สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 16 มกราคม 2565

จริงหรือไม่…? “เนื้อดิบ”  มีสรรพคุณเป็นยา ป้องกันและรักษา #โควิด19

ไม่จริง

เพราะ…ไม่มีหลักฐานวิทยาศาสตร์ยืนยัน และการรับประทานเนื้อดิบอาจมีผลทำให้เป็นโรคพยาธิใบไม้ตับ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/k0uo7sjukrs4


จริงหรือไม่…? ข้อมูลผู้ป่วยรพ. ศิริราชกว่า 39 ล้านคน รั่วไหล และถูกนำไปประกาศขายในอินเทอร์เน็ต 

ไม่จริง

เพราะ…คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้ตรวจสอบและชี้แจงว่า ขณะนี้ยังไม่พบการรั่วไหลของข้อมูลในสังกัดแต่อย่างใด

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/1adohe7p85fab


จริงหรือไม่…? #เมล็ดฝรั่ง ทำให้เกิดไส้ติ่ง

ไม่จริง

เพราะ…ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ตรวจสอบข้อเท็จจริง พบสาเหตุหลักเกิดจากการอุดตันของไส้ติ่งเอง เมล็ดกะท้อนมีความเสี่ยงจะทำให้ลำไส้อุดตันมากกว่าฝรั่ง เพราะมีขนาดใหญ่

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/kzem545ykwqt


จริงหรือไม่…? พืชกระท่อมสามารถยับยั้งและทำลายเชื้อไวรัสโคโรน่าได้

ไม่จริง

เพราะ…ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ตรวจสอบพบว่ายังไม่มีกลไกงานวิจัยในการต้านไวรัส และยังไม่ได้มีคำอธิบายในทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน การกินใบกระท่อมมีผลระยะยาวทำให้เกิดการเสพติดได้

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/l4pq4h1cnl9u


จริงหรือไม่…? คนว่างงานหรือมองหารายได้เสริมสามารถเข้าร่วมกิจกรรม เพื่อรับเงินแสน เงินสงเคราะห์ + เงินสนับสนุน รับเงิน 1,400 บ.และรับเงินทันทีหลังจากทำงานและลงทะเบียนเสร็จ

ไม่จริง

เพราะ…เป็นการแอบอ้างกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน โดยไม่ได้รับอนุญาต

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/1w52v3d5ievlj


จริงหรือไม่…? กทม. ได้เพิ่มจุดฉีดวัคซีนทั่ว กทม. 101 จุด รับมือโควิด

จริง

เพราะ…ณ ศูนย์เยาวชนฯไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง/ รพ.สังกัด กทม. 11 แห่ง/ 20 โรงพยาบาลเครือข่ายความร่วมมือ และ 69 ศูนย์บริการสาธารณสุข ของ กทม. สามารถลงทะเบียนจองคิวผ่าน แอปฯ QueQ 

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/f7ygqg0pp9tz


จริงหรือไม่…? ไวรัสโคโรนาเสียสมรรถนะการติดเชื้อมนุษย์ 90% หมดภายใน 20 นาทีที่ออกมาลอยอยู่ในอากาศ ซึ่งอัตราการสูญเสียส่วนใหญ่ภายใน 5 นาทีแรก

จริง

เพราะ…เว็บ medRxiv ชี้ให้เห็นว่า หากหากสวมหน้ากากอนามัยและอยู่ห่างจากบุคคลอื่น โอกาสในการติดเชื้อก็จะน้อยลง 

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/3w14bb4p8b8mf


จริงหรือไม่…? กทม.- หลายจังหวัด จับผู้ที่ไม่สวมใส่หน้ากากอนามัย ภายในรถ

จริง

เพราะ…เพื่อให้ประชาชนเคร่งครัดมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด19

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/29vipnp3wy2dc


จริงหรือไม่…? โควิดโอมิครอน ติดเชื้อและเพิ่มจำนวนในเซลล์ทางเดินหายใจ ทำให้แพร่กระจายได้ง่าย

จริง

เพราะ…แพร่เร็วกว่าสายพันธุ์เดลตาประมาณ 70 เท่า แต่ที่เซลล์เนื้อปอดกลับเพิ่มจำนวนได้ช้ากว่า เป็นเหตุผลหนึ่งที่อธิบายได้ว่าทำไมสายพันธุ์โอมิครอนถึงแพร่เร็ว เพราะมันชุกชุมในทางเดินหายใจส่วนบน ซึ่งแพร่กระจายไปยังผู้คนรอบข้างได้ง่าย แต่ไม่ค่อยมีอันตรายอะไรมาก

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/20wwfx70jlcba


จริงหรือไม่…? วัคซีนไข้หวัดใหญ่ สามารถฉีดวันเดียวกับวัคซีนโควิด 19 ได้

จริง

เพราะ…เพื่อช่วยลดความรุนแรงของโรค และลดความเสี่ยงการเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนของผู้ป่วยลง

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/22lf1rily4mwz


จริงหรือไม่…? มีโรคระบาด “อหิวาต์แอฟริกันหมู ASF “ ในประเทศไทย

จริง

เพราะ…กรมปศุสัตว์ยอมรับ ตรวจพบโรคระบาดร้ายแรง ที่นครปฐม เมื่อปี 2561 ต่อมา ครม.มีมติเป็นวาระแห่งชาติตั้งแต่ปี 2562 พร้อมประกาศเขตโรคระบาด-แจ้งองค์การโรคระบาดสัตว์ #OIE

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/17sas038qzpbk


จริงหรือไม่…? การหาวบ่อย อาจเป็นสัญญาณของโรคอันตราย

ข่าวจริงบางส่วน

เพราะ…อาจเกี่ยวข้องโรคหรือภาวะเจ็บป่วยที่รุนแรง เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน โรคลมชัก ตับวาย ฯลฯ หากหาวบ่อยผิดปกติควรได้รับการตรวจจากแพทย์

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/1t7r5p0tgln0r


จริงหรือไม่…? การดื่มน้ำที่ไม่เพียงพอ อาจส่งผลให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้ไม่ดี ก่อให้เกิดสมองเสื่อมได้

ข่าวจริงบางส่วน

เพราะ…น้ำไม่เพียงพอเป็นส่วนหนึ่งของเลือดที่สูบฉีดไปทั่วร่างกาย ทำให้เลือดมีความข้นหนืดมากขึ้นทำให้หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงสมองได้ เป็นสาเหตุของอาการสมองเสื่อม

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3akjz74e4r07t

มาตรการรับมือกับโอมิครอนในต่างประเทศ Cofact Special Report #12

มาตรการรับมือกับโอมิครอนในต่างประเทศ

ปัจจุบันโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนกำลังแพร่ระบาดหนักและแทนที่สายพันธุ์เดลต้าแล้วในหลายประเทศ แต่ละประเทศมีมาตรการรับมือไวรัสสายพันธุ์นี้แตกต่างกันไป แต่สิ่งที่ดูเหมือนจะคล้ายกันก็คือมาตรการที่ใช้กับโอมิครอนไม่เข้มงวดเมื่อเทียบกับสายพันธุ์เดลต้าและสายพันธุ์ดั้งเดิม เนื่องจากผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์หลายฉบับระบุตรงกันว่าความรุนแรงของเชื้อโอมิครอนน้อยกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้านี้ บวกกับการฉีดวัคซีนและภูมิคุ้มกันทางธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น ทำให้จำนวนผู้ป่วยครองเตียง และผู้ป่วยหนักน้อยกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้า

