จาก‘แรงงานข้ามชาติ’ถึง‘พิพาทไทย-กัมพูชา’ข่าวลวงหล่อเลี้ยงด้วยอารมณ์ ขอ‘แพลตฟอร์ม’ร่วมรับผิดชอบ
15 ต.ค. 2568 ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับอีกหลายองค์กรเครือข่าย จัดงาน Cofact Tea Talk เสวนานักคิดดิจิทัล ครั้งที่ 30 “รับมือมหาสงครามข้อมูล บทเรียนจากเดือนตุลาฯ สู่ยุคปัญญาประดิษฐ์” ที่วิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) พร้อมถ่ายทอดสดผ่านเพจเฟซบุ๊ก “Cofact โคแฟค” และช่องยูทูบ “Thai PBS”

โดยในช่วงเช้า สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค ประเทศไทย กล่าวว่า ในเดิอนตุลาคมของทุกปีจะมีการรำลึกและทบทวน เช่น เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ที่ถูกเรียกว่าเป็นวันแห่งประชาธิปไตยบ้าง วันมหาวิปโยคบ้าง แต่จากวันที่นักศึกษาและประชาชนซึ่งถูกกดทับได้ลุกขึ้นมาต่อสู้ อีก 3 ปีต่อมาก็เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งถุกยกมาพูดถึงเสมอในประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองหรือทางความคิดที่นำไปสู่ความเกลียดชังและความรุนแรง และส่วนหนึ่งก็มาจากข้อมูลข่าวสารที่เข้าใจผิด
ขณะที่ในปัจจุบันซึ่งพูดถึงข้อมูลบิดเบือน (Disinformation) หรือข่าวลวง (Fake News) ที่มากับสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) แต่จริงๆ ในทางการเมืองก็มีเรื่องของข่าวลือ ข่าวลวง ข่าวปล่อย มาตลอดทุกยุคสมัย ในอดีตอาจหนักในแง่ข้อมูลข่าวสารถูกปิดกั้น ส่วนปัจจุบันที่มีข้อมูลข่าวสารจากทุกทางแต่ก็เต็มไปด้วยความสุดโต่งและไม่ว่าจะเป็นการเมืองในประเทศ การเมืองระหว่างประเทศ (เช่น สถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา) ไปจนถึงระดับโลก ก็จะเห็นสงครามข้อมูลข่าวสารเกิดขึ้นอย่างหนักหน่วง
“หัวข้อของเราใช้คำว่ามหาสงครามข้อมูลข่าวสาร ซึ่งเราพยายามแปลจากคำของคุณมาเรีย เรสซา (สื่อมวลชนชาวฟิลิปปินส์ที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ) ที่กล่าวในงานประชุมสหประชาชาติครั้งล่าสุด พูดถึงคำว่า InformationArmageddon ซึ่งหมายถึงอาจนำไปสู่วันสิ้นโลกของความจริง สิ้นสุดของของความจริงด้วยมวลมหาของข้อมูลที่ถาโถมแล้วทำให้เราเกิดภาวะซึมเศร้า เกิดภาวะความเหนื่อยล้าของข่าวสาร จนนำไปสู่ภาวะหลีกเลี่ยงข้อมูลข่าวสาร (News Avoidance)” สุภิญญา กล่าว
