แนะนำตัวในโซเชียลมีเดีย

กฎหมายบอกว่า: เดิมที กกต. ห้ามผู้สมัครแนะนำตัวในโซเชียลมีเดียจริง โดยระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 ฉบับที่ 1 ลงวันที่ 25 เมษายน 2567 ระบุว่าผู้สมัครแนะนำตัวโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ “โดยให้ใช้ข้อความตามเอกสารแนะนำตัว” และ “เผยแพร่แก่ผู้สมัครอื่นในการเลือกเท่านั้น” ซึ่งหมายความว่าการแนะนำตัวว่าตัวเองเป็นผู้สมัคร สว. ในช่องทางสาธารณะ โซเชียลมีเดีย หรือการแนะนำตัวในที่สาธารณะนั้นทำไม่ได้

แต่ต่อมา กกต. ได้ออกระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 ฉบับที่ 2 ลงวันที่ 14 พฤษภาคม 2567 แก้ไขข้อห้ามดังกล่าว โดยระบุว่า “ผู้สมัครสามารถแนะนำตัวโดยวิธีการอิเล็กทรอนิกส์ โดยให้ใช้ข้อความตามเอกสารแนะนำตัว ซึ่งประชาชนอาจเข้าถึงข้อมูลนั้นด้วยก็ได้”

นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ยังได้ชี้แจงสื่อมวลชนเรื่องการแก้ไขระเบียบแนะนำตัวผู้สมัครเมื่อ 14 พฤษภาคม ว่า

“กกต. ได้เพิ่มช่องทางให้ประชาชนได้มีส่วนรับรู้และเข้าถึงข้อมูลของผู้สมัคร คือ ผู้สมัครหรือผู้ช่วยเหลือผู้สมัครแนะนำตัวในช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ ไม่ว่าแพลตฟอร์มใด ๆ เช่น ติ๊กต็อก ยูทูป อินสตาแกรม เฟซบุ๊ก ท่านสามารถแนะนำตัวได้ ประชาชนก็จะสามารถเห็นท่านได้ เข้าถึงข้อมูลท่านได้จากช่องทางอิเล็กทรอนิกส์…นั่นหมายความว่าประชาชนสามารถรับรู้ เข้าถึงและติดตามตรวจสอบผู้สมัครได้สองช่องทาง คือ เว็บไซต์และแอปพลิเคชัน Smart Vote ของ กกต. ซึ่งจะเปิดเผยรายชื่อและประวัติของผู้สมัครทุกคน อีกช่องทางหนึ่งคือ รับรู้ข้อมูลเหล่านี้จากผู้สมัครทางช่องทางอิเล็กทรอนิกส์”

ภาพประชาสัมพันธ์การเลือก สว. 2567 จากเฟซบุ๊ก กกต.

ข่าวลวง #3: สมาชิกพรรคการเมือง ต้องลาออกอย่างน้อย 5 ปี ถึงสมัคร สว. ได้

กฎหมายบอกว่า: พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 14 ระบุลักษณะต้องห้ามของผู้สมัคร สว. ไว้หลายข้อ ซึ่งอาจทำให้เกิดความสับสนและความเข้าใจผิดที่อาจส่งผลต่อการตัดสินใจลงสมัครหรือไม่สมัคร สว.

ในส่วนที่เกี่ยวกับลักษณะต้องห้ามทางการเมือง มาตรา 14 (21) ระบุว่าผู้สมัคร สว. ต้องไม่เป็นสมาชิกพรรคการเมือง แต่ไม่ได้กำหนดว่าต้องลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคอย่างน้อย 5 ปี นั่นหมายความว่า ทันทีที่การลาออกจากสมาชิกพรรคการเมืองมีผล บุคคลผู้นั้นก็ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามข้อนี้ สามารถสมัครรับเลือก สว. ได้

สำหรับผู้ที่เป็นหรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ พ.ร.ป. ฉบับนี้กำหนดให้ต้อง “เว้นวรรค” ไม่น้อยกว่า 5 ปี ถึงจะมีคุณสมบัติสมัคร สว. ได้แก่ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รัฐมนตรี สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น  และผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมือง (หัวหน้าพรรค, เลขาธิการ, เหรัญญิก, นายทะเบียน, กรรมการบริหารอื่น, หัวหน้าและกรรมการสาขา, ตัวแทนประจำจังหวัด ตำแหน่งอื่น ๆ ในของบังคับของแต่ละพรรค) 

*ตรวจสอบสถานะการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองได้จากเว็บไซต์ กกต.ได้ ที่นี่

ข่าวลวง #4: ย้ายทะเบียนบ้านไม่ถึง 2 ปี ขาดคุณสมบัติ สมัคร สว. ไม่ได้ 

กฎหมายบอกว่า: พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 13 (4) ระบุว่า “ผู้สมัครต้องมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง” ดังต่อไปนี้

  • เป็นบุคคลซึ่งเกิดในอำเภอที่รับเลือก
  • มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในอำเภอที่สมัครรับเลือกติดต่อกันมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปี นับถึงวันที่สมัคร
  • ทำงานอยู่ในอำเภอที่สมัครรับเลือกติดต่อกันมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปี นับถึงวันที่สมัคร
  • เคยทำงานหรือเคยมีชื่อในทะเบียนบ้านในอำเภอที่สมัครรับเลือกเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 2 ปี
  • เคยศึกษาในสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในอำเภอที่สมัครรับเลือกติดต่อกันไม่น้อยกว่า 2 ปีการศึกษา

รัชพงษ์อธิบายว่า เมื่อกฎหมายกำหนดให้ผู้สมัครมีลักษณะ “อย่างใดอย่างหนึ่ง” จึงหมายความว่า ผู้ที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านไม่ถึง 2 ปี ไม่สามารถลงสมัครในอำเภอที่ทะเบียนบ้านนั้นอยู่ได้ก็จริง แต่ยังสามารถลงสมัครในอำเภอที่เกิด หรืออำเภอที่ทำงานอยู่/อำเภอที่เคยทำงาน/อำเภอที่เคยมีชื่อในทะเบียนบ้าน/อำเภอที่เคยศึกษาอยู่ ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 2 ปี ได้

ข่าวลวง #5: เคยไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ขาดคุณสมบัติ สมัคร สว. ไม่ได้

กฎหมายบอกว่า: ผู้ที่ไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งโดยไม่ได้แจ้งเหตุในระยะเวลา 2 ปี ก่อนถึงวันรับสมัคร สว. กล่าวคือการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม 2565-พฤษภาคม 2567 เท่านั้น จึงไม่มีสิทธิสมัคร สว. การเลือกตั้งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไม่มีผลให้ถูกจำกัดสิทธิลงสมัคร สว.

ไอลอว์อธิบายว่า ระยะเวลา 2 ปี นี้มีที่มาจาก ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 ข้อ 47 ที่ระบุว่า ผู้มีสิทธิสมัคร สว. “ต้องไม่เป็นบุคคลผู้ถูกจำกัดสิทธิตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมือง” ซึ่งกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คือ พ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 และ พ.ร.บ. การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 ระบุว่า คนที่ไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งและมิได้แจ้งเหตุที่ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง รวมถึงการเลือกตั้งซ่อมจะถูกจำกัดสิทธิลงสมัคร สว. เป็นระยะเวลา 2 ปี นับตั้งแต่วันเลือกตั้งที่ไม่ได้ไปใช้สิทธินั้น

*ตรวจสอบรายละเอียดผู้ไม่ไปใช้สิทธิและผู้แจ้งเหตุจำเป็นไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งจากเว็บไซต์ของกระทรวงมหาดไทยได้ ที่นี่

ข่าวลวง #6: ห้ามนำเครื่องมือสื่อสารเข้าสถานที่เลือก สว. ในทุกกรณี

กฎหมายบอกว่า: ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 ห้ามผู้สมัครนำเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่อาจใช้เพื่อติดต่อสื่อสารหรือบันทึกภาพหรือเสียงเข้าไปในสถานที่เลือก สว. โดยจะต้องส่งมอบให้เจ้าหน้าที่ก่อนเข้าไปลงคะแนน แต่อนุญาตให้ผู้สมัครที่เป็นคนพิการหรือทุพพลภาพ ผู้สูงอายุ หรือผู้ประสบปัญหาในการใช้สิทธิเลือกที่มีความจำเป็นต้องใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์เพื่อช่วยในการรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกหรือลงคะแนน สามารถนำเครื่องมือหรืออุปกรณ์ดังกล่าวเข้าไปในสถานที่เลือกได้