ฝรั่งเศสผ่านร่างกฎหมาย Vaccine Pass เกือบทุกกิจการต้องตรวจปชช.ก่อนเข้าใช้บริการ

เมื่อวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมา สภาผู้แทนราษฎรของฝรั่งเศสอนุมัติแผนการออกเอกสารอนุญาตให้ประชาชนที่ฉีดวัคซีนครบตามจำนวนโดสสามารถเข้าใช้บริการสถานที่ต่างๆ หรือ Vaccine Pass โดยบุคคลที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไปจะต้องแสดงคิวอาร์โค้ดที่ระบุว่าตนได้รับการฉีดวัคซีนครบตามจำนวนโดสแล้ว ทั้งนี้ฝรั่งเศสยังไม่ใช้มาตรการล็อกดาวน์ หรือปิดสถานประกอบการต่างๆ ถึงแม้จะมียอดผู้ติดเชื้อต่อวันถึงหลักแสนคน เนื่องจากรัฐบาลบอกว่าปัจจุบันอัตราครองเตียงของผู้ป่วยโควิดนั้นอยู่ราวๆ 50-60% ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์โอมิครอน

โรงเรียนในสหราชอาณาจักรยังคงเปิดตามปกติ

รัฐบาลอังกฤษยังคงอนุญาตให้โรงเรียนในประเทศเปิดการเรียนการสอนในห้องเรียนได้ตามปกติในภาคเรียนใหม่ โดยนักเรียนและบุคลากรในโรงเรียนทุกคนจะต้องมีผลตรวจโควิด-19 เป็นลบมาแสดงก่อนเข้าโรงเรียนในวันเปิดเทอมวันแรก อย่างไรก็ตามนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา อายุ 12 ปีขึ้นไปจะต้องสวมหน้ากากอนามัยขณะอยู่ในพื้นที่โรงเรียนตลอดเวลา ถึงแม้จะมีผลตรวจโควิดเป็นลบ และฉีดวัคซีนครบจำนวนโดสแล้วก็ตาม 

สหราชอาณาจักรกำลังประสบกับปัญหาขาดแคลนครูที่สามารถเข้าสอนในโรงเรียนได้ นาดฮิม ซาฮาวี รัฐมาตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของสหราชอาณาจักรระบุว่า ในช่วงปลายปีที่ผ่านมามีครูลาป่วยเนื่องจากป่วยด้วยโควิด หรือมีประวัติสัมผัสเสี่ยงสูงกว่า 8% และเขาคาดว่าในช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ ซึ่งเป็นช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโอมิครอนพอดี อาจจะมีจำนวนครูที่ลาป่วยมากกว่านี้

รัฐนิวเซาท์เวลส์สั่งปิดสถานบันเทิง สกัดโอมิครอน

ผู้ว่าการรัฐนิวเซาท์เวลส์ รัฐที่มีประชากรมากที่สุดในออสเตรเลีย ซึ่งมีเมืองสำคัญอย่างนครซิดนีย์ สั่งปิดสถานบันเทิงชั่วคราวเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของเชื้อโอมิครอน พร้อมกับเพิ่มมาตรการจำกัดจำนวนผู้เข้าใช้บริการร้านอาหาร และคาเฟ่ ห้ามมีการยืนดื่มสุรา หรือเต้น และห้ามมีการเล่นดนตรีสดในร้านอาหาร ส่วนห้างสรรพสินค้า ฟิตเนส และสถานประกอบการอื่นๆ ยังเปิดให้บริการได้ตามปกติ

ออสเตรเลียกำลังประสบกับปัญหาจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่มสูงขึ้นมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยวันที่ 7 มกราคมที่ผ่านมาพบผู้ติดเชื้อรายวันสูงถึง 35,000 ราย

สหรัฐฯ อนุมัติฉีดวัคซีนเข็ม 3 ในเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป

เมื่อวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ หรือ FDA อนุมัติให้ใช้วัคซีนของไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค เข็มกระตุ้น (เข็มที่ 3) ให้กับเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป โดย FDA กำหนดเกณฑ์ให้เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปรับวัคซีนเข็มกระตุ้นหลังจากได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 มาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 เดือน 

รอเชล วาเลนสกี้ ผู้อำนวยการองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ ระบุว่า เด็กมีความจำเป็นต้องเข้ารับการฉีดวัคซีน เนื่องจากจะช่วยลดความรุนแรงของเชื้อ และยังมีส่วนช่วยให้การเรียนการสอนในโรงเรียนดำเนินต่อไปได้โดยไม่ต้องกลับไปเรียนออนไลน์ที่บ้าน เนื่องจากมีผลการศึกษาชัดเจนว่าการเรียนในโรงเรียนส่งผลดีต่อพัฒนาการและทักษะการเข้าสังคมของเด็ก สุขภาพจิตของเด็กดีกว่า 

ขณะที่อดีตคณะที่ปรึกษาทางการแพทย์ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ เผยแพร่บทความในเว็บไซต์วารสารทางการแพทย์ JAMA แนะนำให้รัฐบาลสหรัฐฯ เปลี่ยนแนวคิดใหม่เพื่อรับมือกับโควิด-19 เนื่องจากผลการศึกษาหลายแห่งระบุตรงกันว่า โควิด-19 กำลังจะเป็นโรคประจำถิ่น ดังนั้นรัฐบาลควรหันมาดูแลผู้ป่วยเสมือนผู้ที่เป็นโรคระบบทางเดินหายใจชนิดหนึ่ง เร่งการฉีดวัคซีน และปรับมาพัฒนายารักษา พร้อมกับมีมาตรการให้ประชาชนเข้าถึงยา และอุปกรณ์ป้องกันตนเอง เช่น หน้ากากอนามัยคุณภาพสูงแบบ N95 และ KN95 และชุดตรวจหาเชื้อด้วยตนเองที่บ้าน (ATK) ได้ง่ายกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพราะสุดท้ายแล้วเราต้องอยู่กับโควิด-19 ให้ได้

เกาหลีใต้ออกมาตรการห้ามผู้ที่ยังไม่ฉีดวัคซีนเข้าห้างฯ-ซูเปอร์มาเก็ตขนาดใหญ่

เกาหลีใต้เป็นหนึ่งในประเทศที่มีมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดที่เข้มงวดที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย ประชาชนสามารถรวมกลุ่มทำกิจกรรมต่างๆ ได้ไม่เกิน 4 คน และสถานประกอบการต่างๆ ที่ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีพจะต้องปิดให้บริการภายในเวลา 22:00 นอกจากนี้รัฐบาลยังขยายขอบเขตประเภทกิจการที่ผู้เข้าใช้บริการต้องแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีนก่อนเข้าใช้บริการเพิ่มเติม ได้แก่ห้างสรรพสินค้า และซูเปอร์มาเก็ตขนาดใหญ่ หลังจากก่อนหน้านี้อนุมัติให้ใช้กับร้านอาหารแบบนั่งรับประทานในร้าน โรงภาพยนตร์ ฟิตเนสและสปามาแล้ว ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปจะต้องแสดงหลักฐานดังกล่าว (วัคซีนพาส) ก่อนเข้าใช้บริการสถานที่เหล่านี้ ส่วนแผนการใช้วัคซีนพาสกับเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปยังคงเลื่อนไปก่อน เนื่องจากปัจจุบันยังมีเด็กอีกกว่า 30% ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนแม้แต่เข็มเดียว ทั้งนี้รัฐบาลจะขอเวลาใช้มาตรการนี้อีก 2 สัปดาห์เพื่อประเมินสถานการณ์ว่าระบบสาธารณสุขยังสามารถรองรับจำนวนผู้ป่วยได้อยู่หรือไม่

