สรุปข้อมูลใน Cofact.org 27 เม.ย.63

Fake news อีกหนึ่ง Super Spreader ที่กำลังแพร่ระบาดในสังคมไทย

นอกเหนือจากเชื้อไวรัสร้ายที่มองไม่เห็นกำลังแพร่กระจายในอากาศข้อมูลข่าวสารอันท่วมท้นล้นหลามก็ดูจะเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่กำลังแพร่อยู่ในอากาศ แต่เรามองไม่เห็น โดยเฉพาะ Fake News หรือข่าวปลอม

ในช่วงเทศกาลโควิด-19 นี้ สังคมไทยยังได้เรียนรู้ศัพท์ใหม่อีกหนึ่งคำ คือ Infodemic หลังจากองค์การอนามัยโลก (WHO) เอ่ยถึงเมื่อไม่นานมานี้

Infodemic ที่มาจากคำว่า Information ผสมกับ Pandemic ถูกอธิบายว่าคือความสับสนอลหม่านของข้อมูลข่าวสารที่ไหล่บ่าท่วมท้น และมีความบิดเบี้ยวของสารที่ถูกส่งต่อแพร่กระจายอย่างรวดเร็วแข่งกับภัยโรคระบาดไปทั่ว จนทำให้คนเกิดความตื่นตระหนก และกังวล ซึ่งWHO ชี้ชัดว่า ข่าวปลอมเหล่านี้เป็นภัยร้ายต่อสุขภาพอย่างหนึ่ง

พีรพล อนุตรโสตถิ์ จากชัวร์ก่อนแชร์ เปรียบเทียบความรุนแรงของข่าวสารในสถานการณ์โควิดว่าไม่ต่างจากมหกรรมใหญ่ ระดับโอลิมปิค หรือ world expo ที่มีข่าวปลอมเกิดขึ้นทุกวันและจัดการได้ยาก และตรวจสอบยากขึ้น โดยในประเทศไทยนั้น ข่าวสารที่มีความอ่อนไหวที่สุด คือจุดที่มีเรื่องวิทยาศาสตร์มาเกี่ยวข้อง

“ข่าวปลอมเพิ่มเรื่อยๆ ตามความระบาดของโรค ส่วนหนึ่งเกิดจากความกระหายใคร่รู้ของข้อมูล ซึ่งปรากฏการณ์เรื่อง Infodemic เกิดทั่วโลก มาตั้งแต่มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งสำหรับที่คนทำงานด้าน fact checking เมื่อก่อนข่าวเดียวก็เช็คหนักแล้ว แต่โควิดนี่เยอะจริง

เขาบอกที่มาของข่าวลวงนั้นเกิดทั้งด้วยความตั้งใจและไม่ตั้งใจ ซึ่งเขาแบ่งออกเป็น 8  กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสื่อ กลุ่มผู้เชี่ยวชาญทั้งที่เป็นแพทย์และไม่ใช่แพทย์ กลุ่มคนที่มีเป้าหมายต้องการขายสินค้า ประชาชนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือไม่เข้าใจสถานการณ์แล้วเป็นผู้แชร์ข่าวมา หน่วยงานและนักการเมืองที่มีความสับสนจากการทำงานไม่บูรณาการกัน กลุ่มคนที่ตั้งใจสร้างข่าวลวงที่เรียกว่า “เกรียน”  และเป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากการสื่อสารที่ไม่ครบถ้วน

“ข่าวปลอม ข้อมูลเท็จ เกิดจากความตื่นตระหนก ความเข้าใจผิด และที่สำคัญส่งผลต่อสุขภาพ นอกจากนั้นบางสื่อควรพาดหัว โดยคำนึงผลกระทบมากกว่าจะเน้นเฉพาะดึงดูดให้คนมาอ่าน ผมแนะนำว่าทุกข่าวเราควรหาต้นตอที่มา ตรวจสอบเนื้อหา สงสัยไว้ก่อน”

ขณะที่ กล้า ตั้งสุวรรณ ซีอีโอ บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการด้านการวิเคราะห์ข้อมูลโซเชียลอันดับ 1 ในประเทศไทย สะท้อนว่า เฟคนิวส์เกิดมาเพราะโซเชียลมีเดีย เนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มที่มีคนเป็นพันล้านคนที่มารวมกัน ทั้งยังเป็นเรียลไทม์ ซึ่งเฟคนิวส์นั้นเกิดขึ้นตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่สถานการณ์ไวรัสโควิด ทำให้เกิดอิมแพคท์ค่อนข้างแรง และเป็นปัญหาที่ฟากฝั่งรัฐบาลและหน่วยงานที่กำกับดูแลเอง ก็ยังตามไม่ทัน