ข่าวลวง #7: บัตรลงคะแนนจะเป็นบัตรเสีย ถ้าใส่หมายเลขไม่ครบทุกช่อง

กฎหมายบอกว่า: ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 กำหนดให้การเลือก สว. มี 3 ระดับ คือ ระดับอำเภอ ระดับจังหวัด และระดับประเทศ แต่ละระดับจะมีการเลือก 2 ขั้น ขั้นแรกคือเลือกบุคคลในกลุ่มเดียวกัน หรือ “เลือกกันเอง” ขั้นสองคือเลือกผู้สมัครในกลุ่มอื่นที่อยู่ในสายเดียวกัน หรือ “เลือกไขว้” ผู้มีสิทธิเลือกจะต้องเขียนหมายเลขประจำตัวผู้ที่ต้องการเลือกเป็นเลขอารบิกลงในบัตรลงคะแนนเลือก สว. ช่องละ 1 หมายเลข

การเลือกกันเองในระดับอำเภอและระดับจังหวัด ให้ผู้มีสิทธิลงคะแนนเลือกผู้สมัครในกลุ่มเดียวกันไม่เกิน 2 คน ส่วนในระดับประเทศ เลือกได้ไม่เกิน 10 คน โดยโหวตให้ตัวเองได้ แต่โหวตให้คนใดคนหนึ่งเกิน 1 คะแนนไม่ได้

การเลือกไขว้ในระดับอำเภอและระดับจังหวัดจังหวัด แต่ละสายจะมี 3-5 กลุ่ม ให้ผู้มีสิทธิลงคะแนนเลือกผู้สมัครในกลุ่มอื่นที่อยู่ที่ในสายเดียวกันกลุ่มละไม่เกิน 1 คน ส่วนในระดับประเทศให้เลือกได้กลุ่มละไม่เกิน 5 คน โดยผู้ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันจะโหวตให้กันหรือโหวตให้ตัวเองไม่ได้

รัชพงษ์มองว่าความซับซ้อนของระบบการเลือกและระเบียบที่เข้าใจยากนี้อาจทำให้ผู้สมัคร สว. ที่มีสิทธิลงคะแนน เข้าใจผิดว่าจะต้องเลือกผู้สมัครให้ครบเต็มจำนวนหรือพูดง่าย ๆ ว่าต้องใส่หมายเลขให้ครบทุกช่องในบัตรลงคะแนน แต่ในความเป็นจริง ระเบียบ กกต. ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องลงคะแนนให้ครบทุกช่อง นั่นหมายความว่า ในการเลือกกันเอง ผู้สมัครอาจโหวตให้ตัวเองคนเดียว โดยไม่โหวตให้คนอื่นก็ได้ หรือในการเลือกไขว้ อาจโหวตให้ผู้สมัครไม่ครบทุกกลุ่มหรือไม่ครบทั้ง 5 คนในการเลือกระดับประเทศก็ได้

“สมมติว่าผมเป็นผู้สมัครในกลุ่มการศึกษา ในขั้นเลือกไขว้ ผมต้องเลือกผู้สมัครในกลุ่มศิลปินที่เข้ารอบมาซึ่งผมไม่เคยรู้จักมาก่อนเพราะทำงานคนละวงการ ถ้าผมไม่อยากสุ่มลงคะแนนให้คนที่ผมไม่รู้จัก ก็ไม่จำเป็นต้องเลือก ปล่อยว่างไว้ได้ ไม่เป็นบัตรเสีย ให้ลงคะแนนโหวตคนที่เราต้องการเลือกจริง ๆ” รัชพงษ์อธิบาย 

ระเบียบ กกต. ข้อ 104 และ 105 กำหนดลักษณะการลงคะแนนที่ไม่ให้นับเป็นคะแนนและบัตรเสียไว้ดังนี้

ข้อ 104 ลักษณะการลงคะแนนที่ไม่ให้นับเป็นคะแนนสำหรับช่องหมายเลขนั้น (ซึ่งไอลอว์เรียกว่า “บัตรดีบางส่วน” คือให้นับคะแนนในส่วนที่ลงคะแนนถูกตามที่กำหนด)

  • เขียนหมายเลขประจำตัวผู้สมัครที่ไม่มีสิทธิรับเลือก
  • ไม่ได้เขียนหมายเลขประจำตัวผู้สมัครเป็นเลขอารบิก
  • ลงคะแนนมากกว่า 1 หมายเลขใน 1 ช่อง
  • ไม่ได้เขียนหมายเลขลงใน “ช่องเขียนหมายเลขประจำตัวผู้สมัคร” แต่หมายเลขใดที่เขียนในช่องที่กำหนดไว้ ให้นับเป็นคะแนนได้

ข้อ 105 ลักษณะของบัตรลงคะแนนที่นับเป็นบัตรเสียทั้งใบ

  • บัตรปลอม
  • บัตรที่ไม่ได้รับจากกรรมการประจำสถานที่เลือก
  • บัตรที่ทำเครื่องหมายเพื่อเป็นที่สังเกตหรือเขียนข้อความอื่นนอกจากหมายเลขผู้สมัคร
  • บัตรที่ไม่ได้ลงคะแนน
  • บัตรที่มิอาจทราบได้ว่าลงคะแนนให้ผู้สมัครหมายเลขใด
  • บัตรที่ลงคะแนนให้ผู้ไม่มีสิทธิได้รับเลือก
  • บัตรที่เขียนหมายเลขประจำตัวผู้สมัครเกินจำนวนที่กำหนด
  • บัตรที่ลงคะแนนให้บุคคลใดเกิน 1 คะแนน
  • บัตรที่ไม่นับเป็นคะแนนเพราะมีลักษณะตามข้อ 104 และในบัตรนั้นเลือกผู้สมัครเพียงคนเดียว

ข่าวลวง #8: รณรงค์ให้คนลงสมัคร สว. เป็นเรื่องผิดกฎหมาย

กฎหมายบอกว่า: พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 77 ระบุว่าการจูงใจให้ผู้อื่นลงสมัคร สว. หรือจูงใจให้ผู้สมัครลงคะแนนหรือไม่ลงคะแนนให้ผู้ใด เป็นความผิดตามกฎหมายหากเป็นการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้

  • ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด
  • แนะนำตัวด้วยการจัดมหรสพหรือการรื่นเริง
  • เลี้ยงหรือรับจะจัดเลี้ยงผู้ใด
  • หลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญ ใช้อิทธิพลคุกคาม ใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดในคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถหรือชี่อเสียงของผู้ใด

รัชพงษ์กล่าวว่า ตามกฎหมายนี้ แคมเปญ “สมัครเพื่อโหวต/สมัครเพื่อเปลี่ยน” ของไอลอว์ที่เชิญชวนให้คนมาลงสมัคร สว. จึงไม่ผิดกฎหมาย เพราะไม่มีการกระทำใด ๆ ข้างต้นเพื่อจูงใจให้คนไปสมัคร

นายแสวง เลขาธิการ กกต. ยังได้ตอบคำถามสื่อมวลชนในเรื่องนี้อย่างชัดเจนเมื่อ 14 พฤษภาคม ว่า “การรณรงค์ก็เหมือนการเชิญชวน ไม่ได้ผิดอะไรครับ รณรงค์ไม่ได้บอกว่าใครมีอาชีพอะไร ทำได้ทั้งนั้น แต่อย่าไปช่วยเหลือหรือช่วยแนะนำตัว ซึ่งผิดระเบียบการแนะนำตัว”

ปล่อยข่าวลวงทำลายชื่อเสียงผู้สมัครคู่แข่ง?

นอกจาก 8 ข่าวลวงและความเข้าใจผิดที่คิดว่าจะเกิดขึ้นแล้ว โคแฟคชวนรัชพงษ์วิเคราะห์ต่อไปว่า การปล่อยข่าวลวงเพื่อทำลายชื่อเสียงของผู้สมัครคนอื่น เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นในการเลือกตั้ง สส. จะเกิดขึ้นหรือไม่ ซึ่งเขาให้ความเห็นว่า ไม่น่ามีมากนักเพราะการทำลายชื่อเสียง/ภาพลักษณ์/ความน่าเชื่อถือของผู้สมัครคนอื่น หรือ “character assassination” ต่อสาธารณะนั้น อาจไม่มีผลในการเลือก สว. ซึ่งเป็นการเลือกกันเองแบบปิดของผู้สมัคร

“การปล่อย fake news เพื่อทำลายชื่อเสียงหรือความน่าเชื่อถือของผู้สมัคร ไม่ได้ส่งผลมากเหมือนการเลือกตั้ง สส. เพราะในการเลือกตั้ง สส. ประชาชนคือคนที่ไปลงคะแนนเลือกผู้สมัคร การรับรู้ของสาธารณชนจึงมีผลต่อการลงคะแนน แต่การเลือก สว. เป็นการเลือกของผู้สมัครด้วยกันเอง ดังนั้นเขาคงไม่เสียเวลาในการไปปล่อยข่าวว่าคนนั้นไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าผู้สมัครต้องการได้คะแนนด้วยวิธีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เขาคงเลือกที่จะยกหูโทรศัพท์แล้วซื้อเสียงหรือเสนอผลตอบแทนให้ผู้สมัครคนอื่น ไม่จำเป็นต้องไปปล่อยข่าวลวง ทำลายกันในทางสาธารณะ”