สิงคโปร์ปรับกฎใหม่ ฉีดวัคซีนครบ ต้อง 3 เข็ม

เมื่อวันที่ 5 มกราคมที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขของสิงคโปร์ประกาศให้ประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปต้องไปฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้น (เข็มที่ 3) ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์เป็นต้นไป โดยชาวสิงคโปร์ และผู้พักอาศัยจะต้องไปฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นภายใน 9 เดือน เพราะหลังจากนั้นรัฐบาลสิงคโปร์จะปรับเกณฑ์ใหม่ว่าผู้ฉีดวัคซีนครบโดสจะต้องฉีด 3 เข็ม (2 เข็มสำหรับผู้ที่เคยฉีดวัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันมาก่อน) ผู้ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นจะไม่นับว่าเป็นผู้ที่ฉีดวัคซีนครบ และอาจถูกปฏิเสธการใช้บริการสถานที่ต่างๆ เช่นการนั่งรับประทานอาหารในร้าน หรือการใช้บริการโรงภาพยนตร์และฟิตเนส 

ลอเรนซ์ หว่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของสิงคโปร์ยังระบุด้วยว่า ขณะนี้รัฐบาลยังคงไม่ใช้มาตรการเข้ม เช่นการล็อกดาวน์ เนื่องจากจะกระทบกับภาคเศรษฐกิจ แต่ขณะเดียวกันก็ยังไม่ผ่อนคลายมาตรการเพิ่มเติม ปัจจุบันสิงคโปร์ใช้มาตรการตรวจหลักฐานการฉีดวัคซีนสำหรับผู้เข้าใช้บริการสถานประกอบการในร่ม เช่น ร้านอาหาร ฟิตเนส ห้างสรรพสินค้า และโรงภาพยนตร์ และจำกัดจำนวนโต๊ะและผู้รับประทานอาหารร่วมโต๊ะในร้านอาหาร

ที่มา​:

https://thehill.com/policy/healthcare/588342-boosters-needed-to-be-considered-fully-vaccinated-in-singapore?rl=1

https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-01-05/singapore-says-boosters-needed-to-be-considered-fully-vaccinated

uhttps://edition.cnn.com/world/live-news/omicron-variant-coronavirus-news-01-06-22/index.html

https://www.reuters.com/world/europe/french-parliament-approves-latest-covid-vaccine-measures-2022-01-06/

https://www.bbc.com/news/uk-59886078

http://www.arirang.com/news/News_View.asp?nseq=290610

https://www.channelnewsasia.com/world/covid-19-australia-new-south-wales-most-populous-state-reinstate-some-curbs-2419846


เกี่ยวกับผู้เขียน

ธนภณ เรามานะชัย (ไมค์) Fact-checker และ คอลัมนิสต์ประจำ Cofact Thailand

ปัจจุบันทำหน้าที่วิทยากรด้านการตรวจสอบข้อมูลข่าวและเครื่องมือดิจิทัลด้านข่าวให้กับ Google News Initiative ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้ประกาศข่าวเทคโนโลยีให้กับสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี (Voice TV) และอดีตกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT) https://www.damikemedia.com

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 9 มกราคม 2565

จริงหรือไม่…? มุสลิมไทยได้เป็นเจ้าของบัญชีธนาคารอิสลามทุกคน สามารถกู้เงินโดยไม่ต้องใช้หนี้คืนได้

ไม่จริง

เพราะ…เป็นการแอบอ้างใช้ภาพสื่อประชาสัมพันธ์ของมุสลิมไทยโพสต์ ลูกค้าที่ขอสินเชื่อกับธนาคารอิสลามจะต้องชำระเงินต้น และกำไรตามสัญญา

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/yo08j5vm0g7k


จริงหรือไม่…? คนท้องสามารถกินน้ำกระท่อมได้

ไม่จริง

เพราะ…จะมีผลกับเด็กในท้อง เพราะมีสารออกฤทธิ์บางตัวที่คล้ายกับการทำงานของ พวกฝิ่น มอร์ฟีน ทรามาดอล (เขียวเหลือง) ดังนั้น หากใช้ในสตรีมีครรภ์ จึงมีความเป็นไปได้ว่า จะมีผลกับเด็กในท้อง

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/qk2lh6m881ft


จริงหรือไม่…? ทุกสถานศึกษา #เชียงใหม่  ชะลอการเรียนแบบปกติ On site ตั้งแต่ 4 – 9 มกราคม 2565

จริง

เพราะ…ออกคำสั่งโดยคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงใหม่ ให้เป็นรูปแบบอื่นตามความเหมาะสมเพื่อยกระดับมาตรการป้องกันและควบคุมโรคในสถานที่ราชการและหน่วยงานของรัฐ

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/1tadgo5o5mc1u


จริงหรือไม่…? โอมิครอนหรือโอไมครอนรุนแรงน้อยกว่าโควิดสายพันธุ์อื่น

จริง

เพราะ…งานวิจัยเผย ผู้ป่วย #โอมิครอน นำตัวส่งโรงพยาบาลน้อยลง 60% เทียบกับผู้ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตาซึ่งเป็นสายพันธุ์หลักในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/1tc00c1tb8w4r


จริงหรือไม่…? การรับประทานยาฟาวิพิราเวียร์ รักษาโควิด ตาจะมีอาการกลายเป็นสีม่วงเรืองแสง

จริง

เพราะ…ยาประกอบไปด้วยสารเรืองแสง ยาเลยกระจายไปทั่วร่าง ทั้งผิว เส้นผม เล็บ ลูกตา บางคนจะเห็นชัดเลยว่าเรืองแสง บางคนก็มองด้วยตาเปล่าแล้วเห็นเป็นสีม่วงๆ ทั้งนี้ร่างกายจะกำจัดยาออกไปเอง

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/14e3fpi015n4


จริงหรือไม่…? การกินแล้วนอนสามารถทำให้อ้วนได้ 

จริง

เพราะ…กินเสร็จแล้วนอนทันที ร่างกายแทบจะไม่มีการนำเอาพลังงานมาใช้ น้ำตาลที่ได้จากการกินอาหาร แทนที่จะเปลี่ยนเป็นพลังงานกลับต้องถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมันแทน

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/1yyhr3zcf3ggy


จริงหรือไม่…? ยื่นภาษี 64 เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ต้องเสียภาษี

จริง

เพราะ…สําหรับพ่อค้าแม่ค้า ที่เข้าร่วมโดย “รายได้จากการขาย” คือ ยอดขายปกติ และ “ยอดขายคนละครึ่ง” ถือเป็น “เงินได้พึงประเมิน” ตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/2bmyu7htw087r


จริงหรือไม่…? ช้อปดีมีคืน ปี 2565 ซื้อสินค้า-บริการ ลดหย่อนภาษี ใช้ลดหย่อนได้สูงสุด 30000 บาท 

จริง

เพราะ…สำหรับผู้มีภาระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สามารถใช้สิทธิได้ทุกคน ยกเว้นพวกห้างหุ้นส่วนสามัญและคณะบุคคลไม่ต้องลงทะเบียน โดยซื้อของที่มี vat หนังสือ otop เก็บใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ เพื่อลดหย่อนภาษีปีภาษี 2565 ยื่น 2566

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/pdvxffx2izko


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 2 มกราคม 2565

จริงหรือไม่…?  ฉีดวัคซีนเสี่ยงติดโควิดมากกว่าคนมีภูมิธรรมชาติ 13 เท่า

ไม่จริง

เพราะ…ชัวร์ก่อนแชร์ตรวจสอบพบว่าเป็นข้อมูลจากผู้มีแนวคิดต่อต้านวัคซีนในสหรัฐฯ ซึ่งข้อมูลจากเวบยังไม่ผ่านการ Peer Review หรือประเมินความถูกต้องโดยผู้เชี่ยวชาญในแวดวงวิชาการ จึงไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงในงานปฏิบัติการทางคลินิกได้