Sweta Madhuri Kannan, First Secretary, Cultural Affairs and Press, Embassy of the Federal Republic of Germany Bangkok กล่าวถึงโครงการที่โคแฟคจะมีความร่วมมือกับสถานทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย ในเรื่องความเชื่อถือในข้อมูล – ข้อเท็จจริงในช่วงที่จะมีการเลือกตั้งในประเทศไทย ในปี 2569 โดยจะมีกิจกรรมหลายอย่างซึ่งรวมถึงการสร้างความร่วมมือกับทุกพรรคการเมือง ตลอดจนสร้างการรับรู้ไม่เฉพาะในกรุงเทพฯ แต่รวมถึงในจังหวัดอื่นๆ ด้วย

จากนั้นเป็นการเสวนาหัวข้อ “จากข่าวลวงสู่อคติยืนยัน ความเกลียดชังที่วนซ้ำ” โดย กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า จากประสบการณ์ 3 ปีในการทำงานตรวจสอบข้อมูล (Fact – Check) มีเนื้อหาอยู่ประเภทหนึ่งที่ตนไม่สบายใจ คือเนื้อหาเท็จที่มีเจตนาสร้างความเกลียดชัง ซึ่งจะแตกต่างกับเนื้อหาเท็จที่ถูกเผยแพร่ไปด้วยความไม่รู้และไม่มีเจตนาสร้างความเสียหายกับใคร
ทั้งนี้ มี 4 กลุ่มที่ตนเห็นว่ามักตกเป็นเป้าหมายของการสร้างข้อมูลเท็จที่นำไปสู่การสร้างความเกลียดชัง คือ 1.นักการเมืองหญิง แม้จะยังไม่มีการเก็บสถิติที่ชัดเจน แต่จากการสังเกตก็พบว่านักการเมืองหญิงน่าจะเจอเรื่องนี้มากกว่านักการเมืองชาย เช่น การตัดต่อภาพโป๊เปลือย การเผยแพร่ข้อมูลอ้างเรื่องพฤติกรรมไม่เหมาะสม และยังไม่รวมถึงเนื้อหาเชิงล้อเลียนดูถูก
2.แรงงานข้ามชาติ มีตัวอย่างจากข่าวนักเรียนที่เป็นลูกหลานแรงงานข้ามชาติ ร้องเพลงชาติเมียนมาในศูนย์การเรียนรู้แห่งหนึ่งที่ จ.สุราษฎร์ธานี หรือข่าวชาวเมียนมาข้ามมาคลอดลูกในประเทศไทย นำไปสู่การเผยแพร่เนื้อหาสร้างความเกลียดชัง เนื้อหาเท็จ ตลอดจนเนื้อหาบิดเบือนเกี่ยวกับมาตรการของรัฐว่าด้วยแรงงานข้ามชาติ
3.ผู้นับถือศาสนาอิสลาม ชาวมุสลิมถูกสร้างความเกลียดชังจากกลุ่มชาวพุทธสุดโต่ง อย่างเมื่อเร็วๆ นี้ตนได้เก็บข้อมูลคลิปวิดีโอจากแพลตฟอร์ม TikTok จำนวน 250 คลิป ที่มีเนื้อหาสร้างความเกลียดชังชาวมุสลิม พบการใช้ข้อกล่าวหาและถ้อยคำที่รุนแรงมาก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าได้บ่มเพาะความเกลียดชังในใจมากน้อย – เพียงใด แล้วจะระเบิดออกมาเมื่อใด และ 4.ชาวกัมพูชา ซึ่งพบเห็นความเกลียดชังเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงที่เกิดการสู้รบกับไทยเมื่อเดือน ก.ค. 2567
ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วตนยังคงจะมุ่งมั่นทำงานตรวจสอบข้อมูล – ข้อเท็จจริงต่อไป แม้ลำพังสิ่งนี้จะยังไม่เพียงพอกับการจัดการกับอารมณ์หรือคติที่สั่งสมมา แต่อย่างน้อยจะทำให้สังคมกลับมาให้ความสำคัญกับความจริงก่อน นอกจากนั้นตนอยากขอให้หน่วยงานของรัฐหรือองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ร่วมมือกับโคแฟค เช่น เมื่อทางโคแฟคติดตามไปสอบถามข้อมูล เพราะเรากำลังทำหน้าที่ทำความจริงให้ปรากฏ ก็จะเป็นประโยชน์มาก
