‘ทำไมนโยบายรัฐต้องเอื้อต่างด้าว?’ คำถามสะท้อน‘อคติต่อแรงงาน – ประชากรข้ามชาติ’ในสังคมไทย(จบ)

By : Zhang Taehun

อ่านตอนแรกได้ที่ https://blog.cofact.org/th/report92-68/

จากกรณีที่มีผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นจำนวนมากตั้งคำถามกับหน่วยงานรัฐไทยที่กำกับดูแล คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของแรงงานข้ามชาติว่าดำเนินโยบายที่เอื้อประโยชน์ให้แรงงานข้ามชาติมากเกินไปจนปล่อยให้มีการละเมิดกฎหมายและสิทธิของคนไทย และนำไปสู่กระแสต่อต้านแรงงานข้ามชาติ และ เกลียดกลัวต่างชาติ อยู่เป็นช่วงๆในรอบปีที่ผ่านมา

โคแฟคจึงได้ลงไปตรวจสอบข้อมูลและรวบรวมข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคำอธิบายถึงเหตุผลและความจำเป็นที่รัฐไทยต้องมีนโยบายกำกับดูแลแรงงานข้ามชาติให้พวกเขาทำงานอยู่ได้โดยยึดหลักถ้อยทีถ้อยปฏิบัติตามกฎหมายไทยและพันธกรณีระหว่างประเทศที่ไทยผูกพันอยู่ และได้ตอบคำถามสำคัญเกี่ยวกับสิทธิและการให้ความคุ้มครองแรงงานข้ามชาติ โดยในตอนนี้เป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับทำไมประเทศไทยต้องคุ้มครองสิทธิประชากรข้ามชาติ

ภาพที่ 1 : (ซ้าย) ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนโดยองค์การสหประชาชาติ (UN) , (กลาง) องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) , (ขวา) อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กโดยกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเซฟ)

– ทำไมประเทศไทยต้องคุ้มครองสิทธิประชากรข้ามชาติ? : ประเทศไทยได้ลงนามรับรองกติการะหว่างประเทศหลายฉบับ เช่น “ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน 2491 (Universal Declaration of Human Rights 1948) โดยองค์การสหประชาชาติ (UN)” ที่ระบุหลักการทั่วไปไว้ว่า มนุษย์ทุกคนเกิดมามีอิสระและเสมอภาคกันในศักดิ์ศรีและสิทธิ ที่ระบุไว้ในปฏิญญานี้ โดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ผิว เพศ ภาษา ศาสนาหรือสถานะใดๆ เช่น สังคม ทรัพย์สิน กำเนิด หรือ ความคิดเห็นทางการเมือง

องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO)” ประเทศไทยได้รับรองอนุสัญญาที่เกี่ยวข้องกับแรงงานแล้วหลายฉบับ ซึ่งรวมถึง อนุสัญญาฉบับที่ 100 ว่าด้วยค่าตอบแทนที่เท่าเทียมกัน , อนุสัญญาฉบับที่ 111 ว่าด้วยการเลือกปฏิบัติในการจ้างงานและอาชีพ , อนุสัญญาฉบับที่ 122 ว่าด้วยนโยบายการทำงาน ซึ่งสาระสำคัญของอนุสัญญาเหล่านี้คือสภาพการจ้างงานที่ไม่เลือกปฏิบัติ , 

“อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก โดยกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเซฟ)” : รัฐภาคีจะเคารพและประกันสิทธิตามที่กำหนดไว้ในอนุสัญญานี้แก่เด็กแต่ละคนที่อยู่ในเขตอำนาจของตน โดยปราศจากการเลือกปฏิบัติไม่ว่าชนิดใดๆ โดยไม่คำนึงถึง เชื้อชาติ สีผิว เพศ ภาษา ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมืองหรือทางอื่น ต้นกำเนิดทางชาติ ชาติพันธุ์ หรือสังคม ทรัพย์สิน ความทุพพลภาพ การเกิดหรือสถานะอื่นๆ ของเด็ก หรือบิดา มารดา หรือผู้ปกครองตามกฎหมาย 

สิ่งเหล่านี้สะท้อนออกมาเป็นบทบัญญัติในกฎหมายและแนวปฏิบัติของทางการไทย ตั้งแต่ รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ระบุใน มาตรา 27” (วรรคสาม) การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล ไม่ว่าด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ หรือเหตุอื่นใด จะกระทำมิได้ 