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/19wndw8al1fv


จริงหรือไม่…? Moderna และ Johnson&Johnson ปกปิดข้อมูลในฉลากวัคซีน

ไม่จริง

เพราะ…ชัวร์ก่อนแชร์ตรวจสอบพบว่า ไม่ใช่การจงใจปิดบังข้อมูล แต่เป็นความต้องการให้ผู้คนค้นหาข้อมูลของวัคซีนทางออนไลน์ เนื่องจากมีการอัพเดทข้อมูลที่ทันต่อสถานการณ์มากกว่า

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/7dbjehi6342y


จริงหรือไม่…? ธนาคารออมสิน เปิดสินเชื่อสู้ภัยไวรัส ไม่มีงานทำก็กู้ได้ วงเงิน 500,000 บาท

ไม่จริง

เพราะ…สินเชื่อดังกล่าวมีชื่อว่า สินเชื่อสวัสดิการสู้ภัยโควิด ไม่มีชื่อเรียกอื่น และเป็นสินเชื่อที่ให้บริการแก่ผู้ที่มีเงินเดือนมีรายได้ประจำเท่านั้น

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/x11vehlwznwn


จริงหรือไม่…?  สหภาพยุโรป มีมติยอมรับ Thailand Digital Health Plus บนหมอพร้อม เพื่อเข้าประเทศในสหภาพยุโรปกว่า

จริง

เพราะ…เริ่มใช้งานได้ภายใน ม.ค. 65 ใช้เดินทางเข้าประเทศกว่า 60 แห่ง

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/356lom19vs8c3


จริงหรือไม่…? “ไวรัสนิปาห์” ไม่มีวัคซีน โอกาสตาย 70%

จริง

เพราะ…เป็นโรคติดต่อระหว่างสัตว์สู่คน จากการสัมผัสมูลสัตว์ และสารคัดหลั่งของพาหะนำโรค ยังไม่มียาต้านทานไวรัสนิปาห์ได้โดยตรง รวมไปถึงยังไม่มีวัคซีนที่สามารถป้องกันได้

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/1idck1qcvhp1c


จริงหรือไม่…? ครม. มอบของขวัญให้ลูกจ้างแรงงาน เพิ่มเงินสงเคราะห์ลูกจ้างสูงสุด 100 เท่า

จริง

เพราะ…เพิ่มอัตราเงินสงเคราะห์จากกองทุนฯลูกจ้างสูงสุด 100 เท่า รวมทั้งสมทบผู้ประกันตน ม.40 นาน 6 เดือนและฟรีดอกเบี้ย 0% นาน 12 เดือน สำหรับการกู้ยืมเงินจากกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/ywoluir96edx


จริงหรือไม่…? ไขมันพอกตับ คือสิ่งที่คนไทยเป็นกันเยอะมาก ไม่ใช่เพียงเพราะแอลกอฮอล์ แต่การกินขนมเครื่องดื่มก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย

ข่าวจริงบางส่วน

เพราะ…การกินอาหารให้พลังงานสูง แอลกอฮอลล์ เป็นสาเหตุของไขมันพอกตับ แต่ความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับเพศ ประเภท ปริมาณและระยะเวลาดื่มแอลกอฮอล์ และนอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่นๆด้วย

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/3b9j0j5gd7x2

แนะนำเครื่องมือตรวจสอบข้อมูลลวงด้วยตนเอง Cofact Special Report #11

ทำความรู้จัก OSINT วิธีการสำคัญสำหรับตรวจสอบข่าวลวง-ข่าวเท็จ

นิก วอเตอร์ส บรรณาธิการของ Bellingcat ลาออกจากกองทัพอังกฤษเมื่อปี 2015 เขาได้ทำงานกับกองทัพมาเป็นเวลา 4 ปี ด้วยความที่เขาสนใจประเด็นเรื่องปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ ทำให้เขาตัดสินใจศึกษาต่อปริญญาโทสาขาด้านความมั่นคงและความขัดแย้งที่ King’s College London

ระหว่างที่เขาเรียน เขาเกิดสนใจประเด็นที่เกี่ยวกับข้อมูลข่าวกรองแบบ Open Source หรือ OSINT หรือการเข้าถึงข้อมูลสาธารณะ งานเขียนชิ้นสุดท้ายที่เขาเขียนคือหัวข้อ power of OSINT for investigating disinformation during the Ukrainian conflict หรือพลังของ OSINT ในการสืบค้นข้อมูลลวงเกี่ยวกับปัญหาข้อพิพาทระหว่างยูเครน บทความนี้ถูกตีพิมพ์ใน Bellingcat เว็บไซต์ที่รวบรวมข่าวสืบสวนสอบสวน ก่อนหน้านั้นเขายังได้เขียนบทความเกี่ยวกับสงครามในเยเมน ข้อพิพาทในซีเรีย และข้อมูลการจู่โจมด้วยโดรนของประเทศต่างๆ โดยอาศัยข้อมูลประเภท OSINT อีกด้วย

วิธีการค้นหาข้อมูลแบบ OSINT ได้รับความนิยมมากในยุคสื่อสังคมออนไลน์ การเข้าถึงเซิร์จเอนจิ้น และเครื่องมือดิจิทัลต่างๆ ช่วยให้คนทั่วไปเข้าถึงฐานข้อมูลจำนวนมหาศาลบนโลกอินเทอร์เน็ต ช่วยให้นักข่าว นักวิจัย หรือแม้แต่หน่วยงานความมั่นคงใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการสืบสวนคดียากๆ 

Bellingcat ก่อตั้งโดย เอเลียต ฮิกกินส์ นักข่าวในเมืองเลเชสเตอร์ของอังกฤษ สำนักข่าวนี้เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกการค้นหาข้อมูลแบบ OSINT ในช่วงเริ่มแรกเขานำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับอาวุธที่ใช้ในสงครามซีเรีย ต่อมาพวกเขาได้รับความสนใจจากการนำเสนอข่าวสืบสวนสอบสวนกรณีเครื่องบินสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ เที่ยวบิน MH17 ถูกยิงตกเมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2014 ปัจจุบันพวกเขานำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวนเชิงลึกที่ใช้วิธีแบบ OSINT และฝึกอบรมผู้ที่สนใจในการทำข่าวด้วยวิธีนี้

วอเตอร์สบอกกับ First Draft ถึงทักษะ เครื่องมือ และความสามารถที่จำเป็นในการสืบสวนสอบสวนข้อมูลแบบโอเพนซอร์ส และนี่คือประเด็นสำคัญที่เขาได้สรุป

  1. ความคล่องแคล่วในการวิเคราะห์และเชื่อมโยงข้อมูล

การยืนยันความถูกต้องของรูปภาพและวีดีโอที่เราพบบนสื่อโซเชียลเป็นสิ่งสำคัญของกระบวนการ OSINT โดยเฉพาะในยุคที่ข้อมูลบนโลกออนไลน์มีจำนวนมาก การยืนยันข้อมูลด้วยวิธี OSINT จึงสำคัญกับนักข่าวเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันเป็นทักษะที่จะช่วยให้พวกเขาวิเคราะห์ที่มาของภาพได้

ปกติแล้วเรามักจะเห็นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์สำคัญๆ บันทึกภาพของพวกเขาแล้วโพสลงสื่อโซเชียลเช่นทวิตเตอร์ก่อนที่ภาพเหล่านั้นจะถูกเผยแพร่ผ่านทางสื่อกระแสหลัก ถึงแม้ข้อมูลเหล่านี้จะสำคัญต่อการนำเสนอข่าว แต่หลายครั้งภาพเหล่านี้ก็มักนำเสนอความจริงบางส่วน หรืออาจจะเป็นภาพเท็จก็ได้