ในมุมคิดของเขา เชื่อว่าปัญหานี้ควร ต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยจัดการ เพราะ “ถ้าใช้แรงงานคนคงไม่ทัน” จึงทำให้เป็นที่มาของการก่อตั้ง wisesite ของเขา โดยมีการนำเทคโนโลยีเกี่ยวกับบิ๊กดาต้า เพื่อรวบรวมข้อมูลข่าวสารทั้งหมด แล้วนำมากรองด้วยฟิลเตอร์ง่ายๆ แล้ววิเคราะห์ ซึ่งสามารถทำให้ติดตามสถานการณ์ของข้อมูลข่าวสารได้อย่างรวดเร็ว ทันเหตุการณ์

“จากการวิเคราะห์ เราสังเกตพฤติกรรมว่า สถานการณ์เริ่มถูกพูดถึงตั้งแต่ วันที่ 24 พฤศจิกายนปีที่ผ่านมา แต่ตอนนั้นยังมีการแชร์แค่หลักสิบ แต่พอหลัง 25 มกราคมปีนี้ การแชร์เริ่มมีแนวโน้มสูงขึ้น และเหตุการณ์ที่เป็นช่วงที่มีการแชร์สูงสุด คือวันที่ 13-16 มีนาคม ซึ่งเป็นช่วงรอยต่อ ก่อนที่รัฐบาลประกาศไม่ให้มีวันหยุดสงกรานต์ ซึ่งมีการแชร์เฉลี่ย 60,000-70,000 ส่วน engagement เป็นล้าน”

กล้าเผยต่อถึงพฤติกรรมการรับข่าวสารคนยุคนี้ว่า ปัจจุบันข้อมูลล้นมากจนเรารับไม่ทัน ซึ่งคนส่วนใหญ่ยังคง เชื่อสื่อหลัก แต่สื่อหลักเองก็มีมากขึ้นกว่าในอดีต ขณะที่ข้อมูลข่าวสารในโซเชียลมีเดียก็มีทั้งนำสื่อหลักมาแชร์ต่อและบางข้อมูลก็ไม่มีที่มา ขาดความน่าเชื่อถือ

 “จริงๆ โซเชียลมีเดียทำให้เราโลกแคบลง เพราะเขาจะสกรีนแต่เรื่องที่เราสนใจมาให้เรา รูปแบบของเฟสบุ๊คมีการสื่อสารแบบเพื่อนบอกเพื่อน ไม่ใช่ทางการอีกต่อไป ทำให้เราไม่แน่ใจว่า ควรเชื่อได้แค่ไหน เพราะส่วนใหญ่มีแต่  opinion”

หนึ่งกรณีศึกษา ที่ถ่ายทอดประสบการณ์จริงของตนเอง ฟูอาดี้ พิศสุวรรณ เผยว่าที่ผ่านมาทั้งตนเองและบิดา (ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ์) นั้น ต้องเผชิญกับเฟคนิวส์มาโดยตลอด

“เฟคนิวส์มันแพร่ไปได้เร็วมากกว่าข่าวจริง โดยเฉพาะเฟคนิวส์มีการใส่อารมณ์น้ำเสียง เล่นกับอารมณ์ ความรู้สึกของมนุษย์ จะยิ่งโดนแชร์ไปไกลและเยอะมาก”

เขามีความเห็นว่า นอกจากข่าวปลอมสามารถแพร่ระบาดไปได้เร็วกว่าข่าวจริงแล้ว ยังมีอีกหลายประเด็นที่สังคมควรตระหนัก หรือไม่ควรมองข้าม เช่น ยังมีกรณีที่ไม่ใช่เฟคนิวส์  แต่ข่าวจริงบางข่าว เมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่ง ก็จะมีข้อมูลจริงชุดใหม่มาลบล้างข้อมูลความจริงเก่า เช่น กรณีที่สหรัฐอเมริกาหรือหลายประเทศออกมาประกาศว่า ไม่จำเป็นต้องใส่หน้ากาก แต่มีการเปลี่ยนแปลงภายหลัง เมื่อผลปรากฏว่าการใส่หน้ากากทำให้เชื้อแพร่ระบาดช้ากว่า นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงกับความเห็นที่ผู้รับสารจำเป็นต้องแยกแยะให้ได้

ด้าน สถาพร อารักษ์วทนะ นักวิชาการมูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค เล่าถึงสถานการณ์ ผู้บริโภคในสามเดือนที่ผ่านมาว่ามีการร้องเรียนถึง  1055 ราย โดยปัญหาที่ได้รับการร้องเรียนมากที่สุด คือปัญหาข้อมูลสุขภาพ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เรื่องการไม่ได้รับความเป็นธรรมเรื่องคืนค่าตั๋วเครื่องบิน ทัวร์ ทั้งมีปัญหาด้านเศรษฐกิจ

