วงเสวนา‘วันรณรงค์การพูดความจริง’ย้ำความสำคัญงดเว้นการสื่อสารเรื่องเท็จ แต่ต้องไม่ลืม‘กาลเทศะ’ด้วย

Editors’ Picks

7 ก.ค. 2567 ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย (CSCT)และมูลนิธิสถาบันการจัดการวิถีพุทธเพื่อสุขและสันติ (มูลนิธิ สกพ. หรือ IBHAP Foundation) จัดงาน “COFACT Live Talk # Special หัวข้อ Spread TRUTH, not lies” ณ ลานหน้าตึกกิจกรรม บ้านเซเวียร์ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ กรุงเทพมหานครและถ่ายทอดสดผ่านเพจเฟซบุ๊ก “Cofact โคแฟค”

ญาณี รัชต์บริรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมระบบสื่อและสุขภาวะทางปัญญา (สำนัก 11) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพแห่งชาติ (สสส.) กล่าวเปิดงาน ระบุว่า มีผลการศึกษาที่พบว่า คนเราพูดโกหกเฉลี่ย 2 ครั้งต่อวัน ซึ่งเป็นได้ทั้งการโกหกเล็กๆ น้อยๆ รวมถึงสิ่งที่เรียกว่าการโกหกสีขาว (White Lie) คือโกหกเพื่อถนอมน้ำใจผู้ฟัง แต่วันพูดความจริงนั้นเปิดโอกาสให้เรานั้นได้มีความกล้าเผชิญกับความจริงและกล้าสื่อสาร แต่อีกจุดสำคัญก็คือจะทำอย่างไรไม่ให้การสื่อสารความจริงนั้นทำร้ายผู้อื่นด้วย 

ทั้งนี้ วันที่ 1 เมษายน ของทุกปี เป็นวันโกหก (April Fools Day) แต่วันพูดความจริงเป็นคุณค่าที่ตรงข้ามกัน ซึ่งวันที่ 7 กรกฎาคมของทุกปี เป็นวันรณรงค์การพูดความจริง (Tell the Truth Day) ที่แม้จะไม่ได้มีการจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ แต่ก็ทำให้ผู้คนกลับมาอยู่กับความจริง ซื่อสัตย์กับตนเอง ผู้อื่นและโลก นอกจากนั้นยังมีวันที่ 2 เมษายนของทุกปี เป็นวันตรวจสอบข่าวลวงโลก (International Fact-checking Day) 

โดยแผนระบบสื่อและสุขภาวะทางปัญญา สสส. มีภารกิจสนับสนุนให้เกิดนิเวศสื่อสุขภาวะ ที่จะเอื้อให้ผู้คนได้พัฒนาศักยภาพให้เป็นพลเมืองที่เท่าทันสื่อ และพัฒนาสู่การเป็นนักสื่อสารสุขภาวะ ที่ช่วยกันรณรงค์สื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ให้กับสังคม ควบคู่กับการสนับสนุนช่องทางสื่อในการเผยแพร่เนื้อหาที่ให้ประโยชน์กับผู้คนในเรื่องของสุขภาพและสังคม

“งานวิจัยบอกว่าการพูดความจริงมีประโยชน์ หนึ่งคืออย่างน้อยทำให้สุขภาพกายและสุขภาพจิตดีขึ้น เพราะไม่ต้องกังวลหรือกลัวว่าสิ่งที่เราพูดไปจะมีใครมาจับผิดไหม? ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องไปหาข้อมูลอะไรมาสนับสนุน สิ่งที่เราพูดเรื่องความไม่จริงนั้น เรื่องแรก คือ สุขภาพจิต-สุขภาพกายเราดีขึ้น ถ้าทำต่อเนื่องให้เป็นนิสัยของการที่เราจะกับตัวเอง-กับคนรอบข้าง เรื่องที่สอง ทำให้เรามีโอกาสได้ทบทวนตนเอง ได้ใคร่ครวญกับตัวเอง ว่าตอนนั้นที่เราพูดไม่จริงไปเพราะอะไร? เปิดโอกาสให้อยู่กับตัวเอง ” ญาณี กล่าว

จากนั้นเป็นเวทีศาสนสัมพันธ์สนทนา ‘spread TRUTH not lies’ โดย บาทหลวงอนุชา ไชยเดช ผู้อำนวยการสื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย กล่าวว่า ในศาสนาคริสต์ เลข 7 คือเลขที่สมบูรณ์ เช่น ศีลศักดิ์สิทธิ์ 7 ประการ บาปต้น 7 ประการ ในพระคัมภีร์ เมื่อมีเลข 7 จะหมายถึงความสมบูรณ์ ดังนั้นวันที่ 7 เดือน 7 จึงอุปมาได้ว่า การพูดความจริงทำให้ชีวิตของคนคนนั้นสมบูรณ์ มีภาพลักษณ์ดูภูมิฐาน ไว้ใจได้และเป็นคนดี

ในมุมของตนเชื่อว่าเมื่อเราอยู่ในบรรยากาศของการโกหกหลอกลวง สิ่งหนึ่งที่การโกหกหลอกลวงทำร้าย คือ “ความไว้เนื้อเชื่อใจ” อันเป็นที่มนุษย์มีและไม่ควรถูกทำร้าย เพราะหากเราไม่สามารถเชื่อถืออะไรได้ แล้วเราจะใช้ชีวิตกันอย่างไร อย่างเคยมีกรณีการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ-AI) สร้างภาพสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส สวมเสื้อผ้าแบรนด์หรูราคาแพง แล้วมีคนจำนวนมากส่งต่อภาพนั้นเพราะเชื่อว่าเป็นภาพจริง เนื่องจากไม่เข้าใจว่าเอไอคืออะไร แต่เหตุการณ์แบบนี้ก็ทำให้ขาดความไว้เนื้อเชื่อใจกัน

“ในพระคัมภีร์มีคำหนึ่งที่บอกว่า ‘ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท’ ไทในที่นี้คือความเป็นอิสระ น่าสนใจเพราะในคำถามของการเสวนาก็มีหลายแง่มุมที่น่าสนใจ เช่น  คำโกหกสีขาว หรือพูดความจริงไม่ครบ ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท ก็เพราะว่าเมื่อเราพูดความจริงเราไม่ต้องระวังหลัง เพราะต่อจากนี้จะมาอย่างไรก็ไม่รู้ เราพูดสิ่งที่มันจริงทั้งหมด เพราะฉะนั้นอันนี้เป็นคำสอนที่บอกว่าถ้าเราอยู่กับความจริงเราก็เป็นอิสระจากบาป จากความทุกข์กังวลใดๆ อะไรต่างๆ เรื่องโกหกสีขาว จริงๆ โกหกก็คือโกหก แต่ศาสนาคริสต์เขาจะดูที่เจตนา สมมติว่าขโมยมาปล้นบ้านเรา แล้วถามว่ากุญแจตู้เซฟอยู่ตรงไหน เราบอกความจริงว่าอยู่บนหลังตู้ อันนี้ก็คงไม่ใช่” บาทหลวงอนุชา กล่าว

ซิสเตอร์ศรีพิมพ์ ซาเวียร์ ผู้อำนวยการศูนย์อบรมคริสตศาสนธรรมระดับชาติ กล่าวว่า มีตัวอย่างกรณีการแชร์ภาพที่อ้างว่าเป็นการจุดไฟคบเพลิงสำหรับเตรียมไว้ใช้ในพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยระบุว่าเป็นพิธีที่จัดขึ้นในศาสนสถานของชาวคริสต์ และมีนักบวชเป็นผู้จุด แต่เมื่อไปตรวจสอบในสื่อต่างๆ ก็ไม่พบว่ามีสำนักข่าวใดเลยที่รายงานข่าวการเตรียมไฟคบเพลิงสำหรับกีฬาโอลิมปิกในศาสนสถานที่ฝรั่งเศส   มีเพียงข่าวฝรั่งเศสจัดพิธีรับมอบคบเพลิงไฟโอลิมปิกทางเรือที่ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เห็นภาพนี้ถูกแชร์มาจากหลายๆ คน ในใจก็คิดว่า ในยุคนี้ผู้คนดูจะห่างไกลศาสนา ดังนั้นจึงรู้สึกดีที่มีการทำพิธีจุดคบเพลิงโอลิมปิกที่ศาสนสถาน แต่เมื่อตรวจสอบแล้วไม่ใช่ข่าวจริง จึงรีบตอบคนที่ส่งภาพดังกล่าวกลับไปว่าคงไม่ใช่อย่างแน่นอน ขอให้ตรวจสอบดู ซึ่งภายหลังคนที่ส่งมาก็ได้ลบภาพนั้นออกไป ดังนั้นเมื่อได้รับข้อมูลอะไรมาจะต้องตรวจสอบว่าแหล่งที่มาของข้อมูลเป็นอย่างไร เพราะแม้จะเป็นข้อมูลที่ถูกเขียนขึ้นมาในลักษณะเนื้อหาที่ดูดี แต่หากไม่มีที่มา-ที่ไปที่ก็ไม่ควรส่งต่อ

“บางคนก็จะโกรธถ้ามีคนตั้งคำถาม เขาก็จะเหมือนกับว่า เราแชร์ข้อมูลดีๆ ไปอย่างนี้ไม่ดีหรือ? ดีกว่าไปแชร์ข้อมูลที่มันไม่ดีใช่ไหม? เราบอกว่าจะดีหรือไม่ดีแต่ถ้าไม่มีที่มาที่ไปใครเป็นผู้เขียน ไม่มีสำนักข่าวที่เขียน เราก็ไม่ควรจะแชร์ข้อมูลที่จริงหรือไม่จริงเราก็ไม่ทราบ ก็จะพยายามตั้งหลักตรงนี้มากๆ เลยว่าไม่ควรแชร์ข้อมูลที่ไม่เป็นจริง แต่ก็ไม่กล้าบอกไปในกลุ่มไลน์ เพราะว่ากลัวเขาอาย เราก็ต้องมีเทคนิคไม่ให้เขาอาย ก็ต้องส่งไปที่ส่วนตัวให้ตรวจสอบข้อมูลก่อนส่ง ” ซิสเตอร์ศรีพิมพ์ กล่าว

ผศ.สุชาติ เศรษฐมาลินี กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า ในคำสอนของศาสนาอิสลาม ซึ่งถือมนุษย์ว่าเป็นทั้งบ่าวและตัวแทนของพระผู้เป็นเจ้า มนุษย์จึงมีหน้าที่เคารพสักการะต่อผู้พระผู้เป็นเจ้า แต่การเคารพสักการะไม่ได้หมายถึงเฉพาะการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาในมัสยิด หรือการถือศีลอดเท่านั้น แต่รวมถึงการปฏิบัติดี-ปฏิบัติชอบทั้งต่อมนุษย์ สภาพแวดล้อมและทุกอย่างที่พระผู้เป็นเจ้าสรรสร้าง 

และในคัมภัร์อัลกุรอ่าน จะมีอยู่บทหนึ่งที่พูดถึงความจริงหรือสัจธรรม ดังนั้นการเป็นคนโกหกโป้ปดมดเท็จ ในทรรศนะของอิสลามจึงถือเป็นบาปที่ร้ายแรง แม้กระทั่งการโกหกสีขาวซึ่งมักพบได้ในชีวิตประจำวัน อิสลามก็พยายามเตือนว่า การโกหกสีขาวจงเป็นสิ่งที่ไม่พึงกระทำ เพราะการโกหกเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น ที่บอกว่าคนเราโกหกเฉลี่ย 2 ครั้งต่อวัน เดือนหนึ่งก็ 60 ครั้ง แต่การที่เราโกหกเล็กๆ น้อยๆ อย่างสม่ำเสมอ ท้ายที่สุดเราก็จะเห็นว่าการโกหกเป็นเรื่องธรรมดา

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าคนเราจะต้องพูดความจริงออกไปทุกอย่าง โดยอาจยกเว้นได้บ้าง เช่น กรณีหากพูดไปแล้วจะทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตของผู้คน อาทิ เหตุการณ์กลุ่มวัยรุ่นมีเรื่องทะเลาะวิวาททำร้ายคู่อริ สมมติฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งวิ่งหนีตายแอบปีนเข้ามาหลบอยู่ในบ้านของตน แล้วอีกฝ่ายไล่ตามมาพร้อมอาวุธทั้งมีด-ปืน เข้ามาถามตนว่าเห็นคู่กรณีวิ่งผ่านมาแถวนี้บ้างหรือไม่ ซึ่งในศาสนาก็ระบุถึงสถานการณ์บางอย่าง เช่น สงคราม ที่อาจส่งผลให้บุคคลได้รับอันตรายถึงชีวิต ก็ถือเป็นข้อยกเว้นได้

หรือแม้แต่การนำเสนอข้อมูลที่แม้จะเป็นความจริง หากจะไปกระทบสิทธิมนุษยชนก็ต้องระมัดระวัง เช่น กรณีเจ้าหน้าที่ทหารใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำป้ายไวนิลแสดงชื่อและภาพถ่ายบุคคลที่ถูกออกหมายจับในคดีความรุนแรง แม้จะเป็นหมายจับจริง แต่ก็ส่งผลกระทบต่อลูกและภรรยาของผู้ต้องหา เช่น ถูกล้อเลียนด่าทอเป็นลูกโจร-เมียโจร หรือสื่อพาดหัวข่าวผู้ต้องหากับอาวุธที่ใช้ก่อเหตุ ในลักษณะตีตราไปแล้วว่าบุคคลนั้นกระทำผิดจริง ทั้งที่ศาลยังไม่ได้ตัดสิน ซึ่งขัดกับหลักที่ว่าบุคคลย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์ก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษาว่าผิด (Presumption of Innocence)

