นวัตกรรม “Cofact” สร้างวัฒนธรรมใหม่ “Fact Checker” ปั้นสังคมไทยนักเช็คข่าวลวง เปิดพื้นที่ร่วมหาข้อเท็จจริง

นวัตกรรม “Cofact” สร้างวัฒนธรรมใหม่ “Fact Checker”
ปั้นสังคมไทยนักเช็คข่าวลวง เปิดพื้นที่ร่วมหาข้อเท็จจริง

“ทำให้ทุกคนกลายเป็นคนตรวจสอบข่าว หรือ Fact Checker และสร้างพื้นที่ในการแสวงหาข้อเท็จจริงร่วมกันให้เกิดขึ้นในประเทศไทย”




เจตนาสำคัญของนวัตกรรม “โคแฟค” (COFACT.ORG) หรือ Collaborative Fact Checking แพลตฟอร์มออนไลน์น้องใหม่ ที่จะช่วยให้คนไทยไม่ตกเป็นเหยื่อของ “ข่าวลวง” (Fake News) ทุกรูปแบบ ซึ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน เสวนานักคิดดิจิทัล ครั้งที่ 11 “ยุคดิจิทัล ทำไมความจริงร่วมจึงสำคัญ” โดยกลุ่ม ภาคีเครือข่ายป้องกันและตรวจสอบข่าวลวง อาทิ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาวะ (สสส.) กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ThaiPBS มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค สภาการหนังสือพิมพ์ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์กรมหาชน) หรือ TIJ ธนาคารจิตอาสา 77 ข่าวเด็ด Opendream มูลนิธิฟรีดิชเนามัน – Friedrich Naumann Foundation และ The Centre for Humanitarian Dialogue (HD) เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา นับว่าน่าสนใจไม่น้อยกับมิติใหม่แห่งการคัดกรองและส่งต่อข่าวสารที่กำลังจะเกิดขึ้น

เพราะปัจจุบันคนไทยกำลังเผชิญปัญหา “ข่าวลวง” ที่ระบาดหนักในสังคม โดยเฉพาะในสังคมออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ผิดๆ ด้านสุขภาพ การหลอกขายสินค้า แชร์ลูกโซ่ การพนันออนไลน์ ข่าวภัยพิบัติ รวมถึงประเด็นทางการเมือง ที่สร้างความสับสน ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด จนยากที่จะเชื่อถือในข่าวสารนั้นๆ ซึ่งถ้าหากคนในสังคมไม่รู้เท่าทันอาจตกเป็นเหยื่อ หรือเผยแพร่ส่งต่อโดยไม่รู้ตัว โดยข้อมูลจากมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคพบว่า แค่ช่วงต้นปี 2563 ระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคม มีเรื่องร้องเรียนด้านสุขภาพและผลิตภัณฑ์เข้ามาที่มูลนิธิสูงถึง 1,055 รายการ



ดังนั้นหนทางแก้ไขและน่าจะเป็นอีกตัวช่วยยกระดับสังคมไทยให้มีคุณภาพ ในเรื่องการรับและส่งต่อข้อมูลข่าวสาร สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุน สสส. หนึ่งในภาคีเครือข่ายป้องกันและตรวจสอบข่าวลวง ระบุชัดว่า จำเป็นต้องเปิดพื้นที่ให้ทุกคนได้มาแสวงหาความจริงร่วมกัน และเครือข่ายชุมชนโคแฟคทั้งบนเว็บไซต์ Cofact.org และไลน์ @Cofact นี้เอง จะกลายเป็นกลไกสำคัญในการจุดประกาย สานพลังใจพลเมือง ให้หันมาจับมือช่วยกันขับเคลื่อนกระบวนการตรวจสอบข่าวสารโดยภาคประชาชน

ไม่ต่างจากตัวแทนของ มูลนิธิฟรีดิชเนามัน – Friedrich Naumann Foundation และ The Centre for Humanitarian Dialogue (HD) ภาคีต่างประเทศจากสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีและสมาพันธรัฐสวิส ที่เห็นด้วยว่าเครือข่ายชุมชนโคแฟคจะช่วยให้ประเทศไทยรับมือข่าวลวงต่างๆ และ Hate Speech ทางการเมืองได้ เพราะแนวคิดที่ให้ทุกคนมาหาความจริงร่วมกันบนพื้นที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์ ไม่ขัดต่อหลักการประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพ ตอบโจทย์มากกว่าการใช้อำนาจรัฐเข้าไปแก้ไข



แต่เพราะเป็นเรื่องใหม่ การจะเดินให้ถึงเป้าหมายที่วางไว้จึงไม่ใช่เรื่องง่าย กับการนำแรงบันดาลใจจาก โครงการโคแฟคในสาธารณรัฐจีน ที่ภาคประชาสังคมไต้หวันมีความเชื่อมั่นในพลังของพลเมืองต่อการรับมือกับด้านมืดของข้อมูลข่าวสาร ผ่านการมีพื้นที่กลางให้ทุกฝ่ายมาช่วยกันค้นหาข้อเท็จจริง เพราะข้อเท็จจริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลาและเหตุปัจจัย มาปรับประยุกต์ใช้ในสังคมไทย


สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT.ORG กล่าวว่า การจะขับเคลื่อนให้กลไกโคแฟคสำเร็จได้จริงนั้น ต้องขยายงานจากการสร้างแพลตฟอร์มออนไลน์ ไปสู่การสร้างชุมชนเพื่อการตรวจสอบข้อเท็จจริง และทุกคนต้องร่วมด้วยช่วยกัน ปลุกความเป็น Fact Checker ในตัวเอง
“นับว่าเป็นการปฏิรูปสื่อในยุคดิจิทัล ด้วยการหันกลับมาสร้างความเข้มแข็งในภาคพลเมือง และแก้ไขข่าวลวงด้วยหลักวารสารศาสตร์ เช่น การสืบค้นข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือก่อนเสมอ และสร้างค่านิยมใหม่นี้ให้กลายเป็นวัฒนธรรมของสังคม” เธอย้ำอีกครั้งถึงแนวทางที่โคแฟคไทยจะเดินต่อไปจากนี้

