โคแฟครวมการตรวจสอบข้อมูล เหตุการณ์ปะทะระหว่างไทยกับกัมพูชา วันที่ 24 – 25 ก.ค. 2568 

นับตั้งแต่ช่วงเช้าของวันที่ 24 ก.ค. 2568 ซึ่งมีรายงานว่า กองทัพกัมพูชาเปิดฉากโจมตีเข้ามาในฝั่งไทย และทำให้มีพลเรือนเสียชีวิตและบาดเจ็บหลายราย ตามด้วยการตอบโต้จากกองทัพไทย ในพื้นที่สื่อสังคมออนไลน์มีการเผยแพร่และส่งต่อข้อมูลจำนวนมาก ซึ่งทางโคแฟคได้ร่วมตรวจสอบแล้วบางส่วน มีทั้งที่เป็นข้อมูลจริงและเท็จ ดังนี้ 

ภาพ 01 ภาพจากคลิปกระสุนตกบริเวณปั๊ม ปตท. บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ

เนื้อหาที่ตรวจสอบ : คลิปกระสุนตกบริเวณปั๊ม ปตท. บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ 

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาจริง**

เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 24 ก.ค. 2568 เวลา 11.19น. ผู้ใช้เฟซบุ๊กโพสต์คลิปภาพกลุ่มควันพวยพุ่งบริเวณปั๊มน้ำมัน ปตท. บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ โดยบรรยายว่าเป็นภาพจุดที่ได้รับความเสียหายจากเหตุปะทะที่ชายแดนไทยกัมพูชาซึ่งโคแฟคตรวจสอบจากการรายงานของสื่อมวลชนและเฟซบุ๊กกองทัพภาคที่ 2 พบว่าคลิปดังกล่าวเป็นภาพเหตุการณ์จริง โดยกองทัพภาคที่ 2 โพสต์คลิปเมื่อเวลา 11.29 น. ว่ากระสุน BM21 ตกใส่ปั๊ม ปตท. บ้านผือ มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก

อนึ่ง ปั๊มน้ำมัน ปตท.ที่เกิดเหตุตั้งอยู่บริเวณรอยต่อพื้นที่บ้านผือและบ้านน้ำเย็น คนในพื้นที่จึงเรียกทั้งสาขาบ้านผือและบ้านน้ำเย็น แต่หากเช็กใน Google Map จะระบุว่าเป็นบ้านน้ำเย็น

ภาพ 02 : ภาพจากคลิป “ยิง รพ.พนมดงรัก” จ.สุรินทร์

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิป “ยิง รพ.พนมดงรัก” จ.สุรินทร์

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาจริง**

เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 24 ก.ค. 2568 เวลา 12.09 น. เพจเฟซบุ๊ก “แนวหน้า มั่นคง” โพสต์คลิปภาพทหารหมอบหาที่กำบังในอาคาร ขณะที่ด้านนอกมีกลุ่มควันพวยพุ่ง เขียนคำบรรยายเหตุการณ์ว่า กระสุน BM-21 ตกใส่บริเวณด้านหน้าโรงพยาบาลพนมดงรัก อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์

โคแฟคตรวจสอบกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุรินทร์ เจ้าหน้าที่ยืนยันว่ามีกระสุนจากเหตุปะทะที่ชายแดนไทย-กัมพูชาตกบริเวณ รพ. จริง ขณะนี้ผู้บริหารกำลังประชุมสรุปเหตุการณ์และมาตรการที่จำเป็น ขณะที่ภาคีเครือข่ายโคแฟคที่เป็นเจ้าหน้าที่ รพ. พนมดงรัก ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่ามีลูกปืนตกบริเวณฐานพระพุทธรูปด้านหน้า รพ. และมีทหารได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิด

นอกจากนั้น เพจเฟซบุ๊ก กระทรวงสาธารณสุข โพสต์ข้อความเมื่อเวลา 9.34 น. วันนี้ว่า “จากเหตุปะทะบริเวณปราสาทตาเมือนธม สถานบริการของ สธ. เริ่มปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุ โดย รพ.พนมดงรักได้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกจาก รพ. หมดแล้ว” รวมถึงเว็บไซต์ข่าวสาธารณสุข Hfocus รายงานคำพูดของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุขว่า รพ.พนมดงรัก มีขนาด 30 เตียง ได้ย้ายผู้ป่วย ไป รพ. อื่น 19 ราย และให้กลับบ้าน 19 ราย

ภาพ 03 : ภาพจากคลิปที่อ้างว่าเป็นเครื่องบิน คลิป F-16 ของไทย ทิ้งระเบิดกองบัญชาการกัมพูชา

นื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิป F-16 ทิ้งระเบิดกองบัญชาการกัมพูชา

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ หยุดแชร์**

เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 24 ก.ค. 2568 เวลา 12.54 น. ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์คลิปวิดีโอเป็นภาพเครื่องบินทิ้งระเบิด พร้อมข้อความบรรยายว่า “ด่วน! F-16 ทิ้งบอมบ์ 2 กองบัญชาการกัมพูชา กระเจิง หลังยิงปืนใหญ่ใส่บ้านเรือนคนไทย…”

โคแฟคตรวจสอบด้วยการนำภาพจากวิดีโอไปสืบค้นด้วยเครื่องมือ Google Reverse Image พบเป็นคลิปที่ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์มานานหลายปีก่อนเหตุการณ์ปะทะระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาวันนี้ โดยคลิปนี้ถูกแชร์กันอย่างแพร่หลายในบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ที่ใช้ภาษาอาหรับ มีการอ้างอิงว่าเป็นภาพจากเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย เช่น การสู้รบระหว่างอินเดีย –ปากีสถาน และการทิ้งระเบิดในประเทศซูดาน

อย่างไรก็ตาม โคแฟคยังไม่สามารถตรวจสอบได้คลิปนี้เป็นภาพเหตุการณ์ใด ที่ไหน หรือเป็นภาพที่สร้างจากเอไอหรือไม่

ภาพ 04 : ภาพจากคลิปที่อ้างว่าทหารกัมพูชาไล่ยิงนักศึกษาใน จ.สุรินทร์

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: ทหารกัมพูชาไล่ยิงนักศึกษาใน จ.สุรินทร์

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาบิดเบือน**

เนื้อหาโดยสรุป: ช่วงบ่ายวันนี้ (24 ก.ค. 68) ผู้ใช้ติ๊กตอกโพสต์คลิปวิดีโอนักเรียนวิ่งหนีและส่งเสียงร้องด้วยความตกใจและหวาดกลัว โดยฝังคำบรรยายว่า “เขมรบุกเข้ามาไล่ยิงในพื้นที่ของนักศึกษาแล้ว”

โคแฟคตรวจสอบเครื่องแบบนักเรียนในคลิปพบว่าเป็นเครื่องแบบของนักศึกษาวิทยาลัยการอาชีพสังขะ อ.สังขะ จ.สุรินทร์ จึงได้ติดต่อสอบถามข้อมูลจากวิทยาลัย เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าไม่มีเหตุการณ์ที่คนเขมรเข้ามาก่อเหตุตามที่คลิปกล่าวอ้าง ส่วนภาพในคลิปเป็นเหตุการณ์ที่นักศึกษาของวิทยาลัยตกใจเสียงปืนช่วงสายวันนี้จึงวิ่งหาที่หลบภัย

เจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าวิทยาลัยได้สั่งปิดสถานศึกษาระหว่างวันที่ 24 ก.ค.- 1 ส.ค. 68 เนื่องจากเหตุความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของนักเรียน นักศึกษา ครูและบุคลากร

ภาพ 05 : ภาพจากคลิปที่อ้างว่าชาวกัมพูชารวมตัวขับไล่ ฮุน เซน 

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: ชาวกัมพูชานับแสนรวมตัวขับไล่ฮุน เซน