“มีกรณีที่ผู้หญิงคนหนึ่งไปก่อคดีฆาตกรรมทำร้ายคน สมมติผมไปทำร้ายใครสักคนหนึ่ง ใช้ระเบิดซีโฟร์ ก็กลายเป็นสุชาติซีโฟร์ แต่พวกเราคงนึกออกว่าผู้หญิงคนนั้นถูกตีตราว่าเป็นอะไร เสร็จแล้วปรากฏว่าในที่สุดศาลตัดสินมาก็ตัดสินมา ก็ปรากฎว่าเธอไม่ได้ทำผิด แต่สื่อนี่กระจายไปหมดแล้ว” ผศ.สุชาติ กล่าว

พระมหานภันต์ สันติภัทโท ประธานกรรมการมูลนิธิ สกพ. และผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร กล่าวว่า ผลกระทบที่ใหญ่มากจากข้อมูลข่าวสารที่ไม่เป็นความจริง เช่น การนำภาพหรือคำสอนของศาสนาต่างๆ มาบิดเบือน คือการสร้างความเกลียดชัง อย่างมีครั้งหนึ่งที่เดินทางไปยังประเทศอังกฤษ ก็มีคนขับแท็กซี่ถามว่า เหตุใดพี่น้องคุณถึงฆ่าพี่น้องเรา โดยอ้างถึงกรณีพระสงฆ์ในประเทศเมียนมา มีการปลุกเร้าให้พุทธศาสนิกชนเข่นฆ่าชาวมุสลิม 

โดยในมุมมองของศาสนาพุทธ ความจริงหรือสัจจะถือเป็นเรื่องสำคัญ อย่างในศีลก็จะมีข้อที่ห้ามพูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ พูดคำหยาบ ซึ่งคำว่า “พูดส่อเสียด” หมายถึงการพูดที่ทำให้เกิดความแตกแยกในหมู่คนหรือสังคม ส่วนคำถามที่ว่า “จะพูดความจริงอย่างไร?” ขอให้ยึดหลักว่า “นอกจากจริงแล้วยังต้องดูว่าพูดออกไปจะมีประโยชน์หรือไม่ด้วย” บางเรื่องแม้จะจริงแต่ไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่จำเป็นต้องพูด อีกทั้งต้องรู้จัก “กาลเทศะ” เช่น เมื่อเห็นการแชร์ข้อมูลที่ผิดในกลุ่มไลน์ การเตือนตรงๆ ในกลุ่มอาจทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่พอใจได้ อาจใช้วิธีทักไปเตือนเป็นข้อความส่วนตัว เป็นต้น

“คนฟังชอบใจ-ไม่ชอบใจ ไม่เป็นประเด็นสำคัญ ฟังอย่างนี้บางท่านอาจจะรู้สึกว่า ‘ทำไมล่ะ?..ก็ต้องดูสิว่าพูดแล้วเขาควรจะชอบ’ คือความจริงที่เป็นประโยชน์บางครั้งมันไม่น่าฟังแต่เราจำเป็นต้องพูด เพราะถ้าไม่พูดเขาจะไม่มีโอกาสเห็น นึกสภาพเป็นกระจกมันก็ต้องสะท้อน ‘กัลยาณมิตร’ หรือเพื่อนที่ดีจะทำให้เราได้รู้ความจริงที่เป็นประโยชน์แม้จะไม่น่าฟัง ฉะนั้นคนฟังชอบใจ-ไม่ชอบใจไม่เป็นไร แต่นึกถึงหลักการคือต้องรู้กาลเทศะ” พระมหานภันต์กล่าว

ดร.สรยุทธ รัตนพจนารถ ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการร่วมธนาคารจิตอาสา กล่าวว่า ในมุมมองของตน ผลกระทบจากข่าวลวง-ข่าวเท็จ คือการทำให้เราสูญเสียทรัพยากรที่เป็นปัจจัยจำกัดที่มีค่าที่สุดคือ เวลา ซึ่งเป็นทรัพยากรที่ทุกคนได้มาเท่ากัน และเมื่อสูญเสียไปแล้วก็ไม่สามารถหามาทดแทนได้เหมือนทรัพยากรอื่นๆ เพราะข่าวลวงทำให้ต้องมาเสียเวลากับการตรวจสอบซ้ำ ครั้งแล้วครั้งเล่าว่าข้อมูลนั้นถูกต้องหรือไม่ แทนที่จะสามารถนำข้อมูลไปใช้ได้เลย และยังทำให้คนเราขาดเวลาสำหรับการทำความเข้าใจในชีวิต ในความเชื่อหรือศาสนา หรือขาดเวลาทำสิ่งที่ควรทำในสิ่งที่เกิดความงอกงาม

อนึ่ง ในศาสนาพุทธ เมื่อพูดถึงความจริงมักอ้างถึง “หลักกาลามสูตร 10 ประการ” ที่พระพุทธเจ้าสอนชาวกาลามะ ว่าอย่าเชื่อโดยง่ายเพียงเพราะเหตุต่างๆ เช่น เป็นเรื่องที่บอกเล่าต่อๆ กันมา เป็นเรื่องที่คิดเอาเอง หรือเป็นเพราะครูบาอาจารย์บอก แต่เรื่องนี้ก็มีบริบท (Context) อยู่ ไม่ใช่ข่าวที่บอกกันโดยทั่วไป คือหมายถึงการเดินทางทางจิตวิญญาณ ให้เราเชื่อผ่านการปฏิบัติของตนเอง มีตัวเราเป็นคนพิสูจน์ แต่เมื่อมาอยู่ในบริบทของโลกปัจจุบัน ก็น่าสนใจว่าแล้วเวอร์ชั่นที่ร่วมสมัยจะเป็นอย่างไร?

“ตอนเด็กๆ ผมมักจะคิดเอาเองด้วยความเป็นเด็กว่าการพูดความจริงบางส่วน คือการพูดความจริง เมื่อผู้ใหญ่ถามว่า ทำการบ้านเสร็จแล้วหรือยัง? ผมก็บอกว่าทำการบ้านแล้ว แต่เสร็จหรือยัง เว้นเอาไว้ให้เป็นการตีความเอง โตมาขึ้นมาถึงเข้าใจว่ามันไม่ใช่ว่าต้องพูดหมดหรือไม่หมดแต่นั้น แต่มันคือความตั้งใจของเราว่าเป้าหมายของเรามันคืออะไร? เป้าของเรามันเพื่อให้เขาเข้าใจผิดหรือเปล่า? ผมคิดว่าอันนี้มันเป็นประเด็นสำคัญเลย มันมีทั้งเรื่องของบริบท มีเรื่องของความจริงใจ มีเรื่องของความตั้งใจของเราที่จะบิดเบือนสิ่งนี้หรือเปล่า?” ดร.สรยุทธ กล่าว

ด้านผู้ดำเนินการสนทนา สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวถึงวันพูดความจริง ซึ่งตรงกับวันที่ 7 กรกฎาคม ของทุกปี ว่า หากย้อนไปเมื่อ 20 กว่าปีก่อน เรากำลังเข้าสู่ยูโทเปีย ทุกคนตื่นเต้นกับอินเตอร์เน็ตในฐานะพื้นที่ใหม่แห่งเสรีภาพ แต่เมื่อผ่านไปสักระยะทุกคนก็ได้สัมผัสถึงด้านมืดของอินเตอร์เน็ต นำไปสู่การรณรงค์สร้างความระมัดระวังและรู้เท่าทันข่าวลวง (Fake News) ซึ่งในช่วงนี้เองก็มีใครสักคนหนึ่งกำหนดวันพูดความจริงขึ้นมา และสามารถสร้างเป็นกระแสในวงกว้างได้

โคแฟคเราเห็นว่ามีความน่าสนใจดี เราก็เลยจัดกิจกรรมปีนี้เป็นปีแรก เป็นหนึ่งวันที่เราจะได้มีโอกาสรณรงค์กันเรื่องนี้ เพราะว่าหลักๆ ทุกคนน่าจะประสบความทุกข์กับข้อมูลลวง สุภิญญา กล่าว

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 13 กรกฎาคม 2567

ห้ามกรอกลงทะเบียนรับสิทธิ์ลดค่าน้ำ ค่าไฟ เพราะเป็นของมิจฉาชีพ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/2o4dbj5s1cyo1#_=_


ใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือบ่อย เสี่ยงเป็นโรคสะเก็ดเงิน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/q5dp4pfog29w


สคบ. ประกาศให้สินค้าออนไลน์ที่เก็บเงินปลายทาง สามารถเปิดดูสินค้าก่อนจ่ายได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3jymv4k0epoq8


รัฐฯ แนะทุกบ้านควรมีโอ่งเก็บน้ำ เพื่อแบ่งความจุจากเขื่อนไม่ให้แตก ส่งเสริม Soft Power…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/19d1mdflvzc21


พบสารปนเปื้อนอันตรายในน้ำประปา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/cfbbujgk9ezw


กลางลิ้นแตก มีฝ้าขาว เหลือง แสดงให้เห็นว่า กระเพาะย่อยไม่ดี…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/cozlfygkmf95


  เตือน 28 จังหวัด เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ช่วง 9-17 ก.ค. 67

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/9vkddq1tk6b2#_=_i


   กรมการจัดหางาน รับสมัครคนไทยทำงานมาเก๊า เงินเดือนสูงสุด 1 แสนบาท

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/uq96lbpfax9


  กทม. เพิ่มมาตรการป้องกันโควิด 19 ระบาดในกลุ่มเด็กเล็กและผู้สูงอายุ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/33u5jmw589w7a


  เตรียมเปิดให้บริการด่านฯ ลุมพินี ทางพิเศษเฉลิมมหานคร กลางเดือน ก.ค. นี้

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/3ryl1888kncbf


กกต. ประกาศรับรอง สว.67 กับข้อเท็จจริงเรื่อง “รับรองก่อน สอยทีหลัง”

สองสัปดาห์หลังการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เสร็จสิ้นไปเมื่อ 26 มิ.ย. 2567 คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติเมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2567 ประกาศรับรองรายชื่อ สว. 200 คนที่ได้รับเลือกและบัญชีสำรอง เท่ากับว่า กกต. เลือกแนวทาง “รับรองก่อน สอยทีหลัง” ซึ่งก่อนหน้านี้นายสมชาย แสวงการ และ สว. ที่กำลังจะพ้นตำแหน่งกลุ่มหนึ่งอ้างว่า “กระทำไม่ได้” เพราะไม่มีกฎหมายรองรับ

จากการตรวจสอบกับ กกต. และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โคแฟคพบว่าคำกล่าวอ้างของ สว. กลุ่มนี้ไม่ตรงกับความจริง เพราะกฎหมายเขียนไว้ชัดเจนว่า กกต. สามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อเพิกถอนสิทธิผู้ได้รับเลือกเป็น สว. หลังจากประกาศรับรองผลแล้วได้  

“รับรองก่อน สอยทีหลัง” หมายถึง การที่ กกต. ประกาศผลการเลือก สว. ในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งเป็นการรับรองรายชื่อผู้ที่ได้รับเลือกเป็น สว. และบัญชีสำรอง แม้จะมีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ได้รับเลือกและความไม่ถูกต้องชอบธรรมที่เกิดขึ้นในกระบวนการเลือกอยู่ก็ตาม หลังจากประกาศรับรองไปแล้ว หาก กกต. สืบสวนพบว่า สว. คนนั้นหรือผู้มีชื่อในบัญชีสำรองขาดคุณสมบัติ ก็จะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย หรือถ้ามีการทำผิดกฎหมาย กกต. ก็จะยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา เมื่อศาลฎีกามีคําสั่งรับคำร้องไว้พิจารณา สว. ที่ถูกกล่าวหาจะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลฎีกาจะพิพากษาว่ามิได้กระทำความผิด ถ้าศาลพิพากษาว่าผิดจะต้องสิ้นสุดการเป็น สว. หรือถูกลบชื่อจากบัญชีสำรอง

ไม่มีกฎหมายรองรับ?

