สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 22 มิถุนายน 2567

ศาลฎีกายกเลิกการฉีดวัคซีนสากลในสหรัฐอเมริกา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2gzrhxabkzcrp


กินน้ำมันหมูดีกว่าน้ำมันพืช…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/17d5vyx7hzrk3


เกิดเหตุไฟไหม้กลางลานจอดบางแสนเนื่องจากจอดรถตากแดดเป็นเวลานาน ทำให้ไฟไหม้ฟิล์มรถ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/hozzm7001kxg


ธนาคารอิสลามปล่อยสินเชื่ออเนกประสงค์ วงเงินสูงสุด 5 เท่าของรายได้ ไม่ต้องมีหลักทรัพย์หรือบุคคลค้ำประกัน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2vj2hdg1c1pq4#_=_


ตลาดหลักทรัพย์เปิดชั้นเรียนการลงทุนหุ้น ผ่านเพจ Stock exchange…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2rkb4mx85099d#_=_


  นโยบาย Thailand Zero Dropout แก้ปัญหาเด็กหลุดจากระบบการศึกษา

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/349co7yx2zwoz


 เตือน! คนใช้ LINE โปรดระวัง SMS มิจฉาชีพแอบอ้างส่งลิงก์ปลอมให้ล็อกอิน

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/39obxr33motzu


  กมธ.วุฒิสภา สหรัฐฯ แสดงความกังวล ปมยุบพรรคก้าวไกล

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/8r2vq7q3na81


  ‘ส.อ.ท.’ชี้เศรษฐกิจทรุด เผย 5 เดือนแรกโรงงานปิดตัวแล้ว 561 แห่ง ตกงาน 15,342 คน

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/31q3c6ksqkm2p#_=_


  นิ่วในไตป้องกันและเล็กลงได้ เพียงกินน้ำมะนาวทุกวัน กินพืชผักที่มี Calcium ต่ำและดื่มน้ำให้พอ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3grem0ibq9b8n#_=_


เลือก สว. ระดับประเทศ: เรารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับ 153 ผู้สมัครกลุ่มสาธารณสุข

โคแฟคตรวจสอบเอกสารแนะนำตัวผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา (สว.) กลุ่มการสาธารณสุขจำนวน 153 คนที่ผ่านเข้ารอบการเลือกระดับประเทศที่จะมีขึ้นในวันที่ 26 มิ.ย. 2567 พบว่าส่วนใหญ่จบการศึกษาด้านสาธารณสุขศาสตร์ ส่วนประวัติการทำงานพบว่าผู้สมัครเกือบครึ่งหนึ่งมาจากสายงานสาธารณสุข เช่น สถานีอนามัย โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) สำนักงานสาธารณสุขอำเภอและจังหวัด รองลงมาคือแพทย์ 24 คน และพยาบาล 23 คน ส่วนผู้สมัครที่ระบุชัดว่าเป็นอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) มี 2 คน

นอกจากนี้ยังพบว่าผู้สมัครบางคนให้ข้อมูลไม่ชัดเจนหรือไม่ครบถ้วน เช่น ผู้สมัคร 1 คน ไม่เขียนประวัติการศึกษาและประวัติการทำงานเลย ผู้สมัคร 2 คน นามสกุลเดียวกัน ผ่านการเลือกระดับจังหวัดจากจังหวัดเดียวกัน ลักษณะภาพถ่ายและการกรอกข้อมูลในเอกสารแนะนำตัวคล้ายกันอย่างมาก คือ ระบุประวัติการศึกษาว่า “ปริญญาตรี สาขาพยาบาล และระบุประวัติการทำงานเพียงประโยคเดียวว่า “ประกอบอาชีพกลุ่มพยาบาล”

ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 แบ่งผู้สมัครเป็น 20 กลุ่มอาชีพ กลุ่มที่ 4 คือ “กลุ่มการสาธารณสุข อันได้แก่ ผู้เป็นหรือเคยเป็นแพทย์ทุกประเภท เทคนิคการแพทย์ สาธารณสุข พยาบาล เภสัชกร หรืออื่น ๆ ในทำนองเดียวกัน” มีผู้สมัคร 1,628 คน ผ่านการรับรองคุณสมบัติ 1,597 คน ผ่านการเลือกระดับอำเภอไประดับจังหวัด 1,024 คน จากระดับจังหวัดไประดับประเทศ 153 คน ในจำนวนนี้ ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด 10 อันดับแรกจะได้รับเลือกเป็น สว. กลุ่มสาธารณสุข ส่วนอันดับที่ 11-15 เป็นรายชื่อสำรอง

เปรียบเทียบความคล้ายคลึงกันของข้อมูลในเอกสารแนะนำตัวของผู้สมัครกลุ่มสาธารณสุข 2 คน ที่เป็นตัวแทนจากจังหวัดเดียวกัน ระบุประวัติการศึกษาและการทำงานเหมือนกัน

เป็นที่ทราบกันดีว่ากระบวนการเลือก สว. ครั้งนี้เต็มไปด้วยปัญหาและข้อร้องเรียน โดยเฉพาะข้อสงสัยเกี่ยวกับคุณสมบัติ ประวัติการศึกษาและการทำงานของผู้สมัคร กลุ่ม 4 เป็นกลุ่มที่ถูกจับตามมากที่สุดกลุ่มหนึ่ง เพราะนอกจากการแพทย์และสาธารณสุขจะเป็นเรื่องใกล้ตัวประชาชนแล้ว กลุ่มนี้ยังมีการร้องเรียนเรื่องการตีความคุณสมบัติของผู้สมัครและข้อกล่าวหาเรื่องการ “จัดตั้ง” ผู้สมัคร ก่อนหน้านี้ที่จังหวัดมุกดาหารมีการยื่นคำร้องให้ศาลวินิจฉัยว่า อสม. มีสิทธิสมัครในกลุ่มนี้หรือไม่ แต่ศาลยกคำร้องโดยให้เหตุผลว่าผู้ร้องไม่มีอำนาจตามกฎหมาย ส่วนข้อกล่าวหาว่ามีการระดม อสม. มาสมัคร สว. ในหลายพื้นที่ จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการพิสูจน์ข้อเท็จจริง

สืบจาก สว.3

โคแฟคตรวจสอบข้อมูลแนะนำตัวผู้สมัครกลุ่มสาธารณสุขทั้ง 153 คน ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อดูว่าผู้ที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายและมีโอกาสจะได้เป็น สว. นี้เป็นใครกันบ้าง เรียนจบอะไรมา และทำงานอะไร โดยใช้ข้อมูลจากเอกสารแนะนำตัวผู้สมัครหรือ “สว. 3” ที่ กกต.กำหนดให้ผู้สมัครระบุชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ที่ติดต่อได้ ประวัติการศึกษา และประวัติ/ประสบการณ์การทำงานไม่เกิน 5 บรรทัด ประกอบกับข้อมูลในบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกระดับประเทศ (สว.ป. 5) กลุ่มที่ 4 ที่ กกต. เผยแพร่เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2567 สรุปข้อมูลที่น่าสนใจได้ดังนี้

อายุ

อายุน้อยสุด 40 ปี อายุมากสุด 77 ปี

เพศ

ชาย 97 คน (63.4%) หญิง 56 (36.6%)

อาชีพ

  • ข้าราชการบำนาญ 78 คน
  • แพทย์และศัลยแพทย์ 17 คน
  • รับราชการ 14 คน
  • พยาบาล 13 คน
  • เภสัชกร 6 คน
  • ทันตแพทย์ 3 คน
  • สัตวแพทย์ 3 คน
  • อาจารย์มหาวิทยาลัย 2 คน
  • เจ้าของกิจการ 2 คน
  • พนักงานราชการ, พนักงานหน่วยงานเอกชน, พนักงานช่วยเหลือด้านการแพทย์, ข้าราชการการเมือง, ทนายความ, เกษตรกรรม, ทำสวน, ค้าขาย, ตัวแทนประกันชีวิต, รับจ้าง อาชีพละ 1 คน 
  • อาชีพอื่น ๆ 5 คน

ข้อสังเกตโคแฟค: ข้อมูลนี้นำมาจากบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกระดับประเทศ กลุ่มที่ 4 (สว.ป. 5) ซึ่งมีส่วนหนึ่งที่ไม่ตรงกับอาชีพที่ผู้สมัครระบุในเอกสารแนะนำตัว (สว. 3) เช่น ผู้สมัครคนหนึ่งระบุใน สว. 3 ว่า “แม่บ้าน” แต่ใน สว.ป. 5 เขียนว่า “เภสัชกร” อีกคนหนึ่งระบุอาชีพ “นวดแผนไทยและสมุนไพร” ใน สว.ป. 5 เปลี่ยนเป็น “ผู้ปฏิบัติงานด้านบริการอื่น ๆ”    

การศึกษา

1) วุฒิการศึกษาสูงสุด (ข้อมูลจาก สว.ป.5)

  • ปริญญาเอก 14 คน
  • ปริญญาโท 49 คน
  • ปริญญาตรี 77 คน
  • ต่ำกว่าปริญญาตรี 13 คน

2)  ผู้สมัคร 14 คน ที่ระบุการศึกษาสูงสุดระดับปริญญาเอก จบมาทางด้านไหนบ้าง

  • ด้านการแพทย์ 6 คน (วุฒิบัตรสูติศาสตร์และนรีเวช, วุฒิบัตรศัลยศาสตร์, วุฒิบัตรสาขาจิตเวชศาสตร์, วุฒิบัตรสาขาประสาทศัลยศาสตร์, วุฒิบัตรศัลยกรรม)
  • ด้านอื่นๆ 8 คน (จิตวิทยา, ศิลปศาสตร์, บริหารจัดการ, บริหารธุรกิจ, นิติศาสตร์, พุทธศาสตร์, รัฐประศาสนศาสตร์)

3) ผู้สมัครที่ได้วุฒิปริญญาตรีหรือเทียบเท่า จบมาทางด้านไหนบ้าง

  • สาธารณสุขศาสตร์ 46 คน (ปริญญาตรีสาธารณสุขศาสตร์และวิทยาศาสตร์ สาขาสาธารณสุขชุมชน)
  • พยาบาลศาสตร์ 28 คน (รวมวุฒิการศึกษาด้านพยาบาลทั้งหมด เช่น ปริญญาตรีสาขาพยาบาลศาสตร์, ประกาศนียบัตรพยาบาลศาสตร์และการผดุงครรภ์ขั้นสูง, วิทยาศาสตร์บัณฑิต สาขาพยาบาล) 
  • แพทยศาสตร์ 24 คน
  • เภสัชศาสตร์ 7 คน
  • วิทยาศาสตร์ 5 คน
  • ทันตแพทยศาสตร์ 3 คน
  • สัตว์แพทย์ศาสตร์ 1 คน
  • สาขาอื่นๆ ได้แก่ นิติศาสตร์ (6 คน) รัฐศาสตร์ (2) รัฐประศาสนศาสตร์ (1) พัฒนาชุมชน (1) ส่งเสริมการเกษตร (1) ศึกษาศาสตร์ (1) สุขศึกษา (1) ศิลปศาสตร์ (1)