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ เป็นคลิปแฟนฟุตบอลก่อจลาจลในอินโดนีเซีย**

เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 24 ก.ค. 2568 เวลา 18.17 น. ผู้ใช้เฟซบุ๊กโพสต์วิดีโอภาพเหตุการณ์ขณะฝูงชนพยายามดันประตูและขว้างปาสิ่งของใส่เจ้าหน้าที่โดยใส่ข้อความบรรยายว่าชาวเขมรนับแสนคนชุมนุมขับไล่สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา

คลิปนี้เคยถูกนำมาอ้างเท็จแบบเดียวกันนี้มาแล้วครั้งหนึ่งช่วงต้นเดือน มิ.ย. 2568 โคแฟคและ AFP Fact Checkตรวจสอบแล้วพบว่าคลิปนี้ถูกโพสต์ในติ๊กตอกตั้งแต่วันที่ 26 พ.ค. 2568 ซึ่งเจ้าของโพสต์ระบุว่าเป็นเหตุการณ์ที่สนามกีฬา Gelora Bandung Lautan Api Stadium ในเมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย โดยรายงานข่าวท้องถิ่นระบุว่าเกิดเหตุแฟนฟุตบอลทีม Persib Bandung ที่ไม่มีบัตรพยายามจะพังประตูเข้าไปชมการแข่งขันฟุตบอลนัดชิงชนะเลิศระหว่างสโมสรท้องถิ่นสองทีมเมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2568

ภาพ 06 : ภาพที่อ้างว่าทหารไทยเข้ายึดปราสาทพระวิหาร

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: ทหารไทยยึดพื้นที่ปราสาทพระวิหาร

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ หยุดแชร์**

เนื้อหาโดยสรุป: ช่วงสายของวันที่ 25 ก.ค. 2568เพจเฟซบุ๊ก “Army Military Force – สำรอง” โพสต์ข้อความว่า “ด่วน! เวลา 09.25 น. ทหารไทยเข้ายึดพื้นที่ปราสาทพระวิหารและวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระที่เคยเป็นของไทยได้สำเร็จแล้ว…” ซึ่งต่อมานายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ได้นำไปรายงานในรายการ “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” ที่เผยแพร่ทางช่องยูทูบ

เวลา 10.30 น. กองทัพบกชี้แจงว่าเนื้อหาดังกล่าว #ไม่เป็นความจริง โดยได้โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก กองทัพบก Royal Thai Army ว่า “เป็นข่าวปลอม อย่าหลงเชื่อ”

แม้ทางกองทัพบกจะออกมาปฏิเสธข่าว และเพจต้นทางก็ได้ลบเนื้อหาออกแล้ว แต่โคแฟคพบว่าในติ๊กตอกยังมีการแชร์เนื้อหาเท็จนี้อย่างกว้างขวาง โดยบางโพสต์ได้ตัดต่อคลิปจากรายการ “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” มาเผยแพร่

ภาพ 07 : ภาพจากคลิปวีดีโอที่อ้างว่ามีการปลดธงชาติกัมพูชาในไทยเพื่อตัดความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศ

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: องค์กร-หน่วยงานในไทยปลดธงชาติกัมพูชาจากกลุ่มธงประเทศอาเซียน

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาบิดเบือน**

เนื้อหาโดยสรุป: 25 ก.ค. 2568 ผู้ใช้ติ๊กตอกหลายรายโพสต์คลิปวิดีโอชายคนหนึ่งกำลังลดธงชาติกัมพูชาลงจากเสาธง บางโพสต์ระบุว่าเป็นเหตุการณ์ที่สวนนงนุช อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี บางโพสต์เขียนคำบรรยายว่า “ตามหน่วยงาน องค์กร ลดธงชาติกัมพูชาลงจากเสาในบรรดากลุ่มธงชาติประเทศอาเซียน” เป็นสัญลักษณ์ว่าไทยตัดความสัมพันธ์กับกัมพูชาอย่างถาวร

โคแฟคโทรศัพท์สอบถามไปยังสวนนงนุช พนักงานให้ข้อมูลว่าภาพในคลิปเป็นกลุ่มเสาธงนานาชาติที่อยู่ด้านหน้าศูนย์ประชุมนานาชาตินงนุชพัทยาจริง แต่คลิปลดธงกัมพูชาที่มีการแชร์กันอย่างแพร่หลายนั้น ไม่ได้มาจากบัญชีโซเชียลมีเดียทางการของสวนนงนุช ขณะนี้ผู้บริหารกำลังตรวจสอบเหตุการณ์ในคลิป การบันทึกภาพและการเผยแพร่

โคแฟคตรวจสอบเพิ่มเติมกับกระทรวงการต่างประเทศ เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าทางราชการไม่มีคำสั่งเรื่องการลดธง ซึ่งการลดธงไทยและธงอาเซียนมีกฎหมายและระเบียบกำกับ เช่น การลดธงในกรณีไว้อาลัย และทางการไทยไม่เคยมีคำสั่งเกี่ยวกับการลดธงของประเทศอื่น

ภาพ 08 : ภาพจากคลิปที่อ้างว่าชาวกรุงบรัสเซลส์ของเบลเยียม บรรเลงเพลงชาติไทยให้กำลังใจคนไทย 

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปชาวกรุงบรัสเซลล์บรรเลงเพลงชาติไทย ให้กำลังใจคนไทยในความขัดแย้งไทย-กัมพูชา

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาบิดเบือนเป็นคลิปจากพิธีมอบชุดไทยแก่รูปปั้นเด็กฉี่Manneken Pis ในกรุงบรัสเซลส์ เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2568**

เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 25 ก.ค. 2568 ผู้ใช้ติ๊กตอกและเฟซบุ๊กหลายรายโพสต์คลิปวิดีโอที่มีเสียงบรรเลงเพลงชาติไทย อ้างว่าชาวชาวกรุงบรัสเซลส์บรรเลงเพลงชาติไทยเพื่อส่งกำลังใจให้คนไทยในช่วงที่เผชิญความขัดแย้งกับกัมพูชา บางคลิปถูกแชร์ไปมากกว่า 3 หมื่นครั้ง ซึ่งโคแฟคตรวจสอบคลิปวิดีโอดังกล่าว พบว่าเป็นภาพที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียบันทึกในพิธีมอบชุด “ยิงกระต่าย เด็ดดอกไม้” แก่รูปปั้นเด็กฉี่ (Manneken Pis) ใจกลางกรุงบรัสเซลส์ ที่มีผู้เผยแพร่ในโซเชียลมีเดียตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค. 2568

เพจเฟซบุ๊กสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ โพสต์ภาพบรรยากาศและพิธีมอบชุดไทยแก่รูปปั้นเด็กซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2568 ว่า “…มีการเคลื่อนขบวนเพื่อไปมอบชุดแก่ Manneken Pis โดยได้รับเกียรติจากวงดุริยางค์แห่งกระทรวงการคลัง กรมศุลกากร ราชอาณาจักรเบลเยียม บรรเลงบทเพลงอันทรงเกียรติ ได้แก่ เพลงชาติไทย เพลงชาติเบลเยียม และเพลงมหาฤกษ์ บริเวณกลาง Grand Place ก่อนเคลื่อนขบวนท่ามกลางผู้คนและนักท่องเที่ยวที่มาร่วมชมขบวนแห่กันอย่างคับคั่ง” พร้อมกับเผยแพร่คลิปการบรรเลงเพลงชาติไทยของวงดุริยางค์ ซึ่งมีภาพและเสียงใกล้เคียงกับคลิปที่ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นการบรรเลงเพลงชาติให้กำลังใจคนไทย

