สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 7กันยายน 2567

งดใช้ตู้ ATM ที่ไม่มีไฟกะพริบตรงที่เสียบบัตร เสี่ยงโดนแฮกข้อมูล…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1ql2xar7ybn47


ส้มโออันตราย ทำให้เกือบเสียชีวิตได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2ju2wochuer05


เตือนภัยประชาชนเตรียมรับมือมวลน้ำที่จะไหลลงสู่พื้นที่ลุ่มน้ำป่าสักตอนบน จังหวัดเพชรบูรณ์ เนื่องจากมีฝนตกหนักนานต่อเนื่อง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1qv41kpnb88yf


 ตักอุจจาระแมวโดยไม่สวมถุงมือ เสี่ยงเป็นฝีในสมอง

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/14r4hwi3gtwff


คนไทยจะได้ใช้ระบบแจ้งเตือนฉุกเฉินผ่านมือถือในปี 2568

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/kxi3atfftm9d


จีนตรวจพบทุเรียนไทยปนเปื้อนแคดเมียม

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2l24wdrmkfudb


การรถไฟฯ ปรับลดค่าบริการจอดรถชั้นใต้ดินสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ถึง 15 ก.พ. 68

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3g3u37s88a6ac


ไอ เจ็บคอ เป็นไข้ หายได้ด้วยการประคบเย็น…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3dins9c4eknwe


เข้าใจ‘การทำงานของสมอง’ รู้ทัน‘อคติทางความคิด’ ปรับวิธี‘ฟัง-พูด’ลดอุณหภูมิความรุนแรงด้วยสื่อสารสร้างสันติ

กิจกรรม

1 ก.ย. 2567 ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับเพจเฟซบุ๊ก “Understand : ห้องนั่งเล่นของหัวใจ”และ Clazy Cafe’ จัดกิจกรรมอบรม Workshop “ไขปริศนาสมอง: รู้ทันกลไกความคิด พิชิตการสื่อสาร”ณ ห้อง Connext A ชั้น 3 อาคาร The Season Mallสนามเป้า กรุงเทพฯ ชวนทำความเข้าใจการทำงานของสมอง ซึ่งมีผลต่อคำพูดและการกระทำที่แสดงออกของตัวเราว่าจะนำไปสู่การสื่อสารที่กระตุ้นให้เกิดความรุนแรงหรือช่วยสร้างสันติ โดยคณะวิทยากรจากเพจ “Understand : ห้องนั่งเล่นของหัวใจ” ซึ่งมีทั้งจิตแพทย์ นักจิตวิทยาให้คำปรึกษา และนักกิจกรรมที่สนใจประเด็นด้านสุขภาพจิต

บทเรียนแรก คือ การทำงานของระบบประสาท1.การรับรู้ผ่านประสาทสัมผัส (Sensory) 2.การประมวลผลของสมอง (Process หรือ Integrate) และ 3.การแสดงออกหรือพฤติกรรม (Behavior) ซึ่งก็คล้ายกับการทำงานของคอมพิวเตอร์ ที่มีการป้อนข้อมูล (Input) ประมวลผล (Process) และออกมาเป็นผลลัพธ์ (Output)

แต่สิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากคอมพิวเตอร์ คือ มีกระบวนการบางอย่างที่ทำให้การตีความ (Perception) ของสมองต่อสิ่งที่ประสาทสัมผัสได้รับรู้มาผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง โดยสมองมีการทำงานที่เรียกว่า การประมวลผลจากบนลงล่าง (Top-Down Process)” หมายถึง สมองมีชุดข้อมูลบางอย่างเตรียมไว้แล้วว่าจะตีความสิ่งที่ได้รับรู้นั้นอย่างไร ซึ่งช่วยให้การทำงานของสมองรวดเร็วขึ้นและใช้พลังงานน้อยลง โดยชุดข้อมูลที่สมองเตรียมไว้ล่วงหน้านั้นก็มาจาก ประสบการณ์ ที่แต่ละคนที่พบเจอมาในชีวิต หรือ ความเชื่อ-คุณค่า ที่คนนั้นยึดถือ

และเมื่อดูโครงสร้างการทำงานของสมองมนุษย์พบว่าส่วนใหญ่อยู่กับ ระบบอัตโนมัติ คือ สมองของสัตว์เลื้อยคลาน (Reptilian Brain) เกี่ยวข้องกับสัญชาตญาณ กับสมองส่วนลิมบิก (Limbic Brain) เกี่ยวข้องกับอารมณ์ความรู้สึก เพื่อให้มนุษย์ตัดสินใจได้รวดเร็วในสถานการณ์ที่ต้องเอาชีวิตรอด ในขณะที่สมองอีก 1 ส่วนที่เหลือ คือ สมองส่วนนีโอคอร์เท็กซ์ (Neocortex Brain) เกี่ยวข้องกับการคิดวิเคราะห์ ซึ่งสมองสวนนี้ก็ยังทำงานผิดพลาดได้ 

ดังนั้น มนุษย์ก็ต้องรู้เท่าทันว่าตนเองกำลังรับรู้และกำลังคิดอะไร (Metacognition)” หมายถึงการตั้งสติ ถอยกลับมามองการทำงานของสมองว่าเหตุใดเราจึงคิดหรือเชื่อเช่นนั้น ซึ่งสิ่งที่ต้องระวังคือ อคติเชิงความคิด (Cognitive Bias)” ที่มีเป็นจำนวนมาก โดยในกิจกรรมนี้ยกตัวอย่างมาเพียงบางรูปแบบที่พบได้บ่อยๆ คือ 1.มองอะไรแบบสุดโต่งไม่มีตรงกลาง (Black & White หรือ  All or Nothing Thinking) เช่น คำพูดว่า หากไม่ทำให้ดีที่สุดก็อย่าทำเสียเลยดีกว่า หรือหากสอบเข้าคณะนี้ไม่ได้ชีวิตก็หมดความหมาย เป็นต้น

2.เหมารวม (Over Generalization) เช่น อกหักจากคนคนหนึ่งแล้วก็บอกว่าชาตินี้คงไม่มีใครมารักมาชอบตนเองอีกแล้ว หรือเห็นคนไทยคนหนึ่งแซงคิวก็สรุปเอาว่าคนไทยเป็นชนชาติที่ไร้ระเบียบวินัย3.เลือกมองเพียงบางสิ่งจนละเลยภาพรวม (Mental Filter) เช่น แม้ผลการเรียนในภาพรวมจะอยู่ในเกณฑ์ดีมากแต่จิตใจก็เอาแต่คิดวนเวียนอยู่กับ 1-2 วิชาที่ไม่ได้เกรด A จนรู้สึกเครียดหรือซึมเศร้า หรือไปพูดต่อหน้าคนหมู่มาก แม้ผู้ฟังส่วนใหญ่จะตั้งใจฟังแต่ใจก็ไปจดจ่ออยู่กับคนเพียง 1-2 คนที่นั่งหลับ แล้วก็คิดว่าตนเองนำเสนอได้ไม่ดี

4.บิดเนื้อหาจากเชิงบวกหรือกลางๆ เป็นเชิงลบ (Disqualify Positive) เช่น วันหนึ่งจำเป็นต้องลางาน มีเพื่อนร่วมงานโทรศัพท์มาสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น ก็คิดไปว่าคงแค่ถามไปตามหน้าที่ ไม่มีใครห่วงใยตัวเราจริงๆ 5.ขยายความเรื่องราวให้ใหญ่เกินจริง (Magnification) หรือตื่นตระหนกวิตกกังวลมากเกินไป เช่น มีผื่นขึ้นที่แขนได้เพียง 3 วัน ก็คิดไปก่อนแล้วว่าต้องเป็นโรคมะเร็งผิวหนังแน่ๆ

6.มองเรื่องราวเล็กกว่าความเป็นจริง (Minimization) ซึ่งตรงกันข้ามกับ Magnificationโดยการคิดแบบ Minimization นี้มักพบในผู้ที่มีปัญหาการใช้ยาเสพติด เช่น คิดว่าใช้แค่นิดเดียวไม่เห็นเป็นอะไร แต่ก็ทำให้เกิดพฤติกรรมการใช้ยาเสพติดซ้ำๆ 7.คิดไปเองราวกับสามารถอ่านใจคนอื่นได้ (Mind Reading) เช่น ส่งข้อความในกลุ่มไลน์แล้วไม่มีคนตอบก็คิดว่าคนอื่นๆ คงรำคาญตนเอง หรือนั่งเรียนอยู่แล้วอาจารย์มองหน้าก็คิดไปว่าอาจารย์คงกำลังดูถูกว่าเราโง่แน่ๆ ทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายคิดกับเราแบบนั้นจริงหรือไม่แต่ก็ตัดสินไปแล้ว

8.คาดเดาไปก่อนว่าสถานการณ์ต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ โดยที่ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอ (Fortune Telling) เช่น เชื่อมั่นว่าหาเอาเงินไปซื้อล็อตเตอรี่งวดนี้จะได้รวยเป็นเศรษฐีแน่นอน หรือเข้าไปเรียนได้เพียงวันแรกก็คิดแล้วว่าตนเองไม่มีทางเรียนจบ ทั้งนี้ ข้อแตกต่างระหว่าง Fortune Telling กับ Mind Readingคืออย่างแรกเป็นการด่วนสรุปเกี่ยวกับสถานการณ์ ส่วนอย่างหลังเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล 