หมายเหตุ: ผู้สมัครบางคนระบุวุฒิปริญญาตรีมากกว่า 1 วุฒิ

4) ในจำนวนผู้สมัคร 153 คน มีกี่คนที่มีประวัติการศึกษาการแพทย์หรือการสาธารณสุข

  • มีประวัติการศึกษาด้านการแพทย์หรือสาธารณสุข (ทุกหลักสูตรและวุฒิการศึกษา) 140 คน
  • ไม่มีประวัติการศึกษาด้านสาธารณสุข 6 คน (จบชั้น ม.ศ.3, ม.6, ปวช.บัญชี, ปวส.พาณิชยการ, กำลังศึกษาระดับปริญญาตรี)
  • ประวัติการศึกษาไม่ชัดเจน ไม่บอกว่าเรียนด้านไหนมา 6 คน
  • ไม่ระบุประวัติการศึกษา 1 คน

ประวัติการทำงานหรือประสบการณ์ในการทำงาน

1) สายงานด้านสาธารณสุข 70 คน

  • เคยเป็นหัวหน้าสถานีอนามัย, ผู้อำนวยการสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี (สถานีอนามัยขนาดใหญ่)  21 คน
  • เคยเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) 18 คน
  • เคยเป็นสาธารณสุขอำเภอหรือรองสาธารณสุขอำเภอ 16 คน
  • เคยเป็นสาธารณสุขจังหวัดหรือรองสาธารณสุขจังหวัด 9 คน
  • เคยเป็นผู้บริหารในหน่วยงานสังกัดกระทรวงสาธารณสุข 4 คน (สถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน, สถาบันป้องกันและควบคุมโรคเขตเมือง, ศูนย์ควบคุมโรคติดต่อนำโดยแมลง, กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ)
  • เคยเป็นผู้บริหารงานด้านสาธารณสุขในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น เทศบาลตำบล อบต. 6 คน
  • เคยเป็นผู้บริหารโรงพยาบาล 1 คน

หมายเหตุ: ผู้สมัครหลายคนมีประวัติการทำงานในหลายตำแหน่ง ส่วนมากจะเริ่มต้นจากเจ้าหน้าที่สถานีอนามัย ขึ้นเป็นหัวหน้าสถานีอนามัย ผู้อำนวยการ รพ.สต. สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ และสาธารณสุขจังหวัด หรือไปสังกัดกองการสาธารณสุขขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

2) แพทย์ 24 คน

  • เคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาล รองผู้อำนวยการ ผู้อำนวยการสถาบันการแพทย์ หรือเป็นผู้บริหารโรงพยาบาล 10 คน
  • เคยเป็นกรรมการหรือดำรงตำแหน่งในแพทยสภา 2 คน
  • เคยเป็นกรรมการหรือดำรงตำแหน่งในสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน 2 คน
  • เคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารในกระทรวงสาธารณสุข 1 คน (รองปลัดกระทรวง)
  • มีประวัติทำงานการเมือง 4 คน (สส./อดีตผู้สมัคร สส., สมาชิกวุฒิสภา, นายกเทศมนตรี)
  • โซเชียลมีเดียอินฟลูเอนเซอร์ด้านการแพทย์และสุขภาพ 1 คน

3) พยาบาลวิชาชีพ 23 คน

4) เภสัชกร 6 คน    

ข้อสังเกตโคแฟค: จากข้อมูลในเอกสารแนะนำตัว พบว่ามีประวัติการทำงานด้านเภสัชกรรมชัดเจน 2 คน คนหนึ่งเป็นเภสัชกรประจำโรงพยาบาลรัฐและเอกชน อีกคนหนึ่งเป็นเภสัชกรประจำร้านยา ผู้สมัครอีกคนหนึ่งระบุว่ามีใบประกอบโรคศิลปะ สาขาเภสัชกรรมไทย ทำธุรกิจผลิตและจำหน่ายยาแผนโบราณและทำโครงการแจกสมุนไพรต้านมะเร็ง

ผู้สมัครอีก 3 คน ไม่ได้ระบุประวัติการทำงานด้านเภสัชกรรมที่ชัดเจนนัก คนหนึ่งเป็นอดีตผู้สมัคร สส. เน้นประวัติงานด้านการเมือง อีกคนหนึ่งระบุว่าเคยเป็นผู้อำนวยการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่และผู้ทรงคุณวุฒิที่ประชุมสภาองค์กรชุมชนระดับจังหวัด และผู้สมัครอีกคนระบุอาชีพ “แม่บ้าน” และเคยทำงานผลิตยาและหน่วยเตรียมเคมีบำบัดที่โรงพยาบาล

5) ทันตแพทย์ 3 คน

เปิดคลินิกทันตกรรม 2 คน อีก 1 คน เป็นทันตแพทย์สังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดและเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนิติทันตวิทยา

6) สัตวแพทย์ 3 คน

ผู้สมัคร 2 คน เป็นอดีตสัตวแพทย์สังกัดกรมปศุสัตว์ อีก 1 คนจบสัตวแพทยศาสตร์และเปิดคลินิกรักษาสัตว์

7) แพทย์แผนไทย นวดแผนไทยและการใช้สมุนไพร 4 คน

8) อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) 2 คน 

ผู้สมัคร 2 คนที่ระบุในประวัติการทำงานว่าเป็น อสม. คนหนึ่งจบการศึกษาสูงสุดชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย เป็นอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านตั้งแต่ปี 2547 ได้รับเครื่องราชยอิสริยาภรณ์ชั้นอดิเรกคุณปี 2530 ได้รับรางวัล อสม.ดีเด่น ปี 2561 อีกคนหนึ่งกำลังศึกษาระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็น อสม. มาตั้งแต่ปี 2551 และเป็นกรรมการชมรม อสม. อำเภอ

สว.3 “ไม่เคลียร์”

จากการอ่านข้อมูลแนะนำตัวของผู้สมัครหรือเอกสาร “สว.3” ของผู้สมัครทั้ง 153 คน อย่างละเอียด พบว่ามีข้อมูลของผู้สมัครบางรายที่ชวนให้เกิดคำถามเกี่ยวกับประวัติการศึกษา ประวัติการทำงาน และคุณสมบัติ เช่น 

  • ผู้สมัคร 2 คน นามสกุลเดียวกัน ผ่านการเลือกระดับจังหวัดจากจังหวัดเดียวกัน ลักษณะภาพถ่ายและการกรอกข้อมูลในเอกสารแนะนำตัวคล้ายกันอย่างมาก คือ ระบุประวัติการศึกษาว่า “ปริญญาตรี สาขาพยาบาล และระบุประวัติการทำงานเพียงประโยคเดียวว่า “ประกอบอาชีพกลุ่มพยาบาล”
  • จบการศึกษาระดับ ปวส. เคยทำงานเป็นพนักงานธุรการประจำโรงพยาบาล รับผิดชอบด้านการประสานร้อยเวรและแพทย์ในการชันสูตรพลิกศพ
  • ไม่ระบุประวัติการศึกษาและการทำงานใดๆ ในเอกสารแนะนำตัว สว.3
  • ระบุอาชีพว่า “อื่นๆ” การศึกษาสูงสุดชั้น ม.ศ.3 ประสบการณ์การทำงานระบุเพียงว่าเคยทำงานที่ รพ.สต.3 แห่ง
  • ระบุอาชีพว่าเป็น “แพทย์” จบการศึกษาหลากหลายสาขา ทั้งพยาบาลศาสตร์ บริหารธุรกิจ และแพทยศาสตร์ Doctor of Medicine จากประเทศฟิลิปปินส์ ประวัติการทำงานระบุว่าเป็นเจ้าของคลินิกเวชกรรมฝังเข็ม ผู้ดำเนินการสถานพยาบาล และกรรมการสมาคมแพทย์สตรีแห่งประเทศไทย โคแฟคตรวจสอบเพิ่มเติมจากฐานข้อมูลแพทย์ของแพทยสภาพบว่ามีชื่อเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม สาขาเวชศาสตร์ครอบครัว
  • ระบุอาชีพ “ธุรกิจส่วนตัว” ประวัติการศึกษาระบุเพียงว่าจบปริญญาตรีและโท แต่ไม่ระบุสาขาและสถาบัน ส่วนประวัติการทำงานเขียนว่าสนใจเรื่องการระบาดของไข้เลือดออกและเป็นวิทยากรเรื่องการป้องกันไข้เลือดออกขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมากว่า 20 ปี
  • ระบุอาชีพ “รับจ้าง” จบการศึกษาปริญญาเอกสาขาจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ไม่ระบุหน่วยงานหรือองค์กรที่สังกัด ให้ข้อมูลว่าทำงานเป็นนักจิตวิทยาด้านยาเสพติด ให้คำปรึกษาทางจิตวิทยาทางโทรศัพท์ทั้งแบบส่วนตัวและครอบครัว วิทยากรด้านสุขภาพจิต และเป็นนักวิชาการด้านจิตวิทยา

หมายเหตุ: ข้อมูลชุดนี้ได้มาจากเอกสารแนะนำตัวผู้สมัคร สว. ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ กกต. ซึ่งเป็นข้อมูลที่ผู้สมัครเป็นผู้เขียน โคแฟคไม่สามารถยืนยันได้ว่าข้อมูลดังกล่าวตรงกับความเป็นจริงหรือไม่ ทั้งประวัติการศึกษาและประวัติการทำงาน และเนื่องจาก กกต. กำหนดให้ผู้สมัครเขียนประวัติและประสบการณ์ทำงานไม่เกิน 5 บรรทัด ข้อมูลที่ได้จึงมีข้อจำกัดและอาจจะไม่สะท้อนประวัติ/ประสบการณ์การทำงานที่แท้จริงของผู้สมัครได้

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค: รายงาน

อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 15 มิถุนายน 2567

การส่งสติกเกอร์/รูปภาพสวัสดีกันทางออนไลน์ เป็นการหลอกลวงเอาข้อมูลเรา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/19ipfa7eu10xy


ดื่มน้ำมะนาวร้อนทุกวัน ทำให้เนื้องอก และซีสต์ ยุบลงใน 3 เดือน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1u0e4onjnqy65


บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส แจ้งพัสดุของท่านเสียหาย ผ่านช่องทาง SMS และคลิกลิงก์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/dhn5kltv4n8i


น้ำต้มใบมะละกอ รักษามะเร็ง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/19b52fwdo9tih


  รัฐบาล สปป.ลาว ได้อนุมัติให้องค์กรศาสนาอิสลามใน สปป.ลาว ออกเครื่องหมายตรา “ฮาลาล ลาว” ได้เป็นครั้งแรก