ดังนั้นเราควรตั้งคำถามกับทุกเนื้อหา ภาพถ่าย และวีดีโอที่เราเห็นบนสื่อโซเชียล และตรวจสอบว่าผู้ที่โพสเป็นใคร เพราะอะไรเขาหรือเธอจึงโพสเนื้อหาเหล่านั้น เหมือนกับที่วอเตอร์สย้ำเสมอว่า “การวิเคราะห์ที่มาของข้อมูลคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในกระบวนการ OSINT”

  1. ทักษะด้านการค้นหาขั้นสูง

นอกจากการเข้าใจว่าเราจะหาข้อมูลโอเพนซอร์ชจากไหนได้แล้ว การมีทักษะการใช้เครื่องมือค้นหาข้อมูลเหล่านั้นด้วยความเข้าใจก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน ทวิตเตอร์และกูเกิลมีเครื่องมือที่เคล็ดลับและเครื่องมือค้นหาขั้นสูงที่ช่วยให้เราปลดล็อกข้อมูลสำคัญเหล่านี้ได้

การค้นหาขั้นสูงผ่านทวิตเตอร์ (Twitter’s advanced search) สามารถช่วยให้เราค้นหาทวีตที่มีข้อความ สถานที่ วัน เวลา ภาษา ประเภทชื่อบัญชี หรือแม้แต่แฮชแทคที่เราสนใจได้ (เมื่อไม่นานมานี้ เฟซบุ๊กได้ยุติการให้บริการฟังค์ชั่นค้นหาแบบละเอียด เช่นการใช้คีย์เวิร์ด สถานที่ หรือช่วงเวลาของโพสต่างๆ)

ขณะที่กูเกิลเองก็มีคำสั่งการค้นหาพิเศษ ที่จะช่วยให้เราค้นหาข้อมูลได้ละเอียดมากกว่าการค้นหาแบบปกติ วอเตอร์สบอกว่า “กูเกิลเป็นเครื่องมือค้นหาที่มีความสามารถมากกว่าที่คุณคิด แต่หลายครั้งที่ผู้ใช้งานมักจะใช้เพียงฟังค์ชั่นพื้นฐานของมัน”

  1. แนวคิดแบบนักสืบ

การเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสืบค้นข้อมูล OSINT ที่ดี คนคนนั้นจะต้องมีแนวคิดแบบนักสืบ วอเตอร์สบอกว่า “เขาจะไม่ตัดสินข้อมูลเพียงแค่การใช้เครื่องมือแค่หนึ่งหรือสองอย่าง แต่สิ่งที่ทำให้พวกเรา (นักวิจัยด้าน OSINT) สนุกกับการทำงานร่วมกันก็คือความรักในการแก้ปริศนาต่างๆ”

เขาบอกด้วยว่า การเข้าใจความรู้สึกและการกระทำของคนในเหตุการณ์สำคัญๆ ถือเป็นสิ่งสำคัญ เราควรเรียนรู้พฤติกรรมของพวกเขาและนำมาใช้ในการสืบหาข้อมูล

วอเตอร์สบอกว่า “เครื่องมือต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่สิ่งที่ยังคงอยู่คือหลักการ และแนวคิดแบบสืบสวนสอบสวน รวมถึงการมองหาวิธีการที่หลากหลายในการสืบค้นหาความจริง”

  1. เข้าใจความเป็นจริงของเหตุการณ์ด้วยเครื่องมือตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ

หัวใจสำคัญของการวิจัยเรื่อง OSINT ของวอเตอร์ส คือการเข้าใจว่าภาพถ่าย หรือคลิปวีดีโอต่างๆ นั้นถ่ายจากสถานที่ใด 

เขาจะใช้เครื่องมือตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุอย่าง Google Maps, Google Earth และการค้นหาภาพแบบย้อนกลับ (Reverse Image Search) จากเซิร์จเอนจิ้นของรัสเซีย Yandex และเว็บค้นหาภาพ RevEye ประกอบการยืนยันสถานที่เกิดเหตุ

นอกจากนี้เขายังใช้เครื่องมือยืนยันสภาพอากาศ เช่น SunCalc และ ShadowCalculator เพื่อยืนยันว่าเวลาที่เกิดเหตุตรงกับภาพที่โพสหรือไม่

วอเตอร์สใช้วิธีการวาดเส้นเพื่อเปรียบเทียบจุดสองจุดในภาพถ่ายดาวเทียมว่าตรงกับจุดที่ผู้โพสภาพถ่ายหรือไม่ (ภาพจาก: Nick Waters/Twitter)

แต่การรู้จักวิธีใช้เครื่องมือการค้นหาพิกัดที่ตั้งต่างๆ อาจจะไม่เพียงพอเสมอไป

วอเตอร์สบอกว่า “หลายครั้งที่คนเรามักจะตัดสินทันทีว่าภาพที่ถ่ายเกิดในสถานที่ที่มีการกล่าวอ้างจริง การรู้จักภาษาท้องถิ่นที่ใช้ในพื้นที่นั้นๆ หรือการเข้าใจวัฒนธรรมของภูมิภาคที่เกิดเหตุจะช่วยให้เรายืนยันสถานที่เกิดเหตุได้ง่ายขึ้น”

ซาเมีย ฮาร์บ (@obretix บนทวิตเตอร์) ผู้เชี่ยวชาญด้านพิกัดภูมิศาสตร์บอกว่า เขาได้นำเทคนิคการยืนยันสถานที่เกิดเหตุจากวอเตอร์สไปใช้ยืนยันสถานที่เกิดเหตุข้อพิพาทในซีเรีย

วอเตอร์สบอกว่า ฮาร์บมีความสามารถในการจับคู่ภาพกับสถานที่ รวมถึงความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์จริงในพื้นที่ของซีเรียเป็นอย่างดี

  1. การส่วนร่วมในการสืบค้นข้อมูล

มูฮัมมัด อิดรีส์ อาหมัด อาจารย์ด้านวารสารศาสตร์ดิจิทัล มหาวิทยาลัยสเตอร์ลิงได้เขียนถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมในการสืบสวนหาข้อมูลร่วมกันด้วยวิธี OSINT ในวารสาร The New York Review of Books

Bellingcat นำหลักการนี้มาใช้ต่ออีกขั้นด้วยวิธีการสร้างการมีส่วนร่วมในชุมชนนักสืบสวนข้อมูลระดับโลก วอเตอร์สบอกว่า “นักสืบสวนข้อมูลทั่วโลกมีการใช้หลักการแบบ OSINT เหมือนๆ กัน หลายครั้งที่พวกเขารวมตัวกันเป็นชุมชนเพื่อช่วยยืนยันข้อมูลและจุดเกิดเหตุในสถานที่ที่อาจตรวจสอบได้ยาก พวกเขามองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความท้าทายใหม่ๆ ไม่ได้เป็นงานที่น่าเบื่อ” 

เขายังบอกอีกด้วยว่า นักข่าวที่ใช้ทักษะ OSINT ควรใช้สื่อสังคมออนไลน์สร้างการมีส่วนร่วมในการยืนยันข้อมูลและสถานที่เกิดเหตุ เพราะการสร้างชุมชนที่มีส่วนร่วมในการยืนยันข้อมูลร่วมกัน ย่อมมีพลังมากกว่าการทำตามลำพัง

ที่มา: https://firstdraftnews.org/articles/the-skills-every-digital-investigator-needs/