(วรรคสี่) มาตรการที่รัฐกำหนดขึ้นเพื่อขจัดอุปสรรคหรือส่งเสริมให้บุคคลสามารถใช้สิทธิหรือเสรีภาพ ได้เช่นเดียวกับบุคคลอื่น หรือเพื่อคุ้มครองหรืออำนวยความสะดวกให้แก่เด็ก สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ หรือผู้ด้อยโอกาส ย่อมไม่ถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมตามวรรคสาม , มาตรา 40 (วรรคหนึ่ง) บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการประกอบอาชีพ 

(วรรคสอง) การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ที่ตราขึ้นเพื่อรักษาความมั่นคงหรือเศรษฐกิจของประเทศ การแข่งขันอย่างเป็นธรรม การป้องกัน หรือขจัดการกีดกันหรือการผูกขาด การคุ้มครองผู้บริโภค หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างอื่น การจัดระเบียบการประกอบอาชีพเพียงเท่าที่จำเป็น (วรรคสาม) การตรากฎหมายเพื่อจัดระเบียบการประกอบอาชีพตามวรรคสอง ต้องไม่มีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติ หรือก้าวก่ายการจัดการศึกษาของสถาบันการศึกษา , 

มาตรา 54 (วรรคหนึ่ง) รัฐต้องดำเนินการให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาเป็นเวลาสิบสองปี ตั้งแต่ ก่อนวัยเรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับอย่างมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย หรือจะเป็น...การบริหารจัดการการทำงานคนต่างด้าว.. 2560 ในมาตรา 7 ที่ว่าด้วยการออกประกาศอาชีพสงวน ก็ยังระบุว่าต้องคำนึงถึงความผูกพันหรือพันธกรณีที่ประเทศไทยมีอยู่ในลักษณะถ้อยทีถ้อยปฏิบัติประกอบด้วย , 

...คุ้มครองเด็ก.. 2546 มาตรา 22 (วรรคหนึ่ง) ระบุว่า การปฏิบัติต่อเด็กไม่ว่ากรณีใด ให้คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญและไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม รวมถึงกฎหมายลำดับรองที่เป็นแนวปฏิบัติ คือ มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เรื่องร่างระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยหลักฐานวันเดือนปีเกิดในการรับนักเรียนนักศึกษาเข้าเรียนในสถานศึกษา.. …. (การจัดการศึกษาแก่บุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย) เมื่อวันที่ 5 ก.ค. 2548 ทำให้เด็กทุกคนในประเทศไทยไม่ว่าจะมีสถานะทางทะเบียนอย่างไรมีสิทธิ์เข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างเท่าเทียมกัน 

ภาพที่ 2 : ผศ.ดร.สักกรินทร์ นิยมศิลป์ อาจารย์ประจำสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล 

ที่มา : กองบริหารงานทั่วไปมหาวิทยาลัยมหิดล 

ยังมีมุมมองจากนักวิชาการ ผศ.ดร.สักกรินทร์ นิยมศิลป์ อาจารย์ประจำสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวกับทีมงานโคแฟค ว่า 1.ภาวะ “เกิดน้อย – แก่พุ่ง” ทำให้เศรษฐกิจไทยจำเป็นต้องพึ่งพาแรงงานข้ามชาติจำนวนมาก ปัจจุบันประเทศไทยมีอัตราการเจริญพันธุ์ (TFR) อยู่ที่ 1.0 และยังมีแนวโน้มลดลง ในขณะที่อัตราการเจริญพันธุ์ที่เหมาะสมกับการทดแทนประชากรคือ 2.1 นอกจากนั้น ในปี 2567 ที่ผ่านมา ไทยเป็นประเทศที่มีคนตายมากกว่าจำนวนคนเกิด นั่นหมายถึงจำนวนประชากรที่ลดลง 

นั่นหมายถึง อัตราพึ่งพิง ที่หมายถึง คนวัยทำงานต้องแบกภาระดูแลผู้สูงอายุ จะมากขึ้น ในปี 2563 อัตราพึ่งพิงอยู่ที่ 3.6 ต่อ 1 หมายถึงคนวัยทำงาน 3.6 คน ดูแลผู้สูงอายุ 1 คน แต่ในปี 2583 คาดว่าจะอยู่ที่ 1.8 ต่อ 1 หมายถึงจะเหลือคนวัยทำงานเพียง 1.8 คน ต่อการดูแลผู้สูงอายุ 1 คน สิ่งที่ตามมาคือ รัฐจำเป็นต้องเก็บภาษีประชาขนเพิ่มขึ้นเพื่อให้เพียงพอกับระบบงบประมาณอย่างที่เกิดขึ้นกับหลายประแทศในทวีปยุโรป แต่มีคำถามคือ คนไทยรับไหวหรือไม่?” เพราะรายได้เฉลี่ยของคนไทยต่ำกว่าชาวยุโรปมาก 

