“The Structure – เจ๊จุก คลองสาม” กับข้อความที่ถูกบิดเบือนของ ศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์

Top Fact Checks Political

กองบรรณาธิการโคแฟค

โคแฟคตรวจสอบมีมที่อ้างว่าเป็นคำพูดของ ศ.ดร. พวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรณีไทย-กัมพูชา ที่ระบุว่า “หยุดคลั่งชาติและหัดดูกัมพูชาเป็นตัวอย่างที่ดี” ที่ถูกเผยแพร่ขณะเกิดเหตุปะทะที่ชายแดนไทยกัมพูชาเมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568 พบว่าเป็นการนำข้อความจากโพสต์เฟซบุ๊กของ ศ.ดร. พวงทองมาบิดเบือนและเผยแพร่ผิดบริบทเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดต่อผู้ที่แสดงความคิดเห็น

ช่วงบ่ายของวันที่ 24 ก.ค. 2568 ซึ่งเป็นวันแรกของการยิงปะทะกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชาอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ตามแนวชายแดนจังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ผู้ใช้โซเชียลมีเดียที่ใช้ชื่อว่า “เจ๊จุก คลองสาม” ที่มักโพสต์เนื้อหาสนับสนุนกองทัพ ได้นำภาพ ศ.ดร. พวงทอง มาเผยแพร่ทางเพจเฟซบุ๊ก (ผู้ติดตาม 3.4 พันบัญชี) และ X (ผู้ติดตาม 1.14 แสนบัญชี) ในภาพฝังข้อความว่า “หยุดคลั่งชาติและหัดดูกัมพูชาเป็นตัวอย่างที่ดี ศ.พวงทองชี้กัมพูชาเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ ขณะที่ชาวโลกมองไทยเป็น ‘เด็กเจ้าปัญหา’” โดย “เจ๊จุก” เขียนข้อความเชิญชวนให้ผู้ติดตาม “ช่วยแสดงความเห็นกับเรื่องนี้ที”

โคแฟคตรวจสอบ

โคแฟคตรวจสอบภาพและข้อความที่อ้างว่าเป็นคำพูดของ ศ.ดร.พวงทอง พบว่าเป็นพาดหัวข่าวของเพจข่าว The Structure ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 2568 และมีการอัพเดทเพิ่มเติมในวันที่ 5 มิ.ย. โดยในเนื้อหาได้อ้างคำพูดของ ศ.ดร. พวงทองที่แสดงความคิดเห็นต่อการแก้ไขปัญหาความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาหลังการปะทะกันของทหารทั้งสองฝ่ายในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนใกล้ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2568

เมื่อตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า รายงานข่าวของ The Structure ชิ้นนี้อ้างมาจากข้อความที่ ศ.ดร. พวงทองโพสต์ในเพจเฟซบุ๊ก Puangthong Pawakapan (ผู้ติดตาม 3.2 หมื่นบัญชี)เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 2568 ซึ่งให้ความเห็นสนับสนุนการที่ไทยใช้เวทีคณะกรรมาธิการชายแดนร่วมไทย-กัมพูชาหรือเจบีซีในการแก้ปัญหาข้อพพาทเขตแดนที่เกิดขึ้นล่าสุด โดยได้ยกกรณีข้อพิพาทเขาพระวิหารเมื่อปี 2551-2554 ในช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ข้อความเต็มจากโพสต์เฟซบุ๊กของ ศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ 3 มิ.ย. 2568

“ยิ่งไม่เจรจา เน้นใช้กำลังทหารเป็นหลัก จะยิ่งทำให้ประเทศไทยสูญเสียความน่าเชื่อถือในเวทีระหว่างประเทศ และสงครามไม่เคยแก้ปัญหาข้อพิพาทได้

“ฮุน เซน เติบโตมาจากทหารบ้าน (กองกำลังเขมรแดง) ไม่มีการศึกษาสูงส่งอะไร แต่เขาเก่งเรื่องการต่างประเทศมากๆ (ขึ้นเป็นรมต.ต่างประเทศตั้งแต่อายุแค่ 28 ปี) พอเกิดเรื่องไม่ทันไร ก็ใช้เวทีรัฐสภาของตน ประกาศว่าจะนำปัญหาข้อพิพาทกับไทยขึ้นสู่ศาลโลก (ICJ) ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะไทยถอนตัวออกจากการเป็นภาคีของ ICJ ตั้งแต่ปี 1962 หรือเมื่อแพ้กรณีปราสาทพระวิหาร แต่การประกาศเช่นนี้ของฮุน เซนเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