เกี่ยวกับผู้เขียน

ธนภณ เรามานะชัย (ไมค์) Fact-checker และ คอลัมนิสต์ประจำ Cofact Thailand

ปัจจุบันทำหน้าที่วิทยากรด้านการตรวจสอบข้อมูลข่าวและเครื่องมือดิจิทัลด้านข่าวให้กับ Google News Initiative ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้ประกาศข่าวเทคโนโลยีให้กับสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี (Voice TV) และอดีตกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT) https://www.damikemedia.com

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 26 ธันวาคม 2564

จริงหรือไม่…? ธนาคารกรุงเทพ ส่ง SMS อีเมล LINE หรือ Facebook เพื่อขอข้อมูลส่วนตัว

ไม่จริง

เพราะ…เป็นมิจฉาชีพแอบอ้างว่าเป็นธนาคาร หลอกเอาข้อมูลส่วนตัว

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3397kynn0elt5


จริงหรือไม่…? #WHO เตือน ยกเลิกงานปีใหม่วันนี้ ดีกว่าเสียใจทีหลัง

จริง

เพราะ…เพื่อป้องกันการระบาดใหญ่ของโอไมครอน

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/9qmwpclzi1lk


จริงหรือไม่…? อาการของสายพันธุ์ #โอไมครอน

จริง

เพราะ…เจ็บคอ ปวดกล้ามเนื้อเล็กน้อย เหนื่อยมาก ไอแห้ง เหงื่อออกตอนกลางคืน และหากไม่ได้ฉีดวัคซีน อาการอาจจะรุนแรงมากกว่านี้

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/387vyk6ggu6lw


จริงหรือไม่…? อย. อนุมัติวัคซีนไฟเซอร์ สำหรับกลุ่มเด็ก 5-11 ปี

จริง

เพราะ…อย. อนุมัติวัคซีนไฟเซอร์ในกลุ่มเด็ก 5 – 11 ปี ฉีดวัคซีนเข้ากล้ามเนื้อ 2 เข็ม ห่างกัน 21 วัน วัคซีนลดลงเหลือ 10 ไมโครกรัม

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/z55nbv9lgrtq


จริงหรือไม่…?แกงไทยมีคุณสมบัติต้านเซลล์มะเร็ง

ข่าวจริงบางส่วน

เพราะ…งานวิจัยพบว่า แกงป่า แกงส้ม แกงเหลือง แกงเลียง มีส่วนช่วยยับยั้งกระบวนการของเซลล์มะเร็ง แต่อย่างไรก็ตามควรทานอาหารให้หลากหลายตามหลักโภชนาการ

อ่านต่อได้ที่

https://cofact.org/article/1gmucm3r32n03


จริงหรือไม่…? กทม. แถลงด่วน ประกาศยกเลิกงานปีใหม่ทั้งหมด

ข่าวจริงบางส่วน

เพราะ…ยกเลิก งานปีใหม่ และสวดมนต์ข้ามคืน ณ ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพฯ ส่วนภาคเอกชนเป็นการขอความร่วมมือให้ ‘งด’ แต่หากจะจัดต้องมีมาตรการดเข้มงวด

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/2nxt5fq0ykdrp

ทำความรู้จักโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน อันตรายแค่ไหน? วัคซีนป้องกันได้หรือไม่? Cofact Special Report #10

English Summary

COVID-19’s Omicron variant has been spreading across the globe and will soon be the main variant in some parts of the world. Although the initial data suggested that this variant does not cause the severe illness, but many countries do not take a risk and start putting some restrictions back. Thailand has been reporting a few dozen Omicron cases in the past month with no significant surge. However, the government does not take a chance and encourage people who have been fully vaccinated to get boosted and those who are still unvaccinated to get their first shot. In this article, we answer frequently asked questions on Omicron situation in Thailand, such as most common symptoms and how effective the current vaccines prevent the severe diseases and hospitalization. 

โควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน สายพันธุ์ล่าสุดที่กำลังแพร่ระบาดมากขึ้นทั่วโลก และกำลังเป็นสายพันธุ์ที่มีการระบาดมากที่สุดในแถบแอฟริกาใต้แทนที่สายพันธุ์เดลต้า ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมารัฐบาลในหลายประเทศเร่งศึกษาข้อมูล และใช้มาตรการต่างๆ เพื่อควบคุมไม่ให้สายพันธุ์โอมิครอนแพร่ระบาด เนื่องจากข้อมูลเบื้องต้นพบว่าสายพันธุ์นี้สามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วกว่าสายพันธุ์อื่นๆ 

คำถาม: สถานการณ์การแพร่ระบาดของโอมิครอนเป็นอย่างไร?

คำตอบ: ปัจจุบันโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนเป็นสายพันธุ์ที่มีการแพร่กระจายรวดเร็วที่สุดในประเทศแถบแอฟริกาใต้ แทนที่สายพันธุ์เดลต้าแล้ว ขณะที่ประเทศแถบยุโรป และอเมริกาเหนือเริ่มผู้ติดเชื้อมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนในเอเชียยังพบผู้ติดเชื้อไม่มาก อย่างไรก็ตามโควิดสายพันธุ์เดลต้า ยังคงเป็นสายพันธุ์ที่พบผู้ติดเชื้อมากที่สุดทั่วโลก แต่ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่าโอมิครอนจะกลายเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดหนักในอีกไม่ช้า

คำถาม: ลักษณะอาการของผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนเป็นอย่างไรบ้าง?

คำตอบ: ผู้ป่วยโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนส่วนใหญ่จะมีไข้ ปวดศีรษะ กล้ามเนื้ออ่อนแรง คล้ายกับไข้หวัดใหญ่ ประมาณ 3-4 วันอาการจะดีขึ้น ผู้ป่วยส่วนใหญ่ยังคงรับรสชาติอาหาร และกลิ่นได้ดีอยู่

คำถาม: ความรุนแรงของอาการป่วยมากหรือน้อยกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้า?

คำตอบ: จากข้อมูลของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขของไทย และจากศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐฯ (CDC) พบว่าความรุนแรงของอาการป่วยของสายพันธุ์โอมิครอนมีน้อยกว่าเมื่อเทียบกับสายพันธุ์ก่อนหน้า ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะหายป่วยเองโดยไม่ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล อย่างไรก็ตามในกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ด้วยกันเองยังไม่สามารถฟันธงได้อย่างแน่ชัดถึงความรุนแรงของเชื้อ

คำถาม: จริงหรือไม่ที่สายพันธุ์โอมิครอนเกิดจากการฉีดวัคซีนที่น้อยในประเทศแถบแอฟริกา?

คำตอบ: มีการคาดการณ์จากผู้เชี่ยวชาญหลายคน รวมถึงผู้เชี่ยวชาญในประเทศแอฟริกาใต้ว่า จำนวนผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนที่น้อยในทวีปแอฟริกา ส่งผลให้ไวรัสกลายพันธุ์จนเกิดเป็นสายพันธุ์ใหม่เช่นโอมิครอน อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญยังไม่สรุปตรงกันว่านี่คือสาเหตุหลักของการเกิดสายพันธุ์นี้

คำถาม: วัคซีนปัจจุบันสามารถป้องกันการติดเชื้อของสายพันธุ์โอมิครอนได้หรือไม่?