แม้คาดว่าจะเกิดขึ้นน้อย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เกิดขึ้นเลย

“ถ้าจะมีการปล่อยข่าวลวงทำลายชื่อเสียงกัน ก็น่าจะเกิดขึ้นหลังจากวันปิดรับสมัคร (24 พ.ค.) และ กกต. ประกาศรายชื่อผู้สมัคร สว.ทั้งหมดแล้ว ถึงตอนนั้น เราจะรู้ว่าผู้สมัครมีใครบ้าง แล้วก็อาจจะมีการถกเถียงถึงคุณสมบัติของแต่ละคน ว่าใครเหมาะสม-ไม่เหมาะสมอย่างไร” รัชพงษ์ให้ความเห็น

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค: รายงาน

อ่านเพิ่มเติม

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 18 พฤษภาคม 2567

ผลิตภัณฑ์ Matti Mum ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำนมได้ภายในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง และช่วยให้เด็กมีน้ำหนักที่ดีเพิ่มขึ้น…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3isurnvc1jcnv


แผ่นแปะช่วยการนอนหลับได้ผลทันทีหลังใช้งาน โดยสถาบันประสาทวิทยา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/rdiedrjdubtp


ฝนตกลงมาเป็นปลาที่อิหร่าน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/xcpjpbcvj9yr#_=_


  ผู้ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ต่ำกว่า Version 9 จะไม่สามารถใช้แอปฯ Krungthai NEXT เป๋าตัง และถุงเงินได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3rhkngk9wshuw


   อสม.ทั่วไทย รับจุกๆ เงินเข้าบัญชี 8000 บาท ค่าตอบแทนเป็น 2 พันบาท

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1f9ktsn6gqdew


  ไทม์ไลน์ เลือกตั้ง สว.

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3pk1mh5zpr0d7


อินเดียอ่วม ฝนตกฟ้าคะนองรุนแรงผิดปกติ ฟ้าผ่าชาวบ้านดับอย่างน้อย 24 ศพ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3rmx7mhhutubq


 AI สามารถสร้างเพลงให้ได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3kzl5cfawtb0o#_=_


ภาพเอไอดาราดังฮอลลีวูด-ผู้นำโลกเล่นสงกรานต์ไทย : อวย..ป่วน..เอามัน หรือใครกันได้ประโยชน์

กุลชาดา ชัยพิพัฒน์ ที่ปรึกษาโคแฟค รายงาน

ในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ชาวเน็ตได้นำภาพชุดเล่นสาดน้ำสงกรานต์ที่สร้างขึ้นด้วยปัญญาประดิษฐ์หรือ เอไอ (Artificial Intelligence- Ai) ของเหล่าดาราดังฮอลลีวูด อย่าง ทอม ครูซ, เดอะ ร็อค, โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์, ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ และ คิอานู รีฟส์และผู้นำโลกที่เป็นข่าวทั้งในสื่อไทยและต่างประเทศอยู่บ่อยๆ​ อาทิ ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ประธานาธิบดี คิม จอง อึน ของเกาหลีเหนือ และประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส รวมถึงมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งและซีอีโอเมตา และอีลอน มัสก์ ซีอีโอเทสลาและสเปซ เอ็กซ์ มาแชร์กันอย่างแพร่หลายในสื่อสังคมออนไลน์ทั้งทางห้องสนทนาเปิดและแชทกลุ่มปิดต่างๆ เช่น ในไลน์ เป็นต้น

ดูเผินๆ ภาพเหล่านี้ถูกส่งต่อกันมา เพื่อความบันเทิงและดูสนุก โดยต้นทางมีเจตนาที่จะอวดผลงานกันระหว่างนักสร้างสรรค์ภาพโดยเอไอว่าใครสร้างได้สมจริงหรือสวยงามสร้างสรรค์กว่ากัน เหมือนเช่นภาพเอไอคนเล่นสงกรานต์อื่นๆที่ไวรัลอยู่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา และอาจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อของคนรับสารอย่างมีนัยสำคัญ  เพราะบัญชีผู้ใช้งานในโลกโซเชียลส่วนใหญ่ที่แชร์ภาพชุดนี้ จะระบุไว้อย่างชัดเจนว่าเป็นภาพเอไอและให้เครดิตเจ้าของภาพ

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ผู้รับสารทุกคนจะเข้าใจได้ว่า การที่บุคคลที่มีชื่อเสียงระดับโลกเหล่านี้จะเดินทางมาประเทศไทยโดยไม่เป็นข่าว หรือจะไปเที่ยวเล่นสงกรานต์ตามที่สาธารณะอย่างเปิดเผยตัวตนโดยไม่คำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก หรือหากเดินทางมาจริง ก็คงหลีกเลี่ยงการเปิดเผยตัวตนในคนหมู่มาก นอกจากจะมีช่างภาพปาปารัสซี่มือดีแอบถ่ายภาพในอิริยาบถส่วนตัวไว้ได้

หากเราดูในบริบทของปฏิบัติการณ์ข้อมูลข่าวสารบนโลกออนไลน์ เราอาจตั้งข้อสังเกตได้ว่า ใครได้ประโยชน์ทางใดทางหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมืองหรือการตลาด จากการที่ภาพเหล่านี้ถูกแพร่กระจายไปในโลกออนไลน์  และใครบ้างคือกลุ่มเป้าหมายของการเผยแพร่ภาพเหล่านี้

เส้นทางการเผยแพร่ของภาพชุดนี้เป็นอย่างไร

โคแฟคได้ตรวจเช็คแหล่งที่มาของภาพชุดนี้เมื่อวันที่ 21 เม.ย. 2567 ใน Google search พบภาพชุดดังกล่าวมาจากห้องสนทนากลุ่มเปิดในเฟซบุ๊กชื่อ AI CREATIVES THAILAND โดยผู้ใช้งานชื่อ Jithsarana Opt ซึ่งถูกระบุว่าเป็นเจ้าของภาพ ได้โพสต์ภาพชุดผู้นำโลกเล่นสงกรานต์ ไว้ในกลุ่มเมื่อวันที่ 15 เม.ย. 2567 พร้อมคำอธิบายว่า ต้องการเห็นผู้นำประเทศเหล่านี้ในอิริยาบทที่สนุกสนาน ดูไม่เครียดเหมือนในข่าว โพสต์ดังกล่าวมีผู้เข้ามากดชอบกว่า 3,400คน แสดงความเห็น 169 ข้อความ และแชร์ 636ครั้ง ส่วนภาพเอไอชุดดาราฮอลลีวูด ก็มีคนเข้ามาปฏิสัมพันธ์ไม่แพ้กัน โดยมากดชอบประมาณ 1,000 คน แสดงความเห็น 75 ข้อความและแชร์ 289 ครั้ง

ภาพชุดดังกล่าวได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางเพราะนอกจากจะดูสวยงามแล้ว ยังมีมุมมองที่น่าสนใจ จึงเป็นที่กล่าวขวัญถึงและพากันแชร์ภาพชุดนี้ในโลกโซเชียล โดยผู้ใช้งานเฟซบุ๊กบางรายได้เข้ามาซักถามเจ้าของภาพว่าใช้โปรแกรมเอไออะไรสร้างภาพออกมาได้สวยงามและเหมือนจริง หรือเป็นภาพลิขสิทธิ์หรือไม่ บางรายก็ขอภาพไปใช้ฟรี หรือนำโพสต์ต่อ โดยให้คำบรรยายภาพแตกต่างกันไป มีอิงการเมืองบ้าง เช่น ผู้ใช้งานฟซบุ๊กชื่อ Tui July ได้บรรยายภาพว่า หยุดสงคราม.. เล่นสงกรานต์…  หรือบัญชีผู้ใช้งานติ๊กต่อกnong_1688 ได้พาดหัวคลุมเครือประหนึ่งว่าบุคคลเหล่านั้นมาเล่นสงกรานต์เมืองไทยจริง