โคแฟค ประเทศไทย ขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนไทยกัมพูชา ซึ่งทำให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิต ตลอดจนกระทบความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่แนวชายแดน เราขอเป็นกำลังใจให้ทุกฝ่ายผ่านพ้นสถานการณ์นี้ไปด้วยความสงบ ปลอดภัย

-โปรดใช้วิจารณญาณในการรับและส่งต่อข้อมูล

-หลีกเลี่ยงการแชร์ข้อความ รูปภาพ และคลิปที่อาจสร้างความเข้าใจผิด

-ตรวจสอบข้อมูลก่อนทุกครั้งจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้

-ร่วมเป็นคนช่วยตรวจสอบข้อมูลในชุมชนทั้งออนไลน์และออฟไลน์

ขอให้สื่อมวลชนและสื่อบุคคลรายงานภาพและข้อมูลผู้เสียชีวิตด้วยความเคารพ นำเสนอข่าวบนฐานข้อเท็จจริงควบคู่แนวจริยธรรมมากกว่าการใช้ความรู้สึก ขอให้ภาครัฐสนับสนุนและคุ้มครองการทำงานของสื่อมวลชน ด้วยการให้ข้อมูลที่เป็นจริงและเป็นประโยชน์ในการคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างทันท่วงที

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

https://www.facebook.com/photo?fbid=1045703144432871&set=a.407800974889761&locale=th_TH

https://www.facebook.com/photo?fbid=1045732281096624&set=a.407800974889761&locale=th_TH

https://www.facebook.com/photo?fbid=1045839897752529&set=a.407800974889761&locale=th_TH

https://www.facebook.com/photo?fbid=1045888377747681&set=a.407800974889761&locale=th_TH

https://www.facebook.com/photo?fbid=1045983127738206&set=a.407800974889761&locale=th_TH

https://www.facebook.com/photo?fbid=1046458251024027&set=a.407800974889761&locale=th_TH

https://www.facebook.com/photo?fbid=1046542974348888&set=a.407800974889761&locale=th_TH

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1046653044337881&set=a.407800974889761&locale=th_TH


ผู้ว่าอุบลฯ ปฏิเสธข่าวสั่งอพยพประชาชนที่อยู่ห่างจากชายแดนไทย-กัมพูชาน้อยกว่า 130 กม.

กองบรรณาธิการโคแฟค

❓ เนื้อหาที่ตรวจสอบ:  สั่งอพยพประชาชน จ.อุบลราชธานี และจังหวัดอื่นที่อยู่ในระยะ 130 กม. จากชายแดนไทย-กัมพูชา

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ **

📝 เนื้อหาโดยสรุป: ช่วงค่ำวันที่ 25 ก.ค. 68 ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ข้อความ “เตือนภัย” อ้างว่ากัมพูชาเตรียมโจมตีไทยด้วยอาวุธที่สามารถยิงไกลได้ถึง 130 กม. ขอให้ประชาชนใน จ.อุบลราชธานีและจังหวัดอื่นที่อยู่ในระยะ 130 กม. จากชายแดนอพยพด่วน

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: ว่าที่พันตรี อดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ให้สัมภาษณ์โคแฟคทางโทรศัพท์เมื่อเวลา 23.30 น. ได้รับคำยืนยันว่าตั้งแต่ช่วงค่ำจนถึงขณะนี้ทางจังหวัดไม่ได้มีคำสั่งให้อพยพด่วน สำหรับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยใน 2 อำเภอ คือ อำเภอน้ำยืนและอำเภอน้ำขุ่น ซึ่งอยู่ในระยะ 70-80 กม. จากชายแดน ได้อพยพไปอยู่ในที่ปลอดภัยก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นไปตามการประสานงานระหว่างทางจังหวัดและกองทัพ

โคแฟคตรวจสอบเพิ่มเติมกรณีที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียจำนวนมากอ้างถึงอาวุธของกัมพูชาที่สามารถยิงระยะไกลได้ถึง 130 กม. พบว่ามีที่มาจาก พล.ท. พงศกร รอดชมภู อดีตรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่กล่าวในรายการ “คนดังนั่งเคลียร์” ทางช่อง 8 เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 68 ว่ากัมพูชามีจรวดหลายลำกล้องจากจีนชื่อ PHL03 ทั้งหมด 6 ชุด ซึ่งยิงได้ไกล 70-130 กม. สามารถเข้ามาถึงตัวเมืองและสร้างความเสียหายได้มาก ทั้งนี้ พล.ท.พงศกร ไม่ได้ระบุที่มาของข้อมูล

อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่เกิดเหตุปะทะเมื่อวันที่ 24 ก.ค. เพจทางการของกองทัพบกและกองทัพภาคที่ 2 ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์สู้รบไทย-กัมพูชา ยังไม่เคยกล่าวถึงอาวุธชนิดนี้ ในโพสต์เตือนภัยของกองทัพภาคที่ 2 เมื่อวันที่ 25 ก.ค. กล่าวถึงอาวุธยิงไกลที่กัมพูชาใช้ ได้แก่ จรวดหลายลำกล้อง BM-21 (ยิงได้ไกล 20 กม.) PHL-81 และ Type-90 B (ยิงได้ไกล 40 กม.)

ℹ️ อัพเดท: วันที่ 26 ก.ค.68 เวลาประมาณ 10.00 น. เพจเฟซบุ๊กกองทัพภาคที่ 2 โพสต์ข้อมูลเกี่ยวกับขีปนาวุธ PHL-03 ระบุว่า “เป็นระบบขีปนาวุธที่มีความสามารถในการยิงหลายลูกพร้อมกันในระยะทางไกลถึง 130 กิโลเมตรจากตำแหน่งยิง ขีปนาวุธชนิดนี้สามารถทำลายที่หมายทางยุทธศาสตร์ และที่ตั้งกำลังทางทหาร ซึ่งกองทัพได้เตรียมการรองรับสถานการณ์ ในการปฏิบัติตามแผนพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลังและมีเครื่องมือในการทำลายขีปนาวุธชนิดนี้ แต่เพื่อไม่ประมาทในการป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของพลเรือน ขอให้ระมัดระวังการถูกโจมตีที่ไม่พึงประสงค์นี้ ขอให้ประชาชนไม่ตื่นตระหนก และติดตามการแจ้งเตือนจากทางการ”

คลิปบรรเลงเพลงชาติไทยในกรุงบรัสเซลส์ ถูกบิดเบือนว่าชาวเบลเยียมเข้าข้างไทยในความขัดแย้งกับกัมพูชา

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปชาวกรุงบรัสเซลล์บรรเลงเพลงชาติไทย ให้กำลังใจคนไทยในความขัดแย้งไทย-กัมพูชา

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาบิดเบือน เป็นคลิปจากพิธีมอบชุดไทยแก่รูปปั้นเด็กฉี่ Manneken Pis ในกรุงบรัสเซลส์ เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 68**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 25 ก.ค. 68 ผู้ใช้ติ๊กตอกและเฟซบุ๊กหลายรายโพสต์คลิปวิดีโอที่มีเสียงบรรเลงเพลงชาติไทย อ้างว่าชาวกรุงบรัสเซลส์บรรเลงเพลงชาติไทยเพื่อส่งกำลังใจให้คนไทยในช่วงที่เผชิญความขัดแย้งกับกัมพูชา บางคลิปถูกแชร์ไปมากกว่า 3 หมื่นครั้ง   

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: คลิปวิดีโอนี้เป็นภาพที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียบันทึกในพิธีมอบชุด “ยิงกระต่าย เด็ดดอกไม้” แก่รูปปั้นเด็กฉี่ (Manneken Pis) ใจกลางกรุงบรัสเซลส์ ที่มีผู้เผยแพร่ในโซเชียลมีเดียตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค. 68