คำตอบ: ผลการศึกษาของไฟเซอร์ และโมเดอร์นา สองผู้ผลิตและพัฒนาวัคซีนโควิด-19 พบว่า วัคซีน 2 เข็มมีประสิทธิภาพในการป้องกันสายพันธุ์โอมิครอนค่อนข้างต่ำ แต่ยังสามารถป้องกันการป่วยหนักและเสียชีวิตได้ ขณะที่การฉีดกระตุ้นเข็มที่ 3 จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนได้ดีกว่า ทำให้หน่วยงานสาธารณสุขในหลายๆ ประเทศ เร่งการฉีดวัคซีนเข็ม 3 ให้กับประชาชนเพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อ และแพร่ระบาดของสายพันธุ์โอมิครอน รวมถึงสายพันธุ์เดลต้าที่มีความรุนแรงของอาการมากกว่า อย่างไรก็ตามทั้งสองบริษัท รวมถึงผู้ผลิตวัคซีนรายอื่นๆ กำลังเร่งศึกษาและพัฒนาวัคซีนเวอร์ชั่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันสายพันธุ์โอมิครอนโดยเฉพาะ คาดว่าจะสามารถใช้กับประชาชนทั่วไปได้ภายในต้นปี หรือกลางปีหน้า

คำถาม: วิธีการป้องกันตัว เช่น การสวมหน้ากากอนามัย และการล้างมือบ่อยๆ ยังใช้ได้กับสายพันธุ์โอมิครอนหรือไม่?

คำตอบ: โควิด-19 ทุกสายพันธุ์สามารถแพร่กระจายได้ในอากาศ ดังนั้นการสวมหน้ากากอนามัยเวลาที่อยู่ในพื้นที่ที่มีคนจำนวนมากๆ และการล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ยังเป็นสิ่งจำเป็น

คำถาม: จะมีโอกาสหรือไม่ที่โอมิครอนจะเป็นสายพันธุ์โควิด-19 หลักที่มาแทนที่สายพันธุ์เดลต้า?

คำตอบ: ปัจจุบันโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนกลายเป็นสายพันธุ์หลักที่มีการแพร่ระบาดมากที่สุดในประเทศแถบแอฟริกาตอนใต้เป็นทีเรียบร้อยแล้ว จากรายงานของกระทรวงสาธารณสุขของสหราชอาณาจักรคาดการณ์ว่าภายในอีกไม่กี่เดือน โอมิครอนจะกลายเป็นโควิด-19 สายพันธุ์หลักในประเทศ เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเปอร์เซ็นต์ของผู้ติดเชื้อต่อวันของสายพันธุ์นี้มีแนวโน้มสูงกว่าสายพันธุ์อื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญ

คำถาม: ประเทศไทยมีการรับมือกับการแพร่ระบาดของสายพันธุ์นี้อย่างไร?

คำตอบ: ปัจจุบันรัฐบาลใช้มาตรการตรวจหาเชื้อผู้ที่เดินทางเข้าประเทศไทยทุกคนด้วยวิธี RT-PCR ซึ่งเป็นวิธีที่ละเอียดและแม่นยำที่สุด นักท่องเที่ยว และผู้ที่เดินทางเข้าประเทศไม่ว่าจะมาจากประเทศไหนก็ตาม ทั้งในกลุ่มประเทศสีเขียว (Test & Go), กลุ่ม Sandbox และกลุ่มที่ต้องกักตัว 14 วันจะต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR และต้องทราบผลเป็นลบก่อนจึงจะสามารถออกจากที่พักได้ ส่วนผู้ที่เดินทางมาจากประเทศในทวีปแอฟริกาใต้ทั้งหมดจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไทยตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคมนี้เป็นต้นไป ยกเว้นชาวไทยหรือผู้ที่มีใบอนุญาตพำนักในประเทศไทยที่เดินทางด้วยเที่ยวบินพิเศษที่ได้รับอนุญาตจากทางรัฐบาลเท่านั้น โดยผู้ที่เดินทางเข้าไทยจะต้องเข้ารับการกักตัวในโรงแรม AQ เป็นเวลา 14 วันทุกคน 

นอกจากการเข้มงวดเรื่องการเดินทางเข้าประเทศแล้ว ล่าสุดกระทรวงสาธารณสุข และคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้มีการปรับระยะเวลาการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น (เข็มที่ 3) ให้กับผู้ที่ได้รับวัคซีนแอสตราเซเนกาครบ 2 เข็มมาแล้วตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป (จากเดิม 6 เดือน) ตามคำแนะนำของผู้ผลิตวัคซีน และกระทรวงสาธารณสุขของสหราชอาณาจักร รวมทั้งผู้ที่เคยได้รับวัคซีนสูตรไขว้ เช่น: ซิโนแวก หรือ ซิโนฟาร์ม + แอสตราเซเนกา มาแล้วตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป ก็สามารถเข้ารับการฉีดเข็มกระตุ้นได้เช่นกัน โดยประชาชนกลุ่มนี้จะได้รับเข็มกระตุ้นเป็นวัคซีน mRNA ได้แก่ ไฟเซอร์ หรือ โมเดอร์นา ส่วนประชาชนที่เคยได้รับการฉีดวัคซีนซิโนแวก หรือ ซิโนฟาร์มครบ 2 เข็มมาแล้วตั้งแต่ 4 สัปดาห์ขึ้นไปสามารถเลือกวัคซีนเข็มกระตุ้นได้ 3 ชนิด ได้แก่ แอสตราเซเนกา, ไฟเซอร์, หรือโมเดอร์นา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการจัดสรรวัคซีนของแต่ละจังหวัด

ที่มา:

https://www.cdc.gov/coronavirus/2019-ncov/variants/omicron-variant.html

https://www.nytimes.com/article/omicron-coronavirus-variant.html
https://www.nytimes.com/2021/12/15/health/omicron-vaccine-severe-disease.html

https://www.nbcnews.com/science/science-news/omicron-covid-variant-what-to-know-rcna8752

https://www.pfizer.com/news/press-release/press-release-detail/pfizer-and-biontech-provide-update-omicron-variant

https://www.bbc.com/news/health-59696499

https://www.bangkokbiznews.com/social/976984


เกี่ยวกับผู้เขียน

ธนภณ เรามานะชัย (ไมค์) Fact-checker และ คอลัมนิสต์ประจำ Cofact Thailand

ปัจจุบันทำหน้าที่วิทยากรด้านการตรวจสอบข้อมูลข่าวและเครื่องมือดิจิทัลด้านข่าวให้กับ Google News Initiative ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้ประกาศข่าวเทคโนโลยีให้กับสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี (Voice TV) และอดีตกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT) https://www.damikemedia.com

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 19 ธันวาคม 2564

จริงหรือไม่…? จริงหรือไม่? ติดเชื้อไวรัส #Omicron เสี่ยงเป็นโรคหัวใจ

ไม่จริง

เพราะ…ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ ตรวจสอบพบว่า ยังไม่มีรายงานที่พิสูจน์ได้ว่าไวรัสโอไมครอนเพิ่มความเสี่ยงทำให้เกิดโรคหัวใจ

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/gup3cqaxox5v


จริงหรือไม่…? มีลูกแล้วดึงแคลเซียมจากฟันแม่ ทำให้ฟันผุฟันหลุด

ไม่จริง

เพราะ…แคลเซียมคงอยู่แบบถาวรไม่สามารถถูกดึงออกไปได้เหมือนกระดูก ส่วนสาเหตุของฟันผุระหว่างตั้งครรภ์ คือการขาดการดูแลสุขภาพช่องปากอย่างถูกวิธี

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/x731a6c18apw


จริงหรือไม่…? วิกฤตเริ่มขาดแคลนเลือด เนื่องจากเลือดของผู้บริจาคที่ฉีดวัคซีนดำ

ไม่จริง

เพราะ…แพทย์ ชี้ เลือดมีสีแดงเสมอ หรือแดงเข้ม ไม่เคยพบว่ามีสีดำ

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/28gtoae671z7p


จริงหรือไม่…? มะนาวโซดารักษามะเร็งได้

ไม่จริง

เพราะ…น้ำมะนาวและน้ำโซดา ไม่มีข้อบ่งใช้ในการรักษามะเร็ง แต่การดื่มน้ำมะนาวในปริมาณที่เหมาะสมมีประโยชน์ทำให้ชุ่มคอ บรรเทาอาการเจ็บคออุดมด้วยวิตามินซี