“ส่วนแพลตฟอร์มไมได้หวังอะไรมาก ช่วงส่งคนมามอนิเตอร์องค์กรที่ทำด้าน Fact Check หน่อย สมมติ AFP Fack Check , ThaiPBS Verify , โคแฟค ถ้าเห็นรายงาน Fact Check ของเราแล้วช่วยไปจัดการหน่อยว่าเราจะทำเนื้อหานี้อย่างไร แค่นี้ง่ายๆ เลยไม่ต้องคิดถึง Partnership (หุ้นส่วน) อะไรที่ใหญ่โต อีกอันคือช่วยเปิดการมองเห็น ถ้าเกิด Content Creator (ผู้สร้างเนื้อหา) เขาขอแบบช่วยเปิดการมองเห็น สร้างรายได้จากเนื้อหาให้กับผู้ใช้ Social Media ได้ ก็ช่วยเปิดการมองเห็นเนื้อหาของของค์กรที่ทำงาน Fact Check หน่อยเท่านั้นเอง เท่านั้นก็จะช่วยได้มากแล้ว” กุลธิดา กล่าว
บัญชา จันทร์สมบูรณ์ กองบรรณาธิการโคแฟค (ประเทศไทย) และอดีตผู้สื่อข่าว นสพ.แนวหน้ากล่าวว่า ตนมาร่วมงานกับโคแฟคได้เพียง 2 เดือน คือในช่วงเดือน ส.ค. – ก.ย. 2568 เจอเนื้อหาเท็จหรือเนื้อหาบิดเบือนที่สร้างความเกลียดชังจำนวนมากทั้งที่ทำโดยผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ชาวไทยและชาวกัมพูชา เช่น คลิปวิดีโอน้ำท่วมวัดคูหาสุวรรณ จ.สุโขทัย เมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2568 ถูกชาวกัมพูชานำไปแชร์ต่อในลักษณะซ้ำเติมผู้ประสบภัยชาวไทย แต่หลังจากนั้นก็มีชาวไทยนำกลับมาแชร์โดยอ้างว่าเป็นคลิปน้ำท่วมในกัมพูชา เพื่อซ้ำเติมผู้ประสบภัยชาวกัมพูชา
คลิปน้ำท่วมสะพานใน จ.เชียงราย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเดือน ก.ย. 2567 ถูกชาวกัมพูชานำไปแชร์โดยใส่วันที่ในคลิปเป็นเดือน ต.ค. 2568 , คลิปน้ำท่วมในประเทศเม็กซิโก เมื่อเดือน มิ.ย. 2568 ถูกชาวไทยนำมาแชร์ต่อเมื่อต้นเดือน ต.ค. 2568 โดยอ้างว่าเป็นมวลน้ำจากเวียดนามไหลเข้าท่วมกัมพูชา พร้อมข้อความทำนองว่าไม่เห็นใจใดๆ ทั้งสิ้น และขอให้ท่วมให้ย่อยยับพินาศไป
หรือคลิปที่มีเนื้อหาเสียดสีล้อเลียน ในช่วงที่มีสถานการณ์สู้รบระหว่างทหารทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งไทยและกัมพูชาต่างจัดตั้งศูนย์อพยพสำหรับพลเรือนของตนเอง มีผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ชาวไทยแชร์คลิปวิดีโออ้างว่าชาวกัมพูชาทำอาหารมีกุ้งตัวโตๆ ในศูนย์อพยพอวดชาวไทย แต่จริงๆ แล้วคลิปดังกล่าวเป็นการทำอาหารเลี้ยงเด็กกำพร้าในสถานสงเคราะห์แห่งหนึ่งในกัมพูชาตั้งแต่เมื่อเดือน มิ.ย. 2568 เป็นต้น
