กฎหมายเลือกตั้งเขียนไว้อย่างไรเรื่องการ “ถอนตัว-เปลี่ยนแปลง” ผู้สมัคร สส.

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค

สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โพสต์ ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก “ปั่นไปไหน –  สมชัย ศรีสุทธิยากร” ถึงกรณีที่พรรคประชาชนประกาศเปลี่ยนตัวผู้สมัคร สส. กทม. ที่ถูกออกหมายจับคดีฟอกเงิน โดยให้ความเห็นว่ามีโอกาสที่จะถูกร้องว่าเป็นการรับสมัครโดยมิชอบหากไม่ดำเนินการตามกฎหมาย

ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากพรรคประชาชนแถลงข่าวเรื่องการเปลี่ยนตัวบุญฤทธิ์ เรารุ่งโรจน์ ผู้สมัคร สส. พรรคประชาชน เขตบางพลัด-บางกอกน้อย ถูกออกหมายจับคดีฟอกเงิน ช่วงเช้าวันที่ 29 ธ.ค. 2568 อดีต กกต. โพสต์ข้อความว่า

“สมัครได้เบอร์แล้วถอนตัวไม่ได้  มีเหตุผลคือไม่งั้นจะมีการจ้างถอนตัวกัน ผู้สมัครหรือพรรคที่ส่งผู้สมัครแล้ว จะถอนการสมัครได้แค่ 3 กรณี คือ 1) ตาย 2) ขาดคุณสมบัติ และ 3) มีลักษณะต้องห้าม และต้องทำก่อนก่อนปิดรับสมัคร อ้างอิง: มาตรา 50 พ.ร.ป.การเลือกตั้ง สส.” (ลิงก์บันทึก)

ต่อมาเขาได้โพสต์ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “การถูกตำรวจจับกุม ยังไม่เข้าข่ายลักษณะต้องห้าม เพราะยังไม่ใช่คำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกของศาล  จึงไม่เป็นเหตุให้ถอนตัว ส่วนเรื่องคุณสมบัติ ที่นำมาใช้เป็นสาเหตุได้ คือ การขาดจากการเป็นสมาชิกพรรค ซึ่งอาจเกิดจากการถูกลงมติขับ หรือการลาออกก็ได้ ซึ่งต้องนำหลักฐานมาแสดง” (ลิงก์บันทึก)

“ทำให้ถูกต้อง สามารถเปลี่ยนผู้สมัครได้ แต่จะได้เบอร์เดิมหรือไม่ แล้วแต่ กกต. กทม. ที่จะมีความเห็น แต่หากทำผิดกฎหมายผู้สมัครรายอื่นในเขตเลือกตั้ง สามารถฟ้องว่า การรับสมัครเป็นไปโดยมิชอบได้” อดีต กกต. ระบุ

โคแฟคตรวจสอบ

มาตรา 50 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 ระบุว่า 

“เมื่อผู้อํานวยการการเลือกตั้งประจําเขตเลือกตั้งได้ออกหลักฐานการรับสมัครรับเลือกตั้งให้แก่ผู้สมัครตามมาตรา 46 แล้ว ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองจะถอนการสมัครหรือเปลี่ยนแปลงผู้สมัครได้เฉพาะกรณีผู้สมัครตายหรือขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม และต้องกระทำก่อนปิดการรับสมัครรับเลือกตั้ง ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกําหนด”

สมชัยให้ความเห็นกับโคแฟคว่า บุญฤทธิ์ไม่เข้าข่ายเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น สส. เนื่องจากศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด 

มาตรา 42  ของ พ.ร.ป. การเลือกตั้ง สส. กำหนดลักษณะต้องห้ามของผู้สมัคร สส. ไว้ทั้งหมด 21 ข้อ หนึ่งในนั้นคือ “เคยต้องคําพิพากษาอันถึงที่สุด” ว่ากระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในความผิดฐานฟอกเงิน ซึ่งคดีของบุญฤทธิ์อยู่ในขั้นถูกออกหมายจับของตำรวจเท่านั้น

ส่วนการเปลี่ยนแปลงผู้สมัครด้วยเหตุ “ขาดคุณสมบัติ” จากการลาออกหรือถูกขับออกจากการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองนั้น สมชัยมองว่า แม้จะใช้เป็นเหตุผลในการเปลี่ยนแปลงผู้สมัครได้ แต่ก็อาจเกิดคำถามว่าการลาออกหรือถูกขับออกจากพรรคภายหลังจากที่การรับสมัครเสร็จสิ้นแล้ว เป็นไปตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในมาตรา 50 หรือไม่

“เรื่องนี้ ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำกรุงเทพมหานคร (ผอ.กกต.กทม.) จะต้องวินิจฉัยว่าจะยอมให้เปลี่ยนแปลงผู้สมัครได้หรือไม่ ซึ่งต้องระมัดระวังมากเพราะอาจมีผู้สมัครคนอื่นร้องเรียน กกต. ว่าดำเนินการรับสมัครโดยมิชอบได้” สมชัยกล่าว

ว่าที่ ร.ต. สัมพันธ์  แสงคำเลิศ ผอ.กกต.กทม. เห็นตรงกับสมชัยว่าผู้สมัครคนดังกล่าวยังไม่ถือว่าเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามเนื่องจากศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด แต่เขาเห็นว่าหากลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาชนแล้วก็ถือว่าขาดคุณสมบัติของผู้สมัคร สส. เรื่องการเป็นสมาชิกพรรคการเมือง ซึ่ง ผอ.กกต.กทม. เห็นว่าเป็นเหตุให้เปลี่ยนตัวผู้สมัครได้ตามมาตรา 50

ระเบียบ กกต. ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. ข้อ 93 ระบุว่า ในกรณีที่พรรคการเมืองประสงค์จะถอนการสมัครรับเลือกตั้งหรือเปลี่ยนแปลงผู้สมัคร ผู้สมัครที่มาแทนจะต้องยื่นใบสมัครรับเลือกตั้ง พร้อมด้วยเอกสาร หลักฐานและหนังสือขอถอนการสมัครรับเลือกตั้งหรือเปลี่ยนแปลงผู้สมัครรับเลือกตั้งต่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตก่อนการปิดรับสมัคร คือ ภายในเวลา 16.30 น. ของวันที่ 31 ธ.ค. 

อย่างไรก็ตามว่าที่ ร.ต.สัมพันธ์กล่าวว่า กกต. กทม. จะต้องพิจารณาเอกสารและหลักฐานจากพรรคประชาชนโดยละเอียดอีกครั้งว่าให้เหตุผลการขอเปลี่ยนตัวผู้สมัครว่าอย่างไร ขั้นตอนการส่งชื่อผู้สมัครคนใหม่มาแทนเป็นไปตาม พ.ร.ป. และระเบียบ กกต. ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. หรือไม่

เวลาประมาณ 17.00 น. เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่าสมาชิกพรรคประชาชน กทม. ได้จัดประชุมทำไพรมารีโหวตเพื่อคัดเลือกผู้สมัคร สส.กทม. เขต 33 เขตบางพลัด-บางกอกน้อย แทนที่ผู้สมัครเดิมที่โดนออกหมายจับคดีเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินและยาเสพติด โดยที่ประชุมมีมติรับรอง นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร อดีต สส. ให้เป็นว่าที่ผู้สมัครด้วยคะแนน 88-0

หมายเหตุ: รายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงทางการเมืองนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Information Integrity Towards Fact Free Fair Elections in Thailand ซึ่งโคแฟค Thai PBS Verify และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับการสนับสนุนจากสถานทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย 

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