ในขณะเดียวกัน ทางเว็บไซต์ตรวจสอบข้อเท็จจริง Fact Crescendo Thai ซึ่วอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร Fact Crescendo ประเทศอินเดีย ที่ได้รับการรับรองจาก International Fact Checking Network (IFCN) ได้ติดตามตรวจสอบที่มาของภาพชุดนี้เช่นกัน โดยสรุปไว้ในรายงานเมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2567 ว่าเป็นภาพเอไอที่มาจากเฟซบุ๊กกลุ่มดังกล่าว ไม่ใช่ภาพที่ถ่ายจากเหตุการณ์จริง และยังเชื่อมโยงให้เห็นถึงภาพเอไอเกี่ยวกับการเล่นสงกรานต์อื่นๆ ว่าเป็นภาพที่มีมาจากสมาชิกของเฟซบุ๊กกลุ่มนี้อีกด้วย นอกจากนี้ผู้ตรวจสอบข้อมูลของเว็บฯ ยังได้แคปจอโพสต์ของบัญชีผู้ใช้งานเฟซบุ๊กชื่อ ประเทศกูมี อินฟลูเอนเซอร์การเมืองที่มีผู้ติดตามกว่า 3 แสนคน (326k) ที่แสดงความเห็นไปในทำนองแปลกใจว่ามีคนเชื่อว่าภาพชุดนี้เป็นภาพเหตุการณ์จริงด้วยหรือ

AI CREATIVES THAILAND เป็นกลุ่มห้องสนทนาเปิด ที่ก่อตั้งได้ประมาณหนึ่งปี ปัจจุบันมีสมาชิกกลุ่มกว่า 500,000 คน (508k) เทียบเท่ากับเป็นอินฟลูเอนเซอร์ระดับmacro โดยมีวัตถุประสงค์ให้สมาชิกนำภาพเอไอมาแชร์เพื่อประชันความสร้างสรรค์และสวยงามกัน หรือเปิดโอกาสให้อวดผลงานกันเต็มเผื่อมีลูกค้าสนใจจ้างงาน

ภาพในคลังภาพของกลุ่มมีทั้งภาพพุทธศิลป์ ภาพแฟนตาซีในวรรณคดี การ์ตูนอานิเมะ ภาพผู้หญิงออกแนวเซ็กซี่ และมีภาพล้อเลียนการเมือง เสียดสีสังคม ปะปนอยู่บ้าง ล่าสุดสมาชิกกลุ่มคนหนึ่งได้นำภาพเอไอที่เป็นภาพแกะสลักหน้าคล้ายประธานาธิบดีปูติน และมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก บนกำแพงปราสาทหินแบบขอมของกัมพูชา มาโพสต์ โดยพูดทีเล่นทีจริงว่า ชาติก่อนทั้งสองคนน่าจะเป็นคนเขมร ซึ่งเป็นการล้อเลียนกระแสวิพากษ์วิจารณ์ร้อนแรงบนโลกออนไลน์ระหว่างชาวไทยและชาวกัมพูชานับตั้งแต่กัมพูชาอ้างว่ามวยไทยมีต้นกำเนิดมาจากศิลปะการต่อสู้ของชาวกัมพูชามาแต่โบราณ

เมื่อปลายปี 2566 กลุ่มคลังภาพเอไอกลุ่มนี้ได้ถูกพูดถึงเพิ่มมากขึ้นหลังจากที่สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้แจ้งตำรวจไซเบอร์ให้ตรวจสอบกลุ่มนี้เพราะมีพฤติกรรมหมิ่นพุทธศาสนา โดยภาพเอไอที่เป็นปัญหาคือภาพชุดพระซิ่งรถจักรยานยนต์ และ พระเล่นกีตาร์ที่สมาชิกของกลุ่มได้นำมาโพสต์ไว้ กรณีดังกล่าวก่อให้เกิดการถกเถียงในวงกว้างทั้งในสื่อสังคมออนไลน์และในสื่อมวลชน มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย รวมถึงตั้งคำถามในแง่กฎหมายว่าจะเอาผิดได้หรือไม่เนื่องจากเป็นรูปที่สร้างขึ้นโดยเอไอ แต่ส่วนใหญ่จะมองว่าภาพดังกล่าวว่าเป็นเรื่องของสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและความคิดสร้างสรรค์มากกว่าจะทำให้ศาสนาเสื่อมเสีย  เพราะความเสื่อมของศาสนามีอยู่ก่อนนานแล้ว โดยมีสาเหตุมาจากคนในศาสนาเองซึ่งเป็นข่าวอยู่บ่อยๆ แต่เข้าทำนองว่าจัดการอะไรไม่ได้

อย่างไรก็ตามมีผู้ใช้งานในกระทู้พันทิปรายหนึ่งได้ออกมาเปิดเผยในเมื่อวันที่ 18 มี.ค. ที่ผ่านมาว่าเขาถูกขับออกจากกลุ่มเพราะวิพากษ์วิจารณ์งานในกลุ่มมากเกินไป โดยโปรยว่า แอดมินกลุ่ม (ซึ่งมีสามคน) ปล่อยปละละเลยทำให้ห้องสนทนาที่สร้างกันมาจนมีสมาชิกว่าสี่แสนคน กลายเป็นห้องสนทนาที่ toxic และหากรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ก็ให้เลิกกลุ่มหรือทำเป็นกลุ่มปิดไปเลย

จากการเข้าไปสำรวจดูห้องสนทนาดังกล่าวเมื่อวันที่ 2 พ.ค. 2567 ไม่พบภาพชุดที่ถูกแจ้งว่าหมิ่นศาสนา ซึ่งอาจถูกลบออกไปแล้ว  และจากการสำรวจเงื่อนไขความเป็นสมาชิกกลุ่มพบว่า เป็นเงื่อนไขที่ค่อนข้างยืดหยุ่น เช่น ผู้เป็นสมาชิกใหม่จะต้องเป็นบัญชีผู้ใช้งานมาไม่ต่ำกว่าสามเดือน เมื่อเข้ามาแล้วไม่สามารถโพสต์ข้อความหรือคอมเมนต์ได้จนกว่าจะครบสามวัน อย่างไรก็ตาม โพสต์สแปม รูปโป๊ เปลือย อนาจาร คลิปโป๊ คลิปการพนัน หรือที่ถูก รีพอร์ต จะถูกแอดมินลบทันที และภาพหรือข้อความที่เข้าข่ายหรือไม่แน่ใจว่าผิดกฎหมาย ถือเป็นความรับผิดชอบของคนโพสต์และให้พิจารณาลบออกเองได้

นอกจากนี้ ในรอบหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ห้องสนทนาดังกล่าว มีการโพสต์ภาพกว่า 8,000ภาพ และในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา มีสมาชิกเพิ่มขึ้นกว่า 6,000 คน 

เจตนา…..ใครได้ประโยชน์

แน่นอนว่าการแชร์ภาพชุดนี้ไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายทั้งในโลกออนไลน์หรือโลกที่เป็นจริง และเจ้าของภาพอาจไม่ได้มีเจตนาอะไรมากไปกว่าการได้โปรโมตผลงานของตนเองซึ่งก็ถือว่าประสบความสำเร็จ 

แต่หากเราใช้เลนซ์การเมืองเข้ามาจับเรื่องนี้ ฝ่ายที่ได้รับประโยชน์ อาจเป็นทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ในด้านหนึ่งการที่มีข่าวดาราดังออลลีวูดและผู้นำระดับโลกมาเที่ยวเมืองไทยย่อมเป็นการส่งเสริมภาพพจน์ของประเทศตามนโยบายการท่องเที่ยวและซอฟต์พาวเวอร์ที่รัฐบาลทซึ่งมีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำอยู่ กำลังเร่งเครื่องดันอย่างเต็มที่ โดยมุ่งโกยแต้มจากสถิติตัวเลขชาวต่างชาติที่เดินทางมาเที่ยวประเทศไทยช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่พุ่งสูงขึ้นกว่าปีก่อนๆ แต่อีกด้านหนึ่ง รัฐบาลอาจถูกโจมตีได้เช่นกันว่าปล่อยข่าวลวงสร้างภาพ หรือถูกมองไปในในเชิงทฤษฎีสมคบคิดว่าด้วยความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับมหาอำนาจฝ่ายอำนาจนิยม

สมมติฐานดังกล่าวไม่ได้เป็นสิ่งที่เกินเลยจากความเป็นจริงในสมรภูมิทางการเมืองในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2566 คู่ขัดแย้งทางการเมืองและผู้สนับสนุน ต่างฉวยใช้ข่าวลวงทุกรูปแบบเพื่อสร้างภาพให้ฝ่ายตนเองและทำลายความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงข้าม โดยประชาชนที่ไม่รู้เท่าทันข่าวลวง อาจตกเป็นเป้าหมายและถูกชักจูงได้ง่าย และในยุคที่เทคโนโลยีเอไอมีการพัฒนาการไปไกลมากจนจับได้ยาก(Deepfake) ยิ่งทำให้คนทั่วไปไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอันไหนเป็นภาพเหตุการณ์หรือข้อมูลจริง และอันไหนเป็นภาพเอไอ

ข้อสรุปของโคแฟค

1. โคแฟคส่งเสริมสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกตามรัฐธรรมนูญไทยปี 2560 และหลักการสิทธิเสรีภาพสากล ตามข้อที่ 19 ของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนปี2491 แต่การแชร์ภาพที่สร้างขึ้นโดยเอไอ เจ้าของภาพต้องระบุให้ชัดว่าเป็นภาพเอไอและสร้างขึ้นเพื่อจุดประสงค์อะไร เพื่อให้ผู้ที่นำไปแชร์ต่อได้เข้าใจเจตนาและบริบทของภาพเหล่านั้นเสียก่อน