และ 9.ใช้อารมณ์นำก่อนแล้วค่อยหาเหตุผลมารองรับ (Emotional Reasoning) เช่น ใจอยากได้สิ่งของสักอย่างหนึ่งแล้วสมองค่อยหาเหตุผลต่างๆ นานา ทำให้ตนเองเชื่อว่าจำเป็นต้องซื้อสิ่งนั้น หรือมองคนหนึ่งว่าต้องเป็นคนไม่ดีแน่ๆ เพราะคนนั้นเคยทำให้ตนเองโกรธ ทั้งนี้ ต้องย้ำว่า “Cognitive Bias หรืออคติเชิงความคิด ไม่ใช่สิ่งที่ผิดหรือไม่ดี แต่ต้องมีให้ถูกต้องเหมาะสมกับสถานการณ์” เพราะการทำงานของ Cognitive Bias นั่นเกี่ยวข้องกับการเอาชีวิตรอด เช่น ในสถานการณ์ที่ต้องเพิ่มความระมัดระวัง

การฝึกตนเองให้รู้เท่าทันความคิดเพื่อลดการตัดสินใจแบบมีอคติหรือด่วนสรุป สามารถสรุปเป็น 4 ข้อ ตามตัวอักษรภาษาอังกฤษ “F.A.S.T.ประกอบด้วย 1.Fact เรื่องที่คิดอยู่นั้นตรงกับข้อเท็จจริงหรือไม่? 2.Alternative เรื่องที่คิดอยู่นั้นมองได้เพียงด้านเดียว หรือยังมองในแง่มุมอื่นๆ ได้อีก? 3.So What เรื่องที่คิดอยู่นั้นเป็นประโยชน์หรือไม่? และ 4.Toll เรื่องที่คิดอยู่นั้นจะส่งผลเสียอย่างไรบ้าง? 

บทเรียนต่อมาคือ การฟังอย่างลึกซึ้ง (Deep Listening)” หรือการฟังอย่างใส่ใจ โดยวิทยากรสรุป 4 เรื่องที่คนเรามักเผลอคิด-เผลอทำขณะฟัได้แก่ 1.เผลอแนะนำ หลายคนฟังแล้วก็เผลอคิดไปตามประสบการณ์ของตนเองแล้วก็แนะนำว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้บ้าง 2.เผลอถามแทรก จริงอยู่ที่เราฟังแล้วก็อยากถามเพื่อให้เข้าใจอีกฝ่ายมากขึ้น แต่ก็ต้องดูจังหวะให้ดีเพราะบางทีอีกฝ่ายกำลังจะพูดอยู่แล้วแต่เราไปถามแทรกเสียก่อน อาจทำให้ข้อมูลที่จะได้รับบิดเบี้ยวไป หรืออีกฝ่ายอาจรู้สึกว่าเราไม่ตั้งใจฟังก็ได้ 

3.เผลอแย่งซี เช่น มีคนกำลังเล่าเรื่องๆ หนึ่ง แต่มีคนอื่นๆ พูดขึ้นมาว่าเหมือนกัน ทำให้คนที่อยากจะสื่อสารไม่ได้สื่อสาร และคนที่อยากรู้ข้อมูลที่คนนั้นจะเล่าก็ไม่ได้รู้ และ 4.เผลอด่วนตัดสิน เพราะ Cognitive Bias ทำให้เราด่วนสรุปไปว่าเรื่องมันต้องเป็นอย่างนี้แน่นอน โดยทั้ง 4 ข้อนี้ ทำแล้วอาจส่งผลต่อการรับรู้ที่ผิดพลาด นั่นหมายถึงเสียตั้งแต่สมองรับข้อมูลเข้ามาแล้ว ซึ่งส่งผลต่อการประมวลผลหรือตีความ

และบทเรียนที่ 3 ซึ่งเป็นบทเรียนสุดท้ายของกิจกรรมในครั้งนี้คือ การสื่อสารเพื่อสร้างสันติหรือสื่อสารอย่างไรจะลดบรรยากาศที่อาจนำไปสู่ความรุนแรง โดยเริ่มจากยกตัวอย่างคำพูดที่ทำให้เกิดความรู้สึกเชิงลบ เช่น หัวหน้าบอกลูกน้องว่า คุณทำงานผิดตลอด แก้อีกก็ผิดอีก อย่างนี้เมื่อไรจะเสร็จ ทำไมไม่ดูแผนกอื่นเขาบ้าง ทำให้ดีกว่านี้หน่อย ซึ่งพูดแบบนี้ไปลูกน้องก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าตนเองทำผิดตรงไหนและควรแก้ไขอย่างไรให้ถูก

แต่หากหัวหน้าเปลี่ยนวิธีการพูดโดย 1.สังเกตเช่น บอกลูกน้องว่า ผมเห็นคุณแก้งานบ่อยๆ” โดยที่ไม่ต้องใช้ถ้อยคำในเชิงต่อว่าด่าทอ 2.บอกความรู้สึก เช่น บอกว่า “ผมกังวล แล้วก็อธิบายว่าที่กังวลก็เพราะกลัวงานจะเสร็จไม่ทันกำหนด3.บอกความต้องการ เช่น บอกว่า ผมต้องการให้คุณได้รับการสนับสนุน แทนการใช้ถ้อยคำทำนองชี้นิ้วสั่ง และ 4.ร้องขอ เช่น ในกรณีที่ยังไม่รู้ว่าลูกน้องได้ลองแก้ไขมาแล้วกี่วิธี-อะไรบ้าง หัวหน้าอาจบอกว่า ถ้ามีปัญหาอะไรอยากให้ช่วย ผมอยากให้คุณบอกได้เลยนะ เป็นการแลกเปลี่ยนมุมมองเพื่อหาทางออก เป็นต้น

 จากการอบรมครั้งนี้ ทำให้เห็นว่าแม้เราจะได้รับข้อมูลมาเพียงพอและรู้เท่าทันความคิดของตนเองแล้วก็ตาม  แต่หากสื่อสารไม่ถูกย่อมไม่ก่อเกิดประโยชน์กับตนเองและคนรอบข้าง  

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

Raison d’être ของนักข่าวและนักตรวจสอบข้อเท็จจริงในมุมมองของ “สเตฟาน เดลฟูร์” แห่ง AFP

บทความ

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค / แปลและเรียบเรียง

Raison d’être เป็นวลีในภาษาฝรั่งเศส แปลว่า เหตุผลของการดำรงอยู่ จุดหมายแห่งชีวิต หรือจะแปลว่าพันธกิจขององค์กรก็ได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในหัวข้อสนทนาระหว่างคุณสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค และคุณสเตฟาน เดลฟูร์ (Stéphane Delfour) สื่อมวลชนอาวุโสแห่งสำนักข่าว Agence France-Presse (AFP) ในบ่ายวันศุกร์สุดท้ายของเดือนสิงหาคม 2567 ที่สำนักงาน AFP ใจกลางกรุงเทพฯ

การสนทนาในครั้งนี้เกิดขึ้นในวาระที่คุณสเตฟานอำลาตำแหน่งหัวหน้าสำนักข่าวเอเอฟพีประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (AFP Bureau Chief for Southeast Asia) ที่นำพาเขาให้มาทำงานและใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทยนานถึง 5 ปี ตั้งแต่ปี 2562 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่มีการก่อตั้งโคแฟค ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา คุณสเตฟานและ AFP Fact Check ซึ่งเป็นแผนกตรวจสอบข้อเท็จจริงของเอเอฟพีที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2560 ได้ทำงานร่วมกับโคแฟค องค์กรวิชาชีพสื่อ และสื่อมวลชนไทยหลายสำนักในการพัฒนางานด้านการตรวจสอบข้อเท็จจริงและการรู้เท่าทันข่าวลวงมาอย่างต่อเนื่อง นับว่าคุณสเตฟานและ AFP Fact Check มีส่วนสำคัญในการวางรากฐานและเป็นต้นแบบการทำงานด้านการตรวจสอบข้อเท็จจริงในไทย

ก่อนอำลาเมืองไทย โคแฟคชวนคุณสเตฟานมาสนทนาในหัวข้อ “5 ปีแห่งความท้าทาย: บทเรียนและก้าวต่อไปของการตรวจสอบข้อเท็จจริงในไทย” โดยมีการถ่ายทอดสดทางเฟซบุ๊กโคแฟคเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2567 ซึ่งกองบรรณาธิการโคแฟคได้สรุปความและเรียบเรียงมาไว้ที่นี้

ในบทสนทนาเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็ม คุณสเตฟานได้เล่าเบื้องหลังการทำงาน ให้ความเห็นและมุมมองที่น่าสนใจตั้งแต่เรื่องภูมิทัศน์สื่อในยุคเอไอ ไปจนถึงเหตุผลในการดำรงอยู่หรือ “raison d’être” ของสื่อมวลชน ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยการพูดถึงการเมืองไทยสั้น ๆ จากมุมมองของสื่อต่างชาติ  