อย่างไรก็ดี หลักการของข่าวลวงหรือ Fake News นั้นมีทฤษฎี โดยข่าวลวงนั้นเปรียบได้กับไวรัส คนที่ปล่อยข่าวลวงคือ Spreader แต่บางข่าวลวงที่ไปเร็วและขยายวงกว้างเพราะมี Super Spreader ที่เป็นเซเลบริตี อินฟลูเอนเซอร์ หรือผู้มีอิทธิพลทางสังคมในมิติต่างๆ เป็นผู้ปล่อยสาร แนวทางแก้ไขจึงต้องใช้ Super Corrector ที่มีอิทธิพลในระดับเดียวกันมาให้ข้อมูลด้านที่ถูกต้องและต้องทำทันที หากเป็นข่าวลวงในระดับพื้นที่ชุมชนที่แพร่กระจายตามโซเชียลมีเดียต่างๆ สุภิญญา บอกว่า ต้องอาศัย Many Correctors หรือประชาชนทั่วไปจำนวนมากมาช่วยกันตรวจสอบแก้ไข พร้อมใส่ข้อมูลที่ถูกต้องแทนลงไป จึงจะสามารถหยุดยั้งข่าวลวงนั้นได้ และ COFACT.ORG คือกลไกพื้นที่ที่สอดรับกับวิธีแก้ไขปัญหาดังกล่าว


“เราอยากไปไกลกว่าการชัวร์ก่อนแชร์ คือถ้าเห็นอะไรผิดนอกจากจะช่วยตรวจสอบแล้ว อยากให้เกิดการ Correct เอาข้อมูลที่ถูกต้องที่เป็นปัจจุบันที่สุดมาใส่ไว้เป็น Data Base ด้วย เพื่อให้คนอื่นมาเช็คได้ว่าข่าวนี้ลวงหรือจริง โดยสื่อมวลชนเองก็สามารถใช้แพลตฟอร์มนี้ตรวจสอบเนื้อหา ก่อนเผยแพร่ข่าวสารออกสู่สาธารณะได้เช่นกัน”
ขณะนี้ COFACT.ORG มีฐานข้อมูลอยู่ประมาณ 1,500 เรื่อง ส่วนมากเป็นประเด็นด้านสุขภาพเน้นไวรัสก่อโรคโควิด-19 และกลุ่มโฆษณาชวนเชื่อ ส่วนด้านสังคมและการเมืองที่มีความซับซ้อน ยังไม่มีฐานข้อมูลมากนัก ซึ่ง สุภิญญา แจ้งว่า ในอนาคตจะทำเป็นข่าวเจาะเชิงลึก นำชุดข้อมูลมาเรียบเรียง แล้วค่อยนำความเห็นมาประกอบ มากกว่าการฟันธงว่าอะไรจริงไม่จริง เพราะการเมืองเป็นประเด็นละเอียดอ่อนมีหลากหลายแง่มุม



ด้าน กนกพร ประสิทธิ์ผล ผู้อำนวยการสำนักสื่อใหม่ องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ThaiPBS) กล่าวว่า ในฐานะตัวแทนสื่อมวลชนก่อนปล่อยข่าวใดๆ ออกไป อยากให้สื่อมุ่งเน้นกระบวนการตรวจสอบเนื้อหาหลายขั้นตอน ควบคู่ไปกับความรวดเร็วในการนำเสนอ เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้รับข่าวสาร เพราะปัจจุบันสำหรับชาวบ้านทั่วไป ไม่เว้นแม้แต่คนในกรุงเทพฯ การตระหนักถึงการแชร์ข้อมูลโดยไม่ตรวจสอบ ประชาชนยังมองเป็นเรื่องไกลตัว



ขณะที่ วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล ผู้ผลิตรายการสารคดีและนักพัฒนาสังคม กล่าวในฐานะผู้เสพสื่อว่า หากแพลตฟอร์มโคแฟคใช้ได้จริงและมีประสิทธิภาพสูงสุดตามที่ตั้งเป้าไว้ ก็จะกลายเป็นเครื่องมือที่ดีของสังคม ทำให้บรรยากาศการถกกันในสังคมอาจจะดีขึ้น เพราะถึงจุดหนึ่งไม่รู้ว่าอะไรจริงไม่จริง และคนส่วนใหญ่ยังอยู่ในภาวะที่ยินดีเสพข้อมูลต่างๆ หากว่าตรงกับความเชื่อของตนเอง แค่ส่งไปถามโคแฟคที่เป็นจุดอ้างอิงที่ทุกคนยอมรับและเข้าใจตรงกันก็ได้ข้อยุติแล้ว แต่ทั้งหมดทั้งมวลต้องทำให้โปรเจ็กต์นี้น่าเชื่อถือ และมีฐานข้อมูลวงกว้างมากๆ


จิคัยดีล เจะและ Deen Vlog จ.นราธิวาส


เช่นเดียวกับ จิคัยดีล เจะและ ยูทูปเบอร์คนดัง Deen Vlog จาก จ.นราธิวาส ที่เห็นด้วยว่า พื้นที่สร้างสรรค์ COFACT.ORG จะช่วยบรรเทาปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ จากข่าวลวงได้


“จำได้ว่า Fake News ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ มีตั้งแต่ตอนที่ผมยังเล็กๆ จากสมัย MSN มา Hi5 จนปัจจุบันก็เป็น LINE ที่สถานการณ์ก็หนักมากขึ้นเรื่อยๆ มักมีการปล่อยข่าวลวงต่างๆ ว่าคนอิสลามไปเผาวัดที่มาเลเซีย หรือคนอิสลามไปยิงคนไทยพุทธ คนไทยพุทธยิงคนอิสลาม อะไรแบบนี้ใน LINE แทบจะทุกเดือน ซึ่งก่อให้เกิดความเกลียดชังที่ไม่ใช่แค่ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ แต่กลายเป็นความบาดหมางระหว่างคนไทยพุทธและไทยมุสลิมที่อยู่ในพื้นที่ ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ทำอะไรเลย แต่มีคนบางกลุ่มพยายามทำให้เราหวาดกลัวซึ่งกัน ส่งผลกระทบต่อการดำเนินวิถีชีวิตและเศรษฐกิจ ซึ่งผมยืนยันว่าเราโตมาในพื้นที่มันไม่มีอะไร เราอยู่กันแบบปกติสุขทั้ง 3 ศาสนา พุทธ อิสลาม คริสเตียน ดังนั้น ถ้า Fake News ยังไม่หมด เศรษฐกิจรายได้ของชาวบ้านใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ก็จะไม่ดีขึ้น”