“นกตัวแรก คือการประกาศให้ประชาชนกัมพูชาเห็นว่ารัฐบาลจะไม่หงอให้กับประเทศที่ใหญ่กว่า แม้เขาจะมีความสนิทสนมกับรัฐบาลไทยและครอบครัวชินวัตร แต่รัฐบาลกัมพูชามีหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของชาวกัมพูชา … ได้ใจคนเขมรท่วมท้น

“นกตัวสอง คือการประกาศให้นานาชาติเห็นว่ากัมพูชาแก้ปัญหาโดยใช้กฏกติการะหว่างประเทศเป็นที่พึ่ง — กฏหมายระหว่างประเทศมีไว้แก้ปัญหาเพื่อรักษาสันติภาพและความมั่นคงของโลก — กัมพูชาประพฤติตนเป็นสมาชิกที่ดีของโลก … ฮุน เซนกำลังท้าทายประเทศไทยว่ากล้าหรือไม่ ที่จะให้คนกลางตัดสินปัญหา กลัวอะไร?

“ฉะนั้น สำหรับดิฉัน ในเมื่อไทยไม่ต้องการใช้ ICJ อีกต่อไป ก็ต้องอาศัยการเจรจาเป็นแนวทางหลักในการแก้ปัญหา การที่รัฐบาลประกาศใช้เวที JBC คือจุดเริ่มต้นที่ดี (แม้ว่าจะใช้เวลาหายงงอยู่นานก็ตาม บอกตรงๆ ว่างงกับรัฐบาลเพื่อไทยชุดนี้มาก ทำงานแบบคนเมายาได้เกือบทุกเรื่อง)

“สำหรับคนที่โตไม่ทันเหตุการณ์ข้อพิพาทเหนือปราสาทพระวิหารที่ปะทุขึ้นโดยขบวนการที่มุ่งทำลายรัฐบาลพลังประชาชน/เพื่อไทยด้วยการปลุกกระแสคลั่งชาติระหว่างปี 2551-2554 ดิฉันขอย้อนเหตุการณ์ให้อ่านสั้นๆ ว่ากรณีนี้ทำให้สถานะของไทยเหมือนเด็กเกเรระหว่างประเทศอย่างไร

“เมื่อเกิดการปะทะทางทหารขึ้น รัฐบาลฮุน เซน ประกาศขอให้อาเซียนเข้ามาเป็นตัวกลางในการเจรจา อินโดนีเซียซึ่งเป็นประธานอาเซียนในขณะนั้น รมต.ต่างประเทศ นาย Marty Natalegawa ตอบรับแสดงความยินดีอย่างรวดเร็ว เพราะสอดคล้องกับสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia – TAC) ของอาเซียน ที่ระบุว่าประเทศสมาชิกพึงแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี

“แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ปฏิเสธในทันที บอกว่านี่เป็นเรื่องทวิภาคี ไม่ต้องการให้บุคคลหรือองค์กรที่ 3 เข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งๆ ที่ไทยเป็นสมาชิกอาเซียน …. อินโดนีเซียเซ็งไปเลย

“เมื่อความขัดแย้งลุกลามบานปลายมากขึ้น เกิดการปะทะทั้งบริเวณใกล้ปราสาทพระวิหารและกลุ่มปราสาทตาเมือน ในเดือน ก.พ. 2554 ฮุน เซนประกาศว่าจะไม่มีการเจรจาระดับทวิภาคีอีกแล้ว และยื่นร้องขอให้คณะมนตรีแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC จัดประชุมด่วนเพื่อหาทางยุติความก้าวร้าวของไทย (คำของ กพช.) รวมทั้งให้ส่งกองกำลังรักษาสันติภาพมาประจำในพื้นที่พิพาทอีกด้วย

“รัฐบาลอภิสิทธิ์คัดค้านข้อเรียกร้องนี้ แต่ UNSC กลับตกลงที่จะรับพิจารณาประเด็นที่กัมพูชาร้องขอ