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/5zva9d81drs9


   Health Link พร้อมให้ใช้งานบนแอปฯ เป๋าตังแล้ว

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1vesk7su18tr0


  อุทยานแห่งชาติหาดวนกร ประกาศปิดกิจกรรมดำน้ำตื้นและการท่องเที่ยว เกาะจาน-เกาะท้ายทรีย์ ตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย. 67 เป็นต้นไป

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2dppyxvrmiq68


  ตำรวจไซเบอร์ บุกจับขายข้อมูลส่วนบุคคล 1 ล้านรายชื่อ เลขบัญชีธนาคาร-เบอร์โทร

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2fokc349oe77x


  พบคราบน้ำมันจำนวนมากลอยปะปนกับน้ำทะเลพัทยา

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/ekmgg66kyeuv


สว. 2567 กับการถูกตีตราว่า “สว. ชุดจับสลาก”  

“สว. ชุดจับสลาก” เป็นวาทกรรมที่ถูกนำมาตีตราสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากกระบวนการเลือกตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 ที่จัดขึ้นระหว่างเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2567

แม้ว่าวาทกรรมทางการเมืองหรือถ้อยคำตีตรา จะไม่สามารถนำมาพิสูจน์ได้ว่าผิดหรือถูกเหมือนการตรวจสอบข้อเท็จจริงทางการเมือง (political fact-checking) อื่น ๆ เพราะเป็นการผสมผสานทั้งข้อเท็จจริง มุมมอง ความเห็น และการใช้ถ้อยคำเพื่อสื่อสารความคิดบางอย่าง แต่ก็ไม่ควรถูกปล่อยผ่านโดยไม่ตรวจสอบ เพราะวาทกรรมการเมืองมีอิทธิพลต่อความคิดความเชื่อ ทัศนคติและการรับรู้ของคนในสังคมต่อเรื่องนั้น ๆ  

ผู้เขียนหยิบวาทกรรม “สว.ชุดจับสลาก” ที่คาดว่าจะอยู่ในบริบทการเมืองไทยไปอีกพักใหญ่ มาตรวจสอบที่มาและข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้อง เพราะเห็นว่าการใช้ถ้อยคำที่สื่อว่า สว. 2567 เข้าสภามาได้จากการจับสลากเสี่ยงโชค ย่อมมีผลต่อการยอมรับผลการเลือกและการทำหน้าที่ของ สว. 200 คนที่จะได้รับการประกาศชื่อภายในต้นเดือนกรกฎาคมนี้ ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) วางไว้

“จับสลาก” มาจากไหน?

กระบวนการ กติกา และรายละเอียดขั้นตอนการเลือก สว. 2567 ถูกออกแบบและเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560, พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 และระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567สรุปสั้น ๆ ได้ว่า มีการแบ่งผู้สมัครเป็น 20 กลุ่มอาชีพ และแบ่งการเลือกเป็น 3 ระดับ คือ ระดับอำเภอ (9 มิ.ย.) ระดับจังหวัด (16 มิ.ย.) และระดับประเทศ (26 มิ.ย.) แต่ละระดับมีการเลือก 2 ขั้น ขั้นแรกคือเลือกบุคคลในกลุ่มอาชีพเดียวกัน หรือ “เลือกกันเอง” ขั้นสองคือเลือกผู้สมัครในกลุ่มอาชีพอื่นที่อยู่ในสายเดียวกัน หรือ “เลือกไขว้”

บรรยากาศการจับสลากแบ่งสายในการเลือก สว. ระดับอำเภอที่สำนักงานเขตคลองเตย กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2567

ระดับอำเภอ: ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด 5 อันดับจากการเลือกกันเองในแต่ละกลุ่ม จะผ่านเข้ารอบเลือกไขว้ และผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด 3 อันดับแรกของแต่ละกลุ่มจากรอบเลือกไขว้ จะผ่านเข้าสู่การเลือกระดับจังหวัด

ระดับจังหวัด: ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด 5 อันดับจากการเลือกกันเองในแต่ละกลุ่ม จะผ่านเข้ารอบเลือกไขว้ และผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด 2 อันดับแรกของแต่ละกลุ่มจากรอบเลือกไขว้ จะผ่านเข้าสู่การเลือกระดับประเทศ

ระดับประเทศ: ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด 40 อันดับจากการเลือกกันเองในแต่ละกลุ่ม จะผ่านเข้ารอบเลือกไขว้ และผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด 10 อันดับแรกของแต่ละกลุ่มจากรอบเลือกไขว้ จะได้เป็นผู้ได้รับเลือกเป็น สว. ซึ่งมีจำนวนทั้งหมด 200 คน

ในการเลือกทุกระดับ ทั้งในขั้นเลือกกันเองและเลือกไขว้ กฎหมายกำหนดไว้ว่า ลำดับใดมีผู้ได้คะแนนเท่ากันจนทำให้ผู้ได้คะแนนสูงสุดเกินจำนวนที่กำหนดไว้ “ให้ผู้ซึ่งได้คะแนนเท่ากันดังกล่าวจับสลากกันเองว่าผู้ใดจะได้รับเลือกในกลุ่มนั้น” ทั้งนี้กฎหมายเปิดช่องให้ผู้สมัครสละสิทธิ์การจับสลากได้ โดยระบุว่า “หากผู้มีสิทธิจับสลากไม่ประสงค์จับสลาก ให้ผู้นั้นออกจากสถานที่เลือก และให้กรรมการประจำสถานที่เลือกบันทึกในรายงานเหตุการณ์ประจำสถานที่เลือก”

นอกจากนี้ กฎหมายยังระบุให้ใช้วิธีการจับสลากในอีก 2 กรณี คือ 1) เมื่อภายในกลุ่มไม่สามารถตกลงกันได้ว่าใครจะเป็นผู้แทนจับสลากแบ่งสาย 2) การจับสลากเพื่อแบ่งสายสำหรับการเลือกไขว้ ซึ่งแต่ละสายจะมีจำนวนกลุ่มและจำนวนผู้สมัครแตกต่างกัน จึงมีผลต่อคะแนนโหวตจากผู้สมัครที่อยู่ในสายเดียวกัน

เสียงวิจารณ์

การใช้วิธีจับสลากมาตัดสินการเข้ารอบ/ตกรอบของผู้สมัคร สว. ที่มีคะแนนเท่ากัน เป็นประเด็นที่ถูกวิจารณ์มาตั้งแต่ต้น

ในเวทีเสวนาหัวข้อ “เลือก สว. กติกาใหม่ ใครได้ใครเสีย” จัดโดยสมาคมนักข่าวและนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 9 พ.ค. 2567 นายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธานกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง วุฒิสภา กล่าวว่า การใช้วิธีจับฉลากเพื่อตัดสินในกรณีที่ผู้สมัครได้คะแนนเท่ากันจะทำให้ สว. ชุดนี้ถูกเรียกได้ว่าเป็น “สว.ชุดจับฉลาก”

นายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) กล่าวระหว่างกิจกรรมจำลองการเลือก สว. จัดโดยเครือข่าย Senate67 ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานครเมื่อวันที่ 10 พ.ค. 2567 ว่า “ท่าน (ผู้สมัคร สว.) ต้องไปทำบุญ…ไปทำบุญก่อนมาเลือก สว. เพราะท่านต้องจับสลากเยอะ…”

ในการเลือก สว. ระดับอำเภอเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2567 ใน 928 อำเภอ/เขตทั่วประเทศ มีหลายกรณีที่ผู้สมัครคะแนนเท่ากันและต้องตัดสินด้วยการจับสลาก ทำให้มีผู้สมัครที่ตกรอบเพราะจับได้สลากที่มีข้อความว่า “ไม่ได้รับเลือก” ส่วนผู้ที่จับได้สลาก “ได้รับเลือก” ก็ผ่านเข้าสู่การเลือกระดับจังหวัด หลังจากวันนั้น เสียงวิจารณ์และการใช้วาทกรรม “สว.จับสลาก” เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการออกมา “รีวิว” กติกาการเลือกของผู้สมัครทั้งที่ตกรอบและได้ไปต่อ รวมทั้งเป็นเพราะประชาชนเริ่มเห็นภาพว่าการจับสลากส่งผลต่อการเลือก สว. ครั้งนี้อย่างไร

ภาพจากเฟซบุ๊กของนายศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุธยา ผู้สมัคร สว. เขตประเวศ ที่วิจารณ์การเลือก สว. ว่าออกแบบมาให้พึ่งดวง

นายศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุธยา ผู้สมัคร สว. เขตประเวศ กรุงเทพฯ โพสต์เฟซบุ๊กเมื่อ 10 มิ.ย. 2567 แสดงความเห็นว่า “เลือกตั้ง สว. ครั้งนี้ เป็นการเลือกตั้งแบบที่ผู้สมัครต้องพกดวงเข้าไปในสนามเลือกตั้งด้วย เพราะในหลายขั้นตอนของการเลือก พวกเขาออกแบบให้พึ่งดวง พึ่งโชคชะตา มีการใช้วิธีจับสลากเสี่ยงดวงเข้ามาใช้” และกติกาการเลือก สว. ครั้งนี้ถูกออกแบบมาโดย “ไม่เชื่อในคน แต่เชื่อในดวงมากกว่า” เขาจึงเรียกการเลือก สว. ครั้งนี้ว่า “การเลือกตั้งเสี่ยงดวง”

นายโกวิท โพธิสาร สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กที่มีผู้ติดตามมากกว่า 5,500 ราย เมื่อ 11 มิ.ย. 2567ว่า “ซ้อมไว้สำหรับใช้ในสภา ‘เรียนทั่นประธาน กระผม/ดิฉัน สว. 2,500 ที่มาจากการจับสลาก’…” และ “วิธีขยับฐานะทางเศรษฐกิจคือถูกหวย วิธีได้มาซึ่ง สว. คือ จับสลาก…”

มุมมองทางวิชาการและตัวอย่างจากต่างประเทศ

ดร.สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า ให้สัมภาษณ์ ไทยพีบีเอส เมื่อวันที่ 23 พ.ค. 2567 ว่า การจับสลากเป็นวิธีที่คู่กับการเมืองไทยและถูกใช้มายาวนาน ในการเลือก สส. และการเลือกตั้งท้องถิ่น ถ้าผู้สมัครมีคะแนนเท่ากัน กฎหมายก็เขียนไว้ว่าให้ตัดสินด้วยการจับสลาก จึงไม่แปลกที่จะมีการนำมาใช้ในการเลือก สว. ซึ่งมีโอกาสสูงที่ผู้สมัครจะคะแนนเท่ากัน เนื่องจากมีผู้สมัครน้อยและยังแบ่งย่อยเป็น 20 กลุ่มอาชีพ

“การจับสลากไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดหรอก แต่ว่าสังคมไทยค่อนข้างจะยอมรับมัน…คนไทยค่อนข้างจะโอเคกับโชคชะตา ยอมรับเรื่องดวง ถ้าจับสลากแพ้ก็คือดวงซวยอะไรแบบนี้ มันมีเรื่องของวัฒนธรรมเข้ามาด้วย มันก็เลยทำให้กติกานี้ไม่ถูกโต้แย้งมากนัก” ดร.สติธรวิเคราะห์และให้ข้อมูลว่าในต่างประเทศอาจใช้วิธีการอื่นเช่น ให้ผู้สมัครที่ได้คะแนนเท่ากันได้ทำหน้าที่ทั้งคู่โดยแบ่งกันทำงานคนละครึ่งวาระ เช่น ถ้าวาระ 4 ปี ก็ให้จับสลากว่าใครจะทำ 2 ปีแรกหรือ 2 ปีหลัง แทนที่จะให้คนใดคนหนึ่งเป็นผู้แพ้ไปเลย

เมื่อ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 125 ระบุว่า ในการเลือกตั้ง สส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง “…กรณีที่มีผู้ได้รับคะแนนสูงสุดเท่ากันหลายคน ให้ใช้วิธีการจับสลาก ซึ่งต้องกระทำต่อหน้าคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้ง ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกำหนด”

ส่วน พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มาตรา 110 เขียนไว้ว่าหากมีผู้สมัครได้คะแนนเท่ากัน “ให้ผู้สมัครที่ได้คะแนนเลือกตั้งเท่ากันจับสลากเพื่อให้ได้ผู้ได้รับเลือกตั้งครบจํานวนที่จะพึงมีในเขตเลือกตั้งนั้น”

ในต่างประเทศ เช่น การเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐของสหรัฐอเมริกา เว็บไซต์ที่ประชุมฝ่ายนิติบัญญัติของรัฐแห่งชาติสหรัฐ (National Conference of State Legislatures) ให้ข้อมูลว่า กรณีที่ผู้สมัครได้คะแนนเท่ากัน แต่ละมลรัฐจะใช้วิธีการตัดสินที่ต่างกันไป กล่าวคือ 28 รัฐจากทั้งหมด 50 รัฐ ใช้วิธีการจับสลาก (drawing of lots) หรือวิธีการอื่นที่คล้ายกัน อีก 14 รัฐจะถือว่าไม่มีผู้ใดชนะและให้จัดการเลือกตั้งใหม่ ส่วนรัฐที่เหลือใช้วิธีชี้ขาดแบบอื่น เช่น รัฐมอนทานาและเทนเนสซีให้ผู้ว่าการรัฐหรือกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้ลงคะแนนชี้ขาด เนวาดาและนิวแฮมเชียร์ให้สมาชิกสภานิติบัญญัติโหวตเลือกจากผู้สมัครที่ได้คะแนนเสมอกัน เป็นต้น 

ถาม กกต.

ผู้เขียนสอบถามข้อมูลจาก กกต. ว่าในการเลือก สว. ระดับอำเภอเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2567 มีกรณีที่ผู้สมัครได้คะแนนเสมอกัน (ทั้งในรอบเลือกกันเองและเลือกไขว้) ในทุกหน่วยเลือกทั่วประเทศจำนวนเท่าไหร่ มีการจับสลากเกิดขึ้นกี่ครั้ง และจำนวนผู้ที่ผ่านเข้ารอบการเลือกระดับจังหวัดด้วยการจับสลากมีกี่คน

ว่าที่ร้อยตรีภาสกร สิริภคยาพร ผู้อำนวยการสำนักบริหารการเลือกตั้งและการออกเสียงประชามติ 1 ตอบว่า เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยได้เก็บข้อมูลคะแนนและผลการจับสลากไว้ทั้งหมด แต่ กกต. ยังไม่ได้สรุปรวบรวมข้อมูลชุดนี้ออกมา จึงยังไม่สามารถบอกได้ในขณะนี้ว่ามีการจับสลากที่ส่งผลต่อการตกรอบ-เข้ารอบของผู้สมัครมากน้อยแค่ไหนในการเลือกระดับอำเภอ

ผู้อำนวยการเลือกตั้งประจำจังหวัดอีก 2-3 จังหวัด ให้ข้อมูลตรงกันว่า เจ้าหน้าที่มีการจดบันทึกว่าผู้สมัครคนใดที่ผ่านเข้ารอบจากการจับสลาก โดยเขียนไว้ในช่องหมายเหตุในใบรายงานผลการนับคะแนนว่า “จับสลาก” แต่ยังไม่สามารถรวบรวมข้อมูลให้ได้ในขณะนี้ เนื่องจากกระบวนการเลือกยังไม่เสร็จสิ้น

ข้อสรุป

  • กฎหมายและระเบียบการได้มาซึ่ง สว. ระบุไว้จริงว่า หากมีผู้สมัครที่ได้คะแนนเท่ากัน ให้ผู้สมัครจับสลากกันเองว่าใครจะได้รับเลือกในกลุ่มนั้น โดยระเบียบ กกต. กำหนดให้เจ้าหน้าที่บันทึกผลการจับสลากลงในใบรายงานผลการนับคะแนนด้วย อย่างไรก็ตาม ณ ขณะนี้ (14 มิ.ย. 2567) กกต. ยังไม่ได้มีการประมวลผลข้อมูลว่ามีการจับสลากเพื่อตัดสินในกรณีที่ผู้สมัครได้คะแนนเท่ากันทั้งหมดกี่ครั้ง   
  • ระบบ/กติกา/การจัดการเลือก สว. 2567 มีปัญหาหลายด้านจริงตามที่นักวิชาการ องค์กรภาคประชาสังคมนักสังเกตการณ์ทางการเมือง ตลอดจนผู้สมัคร สว. ออกมาวิจารณ์และแสดงความไม่เห็นด้วยจำนวนมาก รวมถึงเรื่องการใช้วิธีจับสลากมาตัดสินผู้ชนะหรือการออกแบบกระบวนการที่ทำให้ต้อง “เสี่ยงดวง” มากเกินไป ซึ่งประชาชนย่อมมีสิทธิแสดงความไม่เห็นด้วยได้อย่างเต็มที่ แต่บางครั้งความไม่เห็นด้วยนั้นนำไปสู่การผลิตวาทกรรมทางการเมืองและถ้อยคำตีตราที่ทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการได้มาซึ่ง สว. หรือส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของ สว. ชุดนี้
  • การจับสลากเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการเลือก สว. แต่ด้วยปัจจัยต่าง ๆ เช่น การมีผู้สมัครน้อยและการออกแบบให้เลือกกันเอง ทำให้การเลือก สว. ครั้งนี้ต้องใช้วิธีการจับสลากมากกว่าการเลือกตั้ง สส. หรือการเลือกตั้งท้องถิ่น ดังนั้นไม่ใช่ว่า สว. 2567 ทั้งชุดจะเข้าสู่สภาด้วยการจับสลากหรือเพราะดวงดีมีโชค ผู้สมัครหลายคนตั้งใจใช้ความรู้ความสามารถและประสบการณ์เพื่อเข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลง หรือสมัครเพื่อลงคะแนนให้ผู้สมัครคนอื่นที่คิดว่าเหมาะสม จึงไม่ควรเหมารวมว่า สว. ชุดนี้เป็น “สว. ชุดจับสลาก”  
  • ในมุมของการทำงานด้านการตรวจสอบข้อเท็จจริง (fact-checking) ผู้เขียนเห็นว่าควรครอบคลุมถึงการตรวจสอบวาทกรรมทางการเมืองและถ้อยคำตีตราด้วย แม้จะไม่สามารถสรุปได้ว่าจริงหรือเท็จ แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้ผู้รับข้อมูลข่าวสารรู้เท่าทันที่มาและวิเคราะห์ความถูกต้องชอบธรรมของวาทกรรมนั้น ๆ ได้

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค: รายงาน

อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 8 มิถุนายน 2567

ผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 65 ปี ควรเดินวันละ 7,000 ก้าว ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนและมะเร็งได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2904sx3tt9l6s


กินไข่ลวกวันละ 2 ฟอง และพริกไทย แก้อาการอัลไซเมอร์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2ks1r38328hxd


ริดสีดวงทวารเรื้อรัง รักษาได้โดยงดเนื้อสัตว์ 7 วัน พร้อมกินเห็ดบ่อย ๆ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/27dzbyy4lypwa


 กินข้าวเสร็จไม่ควรดื่มน้ำทันที ควรเว้นระยะ 40 นาที เพราะจะทำให้น้ำย่อยเจือจาง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/28wqgoa1qampn


  เริ่มแล้ว! ไข่ไก่ ปรับขึ้นราคาอีก 20 สตางค์ คนไทยกินไข่ฟองละ 4 บาท

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1cducnynw7muo


  เตือนภัยมิจฉาชีพสร้างเพจตำรวจปลอมรับแจ้งความออนไลน์ เรียกเก็บค่าดำเนินการ ขอปชช.อย่าหลงเชื่อ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/37lg5wmpjw5zv


  เข้าพรรษา2566 เช็กข้อปฎิบัติญาติโยม นั่งรับพรอาจทำพระอาบัติ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/7m8qhy1cfq9y


  สเปกสูง ทำงานเยอะจนไม่มีเวลาหาคู่ คนไทยขอเป็นโสด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/pz9fjwpdipz0


  เข้าพรรษา2566 เช็กข้อปฎิบัติญาติโยม นั่งรับพรอาจทำพระอาบัติ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/7m8qhy1cfq9y


 “ก้าวไกล” ร่วมแถลงไทยแลนด์ไพรด์ คาด มิ.ย.สมรสเท่าเทียมผ่าน ส.ว. ดันต่อคำนำหน้าตามสมัครใจ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2p9puemczab6b


 สาวลดน้ำหนักกินแครอทจนตัวเป็นสีส้ม…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/36nthpt9qkosm


ประชาชน “สังเกตการณ์” เลือก สว. 2567 ได้หรือไม่

Top Fact Checks Political

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค: รายงาน

เกือบหนึ่งเดือนเต็มนับตั้งแต่กระบวนการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เริ่มต้นขึ้นหลังจากพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือก สว. มีผลบังคับใช้เมื่อ 11 พ.ค. 2567 หลายคนคงได้เห็นแล้วว่าการเลือก สว. ครั้งนี้เต็มไปด้วยความสับสน การเปลี่ยนแปลงระเบียบและแนวปฏิบัติ หนึ่งในนั้นคือเรื่องการเปิดให้ประชาชนทั่วไปสังเกตการณ์ ณ สถานที่เลือก สว.