ระหว่างการประชุมวุฒิสภาชุดที่แต่งตั้งโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือที่เรียกว่า “ชุดเฉพาะกาล” เมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2567 เพื่อพิจารณาข้อเสนอให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาตรวจสอบการเลือกสมาชิกวุฒิสภา นายสมชาย แสวงการ อภิปรายว่า รัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (พ.ร.ป. สว.) “ไม่ได้ให้อำนาจ [กกต.] ไปสอยทีหลัง” ดังนั้น “การรับรองไปก่อนแล้วสอยทีหลังกระทำไม่ได้”

นายสมชายอ้างมาตรา 42 ของ พ.ร.ป. สว. ที่วรรคสุดท้ายเขียนไว้ว่า เมื่อ กกต. ได้ผลคะแนนการเลือกระดับประเทศแล้วให้รอไว้ไม่น้อยกว่า 5 วัน เมื่อพ้นกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว ถ้า กกต. เห็นว่าการเลือกเป็นไปโดยถูกต้อง สุจริต และเที่ยงธรรม ให้ประกาศผลการเลือกในราชกิจจานุเบกษา

นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา เสนอญัตติคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาตรวจสอบการเลือกสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งวุฒิสภามีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2567 ก่อนที่ สว. ชุดนี้จะพ้นจากตำแหน่งในอีก 2 วันต่อมา เมื่อราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศ กกต. เรื่องผลการเลือก สว. ชุดใหม่

นายสมชายตีความว่า มาตรา 42 นี้กำหนดให้ กกต. ประกาศผลการเลือก สว. ก็ต่อเมื่อเห็นว่าการเลือกเป็นไปโดยถูกต้อง สุจริต และเที่ยงธรรมเท่านั้น หากยังมีข้อร้องเรียนหรือข้อสังสัย ไม่ว่าจะเกี่ยวกับคุณสมบัติผู้สมัครหรือกระบวนการเลือก กกต. ต้องสอบสวนให้เสร็จสิ้นเสียก่อนที่จะประกาศรับรองผล 

นายจัตุรงค์ เสริมสุข เป็น สว. อีกคนหนึ่งที่เห็นเหมือนกับนายสมชาย เขาอภิปรายว่า “การที่ กกต. พูดมาโดยตลอดว่ารับรองไปก่อน แล้วสอยกันทีหลัง ไม่รู้ว่ามันมีกฎหมายข้อไหน บทบัญญัติไหน หรือพระราชบัญญัติฉบับไหน หรือรัฐธรรมนูญฉบับไหนที่ให้อำนาจ กกต. รับรองไปก่อนแล้วสอยทีหลัง…”

นายรณวริทธิ์ ปริยฉัตรตระกูล สว. อภิปรายในทิศทางเดียวกันว่า กกต. ไม่สามารถรับรองผลการเลือก สว. ไปก่อนแล้วค่อยมา “สอย” ทีหลังเหมือนกับการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้ เพราะ สว. ที่ถูกกล่าวหานั้นมีส่วนในการเลือกผู้สมัครคนอื่นในขั้นตอนการเลือกกันเองและการเลือกไขว้ “ผิดหนึ่งคน พลาดหนึ่งคน คือพลาดทั้งหมด”

โคแฟคตรวจสอบ

กกต. ใช้วิธี “รับรองก่อน สอยทีหลัง” มาแล้วในการเลือกตั้งหลายครั้งหลายระดับ ไม่ว่าจะเป็นการเลือก สส. การเลือกตั้งซ่อม หรือการเลือกระดับท้องถิ่น แต่เนื่องจากการได้มาซึ่ง สว. ชุดที่ 13 ในปี 2567 นี้ เป็นการเลือกครั้งแรกภายใต้กติกาและระบบใหม่ที่ถูกออกแบบโดยคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าซับซ้อน มีข้อกล่าวหาและข้อกังขาเกิดขึ้นมากมายในแทบทุกขั้นตอน รวมถึงขั้นตอนการประกาศผลด้วย   

กกต. พูดมาเป็นระยะว่าการ “รับรองก่อน สอยทีหลัง” นั้นทำได้ตามกฎหมาย ครั้งล่าสุดคือในการแถลงความคืบหน้าการเลือกระดับประเทศที่อิมแพค ฟอรั่ม เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 2567 ผู้สื่อข่าวถามนายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ว่าการ “สอยทีหลัง” นั้นมีกฎหมายข้อไหนรองรับ

นายแสวงตอบว่า “มาตรา 62 ของ พ.ร.ป. สว. ระบุว่า เมื่อ กกต. ประกาศผลการเลือก สว. แล้ว ถ้ามีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าผู้สมัครหรือผู้ใดกระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือกหรือรู้เห็นกับการกระทำของบุคคลอื่น อันทำให้การเลือกมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ให้คณะกรรมการยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อสั่งให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้น และเมื่อศาลรับคำร้องไว้พิจารณา สว. ผู้นั้นต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที ถ้าอยู่ในบัญชีสำรองก็ต้องลบชื่อออก”

นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.

ผศ.ปริญญา เทวานฤมิตกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พูดถึงประเด็นเดียวกันนี้ในการให้สัมภาษณ์ ไทยพีบีเอส ว่า “ตามข้อกฎหมาย กกต. ทำได้อยู่แล้ว เมื่อประกาศผลไปแล้วตามมาพบว่า สว.ท่านใดทำผิด พ.ร.ป. สว. ก็สามารถส่งคำร้องไปให้ศาลฎีกาเพิกถอนสิทธิได้ตลอด คนที่อยู่ในบัญชีสำรองก็เลื่อนขึ้นมา”

แม้ว่าการ “รับรองก่อน สอยทีหลัง” จะมีกฎหมายรองรับ แต่ ผศ.ปริญญาก็เตือนว่า หาก กกต. เพิกเฉยต่อข้อร้องเรียนต่าง ๆ ในการเลือก สว. แล้วเดินหน้ารับรองผลการเลือกโดยไม่สอบสวนข้อร้องเรียนอย่างจริงจัง ก็อาจถูกครหาได้

ขณะที่นายเสรี สุวรรณภานนท์ สว. ชุดเดียวกับนายสมชาย อ้างรัฐธรรมนูญ มาตรา 226 ที่ให้อำนาจ กกต. “รับรองก่อน สอยทีหลัง”

มาตรา 226 ของรัฐธรรมนูญ 2560 ระบุว่า “ภายหลังการประกาศผลการเลือกตั้งหรือการเลือกแล้ว มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกผู้ใดกระทำการทุจริตในการเลือกตั้งหรือการเลือกหรือรู้เห็นกับการกระทําของบุคคลอื่น ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้น”

“พอหลังประกาศผลแล้วเขาถึงได้ไปสอย…ถ้าระหว่างนี้มีคนร้องเยอะ กกต. ก็ต้องตรวจสอบดูว่าวินิจฉัยชี้ขาดได้เลยมั้ย ถ้าวินิจฉัยได้เลยเขาก็สอยเลย แต่ถ้ายังไม่ชัดเจน มีข้อโต้แย้ง มีหลักฐานที่ต้องไปพิสูจน์กันทีหลัง” นายเสรีกล่าว

โดยสรุป ข้อกฎหมายที่ให้ กกต. ประกาศรับรองผลการเลือก สว. ก่อน แล้วจึงทำการสืบสวนสอบสวนคำร้องและข้อกล่าวหาต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จ มีดังนี้

1) พ.ร.ป. ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561

มาตรา 62 เมื่อ กกต. ประกาศผลการเลือกแล้ว ถ้ามีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าผู้สมัครหรือผู้ใดกระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือกหรือรู้เห็นกับการกระทำของบุคคลอื่น อันทำให้การเลือกมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ให้ กกต. ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อสั่งให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้น

เมื่อศาลฎีกามีคําสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาแล้ว ถ้าผู้ถูกกล่าวหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา ให้ผู้นั้นหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลฎีกาจะพิพากษาว่าผู้นั้นมิได้กระทำความผิด เมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษาว่าผู้นั้นกระทําความผิดให้สมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาผู้นั้นสิ้นสุดลงนับแต่วันที่หยุดปฏิบัติหน้าที่ ให้นำความในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับแก่ผู้ถูกกล่าวหาซึ่งอยู่ในบัญชีสำรองด้วย และเมื่อศาลฎีกามีคําพิพากษาว่าผู้นั้นกระทําความผิด ให้ กกต. สั่งลบรายชื่อผู้นั้นออกจากบัญชีสำรอง

มาตรา 63 เมื่อ กกต. ประกาศผลการเลือก สว. แล้ว หากความปรากฏต่อ กกต. ว่า สว. คนใดขาดคุณสมบัติหรือหรือมีลักษณะต้องห้าม ให้ กกต. ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยโดยไม่ชักช้า

2) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560

มาตรา 225 ซึ่งอยู่ในส่วนที่ว่าด้วยที่มาและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ระบุว่า ภายหลังการประกาศผลการเลือกตั้งหรือการเลือก ถ้ามีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกผู้ใดกระทำการทุจริตในการเลือกตั้งหรือการเลือกหรือรู้เห็นกับการกระทําของบุคคลอื่น ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้น เมื่อศาลฎีกามีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาแล้ว ถ้าผู้ถูกกล่าวหาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา ให้ผู้นั้นหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลฎีกาจะพิพากษาว่าผู้นั้นมิได้กระทําความผิด และเมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษาว่าผู้นั้นกระทำความผิด ให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาผู้นั้นสิ้นสุดลงนับแต่วันที่หยุดปฏิบัติหน้าที่

“ถูกต้อง สุจริต เที่ยงธรรม”

ในการแถลงข่าวเรื่องการประกาศรับรองผลการเลือก สว. เมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2567 นายแสวง เลขาธิการ กกต. อธิบายว่า กกต. รับรองผลการเลือก สว. เพราะ “พิจารณาแล้วเห็นว่า การเลือก สว. เป็นไปด้วยความถูกต้อง สุจริตและเที่ยงธรรม” ตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในมาตรา 42 ของ พ.ร.ป. สว.

นายแสวงอธิบายว่าที่สรุปเช่นนั้น เพราะ กกต. ได้ดำเนินการเกี่ยวกับกระทำความผิดและข้อร้องเรียนที่เกิดขึ้นแล้ว โดย กกต. แบ่งความผิดและข้อร้องเรียนเป็น 3 กลุ่ม คือ

กลุ่ม 1 คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัคร: เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัครตั้งแต่ต้น ทำให้มีผู้สมัครถูกตัดสิทธิกว่า 2,000 คน ในการเลือกระดับอำเภอ (1,917 คน) ระดับจังหวัด (526 คน) และระดับประเทศ (5 คน) และได้ระงับสิทธิสมัครรับเลือกของผู้สมัครเป็นการชั่วคราวอีก 89 ราย

กลุ่ม 2 กระบวนการเลือก: มีผู้ยื่นคำร้องเกี่ยวกับกระบวนการเลือกในระดับอำเภอ จังหวัดและประเทศ ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 9, 16 และ 26 มิ.ย. 2567 มายัง กกต. 3 คำร้อง และยื่นไปที่ศาลฎีกาอีก 18 คำร้อง ซึ่ง กกต. พิจารณาเสร็จสิ้นแล้ว และศาลฎีกาก็ยกคำร้องทุกคดีแล้ว จึงถือว่ากระบวนการเลือกเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย

กลุ่มที่ 3 ความไม่สุจริตและเที่ยงธรรมจากการฝ่าฝืนกฎหมาย: กกต. ได้รับคำร้องเกี่ยวกับความไม่สุจริต เช่น การจัดตั้ง บล็อกโหวต ฮั้ว ทั้งหมด 47 เรื่อง ซึ่งพยานหลักฐานเท่าที่ กกต. รวบรวมได้ในตอนนี้บ่งชี้ว่าอาจทำเป็นขบวนการ การสอบสวนในเชิงลึกต่อไปต้องใช้พยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ กกต. จึงได้ประสานขอความร่วมมือจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ และสำนักงานคณะกรรมการปราบปรามการฟอกเงิน ให้ส่งเจ้าหน้าที่และอุปกรณ์มาช่วยในการสอบสวน ซึ่งขณะนี้หลักฐานยังไม่เพียงพอที่จะสรุปว่ามีการกระทำความผิด เพื่อความเที่ยงธรรมต่อทั้งผู้กล่าวหาและผู้ถูกกล่าวหา จึงต้องให้โอกาสทั้งสองฝ่ายในการพิสูจน์และแก้ข้อกล่าวหา

นายแสวงสรุปว่า จากการดำเนินการของ กกต. ในทั้ง 3 ส่วน “ในชั้นนี้จึงยังไม่สามารถบอกว่าการเลือก [สว.] เป็นไปโดยไม่สุจริตเที่ยงธรรม” จึงนำมาสู่การประกาศผลการเลือกสมาชิกวุฒิสภาในราชกิจจานุเบกษาในวันที่ 10 ก.ค. 2567

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค: รายงาน

อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 6 กรกฎาคม 2567

คลอรีนผงผสมน้ำเพื่ออาบ ทำให้ผิวขาว…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2fmkrc3a38png


สำนักงาน ป.ป.ท. เปิดเพจเฟซบุ๊กชื่อ ศูนย์ช่วยเหลือ เหยื่อถูกหลอกโอนเงินออนไลน์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/hz2pm9v3rrfy


น้ำผึ้งใช้รักษาโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร และช่วยล้างลำไส้ได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/pjid8jeq3r6r


นอนพื้นแข็งเป็นเวลานาน เสี่ยงปวดตัว ปวดหลัง สะดุ้งตื่นตลอดคืน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3u4wtpaj7ax2m


  รัฐบาลเพิ่มเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 3 เดือน เพื่อช่วยเหลือค่าน้ำมัน 120 บ. ต่อคน และต่อเดือน

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/nowvpsj5w90h


  ไม่ควรปิดฝาไมโครเวฟทันทีหลังใช้งาน

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2om2w4hkc8r90


   อายิโนะโมะโต๊ะ ขึ้นราคาผงชูรส 4 ไซซ์ อีก 4%

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1idlii2vt8d8t#_=_


  กทม. เปิดยอดปลูกต้นไม้ 2 ปี ‘ทะลุเป้า 1 ล้านต้น’ ผนึกทุกภาคส่วนเดินหน้า สร้างพื้นที่สีเขียว-กรองฝุ่นต่อเนื่อง

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/g2wc9j9ty424


  ไข่ปรุงไม่สุกติดเชื้อดับ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1dqtlr6n92skw#_=_


  รถพยาบาลจะต้องขับไม่เกิน 80 ก.ม./ชม. และห้ามฝ่าไฟแดงทุกกรณี…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2uw89epgdzdgn#_=_