2. การเฝ้าระวังและการตั้งข้อสังเกตกับการเผยแพร่ภาพเอไอมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้สังคมเกิดการเรียนรู้ขอบเขตของการใช้ภาพเอไอและการใช้อย่างสร้างสรรค์ รวมทั้งรู้เท่าทันผลกระทบหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้จากภาพเหล่านั้นก่อนจะแชร์ต่อไป ในขณะที่สังคมไทย โดยเฉพาะในแวดวงเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมทั้งแพลตฟอร์มและวงการสื่อสารมวลชน ยังไม่มีข้อยุติในเรื่องจริยธรรมหรือขอบเขตที่เหมาะสมของการใช้เอไอเพื่อสร้างพื้นที่ปลอดภัยและความน่าเชื่อถือในการสื่อสารบนโลกออนไลน์ 


5 ปี โคแฟค สู่แรงบันดาลใจที่ไต้หวัน “พันธมิตรชานม” รวมพลังต้านข่าวลวง

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค: รายงาน

กรุงไทเป, ไต้หวัน –โคแฟค ประเทศไทย ฉลองครบ 5 ปี ของการก่อตั้ง ด้วยการเดินทางไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับองค์กรภาคประชาสังคมด้านการตรวจสอบข้อเท็จจริงของไต้หวัน โดยคุณ ออเดรย์ ถัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลของไต้หวัน (Ministry of Digital Affairs-MODA) ผู้เป็นแรงบันดาลใจในการก่อตั้งโคแฟค ได้ร่วมแสดงความยินดีและให้กำลังใจในการทำงาน พร้อมกับย้ำว่า “ความร่วมมือกันของคนต่างวัย คือหัวใจของการต่อสู้ข่าวลวง

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนมิถุนายน 2562 องค์กรภาคประชาสังคมในประเทศไทยได้จัดสัมมนาเรื่องการแก้ปัญหาข่าวลวงโดยเชิญคุณออเดรย์มาเล่าประสบการณ์ของไต้หวัน ซึ่งเป็นต้นแบบการสร้างเครือข่ายภาคพลเมืองในการตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อมูลข่าวสารนำโดยองค์กรอย่าง Cofacts และ Taiwan FactCheck Center ซึ่งได้จุดประกายและแรงบันดาลใจสู่การก่อตั้งโคแฟค ประเทศไทยขึ้นหลังจากนั้น โดยโคแฟคมีที่มาจากคำว่า “collaborative fact checking” หรือการแสวงหาความจริงร่วมกัน

คุณออเดรย์ อัจฉริยะด้านคอมพิวเตอร์วัย 43 ปี ที่สร้างประวัติศาสตร์ในการเมืองไต้หวันด้วยการเป็นรัฐมนตรีคนแรกของกระทรวงดิจิทัล โดยเป็นรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุด (อายุ 35 ปี เมื่อเข้ารับตำแหน่งครั้งแรกในปี 2559) และเป็นรัฐมนตรีหญิงข้ามเพศคนแรกของไต้หวัน บอกว่ารู้สึกดีใจมากที่ได้ทราบว่า 5 ปีที่ผ่านมา โคแฟค ประเทศไทย ทำงานอย่างแข็งขันในการตรวจสอบข้อเท็จจริง ต่อสู้กับข่าวลวง และเสริมสร้างความรู้เท่าทันสื่อของประชาชน

ออเดรย์ ถัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลของไต้หวัน เดินทางมาประเทศไทยเมื่อเดือนมิถุนายน 2562 เพื่อร่วมงานเสวนาว่าด้วยการแก้ปัญหาข่าวลวง จัดโดยองค์กรภาคประชาสังคมไทย

“เราเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า การทำงานร่วมกันบนพื้นฐานความหลากหลายคือวิถีสู่การสร้างสังคมประชาธิปไตยที่เข้มแข็งและอนาคตอันเสรีร่วมกัน” คุณออเดรย์ให้สัมภาษณ์กองบรรณาธิการโคแฟคและสื่อมวลชนที่ร่วมโครงการศึกษาบทเรียนการต่อต้านข่าวลวงของไต้หวันในและการใช้เทคโนโลยีภาคพลเมือง (civil tech) ในการแก้ปัญหาสังคม ระหว่างวันที่ 2-5 พฤษภาคม 2567 ณ กรุงไทเป โดยได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิฟรีดิช เนามันเพื่อเสรีภาพ (FNF)

FNF เป็นหนึ่งในองค์กรภาคีที่ร่วมก่อตั้งโคแฟค ประเทศไทย องค์กรอื่นๆ ได้แก่ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ChangeFusion และ Opendream เป็นต้น

ในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลแห่งไต้หวัน คุณออเดรย์กล่าวว่ารัฐบาลไต้หวันให้ความสำคัญและสนับสนุนองค์กรภาคประชาสังคม ภาคพลเมือง ตลอดจนองค์กรไม่แสวงหากำไรในการตรวจสอบข้อเท็จจริงและหักล้างข่าวลวง และยินดีที่องค์กรภาคประชาชนอย่าง Taiwan FactCheck Center และ MyGoPen ของไต้หวันได้รับการรับรองมาตรฐานการทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงจากเครือข่ายองค์การตรวจสอบข่าวสากล (International Fact Checking Network)

เมื่อถามถึงทิศทางการทำงานในระยะต่อไปของเครือข่ายการตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งของไต้หวันและไทย คุณออเดรย์เสนอว่า “การผนึกกำลังของคนต่างวัย” (inter-generational solidarity) คือหัวใจของการต่อต้านข่าวลวง

คุณออเดรย์สนทนากับคณะโคแฟค ประเทศไทย ที่งาน Gov Zero (g0v) Summit 2024 ณ กรุงไทเป ไต้หวัน เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2567

“เราต้องเปิดโอกาสให้คนสูงวัยกับเด็กรุ่นใหม่ได้มาพบปะกัน แลกเปลี่ยนเรียนรู้วิธีการแยกแยะว่าอะไรเป็นข่าวลวง อะไรเป็นข้อมูลเท็จ และจะจัดการกับมันอย่างไร เพราะว่าคนแต่ละรุ่นต่างก็มีภูมิปัญญาและความถนัดที่แตกต่างกัน เราจึงควรส่งเสริมให้คนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน” คุณออเดรย์กล่าว  

นอกจากจะได้พบคุณออเดรย์ผู้เป็นแรงบันดาลใจคนสำคัญแล้ว โคแฟคและคณะสื่อมวลชนยังได้เดินทางไปพบปะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และอัพเดทสถานการณ์ด้านการรับมือข่าวลวงจากองค์กรภาคประชาชนในกรุงไทเปอีกหลายแห่ง นอกจากจะได้ความรู้แล้วยังเป็นการกระชับความสัมพันธ์ของ “พันธมิตรชานม” ในมิติของการสร้างสังคมปลอดข่าวลวงอีกด้วย

บทเรียนจาก Taiwan FactCheck Center:

การหักล้างข่าวลวงคือการปกป้องประชาธิปไตย

สำนักงานของศูนย์ตรวจสอบข้อเท็จจริงไต้หวัน (Taiwan FactCheck Center-TFC) เป็นห้องเล็ก ๆ บนชั้น 6 ของอาคารพาณิชย์เก่าแก่ในกรุงไทเป แม้ออฟฟิศจะเล็ก มีทีมงานประจำอยู่ไม่กี่คน แต่การทำงานในลักษณะเครือข่ายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ พื้นที่จึงไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำงาน

อีฟ เฉียว (Eve Chiu) ผู้อำนวยการและบรรณาธิการบริหาร TFC เล่าที่มาขององค์กรว่าก่อตั้งเมื่อปี 2561 โดยได้เงินทุนจากเฟซบุ๊ก (ปัจจุบันคือ Meta) ซึ่งมีนโยบายให้สนับสนุนการตรวจสอบข้อเท็จจริงและต่อต้านข่าวลวงซึ่งแพร่หลายอย่างมากในโซเชียลมีเดียช่วงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2559 จนถึงขั้นบั่นทอนกระบวนการทางประชาธิปไตย Meta ยังเป็นแหล่งทุนหลักของ TFC จนถึงปัจจุบัน ซึ่งขณะนี้มีภาคีสมาชิก 16 องค์กร ที่ช่วยกันสอดส่อง-ตรวจสอบ-หักล้างข่าวลวง แม้ว่าแต่ละองค์กรจะมีนักตรวจสอบข้อเท็จจริง (fact checker) ไม่มากนัก แต่เมื่อทำงานกันเป็นเครือข่ายทั่วไต้หวัน ก็สามารถตรวจสอบข่าวลวงได้ไม่น้อย เครือข่ายนักตรวจสอบข้อเท็จจริงเหล่านี้จะช่วยกันแชร์ผลการตรวจสอบเนื้อหาของกันและกัน ทำให้ข้อมูลที่ถูกต้องเข้าถึงประชาชนในวงกว้าง