“เนื่องจากช่วงนี้ ทุกคนมีซื้อสินค้าผ่านช่องทางมาร์เก็ตเพลสเพื่อหาซื้อสินค้าดูแลสุขภาพ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเข้าข่ายผิดกฎหมายหมด คนขายก็ผิด เพราะมีทั้งโฆษณาเกินจริง ข้อมูลเท็จ ขายเกินราคา หรือหลอกลวง อย่างหน้ากากอนามัยราคาขายแพงกว่าราคาจริง ซึ่งมาร์เก็ตเพลสเหล่านี้ไม่มีมาตรการควบคุม จึงทำให้ทำให้ราคายิ่งแพงหลายเท่าตัว แม้ทางผู้ให้บริการแพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลบางรายพยายามแบน แต่ผู้ซื้อก็สามาถเลี่ยงใช้คำอื่นแทนได้”

นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุน การสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)ร่วมเสริมว่า ในเรื่องความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโรค เกิดเป็นเฟคนิวส์เพราะบางคนอ่านมาไม่ครบถ้วน ทำให้ตีความผิดไป หรือทำให้ไขว้เขว ผู้นำเสนอข้อมูลเองก็มีการแย่งกันใครจะรายงานข่าวเร็ว ไวที่สุด แต่ในด้านความน่าเชื่อถือ ยังไม่มีกลไกเข้าไปช่วยตรวจสอบข้อมูล ซึ่งอาจต้องอาศัยเวลา

มองว่าอีกกลุ่มคนที่ควรโฟกัส เพราะมีบทบาทต่อความเชื่อถือของประชาชนในยุคนี้ คือ กลุ่มอินฟลูเอ็นเซอร์ ซึ่งบางครั้งเป็นผู้ชี้นำ ทำให้ประชาชนตระหนกตกใจกับข่าว

เมื่อการระบาดของข้อมูลข่าวสาร ทำให้เกิดข่าวลวงข่าวปลอมแพร่กระจายในสื่อไปทั่วโลก รวมทั้งในไทย สร้างความเข้าใจผิด ๆ ในเรื่องการป้องกันและควบคุมโรคระบาด และความปลอดภัยของประชาชน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ChangeFusion Wisesight Open Dream Center for Humanitarian Dialogue (HD) มูลนิธิ Friedrich Naumann Foundation for Freedom (FNF) สำนักงานกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ และภาคีเครือข่ายภาคประชาสังคม ภาควิชาการ และองค์กรวิชาชีพสื่อ ได้ร่วมกันนำร่องกลไกที่จะเป็นจุดเริ่มในการจัดการกับเฟคนิวส์ ภายใต้โครงการโคแฟค (Collaborative Fact Checking : Cofact) เพื่อเปิดพื้นที่ให้ทุกคนมีส่วนร่วมตรวจสอบข่าวลวงด้านสุขภาพ โดยเฉพาะประเด็นโควิด-19

วสันต์ ภัยหลีกลี้ ในฐานะตัวแทนสำนักงานกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์เอ่ยว่า แนวคิดโคแฟค คือพื้นที่สาธารณะที่ทุกคนร่วมกันตรวจสอบ ในเรื่องที่ยังไม่กระจ่าง เรื่องที่ สงสัย ข่าวลวงข่าวปลอม เรื่องที่เราต้องการให้เกิดความชัดเจนขึ้น

“เราถือว่าประชาชนที่ใช้สื่อออนไลน์ ทุกคนมีส่วนร่วมกันในการที่จะตรวจสอบข้อมูลข่าวสารต่างๆ ในสังคม ทำให้ข้อมูลข่าวปลอมลดลงไป โดยไม่มีใครเป็นผู้ผูกขาด และมีส่วนผลักดันให้นิเวศน์สื่อดีขึ้น”

โคแฟคท์ เป็นกระบวนการผสมผสานใช้เทคโนโลยีของภาคพลเมืองอย่าง Civil Tech กับงานเชิงวารสารศาสตร์ ที่จะมีบรรณาธิการช่วยตรวจสอบข่าว และภาคประชาชนเข้ามาร่วมตรวจสอบ จะเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ โดยเน้นทำงานผ่านเว็บไซต์ cofact.org และโปรแกรมการพูดคุยอัตโนมัติ (Chatbot) ไลน์ @cofact

ด้าน สุภิญญา กลางณรงค์ อดีตกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ผู้ร่วมก่อตั้ง  เอ่ยว่า โครงการโคแฟค เป็นความร่วมมือที่มาแก้ปัญหาร่วมกัน ด้วยแนวคิด “ทุกคนควร Fact Checker” หรือคนที่ทำหน้าที่ตรวจสอบข่าวสารด้วยตัวเอง ไม่ใช่เพียงภาระของคนใดคนหนึ่ง เป้าหมายสำคัญ คือ การทำให้ทุกคนเปิดรับสื่ออย่างรู้เท่าทัน ร่วมตรวจสอบข่าว นำมาสู่การเรียนรู้และพัฒนาทักษะเท่าทันสื่อของพลเมืองดิจิทัล ควบคู่ไปกับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อร่วมสร้างระบบนิเวศสื่อและสังคมสุขภาวะ

หนึ่งในทีมคนทำงาน สุนิตย์ เชรษฐา จาก Change Cushion เล่าถึงผลจากการศึกษาเกี่ยวกับเฟคนิวส์ ในช่วงวิกฤติโควิด-19 เขาได้ข้อสังเกตว่า คุณลักษณะของเฟคนิวส์ คือเรามักไม่รู้ที่มา แต่สามารถแพร่ไปไว