จุดเริ่มต้นของ AFP Fact Check ในประเทศไทย

สำนักงานใหญ่เอเอฟพีเปิดแผนกตรวจสอบข้อเท็จจริงหรือ AFP Fact Check ครั้งแรกเมื่อปี 2560 โดยมีนักตรวจสอบข้อเท็จจริง (fact checker) หนึ่งคนถ้วน ผมถูกส่งมาไทยในตำแหน่งหัวหน้าสำนักข่าวเอเอฟพีประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อปี 2562 และในปี 2563 เราก็ตั้งทีม Fact Check ขึ้นที่สำนักงานในไทย ซึ่งเป็นปีที่โควิด-19 ระบาดและมีการชุมนุมของคนเยาวชนเพื่อเรียกร้องเสรีภาพและประชาธิปไตย รายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงส่วนใหญ่ในช่วงนั้นจึงเป็นเรื่องความเข้าใจผิดหรือข่าวลวงเกี่ยวกับโควิด วัคซีน หน้ากากอนามัย และการชุมนุมประท้วงของเยาวชน

หลังจากนั้นมา เนื้อหาที่เราตรวจสอบก็มักจะเกี่ยวเนื่องกับสถานการณ์ในแต่ละช่วง เช่น การสู้รบในยูเครนและฉนวนกาซา รวมถึงการเลือกตั้งทั่วไปในไทยเมื่อปี 2566 ผมจำได้ว่าการหักล้างข่าวลวงเรื่องนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีไม่ได้เรียนจบฮาร์วาร์ด เป็นรายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ได้รับความสนใจมากที่สุดชิ้นหนึ่งของเรา

ปัจจุบันแผนก AFP Fact Check ซึ่งได้รับการรับรองจาก เครือข่ายองค์กรตรวจสอบข่าวสากล (International Fact-Checking Network – IFCN) มี fact checker มากกว่า 200 คนใน 150 ประเทศ รวมทั้งไทยซึ่งมี fact checker ประจำอยู่ 3 คน

การตรวจสอบข้อเท็จจริง vs การรายงานข่าว

ผมคิดว่า fact check เป็นรากฐานและเป็นดีเอ็นเอของวิชาชีพสื่อสารมวลชนซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องและการสืบหาความจริง พูดได้ว่าเอเอฟพี fact check มาตลอดตั้งแต่สำนักข่าวแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1835 แต่น่าสนใจตรงที่ว่าในโลกยุคนี้ การตรวจสอบข้อเท็จจริงกลับมีความสำคัญมากยิ่งกว่ายุคไหน ผู้สื่อข่าวต้องทำงานหนักมากขึ้นในการตรวจสอบข้อมูล สัมภาษณ์แหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ พูดคุยกับคนที่อยู่ในเหตุการณ์เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องที่สุด แล้วนำเสนอความจริงต่อสาธารณะ แต่ทักษะที่ fact checker อาจจะมีความถนัดและเชี่ยวชาญมากกว่าผู้สื่อข่าวก็คือทักษะในการสืบค้นและหาหลักฐานทางดิจิทัล วิธีการตรวจสอบความจริงหรือความปลอมของเนื้อหาอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ภาพที่ถูกดัดแปลงหรือวิดีโอที่สร้างด้วยเอไอ และสามารถอธิบายกระบวนการตรวจสอบได้ว่าใช้วิธีอะไรและมีหลักฐานอะไรเป็นข้อพิสูจน์ว่าเนื้อหานั้นส่วนไหนจริง ส่วนไหนเท็จ ผมคิดว่าการเปิดเผยกระบวนการพิสูจน์และการหาข้อเท็จจริงเช่นนี้ ทำให้การทำงานของสื่อมวลชนกลับมาได้รับความเชื่อถือและไว้วางใจอีกครั้ง หลังจากที่ผู้คนจำนวนมากเริ่มเบื่อหน่ายการเสพข่าว คิดว่าสิ่งที่สื่อนำเสนอนั้นไม่น่าเชื่อถือและเลือกที่จะหาข้อมูลด้วยตัวเอง

ลักษณะของข่าวลวง-เนื้อหาเท็จ

สิ่งที่ผมว่าน่าสนใจเกี่ยวกับข่าวลวงก็คือ มันไม่ได้จริงหรือเท็จทั้งหมด แต่มักจะมีเนื้อหาที่เป็นจริง เช่น ภาพจริง เสียงจริง เหตุการณ์จริงอยู่บางส่วน สิ่งที่นักสร้างข่าวลวงทำก็คือเอาความจริงส่วนเล็ก ๆ นั้นมาขยาย บิดเบือน ใส่บริบทผิด ๆ ตัดต่อ แต่งภาพ เติมโน่นนิดนี่หน่อย ผสมคลุกเคล้าจนได้เนื้อหาอันเป็นเท็จขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ความจริงบางส่วนที่ผสมอยู่นี่เองที่ทำให้คนมักหลงเชื่อว่าเป็นความจริง

อีกข้อสังเกตหนึ่งก็คือ ข่าวลวงไม่ได้เกิดขึ้นมาลอย ๆ แต่มักจะเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น อาศัยความสนใจของผู้คนต่อเรื่องนั้นเพื่อกระพือข่าวลวงที่เขาสร้างขึ้น เช่น กรณีภาพตัดต่อประธานาธิบดีปูตินของรัสเซียถือพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นเนื้อหาเท็จที่ถูกเผยแพร่ในช่วงเริ่มต้นของสงครามรัสเซีย-ยูเครน

สงครามอสมมาตร ของความจริงกับความลวง

แม้ว่าทีมตรวจสอบข้อเท็จจริงของเราจะใหญ่ขึ้นและเก่งขึ้น แต่ต้องยอมรับว่าศึกนี้ไม่ง่ายเลย เรามี fact checker อยู่น้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนข่าวลวงที่มีอยู่มากมายมหาศาลและถูกผลิตออกมาไม่หยุด การสร้างและกระจายข่าวลวงมันง่ายมาก ๆ แค่ตัดต่อรูปหรือสั่งให้เอไอสร้างเนื้อหาเท็จขึ้นมา แล้วคนก็มักจะแชร์ต่อกันไปโดยไม่สนใจว่ามันจริงหรือปลอม หรือแชร์ด้วยความสนุกคะนอง ในทางกลับกัน การหักล้างหรือพิสูจน์ความจริงเท็จของเนื้อหาแต่ละชิ้นนั้นกลับต้องใช้ทั้งเวลา ใช้คน ใช้ทรัพยากรมากมาย

เราเคยคุยกันเล่น ๆ ว่างานของเราเหมือนการทำความสะอาดแม่น้ำด้วยการตักน้ำเน่าออกทีละช้อน เรียกว่าเป็น “สงครามอสมมาตร” ก็คงจะไม่ผิดนัก แต่ถึงมันยากเราก็ต้องทำ เพราะถ้าเราไม่ทำแล้วใครจะทำ แม้จะกำจัดข่าวลวงได้ไม่หมด แต่อย่างน้อยก็ช่วยยับยั้งการแพร่กระจาย การศึกษาของเราพบว่า หลังจากที่เผยแพร่รายงานการหักล้างข่าวลวงชิ้นหนึ่งไป การแพร่กระจายของข่าวนั้นในอินเทอร์เน็ตลดลงถึง 80%

AFP Fact Check ทำงานอย่างไร

ด้วยกำลังคนอันน้อยนิด เราไม่สามารถตรวจสอบเนื้อหาที่ต้องสงสัยว่าเป็นข่าวลวงได้ทุกชิ้น หลัก ๆ แล้ว เราจะเลือกเนื้อหาที่ส่งผลกระทบต่อบุคคลหรือต่อสาธารณะอย่างชัดเจน มีการเผยแพร่ในวงกว้าง และอยู่ในขอบเขตที่เราสามารถพิสูจน์ความจริงเท็จได้ จากนั้นเราก็ตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วยหลักการทำงานของสื่อมวลชน คือ ติดต่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นโดยตรงไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ บุคคลที่ถูกกล่าวหา หรือผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น ๆ ซึ่งพยานที่เห็นเหตุการณ์ที่ดีที่สุดก็คือผู้สื่อข่าวของเราเอง สมมติว่ามีการเผยแพร่เนื้อหาเท็จเกี่ยวกับการชุมนุมประท้วงของเยาวชน เราก็จะตรวจสอบกับผู้สื่อข่าวหรือช่างภาพของเราที่ทำงานภาคสนามว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แต่หลายครั้งก็ไม่ง่ายนักที่เราจะเข้าถึงแหล่งข่าวหรือพยานที่จะให้ข้อเท็จจริงกับเราได้ การเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้เป็นสิ่งที่ท้าทายการทำงานของ fact checker มากที่สุดอย่างหนึ่ง หรือหากเป็นประเด็นความขัดแย้งกัน เราก็จะต้องแสวงหาข้อมูลจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน

เมื่อได้ข้อมูลและหลักฐานต่าง ๆ อย่างรอบด้านจนได้ข้อสรุปที่แน่ชัดแล้วว่าเนื้อหานั้นเป็นจริงหรือเท็จ เราก็เขียนเป็นรายงาน ซึ่งจะต้องผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดโดยบรรณาธิการหลายคนเพื่อให้แน่ใจในความถูกต้องก่อนจะเผยแพร่

รายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เผยแพร่ออกไป ก็ย่อมเป็นสิทธิของแต่ละคนที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ เห็นด้วยหรือเห็นต่าง ซึ่งนั้นก็เป็นสิทธิของแต่ละคน เราเคารพทุกความคิดเห็น หน้าที่ของเราคือนำเสนอหลักฐานข้อมูล ข้อพิสูจน์ทุกอย่างที่ได้มา และแจกแจงให้เห็นว่าทำไมเราจึงสรุปว่าเนื้อหานี้จริงหรือปลอม 

AI ตัวช่วยหรือภัยคุกคามของนักข่าวและนักตรวจสอบข้อเท็จจริง?