ยูทูปเบอร์จาก Deen Vlog บอกด้วยว่า สิ่งหนึ่งที่เขาและเพื่อนๆ ทำได้ คือการป้อนข้อมูลด้านดี ด้านที่เป็นจริงใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ผ่านการทำช่อง YouTube ให้คนไทยคนทั่วโลกได้เห็น โดยเนื้อหาของ Deen Vlog ไม่ได้แตะเรื่องความบาดหมาง แต่กลับอาศัยการใส่ข้อมูลน้ำดีลงไปซึ่งช่วยได้มาก ส่วน COFACT.ORG ที่ใช้หลักการทำงานคล้ายๆ กัน แต่เป็นแพลตฟอร์มที่ใหญ่กว่า มีความน่าเชื่อถือมากกว่า น่าจะเป็นอีกเครื่องมือช่วยแก้ไขปัญหาความาขัดแย้งในพื้นที่ภาคใต้ได้ไม่น้อย จึงอยากให้ทุกคนเข้าร่วมเป็นจิตอาสาเครือข่ายโคแฟค และช่วยกันตรวจเช็คข้อเท็จจริงก่อนแชร์ข้อมูล


แม้แต่ พีรพล อนุตรโสตถิ์ ผู้จัดการศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย อสมท ก็ย้ำชัดว่าโคแฟคคืออีกหนึ่งช่องทางในการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เป็นที่พึ่งของประชาชนโดยตัวประชาชนเอง ช่วยปรับพฤติกรรมให้คนในสังคมมีความคิดเชิงวิพากษ์มากขึ้น มองข้อมูลด้วยใจเป็นธรรม ตัดสินบนความเป็นเหตุเป็นผล ยังเป็นพื้นที่ให้ผู้เชี่ยวชาญหรือถนัดในด้านต่างๆ ได้นำข้อมูลที่ถูกต้องมาแชร์กันบนโลกออนไลน์ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี และข้อมูลจากชัวร์ก่อนแชร์บางส่วนก็ถูกนำมาเผยแพร่ซ้ำบนแพลตฟอร์มใหม่นี้ด้วย

สารแห่งมิตรไมตรีจากคุณออเดรย์ ถัง Audrey Tang รมต.ดิจิทัล #ไต้หวัน ในงานเปิดตัวนวัตกรรมและชุมชน #โคแฟคเมืองไทย #Cofact

โครงการโคแฟคของไต้หวัน แรงบันดาลใจตั้งต้น COFACT.ORG ไทย ใช้เวลา 8 เดือน ก็ประสบผล มีกองบรรณาธิการดูแลถึง 400 คน มีประชาชนที่เป็น Fact Checker คอยเฝ้าระวังและป้อนข้อมูลมากถึง 20,000 คน ข่าวสารที่ถูกตรวจสอบและแก้ไขให้ถูกต้องมีถึง 150 ประเด็นต่อสัปดาห์ ฉะนั้น โคแฟคไทยจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งได้ในเร็ววัน ประชาชนในประเทศต้องจับมือกัน สร้างวัฒนธรรมใหม่ Fact Checker ตรวจสอบข้อมูลก่อนแชร์ พร้อมแก้ไขให้ถูกต้อง เพื่อสะกัดกั้นข่าวลวง

Talk Show – Politics of fake news around the globe

ดาวน์โหลดเอกสารประกอบการ Talk Show – Politics of fake news around the globe.
โดย อาจารย์วศิน ปั้นทอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

จากงานเสวนานักคิดดิจิทัลครั้งที่ 11 เปิดตัวโคแฟค “ทำไมความจริงร่วมจึงสำคัญ” วันที่ 28 สิงหาคม 2563


คลิก เพื่อดาวน์โหลดเอกสาร

https://drive.google.com/file/d/1ePzL-HwGk4cl4Qu4414dzZw2dZooX4Qz/view?usp=sharin

โคแฟคชวนอ่านบทสรุป “โครงการสำรวจองค์ความรู้ด้านข่าวลวง ข้อมูลบิดเบือน และข้อมูลผิดพลาด และกรณีศึกษาด้านสุขภาพของไทย”

ชวนอ่านบทสรุป งานวิจัยเรื่อง “โครงการสำรวจองค์ความรู้ด้านข่าวลวง(fake news) ข้อมูลบิดเบือน(disinformation) ข้อมูลผิดพลาด(misinformation) และกรณีศึกษาด้านสุขภาพของไทย” แบ่งการนำเสนอออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือการสำรวจองค์ความรู้ด้านข่าวลวง ข้อมูลบิดเบือน และข้อมูลผิดพลาดในต่างประเทศ และส่วนที่สองคือกรณีศึกษาข่าวลวง ข้อมูลบิดเบือน และข้อมูลผิดพลาดด้านสุขภาพของประเทศไทย

โดย วรพจน์ วงศ์กิจรุ่งเรือง และพรรษาสิริ กุหลาบ

ร่วมสนับสนุนและจัดทำโดย โครงการโคแฟค Cofact.org และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส)

ดาวน์โหลดที่นี่

https://docs.google.com/document/d/1GcLW2cNVK0zaaXlb3dhjy1Jsi68W9tsWGI-M_wdEg9E/edit?usp=sharing

Media Forum 12th เรื่อง “ข่าว ไม่ใช่ละคร | เส้นแบ่งอาชญากรรมเสมือนจริง”

นักจิตวิทยาสังคม- นักวิชาการห่วงการเสนอข่าวเป็นละคร ผลวิจัยชัด เสี่ยงชี้นำ เลียนแบบและทำให้ความก้าวร้าวรุนแรงเป็นเรื่องปกติ เรียกร้องคนถูกละเมิดฟ้องสื่อเป็นตัวอย่าง เอเจนซี่ไม่หนุนโฆษณา

(24 ก.ค. 63) สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค Centre for Humanitarian Dialogue (HD) และ Cofact ร่วมกันจัดงานเสวนาออนไลน์ Media Forum 12th เรื่อง “ข่าว ไม่ใช่ละคร | เส้นแบ่งอาชญากรรมเสมือนจริง”

ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ กล่าวเปิดเสวนาว่า ปรากฏการณ์เรตติ้งรายการข่าวสูงกว่าละครบางรายการ โดยนำเสนอในรูปแบบละคร ใช้กราฟิคและเทคนิคเล่าเรื่องที่เน้นอารมณ์เพื่อเรียกความสนใจคนดูให้มากขึ้นแต่ถูกตีความผิดเพี้ยนไป ซึ่งหลายฝ่ายห่วงใย จนมีความเคลื่อนไหวจากคนหลายกลุ่ม ทั้งส่วนของกรรมาธิการในสภาฯ กสทช. ภาคประชาสังคม กลุ่มเกี่ยวกับเด็ก-เยาวชน เรียกร้องให้สื่อทบทวนการทำงานลักษณะนี้