ครั้นจะใช้หุ่นยนต์หรือเครื่องจักรทดแทนแรงงานคนก็ยังทำได้เพียงบางส่วน เช่น อุตสาหกรรมในระบบโรงงานที่มีรูปแบบสายพานการผลิตซ้ำๆ (อาทิ ยานยนต์) แต่ในส่วนของภาคบริการ เช่น งานดูแลผู้สูงอายุ หรืองานในภาคท่องเที่ยวที่จำเป็นต้องใช้การปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ระหว่างคนด้วยกัน ต้องมีความใส่ใจดูแล รวมไปถึงแรงงานกลุ่มทักษะระดับกลางและระดับล่าง (Semi and Low Skill Labour) เช่น ก่อสร้าง ประมง อีกด้านหนึ่ง ประเทศไทยก็ต้องการ แรงงานกลุ่มทักษะสูง (High Skill)” อาทิ กลุ่มอุตสาหกรรม 4.0 อุตสาหกรรมแห่งอนาคต (S Curve) มาช่วงเร่งการพัฒนาเศรษฐกิจไปสู่การเป็นประเทศรายได้สูง 

2.นโยบายประชากรข้ามชาติต้องยืดหยุ่นหลากหลาย ไล่ตั้งแต่ 2.1 กลุ่มเด็กที่เป็นลูกหลานแรงงานข้ามชาติ ปัจจุบันนโยบายของรัฐไทยสนับสนุนให้เด็กทุกคนบนแผ่นดินไทยไม่ว่าจะมีสัญชาติหรือสถานะทางทะเบียนแบบใดเข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐานภาคบังคับอย่างเท่าเทียมกัน อีกทั้งหากใครที่อยู่ในไทยมากกว่า 10 ปีและเรียนต่อจนจบถึงระดับปริญญาตรีจะมีโอกาสยื่นขอสัญชาติไทย แต่ในทางปฏิบัติเด็กกลุ่มนี้จำนวนมากยังเข้าไม่ถึงระบบการศึกษาในโรงเรียนของไทย 

ดังนั้น เป็นไปได้หรือไม่ที่จะปรับเปลี่ยนนโยบาย เช่น มีระบบส่งต่อจากศูนย์การเรียนรู้ที่เป็นการเตรียมความพร้อมให้เข้ามาสู่การเรียนในโรงเรียนของไทย หรือมีระบบค้ำประกันในการเข้าถึงกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) สำหรับเรียนต่อในระดับชั้นสูงๆ ซึ่งหากเด็กกลุ่มนี้ได้เรียนจนจบและได้วุฒิการศึกษาของไทย จะเป็นการเติมกำลังแรงงานของไทยเพราะหลายคนก็จะอยากอยู่ทำงานต่อในไทย อีกทั้งยังเป็นแรงงานที่มีการศึกษาสูงด้วย 

นอกจากนั้น “การได้เรียนในระบบการศึกษาของไทยเป็นเวลานานๆแม้จะมีเชื้อสายต่างชาติ แต่ท้ายที่สุดก็มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นคนไทยเพราะจุดแข็งของสังคมไทยคือการหลอมรวมวัฒนธรรมที่หลากหลายเข้าด้วยกัน” ดังที่เคยเกิดขึ้นกับทายาทรุ่น 2 รุ่น 3 ของกลุ่มชาวจีนที่อพยพเข้ามาตั้งรกรากในประเทศไทยเมื่อครั้งอดีต ซึ่งนโยบายแบบนี้ทำได้ง่ายกว่าการให้ความรู้กับแรงงานข้ามชาติที่เข้ามาทำงานในไทยตอนเป็นผู้ใหญ่แล้ว 

2.2 นักศึกษาชาวต่างชาติ มีชาวต่างชาติจำนวนไม่น้อยมาเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยในประเทศไทย คนกลุ่มนี้มีความชอบประเทศไทยจึงตัดสินใจมาเรียน อย่างตนก็สอนในระดับบัณฑิตวิทยาลัย (สูงกว่าระดับปริญญาตรี) มีคนจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาเรียน ทั้งชาวจีน ฮ่องกง เกาหลี เมียนมา อินโดนีเซีย  คนเหล่านี้ยังบอกด้วยว่าอยากอยู่ทำงานต่อในไทยแต่มีข้อจำกัดเรื่องวีซ่า เมื่อเทียบกับประเทศญี่ปุ่นหรือสิงคโปร์ที่ชาวต่างชาติเรียนจบสูงๆ จะอนุญาตให้อยู่ทำงานได้เลย หากทำแบบนี้ได้ ในแต่ละปีไทยจะมีแรงงานเข้ามาเติมอีกหลายหมื่นคน 