ผมว่ามันเป็นได้ทั้งสองอย่าง ในแง่หนึ่ง AI เป็นเครื่องมือที่สำนักข่าวสามารถนำมาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในงานบางอย่าง เช่น การถอดเสียงเป็นข้อความ การค้นฐานข้อมูล แต่อีกด้านหนึ่ง AI ก็ถูกนำไปใช้สร้างเนื้อหาเท็จได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว แม้ว่าในขณะนี้เนื้อหาเท็จที่สร้างโดย AI ส่วนใหญ่จะมองออกได้ง่าย แต่มีแนวโน้มที่มันจะทำได้เนียนขึ้นเรื่อย ๆ จนแยกแยะเนื้อหาที่เป็นจริงกับเป็นเท็จได้ยา ขณะที่สำนักข่าวก็ต้องใช้เวลาและทรัพยากรในการอธิบายหรือยืนยันความจริงแท้ของเนื้อหาที่เราเผยแพร่ ตัวอย่างเช่น ภาพชุดนักกีฬาที่เอเอฟพีถ่ายและเผยแพร่ก่อนพิธีเปิดโอลิมปิก 2024 ซึ่งเป็นภาพชุดที่สวยมากจนมีคนตั้งข้อสังเกตว่าเป็นภาพที่สร้างโดย AI เราจึงต้องเขียนอธิบายกระบวนการถ่ายทำและผลิตภาพชุดนั้นออกมาเพื่อยืนยันว่าเป็นภาพที่ช่างภาพของเราถ่ายเองจริง ๆ ในขณะนี้เอเอฟพี ไม่มีนโยบายที่จะใช้ AI ผลิตเนื้อหาใด ๆ ทั้งสิ้น

มองภูมิทัศน์สื่อในยุคนี้อย่างไร

สถานการณ์ที่ผู้คนเบื่อการเสพสื่อ ไม่ชอบฟังข่าวหนัก ๆ และไม่เชื่อถือเนื้อหาที่สื่อมวลชนนำเสนอนั้นเกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ใช่แต่เฉพาะในประเทศไทย ดังนั้นสื่อจึงต้องพัฒนาตัวเองเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจกลับคืนมา แนวทางหนึ่งที่เอเอฟพีกำลงทำอยู่คือการเสนอข่าวเชิงหาทางออก (Solution Journalism-SoJo) คือแทนที่เราจะรายงานแต่ปัญหา ผลกระทบ ความเสียหาย อันตราย ภัยพิบัติ เราจะเน้นที่การนำเสนอทางออกต่อเรื่องนั้น   เช่น เมื่อเกิดเหตุภัยพิบัติทางธรรมชาติ นอกจากรายงานสถานการณ์แล้วเราจะต้องนำเสนอทางออกจากผู้รู้หรือแม้แต่วิถีของเล็ก ๆ ที่พยายามแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เราไม่เพียงแค่บอกผู้ชมว่าโลกกำลังจะวิบัติ แต่เสนอว่าเราจะทำอะไรกันได้บ้างเพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียไปมากกว่านี้ เราจะเสนอทางออก เรื่องราวที่ให้ความหวังและสร้างแรงบันดาลใจ ผมชื่นชมในความคิดริเริ่มและความทุ่มเทในการทำงานของสื่อไทยหลายคน พวกเขาทำหน้าที่ได้อย่างดีโดยเฉพาะในการรายงานสดเหตุการณ์สำคัญที่มักจะมีผู้สื่อข่าวไปรายงานผ่านโซเชียลมีเดียอย่างคล่องแคล่ว ขณะเดียวกันก็ยังมีสื่อดั้งเดิมบางแห่งที่ดูเหมือนจะปรับตัวต่อการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลได้ค่อนข้างช้า ซึ่งก็น่าเป็นห่วงว่าสื่อกลุ่มนี้อาจจะอยู่รอดในยุคการเปลี่ยนผ่านของสื่อดิจิทัลได้หรือไม่

ทำไมสื่อสารมวลชนยังมีความจำเป็น

ไม่ว่าภูมิทัศน์สื่อและเทคโนโลยีจะเปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วเช่นไร สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับองค์กรสื่อทุกแห่งก็คือการยึดปรัชญาและหลักการพื้นฐานในการทำงานของเราไว้ให้มั่น นั่นก็คือการแสวงหาข้อเท็จจริงและการตั้งคำถามอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่กลัวเกรงต่อสิ่งใด ซึ่งเป็นงานที่ไม่ได้ต้องลงทุนหรือใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยอะไรเลย แค่ผู้สื่อข่าวทำหน้าที่ของเราเท่านั้น ลงพื้นที่พร้อมด้วยกระดาษ ปากกาและกล้องเพื่อเก็บข้อมูลและบันทึกความจริง เพราะนี่คือ Raison d’être หรือพันธกิจของเรา สื่อต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าทำไมสังคมถึงยังต้องการพวกเรา ทำไมผู้คนต้องรับข้อมูลข่าวสารจากเรา คุณค่าของเราอยู่ตรงไหน จุดขายของเราคืออะไร ทำไมงานที่เราทำถึงมีความจำเป็นต่อชีวิตของผู้คน ซึ่งเป็นคำถามที่ตอบยากยิ่งในยุคที่การเปลี่ยนแปลงถาโถมมารอบด้านเหมือนคลื่นยักษ์สึนามิ

มุมมองต่อโคแฟคและการทำงานร่วมกันในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่พิเศษมากที่องค์กรภาคประชาสังคม วิชาชีพสื่อและนักวิชาการร่วมมือกันก่อตั้งองค์กรภาคประชาชนอย่างโคแฟคเพื่อรณรงค์เรื่องการรู้เท่าทันข่าวลวงและริเริ่มแนวทางการแสวงหาความจริงร่วมเพื่อสกัดการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ ผมไม่ค่อยเห็นสิ่งนี้เกิดขึ้นในประเทศอื่น และช่วงที่ผ่านมา งานของโคแฟคก็ได้รับความสนใจอย่างมาก เท่าที่ผมสังเกต ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตชาวไทยกระตือรือร้นในการขุดค้นข้อมูล ตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหาที่เผยแพร่ในโซเชียลมีเดียมากกว่าประเทศอื่น ๆ

ที่ผ่านมาเอเอฟพีได้ทำกิจกรรมร่วมกับโคแฟค สื่อมวลชนไทย และองค์กรวิชาชีพสื่ออยู่บ่อยครั้งเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และทักษะการตรวจสอบข้อเท็จจริง แต่แน่นอนว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่เราต้องทำงานต่อ เช่น การแสวงหาความร่วมมือกับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเพื่อให้พวกเขามีส่วนช่วยในการแก้ปัญหาการระบาดของข่าวลวงและข้อมูลเท็จมากกว่านี้ บางแพลตฟอร์มกลายเป็นตลาดขายสินค้ามากกว่าจะเป็นช่องทางการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่น่าเชื่อถือและมีประโยชน์ต่อผู้คน 

นอกจากนี้เรายังจะต้องช่วยกันพัฒนาศักยภาพของผู้สื่อข่าวและนักตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อรับมือกับ AI ที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงต่อระบบนิเวศข้อมูลข่าวสารของเรา

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค ประเทศไทย และสเตฟาน เดลฟูร์ ถ่ายภาพร่วมกันหลังการสัมภาษณ์ที่สำนักงานเอเอฟพี เมื่อวันที่ 30 ส.ค. 2567

มองการเมืองไทยอย่างไร

ห้าปีที่ผมมาประจำอยู่ที่นี่และได้ติดตามการเมืองไทยค่อนข้างใกล้ชิด ผมคิดว่าการเมืองไทยช่างเย้ายวนชวนให้ติดตาม ซับซ้อน น่าสนใจ เต็มไปด้วยดีลและการเจรจาต่อรอง มีอะไรให้ประหลาดใจอยู่ตลอด หลังจากที่คุณแพทองธาร ชินวัตร ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของรัฐบาลผสมที่นำโดยพรรคเพื่อไทย ผมได้ข้อสรุปว่ายิ่งผมสนใจ ติดตาม ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการเมืองไทยมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งเข้าใจการเมืองไทยน้อยลงเท่านั้น

เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Hello International Day of Charity ว่าด้วยเรื่อง “ปล่อยปลาอย่างไรให้ได้บุญ”

Hello International Day of Charity! วันนี้วันทำบุญทำกุศลสากล โคแฟคนำเสนอบทสนทนากับพระอาจารย์มหานภันต์ มูลนิธิ สกพ. แสวงหาความจริงร่วม ว่าด้วยเรื่อง “ปล่อยปลาอย่างไรให้ได้บุญ” มาช่วยทำให้น้องปลาปลอดภัย ดีต่อใจ ดีต่อระบบนิเวศกันนะทุกคน อนุโมทนาสาธุ 🙏💕😇