อีฟ เฉียว (Eve Chiu) ผู้อำนวยการและบรรณาธิการบริหาร Taiwan FactCheck Center

“เราทำงานร่วมกันเป็นเครือข่าย เราส่งต่อข่าวลวงที่พบให้องค์กรสมาชิกช่วยกันตรวจสอบ เมื่อใครตรวจสอบจนได้ข้อเท็จจริงแล้ว เราก็จะช่วยกันแชร์รายงานนั้นออกไปตามช่องทางการสื่อสารของแต่ละองค์กร การทำงานร่วมกันเป็นเครือข่ายเช่นนี้ทำให้เกิด ‘ระบบนิเวศของการตรวจสอบข้อเท็จจริง’ ในไต้หวัน ที่ทำให้รายงานการหักล้างข่าวลวงของเราเข้าถึงคนในวงกว้างมากกว่าต่างคนต่างทำ” คุณอีฟกล่าว และให้ข้อมูลว่า TFC หักล้างข่าวลวงไม่ต่ำกว่า 60-70 ชิ้นต่อเดือนหรืออาจมากกว่านั้นในช่วงที่มีเหตุการณ์สำคัญอย่างเช่นการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อเดือนมกราคม 2567

กองบรรณาธิการ TFC มีแนวทางในการเลือกเนื้อหาที่นำมาตรวจสอบข้อเท็จจริงอยู่ 3 ข้อ คือ ส่งผลกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ เป็นเนื้อหาที่ถูกเผยแพร่ในวงกว้าง และมีเจตนาร้ายมุ่งสร้างเสียหายต่อบุคคล กลุ่มบุคคลและสังคมโดยรวม

การหักล้างข่าวลวงของ TFC มีทั้งข่าวลวงที่ “ดูออกง่าย” อย่างภาพล็อบสเตอร์ยักษ์หรือวิดีโอตึกระฟ้า Taipei 101 โยกเอนไปมาขณะเกิดแผ่นดินไหว ไปจนถึงข่าวลวงที่ส่งผลกระทบทางการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เช่น การใช้ Generative AI สร้างวิดีโอที่มีภาพและเสียงของนายร็อบ วิตต์แมน ส.ส.สหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์ว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีนโยบายเพิ่มการขายอาวุธสงครามให้ไต้หวัน ส่งกำลังทหารเข้าไปในไต้หวันเพื่อช่วยปกป้องดินแดน รวมทั้งเชิญทหารไต้หวันมาฝึกรบที่สหรัฐฯ ซึ่งเป็นวิดีโอเท็จที่ถูกปล่อยออกมาในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวันเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2567

เครือข่ายนักตรวจสอบข้อเท็จจริงของ TFC ทำงานกันหนักเป็นพิเศษในช่วงในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งล่าสุด ทั้งหักล้างข่าวลวงและตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ผู้สมัครชิงตำแหน่งหรือพรรคการเมืองแต่ละพรรคพูดระหว่างหาเสียงหรือการดีเบตที่ออกอากาศสด

คุณอีฟให้ข้อมูลว่า ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งที่ผ่านมา พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (Democratic Progress Party – DPP) ตกเป็นเป้าโจมตีมากที่สุด ฝ่ายตรงข้ามเผยแพร่ข่าวเท็จที่ทำให้ประชาชนหวาดกลัวว่าจะเกิดสงครามกับจีนหากผู้สมัครจากพรรค DPP ชนะการเลือกตั้ง ที่น่าสนใจคือหลังการเลือกตั้ง มีการปล่อยข่าวลวงว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มีการทุจริต มีการใส่ ‘บัตรผี’ ลงในหีบเลือกตั้งโดยมีซีไอเออยู่เบื้องหลัง

“เราหักล้างข่าวลวงจำนวนมากในช่วงเลือกตั้ง เพราะเมื่อใดที่ประชาชนไม่เชื่อว่าการเลือกตั้งโปร่งใสและเป็นธรรม ไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง เมื่อนั้นประชาธิปไตยย่อมตกอยู่ในอันตราย”

คุณอีฟสรุปว่า การหักล้างข่าวลวงและตรวจสอบข้อเท็จจริงทางการเมืองในช่วงเลือกตั้งเป็นส่วนหนึ่งของ “การปกป้องประชาธิปไตย”

เธอยอมรับว่าปริมาณข่าวลวงที่ถูกหักล้างโดยเครือข่ายนักตรวจสอบข้อเท็จจริงของ TFC นั้น ยังมีปริมาณน้อยมากเมื่อเทียบกับข่าวลวงทั้งหมดที่ถูกผลิตและเผยแพร่ออกมา เพราะข่าวลวงนั้นทำง่ายเผยแพร่ได้เร็ว แต่การพิสูจน์หาความจริงนั้นยาก ใช้เวลา และต้องลงทุนลงแรงกว่ามาก

“แต่เราจะยืนหยัดทำหน้าที่ของเราต่อไป” คุณอีฟกล่าว “เราเชื่อว่าเกราะป้องกันข่าวลวงที่ดีที่สุดคือ การที่ประชาชนรู้เท่าทันข่าวลวง หยุดเชื่อและหยุดเผยแพร่ข้อมูลต้องสงสัยโดยอัตโนมัติ เหมือนกับเวลาทึ่คนขับรถเห็นไฟแดงแล้วจะเหยียบเบรกทันที เราอยากเห็นประชาชนรับข้อมูลข่าวสารอย่างระมัดระวัง หมั่นตั้งคำถาม และรู้เท่าทันว่า เนื้อหาใดที่กระตุ้นให้เราหวาดกลัว โกรธ หรือตื่นเต้นที่ได้รับโชค มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นข้อมูลเท็จเพื่อการหลอกลวง”

บทเรียนจาก Reporters Without Borders:

ถึงเวลาที่รัฐบาลต้องคิดเรื่องกำกับดูแลการใช้ AI   

องค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน (RSF) ในไต้หวันทำงานด้านการปกป้องเสรีภาพสื่อมวลชนและช่วยเหลือผู้สื่อข่าวที่ถูกคุกคามจากการทำหน้าที่สื่อใน 33 ประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ทีมงานโคแฟคและคณะสื่อมวลชนไทยไปเยือนสำนักงาน RSF ในวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก 3 พฤษภาคม พอดี ซึ่งทุกปี RSF จะเผยแพร่รายงานสถานการณ์การคุกคามสื่อและดัชนีเสรีภาพสื่อใน 180 ประเทศและดินแดน

รายงานประจำปี 2567 ระบุว่าประเทศที่มีเสรีภาพสื่อสูงสุด 5 อันดับแรกอยู่ในสแกนดิเนเวียทั้งหมด คือ นอร์เวย์ เดนมารก์ สวีเดน เนเธอร์แลนด์ ฟินแลนด์ ขณะที่ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 87 สูงขึ้นจากอันดับ 106 ในการจัดอันดับครั้งก่อนหน้า เป็นเพราะพัฒนาการด้านการเมือง สังคม เศรษฐกิจและความปลอดภัยของสื่อมวลชนที่มีมากขึ้น แต่ก็ยังคงมีข้อจำกัดจากกฎหมายหมิ่นประมาท กฎหมายความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่อาจนำไปสู่การดำเนินคดีผู้สื่อข่าว การห้ามนำเสนอข่าวและการเซ็นเซอร์ตัวเองของสื่อไทย นอกจากนี้ผู้สื่อข่าวในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังต้องปฏิบัติหน้าที่ในภาวะเสี่ยงอันตราย

ชาตาอักชิ เวอร์มา ผู้จัดการโครงการ องค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน (RSF) ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (กลาง) พูดคุยกับทีมงานโคแฟคและสื่อมวลชนไทย ที่สำนักงาน RSF ใจกลางกรุงไทเป เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2567

ชาตาอักชิ เวอร์มา (Shataakshi Verma) ผู้จัดการโครงการ RSF ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่าสถานการณ์เสรีภาพสื่อโดยรวมในภูมิภาคจัดว่าน่าเป็นห่วง แม้แต่ประเทศที่นับว่าเป็นต้นแบบด้านเสรีภาพสื่อที่ติดท็อป 15 ทุกปี ก็ตกอันดับหมด อย่างเช่น นิวซีแลนด์ (อันดับ 19) ติมอร์เลสเต (อันดับ 20) และไต้หวัน (อันดับ 27)