“หวังว่าเวทีการแลกเปลี่ยนวันนี้จะได้หารือกันอย่างเต็มที่ เพื่อนำไปสู่ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ในการทำงานของสื่อ และจะได้มีการแลกเปลี่ยนกับคนที่ทำงานในวิชาชีพต่อไป ผมเชื่อว่าฝ่ายผู้ประกอบการสื่อน่าจะยินดีรับฟัง”

ผศ. ดร. เอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์ คณะทำงานคุ้มครองผู้บริโภค สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ นำเสนอข้อมูลสำรวจข่าวของสื่อโทรทัศน์จากกรณีศึกษาต่าง ๆ ในช่วงที่ผ่านมา พบว่ามีการเสนอข่าวอาชญากรรมเสมือนจริงอย่างละครในรูปแบบการเล่าข่าว เทคนิค Immersive ใช้น้ำเสียงเร้าอารมณ์ ใช้ภาพจำลองเหตุการณ์ที่ล่อแหลมต่อการส่งเสริมความรุนแรง และให้ผู้สื่อข่าวเสมือนเข้าไปอยู่ร่วมในเรื่องทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์จริง ใช้จินตนาการและการคาดเดาข้อมูลเรื่องราว มีการละเมิดบุคคลในข่าว จึงเป็นคำถามต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อสังคมจากการทำงานของสื่อมวลชนในลักษณะดังกล่าว

“การนำเสนอข่าวแบบนี้ ส่งผลกระทบต่อความอ่อนไหวในการก่ออาชญากรรมของคนในสังคมกลุ่มไหน อย่างไร เมื่อสื่อทำหน้าที่เป็นพนักงานสอบสวน ไม่ใช่สื่อเชิงสืบสวน ส่งผลต่อรูปคดี บุคคล สังคมและมาตรฐานวิชาชีพสื่ออย่างไร”

รศ. ดร. ศรีสมบัติ โชคประจักษ์ชัด รองศาสตราจารย์ประจำหลักสูตรดุษฎีบัณฑิตสาขาอาชญาวิทยาการบริหารงานยุติธรรมและสังคม (หลักสูตรพิเศษ) คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่าการที่สื่อเสนอรายละเอียดของข้อมูลในเหตุการณ์ เป็นเรื่องที่มีประโยชน์ บางกรณีสื่อเป็นผู้เปิดเผยและเชื่อมโยงเบาะแสทำให้คดีคลี่คลาย แต่ที่ควรต้องระวังคือเรื่องอคติและความถูกต้องของข้อมูล เพราะคนให้ข้อมูลมีเป้าหมายแตกต่างกัน

“สื่ออย่าทำให้ข้อเท็จจริงกลายเป็นนิยายแล้วไปด่วนตัดสินเองเสียก่อน การให้ข้อมูล ให้รายละเอียดนั้นเป็นเรื่องที่ดีและควรทำแต่ต้องอยู่บนข้อเท็จจริง บนความถูกต้อง”

ผศ. ดร. วัชราภรณ์ บุญญศิริวัฒน์ นักจิตวิทยาสังคม รองคณบดีคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกล่าวว่า เทคโนโลยีและสร้างภาพจำลอง ทำให้คนทำงานข่าวก้าวข้ามข้อจำกัดต่าง ๆ ได้ เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากแต่มีจุดที่ต้องระวังในด้านลบด้วยเช่นกัน

“มีงานวิจัยชี้ชัดเจนว่า สิ่งที่นำเสนอผ่านสื่อมวลชนสามารถกระตุ้นและมีอิทธิพลกับคนดูได้มาก หากนำเสนอเป็นแรงจูงใจทางลบ อาจกลายเป็นตัวอย่างพฤติกรรมไม่ดี ความก้าวร้าว การใช้ความรุนแรง ในเมื่อเรามีเครื่องมือทรงพลังในมือ อยู่ที่สื่อจะเลือกใช้อย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด”

ดร. มานะ ตรีรยาภิวัฒน์ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ตั้งข้อสังเกตว่าปัจจุบันข่าวเชิงสืบสวนลดน้อยลง ขณะที่การนำประเด็นอาชญากรรมมาทำ Immersive เรียกความสนใจคนดูมากขึ้น เมื่อผู้บริหารเห็นเรตติ้งเพิ่มขึ้น มีโฆษณามาก จึงไม่สนใจจริยธรรม ดังนั้นเรียกร้องให้คนถูกละเมิดใช้กระบวนการทางกฎหมายเพื่อให้สื่อเพิ่มความระวังมากขึ้น

“ถ้าไม่อยากให้มีข่าวแบบนี้ คนดูก็ต้องเลือกไม่ดู และเอเจนซี่โฆษณาก็ต้องไม่สนับสนุน หลายภาคส่วนต้องสนับสนุนข่าวน้ำดีด้วย การทำข่าวเสนอเรื่องที่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล สื่อมีแนวโน้มจะไม่เสนอเรื่องของคนที่เสี่ยงจะถูกฟ้อง แต่จะเป็นคนธรรมดาที่ต่อรองได้น้อยกว่า ผมกลัวว่าในอนาคตจะขยายมากขึ้น ไม่เฉพาะข่าวอาชญากรรมแต่อาจลามไปถึงข่าวการเมือง ปัญหาจะยิ่งใหญ่โตมากขึ้น”

รศ. รุจน์ โกมลบุตร ประธานอนุกรรมการด้านสื่อและโทรคมนาคม คณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน (คอบช.) กล่าวว่า พัฒนาการของสื่อมวลชนในการคุ้มครองสิทธิของแหล่งข่าวในรอบสิบปีที่ผ่านมาถือว่าดีขึ้น มีความระมัดระวัง แต่ปัจจุบันการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่มาทำให้ข่าวน่าสนใจนั้นต้องพิจารณาให้รอบคอบกว่านี้