เพจเฟซบุ๊กสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ โพสต์ภาพบรรยากาศและพิธีมอบชุดไทยแก่รูปปั้นเด็กซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ก.ค. 68 ว่า “…มีการเคลื่อนขบวนเพื่อไปมอบชุดแก่ Manneken Pis โดยได้รับเกียรติจากวงดุริยางค์แห่งกระทรวงการคลัง กรมศุลกากร ราชอาณาจักรเบลเยียม บรรเลงบทเพลงอันทรงเกียรติ ได้แก่ เพลงชาติไทย เพลงชาติเบลเยียม และเพลงมหาฤกษ์ บริเวณกลาง Grand Place ก่อนเคลื่อนขบวนท่ามกลางผู้คนและนักท่องเที่ยวที่มาร่วมชมขบวนแห่กันอย่างคับคั่ง” พร้อมกับเผยแพร่คลิปการบรรเลงเพลงชาติไทยของวงดุริยางค์ ซึ่งมีภาพและเสียงใกล้เคียงกับคลิปที่ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นการบรรเลงเพลงชาติให้กำลังใจคนไทย

กระทรวงการต่างประเทศยืนยัน ไม่มีคำสั่งเรื่องการลดธงชาติกัมพูชา

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: องค์กร-หน่วยงานในไทยปลดธงชาติกัมพูชาจากกลุ่มธงประเทศอาเซียน 

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาบิดเบือน**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: 25 ก.ค. 68 ผู้ใช้ติ๊กตอกหลายรายโพสต์คลิปวิดีโอชายคนหนึ่งกำลังลดธงชาติกัมพูชาลงจากเสาธง บางโพสต์ระบุว่าเป็นเหตุการณ์ที่สวนนงนุช อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี บางโพสต์เขียนคำบรรยายว่า “ตามหน่วยงาน องค์กร ลดธงชาติกัมพูชาลงจากเสาในบรรดากลุ่มธงชาติประเทศอาเซียน” เป็นสัญลักษณ์ว่าไทยตัดความสัมพันธ์กับกัมพูชาอย่างถาวร

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: โคแฟคโทรศัพท์สอบถามไปยังสวนนงนุช พนักงานให้ข้อมูลว่าภาพในคลิปเป็นกลุ่มเสาธงนานาชาติที่อยู่ด้านหน้าศูนย์ประชุมนานาชาตินงนุชพัทยาจริง แต่คลิปลดธงกัมพูชาที่มีการแชร์กันอย่างแพร่หลายนั้น ไม่ได้มาจากบัญชีโซเชียลมีเดียทางการของสวนนงนุช ขณะนี้ผู้บริหารกำลังตรวจสอบเหตุการณ์ในคลิป การบันทึกภาพและการเผยแพร่ 

โคแฟคตรวจสอบเพิ่มเติมกับกระทรวงการต่างประเทศ เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าทางราชการไม่มีคำสั่งเรื่องการลดธง ซึ่งการลดธงไทยและธงอาเซียนมีกฎหมายและระเบียบกำกับ เช่น การลดธงในกรณีไว้อาลัย และทางการไทยไม่เคยมีคำสั่งเกี่ยวกับการลดธงของประเทศอื่น

กองทัพบกชี้แจง “ทหารไทยยึดพื้นที่ปราสาทพระวิหาร” เป็นข่าวเท็จ

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: ทหารไทยยึดพื้นที่ปราสาทพระวิหาร

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ**

📍 เนื้อหาโดยสรุป: ช่วงสายของวันที่ 25 ก.ค. 68 เพจเฟซบุ๊ก “Army Military Force – สำรอง” โพสต์ข้อความว่า “ด่วน! เวลา 09.25 น. ทหารไทยเข้ายึดพื้นที่ปราสาทพระวิหารและวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระที่เคยเป็นของไทยได้สำเร็จแล้ว…” ซึ่งต่อมานายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ได้นำไปรายงานในรายการ “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” ที่เผยแพร่ทางช่องยูทูบ

เวลา 10.30 น. กองทัพบกชี้แจงว่าเนื้อหาดังกล่าวไม่เป็นความจริง โดยได้โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก กองทัพบก Royal Thai Army ว่า “เป็นข่าวปลอม อย่าหลงเชื่อ”

แม้ทางกองทัพบกจะออกมาปฏิเสธข่าว และเพจต้นทางก็ได้ลบเนื้อหาออกแล้ว แต่โคแฟคพบว่าในติ๊กตอกยังมีการแชร์เนื้อหาเท็จนี้อย่างกว้างขวาง โดยบางโพสต์ได้ตัดต่อคลิปจากรายการ “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” มาเผยแพร่

“The Structure – เจ๊จุก คลองสาม” กับข้อความที่ถูกบิดเบือนของ ศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์

กองบรรณาธิการโคแฟค

โคแฟคตรวจสอบมีมที่อ้างว่าเป็นคำพูดของ ศ.ดร. พวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรณีไทย-กัมพูชา ที่ระบุว่า “หยุดคลั่งชาติและหัดดูกัมพูชาเป็นตัวอย่างที่ดี” ที่ถูกเผยแพร่ขณะเกิดเหตุปะทะที่ชายแดนไทยกัมพูชาเมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568 พบว่าเป็นการนำข้อความจากโพสต์เฟซบุ๊กของ ศ.ดร. พวงทองมาบิดเบือนและเผยแพร่ผิดบริบทเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดต่อผู้ที่แสดงความคิดเห็น

ช่วงบ่ายของวันที่ 24 ก.ค. 2568 ซึ่งเป็นวันแรกของการยิงปะทะกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชาอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ตามแนวชายแดนจังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ผู้ใช้โซเชียลมีเดียที่ใช้ชื่อว่า “เจ๊จุก คลองสาม” ที่มักโพสต์เนื้อหาสนับสนุนกองทัพ ได้นำภาพ ศ.ดร. พวงทอง มาเผยแพร่ทางเพจเฟซบุ๊ก (ผู้ติดตาม 3.4 พันบัญชี) และ X (ผู้ติดตาม 1.14 แสนบัญชี) ในภาพฝังข้อความว่า “หยุดคลั่งชาติและหัดดูกัมพูชาเป็นตัวอย่างที่ดี ศ.พวงทองชี้กัมพูชาเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ ขณะที่ชาวโลกมองไทยเป็น ‘เด็กเจ้าปัญหา’” โดย “เจ๊จุก” เขียนข้อความเชิญชวนให้ผู้ติดตาม “ช่วยแสดงความเห็นกับเรื่องนี้ที”

โคแฟคตรวจสอบ

โคแฟคตรวจสอบภาพและข้อความที่อ้างว่าเป็นคำพูดของ ศ.ดร.พวงทอง พบว่าเป็นพาดหัวข่าวของเพจข่าว The Structure ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 2568 และมีการอัพเดทเพิ่มเติมในวันที่ 5 มิ.ย. โดยในเนื้อหาได้อ้างคำพูดของ ศ.ดร. พวงทองที่แสดงความคิดเห็นต่อการแก้ไขปัญหาความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาหลังการปะทะกันของทหารทั้งสองฝ่ายในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนใกล้ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2568

เมื่อตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า รายงานข่าวของ The Structure ชิ้นนี้อ้างมาจากข้อความที่ ศ.ดร. พวงทองโพสต์ในเพจเฟซบุ๊ก Puangthong Pawakapan (ผู้ติดตาม 3.2 หมื่นบัญชี)เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 2568 ซึ่งให้ความเห็นสนับสนุนการที่ไทยใช้เวทีคณะกรรมาธิการชายแดนร่วมไทย-กัมพูชาหรือเจบีซีในการแก้ปัญหาข้อพพาทเขตแดนที่เกิดขึ้นล่าสุด โดยได้ยกกรณีข้อพิพาทเขาพระวิหารเมื่อปี 2551-2554 ในช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ข้อความเต็มจากโพสต์เฟซบุ๊กของ ศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ 3 มิ.ย. 2568