‘วันพูดความจริง (Tell the Truth Day)’ Special Report 41/67

Editors’ Picks

By : Zhang Taehun

สำหรับผู้ที่ติดตาม Cofact น่าจะรู้จัก วันตรวจสอบข่าวลวง (International Fact-Checking Day)” 2 เมษายน ของทุกปี กันดีอยู่แล้ว ซึ่งล้อกันไปกับวันโกหก (April Fools Day) 1 เมษายน ของทุกปี โดยวันตรวจสอบข่าวลวงโลก ถูกริเริ่มโดยInternational Fact-Checking Network (IFCN)ตั้งแต่ปี 2558 และมีการจัดกิจกรรมต่อเนื่องทุกปีทั่วโลกรวมถึงในประเทศไทย เพื่อรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนในสังคมเห็นความสำคัญของการตรวจสอบข้อมูลที่ได้รับมาให้แน่ใจก่อน เพื่อแก้ปัญหาการกระจายของข้อมูลทีผิดพลาดโดยเฉพาะบนโลกออนไลน์ 

แต่ยังมีอีกวันหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับความจริงและลวง นั่นคือ “วันพูดความจริง (Tell the Truth Day)” ตรงกับวันที่ 7 กรกฎาคม ของทุกปี อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติของวันดังกล่าวค่อนข้างกระจัดกระจาย อีกทั้งยังไม่มีการรับรองโดยหน่วยงานภาครัฐ องค์กรระหว่างประเทศ หรือหน่วยงานภาควิชาการ (ต่างจาก International Fact-Checking Day ที่อย่างน้อยก็มีระบุในเว็บไซต์ของPoynter หรือก็คือ Poynter Institute for Media Studies สถาบันวิชาการด้านวารสารศาสตร์ ในเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา) ดังนั้นผู้เขียนจึงขออ้างแหล่งข้อมูลหลายแหล่ง

– nationaltoday.com เว็บไซต์ของ National Today บริษัทโฆษณาซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในเมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา อ้างถึงการถกเถียงเชิงปรัชญาของนักปราชญ์คนสำคัญในประวัติศาสตร์โลก เช่น Plato พยายามค้นหาสถานการณ์ที่การโกหกเป็นสิ่งที่ชอบธรรม ในขณะที่ Aristotle ประนามการโกหกทุกรูปแบบ ด้าน Kant และ Schopenhauer มองว่าเป็นการพูดความจริงและการโกหกเป็นหัวข้อที่ซับซ้อนซึ่งได้รับอิทธิพลจากสถานการณ์ แต่ท้ายที่สุดแล้ว การดำเนินชีวิตด้วยความจริงใจต่อตนเองและผู้อื่นคือสิ่งที่หลายคนมุ่งมั่นยึดถือปฏิบัติ

ทั้งนี้ แม้ไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่วันพูดความจริง (Tell the Truth Day) แสดงถึงคุณค่าที่ตรงกันข้ามกับวันโกหก (April Fools Day)บทความยังกล่าวด้วยว่า คนเราส่วนใหญ่ ในบางจุดอาจโกหก แต่หวังว่ามันจะเป็นเพียงการโกหกที่มีผลเพียงเล็กน้อย ซึ่งน่าเสียดายที่การโกหกสามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นอันตรายมากขึ้นเมื่อมันได้กลายเป็นลักษณะบุคลิกภาพ

– daysoftheyear.com เว็บไซต์ของ Days Of The Year บริษัทเทคโนโลยี สารสนเทศ และอินเตอร์เน็ตซึ่งมีที่ตั้งในอังกฤษ อ้างถึงนักเขียน M. Hirsch Goldberg ที่กล่าวไว้ในหนังสือของเขาว่า มนุษย์โดยเฉลี่ยจะโกหกประมาณ 200 ครั้งต่อวัน ซึ่งรวมถึงการโกหกเล็กๆ น้อยๆ และการหลีกเลี่ยงความจริงโดยการละเลย ขณะที่งานวิจัยของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย พบว่ามนุษย์มักจะโกหกวันละ 2 ครั้งโดยเฉลี่ย

แต่ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ข้อค้นพบดังกล่าวก็ชี้ให้เห็นความสำคัญว่า ควรจะมีสักวันหนึ่งที่กระตุ้นเตือนให้เห็นความสำคัญของการพูดความจริง แม้ว่าการโกหกเล็กๆ น้อยๆ เพื่อปกป้องความรู้สึกของใครบางคนอาจเป็นเรื่องที่ทำกันเป็นปกติ แต่วันพูดความจริงถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นโอกาสที่จะก้าวข้ามพื้นผิวและซื่อสัตย์กับโลก อย่างไรก็ตาม บทความได้ย้ำถึงข้อควรระวังของการพูดความจริง โดยต้องมีวิธีการพูดที่ไม่ทำร้ายจิตใจของผู้อื่นด้วย 

(บทความได้ยกตัวอย่าง “ผมทรงโมฮอว์กสีม่วงนี้ดูดีจังเลย” ซึ่งในใจผู้พูดอาจไม่ชอบ แต่ก็ไม่อยากทำร้ายจิตใจคู่สนทนาจึงโกหกไปเช่นนั้น กับ “ผมทรงโมฮอว์กสีม่วงนี้อาจไม่ใช่สิ่งที่ฉันชอบ แต่ถ้าคุณชอบมันก็ไม่เป็นไร” ซึ่งเป็นการพูดไปตามความรู้สึกจริงๆ ของตัวเรา แต่ขณะเดียวกันก็ยอมรับในสิทธิที่จะเลือกของคู่สนทนาด้วย)

– เว็บไซต์ simplelivingglobal.com ของ Simple Living Global ซึ่งก่อตั้งโดย Bina Pattel ชาวอังกฤษที่ผันตัวเองจากการทำงานในภาคการเงินมาเป็นนักเขียนและผู้ออกแบบหลักสูตรพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคคล ระบุว่า วันที่ 7 กรกฎาคมเป็นวันบอกความจริง ซึ่งเป็นวันที่อุทิศให้กับความซื่อสัตย์และการปฏิเสธการชักจูงและการโกหก วันที่เกิดขึ้นอย่างไม่เป็นทางการนี้สนับสนุนให้ผู้คนพูดความจริงเสมอ แม้ว่าจะไม่สะดวกและยากลำบากก็ตามความซื่อสัตย์และความจริงใจเป็นคุณธรรมที่ทุกศาสนาในโลกเน้นย้ำ วัฒนธรรมทั่วโลกให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์และความจริงใจเป็นพิเศษ ผู้คนที่พูดความจริงมักจะได้รับเกียรติและยกย่องมากกว่าคนที่รู้ว่าโกหก

ภาพที่ 1 : แหล่งที่ (คาดว่าน่าจะ) เป็นต้นทางของข้อมูลเรื่องวันพูดความจริง ตรงกับวันที่ 7 กรกฎาคม

อย่างไรก็ตาม Simple Living Global อ้างที่มาของการใช้วันที่ 7 กรกฎาคม ว่าเริ่มตั้งแต่ปี 2558 โดยอ้างถึงเว็บไซต์ whatnationaldayisit.com ซึ่งผู้เขียนไม่สามารถค้นหาที่ตั้งของสำนักงานผู้ดูแลเว็บไซต์ดังกล่าวได้ เนื่องจากตัวเว็บไซต์ รวมถึงเฟจเฟซบุ๊กที่อ้างว่าเป็นเพจทางการของเว็บไซต์ดังกล่าวไม่ได้ระบุไว้ ขณะที่บทความ “National Tell The Truth Day” บนเว็บไซต์ whatnationaldayisit.com ที่ระบุว่า วันพูดความจริงถูกพูดถึงครั้งแรก (First identified) ในวันที่ 6 เมษายน 2558 และถูกกล่าวถึงมากที่สุด (Most mentioned on) ในวันที่ 7 กรกฎาคม 2558 พร้อมกับบรรยายว่า..

วันพูดความจริงตรงกับวันที่ 7 กรกฎาคม ซึ่งแม้ว่าต้นกำเนิดที่แท้จริงของวันบอกความจริงแห่งชาติจะปกคลุมไปด้วยความลึกลับ แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือ โลกจะเป็นสถานที่ที่ดีกว่านี้หากทุกคนซื่อสัตย์มากขึ้นอีกนิด บางทีมันอาจจะถูกสร้างขึ้นโดยกลุ่มคนที่แสวงหาความจริงซึ่งเบื่อหน่ายกับการโกหก หรือบางทีอาจเริ่มต้นโดยกลุ่มบุคคลที่ซุกซนที่ต้องการดูว่าพวกเขาสามารถเปิดเผยความลับโดยไม่เจตนา ซึ่งไม่ว่าจะมีต้นกำเนิดมาจากอะไรก็ตาม วันนี้ถือเป็นเครื่องเตือนใจว่าความซื่อสัตย์เป็นนโยบายที่ดีที่สุด

ภาพที่ 2 : ปฏิทินจาก Kapook.com กรกฎาคม 2559 ยังไม่มีวันพูดความจริง
ภาพที่ 3 : ปฏิทินจาก Kapook.com กรกฎาคม 2560 มีวันพูดความจริงแล้ว
ภาพที่ 4  และ 5 : รายงานข่าวของ Workpoint Today ที่ (คาดว่าน่าจะ) กล่าวถึงวันพูดความจริง เป็นครั้งแรกในไทย

สำหรับประเทศไทย เท่าที่ผู้เขียนพอจะสืบค้นได้ วันพูดความจริง ซึ่งอ้างถึงวันที่ 7 กรกฎาคม ของทุกปี น่าจะถูกระบุบนปฏิทินครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม ปี 2560 โดยอ้างอิงจากปฏิทินบนเว็บไซต์ kapook.com เนื่องจากในเดือนเดียวกันของปี 2559 ยังไม่มีวันดังกล่าวปรากฏขึ้น ขณะที่ในส่วนของรายงานข่าวชิ้นแรกที่กล่าวถึง พบสำนักข่าว Workpoint Today พาดหัว “7 กรกฎาคม ของทุกปี วันพูดความจริง” ในวันที่ 7 ก.ค. 2561 ซึ่งก็อ้างที่มาว่ามาจากเว็บไซต์ whatnationaldayisit.com

โดยสรุปแล้ว ยังไม่มีแหล่งข้อมูลใดที่ระบุที่มาของวันพูดความจริง (Tell the Truth Day) อย่างเป็นทางการ ซึ่งแม้กรณีนี้จะเป็นข้อมูลข่าวสารที่ไม่ได้ส่งผลร้ายกับใคร แต่ก็แสดงให้เห็นว่าในอินเตอร์เน็ตที่มีปริมาณข้อมูลไหลเวียนมหาศาล หลายเรื่องก็เป็นข้อมูลที่ไม่ปรากฏแหล่งที่มาชัดเจน ผู้รับข้อมูลข่าวสารจึงต้องระมัดระวังทุกครั้งก่อนจะส่งต่อ โดยเฉพาะหากข้อมูลนั้นมีแนวโน้มจะก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบต่อบุคคลหรือสังคม!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://www.poynter.org/ifcn/international-fact-checking-day/ (International Fact-Checking Day : Poynter)o

https://www.prnewswire.com/news-releases/international-fact-checking-day-set-for-april-2-300431955.html (International Fact-Checking Day Set for April 2 : PR newswire 30 พ.ค. 2560)

https://www.freiheit.org/th/thailand/factcollabth-phakhiikhabekhluuexnkhawcring-praethsithy(“FactCollabTH ภาคีขับเคลื่อนข่าวจริง ประเทศไทย” : FNF 2 เม.ย. 2565)

https://nationaltoday.com/tell-the-truth-day/ (Tell the Truth Day – July 7, 2024 : National Today)

https://www.daysoftheyear.com/days/tell-the-truth-day/ (Tell the Truth Day : Days of the Year) 

https://simplelivingglobal.com/tell-the-truth-day/(Tell the TRUTH Day : Simple Living Global) 

https://www.whatnationaldayisit.com/day/Tell-The-Truth/ (National Tell The Truth Day)

https://www.facebook.com/whatNDII/ (เพจเฟซบุ๊ก What National Day Is It .com)

https://calendar.kapook.com/2559/july

https://calendar.kapook.com/2560/july

https://workpointtoday.com/7-กรกฎาคม-ของทุกปี-วันพูด/ (7 กรกฎาคม ของทุกปี “วันพูดความจริง”: Workpoint Today 7 ก.ค. 2561)


สังเกตการณ์ สว.67 สิ่งที่ กกต. บอก กับ สิ่งที่เกิดขึ้นจริง

การเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เสร็จสิ้นลงไปแล้วเมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 2567 พร้อมกับรายชื่อว่าที่ สว. 200 คน ประเด็นหนึ่งที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มักกล่าวถึงเกี่ยวกับการเลือก สว. ครั้งนี้คือ “มีการเปิดให้ผู้แทนจากหลายภาคส่วนเข้ามาสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อความโปร่งใส”

แต่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสถานที่เลือกส่วนใหญ่ ทั้งการเลือกในระดับอำเภอ ระดับจังหวัด และระดับประเทศ ผู้สังเกตการณ์และประชาชนทั่วไป หรือแม้แต่สื่อมวลชน ไม่สามารถเข้าไปติดตามการเลือกได้อย่างใกล้ชิดในทุกกระบวนการตามที่ กกต. กล่าวอ้าง

โคแฟคเห็นว่าควรตรวจสอบและบันทึกข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในการสังเกตการณ์การเลือก สว. ไว้ เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด หรือนำเรื่องการสังเกตการณ์ของภาคประชาชนไปสร้างความชอบธรรมด้านการมีส่วนร่วมของประชาชนในการเลือก สว.  