Digital Enlightenment Series : เรื่องเล่า อำนาจ โฆษณาชวนเชื่อ เพื่อคน….1%

กิจกรรม

😊สวัสดีครับ วันนี้แอดมินขอนำเนื้อหาสรุปเรื่องราวของเวิร์คช็อปที่เกี่ยวข้องกับสื่อโดยตรงของงาน Cofact Series สำหรับช่วงที่ 1เรื่องเล่า อำนาจ โฆษณาชวนเชื่อ เพื่อคน….1%
ขอสรุปประเด็นและสาระสำคัญเป็นข้อๆ ให้ชาว Clazy Cafe ทุกๆ ท่านนะครับ

🌟1 “โฆษณาชวนเชื่อ” tเกิดขึ้นใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด อาจแทรกได้อยู่ทั้งกับสินค้า ธุรกิจ บริการต่างๆ ไปจนถึงการปลูกฝังทัศนคติ วัฒธรรมและการรับรู้ทางการเมืองด้วย

คือ รูปแบบของการสื่อสารที่มีเป้าหมายหลัก เพื่อโน้มน้าวให้ผู้รับสารปฏิบัติตามที่ผู้ผลิตสื่อต้องการ เพื่อผลักดันเป้าหมายทางการเมือง ซึ่งอาจไม่เป็นความจริง

🌟3 เทคนิคโฆษณาชวนเชื่อมีมากถึง 14 แบบ สรุปวิธีการและความหมายสั้นๆ คือ

  • การใช้คำขวัญ (Slogans) ใช้คำขวัญสั้น ๆ ที่จำง่าย เพื่อสื่อสารข้อความ
  • การใช้สัญลักษณ์ (Symbols and Imagery) ใช้สัญลักษณ์ที่มีความหมายเชิงบวกหรือเชิงลบเพื่อสร้างความเชื่อ
  • เกาะกระแส (Bandwagon) ชักชวนให้ ผู้คนเข้าร่วมกับสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะได้รับความนิยม เพื่อสร้างความรู้สึกว่าทุกคนกำลังทำสิ่งนี้
  • การใช้เหตุผลแบบเข้าข้างตัวเอง (Card Stacking) นำเสนอข้อมูลที่มีแต่ด้านบวกของฝ่ายตน
  • การกล่าวหาฝ่ายตรงข้าม (Name Calling) ใช้คำที่มีความหมายเชิงลบ เพื่อทำให้ฝ่ายตรงข้ามดูแย่
  • การใช้บุคคลที่มีชื่อเสียง (Testimonials) ใช้คำพูดหรือการสนับสนุนจากบุคคลที่มีชื่อเสียงเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
  • การใช้คำพูดที่มีความหมายเชิงบวก (Glittering Generalities)โดยไม่มีรายละเอียด เพื่อทำให้ผู้ฟังรู้สึกดีและสนับสนุน
  • การใช้ความหวาดกลัว (Fear) สร้างความกลัวเพื่อกระตุ้นให้ผู้คนทำตามที่ต้องการ
  • การใช้ข้อมูลที่บิดเบือน (Disinformation) การเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเพื่อสร้างความเชื่อที่ผิดพลาด
  • การใช้การซ้ำ (Repetition) นำเสนอข้อความเดียวกันซ้ำๆ เพื่อทำให้ข้อความนั้นฝังอยู่ในความคิดของผู้ฟัง
  • การสร้างความเป็นทางเลือกเดียว (False Dilemma) การนำเสนอว่าเหลือเพียงทางเลือกเดียว เพื่อบังคับให้ผู้คนเลือกสิ่งที่ต้องการ
  • การใช้ความเป็นบุคคลธรรมดา (Plain Folks) ทำให้ดูเหมือนว่าข้อความนั้นมาจากบุคคลธรรมดา เพื่อสร้างความเชื่อมโยงกับผู้ฟัง
  • การโยกย้ายความหมาย (Transfer) ใช้ความเชื่อหรืออารมณ์ที่เกี่ยวข้องมาสื่อถึงสิ่งอื่นเพื่อสร้างความเชื่อมโยง
  • การทำให้เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ (Scarcity) ชักจูงให้เชื่อว่าบางสิ่งบางอย่างมีจำนวนจำกัด เพื่อกระตุ้นความต้องการ

🌟4 สรุป Canvas สำหรับการวิเคราะห์โฆษณาชวนเชื่อเพื่อคัดกรองสารที่เราจะได้รับ
Sender : ผู้จ้างผลิต หรือ ผู้เผยแพร่
Message : เนื้อหา+ (ผู้ได้ประโยชน์ – ผู้เสียประโยชน์)
Channel : วิธีการรับรู้ + ช่องทาง + เทคนิคโฆษณาชวนเชื่อ
Receiver : กลุ่มเป้าหมาย + พฤติกรรมที่คาดหวัง + ผลกระทบที่เกิดขึ้น

🌟5 การเท่าทันสื่อนั้นมีความสำคัญและจำเป็นมาก เพื่อให้เราไม่ถูกตกเป็นเครื่องมือของการชักจูงผ่านโฆษญาชวนเชื่อ ทั้งกับตัวเราเองและกับผู้คนรอบๆ ตัว

สำรับท่านไหนที่มีข้อสงสัยและต้องการคำตอบถึงข้อความ และ โฆษณาชวนเชื่อต่างๆ สามารถคอมเมนต์ สอบถามหรือจะแชร์ข้อความนนี้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อคนที่คุณห่วงใยเลยนะครับ

https://www.facebook.com/share/p/sQdZsst9CFbsK2Kg/?mibextid=qi2Omg

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 31 สิงหาคม 2567

ฟ้าทะลายโจรรักษาไข้หัดแมวได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2lhsufhc14wmr


ทานไข่ลวกดีต่อสุขภาพ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2908mhz4lkgdq


การสูบบุหรี่ไฟฟ้าช่วยให้เลิกบุหรี่มวลได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2haciuqw0kdlq


เจ้าหน้าที่ PEA แจ้งดำเนินการเปลี่ยนมิเตอร์ไฟฟ้าที่หมุนเร็วผิดปกติ  และเสียเงินค่าเปลี่ยนหม้อดิจิทัล…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3q4nrpxy42cjx


เปิดพัดลมจ่อเด็ก เสี่ยงเป็นปอดอักเสบ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/ov3rlokyr8zq


กินหมูกระทะเสี่ยงเป็นมะเร็ง

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/5yz9gpa704wm


เตือน 10 จังหวัด และกรุงเทพฯ เตรียมขนของขึ้นที่สูง

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/24zxa06d5ntkk


‘ข่าวลวง-ภัยออนไลน์’เทคโนโลยีทำให้ซับซ้อนขึ้น แต่‘อารมณ์-อคติ’ยังเป็นตัวแปรสำคัญของการตกเป็นเหยื่อ

กิจกรรม

ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) เข้าร่วมกับ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) และศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์สำนักข่าวไทย อสมท. จัดเสวนาหัวข้อ “Cybersecurity at the Age of Fake News : Are You Ready for the Next Threat?” ที่ศูนย์ประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จ.นนทบุรี พร้อมถ่ายทอดสดผ่านเพจเฟซบุ๊ก “NSTFair Thailand” ซึ่งกิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของงาน “มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (NSTFair Thailand)” ระหว่างวันที่ 16-25 ส.ค. 2567

พล.อ.ต.อมร ชมเชย เลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติกล่าวว่า งานของ สกมช. มี 2 ส่วน คือ 1.ป้องกันไม่ให้ระบบถูกโจมตี ดูแลระบบสาธารณูปโภคต่างๆ เช่น น้ำประปา ไฟฟ้า ธนาคาร อินเตอร์เน็ต แต่ในขณะเดียวกันคนแต่ละคนก็ต้องให้ความสำคัญกับการระมัดระวังด้วย เช่น การตั้งรหัสผ่านในแพลตฟอร์มต่างๆ การไม่ติดตั้งโปรแกรมเถื่อน เป็นต้น

2.ป้องกันไม่ให้คนถูกหลอก เพราะปัจจุบันคนสัมผัสกับข้อมูลข่าวสารจำนวนมากจึงเสี่ยงถูกหลอกลวงได้ แต่โจทย์ที่ยากคือ ความจริงมีหลายชุดและตรวจสอบไม่ง่าย เช่น หากวันนี้ลองค้นหาข่าวคนขับรถตู้ข่มขืนเด็กอายุ 13 ปี ก็ยังปรากฏข่าวนั้นอยู่ แม้ในห้วงเวลาที่เหตุปรากฏเป็นข่าว อีก 3 วันหลังจากนั้นจะมีข่าวที่ให้ข้อมูลใหม่เพิ่มเติม คือเด็กอายุ 13 ปี สารภาพว่าสร้างเรื่องขึ้นมาเองไม่ได้มีการข่มขืนเกิดขึ้นจริง แต่ข่าวแรกที่คนขับรถตู้ข่มขืนเด็กอายุ 13 ปี ยังคงอยู่บนโลกออนไลน์ ไม่ได้ถูกลบออกไปแต่อย่างใด อีกทั้งยังมีเรื่อง อคติ ใครชอบสิ่งใดก็จะค้นหาแต่สิ่งนั้น  