“ข่าวลวงมีอาการคล้ายระบาดวิทยา ไม่ต่างกับซุปเปอร์สเปรดเดอร์ (Super Spreader) แต่ขณะเดียวกัน ในการศึกษาเรายังพบกลุ่มคนที่ทำหน้าที่ช่วยตรวจสอบ (Corrector) ที่สามารถทำให้การแพร่กระจายข่าวลวงพวกนี้แผ่วลงได้ ผมจึงเรียกคนกลุ่มนี้ว่าเป็น super corrector”

ดังนั้นเป้าหมายของการพัฒนาแพลตฟอร์มที่เรียกว่าโคแฟคท์นี้ เกิดจากแนวคิดที่อยากให้ประชาชนที่รับข่าวมา แล้วมีช่องทางตรวจสอบที่น่าเชื่อถือและไม่ต้องไปค้นหาในเสิร์ชเอ็นจิ้นต่างๆ เอง

“พอทำไปสักพัก เราเริ่มเห็นว่า ข้อมูลที่ส่งมา เราสามารถเห็นแพทเทิร์นการเผยแพร่ ว่าเกิดขึ้นมายังไง ขยายแพร่กระจายไป และมีแนวโน้มจะเป็นกระแสแบบไหน”

เสริมด้วย นพ.ไพโรจน์ที่ให้ความเห็นว่า

“การระบาดข้อมูล เราไม่ได้ดูแค่จัดการแค่สถานการณ์ แต่เรายังเข้าไปดูถึงปัจจัยกำหนด เพื่อเข้าไปจัดการให้ถูกต้องชอบธรรม ด้วยกลไกรัฐ กลไกสื่อ และผู้ตรวจสอบข่าวสาร ปัจจุบัน เรายังไม่สามารถเห็น ชัดเจนว่า infodemic มีผลกระทบแค่ไหน และอย่างไร ดังนั้นถ้าเรามีกลไกที่ทำให้เราสามารถนำข้อมูลมาใช้ในการวิเคราะห์ ตั้งแต่การรายงานผลต่อการจัดการในพื้นที่ได้ก็จะช่วยชี้เป้าถึงต้นตอปัญหาและแนวทางแก้ไข”

นพ.ไพโรจน์ เอ่ยทิ้งท้าย

ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/recommended/detail/2116

สรุปข้อมูลใน Cofact.org 26 เม.ย. 63

สรุปข้อมูลใน Cofact.org 26 เม.ย. 63

สรุปข้อมูลใน Cofact.org 25 เม.ย.​63

สรุปข้อมูลใน Cofact.org 25 เม.ย.​63

สรุปข้อมูลใน Cofact.org 25 เม.ย.​63

สรุปข้อมูลใน Cofact.org 25 เม.ย.​63

สรุปข้อมูลใน Cofact.org 24 เม.ย.​63

สรุปข้อมูลใน Cofact.org 24 เม.ย.​63

สรุปข้อมูลใน Cofact.org 24 เม.ย.​63

สกัดข่าวลวง! เปิดตัว “Cofact” พื้นที่ออนไลน์ภาคพลเมืองช่วยตรวจสอบ

ภาคีประชาสังคม เปิดตัว line Chatbot “Cofact” เปิดพื้นเพื่อประชาชนตรวจสอบข้อมูลข่าวลวง-เท็จ ช่วยภาคพลเมืองรู้เท่าทันสื่อ

เมื่อเร็วๆ นี้ ภาคีประชาสังคมจัดเสวนานักคิดดิจิทัล Digital Thinker Forum#8 เรื่อง “Cofact vs Covid19 เราควรรับมือโรคระบาดข้อมูลข่าวสารอย่างไรให้สมดุล” พร้อมเปิดตัวเว็บไซต์และ line Chatbot “Cofact” ซึ่งเป็นพื้นที่เพื่อให้ประชาชนได้เข้าไปตรวจสอบข้อมูลข่าวสารว่าเป็นข่าวลวงหรือไม่ ย้ำระบบพัฒนาได้โดยยึดฐานการมีส่วนร่วมจากผู้ใช้งาน

สุนิตย์ เชรษฐา จาก Change Fusion หนึ่งในทีมพัฒนาระบบกล่าวถึงที่มาของโครงการว่าได้รับแรงบันดาลใจจากกรณีศึกษาในไต้หวัน ที่เชื่อเรื่องพลังของภาคพลเมืองในการรับมือกับด้านมืดของข้อมูลข่าวสาร โดยใช้เทคโนโลยีออนไลน์สร้างพื้นที่กลางเพื่อให้ทุกฝ่ายมาช่วยกันค้นหาข้อเท็จจริง คัดกรองและตรวจสอบข่าวลวงได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้หารือกับคุณออร์เดร ถัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัล ฯ และและทีมพัฒนาต้นแบบในไต้หวัน โดยมี OpenDream เป็นทีมพัฒนาต่อยอดระบบให้เหมาะกับบริบทของไทย