“ยิ่งไม่เจรจา เน้นใช้กำลังทหารเป็นหลัก จะยิ่งทำให้ประเทศไทยสูญเสียความน่าเชื่อถือในเวทีระหว่างประเทศ และสงครามไม่เคยแก้ปัญหาข้อพิพาทได้

“ฮุน เซน เติบโตมาจากทหารบ้าน (กองกำลังเขมรแดง) ไม่มีการศึกษาสูงส่งอะไร แต่เขาเก่งเรื่องการต่างประเทศมากๆ (ขึ้นเป็นรมต.ต่างประเทศตั้งแต่อายุแค่ 28 ปี) พอเกิดเรื่องไม่ทันไร ก็ใช้เวทีรัฐสภาของตน ประกาศว่าจะนำปัญหาข้อพิพาทกับไทยขึ้นสู่ศาลโลก (ICJ) ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะไทยถอนตัวออกจากการเป็นภาคีของ ICJ ตั้งแต่ปี 1962 หรือเมื่อแพ้กรณีปราสาทพระวิหาร แต่การประกาศเช่นนี้ของฮุน เซนเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

“นกตัวแรก คือการประกาศให้ประชาชนกัมพูชาเห็นว่ารัฐบาลจะไม่หงอให้กับประเทศที่ใหญ่กว่า แม้เขาจะมีความสนิทสนมกับรัฐบาลไทยและครอบครัวชินวัตร แต่รัฐบาลกัมพูชามีหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของชาวกัมพูชา … ได้ใจคนเขมรท่วมท้น

“นกตัวสอง คือการประกาศให้นานาชาติเห็นว่ากัมพูชาแก้ปัญหาโดยใช้กฏกติการะหว่างประเทศเป็นที่พึ่ง — กฏหมายระหว่างประเทศมีไว้แก้ปัญหาเพื่อรักษาสันติภาพและความมั่นคงของโลก — กัมพูชาประพฤติตนเป็นสมาชิกที่ดีของโลก … ฮุน เซนกำลังท้าทายประเทศไทยว่ากล้าหรือไม่ ที่จะให้คนกลางตัดสินปัญหา กลัวอะไร?

“ฉะนั้น สำหรับดิฉัน ในเมื่อไทยไม่ต้องการใช้ ICJ อีกต่อไป ก็ต้องอาศัยการเจรจาเป็นแนวทางหลักในการแก้ปัญหา การที่รัฐบาลประกาศใช้เวที JBC คือจุดเริ่มต้นที่ดี (แม้ว่าจะใช้เวลาหายงงอยู่นานก็ตาม บอกตรงๆ ว่างงกับรัฐบาลเพื่อไทยชุดนี้มาก ทำงานแบบคนเมายาได้เกือบทุกเรื่อง)

“สำหรับคนที่โตไม่ทันเหตุการณ์ข้อพิพาทเหนือปราสาทพระวิหารที่ปะทุขึ้นโดยขบวนการที่มุ่งทำลายรัฐบาลพลังประชาชน/เพื่อไทยด้วยการปลุกกระแสคลั่งชาติระหว่างปี 2551-2554 ดิฉันขอย้อนเหตุการณ์ให้อ่านสั้นๆ ว่ากรณีนี้ทำให้สถานะของไทยเหมือนเด็กเกเรระหว่างประเทศอย่างไร

“เมื่อเกิดการปะทะทางทหารขึ้น รัฐบาลฮุน เซน ประกาศขอให้อาเซียนเข้ามาเป็นตัวกลางในการเจรจา อินโดนีเซียซึ่งเป็นประธานอาเซียนในขณะนั้น รมต.ต่างประเทศ นาย Marty Natalegawa ตอบรับแสดงความยินดีอย่างรวดเร็ว เพราะสอดคล้องกับสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia – TAC) ของอาเซียน ที่ระบุว่าประเทศสมาชิกพึงแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี

“แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ปฏิเสธในทันที บอกว่านี่เป็นเรื่องทวิภาคี ไม่ต้องการให้บุคคลหรือองค์กรที่ 3 เข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งๆ ที่ไทยเป็นสมาชิกอาเซียน …. อินโดนีเซียเซ็งไปเลย

“เมื่อความขัดแย้งลุกลามบานปลายมากขึ้น เกิดการปะทะทั้งบริเวณใกล้ปราสาทพระวิหารและกลุ่มปราสาทตาเมือน ในเดือน ก.พ. 2554 ฮุน เซนประกาศว่าจะไม่มีการเจรจาระดับทวิภาคีอีกแล้ว และยื่นร้องขอให้คณะมนตรีแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC จัดประชุมด่วนเพื่อหาทางยุติความก้าวร้าวของไทย (คำของ กพช.) รวมทั้งให้ส่งกองกำลังรักษาสันติภาพมาประจำในพื้นที่พิพาทอีกด้วย

“รัฐบาลอภิสิทธิ์คัดค้านข้อเรียกร้องนี้ แต่ UNSC กลับตกลงที่จะรับพิจารณาประเด็นที่กัมพูชาร้องขอ

“UNSC ออกมติเตือนให้สองประเทศใช้ความรอบคอบระมัดระวังให้มากที่สุด, ให้มีการตกลงหยุดยิงอย่างถาวร และให้อินโดนีเซีย ในฐานะประธานอาเซียน เป็นตัวกลางจัดการประชุมพบปะระหว่างสองฝ่าย

“ฮุน เซน รีบตอบสนองข้อเสนอของ UNSC ทันที ด้วยการเสนอให้มีการหยุดยิงอย่างถาวร แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ปฏิเสธข้อเสนอนี้ในทันทีเช่นกัน

“ในที่สุด สิงหาคม 2554 กัมพูชาตัดสินใจยื่นคำร้องต่อศาลโลกให้ตีความคำพิพากษาปี 2505 ว่า “บริเวณใกล้เคียง” (vicinity) ปราสาทพระวิหารที่ฝ่ายไทยต้องถอนทหารออกไปนั้น มีขอบเขตแค่ไหน นอกจากนี้ กัมพูชายังขอให้ศาลโลกออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้ประเทศไทยถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่พิพาท และยุติการกระทำที่เป็นการแทรกแซงสิทธิของกัมพูชาที่จะพัฒนาปราสาทพระวิหาร หรือทำให้ความขัดแย้งเลวร้ายลง

“เรื่องนี้จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของไทยอีกวาระหนึ่ง เมื่อศาลโลกตัดสินว่าภูเขาพระวิหารทั้งลูกคือบริเวณใกล้เคียงของปราสาท ที่ไทยต้องถอนทหารออกไป (ก่อนหน้านี้ ไทยถือว่าพื้นที่ฝั่งตะวันตกของหน้าผาหรือตัวปราสาท เป็นของไทย)

“เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้าคุณไม่ใช่มหาอำนาจที่สามารถทำตามอำเภอใจได้แล้วล่ะก็ ต่อให้อยากแก้ปัญหาด้วยสงคราม ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เพราะโลกมีกฏหมายระหว่างประเทศให้คู่กรณีของไทยได้ใช้ แน่นอนว่าในขณะนี้ กัมพูชาไม่สามารถลากไทยกลับไปขึ้น ICJ ได้อีก แต่ไทยต้องคำนึงถึงสถานะของตนในเวทีระหว่างประเทศให้มาก … หลายปีมานี้ วิกฤติการเมืองในไทยทำให้เรากลายเป็นเด็กเจ้าปัญหาในสายตาของโลก รวมทั้งกรณีผู้อพยพอุยกูร์ และการคุกคามดร.พอล แชมเบอร์ด้วย — ซึ่งกระทบถึงผลประโยชน์ของประชาชนอย่างประเมินค่าไม่ได้

“ต่อให้อยากแก้ปัญหาด้วยสงคราม ไทยก็ไม่ควรย่ามใจว่าจะเอาชนะกัมพูชาได้ง่ายๆ เพราะนับตั้งแต่เกิดกรณีปราสาทพระวิหาร กัมพูชาเห็นไทยเป็นศัตรูอันดับหนึ่ง เขากระชับความร่วมมือด้านการทหารกับจีนมากขึ้น เพื่อเร่งสร้างสมพละกำลังทางทหารมากขึ้น … ปัญหาคือฝ่ายทหารและความมั่นคงของไทยตามการเปลี่ยนแปลงด้านการทหารของกัมพูชาหรือไม่?

