นิเทศฯ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดงานเสวนา “สื่อสารปัญหาชายแดนอย่างไรไม่ให้เกลียดชัง”
วงเสวนาวิชาการ นิเทศ จุฬาฯ ชี้ สื่อมืออาชีพควรระวังการเผยแพร่เนื้อหาที่มาจากสื่อออนไลน์ หันมาส่งเสริมการเรียนรู้ คิดวิเคราะห์จากข่าวต่างประเทศและประวัติศาสตร์โลก ภาคการศึกษาควรรุกส่งเสริมการรู้เท่าทันข้อมูลในยุคแห่งข่าวลวง องค์กรวิชาชีพตอบรับพร้อมสร้างความเข้าใจ มีแนวปฏิบัติที่ชัดเจน หลังบางสื่อปั่นกระแสข่าวความขัดแย้งไทย-กัมพูชาเสี่ยงสร้างความแตกแยก-เกลียดชัง
เมื่อวันอังคารที่ 21 ตุลาคม 2568 คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดงานเสวนา “สื่อสารปัญหาชายแดนอย่างไรไม่ให้เกลียดชัง” ณ ห้องประชุม ดร.เทียม โชควัฒนา คณะนิเทศศาสตร์ โดยมีวิทยากรเข้าร่วม ได้แก่ ผศ.ดร.ธเนศ เวศร์ภาดา นายกสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ผศ.ดร.จิรยุทธ์ สินธุพันธุ์ นักวิจัยด้านวัฒนธรรมศึกษาสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายชวรงค์ ลิมปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ นางสาวกุลชาดา ชัยพิพัฒน์ ที่ปรึกษาภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) และนายสันติวิธี พรหมบุตร รองบรรณาธิการ รายการ See True ไทยรัฐทีวี โดยมีผศ.ดร.ชนัญสรา อรนพ ณ อยุธยา ผู้ช่วยคณบดี คณะนิเทศศาสตร์ เป็นผู้ดำเนินรายการ
รศ.ดร.ปรีดา อัครจันทโชติ คณบดี คณะนิเทศศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ในปี 2568 นี้เป็นปีที่คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ มีอายุครบ 60 ปีและมีการเฉลิมฉลองภายใต้แนวคิด “Communicate a Betterverse for All” ซึ่งเชื่อว่าการสื่อสารเป็นหัวใจในการสร้างสังคมที่ดีขึ้นในทุกระดับ และเกี่ยวข้องกับคนทุกกลุ่มในสังคม การเสวนาในครั้งนี้จึงเป็นการช่วยหาคำตอบว่าจะสื่อสารอย่างไรให้ก้าวพ้นความขัดแย้งซึ่งรวมถึงเรื่องเชื้อชาติและพรมแดน
ผศ.ดร.ธเนศ กล่าวว่า ที่ผ่านมาพบเนื้อหาที่มีลักษณะหยาบคาย ติดป้ายตีตรา ยั่วยุ และมีอคติในสื่อโดยเฉพาะในออนไลน์และมีสื่อกระแสหลักบางส่วนนำไปเผยแพร่ต่อ ทั้งๆ ที่ผู้พูดไม่ใช่ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ จึงเป็นการขยายอารมณ์ที่มีแนวโน้มจะรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ออกไปด้วย นอกจากนี้ ผู้อ่าน ผู้ชมที่เป็น “แฟนคลับ” ของบุคคลที่ปรากฏอาจยิ่งช่วยกันกระพือกระแสให้มีความรุนแรงยิ่งขึ้นไป ปรากฏการณ์เช่นนี้ย่อมกระทบคนในสังคมโดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ดังนั้น ครูอาจารย์ควรระมัดระวังไม่ตอบสนองด้วยอคติ และสถาบันการศึกษาควรมีหลักสูตรปลูกฝังความรู้เท่าทันสื่อให้กับเด็กและเยาวชนได้ฝึกคิด วิเคราะห์ทำความเข้าใจตั้งแต่อายุยังน้อย
“ข่าวที่ออกมากระทบกับผู้คนจริงๆ ทั้งในพื้นที่และนอกพื้นที่ กระทบกับเยาวชน ต่อให้เราบอกว่าเด็กเดี๋ยวนี้ไม่สนใจหรอก นั่นไม่จริง เด็กสนใจและมีผลกระทบจริงๆ แต่วิจารณญาณจะอยู่ตรงไหน” ผศ.ดร.ธเนศ กล่าว
นางสาวกุลชาดา กล่าวว่า ในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา ภาคีCofact ซึ่งเป็นองค์กรรณรงค์ต่อต้านข่าวลวงและข้อมูลบิดเบือนได้ตรวจสอบพบเนื้อหาเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาที่มีข้อมูลเท็จและบิดเบือนจำนวนมากกว่า 40 ชิ้นถูกเผยแพร่ทั้งทางออนไลน์และทางสื่อกระแสหลักของไทย ทั้งนี้ คนไทยควรตระหนักว่าปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งมีความเกี่ยวเนื่องกับปัญหาการเมือง