กกต. พูดเรื่อง “สังเกตการณ์” ว่าอย่างไร

วันที่ 30 พ.ค. 2567 นายวีระ ยี่แพร รองเลขาธิการ กกต. ส่งหนังสือถึงผู้อำนวยการเลือกตั้งประจำจังหวัดว่าควรจัดบริเวณให้ผู้สังเกตการณ์ “สามารถสังเกตการณ์การเลือกได้อย่างใกล้ชิด”

วันที่ 3 มิ.ย. 2567 กกต. เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ เรื่องการกำหนดสถานที่เลือก สว. ระดับอำเภอและระดับจังหวัด มีข้อความตอนหนึ่งว่า “ควรเป็นสถานที่ที่ประชาชนสามารถมองเห็นและสังเกตการณ์ในกระบวนการเลือกได้” และประชาชนสามารถ “ร่วมสังเกตการณ์ในกระบวนการเลือกระดับอำเภอ วันที่ 9 มิ.ย. 2567 และการเลือกระดับจังหวัด วันที่ 16 มิ.ย. 2567 ณ สถานที่ที่ผู้อำนวยการการเลือกกำหนด”

วันที่ 6 มิ.ย. 2567 เพจเฟซบุ๊กของสำนักงาน กกต. เผยแพร่อินโฟกราฟิก ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการสังเกตการณ์การเลือก สว. มีข้อความว่า “ในการจัดการเลือกสมาชิกวุฒิสภา กกต. จะจัดให้มีการเลือกที่โปร่งใสในทุกขั้นตอน ประชาชนหรือสื่อมวลชนจะมีส่วนร่วมสังเกตการณ์ได้ ดังนี้ (1) สังเกตการณ์การเลือก สว. ระดับต่าง ๆ บริเวณจุดที่ผู้อำนวยการการเลือกกำหนดไว้ด้านหน้าของสถานที่เลือก (2) สังเกตการณ์การลงคะแนนผ่านโทรทัศน์วงจรปิดที่เชื่อมสัญญาณจากระบบการบันทึกภาพและเสียงกระบวนการเลือก ณ บริเวณที่ผู้อำนวยการการเลือกได้จัดเตรียมไว้”

วันที่ 7 มิ.ย. 2567 หรือสองวันก่อนการเลือกระดับอำเภอ นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ชี้แจงเรื่องการสังเกตการณ์ของภาคประชาชนในการเลือก สว. ว่า “สามารถสังเกตการณ์ได้” โดย กกต. ได้แจ้งไปยังสถานที่เลือกทั้งระดับอำเภอ ระดับจังหวัด ให้เตรียมสถานที่สำหรับประชาชนและสื่อมวลชนสังเกตการณ์

“สมมติว่าสถานที่เลือกอยู่ให้หอประชุม ก็จะจัดที่ไว้ให้ในนั้น สามารถดูการทำงานของเจ้าหน้าที่และผู้สมัครในนั้นได้ และ กกต. ได้มีหนังสือตอบกลับไปยังหน่วยงานและองค์กรอย่าง iLaw และ We Watch ที่ขอส่งคนเข้ามาสังเกตการณ์ เราก็ให้ ไม่ได้มีปัญหาอะไร รวมทั้งประชาชนจะเข้าไปสังเกตการณ์ก็ได้”

เลขาธิการ กกต. ยังกล่าวด้วยว่า ในการเลือกระดับประเทศในวันที่ 26 มิ.ย. 2567 กกต. ได้เตรียมสถานที่ให้ “เอกชน ทูตานุทูต องค์กรภาคประสังคม และประชาชน เข้าสังเกตการณ์ได้หลายร้อยคน”

ในการเลือก สว. ระดับประเทศ ซึ่งจัดที่ฮอลล์ 4 ศูนย์การประชุมอิมแพค ฟอรั่ม เมืองทองธานี จ.นนทบุรี เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของ กกต. ซึ่งทำหน้าที่เป็นพิธีกรในการถ่ายทอดสดทางเฟซบุ๊กไลฟ์ กล่าวย้ำหลายครั้งว่าการเลือก สว. ครั้งนี้มีความโปร่งใสเพราะเปิดให้ประชาชนและผู้แทนองค์กรต่าง ๆ ร่วมสังเกตการณ์  

“ถึงแม้ว่าพี่น้องประชาชนจะไม่ได้มีสิทธิเลือก สว. โดยตรง แต่เราก็ได้ทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการสังเกตการณ์กระบวนการต่าง ๆ ของการเลือก ตั้งแต่ระดับอำเภอ ระดับจังหวัดมาจนถึงการเลือกระดับประเทศในวันนี้”

“เราถ่ายทอดให้เห็นบรรยากาศการเลือก สว. ของ 20 กลุ่มอาชีพ การเลือกแต่ละขั้นตอนเป็นแบบไหน อย่างไร เพื่อแสดงถึงความโปร่งใสในการจัดเลือก สว. ในวันนี้”

ประชาชนติดตามการเลือก สว. ระดับประเทศ ผ่านจอภาพที่เชื่อมสัญญาณจากกล้องวงจรปิดในสถานที่เลือก ณ ฮอลล์ 4 อิมแพค ฟอรั่ม เมื่อ 26 มิ.ย. 2567

“กกต. รู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างยิ่งที่พี่น้องประชาชน ทั้งที่อยู่ในบริเวณนี้และอยู่ที่บ้านให้ความสนใจอย่างดียิ่ง นั่นคือกระบวนการการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง”

กกต. ให้ข้อมูลว่า ผู้สังเกตการณ์ ณ อิมแพค ฟอรั่ม ประกอบด้วยผู้แทนจากสภาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ, คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน รัฐสภา, เครือข่ายเยาวชนสังเกตการณ์การเลือกตั้งเพื่อประชาธิปไตย (We Watch), โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw), สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.), องค์กรการเลือกตั้งจากต่างประเทศ, เจ้าหน้าที่สถานทูตและองค์กรระหว่างประเทศ, สื่อมวลชนไทยและต่างประเทศราว 400 คน, ผู้ติดตามผู้สมัคร สว. และประชาชนทั่วไป

ความจริงจากผู้สังเกตการณ์

We Watch และ iLaw ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายภาคประชาชนติดตามการเลือก สว. 67 หรือ เครือข่าย Senate 67 เป็นหัวหอกในการ “ต่อสู้” เพื่อให้ได้เข้าไปสังเกตการณ์มาตั้งแต่ก่อนมีพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือก สว. แต่กว่าจะได้ความชัดเจนจาก กกต. ว่าให้ส่งรายชื่อผู้สังเกตการณ์ให้ กกต. อนุมัติก็เหลืออีกเพียงไม่กี่วันก่อนการเลือกระดับอำเภอ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อถึงวันเลือกจริง ผู้สังเกตการณ์ในสถานที่เลือกหลายแห่งรายงานว่าไม่สามารถ “สังเกตการณ์” ได้อย่างที่ควรจะเป็น

โคแฟคเดินทางไปสังเกตการณ์การเลือก สว. ทั้งระดับอำเภอ จังหวัด และประเทศ พบปัญหาเช่นเดียวกัน เช่น ปัญหาเรื่องสถานที่ที่เป็นการเลือกกันเองในที่ปิดลับ ไม่อนุญาตให้บุคคลอื่นนอกจากเจ้าหน้าที่และผู้สมัครเข้าไป ผู้สังเกตการณ์มองเห็นเหตุการณ์ได้ไกล ๆ หรือทำได้เพียงมุงกันอยู่หน้าประตูทางเข้าสถานที่เลือก ส่วนระบบการถ่ายทอดภาพจากกล้องวงจรปิดนั้นก็แทบจะไม่ช่วยให้ทราบสถานการณ์ความเคลื่อนไหว เพราะไม่มีการถ่ายทอดเสียง กล้องจับภาพมุมสูงระยะไกลหรือตัดภาพไปมาระหว่างกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ทั้ง 20 กลุ่ม ทำให้การติดตามไม่ต่อเนื่องและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ในการเลือกระดับอำเภอและระดับจังหวัด เจ้าหน้าที่และสถานที่เลือกบางแห่งจะอำนวยความสะดวกให้ผู้สังเกตการณ์ได้ดีกว่าที่อื่น เช่น การเลือกระดับจังหวัดของนนทบุรี ซึ่งจัดขึ้นที่อาคารยิมเนเซียม สนามกีฬาจังหวัดนนทบุรี เปิดให้ประชาชนสังเกตการณ์ได้อย่างชัดเจนบริเวณด้านนอกแนวเขตกั้น กกต. แต่ส่วนใหญ่แล้ว ผู้สังเกตการณ์การเลือก สว. ไม่ได้สังเกตการณ์ “อย่างใกล้ชิด” หรือ “เห็นทุกกระบวนการ” อย่างที่ กกต. บอก

ในการเลือกระดับจังหวัดของนนทบุรี ประชาชนทั่วไปสามารถสังเกตการณ์ได้ค่อนข้างใกล้ชิด

อุปสรรคของผู้สังเกตการณ์การเลือก สว. เห็นชัดขึ้นในการเลือกระดับประเทศ ทั้งที่หลายฝ่ายคาดหวังว่าจะต้องดีกว่าการเลือกระดับอำเภอและระดับจังหวัด เพราะ กกต. เป็นผู้จัดการเลือกและเลขาธิการ กกต. เป็นผู้อำนวยการการเลือกเอง

กฤต แสงสุรินทร์ จาก We Watch และบุศรินทร์ แปแนะ จาก iLaw สรุปถึงความไม่ตรงกันของสิ่งที่ กกต. บอก กับ สิ่งที่เกิดขึ้นจริงในการสังเกตการณ์การเลือกระดับประเทศ 4 ประเด็น ดังนี้

1) กกต. บอกว่าให้ผู้สังเกตการณ์จากองค์กรภาคประชาสังคมเข้าไปในสถานที่เลือกได้ 20 คน แต่วันจริงเข้าได้ 15 คน

กกต. แจ้งว่าจะให้ผู้สังเกตการณ์จากเครือข่าย Senate 67 เข้าไปในสถานที่เลือก ซึ่งอยู่ภายในห้องประชุมฮอลล์ 4 จำนวน 20 คน แม้เครือข่ายฯ จะเห็นว่าจำนวนน้อยเกินไปมากเพราะกลุ่มอาชีพถึง 20 กลุ่ม แต่ละกลุ่มต้องใช้ทีมงานหลายคน แต่ก็ได้ส่งรายชื่อให้ กกต. ล่วงหน้ารวมกันแล้วประมาณ 45 คน แต่เมื่อถึงวันจริง เจ้าหน้าที่แจ้งว่าให้เข้าได้เพียง 15 คน โดยให้แบ่งโควต้ากันระหว่าง 5 องค์กร ทำให้แต่ละองค์กรส่งผู้สังเกตการณ์เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ได้แค่ 3-4 คน เท่านั้น ไม่สามารถทำตามแผนสังเกตการณ์ที่วางไว้ได้

กกต. ให้เหตุผลว่า “สถานที่มีจำกัด” แต่บุศรินทร์แย้งว่าฮอลล์ 4 นั้นมีพื้นที่กว้างขวาง และ กกต. ก็จัดบริเวณให้ผู้แทนจากต่างประเทศเข้าไปสังเกตการณ์บริเวณที่เลือกได้อย่างใกล้ชิด

“นี่เป็นสิ่งที่ยืนยันอย่างชัดแจ้งว่า ถ้า กกต. คิดที่จะเปิดให้ประชาชน สื่อมวลชน หรือภาคประชาสังคมสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิดในสถานที่เลือก ก็สามารถทำได้ แต่มันไม่เกิดขึ้น” บุศรินทร์กล่าวในเวทีเสวนา “สว.67 ทางข้างหน้า ? จากสิ่งที่เห็น” ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 2567

2) จุดสังเกตการณ์ “เข้าได้ก็เหมือนไม่ได้”

ผู้สังเกตการณ์จากเครือข่าย Senate 67 จำนวน 15 คน ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปสังเกตการณ์ภายในสถานที่เลือก ถูกจัดให้อยู่บริเวณชั้นลอย ซึ่งค่อนข้างไกลจากบริเวณที่ทำการเลือก ไม่สามารถมองเห็นกระบวนการได้ชัดเจน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เมื่อเห็นความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ ต้องใช้กล้องส่องทางไกลดู หรือพยายามเดินเข้าไปดูการเลือกของกลุ่มอาชีพที่อยู่ริมแนวเขต กกต. ซึ่งบางทีก็โดนเจ้าหน้าที่กันออกมา

“เรามองไม่เห็นว่าข้างล่างเกิดอะไรขึ้น เวลามีการประท้วง เราก็อยากเก็บข้อมูลให้ชัดเจน ซึ่งข้อมูลของเราก็จะช่วยปกป้องเจ้าหน้าที่ได้ด้วย แต่อยู่ข้างบนเราไม่สามารถเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพได้เลย” บุศรินทร์กล่าว

3) ภาพจากกล้องวงจรปิด “ไม่เห็นภาพรวม”

กกต. บอกว่าผู้สังเกตการณ์ที่อยู่ด้านนอกสถานที่เลือก สามารถติดตามได้จากจอภาพที่เชื่อมสัญญาณจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกภาพตลอดกระบวนการเลือก แต่ในความเป็นจริง ภาพที่เห็นเป็นการตัดสลับไปมาระหว่างกลุ่มต่าง ๆ บางกลุ่มอยู่ในขั้นตอนการลงคะแนน บางกลุ่มเริ่มนับคะแนน บางกลุ่มนับคะแนนใกล้เสร็จ ทำให้ไม่เห็นกระบวนการเลือกที่ต่อเนื่องของแต่ละกลุ่ม จึงไม่เห็นภาพรวม และไม่เห็นเหตุการณ์ในจุดอื่น ๆ ที่กล้องไม่ได้จับภาพ   