“สูญเสียกันไปเท่าไรกับกรณีปราสาทพระวิหาร ทั้งชีวิตชาวบ้าน-ทหาร, เศรษฐกิจการท่องเที่ยวของคนศรีษะเกษตายสนิทจนถึงปัจจุบัน, ค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี-ค่าจ้างทนายต่างชาติ (เชื่อว่าไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท) ฯลฯ

“ยังไม่นับว่าวิกฤติการณ์นี้ที่ทำให้รัฐบาลไม่สามารถโฟกัสกับการแก้ปัญหาภายในได้อย่างเต็มที่

“ความขัดแย้งกับกัมพูชาในขณะนี้จึงชี้ว่า คนจำนวนมาก รวมทั้งปัญญาชน ไม่สามารถเรียนรู้อดีตได้เลย เล่นกับไฟชาตินิยมง่ายกว่า เพราะเวลาไฟลามมือ ก็มือของคนอื่น ไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น แบบเดียวกับพวกคลั่งชาติในปี 2551-2554”

ในตอนหนึ่งของโพสต์ ศ.ดร.พวงทองได้เตือนว่าการปลุกกระแสรักชาติจนเกินขอบเขต และการเลือกใช้กำลัง โดยละเลยกลไกการแก้ปัญหาระหว่างประเทศ ทำให้ไทยเพลี่ยงพล้ำต่อกัมพูชา สูญเสียทั้งชีวิตชาวบ้าน ทหาร และเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของศรีสะเกษ และสูญเสียเขาพระวิหารในที่สุด

ทั้งนี้ข้อความที่ ศ.ดร.พวงทองโพสต์ไม่มีคำว่า “หยุดกระแสคลั่งชาติ” และ “หัดดูกัมพูชาเป็นตัวอย่างที่ดี” แต่อย่างใด

เมื่อเดือน เม.ย. 2568 เว็บไซต์ประชาไทได้เผยแพร่รายงานเรื่อง งานวิจัยแคนาดาเผย โพสต์ ‘เจ๊จุกคลองสาม’ ปรากฎอยู่ในเอกสาร ‘ยุทธศาสตร์ฝ่ายเรา’ ของไอโอ อ้างถึงงานวิจัยเรื่อง “วิธีการที่เจ้าหน้าที่รัฐเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวเพื่อปราบปรามฝ่ายประชาธิปไตยในไทย” จัดทำโดย อัลแบร์โต ฟิตตาเรลลี เอ็ม สก๊อต และเกศกนก วงษาภักดี ในนามของ The Citizen Lab ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยของ Munk School of Global Affairs and Public Policy มหาวิทยาลัยโตรอนโต ประเทศแคนาดา งานวิจัยนี้วิเคราะห์ว่า เพจ “เจ๊จุก คลองสาม” ซึ่งมีการเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลของนักเคลื่อนไหวประชาธิปไตยโดยมีเจตนาซ่อนเร้น เป็นตัวอย่างไอโอหรือปฏิบัติการชักจูงซึ่งมีผู้ติดตามจริงบน X และ Facebook

ข้อสรุปของโคแฟค

จากการตรวจสอบข้อความที่ ศ.ดร.พวงทองโพสต์อย่างละเอียด ไม่มีข้อความว่า “หยุดกระแสคลั่งชาติ” และ “หัดดูกัมพูชาเป็นตัวอย่างที่ดี” แสดงว่าข้อความที่ The Structure นำมาใส่ประกอบภาพ ศ.ดร.พวงทองและพาดหัวข่าวนั้นเป็นข้อความที่บิดเบือน ทำให้คนเข้าใจผิดว่าเป็นคำพูดของ รศ.ดร.พวงทอง

การที่ “เจ๊จุก คลองสาม” นำข้อความนี้มาเผยแพร่ในขณะที่เกิดเหตุปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568 ซึ่งมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต และมีทรัพย์สินเสียหายจำนวนมาก เป็นการจงใจเผยแพร่ผิดบริบท ทำให้คนเข้าใจผิดว่า ศ.ดร.พวงทอง แสดงความเห็นปกป้องกัมพูชาในช่วงที่สองฝ่ายกำลังปะทะกัน นอกจากนี้การเขียนข้อความเชิญชวนให้แฟนคลับแสดงความคิดเห็น ยังแสดงถึงเจตนาสร้างกระแสอย่างใดอย่างหนึ่งที่อาจทำให้ปัญหาการสู้รบบานปลายมากกว่าการยุติปัญหา

โคแฟคขอให้ประชาชนงดแชร์โพสต์ดังกล่าวและใช้วิจารณญาณการเสพข้อมูลจากสื่อสังคมออนไลน์ในช่วงเวลาที่สถานการณ์ความมั่นคงชายแดนมีความสับสนและความอ่อนไหวต่อความรู้สึกของคนในชาติ  และให้ตรวจสอบข่าวและข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาจากแหล่งข่าวที่เป็นทางการและสื่อมวลชนอย่างรอบด้าน

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ

ระวังสงครามข้อมูล! ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ท่ามกลางข่าวจริง-ข่าวปลอม

เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 รายการ “โคแฟคสนทนา รวมพลคนเช็กข่าว เฉพาะกิจ” ได้ออกอากาศในช่วงเวลา 20.00 น. เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเกิดเหตุรุนแรงตั้งแต่วันที่ 23 กรกฎาคม โดยมีทหารไทยบาดเจ็บ 5 นายจากเหตุเหยียบกับระเบิด รวมถึง 1 นายที่ต้องสูญเสียขา และมีการปิด 4 ด่านชายแดน ได้แก่ ช่องอานม้า ช่องสะงำ ช่องจอม ช่องสายตะกู รวมถึงปราสาทตามเมืองทองและตาควาย หลังกัมพูชาเริ่มยิงโจมตีก่อน ส่งผลให้เกิดการปะทะตลอดทั้งวัน รายการนี้มี**นายสุชัย เจริญมุขยนันท** เป็นผู้ดำเนินรายการพร้อมด้วยวิทยากร **นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์** ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT และ **นางสาวกุลธิดา สามะพุทธิ** Fact-checker จาก COFACT ร่วมวิเคราะห์ถึงสถานการณ์และปัญหาการแพร่กระจายของข้อมูลข่าวสารที่อาจสร้างความสับสนในช่วงวิกฤต

เรียกร้องยุติความรุนแรง ระวังสงครามข้อมูล

นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ เริ่มต้นด้วยการแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการบาดเจ็บของทหารไทยและผลกระทบต่อประชาชนทั้งชาวไทยและกัมพูชา พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติการใช้ความรุนแรง โดยเฉพาะฝั่งเพื่อนบ้านที่เริ่มปฏิบัติการก่อน เธอกล่าวว่า “เรารู้สึกเห็นใจพี่น้องทั้งชาวไทยและกัมพูชาที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้นนี้” และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการจัดการข้อมูลในยุคที่ “สงครามข้อมูลข่าวสาร” กลายเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง โดยระบุว่า “สิ่งแรกที่บาดเจ็บล้มตายในภาวะสงครามคือความจริง” 