ล่าสุดวันนี้ (7 มิ.ย. 2567) หรือเพียงสองวันก่อนการเลือก สว. ระดับจังหวัดจะมีขึ้นในวันที่ 9 มิ.ย. นายแสวง บุญมี เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แถลงข่าวยืนยันว่าเครือข่ายภาคประชาชนที่ทำหนังสือขอเข้าสังเกตการณ์ รวมทั้งประชาชนทั่วไปสามารถสังเกตการณ์การเลือก สว. ในบริเวณที่จัดเตรียมไว้ให้ได้

ขณะที่นายวีระ ยี่แพร รองเลขาธิการ กกต. ให้สัมภาษณ์โคแฟคในวันเดียวกันว่า ประชาชนสามารถเดินทางไปสังเกตการณ์การเลือก สว. ได้ แต่หากไม่ได้ลงทะเบียนล่วงหน้าไปก่อน จะต้องขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่เป็นราย ๆ ไป พร้อมกับยืนยันว่าจุดสังเกตการณ์จะมองเห็นทุกขั้นตอน

ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) หรือการเลือกตั้งท้องถิ่น การสังเกตการณ์ที่หน่วยเลือกตั้ง ตั้งแต่เปิดหีบจนถึงการนับคะแนนที่หน่วย เป็นภารกิจสำคัญบนหลักการการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการประชาธิปไตย สร้างความชอบธรรมให้กระบวนการเลือกตั้ง และยังช่วยป้องกันปัญหาการไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งที่อาจเกิดขึ้นตามมา

อาสาสมัคร We Watch สังเกตการณ์การนับคะแนนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดระยอง เขตเลือกตั้งที่ 3 แทนตำแหน่งที่ว่าง เมื่อ 10 ก.ย. 2566

แต่การเลือก สว. 2567 ไม่ใช่การ “เลือกตั้ง” หากเป็นการ “เลือกกันเอง” ของผู้สมัคร พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 (พ.ร.ป. สว.) มาตรา 37 จึงกำหนดว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งมิใช่ผู้สมัครเข้าไปในสถานที่เลือก เว้นแต่จะเป็นผู้ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับการเลือกหรือผู้ซึ่งได้รับอนุญาต…” ขณะที่ ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 ก็ไม่ได้กำหนดวิธีการและขั้นตอนในการขออนุญาตสังเกตการณ์การเลือก สว. ไว้อย่างชัดเจน ทำให้เครือข่ายภาคประชาสังคมที่เกาะติดการเลือก สว. ในนาม “Senate 67” นำโดยโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) และเครือข่ายเยาวชนสังเกตการณ์การเลือกตั้งเพื่อประชาธิปไตย (We Watch) ตีความว่า “กฎหมายไม่เปิดช่องให้ประชาชนทั่วไปเข้าสังเกตการณ์ได้ ยกเว้นต้องได้รับอนุญาตเป็นรายกรณี” และเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ กกต. เปิดพื้นที่และส่งเสริมให้ประชาชนเข้าสังเกตการณ์การเลือก สว. ได้อย่างทั่วถึง มีประสิทธิภาพ ในทุกกระบวนการและทุกพื้นที่

กกต. เคลื่อนไหวในโค้งสุดท้าย

ที่ผ่านมา กกต. ไม่เคยมีท่าทีชัดเจนต่อสาธารณะต่อข้อเรียกร้องดังกล่าว จนกระทั่งวันที่ 3 มิ.ย. กกต. ได้เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ ว่าด้วยการกำหนดสถานที่เลือก สว. ระดับอำเภอและระดับจังหวัด มีข้อความตอนหนึ่งว่า “ควรเป็นสถานที่ที่ประชาชนสามารถมองเห็นและสังเกตการณ์ในกระบวนการเลือกได้” และประชาชนสามารถ “ร่วมสังเกตการณ์ในกระบวนการเลือกระดับอำเภอ วันที่ 9 มิ.ย. 2567 และการเลือกระดับจังหวัด วันที่ 16 มิ.ย. 2567 ณ สถานที่ที่ผู้อำนวยการการเลือกกำหนด”

ช่วงเวลาเดียวกัน เฟซบุ๊กสำนักงาน กกต. ประจำจังหวัดบางแห่ง เช่น อุดรธานี อำนาจเจริญ แพร่ ราชบุรี ได้เผยแพร่โปสเตอร์และข้อความเชิญชวนให้ประชาชนสังเกตการณ์การเลือก สว. โดยมีแบบฟอร์มออนไลน์ให้ประชาชนที่สนใจลงทะเบียนล่วงหน้า บางแห่งรับจำนวนจำกัดเพราะข้อจำกัดด้านสถานที่

ต่อมาวันที่ 6 มิ.ย. เพจเฟซบุ๊กทางการของสำนักงาน กกต. ได้เผยแพร่ อินโฟกราฟิก ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการสังเกตการณ์การเลือก สว. มีข้อความว่า “ในการจัดการเลือกสมาชิกวุฒิสภา กกต. จะจัดให้มีการเลือกที่โปร่งใสในทุกขั้นตอน ประชาชนหรือสื่อมวลชนจะมีส่วนร่วมสังเกตการณ์ได้ดังนี้ (1) สังเกตการณ์การเลือก สว. ระดับต่าง ๆ บริเวณจุดที่ผู้อำนวยการการเลือกกำหนดไว้ด้านหน้าของสถานที่เลือก (2) สังเกตการณ์การลงคะแนนผ่านโทรทัศน์วงจรปิดที่เชื่อมสัญญาณจากระบบการบันทึกภาพและเสียงกระบวนการเลือก ณ บริเวณที่ผู้อำนวยการการเลือกได้จัดเตรียมไว้”   

วันที่ 6 มิ.ย. เพจเฟซบุ๊กของสำนักงาน กกต. เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการสังเกตการณ์การเลือก สว.

เลขา กกต. สรุปจบ “ประชาชนสังเกตการณ์ได้”

ในการแถลงข่าวเนื่องในวันครบรอบ 26 ปี วันสถาปนาสำนักงาน กกต. ในวันนี้ (7 มิ.ย.) นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ถือโอกาสชี้แจงประเด็นที่ยังมีความสับสนหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับการเลือก สว. รวมถึงเรื่องการสังเกตการณ์ของประชาชนด้วย

“สามารถสังเกตการณ์ได้” เลขา กกต. กล่าว “เราได้แจ้งไปยังสถานที่เลือกทั้งระดับอำเภอ ระดับจังหวัด ให้เตรียมสถานที่สำหรับประชาชนและสื่อมวลชนสังเกตการณ์ สมมติว่าสถานที่เลือกอยู่ให้หอประชุม ก็จะจัดที่ไว้ให้ในนั้น สามารถดูการทำงานของเจ้าหน้าที่และผู้สมัครในนั้นได้ และ กกต. ได้มีหนังสือตอบกลับไปยังหน่วยงานและองค์กรอย่าง iLaw และ We Watch ที่ขอส่งคนเข้ามาสังเกตการณ์ เราก็ให้ ไม่ได้มีปัญหาอะไร รวมทั้งประชาชนจะเข้าไปสังเกตการณ์ก็ได้”

ในส่วนของการเลือกระดับประเทศ ซึ่งกำหนดไว้ในวันที่ 26 มิ.ย.ที่อิมแพค เมืองทองธานี นายแสวงกล่าวว่า กกต. ได้จัดเตรียมสถานที่ให้เอกชน ทูตานุทูต องค์กรภาคประสังคม และประชาชน เข้าสังเกตการณ์ได้หลายร้อยคน 

เจ้าหน้าที่สำนักงานเขตดินแดง จัดเตรียมสถานที่เลือก สว. ที่ อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร

นายวีระ ยี่แพร รองเลขาธิการ กกต. ซึ่งกำกับดูแลด้านการพัฒนาเครือข่ายการเลือกตั้ง ให้สัมภาษณ์โคแฟคในรายละเอียดเกี่ยวกับการสังเกตการณ์การเลือก สว. สรุปข้อมูลได้ดังนี้

  • กกต. มีมติเมื่อ 14 พ.ค. 2567 ให้ผู้อำนวยการเลือก สว. ระดับอำเภอ จังหวัดและประเทศ จัดบริเวณเพื่อให้ผู้สังเกตการณ์มีส่วนร่วมในการตรวจสอบและสังเกตการณ์การเลือกได้อย่างใกล้ชิด โดยไม่กระทบหรือเป็นอุปสรรคต่อกระบวนการการเลือก และไม่ขัดมาตรา 37 ของ พ.ร.ป. สว. จากนั้นได้แจ้งมตินี้ไปยังผู้อำนวยการการเลือกในทุกระดับเพื่อให้ดำเนินการ
  • ประชาชนทั่วไปและอาสาสมัครขององค์กรภาคประชาสังคมที่ต้องการเข้าไปสังเกตการณ์จะต้องลงทะเบียนล่วงหน้าและเข้ารับการอบรมกับ กกต. แต่หากลงทะเบียนล่วงหน้าไม่ทัน ให้ขออนุญาตเข้าสังเกตการณ์กับผู้อำนวยการการเลือก สว.
  • นอกจากองค์กรภาคประชาสังคมและประชาชนทั่วไปแล้ว ยังมีผู้สังเกตการณ์ที่เป็นตัวแทนจากภาคีเครือข่ายของ กกต. เช่น สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) ศูนย์ส่งเสริมพัฒนาประชาธิปไตย (ศส.ปชต.) และสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ร่วมสังเกตการณ์การเลือก สว. ด้วย
  • หากพื้นที่สังเกตการณ์เต็ม ประชาชนที่สนใจสามารถสังเกตการณ์ได้จากโทรทัศน์ที่เชื่อมสัญญาณจากกล้องบันทึกภาพภายในสถานที่เลือก
  • พื้นที่สังเกตการณ์ที่จัดเตรียมไว้ สามารถเห็นกระบวนการเลือก การนับคะแนน การขานบัตรดี-บัตรเสียได้อย่างชัดเจน

ปลดล็อก

สำหรับเครือข่ายภาคประชาชน Senate 67 ความเคลื่อนไหวของ กกต. ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกระดับอำเภอ นับได้ว่าเป็นการ “ปลดล็อก” ในระดับหนึ่ง แม้จะยังไม่มีความชัดเจนว่าบริเวณที่จัดให้สังเกตการณ์จะเป็นอย่างไร หรือจะได้เห็นอะไรบ้าง แต่เครือข่ายฯ ก็ถือว่าเป็นการเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบกระบวนการเลือก สว. มากขึ้น และได้เริ่มเชิญชวนให้ประชาชนทั่วไปเข้าร่วมการสังเกตการณ์การเลือก สว. ณ สถานที่เลือกใดก็ได้ที่สะดวก พร้อมขอความร่วมมือให้ช่วยส่งรายงานการสังเกตการณ์เข้ามาในระบบของ We Watch ที่ https://forms.gle/fgKCfwvnYWiNK6N26

หลังจากที่ กกต. มีความชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับการเปิดให้ประชาชนสังเกตการณ์การเลือก สว. iLaw ได้รณรงค์ให้ประชาชนร่วมเดินทางไปสังเกตการณ์ ณ สถานที่เลือกใดก็ได้ที่สะดวก

iLaw ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ทำจดหมายถึง กกต. ขอส่งตัวแทนเข้าสังเกตการณ์การเลือก สว. เปิดเผยด้วยว่า กกต. ได้ส่งหนังสือตอบกลับมาวันนี้ (7 มิ.ย.) ว่าได้แจ้งให้สำนักงาน กกต. ประจำจังหวัดจัดบริเวณเพื่อให้สามารถสังเกตการณ์การเลือกได้อย่างใกล้ชิด โดยไม่กระทบและเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการเลือก และให้ iLaw ส่งรายชื่อผู้สังเกตการณ์ให้สำนักงาน กกต. ประจำจังหวัดล่วงหน้า