“UNSC ออกมติเตือนให้สองประเทศใช้ความรอบคอบระมัดระวังให้มากที่สุด, ให้มีการตกลงหยุดยิงอย่างถาวร และให้อินโดนีเซีย ในฐานะประธานอาเซียน เป็นตัวกลางจัดการประชุมพบปะระหว่างสองฝ่าย

“ฮุน เซน รีบตอบสนองข้อเสนอของ UNSC ทันที ด้วยการเสนอให้มีการหยุดยิงอย่างถาวร แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ปฏิเสธข้อเสนอนี้ในทันทีเช่นกัน

“ในที่สุด สิงหาคม 2554 กัมพูชาตัดสินใจยื่นคำร้องต่อศาลโลกให้ตีความคำพิพากษาปี 2505 ว่า “บริเวณใกล้เคียง” (vicinity) ปราสาทพระวิหารที่ฝ่ายไทยต้องถอนทหารออกไปนั้น มีขอบเขตแค่ไหน นอกจากนี้ กัมพูชายังขอให้ศาลโลกออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้ประเทศไทยถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่พิพาท และยุติการกระทำที่เป็นการแทรกแซงสิทธิของกัมพูชาที่จะพัฒนาปราสาทพระวิหาร หรือทำให้ความขัดแย้งเลวร้ายลง

“เรื่องนี้จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของไทยอีกวาระหนึ่ง เมื่อศาลโลกตัดสินว่าภูเขาพระวิหารทั้งลูกคือบริเวณใกล้เคียงของปราสาท ที่ไทยต้องถอนทหารออกไป (ก่อนหน้านี้ ไทยถือว่าพื้นที่ฝั่งตะวันตกของหน้าผาหรือตัวปราสาท เป็นของไทย)

“เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้าคุณไม่ใช่มหาอำนาจที่สามารถทำตามอำเภอใจได้แล้วล่ะก็ ต่อให้อยากแก้ปัญหาด้วยสงคราม ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เพราะโลกมีกฏหมายระหว่างประเทศให้คู่กรณีของไทยได้ใช้ แน่นอนว่าในขณะนี้ กัมพูชาไม่สามารถลากไทยกลับไปขึ้น ICJ ได้อีก แต่ไทยต้องคำนึงถึงสถานะของตนในเวทีระหว่างประเทศให้มาก … หลายปีมานี้ วิกฤติการเมืองในไทยทำให้เรากลายเป็นเด็กเจ้าปัญหาในสายตาของโลก รวมทั้งกรณีผู้อพยพอุยกูร์ และการคุกคามดร.พอล แชมเบอร์ด้วย — ซึ่งกระทบถึงผลประโยชน์ของประชาชนอย่างประเมินค่าไม่ได้

“ต่อให้อยากแก้ปัญหาด้วยสงคราม ไทยก็ไม่ควรย่ามใจว่าจะเอาชนะกัมพูชาได้ง่ายๆ เพราะนับตั้งแต่เกิดกรณีปราสาทพระวิหาร กัมพูชาเห็นไทยเป็นศัตรูอันดับหนึ่ง เขากระชับความร่วมมือด้านการทหารกับจีนมากขึ้น เพื่อเร่งสร้างสมพละกำลังทางทหารมากขึ้น … ปัญหาคือฝ่ายทหารและความมั่นคงของไทยตามการเปลี่ยนแปลงด้านการทหารของกัมพูชาหรือไม่?

“สูญเสียกันไปเท่าไรกับกรณีปราสาทพระวิหาร ทั้งชีวิตชาวบ้าน-ทหาร, เศรษฐกิจการท่องเที่ยวของคนศรีษะเกษตายสนิทจนถึงปัจจุบัน, ค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี-ค่าจ้างทนายต่างชาติ (เชื่อว่าไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท) ฯลฯ

“ยังไม่นับว่าวิกฤติการณ์นี้ที่ทำให้รัฐบาลไม่สามารถโฟกัสกับการแก้ปัญหาภายในได้อย่างเต็มที่