“การเผยแพร่ข่าวลวงและข้อมูลเท็จที่เกิดขึ้นทั่วโลก เป็นปัญหาที่น่ากังวลมากและส่งผลกระทบทางลบต่อการทำงานของสื่อ เรากำลังจับตาดูเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด” คุณชาตาอักชิกล่าวและยกตัวอย่างการเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวันเมื่อเดือนมกราคม 2567 ที่พบว่ามีการใช้ข่าวลวงและข้อมูลเท็จโจมตีกันทางการเมือง

“ปี 2023 ยังเป็นปีที่มีการใช้ AI มากขึ้นอย่างก้าวกระโดด RSF และองค์กรพันธมิตรจึงได้ออกคู่มือว่าด้วยจริยธรรมการใช้ AI ในงานสื่อสารมวลชน (Paris Charter on AI and Journalism) ซึ่งเรากำลังพยายามผลักดันให้รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ นำข้อเสนอของเราไปเป็นแนวทางในการร่างนโยบายกำกับดูแลการใช้ AI ให้เป็นไปในทางที่ก่อประโยชน์ และไม่ถูกใช้เพื่อสร้างข่าวลวงข้อมูลเท็จ”

“จริงอยู่ว่ามีหลายองค์กรที่ทำงานด้านการตรวจสอบข้อเท็จจริงและต่อต้านข่าวลวง แต่ในยุคที่มีการนำ AI มาใช้ในการผลิตและเผยแพร่ข่าวลวงอย่างกว้างขวางเช่นนี้ RSF เห็นว่าภาครัฐควรจะต้องเข้ามากำกับดูแลด้วย โดยเฉพาะการใช้ AI ในด้านข้อมูลข่าวสาร จะปล่อยให้ภาคพลเมืองรับมือเพียงลำพังคงไม่ไหว” ผู้จัดการ RSF ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกล่าว  

ชมย้อนหลัง RSF X Cofact ไลฟ์สดจากกรุงไทเป เนื่องในวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก 3 พฤษภาคม 2567 ได้ ที่นี่

บทเรียนจาก Cofacts Taiwan:

ทุกคนมีศักยภาพในการหาข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อหักล้างข่าวลวง

เกือบ 8 ปี แล้วที่บิลเลียน ลี (Billion Lee) เป็นผู้อำนวยการ Cofacts ที่เธอร่วมก่อตั้งในปี 2559 คุณบิลเลียนยังคงเปี่ยมไปด้วยพลังในการทำงานและยึดมั่นในแนวคิดตั้งต้นของ Cofacts นั่นคือ สร้างแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เปิดให้คนทั่วไปส่งเนื้อหาที่สงสัยว่าเป็นข่าวลวง/ข้อมูลเท็จเข้ามาให้ตรวจสอบ และมีส่วนร่วมในการตรวจสอบข้อเท็จจริง รวมทั้งเผยแพร่ข้อมูลที่แต่ละคนมีต่อสาธารณะเพื่อตรวจทานซึ่งกันและกัน

Cofacts สนับสนุนให้มีข้อมูลที่หลากหลายและเชื่อว่าการตรวจสอบความถูกต้องไม่ได้เป็นหน้าที่ของนักข่าวหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเท่านั้น แต่พลเมืองทุกคนมีศักยภาพที่จะค้นคว้าหาข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อมาหักล้างข่าวลวง

จากแนวคิดตั้งต้นนี้ ทีมโปรแกรมเมอร์อาสาได้พัฒนาระบบฐานข้อมูลและแชตบอตจนได้แพลตฟอร์มตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ทุกคนเข้าถึงและใช้งานง่ายไม่ซับซ้อน ผู้ใช้งานส่งเนื้อหาต้องสงสัยเข้าไลน์แชตบอทหรือเว็บไซต์ Cofacts ระบบจะค้นหารายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นเดียวกันหรือใกล้เคียงกันมาตอบ ขณะเดียวกันเนื้อหาต้องสงสัยที่ผู้ใช้ส่งเข้ามานั้นก็จะถูกเผยแพร่ในทุกแพลตฟอร์มของโคแฟคเพื่อให้อาสาสมัครนักตรวจสอบข้อเท็จจริงเข้ามาช่วยตรวจสอบ โดยจะต้องอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูลที่ตรวจสอบด้วยและทุกคนใน “ชุมชน Cofacts” สามารถโต้แย้ง ให้ข้อมูลเพิ่มเติม ให้ความเห็น หรือ “ตรวจสอบการตรวจสอบ” ได้อย่างเต็มที่

บิลเลียน ลี แนะนำ Cofacts ในงาน g0v Summit 2024 เมื่อวันที่ 4 พ.ค. 2567 โดยขึ้นเวทีร่วมกับสุภิญญา กลางณรงค์ และชิเฮา ยู จาก IORG ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยด้านปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร

“หลายคนเข้าใจว่าจุดเริ่มต้นของเราเกิดจากการประเด็นไต้หวัน-จีน แต่เปล่าเลย จุดเริ่มต้นของเรามาจากความพยายามหักล้างข่าวลวงและข้อมูลเท็จที่เป็นไปเพื่อสร้างความเกลียดชังโฮโมเซ็กชวลและกลุ่มเพศหลากหลาย ซึ่งเป็นคนกลุ่มน้อยในสังคมไต้หวัน ทุกวันนี้กลุ่มเพศหลากหลายก็ยังตกเป็นเหยื่อของการสร้างความเกลียดชังด้วยข้อมูลเท็จอยู่ แม้แต่ในการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งล่าสุด ก็ยังคงมีพรรคการเมืองที่ใช้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับเพศวิถีมาโจมตีคู่แข่ง” คุณบิลเลียนกล่าว

ในฐานะหนึ่งในผู้ก่อตั้ง เธอภูมิใจมากที่เครือข่ายอาสาสมัครนักตรวจสอบข้อเท็จจริงของ Cofacts เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันมีอยู่มากกว่า 2,400 คนทั่วไต้หวัน แต่นั่นยังไม่พอ

“เรายังเดินหน้าต่อไปในการทำให้ทุกคนเป็นนักตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะการต่อสู้กับข่าวลวง การตรวจสอบข้อเท็จจริง และการเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องไม่ใช่หน้าที่ของนักข่าวหรือผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เราเชื่อว่าทุกคนทำอะไรบางอย่างได้เพื่อช่วยกันให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่สังคม”  

บทเรียนจาก Double Think Lab:

การตรวจสอบข้อเท็จจริงคือรากฐานของการต่อสู้กับไอโอ

วู มิน ซวน (Wu Min Hsuan) นักกิจกรรมเพื่อสังคม และ พูมา เชน (Puma Shen) นักวิชาการด้านกฎหมายและอาชญวิทยาร่วมก่อตั้ง Doublethink Lab (DL) ขึ้นเมื่อปี 2562 เพื่อศึกษาวิเคราะห์และเปิดโปงปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (Information Operation – IO) ของทางการจีน

DL ได้รับการสนับสนุนจากแหล่งทุนต่างประเทศในยุโรปเป็นหลัก รัฐบาลพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) ให้เงินสนับสนุนในบางกิจกรรม แต่หลังจากที่คุณพูมาได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติ สังกัดพรรค DPP ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2567 DL เขาได้ลาออกจากตำแหน่งประธานบริหาร และ DL ก็มีมติไม่รับการสนับสนุนด้านงบประมาณจากภาครัฐอีก เพื่อความโปร่งใสและเป็นอิสระต่อกัน ปัจจุบันคุณวู ดำรงตำแหน่งเป็นซีอีโอของ DL  

“องค์กรของเราเกิดขึ้นจากความอยากรู้ให้แน่ชัดว่าจีนใช้ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร การโฆษณาชวนเชื่อ และการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ-ข่าวลวง เพื่อมีอิทธิพลเหนือคนไต้หวันอย่างไร” คุณวูหรือที่รู้จักในแวดวงนักกิจกรรมว่า “ทีทีแคท” (Ttcat) เล่าที่มาขององค์กร

วู มิน ซวน (Wu Min Hsuan) ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอ Doublethink Lab อธิบายความหมายของคำว่า “doublethink” ซึ่งมาจากหนังสือเรื่อง 1984 ของจอร์จ ออร์เวลล์ หมายถึงระบบคิดที่ทำให้คนเรายอมรับความเชื่อที่ขัดแย้งกันสองประการว่าเป็นความจริงพร้อม ๆ กัน แม้จะตรงข้ามกันก็ตาม