“แม้จะมีการซูมบัตรเลือกตั้งตอนนับคะแนนบ้าง แต่เราไม่เห็นภาพรวมในกระบวนการเลือกทั้งหมด ไม่เห็นผู้สมัครยืนจดโพยว่าจะเลือกกลุ่มไหน ไม่เห็นเหตุการณ์ในจุดที่ไม่มีกล้อง” บุศรินทร์กล่าว

สื่อมวลชนติดตามการเลือก สว. ระดับประเทศจากจอมอนิเตอร์ที่เชื่อมสัญญาณจากกล้องที่อยู่ภายในสถานที่เลือก ซึ่งตัดสลับไปมาระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ทำให้การติดตามไม่ต่อเนื่องและไม่เห็นภาพรวมของทุกจุด

ปัญหาการถ่ายทอดภาพจากสถานที่เลือกนี้ สื่อมวลชนได้ทักท้วงกับนายแสวง เลขาธิการ กกต. ในฐานะผู้อำนวยการเลือกระดับประเทศโดยตรง และขอให้มีการแก้ไขเพื่อให้ผู้สื่อข่าวเห็นภาพรวมของการเลือกทุกกลุ่ม แต่นายแสวงชี้แจงว่าเป้าหมายของการติดกล้องวงจรปิดในสถานที่เลือกคือ เพื่อเก็บหลักฐานที่อาจจำเป็นต้องใช้หากมีการทักท้วง ซึ่งที่ผ่านมาศาลก็เรียกหาหลักฐานจากภาพกล้องวงจรปิด ส่วนที่ กกต. เชื่อมสัญญาณออกมาข้างนอกให้สื่อและประชาชนได้ดูนั้น “เป็นการให้เห็นถึงภาพบรรยากาศภายใน ถ้าจะให้เห็นภาพจาก 20 กลุ่ม มันก็มีปัญหาทางเทคนิค”

4) สื่อมวลชนแค่ “เก็บภาพ” ไม่ใช่ “สังเกตการณ์” 

กกต. บอกว่าการเลือก สว. ครั้งนี้มีความโปร่งใสเพราะสื่อมวลชนเข้าไปสังเกตการณ์ได้ ในความเป็นจริง สื่อมวลชนที่เข้าไปในสถานที่เลือกได้ มีเพียงช่างภาพราว 40 คน ที่ลงทะเบียนแบบพิเศษไว้กับ กกต. โดยเจ้าหน้าที่ กกต. จะพาช่างภาพกลุ่มนี้เข้าไปเก็บภาพในสถานที่เลือกเป็นรอบ ๆ ระหว่างลงคะแนนหรือนับคะแนน รอบละประมาณ 10 นาที   

“การให้สื่อมวลชนเข้าไปแต่ละรอบ…เข้าไปแป๊บเดียวมันบอกอะไรไม่ได้ เรียกว่าให้เข้าไปเก็บฟุตเทจเพื่อมาทำข่าวมากกว่า ไม่สามารถตรวจสอบความโปร่งใสอะไรได้เลย” กฤตให้ความเห็น

“กกต. ชอบชี้แจงว่าได้สร้างความโปร่งใสโดยการเปิดให้ภาคประชาชนเข้าไปสังเกตการณ์ได้แล้ว แต่ต้องย้ำอีกครั้งว่าไม่ใช่อย่างนั้น ประชาชนไม่ได้เข้า สื่อมวลชนก็ไม่ได้เข้า ภาคประชาชนได้เข้าไปแค่ 15 คน และได้เข้าไปในจุดที่มองอะไรไม่เห็นด้วย”

ด้านบุศรินทร์จาก iLaw กล่าวทิ้งท้ายถึงภารกิจสังเกตการณ์การเลือก สว. ในครั้งนี้ว่า “การเลือกเกิดขึ้นในพื้นที่ปิดลับ นักข่าวอยู่ข้างนอก ข้างในมีแต่เจ้าหน้าที่ กกต. กับผู้สมัคร ไม่มีฝ่ายที่สามอยู่เลย…[กกต.] บอกว่าสังเกตการณ์ได้ แต่สังเกตการณ์การได้นิดนึง มันไม่ใช่…การสังเกตการณ์ที่ไม่ต่อเนื่องหรือไม่ได้เข้าในสถานที่เลือกเลย มันไม่ได้เห็นอะไรเลย เหมือนเอาเราไปสร้างความชอบธรรมมากกว่า”

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค: รายงาน

อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง

สนทนาธรรมส่งท้าย‘Pride Month’ ไม่ว่าศาสนาใดเราล้วนเป็นมนุษย์-แนะพ่อแม่ฝึกปล่อยวาง

Editors’ Picks

29 มิ.ย. 2567 ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับ มูลนิธิสถาบันการจัดการวิถีพุทธเพื่อสุขและสันติ (มูลนิธิ สกพ. หรือ IBHAP Foundation) ชวนสนทนาธรรมในรายการ Cofact Live Talk ส่งท้าย Pride Month หัวข้อ “มุมมองทางศาสนากับประเด็นสิทธิความหลากหลายของเพศวิถี|เพศสภาพ มายาคติ ความเข้าใจ และ ความสมานฉันท์” โดยมี พระมหานภันต์ สันติภัทโท ประธานกรรมการมูลนิธิ สกพ.และผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดสระเกศราชวรมหาวิหารเป็นวิทยากร

พระมหานภันต์ เริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ซึ่งมีทั้งหมด 17 ข้อ ไล่ตั้งแต่ข้อแรกคือ No Poverty (ยุติความยากจน) ไปจนถึงข้อ 17 คือ Partnerships for the Goals (เสริมความเข้มแข็งให้แก่กลไกการดำเนินงานและฟื้นฟูสภาพหุ้นส่วนความร่วมมือระดับโลกสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืน) ขณะที่เมื่อพูดถึง Pride Month จะเกี่ยวข้องกับ “ตัวชี้วัดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)” ใน 2 ข้อ คือ ข้อ 5 ความเสมอภาคทางเพศ (Gender Equality) และข้อ 10(ลดความไม่เสมอภาค (Reduced Inequalities)

โดยไทยถือเป็นชาติแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ที่มีกฎหมายสมรสเท่าเทียมซึ่งก็เป็นตัวชี้วัดเรื่องสิทธิมนุษยชน เรื่องการคำนึงถึงทุกคน ไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง ทั้งนี้แม้จะพูดกันเฉพาะในชาติปัจจุบันที่คนเรามีชีวิตอยู่ ในคนคนเดียวกันก็มีทั้งภาวะที่เป็นบุรุษและสตรี ดังนั้นตราบใดที่เรายังยึดถือเรื่องดีงาม เรื่องมนุษยธรรม ไม่ว่าจะอ้างอิงว่าตนเองเป็นเพศใด ทั้งตัวเราและสังคมอาจต้องเปิดใจและเปิดพื้นที่สื่อสารกัน

ด้านหนึ่งเราต้องยอมรับก่อนว่า มันมีระดับที่สมมติโลกภายนอกเขายินดีกับ พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม เราก็อาจจะยินดีกับเขาด้วย แต่พอถึงเวลาลูกเราจะมีความรักในเพศเดียวกันแล้วอยากจะจดทะเบียนสมรสตาม พ.ร.บ. นี้ ก็อาจจะมีความรู้สึกต่างไป พระมหานภันต์ เปิดประเด็นชวนคิด

พระมหานภันต์ กล่าวถึงประเด็นเริ่มที่ “ครอบครัว” ซึ่งเมื่อกฎหมายสมรสเท่าเทียมได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาผ่านออกมาบังคับใช้ เป็นการรับรองสิทธิของความรักและการรับผิดชอบชีวิตของกันและกัน และด้วยโครงสร้างของสังคมก็ทำให้หลายคนรู้สึกผ่อนคลาย กล้าเปิดเผยอัตลักษณ์ทางเพศของตนมากขึ้น แต่หากบุตรหลานของเราเป็นแบบนั้น แล้วคนเป็นพ่อแม่ผู้ปกครองจะคิดอย่างไร จะร่วมยินดีกับความรักในเพศเดียวกันของบุตรหลายหรือไม่? หรือเราควรจะวางใจอย่างไร?

พระมหานภันต์ กล่าวว่าด้วยประสบการณ์ที่เติบโตมากับโยมแม่ที่สอนให้มีมารยาท พร้อมๆ ไปกับให้ยอมรับทุกคนในแบบที่คนคนนั้นเป็น จึงไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ อย่างเมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 2567 มูลนิธิ สกพ. มีโอกาสได้จัดวงพูดคุยกับผู้นำศาสนาต่างๆ ซึ่งในช่วงท้าย ก็มีตัวแทนจากศาสนาฮินดู ตั้งคำถามว่า ในฐานะที่เป็นพระภิกษุสงฆ์ คิดอย่างไรกับ LGBTQ+ 

อาตมาก็เลยบอกว่า ถ้าโดยส่วนรู้สึกว่ามันมีความเป็นสิทธิมนุษยชนของแต่ละคน ที่ด้านหนึ่งแม้ว่าในส่วนของศาสนาจะมีคำสอนที่แตกต่างกัน แต่ด้านหนึ่งต้องไม่ลืมในฐานะที่เขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง แม้จะมีข้อบัญญัติในศาสนาที่แตกต่าง อาตมาก็ขออภัยเขาว่าด้านหนึ่งก็เคยไปร่วมเสวนากับหลากหลายศาสนา แล้วอาตมาก็ตอบแม้ในหลายศาสนาจะมีข้อห้ามเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ แต่เราผู้ซึ่งเป็นมนุษย์ด้วยกันเขารักกัน เราทำไมจะต้องไปตัดสิน ไปกีดกันใม่ให้เขาได้รักกันหรือมีชีวิตอยู่ด้วยกัน 

หากคิดว่ามันเป็นความผิดบาปตามหลักความเชื่อของศาสนาของแต่ละท่านที่มีพระเจ้าของตนเอง ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของเขากับพระเจ้าดีกว่าไหม? เราไม่ต้องไปตัดสินอะไร เราในฐานะมนุษย์ด้วยกัน ตราบใดที่เขาไม่ไปละเมิดการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ก็น่าจะเปิดพื้นที่ให้เขา ไม่ใช่ไปกดดันจนทำให้เขาต้องหลบซ่อนเหมือนกับในอดีต” พระมหานภันต์ กล่าว

พระมหานภันต์ อธิบายเสริมในประเด็นนี้ว่า การเกิดขึ้นของ Pride Month ก็เพื่อรณรงค์เรื่องเหล่านี้ เพราะในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอมเริกา อังกฤษ ในอดีตมีการกดดันเรื่องนี้มาก คนรักเพศเดียวกันถูกตีตราว่าเป็นผู้ป่วยจิตเวช จึงถือว่าหากมอง ณ ห้วงเวลาปัจจุบัน เรานั้นก็พัฒนามาไกลจนรู้แล้วว่าความดี-ความชั่ว ไม่เกี่ยวข้องกับรสนิยมทางเพศ ไม่ว่าชายจริง-หญิงแท้ หรือคนรักเพศเดียวกัน ก็ทำดี-ทำชั่วได้ไม่แตกต่างกัน จึงไม่จำเป็นต้องนำเรื่องศาสนามาพูดในประเด็นนี้ นอกจากศาสนาแล้วอย่าลืมว่าทุกคนเป็นมนุษย์ และเราควรมีมนุษยธรรม

แต่หากเน้นไปที่ศาสนาพุทธ พระมหานภันต์กล่าวถึงหน้าที่ของพ่อแม่ต่อลูก ก็คือการอบรมสั่งสอนลูกให้ตั้งอยู่ในความดี-ไม่ทำความชั่ว ซึ่งหากในมุมนี้ ไม่ว่าลูกจะมีอัตลักษณ์ทางเพศอย่างไรก็ควรจะเป็นความสุขของเขา ทั้งนี้ “เราต้องยอมรับว่า คนแต่ละคนล้วนมีชีวิตเป็นของตนเอง และไม่สามารถทำให้เขาเป็นดั่งใจของเราได้ แม้เราจะหวังดีกับเขาแค่ไหนก็ตาม” ซึ่งไม่เฉพาะเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศ แต่ยังรวมถึงวิถีชีวิตในมุมต่างๆ ด้วย เช่น การเลือกอาชีพที่ใม่ตรงกับสายงาน เป็นต้น

ดังนั้นแล้ว เราทำได้เพียงยอมรับและวางอุเบกขา เพราะต่อให้เราจะทุกข์ใจอย่างไรก็ไม่ทำให้เขาเปลี่ยนไป แล้วเราจะทุกข์ไปเพื่ออะไร หรือแม้ว่าเขาเปลี่ยนมาเป็นหรือมาทำในสิ่งที่เราต้องการ ก็เท่ากับเขาต้องยอมทนทุกข์ทรมานเพื่อให้เรามีความสุข ก็ต้องถามว่าเราอยากให้เป็นแบบนั้นจริงๆ หรือ? ซึ่งศาสนาพุทธมีคำสอนว่า “สัพเพธัมมานาลัง อภินิเวสายะ” แปลว่า ธรรมทั้งหลายไม่ควรยึดมั่น” อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องเข้าใจว่า บางเรื่องเป็นกฎธรรมชาติ แต่บางเรื่องก็เป็นกฎเกณฑ์ 

ณ ตอนนี้ บ้านเมืองเรากำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงในแง่ของกฎเกณฑ์อันเนื่องมาจากวิธีคิด-วิธีมองของคน ซึ่งอันนี้ก็เป็นเรื่องที่ชวนเอาธรรมะไว้ในใจ ก็คือทำใจนั่นเอง พระมหานภันต์ฝากข้อคิดต่อประเด็นนี้ไว้

จากเรื่องกฎหมายสมรสเท่าเทียม พระมหานภันต์ขวนมองประเด็นท้าทายเรื่องตำแหน่งแห่งหนในสังคมของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งหลายเรื่องก็ยังเป็นข้อถกเถียง เช่น การใช้ห้องน้ำ จะมีห้องน้ำเฉพาะสำหรับคนข้ามเพศ (Transgender) หรือจะเป็นห้องน้ำร่วมไม่แยกเพศ (Unisex) หรือการแข่งขันกีฬา ซึ่งนักกีฬาที่เป็นหญิงข้ามเพศ ไปแข่งกับชายแท้ก็เสียเปรียบ แต่ไปแข่งกับหญิงแท้ก็ได้เปรียบ ซึ่งก็สามารถเปิดพื้นที่พูดคุยกันได้

ด้าน สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า ในเดือนมิถุนายนของทุกปี หรือเรียกว่า “Pride Month” ทั่วโลกจะมีการรณรงค์เรื่องสิทธิความหลากหลายของเพศวิถีและเพศสภาพ ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของ SDGs นอกจากนั้น วันที่ 18 มิถุนายน ของทุกปี ยังเป็นวันรณรงค์หยุดการใช้ถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) และการกลั่นแกล้งรังแกทางออนไลน์ (Cyberbullying) อีกด้วย ซึ่งงานของโคแฟคคือการส่งเสริมการสื่อสร้างอย่างสร้างสรรค์ ค้นหาข้อเท็จจริงและมีสัมมาวาจา

ทั้งนี้ หากมองในระดับครอบครัว พ่อแม่อาจต้องฝึกปล่อยวางเมื่อลูกมีวิถีทางเพศเป็นของตนเอง แต่หากมองในระดับสังคมก็ต้องเข้าใจและเรียนรู้ไปด้วยกัน เช่น แม้ปัจจุบันจะมีกฎหมายสมรสเท่าเทียมรองรับแล้ว แต่ในทางปฏิบัติต้องยอมรับว่าเราเคยชินกับสังคมที่มีกรอบเพียง 2 เพศสภาพตามสรีระกันมานาน เช่น การไปปฏิบัติธรรม ต้องแยกเรือนชาย-เรือนหญิง แม้จะเข้าใจว่าบางคนสรีระเป็นชายแต่สภาพจิตใจเป็นหญิง แต่หากให้พักเรือนพักของเพศหญิงก็จะทำให้ผู้หญิงไม่สบายใจเช่นกัน เรื่องนี้ก็ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา

“ในแง่หนึ่งเราก็ยอมรับสิทธิ์ แต่ถ้าสิ่งอำนวยความสะดวก (Facilities) ยังไม่พร้อม ในทางปฏิบัติคนที่สรีระยังเป็นชายก็อาจจะต้องอยู่เรือนชายก่อนไหม? เพื่อคำนึงถึงคนหมู่มาก มันอาจจะต้องถ้อยทีถ้อยอาศัย ปรับตัวเรียนรู้กันไปทุกๆ ฝ่าย เพราะคงไม่ได้มีใครยืนอยู่ที่เส้นไหน 100% อันนั้นน่าจะเป็นทางออก” สุภิญญา กล่าว

หมายเหตุ สามารถรับชมย้อนหลังได้ที่

https://www.facebook.com/CofactThailand/videos/506608675057080

วาทกรรม “รับเงินต่างชาติ” กลับมาอีกครั้งในการเลือก สว. 67

วาทกรรม “รับเงินต่างชาติ” ถูกไอโอฝ่ายอนุรักษนิยมนำมาใช้อีกครั้งในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่เพิ่งเสร็จสิ้นลงไปเมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 2567 โดยมีเป้าหมายเพื่อลดทอนความน่าเชื่อถือของฝ่ายประชาธิปไตยที่พยายามผลักดันให้เกิดกระบวนการเลือก สว. แบบ “เลือกกันเอง” ที่โปร่งใสและเป็นธรรม เพื่อสกัดกั้นการเอื้อประโยชน์ให้กับฝ่ายที่ครองอำนาจซึ่งต้องการให้การเลือก สว. เป็นเพียงกลไกเปลี่ยนผ่านเพื่อรักษาอำนาจเดิมไว้

การรับเงินต่างชาติ (แทรกแซงกิจการเมืองในประเทศ) เป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีสมคบคิดที่หน่วยงานข่าวกรองหรือฝ่ายความมั่นคงของรัฐไทยและกองทัพมักฉวยใช้ต่างกรรมต่างวาระ เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม องค์กรภาคประชาสังคมที่ไม่แสวงหารายได้หรือเอ็นจีโอ ที่เคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนรวมถึงสื่อมวลชนที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลหรือเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างและแก้ไขปัญหาที่เกิดจากนโยบายสาธารณะที่ผิดพลาด การทำลายความน่าเชื่อถือนี้มักใช้ประเด็นเรื่องการสนับสนุนทางการเงิน ร่วมกับข้อกล่าวอ้างที่เกินจริงโดยไม่มีหลักฐานชัดเจน เป็นการแสดงความคิดเห็น เพื่อให้ผู้รับสารเข้าใจไปว่า การรับเงินต่างชาติของเอ็นจีโอมีเจตนาแอบแฝงหรือมีผลประโยชน์ทับซ้อนของผู้ให้ทุนเพื่อมาแทรกแซงอธิปไตยของประเทศ และเกิดความกลัวและหวาดระแวงต่างชาติ (xenophobia) ซึ่งเป็นความรู้สึกลึก ๆ ของคนไทยอยู่เป็นทุนเดิม

‘ไอโออนุรักษ์’ vs ‘IO International’

โคแฟคมอนิเตอร์การสื่อสารทางการเมืองบนสื่อสังคมออนไลน์ในช่วงการเลือก สว.  พบความเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกันของบัญชีผู้ใช้งานเฟซบุ๊ก 4 บัญชี และบัญชีผู้ใช้งาน X (ทวิตเตอร์) 1 บัญชี โดยแต่ละบัญชีมีผู้ติดตามแตะระดับ 50,000 ขึ้นไป (macro influencers) และบางบัญชี เคยถูกร้องเรียนว่าละเมิดมาตรฐานชุมชนของแพลตฟอร์มเกี่ยวกับการสร้างข้อมูลเท็จ การละเมิดความเป็นส่วนตัวและใช้ถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง (hate speech) หลายครั้ง โดยเฉพาะช่วงเวลาที่สถานการณ์ทางการมืองล่อแหลม มีทั้งถูกแจ้งเตือน ถูกลบโพสต์หรือปิดกั้นการมองเห็นชั่วคราวหลายครั้ง

เนื้อหาและเป้าหมายหลักของปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารบนสื่อสังคมออนไลน์ครั้งนี้ มุ่งทำลายความน่าเชื่อถือของโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชนหรือไอลอว์ องค์กรภาคประชาสังคมซึ่งเป็นหัวหอกสำคัญในการขับเคลื่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายต่าง ๆ เพื่อปลดล็อคกลไกการใช้อำนาจที่รัฐบาลอนุรักษนิยมของ พล.อ.ประยุทธ์ จันโอชา ได้วางไว้ นับตั้งแต่การก่อรัฐประหารปี 2557 โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องอำนาจที่เกินขอบเขตของ สว.แต่งตั้ง 250 คน โดยในกระบวนการเลือก สว.ชุดใหม่ แบบเลือกกันเอง ตามรัฐธรรมนูญปี 2560 ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีความซับซ้อน ไม่โปร่งใส และถูกออกแบบมาเพื่อสืบทอดอำนาจเดิมและเปิดโอกาสให้เกิดการฮั้วกันเองของผู้สมัคร สว. และพรรคการเมือง ทั้งนี้ก่อนหน้าการเลือก สว. ทางไอลอว์ พรรคก้าวไกล และคณะก้าวหน้าที่นำโดยนายธนาธร จึงรุ่งเรือกิจ ได้ร่วมกันรณรงค์ให้ประชาชนไปสมัคร สว. กันเป็นจำนวนมากเพื่อไปเลือกและถูกเลือกมากที่สุด รวมทั้งมีส่วนร่วมในการตรวจสอบและเข้าถึงข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับกระบวนการการคัดเลือกและตัวผู้สมัครได้มากที่สุด

ประชาชนสังเกตการณ์การนับคะแนนเลือก สว. ระดับประเทศที่อิมแพค เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 2567 (ภาพ: กุลธิดา สามะพุทธิ/โคแฟค)

บัญชีผู้ใช้งานเฟซบุ๊กของสื่อการเมืองชื่อ ‘วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร-สำรอง’ ซึ่งเป็นบัญชีเสริมหลังจากเพจหลักที่เติบโตอย่างรวดเร็วและมีผู้ติดตามร่วมแสนคนภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2566 ได้ถูกปิดไป เป็นฝ่ายเปิดเกมรุก ได้โพสต์ข้อความเมื่อวันที่ 6 มิ.ย. เกี่ยวกับความผิดปกติของเว็บไซต์ senate67 ของไอลอว์ ว่ามีรายชื่อผู้สมัคร สว. ที่ลงทะเบียนเพื่อแนะนำตัวในเว็บไซต์ไม่ตรงกับชื่อของผู้สมัครที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้การรับรอง โดยตั้งข้อสังเกตว่ารายชื่อผู้สมัครที่ลงทะเบียนกับไอลอว์เป็น “ผู้สมัครไอโอ” หรือไม่ และตั้งคำถามถึงเจตนาของไอลอว์ว่าทำยอด สว. ขึ้นมาเองเพื่อรายงานผลให้แหล่งเงินทุนทราบ โพสต์ดังกล่าวเขียนข้อความว่า “คำถาม ธนาธร และ ILaw รู้ว่าข้อมูลผิดพลาดมากแต่ยังชักชวนคนมาลง เพื่ออะไร เป็นไปได้หรือไม่ที่ต้องการสร้างกระแสว่า สว. สีส้ม โดย Make ข้อมูลผู้สมัครขึ้นมาเอง หรือ ต้องทำยอดเพื่อรายงานไปที่นายทุนต่างชาติ”

ในวันเดียวกัน โพสต์ดังกล่าวได้ถูกนำไปเผยแพร่ต่อโดยบัญชีผู้ใช้งานเฟซบุ๊กชื่อ ‘Street Hero V3’ ซึ่งเป็นเพจอินฟลูเอนเซอร์สายการเมืองและความมั่นคงฝ่ายอนุรักษ์ที่มีผู้ติดตามกว่า 80,000 คน พร้อมกับพาดหัวว่า IO International ซึ่งมีนัยว่าไอลอว์เป็นองค์กรที่ปั่นข้อมูลของต่างประเทศ

ก่อนหน้านี้ บัญชีผู้ใช้งาน ‘วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร’ บนแพลตฟอร์ม X ได้โพสต์ข้อความต่อเนื่องระหว่างวันที่ 29-30 พ.ค. 2567 เชื่อมโยงไอลอว์กับการรับทุนจากต่างประเทศมาเคลื่อนไหวเรื่องร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม พร้อมแคปเจอร์หน้าจอเว็บเพจของไอลอว์ซึ่งระบุแหล่งที่มาของเงินทุนต่างประเทศที่สนับสนุนโครงการและกิจกรรมด้านการส่งเสริมประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพของประชนชนบางส่วน โดยตั้งคำถามว่า ไอลอว์มีเป้าหมายอย่างไรที่รับเงินต่างขาติมาเคลื่อนไหว และถามหาใบเสร็จรับเงิน  โดยในโพสต์ของวันที่ 29 พ.ค. 2567 มีข้อความตอนหนึ่งพาดพิงถึง “บุ้ง ทะลุวัง” หรือ น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม นักกิจกรรมการเมืองซึ่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2567 ภายหลังการอดอาหารประท้วงเพื่อเรียกร้องสิทธิในการประกันตัวของผู้ถูกดำเนินคดีการเมือง-ความมั่นคงและผู้กระทำความผิดตามมาตรา112 หรือการหมิ่นพระมหากษัตริย์ 

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการไอลอว์ จัดกิจกรรมก่อนวันรับสมัครผู้รับเลือกเป็น สว. ที่หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 2567

โพสต์ดังกล่าวระบุว่า “ #ทุกคนคะ  I Law ที่มีพี่เป๋าเป็น ผอ. ได้ทุนจาก องค์กรต่างชาติอย่างน้อย 4 แหล่งทุน แต่ไม่ได้แจ้งว่าได้ปีละกี่บาท และในปี 65 ได้รับเงินเพิ่มจาก FORUM-ASIA ปีเดียวกับที่บุ้งได้รับเงินตามใบเสร็จ I Law ต้องเคลื่อนไหวตามที่เจ้าของเงิน เป้าหมายของพวกคุณคืออะไร จะโชว์ใบเสร็จกี่โมงคะ”

โพสต์ดังกล่าวมีทั้งผู้สนับสนุนและเห็นต่างได้เข้ามาวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างดุเดือดใต้โพสต์อยู่อย่างต่อเนื่องในช่วงนั้น  โพสต์ดังกล่าวมีผู้เข้าชมกว่า 180,000 ครั้ง