โครงการ Cofact หรือ Collaborative Fact Checking เป็นการใช้เทคโนโลยีภาคพลเมือง (Civic Tech) เชื่อมกับงานเชิงข่าวด้านวารสารศาสตร์ (Journalism) โดยมีกองบรรณาธิการร่วมกับอาสาสมัครคัดกรองข่าว นอกจากเว็บไซต์หลักแล้ว ยังมี Chatbot หรือโปรแกรมการพูดคุยอัตโนมัติที่เปิดให้ทุกคนส่งข่าวให้ทีมกลั่นกรองได้ มีการพัฒนางานข่าวเชิงลึก นำเสนอบทความที่น่าสนใจอันสืบเนื่องจากประเด็นข่าวจริงข่าวลวงที่เป็นกระแส การใช้งานง่ายเพียงเข้าสู่ระบบแล้วพิมพ์ข้อมูลคำที่ต้องการตรวจสอบหรือค้นหาได้เลย หากมีฐานข้อมูลเรื่องดังกล่าว ก็จะปรากฎข้อความให้ทราบว่ามีคนตรวจสอบและสืบค้นแล้วหรือไม่อย่างไร

“เป้าหมายคืออยากให้การตรวจสอบมาจากทั้งกลุ่มประชาชนทั่วไปที่เป็นคนใช้งาน หัวใจสำคัญคือการสร้างการมีส่วนร่วม คนสามารถเข้ามาตรวจสอบได้ง่ายๆ ไม่ต้องเสียเวลาสืบค้นมาก เมื่อพบข้อเท็จจริงแล้วอยากให้แชร์ต่อให้คนอื่นรับทราบด้วย ข้อมูลนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน อาจมีทั้งจริง ไม่จริงและยังตรวจสอบไม่ได้ แต่เครื่องมือนี้จะทำให้เครือข่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจำนวนมากได้เก็บข้อมูลและแชร์ฐานข้อมูลกลางที่กำลังเป็นกระแสเพื่อตรวจสอบข่าวลวงได้ รวมทั้งการวิเคราะห์หาต้นตอแหล่งกำเนิดข่าวลวง”

สุนิตย์กล่าวเพิ่มเติมว่า กรณีศึกษาข่าวสารในช่วงการระบาดของไวรัส Covid-19 พบว่าต้นตอของข่าวลวงนั้นมาจากหลากหลายแหล่งที่มีรูปแบบแตกต่างกัน เมื่อแชร์แล้วทำให้กระแสกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็มีกลุ่มของผู้ทำหน้าที่ช่วยตรวจสอบความถูกต้อง (corrector) ของข้อมูลดังกล่าวด้วย ยิ่งมีจำนวนมากก็ทำให้ข่าวลวงกำลังอ่อนลง ดังนั้นหากสร้างระบบนิเวศของการจัดการข่าวลวง ให้คนช่วยกันตรวจสอบได้มาก จะลดข่าวลวงได้ในที่สุด

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโครงการ Cofact กล่าวว่า แนวคิดนี้ให้คุณค่ากับความรับผิดชอบของพลเมือง ทุกภาคส่วนเป็นผู้ร่วมตรวจสอบข่าวลวงด้วยกัน  “เราเชื่อว่าการแก้ปัญหาข่าวลวงในยุคดิจิทัลคือการทำให้ทุกคนกลายเป็นคนตรวจสอบข่าวหรือ Fact checker และสร้างพื้นที่ในการแสวงหาข้อเท็จจริงร่วมกัน โดยเปิดเวทีให้มีตลาดทางความคิดเห็นที่หลากหลาย (Marketplace of Ideas) แยกแยะได้ระหว่างข้อเท็จจริง (Facts) และความคิดเห็น (Opinion) โดยเชื่อมั่นในวิจารณญาณของสังคม ท้ายที่สุดแล้วถ้าเราไม่สามารถเชื่ออะไรได้เลย ก็ไม่เชื่อไว้ก่อนจนกว่าจะมีการสืบค้นข้อเท็จจริงจนประจักษ์ร่วมกัน ย่อมดีกว่าการเชื่อไปโดยไม่ไตร่ตรอง หรือเชื่ออย่างมืดบอด”

ด้าน สถาพร อารักษ์วทนะ จากมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่าการระบาดของ Covid-19 ส่งผลกระทบต่อประชาชนหลายมิติ รวมทั้งข่าวลวงก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นด้วย ระหว่างเดือนมกราคม – มีนาคมที่ผ่านมา มีเรื่องร้องเรียนสูงถึง 1,055 รายการ แบ่งเป็นการร้องเรียนเกี่ยวกับข้อมูลสายสุขภาพหรือผลิตภัณฑ์ ฉลากอาหารและผลิตภัณฑ์ถูกยกเลิกไปแล้วหรือไม่มีเลข อย. แต่ยังพบในท้องตลาด