“ต้องดูว่าการใช้กราฟิคนั้นเพื่อเป้าหมายใด ควรใช้กรณีที่มีความซับซ้อน หรือใช้ในเรื่องใหญ่เพื่อแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้างช่วยลดทอนความรุนแรงของเรื่องหรือไม่ ส่งผลกระทบใครบ้าง มีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องมากเพียงพอที่จะใช้หรือไม่ สื่อ ต้องตั้งคำถามก่อนเสนอข่าวว่า ถ้าเป็นญาติเรา จะเสนอข่าวนี้แบบไหน ถ้าไม่นำเสนอแล้ว ประชาชนจะเสียอะไร รวมทั้งต้องยึดหลักป้องกันไว้ก่อน เพื่อพิทักษ์ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หากจำเป็นต้องละเมิด ต้องอธิบายประชาชนให้ได้ว่า ทำด้วยเหตุผลอะไร”

รศ. รุจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สนับสนุนการให้สื่อกำกับดูแลกันเองมากกว่าให้หน่วยงานรัฐ หรือ กสทช. มาควบคุม ขณะที่ผู้บริโภคและประชาชนต้องตระหนักว่า ทุกคนมีสิทธิที่จะไม่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน หากไม่ต้องการ

สุภิญญา กลางณรงค์ ประธานคณะทำงานคุ้มครองผู้บริโภคสื่อ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ เป็นผู้ดำเนินรายการ บอกว่าจริง ๆ สื่อมีการกำกับตนเองเต็มที่ ถ้าข่าวอาชญากรรมนั้นเกิดขึ้นกับคนมีบารมีหรือมีเงิน สื่อจะเกรงใจไม่กล้าเจาะลึก แต่พอเป็นข่าวคนธรรมดาสื่อก็ขาดความเกรงใจ ผลิตซ้ำเรื่องราวจนละเมิดสิทธิโดยเฉพาะกรณีที่เป็นเด็กและเยาวชนมีกฎหมายคุ้มครองชัดเจนไม่ใช่แค่ละเมิดจริยธรรม.

ขอบคุณที่มา http://www.presscouncil.or.th/archives/5484

จริงหรือไม่? #กรุงปักกิ่ง ประกาศ “สถานการณ์ฉุกเฉินภาวะสงคราม” หลังพบผู้ติดเชื้อ #COVID19 45 คน

จริงหรือไม่? เตรียมนำยาฟ้าทะลายโจร ทดลองในคน เพื่อศึกษาความปลอดภัยและประสิทธิผลการรักษา COVID-19

สื่อยุคใหม่หลังโควิด “ความถูกต้องสำคัญกว่าความเร็ว”

ครบรอบ 23 ปี สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติยืนหยัดทำหน้าที่ท่ามกลางความท้าทายใหม่ “หมอประเวศ”​ แนะกระบวนทัศน์ใหม่ในการสื่อสาร สื่อ​ต้องมีความรู้ในเรื่องที่ซับซ้อน ​เสนอมีเครื่องมือเชิงสถาบันสนับสนุนการทำงาน ขณะที่เวทีเสวนา ย้ำ บทบาทสื่อยุควิกฤตโรคระบาดไม่ใช่แค่นำเสนอข้อเท็จจริงแต่ต้องเป็นปากเป็นเสียงให้ประชาชนด้วย เชื่อการทำงานสื่อยุคใหม่ต้องทำงานเป็นทีม ความถูกต้องต้องสำคัญกว่าความเร็ว

เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 2563 ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ​สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ จัดงานเนื่องในโอกาสครบรอบ 23 ปี สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ โดย นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ กล่าวเปิดงานว่า ที่ผ่านมาสภาการฯ ได้กำกับดูแลการทำหน้าที่หนังสือพิมพ์ และเว็บไซต์ของสมาชิกให้เป็นไปตามข้อบังคับที่ร่วมกันร่างขึ้น โดยในโอกาสครบรอบ 23 ปี เป็นอีกปีที่มีความท้าทายเรื่องภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และมีโรคระบาดทั่วโลก ทำให้การทำหน้าที่สื่อเปลี่ยนแปลงไป ภายใต้ความยากลำบากของสื่อที่จะรักษามาตรฐาน และยึดมั่นจริยธรรมได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งเป็นหน้าที่สภาการฯ ว่าจะดูแลสมาชิกจะทำหน้าที่ได้อย่างถูกต้องรอบด้านอยู่ในกรอบจริยธรรม

จากนั้นเป็นการปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “บทบาทและจริยธรรมสื่อในภาวะโรคระบาด” โดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส เป็นผู้แสดงปาฐกถาพิเศษ โดยระบุว่า การระบาดของ โควิด-19 ส่งผลกระทบไปทั่วโลก ทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมือง เพราะเรื่องสุขภาพคือทั้งหมด ไม่ใช่แค่เรื่องโรงพยาบาล สังคมไทยหลัง โควิด-19 ต้องมีการปรับตัวเพราะสังคมไทยยังติดอยู่กับวัฒนธรรมอำนาจ ซึ่งมีองค์ประอบ สามอย่าง คือ 1.คิดเชิงอำนาจ 2.สัมพันธภาพเชิงอำนาจ และ 3.โครงสร้างอำนาจ ทำให้ประเทศไทยติดอยู่ตรงนี้บินไม่ขึ้น แม้แต่เรื่องประชาธิปไตย 88 ปี มาแล้วประชาธิปไตยก็ยังล้มลุกคลุกคลานเพราะมีวัฒนธรรมอำนาจ ดังนั้นหลังโควิด-19 เราต้องปรับตัว​

ศ.นพ.ประเวศ กล่าวว่า คลื่นลูกที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นคลื่นที่น่ากลัวและยากที่สุด คลื่นลูกแรกคือสงครามเก้าทัพ 2.มหาอำนาจตะวันตกเข้ามาล่าเมืองขึ้น 3.ความขัดแย้ง คอมมิวนิสต์​ ​และ 4.วิกฤตแห่งการซับซ้อนเป็นคลื่นที่ยากที่สุดคือเราไม่รู้ว่าศัตรูเป็นใครอยู่ไหน มีความซับซ้อน สิ่งที่เกิดขึ้นแห่งหนึ่งไปส่งผลกระทบถึงอีกที่หนึ่ง​ด้วยความซับซ้อน