แต่ที่ทำให้รู้สึกเป็นคำถามในใจมากที่สุด คือตนเป็นคนหนึ่งที่ชอบติดตามเนื้อหาเรื่องอาวุธปืน การต่อสู้ ยุทธวิธีทางตำรวจ – ทหาร แล้วไปเจอเพจเฟซบุ๊กหนึ่งโพสต์ข้อความแนะนำให้ใช้น้ำยาล้างห้องน้ำ พริกป่น ฯลฯ ล้างตาเมื่อถูกแก๊สน้ำตา ซึ่งเป็นช่วงที่เจ้าหน้าที่ตำรวจของไทยกำลังพยายามผลักดันชาวกัมพูชาที่เข้ามารุกล้ำตั้งถิ่นฐานในดินแดนของไทยออกไป มีการใช้ยุทธวิธีอย่างที่เห็นในการรับมือการชุมนุมต่างๆ เช่น แก๊สน้ำตา กระสุนยาง
ซึ่งโพสต์นี้แม้จะเข้าใจว่าเป็นการเสียดสีหรือทำเป็นเรื่องขบขัน แต่อีกมุมหนึ่งก็เป็นโพสต์ที่ก่อให้เกิดอันตรายและเป็นการสร้างความเกลียดชัง โดยโพสต์นี้เป็นอีกครั้งที่ทำให้ตนสงสัยว่า “ชาตินิยมหรือความมั่นคงกับสิทธิมนุษยชนจะไม่มีจุดที่ไปด้วยกันได้เลยหรือ?” เพราะหลังจากโคแฟคนำเสนอเรื่องนี้ไป ตนก็ไปเห็นแอดมินหรือผู้ดูแลเพจดังกล่าวไปโพสต์ไว้ในอีกเพจหนึ่งว่าตอนแรกจะลบ แต่พอเห็นพี่น้องที่เสียชีวิตไปจึงตัดสินใจไม่ลบ ซึ่งตนเข้าใจว่าแอดมินน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่สักหน่วยงานหนึ่ง โดยเพจนี้มีผู้ติดตามทั้งที่เป็นเจ้าหน้าที่และพลเรือน
หรืออย่างประเด็นแรงงานข้ามชาติ เช่น เมียนมา กัมพูชา เข้ามาแย่งงานคนไทย ทั้งที่หากไปดูข้อมูลของกระทรวงแรงงานจะเห็นว่าแรงงานกลุ่มนี้มาทำงานที่คนไทยไม่ทำ อย่างงานระดับล่าง งานกลุ่ม 3D คือ Dirty (งานสกปรกเนื้อตัวมอมแมม) Difficult (งานลำบาก) Dangerous (งานอันตราย) เช่น งานประมง งานก่อสร้าง หรืองานการผลิตในโรงงานของหลายๆ กิจการ แต่เรื่องนี้เป็นปัญหาทั่วโลกในประเทศที่เจริญขึ้นมา ตนขอท้าใครก็ได้ ช่วยหาข้อมูลว่ามีประเทศที่เจริญแล้วที่ใดบ้างสามารถดึงคนท้องถิ่นให้ทำงานประเภทนี้ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาแรงงานข้ามชาติ
“พูดถึงข่าวลวงวนในแพลตฟอร์ม ผมอยากให้แพลตฟอร์มช่วยรับผิดชอบเหมือนกัน ถ้าเป็นฝั่งกัมพูชาทำผมเดาว่าเพราะเขาอาจอยู่ในสังคมปิด สื่อเขาไม่ได้เสรีมาก แต่ฝั่งไทยทำผมมองว่าเป็นเพราะเรื่องรายได้ เพราะสังเกตว่าคลิปที่ทำกัน บางทีก็ไมได้พูดเรื่องการเมือง เอาความเกลียดชัง เอาคลิปข่าวปลอมมาวนเป็นขำขัน แล้วเขียนว่าเปิดการมองเห็น คลิปสร้างรายได้ ครีเอเตอร์มือใหม่ ซึ่งก็จะมีการโชว์ เพจพวกนี้ก็จะโชว์ว่าเดือนนี้ได้เท่านี้นะ เราพยายามต่อไปกัน แพลตฟอร์มคุณให้รายได้กับแบบนี้ด้วยหรือ? ถ้าให้จริงๆ อันตราย” บัญชา กล่าว
อภิเดช เตปิน นักวิจัย Neo Momentum เล่าถึงข้อค้นพบจากงานวิจัยติดตามพฤติกรรมการแสดงความคิดเห็นหรือเผยแพร่เนื้อหาทางสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งพบว่า “บนพื้นที่ออนไลน์นอกจากจะเป็นสงครามข้อมูลจริง – เท็จ แล้วยังยังเป็นสงครามของอารมณ์ด้วย” เพราะเมื่อข้อมูลเดินทางไปสัมผัสกับอารมณ์ของคน ข้อมูลก็สามารถถูกตีความ ชักจูงหรือชี้นำ จากความกลัวสิ่งอื่น (Others) กลายเป็นความโกรธ สุดท้ายก็กลายเป็นเรื่องเล่าหรือวาทกรรม และทำให้ข้อมูลนั้นถูกเชื่อและแชร์จนดำรงอยู่ในโลกออนไลน์ได้นานกว่าความเป็นจริง