เขาเรียนด้วยความพยายามของเขาเองเรามีแต่ได้ ทุกวันนี้เราลงทุนการศึกษาไปเท่าไร? แต่มันก็ยังผลิตคนได้ไม่พอดังนั้นคนที่เรียนสูงๆแล้วอยากมาทำงานในเมืองไทยเป็นเรื่องที่ต้องต้อนรับเป็นโอกาสของเราไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรเป็นเรื่องที่ดีด้วยซ้ำ ผศ.ดร.สักกรินทร์ กล่าว 

ภาพที่ 3 : 10 ชาติที่มาเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยมากที่สุด (ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567)

ที่มา : ไทยรัฐ , กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (อว.) 

2.3 แรงงานข้ามชาติกลุ่มทักษะสูง ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 2 แสนคน แต่ประเทศไทยยังต้องการมากกว่านี้ อย่างในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ก็มีการขอรับการส่งเสริมการลงทุน (BOI) จำนวนมาก ในอนาคตก็จะมีกลุ่มแรงงานทักษะสูงจากต่างประเทศ เช่น สายไอที สายวิศวกรรม เข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น หรืออย่างวีซ่า DTV ของกลุ่มทำงานออนไลน์ (Digital Nomad) ที่พบว่าช่วยนำสินค้าไทยออกไปขายทางออนไลน์ด้วย 

ซึ่งปัจจุบันแม้กฎหมายจะเปิดช่องให้ชาวต่างชาติสามารถยื่นขอสิทธิการเป็นผู้อยู่อาศัยถาวร (Permanent Residence) หรือขอสัญชาติไทย แต่ในทางปฏิบัตินั้นยากมาก 2.4 แรงงานข้ามชาติที่อยู่ในประเทศไทยมานานมาก หลายคนใช้ภาษาไทยได้คล่อง มีครอบครัวมีลูกเกิดในประเทศไทย และไม่ได้รู้สึกผูกพันใดๆ กับประเทศบ้านเกิดอีกแล้ว ก็น่าจะพิจารณาให้สัญชาติไทยได้ เป็นต้น 

3.ต้องมีนโยบายบูรณาการแรงงานหรือประชากรข้ามชาติให้อยู่ร่วมกับสังคมไทยได้ มีตัวอย่างจากประเทศในทวีปยุโรป เช่น เยอรมนี การจะขอวีซ่าพักอาศัยหรือแต่งงานก็ต้องผ่านการทดสอบความรู้ภาษาเยอรมัน หรือในทวีปเอเชีย เช่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน สนับสนุนให้ชาวต่างชาติที่เข้าไปอยู่อาศัยได้เรียนภาษาเพื่อบูรณาการคนต่างชาติกับคนท้องถิ่นเข้าด้วยกันเพื่อลดปัญหาความรู้สึกแปลกแยกในสังคม แต่ที่ผ่านมาประเทศไทยยังไม่มีนโยบายทำนองนี้ อย่างตนเคยเจอฝรั่งชาวตะวันตกมาทำงานในไทย บอกว่าอยากเรียนภาษาไทยแต่ก็ไม่รู้จะไปเรียนที่ใด 

เราควรจะต้องส่งเสริมแบบนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องภาษาอย่างเดียว วัฒนธรรมไทยด้วย ให้เขาเข้าใจวิถีชีวิตของไทย วิธีคิดแบบคนไทยแล้วก็บูรณาการได้ ผศ.ดร.สักกรินทร์ ระบุ 

และ 4.ต้องแก้ปัญหาชาวต่างชาติเข้ามาทำผิดกฎหมายซึ่งมักเกี่ยวข้องกับการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐของไทยเองด้วย หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดกระแสต่อต้านชาวต่างชาติในสังคมไทย คือพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของชาวต่างชาติ เช่น เข้ามารวมตัวตั้งกลุ่มแก๊งทำผิดกฎหมาย ทำธุรกิจสีเทา – สีดำ ที่ผ่านมาหากเป็นกลุ่มที่เข้ามาพักในโรงแรมยังพอติดตามได้เพราะมีกฎหมายให้โรงแรมต้องส่งข้อมูลให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) แต่ช่องโหว่ช่องว่างจะไปอยู่ที่กลุ่มซึ่งไปเช่าห้องพักหรือเช่าบ้านอยู่กันเอง จะเข้าไปตรวจสอบกลุ่มนี้ได้อย่างไร 