“ข้อมูลเช่นโฆษณาว่ากินอะไรเสริมภูมิต้านทาน ต้านโควิดหรือฆ่าเชื้อได้ คนที่ตระหนกยังไม่ทันตรวจสอบก็ซื้อหมด ช่องทางการขาย e market place ทำให้ซื้อขายได้ง่าย ตรวจสอบยาก ที่น่าเป็นห่วงคือสินค้าไม่ได้มาตรฐานและผิดกฎหมาย เช่น เจลอนามัยและแอลกอฮอล์รวมทั้งหน้ากากอนามัย เราประสานเจ้าของตลาดออนไลน์ให้เอาการขายเหล่านี้ออกไป เขาให้ความร่วมมือแต่ผู้ค้าก็มีเทคนิคพยายามเอาโฆษณากลับเข้ามาอีก”

สถาพร อารักษ์วทนะ จากมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค

ผู้บริโภคยังได้รับผลกระทบจากการเลื่อนเที่ยวบิน ยกเลิกทัวร์ และพิษเศรษฐกิจจากมาตรการต่างๆ เพื่อระงับการระบาดของโรคทำให้มีคนตกงาน หยุดงาน มีหนี้บัตรเครดิต ล่าสุดคือการลงทะเบียนรับสิทธิใช้อินเตอร์เน็ตฟรีเพราะทำให้คนที่ใช้อินเตอร์เน็ตอยู่เดิมนั้นกระทบจากความเร็วเน็ตที่ลดลง สถาพรกล่าวอีกว่า ถ้าทุกคนสงสัยและตั้งคำถาม จะนำไปสู่การค้นหาความจริง อย่าหลงเชื่ออะไรง่ายๆ ตรวจสอบทุกครั้ง และเมื่อทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคพบข้อมูลผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมาย ก็จะส่งให้ CoFact ทันที เพื่อให้ทุกคนเจ้ามาค้นหาความจริงได้
พีรพล อนุตรโสตถิ์ ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย อสมท กล่าวว่าข่าวปลอมและข่าวลวงเกิดขึ้นทุกวัน อีกทั้งการตรวจสอบยากขึ้น กรณี Covid-19 ถือเป็นโอลิมปิกของปัญหาข่าวลวงระบาดซึ่งเป็นสถานการณ์ทั่วโลก เพียงแต่อาจมีบางกรณีที่มีลักษณะเฉพาะท้องถิ่นที่แตกต่างออกไป หากจำแนกแหล่งที่มาของการเกิดข่าวลวงหรือสร้างความเข้าใจผิด อาจแบ่งได้เป็น 8 กลุ่มหลัก คือ สื่อทุกระดับ, ผู้เชี่ยวชาญทั้งที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์และไม่เกี่ยวกับการแพทย์, คนขายของทำให้คนเชื่อและสั่งซื้อไปกินไปใช้,ประชาชนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ,การหลอกลวงมาจากต่างประเทศ แล้วกระจายข้อมูลเข้ามาในไทย,ปัญหาจากการทำงานไม่ลงรอยระหว่างหน่วยงานราชการ/นักการเมือง,คนที่ตั้งใจป่วน กุข่าวลวง หวังผลให้แตกตื่นตกใจและเหตุจากการสื่อสารที่ไม่ครบถ้วน

“ข้อมูลหลายส่วนมีทั้งข้อเท็จจริงและสิ่งที่ไม่ถูกต้อง จึงอาจทำให้คนตื่นตระหนก เกิดความเข้าใจผิด เครียดและสับสนนำไปสู่การป้องกันดูแลตัวเองผิดวิธี ทางแก้ไข คือเราต้องตรวจสอบอย่างรอบด้าน ไม่รีบร้อนแชร์ส่งต่อข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือ ช่วงเวลานี้เป็นโอกาสของสื่อและคนทำงานเพื่อตรวจสอบข้อมูลให้ประชาชน หากไม่มีแหล่งที่มาอย่างชัดเจนให้สงสัยไว้ก่อน อย่าเผยแพร่ ถ้าไม่แน่ใจ เช่น ไม่มีแถลงข่าว ไม่มีเสียงบุคคลนั้นพูด ไม่มีเอกสารที่ตรวจสอบที่มาได้ ไม่มีลิงก์ไปยังเว็บไซต์ โดยเฉพาะคนที่มีความน่าเชื่อถือก็ต้องระมัดระวังการแชร์หรือเปิดเผยข้อมูลด้วย”

อย่างไรก็ตาม พีรพลมองในแง่ดีว่า ข่าวสารที่มีมากก็ทำให้คนตั้งคำถามกันมากขึ้นเกิดข้อสงสัยมากขึ้นด้วย สำหรับประเทศไทย เขาเห็นว่าประเด็นที่อ่อนไหวง่ายคือ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยด้านสาธารณสุขและเกี่ยวข้องกับเนื้อหาวิชาการหรือศัพท์เทคนิคทางการแพทย์หรือทางวิทยาศาสตร์ การวิจัย ซึ่งหาแหล่งตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ยาก