สิ่งที่สำคัญคือ การคิดเชิงวิเคราะห์ (Critical Thinking) เห็นอะไรก็อย่าเพิ่งรีบเชื่อ แต่ให้ลองฝึกคิดแบบมองมุมต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการศึกษาด้วยตัวอย่างกรณีประเทศกัมพูชาเป็นเจ้าภาพจัดแข่งขันกีฬาซีเกมส์ มีข่าวปรากฏทุกช่องทางว่ารัฐบาลกัมพูชาไม่มีงบประมาณจึงต้องเปิดเว็บไซต์รับบริจาค ทั้งที่ข้อเท็จจริงคือ การเปิดรับบริจาคดังกล่าวทำเพื่อระดมเงินอัดฉีดนักกีฬาซึ่งเป็นคนละเรื่องกับการจัดการแข่งขัน 

แต่สื่อที่เผยแพร่นั้นรู้ว่าผู้รับสารจะไม่สืบค้นข้อมูลไม่สงสัยและเชื่อโดยง่าย ประกอบกับปัจจุบันการแข่งขันในวงการสื่อนั้นรุนแรงมาก ในอดีตมีคำว่า Clickbait ที่หมายถึงการพาดหัวข่าวล่อให้เข้าไปดูแต่ระยะหลังๆ หันมาใช้การพาดหัวแบบยั่วให้โมโห เพราะได้ในเชิงกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึก (Feeling) มากกว่า เช่น หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งพาดหัวข่าวว่ากีฬาประสบความล้มเหลวในการแข่งขัน แต่กลับทำให้ยอดขายหนังสือพิมพ์ที่ขายได้น้อยลงกลับพุ่งขึ้นมา นี่คือตัวอย่างของการพาดหัวข่าวแบบยั่วโมโหแต่คนก็ตะครุบเหยื่อนั้นไป

กรณีการตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพประเภท หลอกให้รัก (Romance Scam)” เช่น ต้องการหาเหยื่อเป็นผู้หญิง คนร้ายมักจะสร้างบัญชีปลอมในสื่อสังคมออนไลน์ เป็นฝรั่งผิวขาวหน้าตาดี อ้างว่าเป็นทหารหรือแพทย์ เมื่อเหยื่อเริ่มตกหลุมรักก็บอกว่าเดือดร้อนต่างๆ นานา เริ่มให้โอนเงินไปให้จากจำนวนน้อยๆ จนถึงครั้งที่จะลงมือโดยหวังเป้าหมายใหญ่ ด้วยการอ้างว่าเพิ่งได้รับมรดกก้อนโตและต้องการมาใช้ชีวิตในประเทศไทยแต่ติดปัญหาบางอย่างทำให้ทรัพย์สินมีค่านั้นติดค้างที่สนามบิน ต้องขอให้โอนเงินไป

หากเหยื่อเป็นผู้ชาย คนร้ายมักจะสร้างบัญชีปลอมโดยใช้ภาพของหญิงสาวหน้าตาดี เมื่อเริ่มพูดคุยกันคนร้ายก็จะส่งคลิปวีดีโอที่มีเนื้อหาล่อแหลมมาให้โดยอ้างว่าเป็นคลิปของตนเอง   พร้อมชักชวนให้เหยื่อถ่ายคลิปวีดีโอแนวล่อแหลมของตนเองส่งกลับไปให้ดูบ้าง โดยอ้างว่าเดี๋ยวจะส่งคลิปที่เด็ดกว่านั้นให้ดูอีกเป็นการแลกเปลี่ยน เมื่อเหยื่อเกิดหน้ามืดหลงเชื่อถ่ายแล้วส่งกลับไปก็จะถูกนำไปใช้ขู่กรรโชกทรัพย์ (Blackmail) และยิ่งเหยื่อโอนไปเพราะกลัวถูกเผยแพร่คลิป คนร้ายก็จะยิ่งเรียกเงินจำนวนมากขึ้น

“สิ่งที่เราต้องทำคู่กันไป ทั้งงานหลักคือ  ทำอย่างไรไม่ให้ระบบถูกแฮ็ก มาตอนนี้ทำอย่างไรให้เกิดการสร้างวัฒนธรรมความตระหนักเรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Human Firewall) ต้องมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง  ไม่ใช่มีการเตือนภัยไซเบอร์เฉพาะเวลาที่เสียหายแล้วเท่านั้น  แต่ต้องมีการบอกกล่าวในห้วงเวลาที่เหมาะสมและสอดแทรกไปอย่างสม่ำเสมอ” พล.อ.ต.อมร กล่าว

พีรพล อนุตรโสตถิ์ ผู้จัดการศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย อสมท. กล่าวว่า การทำงานตรวจสอบข้อมูลของศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ จะอ้างอิงผู้เชี่ยวชาญหรือการทดลองทางวิทยาศาสตร์ แต่เมื่อเผยแพร่ออกไปบางครั้งก็ไม่ตรงใจกับความคิดของคน เช่น เมื่อบอกว่าผลไม้ชนิดหนึ่งไม่ได้มีสรรพคุณดีเลิศตามที่ได้ยินมา ก็จะถูกโจมตีโดยกลุ่มคนขายผลไม้ กล่าวหาว่าไม่เปิดโอกาสให้ผลไม้ไทยบ้าง เป็นทาสนายทุนบ้าง แต่ก็ไม่รู้ว่าข้อกล่าวหาเหล่านั้นผ่านการตรวจสอบมาก่อนพูดหรือไม่

ความยากจึงเป็นการที่เราอยู่ในโลกที่มีข้อเท็จจริงหลายชุดและแต่ละคนมีข้อเท็จจริงที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นทุกคนพร้อมเปิดรับข้อเท็จจริงที่ไม่จำเป็นต้องเป็นความจริงก็ได้ แต่ขอให้รู้สึกว่าชอบหรือใช่ก็พอ จึงกลายเป็นโอกาสที่จะถูกหลอกด้วยเรื่องที่ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ เพราะการสร้างเรื่องจริงจากเรื่องที่ไม่จริงสามารถทำได้ง่าย อย่างไรก็ตาม การทำงานของสื่อมวลชนในการตรวจสอบว่าเรื่องใดจริง-ไม่จริง เป็นการแก้ปัญหาแบบเฉพาะหน้า หากจะแก้ปัญหาแบบยั่งยืนการศึกษาน่าจะเป็นคำตอบในระยะยาว

การศึกษาในที่นี้ หมายถึง เราจะทำอย่างไรให้คนทั้งประเทศหรือคนจำนวนมากๆ สามารถจะเรียนรู้ ไม่ใช่ได้รู้ข่าวใหม่ พรุ่งนี้ก็ลืมข่าวเมื่อวานซืนไปแล้ว แต่ต้องให้ความรู้ฝังอยู่กับทุกคน  สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้จริงๆ ตรงนี้ก็เป็นโจทย์ที่ท้าทายในบทบาทสื่อ ทุกวันนี้มีสื่อที่ทำบทบาทเหล่านี้ เป็การสร้างความรู้ความเข้าใจ ทักษะการตระหนักรู้ต่างๆ พีรพล กล่าว

ดร.ชนินทร์ สุริยกุล ณ อยุธยา ผู้อำนวยการกองสื่อสารวิทยาศาสตร์ อพวช. กล่าวว่า ในฐานะนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ พบว่า ยิ่งนำเสนอความทันสมัยของวิทยาศาสตร์มากเท่าใด ด้านหนึ่งประชาชนในสังคมได้ความรู้ในการใช้วิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือ แต่อีกด้านหนึ่งก็ทำให้มิจฉาชีพรู้วิธีใช้เครื่องมือนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งความท้าทายคือประชาชนคนสุจริตทั่วไปเป็นคนกลุ่มใหญ่มีความสนใจที่หลากหลาย ในขณะที่มิจฉาชีพนั้นแม้จะมีจำนวนน้อยกว่าแต่มีเป้าหมายชัดเจน มีท่อน้ำเลี้ยงที่ดีและพร้อมจะใช้ทุกวิถีทางเพื่อก่อเหตุ ประชาชนจึงต้องมีทุนในการรับมือ  

ซึ่งสิ่งที่ อพวช. พยายามทำคือการสร้างทุนทางวิทยาศาสตร์ เชื่อมวิทยาศาสตร์เข้ากับสังคม เพราะหากคนในสังคมมีทุนนี้มากขึ้น อันประกอบด้วยความรู้ ความคิด ทัศนคติและพฤติกรรม ก็จะใช้หลักเหตุผลและวิจารณญาณในการตัดสินใจมากขึ้นแต่ก็ยอมรับว่ายังแพ้มิจฉาชีพเพราะสู้ไม่ได้เรื่องเทคนิคการสื่อสาร กลายเป็นว่าต้องเรียนรู้จากมิจฉาชีพไปด้วย  

มีครั้งหนึ่งเจอโฆษณาผลิตภัณฑ์รักษาดูแลหัวเข่า มีแหล่งอ้างอิง มีรูปถ่าย มีอ้างชื่อบุคคลและสถาบันที่มีชื่อเสียง แบบนี้หากเป็นคนทั่วไปเห็นแล้วก็คงเชื่อ แต่เมื่อลองค้นหาข้อมูลย้อนกลับไป แม้แต่ชื่อบุคคลที่ถูกอ้างถึงจะมีอยู่จริงแต่ไม่ได้เป็นแพทย์ อีกทั้งภาพถ่ายยังไม่ตรงกับภาพของบุคคลที่นำมาใช้โฆษณา และตนเชื่อว่ายังมีโฆษณาลักษณะนี้อีกมาก ทั้งนี้ ภารกิจหลักของ อพวช. ไม่ใช่การมุ่งสร้างคนให้เป็นนักวิทยาศาสตร์เพราะเป็นเรื่องยากมาก แต่มีหน้าที่หนึ่งที่อธิบายให้เข้าใจได้ง่ายๆ คือทำให้คนได้รับทุนทางวิทยาศาสตร์เพื่อใช้ดำเนินชีวิตประจำวัน ผ่านการพัฒนาสื่อทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะต้องพิจารณาความเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและเรื่องที่เกิดขึ้น