ในทางกลับกันเจ้าหน้าที่รัฐของไทยส่วนหนึ่งก็มีส่วนร่วมในปัญหาด้วย ดังที่มีข่าวจับกุมขบวนการสวมสิทธิ์ชาวต่างชาติให้ได้บัตรประชาชนไทยในพื้นที่ภาคเหนือ คดีนี้มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องตั้งแต่ผู้ใหญ่บ้านจนถึงนายอำเภอ ซึ่งหากภาครัฐของไทยแก้ปัญหานี้ได้การควบคุมก็จะทำได้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ เรื่องเทาๆ ที่กระทบต่อความมั่นคงก็จะน้อยลง ซึ่งก็จะช่วยลดกระแสต่อต้านชาวต่างชาติในหมู่คนไทย 

ผศ.ดร.สักกรินทร์ ฝากข้อคิดว่า ความเป็นคนไทยนั้นไม่ใช่เรื่องเชื้อชาติแต่เป็นเรื่องวัฒนธรรมและภาษาหากลองสืบสาวย้อนไปเชื่อได้ว่าแต่ละคนจะมีภูมิหลังไม่เหมือนกันเพราะมีการผสมกันไป – มาอย่างหลากหลาย ทั้งนี้ ในช่วงไม่กี่ปีล่าสุด กระแสเกลียดกลัวชาวต่างชาติ (Xenophobia) เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลกโดยเฉพาะกลุ่มที่มีความคิดทางการเมืองแบบขวาจัด แต่กระแสนี้เป็นอันตราย อย่างในไทยมีแรงงานข้ามชาตินับล้านคน การสร้างความเกลียดชังจะนำไปสู่ความขัดแย้ง การเผชิญหน้าและความรุนแรง ซึ่งไม่ควรให้เกิดขึ้น 

ผมเข้าใจว่าจุดยืนคนเราไม่เหมือนกันแต่อยากให้มองแบบก้าวไกลไปกว่าความรู้สึกและอารมณ์มองไปในภาพรวมว่านี่มันเป็นสังคมซึ่งเราต้องการสังคมที่เป็นพหุวัฒนธรรมมีความหลากหลายมีความเสมอภาคและมีความสมานฉันท์ไม่มีความขัดแย้งความขัดแย้งที่จะมีขึ้นกับเพื่อนบ้านก็ไม่ควรนำมาสู่ความขัดแย้งในประเทศด้วยมันควรแยกออกจากกัน ผศ.ดร.สักกรินทร์ กล่าว       

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/- 

อ้างอิง 

https://www.doe.go.th/prd/assets/upload/files/legal_th/3ad8fb156a32cbb000e303125ced6af7.pdf (พระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ((update ณ วันที่ 16 ตุลาคม 2561) : สำนักบริหารแรงงานต่างด้าว กระทรวงแรงงาน) 

https://lms.nhrc.or.th/ulib/document/Fulltext/F03988.pdf (ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน , สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ) 

https://ils.labour.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=8&Itemid=9 (อนุสัญญาที่ให้สัตยาบันแล้ว , กลุ่มงานมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน) 

https://humanrights.mfa.go.th/wp-content/uploads/pdf/crct.pdf (อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก , ความรู้ด้านสิทธิมนุษยชน โดยกรมองค์การระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ) 

https://law.m-society.go.th/law/view/33 (พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 : กองกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์)

https://resolution.soc.go.th/?prep_id=204015 (มติ ครม. เรื่อง ร่างระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยหลักฐาน วัน เดือน ปีเกิด ในการรับนักเรียนนักศึกษาเข้าเรียนในสถานศึกษา พ.ศ. …. (การจัดการศึกษาแก่บุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย) 5 ก.ค. 2548) 

https://www.naewna.com/likesara/853632 (‘เกิดน้อย-แก่เพิ่ม-ประชากรลด’ วิกฤติหรือโอกาส? : แนวหน้า 16 ม.ค. 2568)

https://www.thairath.co.th/money/economics/thai_economics/2838979 (ประเทศไทย ดินแดนของ “นักศึกษาจีน” ยอดเพิ่มปีละ 24% ทะลัก 28,052 คน “เกริก-ชินวัตร-แสตมฟอร์ด” TOP 3 : ไทยรัฐ 30 ม.ค. 2568) 

https://www.thaipbs.or.th/news/content/358710 (เปิดเบื้องหลังจับกุม “ปลัดอำเภอ-กำนัน-ผญบ.” ขบวนการสวมบัตรต่างด้าว : ThaiPBS 20 พ.ย. 2568)