ส่วน ฟูอาดี้ พิศสุวรรณ จากสถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นักศึกษาปริญญาเอกสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด แบ่งปันประสบการณ์ตรงในฐานะผู้เคยตกอยู่ในกระแสข่าวลวง ทั้งจากกรณีของคุณพ่อคือ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เมื่อถูกคนแอบอ้างชื่อเพื่อเรียกร้องให้ประชาชนออกมาชุมนุมกับกปปส. ประมาณปี ค.ศ. 2014 โพสต์นั้นถูกแชร์ไปกว่า3หมื่นครั้งและมียอดไลค์กว่า2หมื่นครั้ง แม้จะมีข่าวแก้ไขในเวลาต่อมา แต่ยอดการแชร์ก็น้อยกว่าข่าวลวงที่เสนอไปก่อนหน้านั้น

ส่วนตัวเขาเองก็เจอประสบการณ์ถูกแอบอ้างชื่อปีที่แล้ว หลังจากโพสต์เกี่ยวกับหัวหน้าพรรคการเมืองหนึ่งที่ได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมจากหน่วยงานภาครัฐ เขาแสดงความเห็นว่าประเทศไทยต้องมีมาตรฐานทางกฎหมายมากกว่านี้ ไม่ควรมองคู่แข่งทางการเมืองเป็นศัตรูเพราะจะทำให้เกิดปัญหาตามมาได้ เนื้อหาในบทความนั้นไม่ได้เชียร์หรือตำหนิใครอย่างเจาะจง แต่มีคนเอาบทความอีกชิ้นที่ใช้ถ้อยคำและภาษารุนแรงกว่า เอามาต่อกันโดยเหมารวมว่าเป็นงานเขียนของฟูอาดี้ทั้งหมด ซึ่งไม่จริง จนเกิดการแชร์กระจายไปอย่างกว้างขวาง

“ผมเห็นว่ามี 3 ประเด็นที่เป็นข้อสังเกต อย่างแรกคือข้อมูลข่าวสารที่กุขึ้น เล่นกับอารมณ์ความรู้สึกของผู้คนจะไปได้ไกลกว่าข่าวจริงที่มีเนื้อหาสาระ ประการที่ 2 ข่าวบางเรื่องแม้จะเป็นความจริงในช่วงเวลาหนึ่งแต่เมื่อสถานการณ์และเวลาเปลี่ยนไป มีข้อมูลใหม่เข้ามาทดแทน ข้อมูลเก่าก็ไม่ถูกต้องแล้ว เราต้องตระหนักเรื่องนี้ เช่น คำแนะนำสวมหน้ากากอนามัยสำหรับคนที่ไม่ป่วย ตอนแรกองค์การอนามัยโลกบอกว่าไม่จำเป็น แต่พอหลังจากการระบาดหนักขึ้นก็บอกว่าคนไม่ป่วยก็ควรใส่เพื่อป้องกัน เป็นต้น และสุดท้ายความยากในการแยกแยะระหว่างความจริงกับข้อคิดเห็น เช่น ในเมืองไทยตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าตกลงรัฐบาลรับมือกับการระบาดได้ดีแค่ไหน เพราะยังมีความเห็นเป็นสองฝ่าย”

ฟูอาดี้เห็นว่า หาก Cofact สามารถพัฒนาระบบเพิ่มขึ้นนอกจากการตรวจสอบข่าวลวงแล้ว ยังทำหน้าที่ช่วยนำเสนอข้อมูลข่าวประจำวัน โดยเชื่อมโยงข่าวจากแหล่งต่าง ๆที่หลากหลาย หรือข่าวที่มีความเห็นแตกต่างในแง่มุมอื่นมาให้ผู้รับสารได้เลือกเพื่ออ่านประกอบด้วยก็จะเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน

กล้า ตั้งสุวรรณ CEO, ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) บริษัทผู้นำด้านการวิเคราะห์ข้อมูลโซเชียล และเป็นพันธมิตรทำงานร่วมกับ Cofact กล่าวว่าการระบาดของข่าวสารในช่วง Covid-19 หลักๆ มาจากโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นตัวเร่งให้ข่าวลวงกระจายได้อย่างรวดเร็วกว้างขวาง ดังนั้นเมื่อข่าวลวงเกิดขึ้นด้วยเทคโนโลยี ก็ต้องใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการ ก่อนหน้านั้น ข่าวลวงมีอยู่แล้ว แต่จำนวนและการแพร่กระจายไม่มาก เมื่อมีสื่อออนไลน์ก็ทำให้ข่าวลวงขยายตัวแบบก้าวกระโดด