We Watch ส่งผู้สังเกตการณ์กว่า 200 คน เน้น “พื้นที่สีแดง”

วศิน พงษ์เก่า ผู้ประสานงาน We Watch ให้สัมภาษณ์โคแฟคว่า We Watch ได้ประสานกับ กกต. เรื่องการขอเข้าสังเกตการณ์การเลือก สว. มาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ซึ่ง กกต. ได้ตอบรับแต่มีเงื่อนไขว่าผู้สังเกตการณ์จะต้องผ่านการอบรมกับ กกต. ก่อน ซึ่ง We Watch ได้ส่งรายชื่ออาสาสมัครจำนวน 234 คน ให้ กกต. แล้ว และบางส่วนผ่านการอบรมแล้ว แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่าจุดสังเกตการณ์ในสถานที่เลือกแต่ละแห่งจะเป็นเช่นไร หรือจะได้เข้าสังเกตการณ์ครบทั้ง 234 คนที่ส่งรายชื่อไปหรือไม่

วศินเปิดเผยด้วยว่า We Watch ส่งผู้สังเกตการณ์มากที่สุดใน 5 จังหวัดที่จัดเป็น “พื้นที่สีแดง” ได้แก่ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ เพชรบุรี สตูล มุกดาหาร เนื่องจากวิเคราะห์ว่าเป็นพื้นที่น่าจับตาเนื่องจากมีจำนวนผู้สมัครเกินค่าเฉลี่ย และ/หรือ มีข่าวเรื่องการ “ฮั้ว” หรือ “จัดตั้งผู้สมัคร”  

อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง

วันงดสูบบุหรี่โลก2024 : ‘บุหรี่ไฟฟ้าอันตรายน้อยกว่าบุหรี่มวน’ ความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่น่าห่วง!!!

By : Zhang Taehun

เวียนมาถึงอีกครากับ วันงดสูบบุหรี่โลก(World No Tobacco Day) 31 พฤษภาคม ของทุกปี โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ริเริ่มให้มีวันดังกล่าวขึ้นมาตั้งแต่ปี 2531 เพื่อกระตุ้นให้ประชาคมนานาชาติทั้งภาครัฐและประชาชนเห็นถึงโทษภัยของยาสูบ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพและสร้างภาระทางเศรษฐกิจ ซึ่งสำหรับวันงดสูบบุหรี่โลก ประจำปี 2567 (World No Tobacco Day 2024) ตรงกับวันศุกร์ที่ 31 พ.ค. 2567 มีคำขวัญว่า “Protecting Children from Tobacco Industry Interference” หรือ ปกป้องเด็กๆ จากการแทรกแซงของอุตสาหกรรมยาสูบ

บทความ “World No Tobacco Day 2024: protecting children from tobacco industry interference” ขององค์การอนามัยโลก ขยายความที่มาของขวัญดังกล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า “บุหรี่ไฟฟ้า (Electronic Cigarette)” กำลังได้รับความนิยมในหมู่เยาวชน โดยมีการประมาณการว่า ร้อยละ 12.5ของวัยรุ่นในภูมิภาคยุโรปใช้บุหรี่ไฟฟ้าในปี 2565เทียบกับร้อยละ 2 ของผู้ใหญ่ นอกจากนั้น ในบางประเทศของภูมิภาค อัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กนักเรียนสูงกว่าอัตราการสูบบุหรี่แบบดั้งเดิม (บุหรี่มวน) ถึง 2-3 เท่า

“อุตสาหกรรมนี้จงใจขายการพึ่งพาที่ร้ายแรงให้กับคนหนุ่มสาว ดังนั้นการจัดงานวันงดสูบบุหรี่โลกในปี 2567 จึงเรียกร้องให้รัฐบาลและชุมชนเครือข่ายควบคุมยาสูบ ปกป้องคนรุ่นปัจจุบันและอนาคต และให้อุตสาหกรรมยาสูบรับผิดชอบต่ออันตรายที่เกิดขึ้น” บทความขององค์การอนามัยโลก ระบุ

เมื่อพูดถึงบุหรี่ไฟฟ้า ที่ผ่านมา ความเข้าใจคลาดเคลื่อน (Misinformation)” ที่พบทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ 1.บุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัยกว่าบุหรี่มวน น่าจะเป็นความเชื่อที่ถูกพูดถึงมากที่สุดและเป็นสาเหตุให้ผู้คนที่ยังสูบบุหรี่หันมาสูบบุหรี่ไฟฟ้าแทนบุหรี่มวนมากขึ้น แต่จริงๆ แล้ว ไม่ว่าบุหรี่ไฟฟ้าหรือบุหรี่มวน..ล้วนอันตรายไม่แตกต่างกัน” เพราะมีสารเคมที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

บทความ “บุหรี่ไฟฟ้า ปลอดภัยจริงหรือ? โดย 2 อาจารย์ประจำภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พญ.นันทนัช วุฒิไกรวิทย์ และ อ.นพ.อมรพันธุ์ วงศ์กาญจนา หน่วยโรคระบบการหายใจและภาวะวิกฤติการหายใจ ฝ่ายอายุรศาสตร์ ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวถึงสารเคมีที่พบในบุหรี่ไฟฟ้า ที่มีทั้ง “นิโคติน” เป็นสารที่ทำให้ร่างกายเสพติดการสูบบุหรี่ และทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น หัวใจเต้นเร็วขึ้น , “โพรไพลีนไกลคอลและกลีเซอรีน” หากสูดดมอาจเกิดการระคายเคืองปอดได้ และเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดหอบหืด และยังมีสารประกอบอื่นๆ สารแต่งกลิ่นและรส โทลูอึน เบนซีน นิกเกิล โคบอลต์ โครเมียม ตะกั่ว

ในวันที่ 7 มิ.ย. 2566 นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองอธิบดีกรมการแพทย์ (ในขณะนั้น) ได้กล่าวถึงอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าไว้ว่า “สารประกอบในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้ามีสารพิษที่อันตรายไม่ต่างกว่าบุหรี่มวนทั่วไป มีสารนิโคตินเหลวซึ่งมีความเข้มข้นมากกว่านิโคตินในบุหรี่มวนปกติ” ซึ่งนิโคตินเป็นสารกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง เพิ่มความดันโลหิต เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ ทําให้เกิดโรคมะเร็งปอดและโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ

ขณะที่ในต่างประเทศ ซึ่งแม้จะเลือกใช้นโยบายควบคุมการใช้บุหรี่ไฟฟ้า (ต่างจากประเทศไทยที่ใช้นโยบายห้ามผลิต นำเข้าและจำหน่าย) เป็นผลิตภัณฑ์ทางเลือกแทนบุหรี่มวน ก็ยังย้ำว่า “ไม่ว่าบุหรี่มวนหรือบุหรี่ไฟฟ้า..ไม่มีผลิตภัณฑ์ใดที่ปลอดภัย”เช่น บทความ “Facts about E-Cigarettes” โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) วันที่ 26 ก.ค. 2566 ที่แม้จะให้ข้อมูลในด้านหนึ่งว่า ผลิตภัณฑ์ยาสูบที่ต้องจุดไฟให้เกิดควัน (Smoked เช่น บุหรี่มวน) ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพมากที่สุด เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ยาสูบชนิดที่ไม่ต้องจุดใฟให้เกิดควัน แต่อีกด้านหนึ่งก็ย้ำว่า ไม่มีผลิตภัณฑ์ยาสูบชนิดใดที่ปลอดภัย

บทความเดียวกันยังกล่าวต่อไปว่า ละอองจากบุหรี่ไฟฟ้า (บางครั้งเรียกว่า ไอVapor”)ไม่ใช่ไอน้ำธรรมดา แต่อาจมีสารเคมีที่เป็นอันตราย รวมถึงอะโครลีนและอะซีตัลดีไฮด์ (Acrolein & Acetaldehyde) ซึ่งสามารถทำลายปอดได้ ซึ่ง การที่ FDA ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบไม่ได้หมายความว่าผลิตภัณฑ์เหล่านั้นปลอดภัยที่จะใช้ไม่มีผลิตภัณฑ์ยาสูบที่ปลอดภัย รวมถึงบุหรี่ไฟฟ้าและระบบนำส่งนิโคตินแบบอิเล็กทรอนิกส์ (ENDS) ประเภทอื่นๆ

สมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา (American Heart Association) เผยแพร่บทความ “Is Vaping Better Than Smoking?” (ปรับปรุงล่าสุด 5 ม.ค. 2567) ระบุว่า บุหรี่ไฟฟ้ามีความเชื่อมโยงกับกรณีการบาดเจ็บรุนแรงที่ปอดหลายพันกรณี และบางรายส่งผลถึงขั้นเสียชีวิตได้ ซึ่งแม้ว่าสาเหตุที่แท้จริงยังไม่ได้รับการยืนยัน แต่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) แนะนำว่าประชาชนไม่ควรใช้บุหรี่ไฟฟ้า

บทความเดียวกันยังกล่าวด้วยว่า บุหรี่ไฟฟ้าส่วนใหญ่มีสารนิโคติน ซึ่งเป็นสารเสพติดสูงและอาจเป็นอันตรายต่อสมองที่กำลังพัฒนาของวัยรุ่น เด็ก และทารกในครรภ์ในสตรีที่สูบไอขณะตั้งครรภ์ “บุหรี่ไฟฟ้าบางประเภททำให้ผู้ใช้ได้รับสารนิโคตินมากกว่าบุหรี่แบบดั้งเดิม” นอกจากนิโคตินแล้ว ไอบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ยังรวมถึงสารที่อาจเป็นอันตราย เช่น ไดอะซิติล (Diacetyl-สารเคมีที่เกี่ยวข้องกับโรคปอดร้ายแรง) สารเคมีที่ก่อให้เกิดมะเร็ง สารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย และโลหะหนัก เช่น นิกเกิล ดีบุก และตะกั่ว ผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าจะสูดดมสารปนเปื้อนที่เป็นพิษเหล่านี้

19 มี.ค. 2567 มหาวิทยาลัยยูนิเวอร์ซิตี้ คอลเลจ ลอนดอน (UCL) ของอังกฤษ เผยแพร่รายงานผลการสึกษา “Similar DNA changes found in cells of both smokers and e-cigarette users” ที่ทำร่วมกันระหว่าง UCL กับมหวิทยาลัยอินส์บุรค (University of Innsbruck) ของออสเตรีย ที่พบว่า เซลล์เยื่อบุผิว (Epithelial Cells -เซลล์ที่มักเรียงเป็นแถวของอวัยวะและมักเป็นเซลล์ต้นกำเนิดของมะเร็ง) ในปากแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของอีพิจีโนมิก(epigenomic) อย่างมีนัยสำคัญในผู้สูบบุหรี่ 