ศ.นพ.ประเวศ กล่าวว่า ในระบบที่มีความซับซ้อน การใช้เงิน ​อำนาจ วาทกรรม บริภาษกรรม หรือใช้ความรู้สำเร็จรูป ล้วนแต่ไม่ได้ผล สิ่งที่จะทำให้ได้ผลคือการเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติในสถานการณ์จริง ​ โดยจะเห็นว่าระบบการศึกษาที่เน้นการท่องจำเป็นปัญหาที่คนไม่ค่อยพูดถึง เพราะการท่องจำไม่ได้ทำให้เรียนรู้ความจริงของประเทศ ดังนั้น 100 กว่าปี จึงนำไปสู่การผลิตคนที่ไม่มีความรู้ความจริงประเทศไทย ซึ่งสิ่งที่สำคัญในช่วงต่อจากนี้ กระบวนการทัศน์ใหม่ในการสื่อสาร สื่อจำเป็นต้องรู้เข้าไปในเรื่องที่ซับซ้อนต้องเข้าไปเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องต่าง ๆ นำเรื่องที่ซับซ้อนมาคลี่ให้สาธารณะเข้าใจ

นอกจากนี้ สื่อมวลชนเป็นสถาบันของสังคมชนิดหนึ่งที่ต้องการอิสระ โดยหลักจริยธรรมเดิมในบริบทใหม่สื่อต้องมีสัมมาวาจา ​​พูดเป็นความจริง มีที่มา มีที่อ้างอิง ใช้ ปิยะวาจา พูดถูกกาลเทศะ พูดแล้วเกิดประโยชน์ รวมทั้งต้องการเครื่องมือเชิงสถาบันเสริมสร้างสมรรถนะและสถานภาพของสื่อมวลชน โดย 1 มีพ.ร.บ.ราชวิทยาลัยสื่อมวลชน ส่งเสริมความสามารถสื่อมวลชน สนับสนุนการทำข่าวสืบสวนสอบสวน 2. ให้กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์พิจารณาสนับสนุนการจัดตั้งสถาบันพัฒนาสื่อมวลชน 3. ภาคธุรกิจสนับสนุนการจัดตั้ง “มูลนิธิเพื่อสื่อมวลชน” หรือ “สถาบันส่งเสริมสื่อมวลชน” 4. กระทรวงอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม เข้ามาให้การสนับสนุน

ส่วนเวทีเสวนา เรื่อง​ “บทบาทและจริยธรรมสื่อในภาวะวิกฤตโรคระบาด” นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การรับมือโรคติตต่ออันตรายทุกคนต้องลงเรือลำเดียวกัน ถ้าเราอยากให้ตัวเราปลอดภัยต้องทำให้สังคมปลอดภัยก่อนเราก็จะปลอดภัยไปด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องคิดแบบเดียวกันรวมถึงสื่อมวลชนด้วย สิ่งแรกที่มักเกิดขึ้นเวลามีโรคใหม่คือการสร้างภาพความน่ากลัว มีการหยิบคำว่า ตาย มฤตยู ถามว่าเหมาะสมไหมเราก็ไม่ควรเขียนภาพให้ศัตรูน่ากลัวเกินไปจนทำตัวไม่มีเหตุผล เช่น การสร้างความรังเกียจผู้ป่วยแบบไม่มีเหตุผล

นพ.ธนรักษ์ กล่าวว่า ในภาวะฉุกเฉินการสื่อสารความเสี่ยงต้องสื่อว่าคือความเสี่ยงคืออะไร เป็นผลมาจากการประเมินความเสี่ยง ว่าความเสี่ยงเกิดกับใครที่ไหน อีกด้านเรื่องความ​เสี่ยงสูง หรือ ความเสี่ยงต่ำ ไม่สำคัญเท่ากับการจัดการความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม เมื่อก่อนสื่อกระแสหลักมีความสำคัญ แต่ปัจจุบันมีสื่อใหม่เกิดขึ้นมาก ผู้ส่งสารเป็นใครก็ได้ รอบนี้จะเห็นว่ามีคนที่เป็นใครไม่รู้ออกมาพูดก็เป็นข่าวได้ถ้าตรงกับประเด็นที่สังคมอยากจะฟัง ในช่วงเหตุการณ์ถ้ำหลวงกับเหตุการณ์นี้คล้ายกันคือระบบบัญชาการเหตุการณ์ถูกนำมาใช้ให้ข่าวเป็นพลังที่มีความสำคัญ

ทั้งนี้ การให้ข้อมูลต้องยึดหลัก Be First ข่าวร้ายภาครัฐต้องบอกคนแรก เช่นมีคนไข้คนแรกต้องเป็นภาครัฐบอกก่อนไม่ใช่เกิดข่าวลือก่อนแล้วมาบอกทีหลัง บางกรณีที่ออกมาให้ข่าวช้าเกินไป Be Right ถูกต้องชัดเจน บอกประเด็นสำคัญก่อนประเด็นสำคัญรองลงไปทีหลัง Be Credible ต้องพูดความจริงด้วยความซื่อสัตย์ ไม่จงใจบิดเบือนข้อมูล ซี่งการรวมศูนย์ข้อมูลที่เดียวถือเป็นเรื่องที่ดี ​อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าไทยจะไม่มีโอกาสกลับมามีผู้ป่วยอีกและแม้จะเจอคนไข้ติดเชื้ออีกไม่ใช่ความล้มเหลว แต่เราต้องพร้อมรับมือเป็นฟืนเปียกไม่ติดไฟง่ายคือคงระดับการป้องกันไว้ ​รวมทั้งสร้างสมดุลการแก้ปัญหา ไม่ใช่ทำบางเรื่องสุดโต่งเกินไป ต้องดูผลประโยชน์ระยะสั้นและระยะยาวของประชาชน

น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ประธานคณะทำงานคุ้มครองผู้บริโภคสื่อ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ กล่าวว่า จากข้อเสนอของยูเนสโกที่เผยแพร่การนำเสนอของมูลช่วง​โควิด -19 ระบุว่าควรยึดหลักวารสารศาสตร์แห่งความจริงปราศจากความลำเอียง และความกลัว อย่างไรก็ตาม บทบาทการของสื่อทำได้ดีระดับหนึ่งในช่วงที่ผ่านมา แม้ก่อนมี ศบค. มีความสับสนอยู่บ้าง แต่หลังมีการรวมศูนย์ข้อมูลทำให้ทิศทางออกมาไปทางเดียวกันแต่อาจถูกวิจารณ์เรื่องจริยธรรมมากว่าความจริง มีการตีตรา สร้างความเกลียดชัง

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมามีการตั้งคำถามว่าสื่อตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลเพียงพอหรือยัง ซึ่งจะเห็นสื่อหลักพยายามอยู่บฐานข้อเท็จจริง แต่ข่าวลวงออกส่วนมากมาจากสื่อออนไลน์ ดังจะเห็นว่า เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ ก็จับมือการแก้ปัญหา แต่สิ่งที่สำคัญการเสนอข่าวคือข้อเท็จจริง แต่การจะสรุปว่าเรื่องไหนจริงเรื่องไหนไม่จริงก็ยังต้องตรวจสอบ ​ถือเป็นสิ่งที่ท้าทายของสื่อเองที่ต้องคัดสรร ซึ่งเสนอว่าสื่อควรมีฝ่ายเช็คข้อเท็จจริงมากขึ้นซึ่งแม้จะทำอยู่แล้วแต่ทุกองค์กรควรมีผู้เชี่ยวชาญ เข้าใจเทคโนโลยี อีกทั้งหน้าที่สื่อ ไม่ใช่แค่เสนอข้อเท็จจริง แต่สื่อมีสิทธิไม่เห็นด้วยกับการตั้งคำถามแทนเป็นปากเป็นเสียงให้ประชาชน ​ด้วย

รศ.พิจิตรา ศุภสวัสดิ์กุล หัวหน้าภาควิชาวารสารสนเทศ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เรื่องเฟคนิวส์ ที่เกิดขึ้นในช่วงการระบาดของโควิด เป็นเรื่องที่คุมได้ยากเพราะอยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์ แต่จากที่ผ่านมาทางคณะนิเทศฯ ได้จับมือกับเวอร์คพ้อยต์ ทำข้อมูลดาต้า เจอนอลิซึม ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องความถูกต้องของข้อมูล เพราะหากมีคนมาท้วงว่าสิ่งที่ทำมาผิดย่อมกระทบความน่าเชื่อถือ ดังนั้น สิ่งที่สำคัญในยุคนี้ไม่ใช่ต้องเร็วแต่ต้องถูกต้อง

นอกจากนี้ การทำงานของนักข่าวในยุคปัจจุบันต้องทำงานร่วมกันเป็นทีมทั้ง ดีเวลลอปเปอร์ ​กราฟฟิกดีไซเนอร์ ​แต่คนที่จะเช็คข้อเท็จจริง เลือกประเด็น เขียนพาดหัว ก็ยังต้องเป็นนักข่าว ทั้งนี้ สิ่งที่สื่อกำลังจะต้องทำต่อไปคือ การนำเสนอข่าวเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง ที่ได้รับผลกระทบจากช่วงที่ผ่านมา อุตสาหกรรมอะไรที่จะล้มบ้าง อย่างที่เห็นสื่อต่างประเทศเริ่มหันมาเสนอข้อมูลนอกเหนือจากประเด็นเรื่องตัวเลขผู้บาดติดเชื้อเสียชีวิต ในแต่ละวัน

นายมงคล บางประภา นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในอนาคตแม้ทุกคนจะสื่อข่าวได้ง่ายขึ้น แต่การทำงานของสื่อมืออาชีพกับข้อมูลข่าวสารที่มีความซับซ้อน จะไม่ใช่เรื่องที่นักข่าวจะทำคนเดียว​แต่ต้องทำงานเป็นทีม ทั้ง นักวิชาการ โปรแกรมเมอร์ อย่างไรก็ตาม ทิศทางในอนาคตต้องหานิยามของความเป็นสื่อกับสื่อมือาชีพ เพื่อให้สื่อมืออาชีพยังเข้าถึงสิทธิเช่นสิทธิเข้าถึงข้อมูล ​

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาองค์กรสื่อได้รวมตัวเข้าไปช่วยทำให้สถานการณ์ดีขั้น ทั้งช่วงแรกที่ข้อมูลต้นทางจากภาครัฐยังสับสน และยังมีความเป็นการเมืองจึงได้เสนอข้อเสนอให้นักการเมืองถอยออกไปในการให้ข่าว เป็นการให้ข่าวบนพื้นฐานทางการแพทย์ และเป็นเอกภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่เห็นพ้องกันและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น อีกด้านที่ผ่านมาสื่อไม่ได้ทำหน้าที่ไม่ใช่แค่ถ่ายทอดสถานการณ์ตามความจริงเท่านั้นแต่ยังส่งต่อกำลังใจใช้พลังบวก เอาชนะพลังลบความตื่นตัวความหวาดระแวง ​ทั้งหมดจะเป็นภูมิคุ้มกันหากเกิดการระบาดระลอกสองก็ไม่เป็นไร

….

ขอบคุณที่มา http://www.presscouncil.or.th/archives/5432

Cofact Live Talk กับ หน้าที่สื่อไทยยุคโควิด ควรนำเสนอความจริง สร้างความรู้เท่าทันให้กับประชาชน

29 มิ.ย. 2020
โดย สุชัย เจริญมุขยนันท

Cofact Live Talk กับ หน้าที่สื่อไทยยุคโควิด-19 ควรนำเสนอความจริง สร้างความรู้เท่าทันให้กับประชาชน

เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 63 Cofact Thailand จัด Cofact Live Talk EP.4 “นักข่าวและนักวิทยาศาสตร์ ต่างกันตรงไหนในยุคโควิด-19 รีวิวโรคระบาดข้อมูลข่าวสารในรอบ 6 เดือน กับวงการ Fact Checkers ไทยและเทศ” เพื่อหาร่วมหาคำตอบของความเหมือนในความต่าง ความท้าทายของข่าวลวง เผยแพร่ทางเพจ Cofact และ UbonConnect

พีรพล อนุตรโสตถิ์ ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย เผยว่า ภาพรวมของข่าวลวงในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกต้องยอมว่าในภาวะวิกฤตข่าวลวงถูกสร้างและแพร่ระบาดออกมาในทุกประเทศอย่างรวดเร็ว โดยบางเนื้อหาถูกดัดแปลงข้อมูลให้มีสอดคล้องกับวัฒนธรรมหรือบริบทของภูมิประเทศนั้น โดยยกตัวอย่างเช่น พืช สมุนไพรหรืออาหาร ที่สามารถรักษาโรคโควิด-19ได้ และนอกจากนี้ในช่วงแรกของการระบาดเชื้อโควิด-19 การส่งต่อข้อมูลยอดผู้ติดเชื้อหรือพื้นที่ที่มีผู้ป่วยเป็นข้อมูลที่ได้ถูกรับความสนใจเป็นอย่างมากผู้คนส่งต่อข้อมูลกันการอย่างรวดเร็ว