“เราไม่ได้ทำงานด้านการตรวจสอบข้อเท็จจริง แต่เราทำงานร่วมกับองค์กรด้านการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างใกล้ชิด ในขณะที่องค์กรพันธมิตรของเราช่วยกันหักล้างข่าวลวงรายวัน DL มุ่งเน้นการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ทำให้เราสามารถกวาดเนื้อหาที่สื่อสารเป็นภาษาจีนจำนวนมหาศาลเข้ามาไว้ในฐานข้อมูลของเรา แล้วให้โปรแกรมวิเคราะห์ว่าใครบ้างที่ผลิต เผยแพร่และทำให้ข่าวลวงนั้นแพร่หลาย ใครบ้างที่ทำให้เนื้อหาเท็จเหล่านั้นกลายเป็นไวรัล เราวิเคราะห์ได้แม้กระทั่งว่าสื่อไต้หวันเจ้าไหนที่รายงานข่าวหรือใช้ถ้อยคำที่เป็นไปในทิศทางเดียวกับสื่อของทางการจีน”

งานวิจัยสำคัญชิ้นหนึ่งของ DL คือการเปิดโปง “ธุรกิจไอโอ” ที่เผยให้เห็นว่ามีผู้ที่ทำเงินจากการทำงานให้ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารแบบครบวงจร ทั้งคนที่ขโมยรูปถ่ายและโปรไฟล์โซเชียลมีเดียของผู้คนมาขายลูกค้าเพื่อสร้างตัวตนและบัญชีปลอม (fake persona/fake account) ที่ใช้ในการเผยแพร่ข่าวลวง, โปรแกรมเมอร์ที่พัฒนาและขายซอฟต์แวร์สำหรับบริหารจัดการบัญชีปลอมพร้อมกันในคราวเดียว ราวกับมีโทรศัพท์มือถือ 200 เครื่องอยู่ในมือสำหรับจัดการแต่ละบัญชี ซึ่งบัญชีปลอมที่คอยกดไลก์กดแชร์ข่าวลวงเหล่านี้สามารถ “หลอก” อัลกอริทึมของเฟซบุ๊กให้ดันเนื้อหานั้นให้กลายเป็นไวรัล นอกจากนี้ยังมีบริษัทการตลาด บริษัทสื่อ บริษัทประชาสัมพันธ์ที่ทำงานให้ไอโอ โดยเป็นผู้ว่าจ้างอินฟลูเอนเซอร์ในโซเชียลมีเดียและ TikTok ให้พูดตามบทที่ต้องการ

“คำถามคือใครเป็นคนจ่ายเงินให้บุคคลและบริษัทเหล่านี้ผลิตและกระจายข่าวลวง” คุณวูกล่าว “เรากำลังพยายามผลักดันให้รัฐบาลจัดการธุรกิจนี้ การหากินกับการเผยแพร่ข่าวลวง ข้อมูลเท็จนับว่าเป็นอาชญากรรม บุคคลและบริษัทเหล่านี้ควรถูกปิดและถูกดำเนินคดี”

แม้ DL จะมุ่งเน้นที่การเปิดโปงปฏิบัติการไอไอ แต่คุณวูย้ำว่า ฐานรากสำคัญของการรู้เท่าทันปฏิบัติการไอโอคือการตรวจสอบข้อเท็จจริง

“การตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นงานที่สำคัญมาก ปัญหาคือรายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงมักถูกเผยแพร่ในวงแคบ ๆ เราจะทำยังไงให้ผู้คนสนใจและช่วยกันแชร์รายงานการหักล้างข่าวลวง ทำยังไงให้ผู้บริการแพลตฟอร์มช่วยดันเนื้อหาของเราให้แพร่หลายกว่านี้”

“อีกปัญหาหนึ่งที่ผมเห็นก็คือ ผู้คนยังรู้สึกไม่ดีเมื่อถูกเตือนว่ากำลังแชร์ข่าวลวง ถ้าเราไปบอกใครว่าเนื้อหาที่คุณโพสต์นั้นมันเป็นข่าวลวงนะ เขาอาจจะรู้เสียหน้า ไม่พอใจเพราะคิดว่าโดนดูถูกเขาว่าโง่ ไม่มีความรู้ สุดท้ายก็จบลงที่การทะเลาะกัน โกรธกัน คนจำนวนมากจึงเลือกที่จะนิ่งเฉยเมื่อพบเห็นการแชร์ข่าวลวงหรือข้อมูลเท็จ” คุณวูตั้งข้อสังเกต

“เราจึงต้องช่วยกันสร้างบรรทัดฐานทางสังคมในเรื่องนี้ขึ้นใหม่ เราต้องช่วยกันสร้างสังคมที่การเตือนกันเรื่องแชร์ข่าวลวงไม่ใช่การดูถูกหรือหักหน้า ทำให้มันเป็นเรื่องธรรมดาเหมือนเวลาที่ใครมาเตือนเราว่าเชือกรองเท้าหลุด เราจะไม่โกรธ แถมยังนึกขอบคุณด้วยซ้ำที่ทำให้เราไม่สะดุดเชือกรองเท้าหกล้ม”

FNF Global Innovation Hub:

พลังหนุนประชาธิปไตยและเสรีภาพ

นอกจากสนับสนุนการเดินทางและช่วยประสานงานกับองค์กรต่าง ๆ ในการศึกษาดูงานครั้งนี้ มูลนิธิฟรีดิช เนามันเพื่อเสรีภาพ (FNF) ยังได้เปิดสำนักงานกรุงไทเปต้อนรับคณะโคแฟคและสื่อมวลชน ความพิเศษของสำนักงาน FNF ที่นี่คือเป็นที่ตั้งของ Global Innovation Hub ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อปี 2564

เซลีน นอยเออร์ (Céline Nauer) ที่ปรึกษา Global Innovation Hub นำทีมงานคนรุ่นใหม่มาเล่าถึงงานของ FNF ในไต้หวันว่า ทำงานร่วมกับองค์กรภาคประชาสังคมในไต้หวันที่ขับเคลื่อนด้านสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยหลายองค์กร เช่น Open Culture Foundation และ g0v (Gov-Zero) ซึ่งเป็นชุมชนนักพัฒนาเทคโนโลยีภาคพลเมือง   

“FNF Global Innovation Hub เป็นคลังสมองและคลังเครื่องมือสนับสนุนการทำงานในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีดิจิทัล” คุณเซลีนกล่าว “เราสนใจเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่ว่าจะส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างไร”

ในส่วนของการรับมือกับ AI และข่าวลวงนั้น ปีที่แล้ว FNF Global Innovation Hub ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญจากองค์กร Full Fact ของอังกฤษมาบรรยายในหัวข้อการใช้ AI เพื่อต่อต้านข่าวลวง เพื่อช่วยให้นักตรวจสอบข้อเท็จจริงและสื่อมวลชนไต้หวันใช้ AI หักล้างข้อมูลและตรวจสอบข้อมูลได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นโดยใช้ AI เป็นเครื่องมือ  

……………………………….

หลังจากเยี่ยมเยือนและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับองค์กรภาคพลเมืองที่ทำงานด้านข้อมูลข่าวสารแล้ว ทีมโคแฟค ประเทศไทยและสื่อมวลชนได้ร่วมงาน g0v (Gov-Zero Summit) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-5 พฤษภาคม 2567 ที่ Academia Sinica ชานกรุงไทเป งานนี้เป็นการรวมตัวของนักเทคโนโลยีพลเมือง ทั้งโปรแกรมเมอร์ วิศวกรคอมพิวเตอร์ นักพัฒนาซอฟต์แวร์ และนักกิจกรรมเพื่อสังคมที่เน้นการนำเทคโนโลยีภาคพลเมือง Open Data และ Open Source มาใช้ในการแก้ปัญหาสังคม

การเดินทางสู่ไต้หวันในวาระครบรอบ 5 ปี การก่อตั้งโคแฟค ประเทศไทย ครั้งนี้ จึงไม่เพียงได้กลับไปหาที่มาของแรงบันดาลใจ ได้พบปะองค์กรพันธมิตรและเพื่อนร่วมทาง แต่ยังได้อัพเดทข้อมูล สถานการณ์ข่าวลวง และแนวคิดที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานก้าวต่อไปของโคแฟคและภาคีเครือข่ายในการปกป้องระบบนิเวศข้อมูลข่าวสารของเราจากข่าวลวง

อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 11 พฤษภาคม 2567

ตำรวจเตือน มีแก๊งค้าอวัยวะระบาดในประเทศไทย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1ukasqpjcyktj


กรมที่ดินออกหนังสือราชการ แจ้งข้อมูลที่ดินและสิ่งปลูกสร้างประจำปี 2567…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3tnoxwihviuor


วิดีโอเจ้าของบริษัทของ tiktok พิการท่อนล่าง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/9w0w4m86njr8


   เตือนผู้ปครอง-ครู รู้เท่าทันหน้าตา-กลิ่นของบุหรี่ไฟฟ้า รูปแบบใหม่ สีสันสดใส

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/dz8dkzm52wi1


   แจกเงินอุดหนุนรายหัวนักเรียน ปี 67 ตั้งแต่อนุบาล-ปวช. เพิ่มขึ้น 8% ทุกระดับ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1ak7wdkr05i99