ที่สำคัญการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นอีกในมะเร็งปอดหรือมะเร็งระยะก่อนมะเร็ง (เซลล์หรือเนื้อเยื่อที่ผิดปกติที่มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นมะเร็ง) เมื่อเปรียบเทียบกับเนื้อเยื่อปอดปกติ ซึ่งสนับสนุนแนวคิดที่ว่าการเปลี่ยนแปลงทางอีพีเจเนติกส์ที่เกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่ทำให้เซลล์สามารถ เติบโตเร็วขึ้น โดยงานวิจัยนี้พบข้อมูลใหม่ที่แสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของอีพิจีโนมิกที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งพบได้ในเซลล์ของผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าที่เคยสูบบุหรี่มวนน้อยกว่า 100 มวนในชีวิต

เชียรา เฮอร์ซ็อก (Chiara Herzog) นักวิชาการจากสถาบัน UCL EGA เพื่อสุขภาพสตรีและมหาวิทยาลัยอินส์บรุค ซึ่งเป็นผู้เขียนคนแรกของการศึกษานี้ กล่าวว่า แม้งานวิจัยของตนจะยังไม่สามารถสรุปได้ว่าบุหรี่ไฟฟ้าก่อให้เกิดมะเร็งหรือไม่แต่ก็สังเกตเห็นว่าผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าแสดงการเปลี่ยนแปลงทางอีพิเจเนติกส์ที่คล้ายกันในเซลล์ช่องปากเช่นเดียวกับผู้สูบบุหรี่มวน และการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการเกิดขึ้นของมะเร็งปอดในอนาคตในผู้สูบบุหรี่มวน ซึ่งจำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมเพื่อตรวจสอบว่าคุณลักษณะเหล่านี้สามารถใช้คาดการณ์แนวโน้มการเกิดมะเร็งในผู้สูบบุหรี่และผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นรายบุคคลได้หรือไม่

2.บุหรี่ไฟฟ้าช่วยให้เลิกสูบบุหรี่ได้ ความเชื่อนี้ ยังไม่มีอะไรยืนยันว่าเป็นความจริง อาทิ บทความFacts about E-Cigarettes ของ FDA ระบุว่า FDA ยังไม่มีการรับรองบุหรี่ไฟฟ้าในฐานะอุปกรณ์ช่วยเลิกบุหรี่ เพราะยังต้องการผลการศึกษาเพิ่มเติมทั้งในแง่ความปลอดภัยและประสิทธิภาพ ดังนั้นหากใครที่ไม่เคยใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบก็ไม่ควรริลองไม่ว่าชนิดใดๆ ส่วนคนที่สูบบุหรี่อยู่แล้วและต้องการเลิกสูบ จะมียา 7 ชนิด ที่ FDA รับรองว่าเป็นตัวช่วยได้

เช่นเดียวกับบทความ Is Vaping Better Than Smoking? ที่ระบุว่า ผู้สนับสนุนบุหรี่ไฟฟ้าอ้างว่าอุปกรณ์ดังกล่าวสามารถช่วยให้ผู้คนเลิกสูบบุหรี่ได้ แต่เรื่องนี้จำเป็นต้องมีหลักฐานอีกมากเพื่อพิจารณาว่าสิ่งเหล่านี้เป็นวิธีเลิกบุหรี่ที่มีประสิทธิภาพหรือไม่ แต่มีงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่า ผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้ามีแนวโน้มที่จะสูบบุหรี่มวนต่อไปพร้อมกับการสูบบุหรี่ไฟฟ้า(Dual Use) หรือก็คือนอกจากจะไม่ได้เลิกสูบบุหรี่มวนแล้วยังเพิ่มการสูบบุหรี่ไฟฟ้าเข้าไปอีก

ขณะที่บทความ “E-cigarettes contain hazardous substances, addictive and harmful”ซึ่งเขียนโดย จอส แวนเดอเลียร์ (Jos Vandelaer) ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย เผยแพร่วันที่ 28 ก.ย. 2566 ย้ำว่า เนื่องจากทั้งบุหรี่ไฟฟ้าและบุหรี่มวนมีสารนิโคติน จึงทำให้เสพติดได้ทั้งคู่ ดังนั้นจึงไม่ใช่ความคิดที่ดีที่จะใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพื่อการเลิกสูบบุหรี่ แต่เป็นเพียงการเปลี่ยนรูปแบบการรับสารนิโคตินจากบุหรี่มวนไปเป็นบุหรี่ไฟฟ้าเท่านั้น

“แคมเปญต่อต้านยาสูบค่อนข้างประสบความสำเร็จในการโน้มน้าวผู้คนให้เลิกนิสัยการสูบบุหรี่ แต่ตอนนี้ บุหรี่ไฟฟ้ามักได้รับการส่งเสริมว่าเป็นผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคที่ ‘ลดความเสี่ยง’ ‘ไร้ควัน’ และ ‘เป็นที่ยอมรับของสังคม’ บุหรี่ไฟฟ้าถูกวางตลาดแบบสร้างภาพว่า ‘เท่’ แต่จริงๆ แล้ว ‘บุหรี่ไฟฟ้าไม่ใช่ความเท่’ เพราะบุหรี่ไฟฟ้ายังคงทำให้เกิดการเสพติด เป็นสิ่งไม่ดีต่อสุขภาพ และทำให้เกิดปัญหาควันบุหรี่มือสองด้วย แต่กลยุทธ์ส่งเสริมการขายเหล่านี้มีศักยภาพในการทำให้การสูบบุหรี่เป็นปกติอีกครั้ง และผลักดันการใช้ผลิตภัณฑ์นิโคตินที่เสพติดได้ในระยะยาว” ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย กล่าวในบทความ

3.ละอองลอยจากบุหรี่ไฟฟ้าเป็นอันตรายต่อคนรอบข้างน้อยกว่าควันบุหรี่มวน ที่ผ่านมามีการเตือนภัยเรื่อง ควันบุหรี่มือสอง (Secondhand Cigarette)” หรืออันตรายที่คนรอบข้างจะได้รับหากสูดควันบุหรี่มวนเข้าไปแม้จะไม่ได้เป็นผู้สูบบุหรี่ก็ตาม ซึ่ง ละอองลอยมือสองจากบุหรี่ไฟฟ้าก็เป็นอันตรายต่อคนรอบข้างไม่ต่างกัน” โดยบทความ “Secondhand Electronic-Cigarette Aerosol and Indoor Air Quality” เผยแพร่โดยสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐอเมริกา (EPA) อธิบายว่า ละอองลอยมือสองจากบุหรี่ไฟฟ้า เป็นส่วนผสมของอนุภาคเล็กๆ และ/หรือหยดในอากาศ 

“บุหรี่ไฟฟ้าจะผลิตไอระเหยโดยการให้ความร้อนกับของเหลวที่มักประกอบด้วยนิโคติน สารปรุงแต่งรส และสารเคมีอื่นๆ ซึ่งผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าจะสูดดมละอองนี้เข้าไปในปอด ขณะที่คนที่อยู่ใกล้กับผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าก็สามารถหายใจเอาละอองลอยนี้เข้าไปได้เมื่อผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าหายใจออกในอากาศ ละอองลอยเหล่านี้อาจมีสารที่อาจเป็นอันตราย รวมถึงนิโคติน ฟอร์มาลดีไฮด์ และสารประเภทโลหะ ซึ่งบางชนิดก่อให้เกิดมะเร็งและส่งผลเสียต่อสุขภาพอื่นๆ” บทความของ EPA ระบุ

บทความนี้ยังแนะนำด้วยว่า เพื่อลดความเสี่ยงจากละอองลอยมือสองจากบุหรี่ไฟฟ้า การห้ามสูบบุหรี่ไฟฟ้าภายในหรือใกล้อาคาร ยานพาหนะ และพื้นที่ปิดอื่นๆ เป็นวิธีเดียวที่จะกำจัดการสัมผัสละอองลอยจากมือสอง และความเสี่ยงด้านสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นด้วย ส่วนเทคนิคการระบายอากาศ การกรอง และการทำความสะอาดอากาศอาจลดสารอันตรายที่ปล่อยออกมาจากการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในอาคาร แต่ไม่น่าจะกำจัดสารอันตรายเหล่านั้นได้!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://www.who.int/europe/news-room/events/item/2024/05/31/default-calendar/world-no-tobacco-day-2024–protecting-children-from-tobacco-industry-interference(World No Tobacco Day 2024: protecting children from tobacco industry interference : องค์การอนามัยโลก) 

https://chulalongkornhospital.go.th/kcmh/line/are-electronic-cigarettes-really-safe/ (บุหรี่ไฟฟ้า ปลอดภัยจริงหรือ? : 12 ธ.ค. 2564)

https://pr.moph.go.th/?url=pr/detail/2/02/192625/ (บุหรี่ไฟฟ้า อันตรายพิษร้ายต่อสุขภาพ : สำนักสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข)

https://www.fda.gov/news-events/rumor-control/facts-about-e-cigarettes (Facts about E-Cigarettes : FDA 27 ก.ค. 2566)

https://www.heart.org/en/healthy-living/healthy-lifestyle/quit-smoking-tobacco/is-vaping-safer-than-smoking (Is Vaping Better Than Smoking? :  American Heart Association 5 ม.ค. 2567)

https://www.ucl.ac.uk/news/2024/mar/similar-dna-changes-found-cells-both-smokers-and-e-cigarette-users (Similar DNA changes found in cells of both smokers and e-cigarette users : UCL 19  มี.ค. 2567)

https://www.who.int/thailand/news/feature-stories/detail/e-cigarettes-contain-hazardous-substances–addictive-and-harmful (E-cigarettes contain hazardous substances, addictive and harmful : องค์การอนามัยโลก 23 ก.ย. 2566)

https://www.epa.gov/indoor-air-quality-iaq/secondhand-electronic-cigarette-aerosol-and-indoor-air-quality (Secondhand Electronic-Cigarette Aerosol and Indoor Air Quality : EPA 2 มี.ค. 2567)


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 1 มิถุนายน 2567

ประกาศอันตรายจากยา ให้เพิกถอนยา ที่ส่วนผสม PPA ทำให้เลือดออกในสมอง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/359mnxgbpuhla


กรุงไทยเปิดสินเชื่อกู้เงินด่วน อนุมัติ 30 นาที ใช้แค่บัตรประชาชน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2jgtt464kdf63


   ด้วงก้นกระดก มีมากช่วงฤดูฝน ระวังอย่าจับเล่น

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2wcpav63wz0j


  บัตรทองทำฟันฟรี! ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1zzw9wxbyx6qr#_=_