ทั้งนี้ โลกออนไลน์ปัจจุบันคนไม่ได้เลือกเชื่อตามข้อเท็จจริง แต่เลือกเชื่อตามอคติที่ยืนยันความเชื่อเดิมของตน (Confirmation Bias) อย่าง 2 กรณีศึกษาที่ทำ คือกรณีแรงงานเมียนมา และกรณีความขัดแย้งไทย – กัมพูชา พฤติกรรมของผู้ใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ไม่ได้แชร์ข้อมูลเพื่อแสวงหาความจริง แต่แชร์เพื่อยืนยันความรู้สึกการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มของตนเอง ข้อมูลก็จะถูกแชร์กลับไป – มาในกลุ่ม เราก็จะได้ยินแต่เสียงที่สบายใจ หรือที่เรียกว่าปรากฏการณ์ห้องเสียงสะท้อน (Echo Chamber)
อีกทั้งเครือข่ายการสื่อสารของกลุ่มต่างๆ ยังแยกกัน แทบไม่เชื่อมกัน และการแชร์ข้อมูลของแต่ละกลุ่มก็ไม่ได้เป็นไปเพื่อทำความเข้าใจอีกฝ่ายหนึ่ง แต่เพื่อยืนยันความรู้สึกว่าเราคิดเหมือนกัน สิ่งที่เจอจึงอาจไม่ใช่สังคมแบ่งขั้ว (Polarization) แต่เป็นสังคมคู่ขนาน (Parallel Society) แต่ละกลุ่มมีชุดข้อมูล ความจริงและเรื่องเล่าเป็นของตนเอง ความขัดแย้ง ณ เวลานี้ไม่ใช่เพียงคนไม่เห็นพ้องต้องกัน แต่คือการที่คนไม่เห็นกัน
ซึ่งการมองปัญหาข่าวลวงจึงไม่สามารถมองเพียงในกรอบของข้อมูลที่ผิดหรือการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะอาจทำให้เรามองไม่เห็นแรงขับภายในที่ทำให้ความเกลียดมันยังดำรงอยู่ นั่นคือกลไกทางอารมณ์และเรื่องเล่า ข่าวลวงอาจเป็นเหมือนอาการภายนอกของปัญหา แต่สิ่งที่ทำให้ความเกลียดชังยังคงเผยแพร่ซ้ำเป็นวงจรได้คืออารมณ์ของคนที่ยังไม่ได้รับการเยียวยา
“เรามองว่าการสลายวงจรแห่งความเกลียดชังมันอาจจะต้องเริ่มจากการเปลี่ยนสภาวะอารมณ์ของพื้นที่ดิจิทัลให้นอกจากจะตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วมันยังต้องเข้าใจอารมณ์ ความกลัว ความเจ็บปวด ความรู้สึกของผู้คนทั้งในโลกจริงและใน Social Media ด้วยว่าอารมณ์ที่มันอยู่เบื้องหลังของข้อมูลเหล่านั้นมันคืออะไร? การสร้างสันติภาพของข้อมูลและอารมณ์มันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราฟื้นความเข้าใจระหว่างกัน จากความโกรธให้ไปสู่ความเข้าใจจากการตรวจสอบข้อเท็จจริง มันอาจนำไปสู่การเยียวยาทางความรู้สึกได้” อภิเดช กล่าว
-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-