และเมื่อเกิดการระบาดของโรคอุบัติใหม่สิ่งที่ตามและต้องระวังคือเรื่องของ Hate Speechและการตีตรา โดยผู้ติดเชื้อโควิด-19 หลายคนถูกคนในสังคมรังเกียจและตีตรา ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมีผลกระทบทางด้านจิตใจของผู้ติดเชื้อ ทั้งนี้ผู้ป่วยต้องใช้เวลานานในการปรับตัวรักษาสภาพจิตใจและส่วนคนในสังคมต้องสร้างความเข้าใหม่ถึงการเกิดโรคระบาดอุบัติใหม่

ซึ่งหน้าที่ Fact Checkers เป็นหน้าที่สำคัญที่ทุกคนต้องช่วยกัน แต่ทั้งนี้หากนักสื่อสารมวลชนหรือนักข่าวสามารถสร้างความรู้ความเข้าใจเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องราวนั้นๆ ก็จะส่งผลให้การทำงานและการรายงานข่าวมีประสิทธิภาพมากขึ้น ประชาชนได้รับข้อมูลที่เป็นจริงลดการสร้างความเข้าใจผิดในสังคม

ส่วนการรายงานข่าวในช่วงนี้ภาวะวิกฤตนี้ถือว่าเป็นเวลาที่ดีของสื่อมวลชนและนักวิทยาศาสตร์ที่จะมีพื้นที่และร่วมสื่อสารสร้างกรอบความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ ทำให้ประชาชนเข้าใจประเด็น,สถานการณ์และเกิดองค์ความรู้ใหม่ติดตัวประชาชน ซึ่งองค์ความรู้ใหม่จะเป็นความรู้ที่ประชาชนสามารถนำไปใช้ต่อยอดได้ในอนาคตภายภาคหน้า

ด้าน สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งcofact ประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันเห็นได้ว่าประเทศไทยสื่อมวลชนทำหน้าที่นำเสนอเรื่องราวไสยศาสตร์มากกว่าวิทยาศาสตร์ ซึ่งในช่วงการเกิดโรคระบาดสื่อไทยก็ทำหน้าที่รายงานข้อมูลได้ดี แต่ในเรื่องอื่นๆสื่อไทยยังคงนำเสนอเนื้อหาเร้าอารมณ์ส่งเสริมความเชื่อ โดยยอมรับว่าสื่อบนออนไลน์นั้นสามารถควบคุมเนื้อหาได้ยากกว่าสื่อโทรทัศน์หรือหนังสือพิมพ์ ซึ่งเวลาแล้วที่สื่อมวลชนไทยจะต้องเริ่มหันหน้าพูดคุยกันเพื่อหาทางออกและแก้ไขปัญหาเหล่านี้

ต่อมาที่ประเด็น Fact Checkers ใครๆก็เป็นได้ พีรพล อนุตรโสตถิ์ เสริมว่า หากประชาชนจะเริ่มตรวจสอบข้อมูลควรเริ่มต้นที่ตนเองด้วยการตรวจสอบข้อเท็จจริงข้อมูลก่อนส่งต่อให้ผู้อื่น ซึ่งหากข้อมูลผิดพลาดตนเองต้องมีส่วนรับผิดชอบกับการส่งต่อข้อมูลนั้น ดังนั้นทักษะที่ประชาชนต้องมีคือทักษะการสงสัย เพราะเมื่อเกิดการสงสัยจะนำไปสู่การตรวจสอบข้อมูล โดยการตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกต้องใช้ความรู้เฉพาะด้าน ดังนั้นการตรวจสอบข้อมูลต้องใช้เวลาสะสมความรู้ในระยะยาว

ส่วนอนาคตทิศทางของFact Checkersในประเทศไทย สื่อมวลชนหรือองค์กรต่างๆ ต้องลุกขึ้นมาสร้างความรู้เท่าทันให้กับภาคประชาชน โดยโควิด-19 เป็นสถานการณ์ตัวอย่างทดสอบการเปิดรับข่าวสารความรู้อย่างถูกต้อง ซึ่งประชาชนจะเริ่มได้เห็นภาพสะท้อนจากสถานการณ์นี้

อย่างไรก็ตามหากมีหลายฝ่ายเข้ามาช่วยเหลือเรื่องการตรวจสอบข้อเท็จจริงจะถือว่าเป็นสิ่งที่ดีประชาชนมีพื้นที่และส่วนร่วมในการตรวจสอบข้อมูลข่าวสาร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นประชาชนต้องทำความเข้าใจกับเนื้อหาข้อมูลก่อน หากประชาชนเข้าใจข้อมูลข่าวสารแล้วสามารถตรวจสอบเนื้อหาเองได้ระดับหนึ่งก็จะเป็นการช่วยลดการส่งต่อข่าวปลอมได้อย่างดี

ขอบคุณที่มา https://www.77kaoded.com/news/suchai/1764757

ชิษณุพงศ์ สุนทรพาณิชย์ เรียบเรียง

สุชัย เจริญมุขยนันท
ผู้สื่อข่าวจังหวัดอุบลราชธานี
นิเทศศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยกรุงเทพ หลักสูตรโปรดิวเซอร์ เนชั่น วิทยากรพิราบน้อย โครงการเผยแพร่ความรู้ทางวิทยุ มูลนิธิหมอชาวบ้าน วิทยุเนชั่น ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทยประจำจงอุบลราชธานี ผู้จัดการศูนย์ข่าวประชาสังคมอุบลราชธานี ปัจจุบัน เลขาธิการมูลนิธิสื่อสร้างสุข ผู้อำนวยการทีวีชุมชนอุบลราชธานี E : suchaiubon@gmail.com F : ทีวีชุมชนอุบลราชธานี T : 0818786440 LINE : SUCHAINEWS

จริงหรือไม่? พ่อครัว แม่ครัว ควรใส่ถุงมือปรุงอาหาร

จริงหรือไม่? กสทช. เตือน ระวังถูกแฮกเบอร์บ้านไปใช้โทรระหว่างประเทศ

จริงหรือไม่? บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ใช้ซื้อตั๋วโดยสารบีทีเอสได้ทุกสถานี

จริงหรือไม่? อาหารเปรี้ยว 7 ชนิดและอาหารหมักดอง ช่วยรักษามะเร็ง