  เร่งบังคับถุงพลาสติกใส่อาหารเป็นมาตรฐานบังคับ หวั่นโลหะหนักปนเปื้อน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1p41g5p78feuy


   ยกเลิกเมนูถอนเงินสำหรับบัญชีเงินฝากประจำ ผ่านแอปฯ Krungthai NEXT ตั้งแต่ 29 พ.ค. 67

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/drg7j2zdf2fo


  23 จังหวัด เตรียมรับมือฝนตกหนัก เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่มถึงวันที่ 11 มิ.ย. 67 ภาคเหนือ อีสาน ตะวันออก ตะวันตก

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/q64uoo35bowu


  แผงโซล่าเซลล์ ไม่มี มอก. เสี่ยงไฟไหม้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3lt4gwc205yb6


 กินน้อยทำให้อายุเยอะ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/190bjieomc8u2#_=_


เก็บตกจาก g0v Summit 2024: วิธีสู้ข่าวลวงในยุค AI

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค: รายงาน

กรุงไทเป ไต้หวัน–“ข่าวลวงในยุค AI” เป็นหนึ่งในหัวข้อเสวนาของงาน g0v Summit 2024 ซึ่งเป็นการรวมตัวครั้งใหญ่ของเหล่า “เนิร์ด” ด้านเทคโนโลยีและนักเคลื่อนไหวทางสังคมในไต้หวัน ที่ร่วมมือกันแก้ปัญหาและสร้างสรรค์สังคมด้วยการใช้เทคโนโลยี/ซอฟต์แวร์แบบ open source ภาคพลเมือง บนพื้นฐานความโปร่งใสและเปิดเผย

g0v (อ่านว่า “gov-zero”) ก่อตั้งเมื่อปี 2555 เป็นเครือข่ายภาคพลเมืองที่ใหญ่ที่สุดเครือข่ายหนึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ประกอบด้วยผู้คนหลากหลายอาชีพและความเชี่ยวชาญ ทั้งโปรแกรมเมอร์ วิศวกรคอมพิวเตอร์ วิศวกรข้อมูล นักพัฒนาซอฟต์แวร์ ผู้ประกอบการเพื่อสังคม นักวิชาการ นักกิจกรรม ฯลฯ ผู้ร่วมก่อตั้งที่สำคัญคนหนึ่งคือคุณออเดรย์ ถัง อัจฉริยะด้านคอมพิวเตอร์และนักกิจกรรมทางสังคม ซึ่งในปี 2559 ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลคนแรกของไต้หวัน

g0v จัดระดมสมองในรูปแบบ hackathon ทุกสองเดือน เพื่อเปิดเวทีให้สมาชิกมาขายไอเดีย เสนอโครงการ รับสมัครทีมงานอาสาสมัคร และมีการจัดการรวมตัวครั้งใหญ่หรือ g0v Summit เป็นประจำทุกสองปี มาตั้งแต่ปี 2557 โดยมีทั้งผู้สนใจจากภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมงานด้วย

ออเดรย์ ถัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลของไต้หวัน หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งเครือข่ายเทคโนโลยีภาคพลเมือง g0v เดินทางมาร่วมงาน g0v Summit 2024 และร่วมถ่ายภาพร่วมกับทีมงานโคแฟค ประเทศไทย

g0v Summit ประจำปี 2567 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-5 พ.ค. ที่ Academia Sinica ชานกรุงไทเป มีผู้เข้าร่วมคึกคัก ทีมงานโคแฟค ประเทศไทย ได้เข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วยโดยเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาดูงานด้านการรับมือข่าวลวงของไต้หวันในโอกาสครบรอบ 5 ปี การก่อตั้งโคแฟค ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิฟรีดิช เนามันเพื่อเสรีภาพ (FNF)

ตลอดสองวันของงานซัมมิทมีทั้งการเสวนา อภิปราย บรรยายพิเศษ นำเสนอโครงการ และเวิร์คช็อปที่น่าสนใจในหลายหัวข้อ เช่น เทคโนโลยีกับความถดถอยทางการเมือง สิทธิทางดิจิทัล การกำกับดูแลเทคโนโลยีดิจิทัล การเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ เป็นต้น โดยผู้เชี่ยวชาญและผู้มีประสบการณ์จากหลายภาคส่วนทั้งในไต้หวันและจากต่างประเทศ รวมถึงประเทศไทย คือ ดร.ศราวุฒิ นิลสวัสดิ์ นักวิชาการจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย นำเสนอเรื่องการใช้เทคโนโลยีในการรับมือกับปัญหามลพิษทางอากาศ คุณปฏิพัทธ์ สุสำเภา ผู้ก่อตั้งบริษัท Opendream ขึ้นเวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์เรื่องการสร้างความร่วมมือระหว่างภาคประชาสังคมกับผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยี

เนื่องจาก AI เป็นประเด็นหนึ่งที่ผู้จัด ‘g0v Summit 2024’ ให้ความสำคัญ จึงได้จัดเวทีเสวนาในหัวข้อ “ข่าวลวงในยุค AI” โดยมีคุณสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค ประเทศไทย คุณบิลเลียน ลี ผู้อำนวยการ Cofacts ของไต้หวัน และคุณชิเฮา หยู ผู้อำนวยการร่วมของศูนย์วิจัยระบบนิเวศข้อมูลข่าวสารแห่งไต้หวัน (Taiwan Information Environment Research Center –IORG) ร่วมพูดคุย โดยทั้งสามคนเห็นตรงกันว่าการใช้เทคโนโลยี AI ในทางลบกำลังคุกคามระบบนิเวศข้อมูลข่าวสารทั้งในไทยและไต้หวัน

Deepfake แพร่หลาย Cheapfake ก็ยังอยู่

คุณสุภิญญาเล่าถึงปฏิกิริยาโดยรวมของคนไทยต่อ AI ว่ามีทั้งคนที่มองเห็นโอกาสจากการใช้เทคโนโลยีนี้และคนที่กังวลถึงด้านมืดหากถูกใช้ในทางที่ผิด โคแฟคเองก็มองเห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจากการใช้ Generative AI ในการสร้างและเผยแพร่เนื้อหาเพื่อหลอกลวงประชาชน หรือที่เรียกว่า “deepfake” เพราะแม้แต่ก่อนที่ AI จะถูกใช้อย่างแพร่หลาย คนไทยจำนวนมากก็ถูกหลอกให้เสียทรัพย์โดยมิจฉาชีพที่หลอกลวงด้วยวิธีการง่าย ๆ หรือ “cheapfake” อย่างเช่นการโทรศัพท์หลอกลวงให้โอนเงินหรือส่งข้อความให้กดลิงก์เพื่อเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล ดังนั้นเมื่อ cheapfake ยังคงอยู่ และมี deepfake มาสมทบ ประชาชนย่อมตกอยู่ในความเสี่ยงมากขึ้น

โคแฟคเห็นว่าสิ่งที่จะป้องกันผู้คนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อทั้งจาก cheapfake และ deepfake คือการรู้เท่าทันสื่อและเทคโนโลยี โคแฟคจึงเน้นการทำงานด้านการรณรงค์ให้ความรู้ประชาชน รวมถึงการฟื้นฟูความสัมพันธ์ของผู้คนในทุกระดับตั้งแต่ครอบครัวถึงชุมชน เพื่อให้ช่วยกันดึงสติก่อนถูกหลอกให้เชื่อ

“ถ้าเรารับข้อมูลข่าวสารอยู่คนเดียว ตัดสินใจเองลำพัง เราอาจถูกหลอกได้ง่าย แต่ถ้ามีใครอยู่ใกล้ ๆ อย่างคนในครอบครัวหรือเพื่อนสนิท ให้เราได้พูดคุยถามความเห็น เราจะเกิดการยับยั้งชั่งใจและไม่ตกเป็นเหยื่อข้อมูลหลอกลวง” คุณสุภิญญากล่าว นอกจากสร้างเกราะป้องกันในระดับบุคคลแล้ว สุภิญญามองว่าสังคมไทยต้องพูดคุยหารือกันว่าควรจะมีการกำกับดูแลการใช้ AI หรือไม่ อย่างไร ควบคู่กับการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะเทคโนโลยีภาคพลเมือง เพื่อพัฒนาเครื่องมือที่จะมารับมือกับข่าวลวงที่สร้างจาก AI

สู้เทคโนโลยีด้วยเทคโนโลยี

คุณชิเฮา วิศวกรซอฟต์แวร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ข้อมูลและผู้อำนวยการ IORG ซึ่งทำงานด้านการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล กล่าวว่า AI ส่งผลกระทบต่อการทำงานของ IORG ใน 3 ด้านหลักคือ ปริมาณข้อมูล (quantity) ความหลากหลายของข้อมูล (diversity) และความจริงแท้ของข้อมูล (authenticity)

AI ทำให้ปริมาณข้อมูลเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจนอาจกระทบกับศักยภาพและเนื้อที่ในการจัดเก็บ โดยเฉพาะวิดีโอที่สร้างโดยใช้ Generative AI ที่เพิ่มขึ้นสูงลิ่วโดยเฉพาะใน TikTok

นอกจากจำนวนที่เพิ่มขึ้นแล้ว ความหลากหลายของข้อมูลก็เพิ่มขึ้นด้วย เพราะ AI สามารถผลิตเนื้อหาออกมาได้หลายเวอร์ชันได้อย่างง่ายด่ายในเวลาอันรวดเร็ว ทำให้การวิเคราะห์เส้นทางการแพร่กระจายของข้อมูลทำได้ยากยิ่งขึ้น ผลกระทบด้านสุดท้ายคือการเกิดขึ้นของ deepfake อย่างเช่นวิดีโอและคลิปเสียงเท็จที่สร้างจาก AI ที่ทำให้เราต้องเสียพลังงานและเวลาในการตรวจสอบความจริงแท้ของเนื้อหาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“นี่เป็นเวลาที่ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีจะต้องร่วมมือกันพัฒนาเทคโนโลยีน้ำดีมาสู้กับการใช้เทคโนโลยีในทางที่ผิด อย่างการสร้างเนื้อหาเท็จและหลอกลวง”

อย่างไรก็ตาม ลำพังเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอที่จะรับมือกับข่าวลวงในยุค AI คุณชิเฮาเสนอว่าปราการป้องกันข่าวลวงจะต้องสร้างจากองค์ความรู้จากหลายสาขาวิชาผสมกัน ทั้งรัฐศาสตร์ สังคมวิทยา วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ไปจนถึงจิตวิทยา

“ที่สำคัญที่สุด การกำกับดูแลการใช้ AI จะต้องฟังเสียงประชาชน ประชาชนจะต้องเป็นผู้กำหนดว่าเราควรใช้ AI อย่างไร การออกนโยบายและระเบียบใด ๆ มากำกับดูแลการใช้เทคโนโลยีนี้จะต้องเป็นไปตามกระบวนการประชาธิปไตย” คุณชิเฮาให้ความเห็น

อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง