“ทักษิณ ชินวัตร” เป็นคนต้นคิดหลักสูตร บ.ย.ส. ?

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค
ปลายเดือนสิงหาคม 2568 มีการส่งข้อความทางแอปพลิเคชันไลน์และเฟซบุ๊กเรื่องการเรียกร้องให้ยกเลิกโครงการอบรมหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บ.ย.ส.) โดยอ้างว่านายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นผู้คิดหลักสูตรนี้ โคแฟคตรวจสอบข้อเท็จจริงจากเอกสารและแหล่งข่าวในศาลยุติธรรมไม่พบหลักฐานว่านายทักษิณเกี่ยวข้องกับการเกิดขึ้นของหลักสูตร บ.ย.ส. ซึ่งได้รับการอนุมัติโครงการสมัยรัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา เมื่อปี 2539 โดย ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในขณะนั้นเป็นผู้เสนอ
เนื้อหาโดยสรุป
วันที่ 28 ส.ค. 2568 มีการส่งข้อความขนาดยาวทางไลน์อ้างถึงกรณีที่ผู้พิพากษาสองคน ทำหนังสือถึงประธานศาลฎีกาขอให้ยกเลิกหลักสูตร บ.ย.ส. และยกเลิกการกำหนดให้ผู้พิพากษาเข้าอบรมหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร, หลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับนักบริหาระดับสูง, หลักสูตรผู้บริหารระดับสูงสถาบันวิทยาการตลาดทุน และหลักสูตรอื่น ๆ ในลักษณะเดียวกัน เนื่องจากไม่ก่อประโยชน์ในการทำงาน ใช้งบประมาณไม่คุ้มค่า และส่งเสริมระบบอุปถัมภ์
ข้อความไลน์ระบุตอนหนึ่งว่าหลักสูตร บ.ย.ส. “ทำให้ข้าราชการระดับสูงได้พบเจอกับผู้บริหาร CEO ของบริษัทเอกชนที่มาเรียนด้วยกัน ทั้งกิน เที่ยว ดื่มด้วยกัน” โดยเฉพาะนายทุนขนาดใหญ่ที่เข้ามามีส่วนร่วมในหลักสูตรเพียงเพื่อมาเลี้ยงดูปูเสื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ข้าราชการ ทำให้เกิดความสนิทสนมและเกิดการเอื้อประโยชน์ให้กันในภายหลัง และยังอ้างด้วยว่าผู้ที่คิดค้นหลักสูตรนี้คือนายทักษิณ ชินวัตร
“ใครจะคิดหลักสูตรใหญ่นี้ได้ ถ้าไม่ใช่ขาใหญ่ทำลายชาติ ทำลายโครงสร้างที่เคยดีงาม นอกจากชายโฉดที่ชื่อทักษิณ ชินวัตร” ข้อความที่ส่งต่อกันทางไลน์ระบุ
นอกจากจะส่งต่อกันในแอปพลิเคชันไลน์แล้ว ข้อความนี้ยังถูกแชร์โดยผู้ใช้เฟซบุ๊กจำนวนหนึ่งในวันเดียวกัน
โคแฟคตรวจสอบ
ลำดับเหตุการณ์
ประเด็นการเรียกร้องให้ยกเลิกหลักสูตร บ.ย.ส. เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2568
● วันที่ 14 ม.ค. 2568 สำนักข่าวอิศรารายงานว่านายบุญเขตร์ พุ่มทิพย์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลภาษีอากรกลางและนายอนุรักษ์ สง่าอารีย์กูล ผู้พิพากษาศาลฎีกาและกรรมการตุลาการ ได้ทำบันทึกข้อความถึงประธานศาลฏีกาเพื่อขอให้ยกเลิกหลักสูตร บ.ย.ส. และกำหนดไม่ให้ผู้พิพากษาเข้าร่วมอบรมหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (ว.ป.อ.) หลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิบไตยสำหรับนักบริหาระดับดับสูง (ป.ป.ร.) หลักสูตรผู้บริหารระดับสูงสถาบันวิทยาการตลาดทุน (วตท.) หรือหลักสูตรอื่นในลักษณะเดียวกัน เนื่องจากเห็นว่าหลักสูตรอบรมต่าง ๆ ไม่ก่อเกิดประโยชน์ใดแก่การปฏิบัติงานของข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรม ทั้งยังอาจนำไปสู่การผิดวินัยของผู้พิพากษา ส่งเสริมระบบอุปถัมภ์ ซึ่งนำไปสู่การเลือกปฏิบัติและเพิ่มความเหลื่อมล้ำในสังคม และเป็นการใช้งบประมาณที่ไม่คุ้มค่า
● วันที่ 23 ม.ค. 2568 คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีนายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เป็นประธาน ประชุมโดยบรรจุวาระพิจารณาข้อเสนอยกเลิกหลักสูตร บ.ย.ส. ของศาลยุติธรรมเพื่อป้องกันระบบอุปถัมภ์ แต่ตัวแทนผู้บริหารหลักสูตร บ.ย.ส. ไม่ได้ส่งตัวแทนเข้าร่วมตามคำเชิญของคณะกรรมาธิการ
● วันที่ 29 พ.ค. 2568 นางชนากานต์ ธีรเวชพลกุล ประธานศาลฎีกา เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการบริหารหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง ครั้งที่ 1/2568 เพื่อพิจารณาแผนการดำเนินการอบรม หลักสูตร บ.ย.ส. รุ่นที่ 30 ประจำปี 2568
● วันที่ 1 ส.ค. 2568 องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กเชิญชวนให้ประชาชนตั้งคำถาม เรียกร้องความโปร่งใสและการเปิดเผยข้อมูล รวมทั้งจับตาการใช้เงินงบประมาณเพื่อดำเนินการหลักสูตร บ.ย.ส. โดยระบุว่า “หลักสูตรนักบริหาร สามารถเลือกเชิญบุคคลใดก็ได้เข้าร่วม ทำให้ข้าราชการระดับสูงได้พบ CEO บริษัทเอกชน นายทุนขนาดใหญ่ กินเที่ยวดื่มด้วยกัน เลี้ยงดูปูเสื่อ สนิทสนมและเอื้อประโยชน์กันได้ในภายหลัง” และ “เมื่อผู้พิพากษาไปรู้จักกับคนที่อาจมาเป็นคู่ความวันหลัง การรู้จักกันในวงแคบทำให้เกิดการช่วยเหลือกันแบบลับ ๆ วงในมีพื้นที่พิเศษ วงนอกเข้าไม่ได้ ทำให้ความน่าเชื่อถือของศาลลดลง”

● วันที่ 15 ส.ค. 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 วาระที่ 2 และ 3 นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน อภิปรายขอปรับลดงบประมาณที่ศาลยุติธรรมขอ 16 ล้านบาทเพื่อจัดหลักสูตร บ.ย.ส. โดยให้เหตุผลว่าสถาบันตุลาการเป็นองค์กรที่ประชาชนคาดหวังให้ทำหน้าที่ได้อย่างอิสระ เที่ยงตรง และปราศจากอคติ แม้ว่าผู้พิพากษาจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลภายนอกที่เรียนร่วมกันได้ “แต่ความเสี่ยงจะเกิดขึ้นทันทีหากบุคคลดังกล่าวกลายมาเป็นคู่ความในคดีที่ผู้พิพากษารับผิดชอบในอนาคต”
นายพริษฐ์อ้างถึงหนังสือของผู้พิพากษาสองคน ถึงประธานศาลฎีกาที่ขอให้ยกเลิกหลักสูตร บ.ย.ส. และผลสำรวจความคิดเห็นที่จัดทำโดยผู้พิพากษาทั้งสองซึ่งพบว่า 87% ของผู้พิพากษาทั้งหมด 1,455 คนที่ตอบแบบสอบถามเห็นว่าหลักสูตร บ.ย.ส. กระทบต่อความน่าเชื่อถือของผู้พิพากษา และ 82% เห็นว่าควรยกเลิกหลักสูตร บ.ย.ส.
● วันที่ 19 ส.ค. 2568 คณะกรรมการบริหารหลักสูตร บ.ย.ส.ประชุมครั้งที่ 2/2568 โดยมีการพิจารณาถึงความจำเป็นและประโยชน์ของการจัดหลักสูตร บ.ย.ส. ตลอดจนข้อสังเกต ข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะต่าง ๆ ที่บุคลากรของศาลยุติธรรม คณะกรรมาธิการต่าง ๆ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และประชาชน ได้ส่งมายังคณะกรรมการฯ หรือเผยแพร่ตามสื่อ ซึ่งคณะกรรมการฯ ลงความเห็นว่า “หลักสูตร บ.ย.ส. เป็นหลักสูตรวิชาการที่เป็นประโยชน์” จากนั้นได้พิจารณาและอนุมัติรายชื่อผู้เข้าร่วมอบรมหลักสูตร บ.ย.ส. รุ่นที่ 30 จำนวน 90 คน กำหนดรายงานตัววันที่ 31 ต.ค. 2568
ข้อความไลน์และเฟซบุ๊กอ้าง “ทักษิณ” ต้นคิด บ.ย.ส.
โคแฟคตรวจสอบพบว่า ข้อความที่โพสต์ในเฟซบุ๊กและส่งต่อกันทางไลน์นั้นเป็นข้อความที่องค์กรต่อต้านคอรัปชัน (ACT) โพสต์ทางเพจเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2568 แต่ได้เติมข้อความว่า “ใครจะคิดหลักสูตรใหญ่นี้ได้…นอกจากชายโฉดที่ชื่อ ‘ทักษิณ ชินวัตร’” เข้ามา เพื่อเชื่อมโยงหลักสูตร บ.ย.ส. เข้ากับทักษิณ
นายมานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ยืนยันกับโคแฟคว่าข้อความต้นฉบับของ ACT ไม่มีข้อความใดที่พาดพิงถึงนายทักษิณแน่นอน และรู้สึกไม่สบายใจที่มีผู้นำข้อความขององค์กรไปบิดเบือน

ต้นกำเนิด บ.ย.ส.
โคแฟคตรวจสอบตรวจสอบข้อเท็จจริงของคำกล่าวอ้างที่ว่านายทักษิณเป็นคนต้นคิดหลักสูตร บ.ย.ส. โดยค้นคว้าจากเอกสารที่เผยแพร่ทางเว็บไซต์ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ศาลยุติธรรม และนำมาเทียบเคียงกับประวัติการทำงานทางการเมืองของนายทักษิณ พบข้อมูลดังนี้
รายงานเรื่อง “การประเมินผลสัมฤทธิ์โครงการอบรมหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บ.ย.ส.)” ของนางกรชศา เจริญเลิศ ซึ่งเป็นผลงานการศึกษาส่วนบุคคลของผู้เข้าอบรมหลักสูตร บ.ย.ส. รุ่นที่ 14 ปี 2553 ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นมาของหลักสูตร บ.ย.ส.ว่า มีที่มาจากปัญหาที่ว่าการดำเนินงานของกระบวนการยุติธรรมกระจัดกระจายอยู่หลายกรมหลายกระทรวง แต่ละหน่วยงานต่างมีหลักการ ดุลยพินิจและแนวปฏิบัติต่างกัน อีกทั้งยังขาดการประสานความร่วมมือกันทำให้กระบวนการยุติธรรมเกิดปัญหาและอุปสรรค
ปี 2539 คณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในขณะนั้นเป็นประธาน “คณะกรรมการประสานกระบวนการยุติธรรม” ประกอบด้วยผู้แทนจากศาล กระทรวงยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด กรมการปกครอง กรมตำรวจ กรมราชทัณฑ์ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และสภาทนายความ
วันที่ 18 ม.ค. 2539 คณะกรรมการฯ ที่ ร.ต.อ.เฉลิมเป็นประธานได้เสนอ “โครงการอบรมหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บ.ย.ส.)” ต่อ ครม. ซึ่ง ครม. ได้มีมติเมื่อวันที่ 19 มี.ค. 2539 อนุมัติโครงการอบรมหลักสูตร บ.ย.ส. ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยให้ทำความตกลงเรื่องงบประมาณกับสำนักงบประมาณต่อไป การอบรมรหลักสูตร บ.ย.ส. จึงได้จัดขึ้นเป็นครั้งแรก (รุ่นที่ 1) ระหว่างวันที่ 25 ต.ค.2539 – พฤษภาคม 2540
ปัจจุบันโครงการอบรมหลักสูตร บ.ย.ส. ดำเนินการโดยวิทยาลัยการยุติธรรม สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม เพิ่งประกาศรายชื่อผู้เข้าร่วมอบรมที่ผ่านการคัดเลือกรุ่นที่ 30 ไปเมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2568
ทำความรู้จักหลักสูตร บ.ย.ส. เพิ่มเติมจากเอกสารที่เผยแพร่โดยวิทยาลัยการยุติธรรมด้านล่าง
ทักษิณทำอะไรช่วงปี 2539?
ฐานข้อมูลนักการเมืองของสถาบันพระปกเกล้าระบุว่านายทักษิณเข้าสู่เส้นทางการเมืองเมื่อ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง หัวหน้าพรรคพลังธรรม เชิญมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2537 ในสมัยรัฐบาลของนายชวน หลีกภัย แต่ทักษิณลาออกหลังจากอยู่ในตำแหน่งได้เพียง 101 วัน เนื่องจากรัฐธรรมนูญขณะนั้นระบุว่ารัฐมนตรีต้องไม่มีกิจการสัมปทานกับรัฐ
จากนั้นวันที่ 28 พ.ค. 2538 ทักษิณได้ขึ้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังธรรม และลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. เขต 2 กรุงเทพมหานคร ในการเลือกตั้งวันที่ 2 ก.ค. 2538 โดยชนะการเลือกตั้งได้คะแนนเสียงเป็นลำดับที่ 1 ในเขตที่ลงสมัคร หลังเลือกตั้ง ทักษิณเข้ารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลของนายบรรหาร ศิลปอาชา เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2538 โดยรับผิดชอบงานด้านการจราจรและระบบขนส่งมวลชน แต่ได้ลาออกและพ้นจากตำแหน่งรองนายกฯ เมื่อ 23 พ.ค. 2539 และลาออกจากพรรคพลังธรรมในเวลาต่อมา
ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายทักษิณกลับมาเป็นรองนายกฯ อีกครั้งช่วงสั้น ๆ ระหว่าง 15 ส.ค. – 9 พ.ย. 2540 หลังกจากนั้นเขาจึงได้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทยในปี 2541
ข้อสรุปโคแฟค
ปี 2539 ซึ่งเป็นปีที่หลักสูตร บ.ย.ส. ถือกำเนิดขึ้นนั้น ประเทศไทยอยู่ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรีจากพรรคชาติไทย ซึ่งเข้าดำรงตำแหน่งวันที่ 13 ก.ค. 2538 และพ้นจากตำแหน่งวันที่ 25 พ.ย. 2539 จากการประกาศยุบสภาเมื่อวันที่ 27 ก.ย.2539
ครม.บรรหารมีนายทักษิณ ชินวัตร (พรรคพลังธรรม) เป็นรองนายกรัฐมนตรี และ ร.ต.อ.เฉลิม (พรรคมวลชน) เป็นรัฐมนตรีว่ากระทรวงยุติธรรม
แม้นายทักษิณจะดำรงตำแหน่งรองนายกฯ ใน ครม. บรรหารที่มีมติอนุมัติตามข้อเสนอของกระทรวงยุติธรรมในการดำเนินการหลักสูตรอบรม บ.ย.ส. เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 2539 แต่เขาเป็นรองนายกฯ ที่ดูแลเรื่องการจราจร ไม่เกี่ยวข้องกับงานด้านยุติธรรม ซึ่งอยู่ในความดูแลของ ร.ต.อ.เฉลิม ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมการประสานกระบวนการยุติธรรมและเป็นผู้เสนอโครงการอบรมหลักสูตร บ.ย.ส. ให้ ครม.อนุมัติ นายทักษิณจึงไม่น่ามีความเกี่ยวข้องกับการริเริ่มหลักสูตร บ.ย.ส. และโคแฟคยังไม่พบหลักฐานอื่นที่ระบุว่านายทักษิณเป็นผู้ต้นคิดหลักสูตรนี้
โคแฟคสอบถามจากแหล่งข่าวผู้พิพากษาที่ติดตามการดำเนินงานของหลักสูตร บ.ย.ส. ได้รับคำยืนยันว่านายทักษิณไม่ได้มีส่วนในการก่อตั้งหลักสูตร บ.ย.ส. อย่างแน่นอน โคแฟคพยายามติดต่อ ร.ต.อ.เฉลิม เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมแต่ยังไม่สามารถติดต่อได้ และยังไม่ได้รับการติดต่อกลับ
เรื่องอื่นที่น่าสนใจ
- “The Structure – เจ๊จุก คลองสาม” กับข้อความที่ถูกบิดเบือนของ ศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์
- ภาพ พล.อ. ประยุทธ์เปิดการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง ถูกบิดเบือนว่าเป็นภาพเปิดตึก สตง.
- คลิปชุมนุมที่แยกอโศกปี 66 ถูกนำมาสร้างความเข้าใจผิดว่าเป็นการชุมนุมต้านกาสิโนปี 68
- เลือกตั้ง 2566: ตรวจสอบ 3 ประโยคของประยุทธ์บนเวทีปราศรัยรวมไทยสร้างชาติ
- มอเตอร์เวย์บางปะอิน-โคราช, บางใหญ่-กาญจนบุรี ผลงานรัฐบาลไหน?