“เราทำงานร่วมกับ Cofact เพื่อคัดกรองข้อมูลข่าวสารแล้วประมวลผลโดยใช้ระบบและเทคโนโลยีช่วยจัดการข้อมูลมหาศาลเหล่านั้น เช่น ระหว่างวันที่ 13-16 มี.ค. เป็นช่วงที่ข่าวสารกระจายมาก เพราะรัฐบาลประกาศไม่หยุดสงกรานต์ การสื่อสารส่งต่อข้อมูลออนไลน์มากถึง 760 ล้านครั้ง เกินกว่ามนุษย์จะประมวลได้ก็ต้องใช้ระบบและเทคโนโลยีเข้ามาช่วยจัดการ ทำให้เราเห็นรายละเอียดถึงพื้นที่กระจายข่าวสารได้ เช่น ภาคตะวันออกจะใช้โซเชียลมีเดียเยอะ เป็นต้น”

กล้า ตั้งข้อสังเกตให้เท่าทันสื่อออนไลน์ว่า บางแพลตฟอร์มถูกออกแบบสำหรับการสื่อสารระหว่างเพื่อนบอกเพื่อน ทำให้ข่าวสารถูกคัดกรองเฉพาะเนื้อหาที่เราชอบและเลือกจะดูหรือฟัง จึงอาจทำให้เรารู้ข้อมูลแคบลง เพราะเป็นข้อมูลที่มีความคิดเห็นร่วมด้วย ไม่ได้มีเฉพาะข้อเท็จจริง เขายังให้ความเห็นเกี่ยวกับแนวทางการกำกับดูแลของหน่วยงานภาครัฐ ว่าภารกิจสำคัญ คือการควบคุมให้น้อย และสนับสนุนให้ประชาชนได้สื่อสารกันมากขึ้น โดยมีระบบรองรับที่เหมาะสมและเพียงพอ

ก่อนหน้านั้น ตัวแทนองค์กรร่วมจัดงานและผลักดันการเกิดขึ้นของ Cofact ต่างร่วมแสดงความคิดเห็นที่สอดคล้องในแนวทางเดียวกันว่า ท่ามกลางสังคมที่มีข่าวสารท่วมท้น มีด้านมืดของข้อมูลอาจเป็นอันตรายต่อประชาชนและผู้บริโภค ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีพื้นที่กลางเพื่อตรวจสอบข่าวลวง

วสันต์ ภัยหลีกลี้ ผู้จัดการกองทุนสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เล่าย้อนที่มาของโครงการว่าเกิดจากความร่วมมือ 8 องค์กร ที่ได้ลงนามสัตยาบันร่วมกันตั้งแต่ปีที่แล้วเพื่อผลักดันให้เกิดมาตรการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพ บนฐานของการมีส่วนร่วมจากคนในสังคม

“เราถือว่าประชาชนคนที่ใช้อินเตอร์เน็ตใช้ออนไลน์ ทุกคนมีส่วนช่วยกันตรวจสอบข้อมูลข่าวสารได้ ไม่มีใครผูกขาดความจริง ไม่มีใครผูกขาดความถูกต้อง แต่ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบข่าวสารในสังคม ทำให้นิเวศน์สื่อดีขึ้นได้”

ดร.นพ. ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สถานการณ์ Covid-19 ระบาด ทำให้เกิดผลกระทบอย่างกว้างขวาง แม้ว่าระบบสาธารณสุขไทยมีความก้าวหน้าติดอันดับโลก และมีระบบการบริหารจัดการได้ดี แต่เรื่องสำคัญคือการมีข้อมูลข่าวสารจำนวนมากที่ขาดการคัดกรองความถูกต้องโดยเฉพาะการแข่งขันเรื่องความเร็ว จึงทำให้เกิดปัญหา

“คนตื่นตัวกันมาก แต่ก็มีความตระหนกเพิ่มขึ้นด้วย เพราะความกลัวและไม่รู้ การทำให้คนมีความรู้เท่าทันข้อมูล และเรียนรู้ปฏิบัติกับข้อมูลได้อย่างถูกต้องเป็นสิ่งที่ต้องช่วยกันส่งเสริม”

ดร.จิราพร วิทยศักดิ์พันธุ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สสส. กล่าวว่าในโลกของข่าวสารที่ทุกคนผลิตเนื้อหาได้ คนที่แชร์ข้อมูลอาจคิดว่าตัวเองเป็นต้นแหล่งของข้อมูลนั้น ๆ แต่ไม่รู้ว่าเขาอาจกลายเป็นเหยื่อของข่าวลวงได้เช่นกัน

“Cofact จะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลสกัดข่าวลวงได้ระดับหนึ่ง ถ้าหากสามารถหาโครงสร้างที่เหมาะสมและพัฒนาระบบได้จะแก้ปัญหาข่าวลวงได้อย่างอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป”

โครงการนี้เป็นความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายหลายภาคส่วน ได้แก่ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), สำนักงานกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์, Center for Humanitarian Dialogue (HD), Friedrich Naumann Foundation for Freedom (FNF), ดำเนินการโดย ChangeFusion และ OpenDream มีภาคีผู้ด้านเนื้อหาอย่าง มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และ ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) เป็นต้น