ผมเห็นว่าหากมีหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งมีความพยายามในการแก้ปัญหาดังกล่าว   อาจจะทำได้เร็ว  แต่ไม่มีความต่อเนื่องในระยะยาวหรือมั่นคงมาก สิ่งสำคัญในวันนี้ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน นอนาคตอันใกล้อาจมีการรวมตัวกันเฉพาะกิจเพื่อที่จะสร้างสื่อหรือกิจกรรมอะไรสักอย่าง เพื่อที่จะทำให้เกิดทุนทางวิทยาศาสตร์และปลูกฝังให้คนในสังคมมีทุนของวิทยาศาสตร์ในการใช้ในการตัดสินใจ ดร.ชนินทร์ กล่าว

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า เรากำลังเข้าสู่ยุคที่ดูว่าเส้นแบ่งอะไรจริง-ไม่จริง เป็นเรื่องยากมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในยุคปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งยังไม่ต้องพูดถึงการถูกหลอกโดยมิจฉาชีพ ลำพังเพียงข่าวลือต่างๆ ที่ถูกส่งต่อกันมาไม่ว่าการเมือง ศาสนา สุขภาพ ฯลฯ ก็มีชุดข้อมูลจำนวนมาก ซึ่งบางส่วนอาจเป็นข้อเท็จจริง แต่ก็จะมีส่วนที่ไม่จริงอยู่ด้วย แต่คนก็พร้อมจะเชื่อไปทั้งหมดโดยที่ไม่ได้วิเคราะห์แยกแยะตรวจทาน จนนำไปสู่ความเข้าใจผิดและส่งผลต่อการตัดสินใจ

เช่น หากเป็นเรื่องสุขภาพ แทนที่จะเข้ารับการรักษากับแพทย์ในโรงพยาบาลก็ไปกินสมุนไพรต่างๆ ที่อาจไม่ถูกโรค อย่างไรก็ตาม การทำงานของโคแฟคไม่ได้ไปตำหนิหรือกล่าวโทษคนที่เชื่อเช่นนั้น เพราะเรื่องราวก็ไม่ได้เป็นจริงหรือเท็จทั้งหมด 100% อาทิ การใช้กัญชารักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง หากเป็นผู้ป่วยระยะสุดท้าย แพทย์ในโรงพยาบาลไม่รักษาแล้ว โดยแนะนำให้ใช้การประคับประคอง ซึ่งน้ำมันกัญชาอาจช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายขึ้น แบบนี้ก็เข้าใจได้ แต่ไม่ใช่เป็นผู้ป่วยที่กำลังเข้ากระบวนการเคมีบำบัดแล้วไปใช้ผสมกัน

กระบวนการหาข้อมูลเหล่านี้เป็นเรื่องซับซ้อน ต้องอาศัยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และการคิดวิเคราะห์ ซึ่งเว็บไซต์ cofact.org จัดทำขึ้นในลักษณะกระดานข่าว (Webboard) ใครสงสัยอะไรก็มาถาม แต่คนที่ตอบต้องมีแหล่งอ้างอิงด้วย ซึ่งเป็นการฝึกทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ เรื่องการจะเชื่ออะไรต้องมีข้อมูลสถิติหรือมีคำอธิบายจากผู้เชี่ยวชาญ ไม่ได้มาจากความรู้สึก และนำไปสู่จุดที่มีการยอมรับร่วมกัน 

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายก็เป็นทางเลือกของแต่ละคนว่าจะเลือกเชื่ออย่างไรหลังจากได้ข้อมูลแล้ว เป็นเรื่องส่วนบุคคลตราบเท่าที่ความเชื่อนั้นไม่กระทบต่อสาธารณะหรือสังคมโดยรวม แต่อย่างน้อยต้องมีกระบวนการกระตุ้นให้ค้นหาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ซึ่งโคแฟคเรียกว่าการหาความจริงร่วม ฝึกให้รู้จักการตั้งคำถามและตรวจสอบ ทั้งนี้ ที่ผ่านมาโคแฟครณรงค์เรื่องการรับมือ ชีปเฟค (Cheapfake)” หรือข่าวลวงที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ใช้เทคโนโลยีซับซ้อน 

ปัจจุบันกำลังเข้าสู่ยุคปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง (Generative AI) บวกกับคนยุคนี้ใช้เวลากับโทรศัพท์มือถือมากขึ้น ทำให้ยากจะรู้ได้ว่าอะไรจริง-ไม่จริง โดยปัญญาประดิษฐ์จะเรียนรู้จากข้อมูลที่มนุษย์ป้อนเข้าไป ดังนั้นโคแฟคจึงพยายามขยับประเด็น โดยการรับมือข่าวลวงแบบเดิมๆ หรือชีปเฟคยังคงต้องทำต่อไป แต่การหลอกลวงแบบใหม่ๆ เช่น ดีปเฟค (Deepfake)” ที่ใช้เทคโนโลยี AI มาช่วยตัดต่อภาพหรือเสียง ก็เป็นเรื่องที่ต้องหาทางรับมือ 

โดยนับตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา โลกได้เข้าสู่ยุคที่ปัญญาประดิษฐ์เรียนรู้จากมนุษย์ ยุคนี้ AI อาจยังไม่ค่อยฉลาดมากนัก แต่ก็จะฉลาดขึ้นเรื่อยๆ โดยมีการคาดการณ์ว่าในปี 2573  จะเป็นยุคที่มนุษย์ต้องทำงานร่วมกับ AI คนที่เป็นวัยทำงานในเวลานั้นคงต้องปรับตัวเข้ากับการมีเพื่อนร่วมงานที่เป็น AI และจะซับซ้อนยิ่งขึ้นหลังปี 2583 เพราะมนุษย์จะต้องใช้ชีวิตร่วมกับปัญญาประดิษฐ์ ดังนั้นย่อมส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อมนุษย์ในแง่จิตวิญญาณ เช่น ความเหงา ซึมเศร้า และอาจนำไปสู่การค้นหาคุณค่าของชีวิตกลับคืนมา เพราะมนุษย์อย่างไรก็ยังมีรัก โลภ โกรธ หลง และมีความทุกข์ แต่เทคโนโลยีอาจไม่ได้ตอบโจทย์ในจุดนั้น อาจเป็นยิ่งกว่าการหลอกลวง แต่เป็นการทำให้ต้องตั้งคำถามถึงคุณค่าของความเป็นมนุษย์ เรื่องนี้อาจดูไกลตัวสำหรับคนรุ่นที่พูดอยู่ ณ ปัจจุบัน แต่กับคนรุ่นที่กำลังจะเรียนจบซึ่งหลังจากนั้นก็จะต้องมีครอบครัว-มีลูก ซึ่งในยุคนั้นสังคมจะยิ่งมีความท้าทายมากขึ้น         

อยากจะให้ทุกภาคส่วนเตรียมการตั้งแต่วันนี้ในการเตรียมสิ่งที่จะรับมือ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทักษะ เทคโนโลยี การเท่าทันที่มันเป็นเรื่องเชิงปัญญา (Intellectualที่จะรับมือกับปัญญาประดิษฐ์ แต่ที่ลึกซึ้งไปกว่านั้นก็คือการเตรียมความพร้อมจิตใจความเป็นมนุษย์ด้วย ที่เราต้องดูแลให้เยาวชนของเรามีความเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจ พร้อมกับรับมือกับความเปลี่ยนแปลง แล้วเขาจะต้องเผชิญกับสิ่งที่มันเสมือนจริง จนกลายเป็นความจริงเสมือนมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วเราไม่รู้ว่าผลกระทบในโลกข้างหน้ามันจะเป็นอะไรบ้างสุภิญญา กล่าว

หมายเหตุ : ผู้สนใจสามารถรับชมการเสวนาย้อนหลังได้ที่ https://www.facebook.com/nstfairTH/videos/376203455498401/?locale=th_TH

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 24 สิงหาคม 2567

ถอดโคเคนออกจากยาเสพติดให้โทษ ครอบครองได้อย่างถูกกฎหมาย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/e69zjkujdley


กินเต้าหู้ถั่วเหลืองทำให้เป็นโรคพาร์กินสัน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2w54qicz0oc43


ผักโขมไร้หนาม มีสรรพคุณช่วยรักษาโรคเบาหวาน และช่วยบำรุงกำลัง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2pzg760a95lg4


กลืนเมล็ดฝรั่งทำให้เป็นไส้ติ่งอักเสบได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1h4nhw96qpi58


อาบน้ำหลัง 6 โมงเย็น จะทำให้ม้ามอ่อนแอ ปวดเข่า ความจำไม่ดี ผมร่วง และเลือดจางได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/vqrunvwkvmnz


 ติดตามสถานการณ์โรคฝีดาษวานรทั่วโลก และเพิ่มมาตรการตรวจคัดกรองสุขภาพ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/ucczbbtllwuf


 สทนช. ประกาศเฝ้าระวังน้ำทะเลหนุนสูง ช่วงวันที่ 17-24 ส.ค. 67

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2ebwy88z1sth7


น้ำส้มสายชู เกลือ น้ำยาล้างจาน สามารถใช้ยาฆ่าหญ้าได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/28rebsqxd2esc


 การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดจะช่วยให้สิวหาย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/17ucnvlrd72kv


ไม่ควรอาบน้ำหลังรับประทานอาหารเสร็จทันที…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2rsddjojqbf8i


“ไม่มีใครตัดสายเก่งเท่าแม่คุณ” แคมเปญวันแม่ปีนี้จาก Whoscall ที่อยากจะร่วมปกป้องคุณแม่ทุกคนจากมิจฉาชีพ!