สุภิญญาเตือนว่า การแพร่กระจายของข่าวลือและข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบอาจสร้างความสับสนและความเกลียดชัง เธอแนะนำให้ประชาชนตั้งสติก่อนแชร์ข้อมูล โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย และเลือกเชื่อเฉพาะแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ เช่น เพจทางการของหน่วยงานรัฐ หรือสื่อมวลชนที่มีจริยธรรม เธอยังชี้ว่าภาครัฐควรจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจเพื่อให้ข้อมูลที่เป็น “Fact-based” และทันท่วงที เพื่อลดความสับสนในหมู่ประชาชนและสื่อมวลชน

นอกจากนี้ สุภิญญายังแสดงความกังวลต่อความปลอดภัยของสื่อมวลชนที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่เสี่ยงโดยอ้างถึงแถลงการณ์ของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยที่เรียกร้องให้สื่อทำงานอย่างมืออาชีพและภาครัฐควรมีมาตรการปกป้องนักข่าว เธอยังขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการแชร์ข้อมูลที่อาจยั่วยุความเกลียดชังต่อชาวกัมพูชา โดยเฉพาะแรงงานในประเทศไทย พร้อมยกตัวอย่างโพสต์ของ**นายสมบัติ บุญงามอนงค์ (หนูหริ่ง)** ที่เตือนว่า การคุกคามชาวกัมพูชาในไทยอาจส่งผลกระทบต่อคนไทยในกัมพูชา สร้างวงจรความเกลียดชังที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย

สุภิญญากล่าวทิ้งท้ายว่า การรักชาติในยามวิกฤตสามารถแสดงออกได้ด้วยการตั้งสติ ไม่แชร์ข่าวลือและมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ รวมถึงการช่วยกันตรวจสอบข้อมูลเพื่อลดความสับสนในสังคม

เปิดกลยุทธ์ตรวจสอบข่าวลวงในภาวะวิกฤติ

นางสาวกุลธิดา สามะพุทธิ Fact-checker จากCOFACT เล่าถึงความท้าทายในการตรวจสอบข้อมูลท่ามกลางสถานการณ์ที่ตึงเครียด โดยทีม COFACT ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อแยกแยะระหว่างข่าวจริงและข่าวปลอมที่แพร่กระจายในโซเชียลมีเดีย เธอยกตัวอย่างกรณีที่ตรวจสอบ 3 คลิปไวรัลในวันเกิดเหตุ:

1. คลิปปั๊มน้ำมันปตท. อำเภอกันทรลักษ์ : คลิปนี้แสดงภาพกลุ่มควันจากการโจมตี ซึ่งถูกแชร์อย่างกว้างขวางในโซเชียลมีเดีย ทีม COFACT พยายามติดต่อเจ้าของคลิปแต่ไม่ได้รับการตอบกลับ อย่างไรก็ตาม 30 นาทีต่อมา กองทัพภาคที่ 2 โพสต์ยืนยันว่ามีกระสุนตกลงที่ปั๊มน้ำมันจริง ทำให้ยืนยันได้ว่าเป็นคลิปจากเหตุการณ์จริง

2.คลิปโรงพยาบาลพนมดงรัก : มีการแชร์คลิปที่อ้างว่าเกิดเหตุรุนแรงที่โรงพยาบาลพนมดงรัก ทีมCOFACT เริ่มต้นด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากสถานการณ์ในพื้นที่อาจทำให้การติดต่อโรงพยาบาลโดยตรงไม่เหมาะสม จึงติดต่อผู้นำชุมชนในอำเภอพนมดงรัก ซึ่งยืนยันว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง และต่อมาได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจังหวัดว่ามีเหตุการณ์จริงแต่ยังไม่สามารถให้รายละเอียดเพิ่มเติมได้

3.คลิปเครื่องบิน F-16 : คลิปที่อ้างว่าเป็นเครื่องบิน F-16 ของไทยถล่มฐานทัพกัมพูชา ทีม COFACT ใช้เทคนิค Reverse Image Search ผ่าน Google พบว่าคลิปนี้เป็นภาพเก่าตั้งแต่ปี 2023 และเคยถูกแชร์ในบริบทความขัดแย้งอื่น เช่น อินเดีย-ปากีสถาน หรือเหตุการณ์ในตะวันออกกลาง จึงยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งไทย-กัมพูชา

กุลธิดายังยกตัวอย่างคลิปไวรัลใน TikTok ที่อ้างว่านักเรียนในวิทยาลัยการอาชีพสังขะ จ.สุรินทร์ วิ่งหนีทหารกัมพูชาที่ไล่ยิง ทีมงานติดต่อเพจ Facebook ของวิทยาลัย ซึ่งแอดมินยืนยันว่าเป็นเหตุการณ์จริงแต่เกิดจากนักเรียนตื่นตระหนกจากเสียงระเบิดและวิ่งหาที่หลบภัย ไม่ใช่ถูกทหารกัมพูชาไล่ยิงตามที่แคปชั่นระบุ เธอชี้ว่า การบิดเบือนบริบท (context) เป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด

กุลธิดาแนะนำให้ประชาชนฝึกทักษะการตรวจสอบข้อมูลด้วยตนเอง เช่น การใช้ Google Reverse Image Search และเรียกร้องให้ผู้ที่พบข้อมูลน่าสงสัยส่งมาให้ COFACT ตรวจสอบ เพื่อเป็น “การบริจาคข้อมูล” ที่ช่วยลดการแพร่กระจายของข่าวลวง เธอยังฝากถึงหน่วยงานที่ได้รับการติดต่อจาก COFACT ให้ช่วยยืนยันข้อมูลเพื่อประโยชน์ของสาธารณะ

รายการนี้สะท้อนถึงความท้าทายในการจัดการข้อมูลท่ามกลางความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา โดยวิทยากรทั้งสามท่านเน้นย้ำให้ประชาชนตั้งสติ ไม่แชร์ข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน และสนับสนุนให้ภาครัฐจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจเพื่อให้ข้อมูลที่รวดเร็วและน่าเชื่อถือ COFACT ยังเรียกร้องให้ประชาชนร่วมเป็น“อาสาสมัคร fact-checkers” โดยส่งข้อมูลน่าสงสัยมาให้ตรวจสอบ เพื่อช่วยลดการแพร่กระจายของข่าวลวงและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในสังคม

สำหรับผู้ที่ต้องการติดตามข้อมูลที่น่าเชื่อถือ แนะนำให้ติดตามเพจทางการของหน่วยงาน เช่น สำนักงานจังหวัด สาธารณสุขจังหวัด หรือสื่อหลักอย่าง Thai PBS, AFP ประเทศไทย และ COFACT รวมถึงฝึกทักษะการตรวจสอบข้อมูลด้วยตนเองเพื่อeรับมือกับวิกฤตข้อมูลข่าวสารในอนาคต

รายการนี้ยังส่งกำลังใจถึงทหาร สื่อมวลชน และประชาชนในพื้นที่ได้รับผลกระทบ โดยหวังว่าสถานการณ์จะคลี่คลายโดยเร็ว และขอให้ทุกฝ่ายปลอดภัยท่ามกลางความขัดแย้งนี้


ขอบคุณที่มา ubon connect

คลิปแฟนบอลอินโดนีเซียก่อเหตุจลาจล ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็น “ม็อบชาวกัมพูชาขับไล่ฮุน เซน”

กองบรรณาธิการโคแฟค

❓เนื้อหาที่ตรวจสอบ: ชาวกัมพูชานับแสนรวมตัวขับไล่ฮุน เซน  

❌ ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ เป็นคลิปแฟนฟุตบอลก่อจลาจลในอินโดนีเซีย**

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 24 ก.ค. 68 เวลา 18.17 น. ผู้ใช้เฟซบุ๊กโพสต์วิดีโอภาพเหตุการณ์ขณะฝูงชนพยายามดันประตูและขว้างปาสิ่งของใส่เจ้าหน้าที่โดยใส่ข้อความบรรยายว่าชาวเขมรนับแสนคนชุมนุมขับไล่สมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชาและประธานวุฒิสภาของกัมพูชา