“ความขัดแย้งกับกัมพูชาในขณะนี้จึงชี้ว่า คนจำนวนมาก รวมทั้งปัญญาชน ไม่สามารถเรียนรู้อดีตได้เลย เล่นกับไฟชาตินิยมง่ายกว่า เพราะเวลาไฟลามมือ ก็มือของคนอื่น ไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น แบบเดียวกับพวกคลั่งชาติในปี 2551-2554”

ในตอนหนึ่งของโพสต์ ศ.ดร.พวงทองได้เตือนว่าการปลุกกระแสรักชาติจนเกินขอบเขต และการเลือกใช้กำลัง โดยละเลยกลไกการแก้ปัญหาระหว่างประเทศ ทำให้ไทยเพลี่ยงพล้ำต่อกัมพูชา สูญเสียทั้งชีวิตชาวบ้าน ทหาร และเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของศรีสะเกษ และสูญเสียเขาพระวิหารในที่สุด

ทั้งนี้ข้อความที่ ศ.ดร.พวงทองโพสต์ไม่มีคำว่า “หยุดกระแสคลั่งชาติ” และ “หัดดูกัมพูชาเป็นตัวอย่างที่ดี” แต่อย่างใด

เมื่อเดือน เม.ย. 2568 เว็บไซต์ประชาไทได้เผยแพร่รายงานเรื่อง งานวิจัยแคนาดาเผย โพสต์ ‘เจ๊จุกคลองสาม’ ปรากฎอยู่ในเอกสาร ‘ยุทธศาสตร์ฝ่ายเรา’ ของไอโอ อ้างถึงงานวิจัยเรื่อง “วิธีการที่เจ้าหน้าที่รัฐเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวเพื่อปราบปรามฝ่ายประชาธิปไตยในไทย” จัดทำโดย อัลแบร์โต ฟิตตาเรลลี เอ็ม สก๊อต และเกศกนก วงษาภักดี ในนามของ The Citizen Lab ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยของ Munk School of Global Affairs and Public Policy มหาวิทยาลัยโตรอนโต ประเทศแคนาดา งานวิจัยนี้วิเคราะห์ว่า เพจ “เจ๊จุก คลองสาม” ซึ่งมีการเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลของนักเคลื่อนไหวประชาธิปไตยโดยมีเจตนาซ่อนเร้น เป็นตัวอย่างไอโอหรือปฏิบัติการชักจูงซึ่งมีผู้ติดตามจริงบน X และ Facebook

ข้อสรุปของโคแฟค

จากการตรวจสอบข้อความที่ ศ.ดร.พวงทองโพสต์อย่างละเอียด ไม่มีข้อความว่า “หยุดกระแสคลั่งชาติ” และ “หัดดูกัมพูชาเป็นตัวอย่างที่ดี” แสดงว่าข้อความที่ The Structure นำมาใส่ประกอบภาพ ศ.ดร.พวงทองและพาดหัวข่าวนั้นเป็นข้อความที่บิดเบือน ทำให้คนเข้าใจผิดว่าเป็นคำพูดของ รศ.ดร.พวงทอง

การที่ “เจ๊จุก คลองสาม” นำข้อความนี้มาเผยแพร่ในขณะที่เกิดเหตุปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568 ซึ่งมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต และมีทรัพย์สินเสียหายจำนวนมาก เป็นการจงใจเผยแพร่ผิดบริบท ทำให้คนเข้าใจผิดว่า ศ.ดร.พวงทอง แสดงความเห็นปกป้องกัมพูชาในช่วงที่สองฝ่ายกำลังปะทะกัน นอกจากนี้การเขียนข้อความเชิญชวนให้แฟนคลับแสดงความคิดเห็น ยังแสดงถึงเจตนาสร้างกระแสอย่างใดอย่างหนึ่งที่อาจทำให้ปัญหาการสู้รบบานปลายมากกว่าการยุติปัญหา

โคแฟคขอให้ประชาชนงดแชร์โพสต์ดังกล่าวและใช้วิจารณญาณการเสพข้อมูลจากสื่อสังคมออนไลน์ในช่วงเวลาที่สถานการณ์ความมั่นคงชายแดนมีความสับสนและความอ่อนไหวต่อความรู้สึกของคนในชาติ  และให้ตรวจสอบข่าวและข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาจากแหล่งข่าวที่เป็นทางการและสื่อมวลชนอย่างรอบด้าน

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