“ในมิติที่เกิดขึ้นตอนนี้มาจากปัญหาการเมืองจริงๆ มันก็จำเป็นอย่างหนึ่งที่จะต้องแก้ด้วยการเมือง และการรายงานของสื่อในช่วงเวลาที่กำลังจะไปสู่การเลือกตั้ง เป็นช่วงที่มีความกังวลว่า แม้ในพื้นที่ไม่มีเหตุปะทุขึ้นแต่ในโลกออนไลน์ปัญหาอารมณ์ค้างจะยังอยู่ และเรารู้ว่าประเด็นเกี่ยวกับกัมพูชาจะถูกใช้อย่างเต็มรูปแบบในช่วงการเลือกตั้ง ขอฝากให้สื่อมวลชนกลับมาคิดและเตรียมตัว”
ในขณะที่นายสันติวิธีได้นำเสนอประสบการณ์การรายงานข่าวและทำรายการสารคดีเกี่ยวกับปัญหาบริเวณชายแดน ทั้งความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ตั้งแต่ปี 2554 รวมทั้งความขัดแย้งครั้งล่าสุด และปัญหา scammers ที่มีแหล่งกบดานในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเป็นการรายงานข้อเท็จจริงในแนวทางวารสารศาสตร์เพื่อสันติภาพ (peace journalism) นายชวรงค์กล่าวว่าเห็นด้วยกับแนวทางวารสารศาสตร์เพื่อสันติภาพ อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า ข่าวหรือสารคดีคุณภาพดีต้องใช้เวลาและทรัพยากรมาก ในขณะที่อุตสาหกรรมโทรทัศน์มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงเพื่อแย่งชิงเรตติ้งซึ่งจะแปรเปลี่ยนเป็นรายได้ของสื่อ
“วันนี้คนสนใจข่าวไทย-กัมพูชา สื่อก็ต้องให้เวลาข่าวเรื่องนี้เยอะ พอมีเวลา[ออกอากาศ]เยอะจะเอาอะไรมานำเสนอ ก็ต้องนำเนื้อหามาจาก social media มาใช้ และนี่คือปัญหา แล้วไม่ได้เอาคลิปจากฝั่งเดียวด้วย เอาฝั่งนี้ เอาฝั่งโน้นตอบโต้กันไปมา ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นข้อห้ามตั้งแต่แรกที่เราคุยกันมาตลอดว่าไม่ควรเอาคลิปมา เคยถาม ก็ได้คำตอบว่า ถ้าไม่เอาคลิปมาก็ไม่รู้จะนำเสนออะไรแล้ว”
องค์กรวิชาชีพจึงมีแนวคิดว่าจะนำแนวปฏิบัติในการนำเสนอข่าวในช่วงเหตุการณ์การสู้รบที่เคยจัดทำไว้แล้วมาเพิ่มรายละเอียดและทำความเข้าใจกับสื่อ ถือเป็นส่วนหนึ่งของการทำหน้าที่กำกับดูแลกันเองของสื่อมวลชน นายชวรงค์ กล่าว
ผศ.ดร.จิรยุทธ์ ได้ยกตัวอย่างเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์สมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและอาจมีหลายวิธีการในการแก้ปัญหา โดยไม่จำเป็นต้องเป็นการต่อสู้ปะทะโดยตรงเสมอไป ทั้งนี้ สื่อมวลชนควรนำเสนอข่าวต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นและให้ความรู้แก่ประชาชน เพื่อที่จะได้เรียนรู้โลกกว้างและตระหนักว่าปัจจุบันเป็นยุคสมัยแห่งการการแย่งชิงทรัพยากรครั้งสำคัญของโลก
“สื่อเรามีบทบาทและความสามารถมากกว่าแค่การเป็นผู้รายงานข่าว แต่สามารถที่จะวางกรอบความคิดอะไรบางอย่างที่เราอยากให้สังคมดำเนินไปได้ ผมอยากเห็นสื่อทำงานตรงนี้มากขึ้น อย่างเช่นที่คุณกุลชาดาบอกว่า นี่ก็กำลังจะเลือกตั้งแล้ว แล้วประเด็นเรื่องกัมพูชาต้องมาแน่ๆ เราต้องมานั่งคุยกันว่าแล้วเราอยากให้มันออกมายังไง ผมคิดว่าสื่อสามารถมีบทบาทสำคัญได้”
ผศ.ดร.จิรยุทธ์ กล่าวด้วยว่า สื่อสามารถมีบทบาทในการช่วยให้เกิดคุณค่า เรื่องเล่า (narrative) อัตลักษณ์ คุณค่าและจิตสำนึกแบบใหม่ในอาเซียนได้ เช่นเดียวกับที่ปัญหาพรมแดนในเอเชียกลาง 5 ประเทศที่มีมาหลายร้อยปีสามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้และมีการรวมตัวกันก่อตั้ง The Organization of Turkic Statesเพราะตระหนักว่าหากไม่แก้ปัญหาร่วมกันก็จะไม่สามารถดึงดูดนักลงทุนและไม่สามารถหาประโยชน์จากทรัพยากรร่วมกันได้