คลิปนี้เคยถูกนำมาอ้างเท็จแบบเดียวกันนี้มาแล้วครั้งหนึ่งช่วงต้นเดือน มิ.ย. 68 โคแฟคและ AFP Fact Check ตรวจสอบแล้วพบว่าคลิปนี้ถูกโพสต์ในติ๊กตอกตั้งแต่วันที่ 26 พ.ค. 68 ซึ่งเจ้าของโพสต์ระบุว่าเป็นเหตุการณ์ที่สนามกีฬา Gelora Bandung Lautan Api Stadium ในเมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย โดยรายงานข่าวท้องถิ่นระบุว่าเกิดเหตุแฟนฟุตบอลทีม Persib Bandung ที่ไม่มีบัตรพยายามจะพังประตูเข้าไปชมการแข่งขันฟุตบอลนัดชิงชนะเลิศระหว่างสโมสรท้องถิ่นสองทีมเมื่อวันที่ 24 พ.ค. 68

วิทยาลัยการอาชีพสังขะ จ.สุรินทร์ ยืนยันไม่มีเหตุการณ์ “เขมรไล่ยิงนักศึกษา”

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ:  ทหารกัมพูชาไล่ยิงนักศึกษาใน จ.สุรินทร์

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาบิดเบือน**

📍 เนื้อหาโดยสรุป: ช่วงบ่ายวันนี้ (24 ก.ค. 68) ผู้ใช้ติ๊กตอกโพสต์คลิปวิดีโอนักเรียนวิ่งหนีและส่งเสียงร้องด้วยความตกใจและหวาดกลัว โดยฝังคำบรรยายว่า “เขมรบุกเข้ามาไล่ยิงในพื้นที่ของนักศึกษาแล้ว”

โคแฟคตรวจสอบเครื่องแบบนักเรียนในคลิปพบว่าเป็นเครื่องแบบของนักศึกษาวิทยาลัยการอาชีพสังขะ อ.สังขะ จ.สุรินทร์ จึงได้ติดต่อสอบถามข้อมูลจากวิทยาลัย เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าไม่มีเหตุการณ์ที่คนเขมรเข้ามาก่อเหตุตามที่คลิปกล่าวอ้าง ส่วนภาพในคลิปเป็นเหตุการณ์ที่นักศึกษาของวิทยาลัยตกใจเสียงปืนช่วงสายวันนี้จึงวิ่งหาที่หลบภัย

เจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าวิทยาลัยได้สั่งปิดสถานศึกษาระหว่างวันที่ 24 ก.ค.- 1 ส.ค. 68 เนื่องจากเหตุความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของนักเรียน นักศึกษา ครูและบุคคลากร

คลิปข่าวลวงวนซ้ำ ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นภาพ “F-16 ทิ้งระเบิดกองบัญชาการกัมพูชา”

กองบรรณาธิการโคแฟค

❓ เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิป F-16 ทิ้งระเบิดกองบัญชาการกัมพูชา

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ** 

📍 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 24 ก.ค. 68 เวลา 12.54 น. ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์คลิปวิดีโอเป็นภาพเครื่องบินทิ้งระเบิด พร้อมข้อความบรรยายว่า “ด่วน! F-16 ทิ้งบอมบ์ 2 กองบัญชาการกัมพูชา กระเจิง หลังยิงปืนใหญ่ใส่บ้านเรือนคนไทย…”

โคแฟคตรวจสอบด้วยการนำภาพจากวิดีโอไปสืบค้นด้วยเครื่องมือ Google Reverse Image พบเป็นคลิปที่ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์มานานหลายปีก่อนเหตุการณ์ปะทะระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาวันนี้ โดยคลิปนี้ถูกแชร์กันอย่างแพร่หลายในบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ที่ใช้ภาษาอาหรับ มีการอ้างอิงว่าเป็นภาพจากเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมาย เช่น การสู้รบระหว่างอินเดีย –ปากีสถาน และการทิ้งระเบิดในประเทศซูดาน 

อย่างไรก็ตาม โคแฟคยังไม่สามารถตรวจสอบได้คลิปนี้เป็นภาพเหตุการณ์ใด ที่ไหน หรือเป็นภาพที่สร้างจากเอไอหรือไม่

คลิป “ยิง รพ.พนมดงรัก” จ.สุรินทร์ ตรวจสอบแล้วเป็นภาพเหตุการณ์จริง

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิป “ยิง รพ.พนมดงรัก” จ.สุรินทร์

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาจริง**

📍 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 24 ก.ค. 68 เวลา 12.09 น. เพจเฟซบุ๊ก “แนวหน้า มั่นคง” โพสต์คลิปภาพทหารหมอบหาที่กำบังในอาคาร ขณะที่ด้านนอกมีกลุ่มควันพวยพุ่ง เขียนคำบรรยายเหตุการณ์ว่า กระสุน BM-21 ตกใส่บริเวณด้านหน้าโรงพยาบาลพนมดงรัก อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์

โคแฟคตรวจสอบกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุรินทร์ เจ้าหน้าที่ยืนยันว่ามีกระสุนจากเหตุปะทะที่ชายแดนไทย-กัมพูชาตกบริเวณ รพ. จริง ขณะนี้ผู้บริหารกำลังประชุมสรุปเหตุการณ์และมาตรการที่จำเป็น

ภาคีเครือข่ายโคแฟคที่เป็นเจ้าหน้าที่ รพ. พนมดงรัก ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่ามีลูกปืนตกบริเวณฐานพระพุทธรูปด้านหน้า รพ. และมีทหารได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิด

เพจเฟซบุ๊ก กระทรวงสาธารณสุข โพสต์ข้อความเมื่อเวลา 9.34 น. วันนี้ว่า “จากเหตุปะทะบริเวณปราสาทตาเมือนธม สถานบริการของ สธ. เริ่มปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุ โดย รพ.พนมดงรักได้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกจาก รพ. หมดแล้ว”

เว็บไซต์ข่าวสาธารณสุข Hfocus รายงานคำพูดของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุขว่า รพ.พนมดงรัก มีขนาด 30 เตียง ได้ย้ายผู้ป่วย ไป รพ. อื่น 19 ราย และให้กลับบ้าน 19 ราย

คลิประเบิดที่ปั๊ม ปตท. บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ เป็นภาพเหตุการณ์จริง

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปกระสุนตกบริเวณปั๊ม ปตท. บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาจริง**

📍 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 24 ก.ค. 68 เวลา 11.19 น. ผู้ใช้เฟซบุ๊กโพสต์คลิปภาพกลุ่มควันพวยพุ่งบริเวณปั๊มน้ำมัน ปตท. บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ โดยบรรยายว่าเป็นภาพจุดที่ได้รับความเสียหายจากเหตุปะทะที่ชายแดนไทยกัมพูชา

โคแฟคตรวจสอบจากการรายงานของสื่อมวลชนและเฟซบุ๊กกองทัพภาคที่ 2 พบว่าคลิปดังกล่าวเป็นภาพเหตุการณ์จริง โดยกองทัพภาคที่ 2 โพสต์คลิปเมื่อเวลา 11.29 น. ว่ากระสุน BM21 ตกใส่ปั๊ม ปตท. บ้านผือ มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก

ทั้งนี้ ปั๊มน้ำมัน ปตท.ที่เกิดเหตุตั้งอยู่บริเวณรอยต่อพื้นที่บ้านผือและบ้านน้ำเย็น คนในพื้นที่จึงเรียกทั้งสาขาบ้านผือและบ้านน้ำเย็น แต่หากเช็กใน Google Maps จะระบุว่าเป็นบ้านน้ำเย็น