กิจกรรม

ข่าวสารจาก Whoscall

2024-08-07 | WhoscallTH

ราอยากชวนทุกคนมาร่วมกันปกป้องคุณแม่จากภัยร้ายที่เราอาจลืมนึกถึง จากข้อมูลที่เราพบว่า มิจฉาชีพมักจะเล็งเป้าไปที่คุณแม่และผู้สูงอายุ อาจเพราะรู้ว่าท่านมีเงินเก็บ เงินออม เงินเกษียณ หรือ เงินบำนาญ และหลายท่านอาจจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับเทคโนโลยีเท่าไหร่ ทำให้กลายเป็นเหยื่อของแก๊งค์มิจฉาชีพได้ง่าย

 #ไม่มีใครตัดสายเก่งเท่าแม่คุณ ‍ Whoscall ร่วมกับกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) สร้างแคมเปญพิเศษเพื่อปกป้องคุณแม่จากสายโทรศัพท์และข้อความหลอกลวงต่าง ๆ เพื่อให้แม่ๆรู้ทันมิจฉาชีพ อยากให้ทุกคนช่วยกันบอกต่อ เพื่อป้องกันภัยให้คุณแม่ของทุกคน

มาโหลดแอป Whoscall เพื่อปกป้องคุณแม่กันนะ พิเศษสุดๆ Whoscall ขอมอบพรีเมียม เบสิก ฟรี ให้คุณได้นำไปใช้ปกป้องคนที่คุณรัก ตั้งแต่วันนี้ – 31 สิงหาคมนี้เท่านั้น!

Whoscall พรีเมียม เบสิก มีแล้วดียังไง? วันนี้จะมาบอกให้ทุกคนรู้ถึงข้อดีของ Whoscall พรีเมียม เบสิก ว่ามีดีตรงไหน เมื่อพูดถึงความปลอดภัยที่มาพร้อมกับความสะดวกสบายแล้ว ก็ต้องนึกถึงตัว Whoscall พรีเมียม เบสิก ที่มีการยกระดับคุณสมบัติหลักของ Whoscall ด้วยการอัปเกรดฟีเจอร์ต่างๆให้มีความสะดวกสบายมากขึ้นแก่ผู้ใช้ คือ

1. อัปเดตฐานข้อมูลอัตโนมัติ แอปพลิเคชันจะอัปเดตฐานข้อมูลใหม่ๆให้อัตโนมัติโดยไม่ต้องเข้าไปกดอัปเดตที่หน้าแอปพลิเคชัน

2. บล็อกสายสแปมอัตโนมัติ Whoscall จะรวบรวมและตรวจสอบข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ที่ถูกร้องเรียนจากผู้ใช้อยู่บ่อยครั้ง เช่น โทรศัพท์จากบุคคลที่แอบอ้างทางธุรกิจ มิจฉาชีพ การโทรแกล้ง และอื่นๆ เมื่อเปิดใช้งานฟังก์ชันบล็อกสายอัตโนมัติแล้ว ก็ไม่ต้องรับมือกับสายเหล่านั้นให้วุ่นวายใจอีก และที่สำคัญเบอร์โทรศัพท์เหล่านั้นจะไม่ทราบด้วยว่าถูกบล็อกอยู่ ซึ่งสายเหล่านั้นจะถูกตัดสายทันทีที่โทร

3. ตัวช่วยจัดการ SMS อัจฉริยะ ที่สามารถจัดข้อความเข้าหมวดหมู่โดยอัตโนมัติ และสามารถแยก SMS ขยะออกไปได้ทันที เพื่อให้คุณไม่พลาดกับข้อความสำคัญ และไม่ต้องกังวลกับข้อความที่มีลิงค์อันตรายอีกต่อไป และสำหรับผู้ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ สามารถใช้ฟังก์ชันพิเศษ “สแกน SMS อันตรายอัตโนมัติ” ที่จะทำการสแกนลิงก์ URL และแจ้งเตือนหากพบลิงก์อันตรายที่แนบมากับ SMS โดยอัตโนมัติ

เท่านี้ผู้ใช้ก็ได้รับความสะดวกสบายมากขึ้นแถมปลอดภัยจากมิจฉาชีพที่ไม่ได้มาแค่สายโทรเข้าอย่างเดียว แต่อาจจะมาในรูปแบบอื่น เช่น SMS หรือ จะเป็นตัวลิงก์ URL ที่มากับตัวข้อความ ซึ่ง Whoscall พรีเมียม เบสิก ตัวนี้ก็จะคอยปกป้องผู้ใช้ให้เรารู้ทันก่อนภัยที่จะมาถึง แค่นี้เราก็รู้เเล้วว่าการใช้ Whoscall พรีเมียม เบสิก ด้วยฟีเจอร์ต่างๆมันดียังไง

สามารถนำรหัส Whoscall พรีเมียม เบสิก มาแลกได้ง่ายๆแค่ทำตามขั้นตอนนี้…

ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Whoscall (https://app.adjust.com/1fn7ac5v)

เข้าไปที่เว็บไซต์ https://redeem.whoscall.com/th

ล็อกอินเข้าระบบด้วยบัญชี Facebook หรือ Google ที่สมัครไว้ในแอป Whoscall

กรอกรหัสสำหรับและกดรับสิทธิ์ เมื่อกดรับสิทธิ์แล้วหมายถึงการยอมรับเงื่อนไข Whoscall พรีเมียม เบสิก

หมายเหตุ :รหัส Whoscall พรีเมียม เบสิก สามารถแลกได้ด้วยบัญชีผู้ใช้ที่ยังไม่ได้สมัคร Whoscall พรีเมียมอยู่เท่านั้น โปรดยกเลิกการสมัครหรือรอให้สถานะหมดอายุก่อนที่จะแลกรหัสใหม่

Whoscall ใช้ได้ในระบบ iOS 14 & Whoscall v3.42.0 ขึ้นไป / Android OS 6 & Whoscall 7.20 ขึ้นไป

http://whoscall.com/th/contact หรือ Service Gogolook

เงื่อนไขและข้อกำหนดการรับ Whoscall พรีเมียม เบสิก ในแคมเปญไม่มีใครตัดสายเก่งเท่าแม่คุณ

1. รหัส Whoscall พรีเมียม เบสิก จำนวน 500,000 สิทธิ์ เป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมกิจกรรมแคมเปญ “ไม่มีใครตัดสายเก่งเท่าแม่คุณ” โดยรหัสที่ได้รับจะสามารถใช้ Whoscall พรีเมียม เบสิก ได้ระยะเวลา 60 วัน (ปกติราคา 118 บาทต่อ 1 รหัส) และเมื่อครบระยะเวลาใช้งาน Whoscall พรีเมียม เบสิก 60 วัน

ระบบจะปรับเป็น Whoscall แบบใช้ฟรีโดยอัตโนมัติ

2. ผู้ใช้ Whoscall สามารถนำรหัสไปใช้ หรือแนะนำให้คุณแม่ และคนที่ท่านห่วงใยเพื่อใช้งาน Whoscall พรีเมียม เบสิก โดยเข้าไปกรอกรหัสได้

ตั้งแต่วันที่ 7 – 31 สิงหาคม 2567 (หรือจนกว่าสิทธิ์จะหมด)

3. รหัสนี้สามารถแลกได้ด้วยบัญชีผู้ใช้ที่ยังไม่ได้สมัคร Whoscall พรีเมียม หรือ Whoscall พรีเมียม เบสิก อยู่เท่านั้น โปรดยกเลิกการสมัครหรือรอให้สถานะหมดอายุก่อนที่จะแลกรหัสใหม่

4. สิทธิพิเศษนี้ไม่สามารถใช้ร่วมกับส่วนลดหรือโปรโมชั่นอื่นๆและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นเงินสดได้

5. บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงข้อกำหนด และ/หรือเงื่อนไขต่าง ๆ นี้ โดยไม่ต้องแจ้งให้สมาชิกทราบล่วงหน้า

6. หากลูกค้าท่านใดมีข้อสงสัย หรือ ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้ Whoscall สามารถติดต่อเราได้ที่ติดต่อเราได้ที่ https://whoscall.com/th/contact และอ่านรายละเอียดและเงื่อนไขการให้บริการ Whoscall เพิ่มเติมได้ที่ https://whoscall.com/th/terms

#whoscall

#ไม่มีใครตัดสายเก่งเท่าแม่คุณ