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการไอลอว์ ที่ถูกอ้างถึงในชื่อ ‘พี่เป๋า’ ได้โพสต์ข้อความตอบโต้ใต้โพสต์ดังกล่าวในวันที่ 30 พ.ค. 2567 ว่า เพจก้าวไกลโกหกอะไรเอาข้อมูลที่ไม่อัพเดทมาลง ซึ่งข้อมูลในปัจจุบัน มีผู้ให้ทุน 6 ราย และอธิบายต่อว่า จุดมุ่งหมายของเขาคือรัฐธรรมนูญที่มาจากประชาชนและสิทธิการประกันตัวของผู้เคลื่อนไหวทางการเมือง โดยที่เขาไม่เคยปฏิเสธเรื่องการรับทุนต่างชาติแต่อย่างใด

ที่ผ่านมา ไอลอว์มีท่าทีที่ชัดเจนมาโดยตลอดว่าการรับทุนต่างชาติของเอ็นจีโอไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย รวมถึงความโปร่งใสในการรับทุนต่างชาติและวัตถุประสงค์ของการทำงานที่ประกาศไว้ในหน้าเว็บไซต์ขององค์กร และมีการจัดกิจกรรมเสวนาสาธารณะ เชิญผู้แทนองค์กรภาคประชาสังคมมาอธิบายการทำงานและเงื่อนไขการรับทุนจากต่างชาติเพื่อทำความเข้าใจกับสังคม 

ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 14 พ.ค. 2566 ไอลอว์ตกเป็นเป้าหมายหนึ่งของการโจมตีจากไอโอฝ่ายอนุรักษ์ว่ารับเงินต่างชาติมาแทรกแซงการเลือกตั้ง และวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ กกต. ที่ไปร่วมมือกับไอลอว์ในการสังเกตการณ์การเลือกตั้งว่า เป็นการดึงต่างชาติเข้ามาแทรกแซง ในครั้งนั้น ยิ่งชีพได้เปิดเผยกับโคแฟค ถึงขั้นตอนในการพิจารณาให้ทุนของ National Endowment for Democracy (NED) ซึ่งเป็นมูลนิธิของภาคเอกชนของสหรัฐอเมริกาที่ส่งเสริมประชาธิปไตยทั่วโลก และยืนยันว่าไม่มีการครอบงำการทำกิจกรรมของไอลอว์จากแหล่งทุนแต่อย่างใด

รับเงินต่างชาติ สู่ การแทรกแซงอำนาจอธิปไตย

การให้ทุนสนับสนุนทางการเงินของต่างชาติภาคไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในสังคมไทย และเป็นเรื่องที่รัฐบาลไทยในแต่ละยุคส่งเสริมมาโดยตลอด เพราะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้า

นับตั้งแต่สงครามเย็นเป็นต้นมา ประเทศไทยกลายเป็นแนวปะทะที่สำคัญทางอุดมการณ์ของค่ายประชาธิปไตยที่นำโดยสหรัฐฯ และค่ายคอมมิวนิสต์ที่นำโดยสหภาพโซเวียต หรือรัสเซียในปัจจุบัน ทำให้ความช่วยเหลือจากต่างประเทศหลั่งไหลเข้ามาอย่างมากจากฝั่งตะวันตกเพื่อสร้างความเข็มแข็งให้กับภาครัฐและกองทัพในการต่อต้านภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์

อย่างไรก็ตาม กว่าหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา องค์กรภาคประชาสังคมในไทยที่รับเงินต่างชาติ เช่นไอลอว์ และศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน มีความเข้มแข็งมากขึ้น มีรูปแบบการทำงานที่ตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงและความต้องการชองประชาชน จึงทำให้เกิดแนวร่วมภาคประชาชนที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ปัญหาการทุจริตและกระบวนการยุติธรรม ตลอดจนการละเมิดสิทธิมนุษยชนและสิทธิเสรีภาพของประชาชน จนกลายเป็นการท้าทายอำนาจรัฐไทย และถูกตราหน้าว่าเป็น ‘ภัยคุกคามความมั่นคง’ ของรัฐบาลไทย

(อ่านเพิ่มเติมเรื่องเอ็นจีโอรับเงินต่างจากชาติ ที่นี่)

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเคลื่อนไหวที่มีพลวัตสูงของไอลอว์ ที่คู่ขนานไปกับแนวร่วมภาคประชาชนในการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยครั้งใหญ่ของเยาวชน ปี 2563 และการเคลื่อนไหวของพรรคก้าวไกลในสภาผู้แทนราษฎร ในการผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เพื่อปลดล็อคกลไกการใช้อำนาจจากการรัฐประหารปี 2557 การปฏิรูปกฎหมายหมิ่นพระมหากษัตริย์ และการปฏิรูปกองทัพ รวมทั้งการออกมาเปิดโปงเครือข่ายไอโอของรัฐและกองทัพในช่วงปลายปี 2563 ถึงปลายปี 2564 ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดถูกมองว่าเป็นการสั่นคลอนอำนาจและความมั่นคงของรัฐและกองทัพ และส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชน

ไอลอว์จัดกิจกรรมด้านหน้าสถานที่เลือก สว. ระดับประเทศเมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 2567

ในทัศนะของฝ่ายความมั่นคงไทย การเคลื่อนไหวในลักษณะดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบการแทรกแซงทางการเมืองของสหรัฐฯ ผ่านพรรคการเมืองและภาคประชาสังคมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แม้จะมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกลับทำให้เกิดความไม่มั่นคงและความตึงเครียดในสังคมหลายระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแทรกแซงกฎหมายของแต่ละประเทศ ไม่เพียงแต่สร้างความไม่พอใจและความขัดแย้ง แต่ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นในระบบกฎหมายและการปกครองภายในประเทศนั้น ๆ อีกด้วย

7โดยบัญชีผู้งานเฟซบุ๊กชื่อ ‘ปราชญ์สามสี’ ซึ่งมีหลายคนตั้งข้อสังเกตว่าเป็นไอโอระดับมันสมองของฝ่ายกองทัพ ได้กล่าวถึงข้อความข้างต้นในโพสต์เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 2567 และมีใจความตอนหนึ่งว่า “การแซกแทรงทางการเมืองของสหรัฐผ่านพรรคก้าวไกลและเครือข่ายภาคประชาสังคมที่รับทุนสนับสนุน เป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบ hybrid warfare หรือสงครามลูกผสม ซึ่งผสมผสานการใช้กำลังทหาร และการโจมตีทางไซเบอร์ และการรณรงค์ข้อมูลเพื่อบั่นทอนความเชื่อมั่นในรัฐบาลและทำลายอัตลักษณ์ของประเทศ และเป็นลักษณะเดียวกับที่เกิดขึ้นในฮ่องกง”

‘แทรกแซงอธิปไตย’ สู่การออกฎหมาย ‘ป้องกันการแทรกแซงต่างชาติ’

อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของไอโอฝ่ายอนุรักษ์เพื่อโจมตีไอลอว์ในช่วงการเลือก สว. ครั้งนี้ อาจไม่ได้มีผลกระทบโดยตรงต่อผลการเลือก สว. มากเท่ากับข้อกล่าวหาเรื่อง การฮั้วกันเองของผู้สมัครและพรรคการเมืองที่พยายามผลักดันให้ผู้สนับสนุนพรรคตนเข้าไปนั่งในวุฒิสภาให้ได้มากที่สุด ซึ่งหากพบหลักฐานชัดเจน อาจส่งผลให้ สว. ที่ได้รับเลือกบางส่วนต้องหลุดจากเก้าอี้หรือการประกาศผลการเลือกอย่างเป็นทางการตามที่ กกต. กำหนดไว้ในวันที่ 3 ก.ค. 2567 ต้องล่าช้าออกไป และอาจทำให้ ‘สว.แต่งตั้ง’ 250 คน รักษาการอยู่ต่อไปจนกว่าจะมี สว. เลือกกันเองครบจำนวน 200 คน

หากมองในระยะกลางและระยะยาว กระบวนการปั่นข้อมูลเหล่านี้เป็นการกัดเซาะและบั่นทอนความน่าเชื่อถือของเอ็นจีโอและภาคประชาสังคมที่ขับเคลื่อนด้านประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน เพื่อนำไปสู่ข้ออ้างในการออกกฎหมายควบคุมการทำงานของภาคประชาสังคมที่ทำงานสะท้อนปัญหาสังคมและตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐโดยรวมหรือไม่

ทั้งนี้ รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้มีความพยายามยกร่างกฎหมายควบคุมการทำงานของเอ็นจีโอและสื่อมวลชน โดยเมื่อต้นปี 2564 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติร่างกฎหมายของรัฐบาล 2 ฉบับ คือ “กฎหมายควบคุมข้อมูลข่าวสาร” และ “กฎหมายควบคุมเอ็นจีโอ” (องค์กรเอกชนที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไร) ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์และคัดค้านอย่างหนักจากภาคประชาสังคมและฝ่ายวิชาการว่า เป็นกลไกที่จะมาจำกัดการทำงานโดยอิสระของเอ็นจีโอและสื่อมวลชน โดยที่รัฐมองประชาชนและเอ็นจีโอเป็น “ภัยต่อความมั่นคงของรัฐ” จึงต้องปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ และออกกฎหมายบังคับให้เอ็นจีโอมาขึ้นทะเบียนกับกระทรวงที่กำกับดูแลด้านความมั่นคง

อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายทั้งสองฉบับยังไม่ได้ผ่านเข้าสู่ขั้นตอนการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในสมัยนั้น จนกระทั่งสภาฯ ชุดสุดท้ายในรัฐบาลประยุทธ์ หมดวาระลงก่อนการเลือกตั้งทั่วไปเมือเดือนพฤษภาคม 2566

แต่ที่น่าจับตาดูไปกว่านั้น คือการเคลื่อนไหวของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รสทช.) ซึ่งเป็นหนึ่งในพรรครัฐบาลชุดปัจจุบัน เพื่อผลักดันร่างพระราชบัญญัติป้องกันการแทรกข้ามชาติ โดยนายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ หรือ ลอรี่ รองโฆษก รสทช. ได้ออกมาโพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว “ลอรี่- พงศ์พล ยอดเมืองเจริญ” วันที่ 9 มิ.ย. 2567 ว่า “กำลังยกร่าง พรบ.ป้องแทรกแซงข้ามชาติ หรือ Foreign Interference Prevention Act (FIPA) ฉบับที่เหมาะสมกับบริบทประเทศไทยที่สุด โดยเน้นการเปิดเผยข้อมูลองค์กร, สื่อ หรือบุคคลที่รับเงินต่างชาติ ไม่เน้นคุกคาม แต่ควบคุมการดำเนินการของ ให้เป็นไปอย่างมีธรรมาภิบาล”

พงศ์พลได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวมีต้นแบบมาจากกฎหมาย Foreign Agent Registration Act (FARA) กฎหมายป้องกันการแทรกแซงข้ามชาติ ปี 1938 ของสหรัฐ ซึ่งบังคับให้ภาคเอกชนที่ทำงานให้รัฐบาลต่างขาติ ต้องเปิดเผยข้อมูลการเงินที่รับมาจากต่างชาติ ‘เพื่อหวังผลทางการเมือง มิเช่นนั้นจะต้องโทษทางอาญา’ และอ้างว่าเขาได้เห็นใบเสร็จรับเงินการเงินของล็อบบียิสต์บริษัทใหญ่เป็นอันดับ 5 ของสหรัฐ APCO Worldwide ที่ถูกว่าจ้างโดยธนาธร ให้ทำประชาสัมพันธ์ให้ช่วงปี 2562 นอกจากนี้ เขาได้กล่าวอ้างด้วยว่า “ในปี 2065 มีเงินบริจาคต่างชาติไหลเข้าจำนวนกว่า 585.4 ล้านบาท โดยที่ไม่มีการตรวจสอบ และอ้างว่ามีบางส่วนใช้ไปเป็นท่อน้ำเลี้ยงองค์กรเอ็นจีโอปลอม ม็อบ หรือสื่อฝั่งล้มล้าง”

อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 29 มิถุนายน 2567

ห้าม! ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3thhk70v6p4gh#_=_


ประกาศรับพนักงานพับถุง ติดต่อผ่านเพจจัดหางานฝีมือ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3ki6w9l5os22x#_=_


บัญชีไลน์ธนาคารอิสลาม iBank 4 All (โล่สีเทา) เปิดให้ลงทะเบียนขอสินเชื่อ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1rahsbywxtav9#_=_


รับทำใบขับขี่ถูกกฎหมาย ไม่ต้องไปสอบเอง ทางเพจสอบให้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1kkm45grkfj84


รับแจ้งความออนไลน์พร้อมอายัดบัญชีดึงเงินคืน ผ่านเพจ รับแจ้งเบาะแส กลโกง มิจฉาชีพ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/5d1wtuacq8bc


หลังตะวันตกดินห้ามทานอาหาร เพราะจะทำให้เป็นโรคความดันสูง เบาหวาน หลอดเลือดหัวใจ และไขมันในเลือดสูง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/1jqfxnsjo2x76


  ควบคุมโรค แจ้งสถานการณ์โควิดและไข้หวัดใหญ่ ระบาดหนัก 4 จังหวัด

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2muyumc73we8l#_=_


  กระทรวงแรงงานร่วมกับ CP AXTRA ฝึกทักษะผู้สูงอายุ รองรับสังคมสูงวัยในโครงการ 60 ยังแจ๋ว

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2qbntotsl1ymk


  สวนน้ำดังใน จ.ภูเก็ต ประกาศยุติการให้บริการ ตั้งแต่ 1 ส.ค. 67 เป็นต้นไป…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/uga5rs66cr2o#_=_