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/3nlwd7iflx4j7


จริงหรือไม่…? ยืมเงินด่วนฉุกเฉิน 5,000 บาท ผ่านแอป #เป๋าตัง อนุมัติไว 3 นาที

ไม่จริง

เพราะ…ธนาคารไม่มีนโยบายให้สินเชื่อ หรือยืมเงินสดผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังแต่อย่างใด

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/1zu40accyhkbj


จริงหรือไม่…?  เจ้าหน้าที่ตำรวจหรือทหารสามารถขอถ่ายรูปบัตรประชาชนได้

ไม่จริง

เพราะ…กฎหมายไม่ให้อำนาจเจัาหน้าที่ถ่ายรูป เพราะบัตรประชาชนถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลของเราทั้งใบ ซึ่งการใช้สำเนาบัตรประชาชนยังต้องมีการเซ็นต์รับรองสำเนา

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/5fp7y5uopz1n


จริงหรือไม่…? Shopee รับสมัครพนักงานทำยอดซื้อพาร์ทไทม์จำนวนมาก รายได้ 1,500 บาททุกวันง่าย ๆ

ไม่จริง

เพราะ…Shopee ชี้แจง กิจกรรมต่างๆ จะอยู่ภายใต้การดูแลของบริษัทฯ ทางเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน shopee.co.th เท่านั้น

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/2ofc256k9jh6l


จริงหรือไม่…? กระทรวงสาธารณสุขปรับระยะเวลาการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้เร็วขึ้น เหลือ 4 สัปดาห์ ถึง 3 เดือน

จริง

เพราะ…ปรับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในกลุ่มที่ฉีดแอสตร้าเซนเนก้า 2 เข็ม และสูตรไขว้ ซิโนแวคตามด้วยแอสตร้าเซนเนก้า ให้เร็วขึ้นจากเดิมเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ประชาชน

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/1or79z90g84lr


จริงหรือไม่…? โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ลงทะเบียนรับบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 Moderna เข็มกระตุ้น

จริง

เพราะ…สำหรับผู้ฉีดวัคซีนครบ 2เข็มแล้ว ในช่วงระยะเวลาที่กำหนด

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/146rcaq7zvpjy


จริงหรือไม่…? “โนรา” ได้รับการขึ้นทะเบียน เป็นมรดกวัฒนธรรม

จริง

เพราะ…ลำดับที่ 3 ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโกให้เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ต่อจาก โขนในปี 61 และนวดไทยในปี 62

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/3kiloxgwhdjv4


จริงหรือไม่…? 15 ธ.ค. นี้ ปรับขึ้นค่าผ่านทางพิเศษ สายศรีธัช – วงแหวนรอบนอก

จริง

เพราะ…การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ยืนยันว่าเป็นการปรับขึ้นทุกๆ 5 ปี ตามสัญญาสัมปทาน

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/379qgt2947shr


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 12 ธันวาคม 2564

จริงหรือไม่…? โควิดสามารถแพร่เชื้อทางสายตา

ไม่จริง

เพราะ…ไม่สามารถติดจากการมองตากันได้ แต่หากละอองสารคัดหลั่งของผู้ป่วยเข้าตา ก็เสี่ยงติดเชื้อได้

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/qccx3nkqy7qb


จริงหรือไม่…? ผู้หญิงหลังจากฉีดวัคซีนโควิดก่อให้เกิดการมีบุตรยาก

ไม่จริง

เพราะ…ยังไม่มีหลักฐานว่าวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จะส่งผลต่อความสามารถในการมีบุตร ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/1w47jtahfww3h


จริงหรือไม่…? ice bathing นอนแช่น้ำแข็ง เป็นการกระตุ้นเซลล์คนเป็นมะเร็ง และหากเป็นโควิดทำแล้วอาการจะดีขึ้น

ไม่จริง

เพราะ…แพทย์ยืนยัน ยังไม่เคยมีข้อมูลว่าวิธีการแบบนี้สามารถรักษามะเร็งได้ อีกทั้งการกระทำดังกล่าว อาจทำให้ถึงอันตรายแก่ชีวิต

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/2lh3kg2b473el


จริงหรือไม่…? แอปพลิเคชันเป๋าตัง เปิดให้ยืมเงินฉุกเฉิน 5 พันบาท อนุมัติไวใน 3 นาที

ไม่จริง

เพราะ…ธนาคารกรุงไทย ชี้แจง ไม่มีนโยบายให้สินเชื่อ หรือยืมเงินสดผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังแต่อย่างใด

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/3udm4hyi2ud4j


จริงหรือไม่…? ขึ้นทางด่วน ฟรี 5 วันรวด ดีเดย์ 30 ธ.ค. 64 – 3 ม.ค. 65

จริง

เพราะ…ยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษเส้นกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) (รวมทางเชื่อม) ในช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยไม่มีการจัดเก็บค่าผ่านทางพิเศษของทางสายดังกล่าว เช่นเดียวกับทางพิเศษบูรพาวิถี

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/ngcypm7ywm1j


จริงหรือไม่…? โลชั่นเร่งผิวขาวอันตรายแก่ผิวหนัง

จริง

เพราะ…โลชั่นดังกล่าวมักจะมีสารสเตียรอยด์ เมื่อใช้ไปนานๆ อาจก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/27gi08raya4ud


จริงหรือไม่…? สภาองค์กรของผู้บริโภค  เปิดตัว LINE Official Account เพื่อร้องทุกข์ปัญหาผู้บริโภค

จริง

เพราะ…เพื่อให้ข่าวสารความเคลื่อนไหวของ สอบ. สาระความรู้สำหรับผู้บริโภค หรือแม้แต่การร้องเรียนปัญหาผู้บริโภคที่เจอมา

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/15637syc766ta


ข่าวจริงบางส่วน

เพราะ…ผู้ติดเชื้อจากไวรัสโอไมครอน จะมีอาการ ปวดกล้ามเนื้อ ไม่ไอ ไม่มีผลกระทบเรื่องได้กลิ่นและรับรสชาด

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/iu7pjqs98pej


จริงหรือไม่…? จากการติดเชื้อโควิด ไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีน

ข่าวจริงบางส่วน

เพราะ…แม้จะมีภูมิต้านทานอยู่ในร่างกาย แต่จะค่อยๆ ลดลง มีโอกาสที่จะติดเชื้อได้ใหม่ ควรฉีดวัคซีนป้องกัน หลังหายแล้ว 3-6 เดือน

อ่านต่อได้ที่https://cofact.org/article/xdu50clpwh6f


โคแฟค’เปิดตัวเครือข่ายระดับภูมิภาค ขยายแนวร่วมตรวจสอบข่าวลวงสู่ท้องถิ่น

วันที่ 7 ธ.ค. 2564 โคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สถาบันเชนจ์ฟิวชั่น, มูลนิธิฟรีดริซเนามัน,อีสาน Cofact, อันดามัน Cofact, อุบลคอนเนก, สมาคมผู้บริโภคสงขลา, เชียงรายพะเยาทีวี, ตราดทีวี , สมาคมสื่อสารมวลชนจังหวัดตราด และ Deep South Cofact  จัดแถลง “เปิดตัวเครือข่ายตรวจสอบความจริงระดับภาค”  เพื่อขยายการทำงานการตรวจสอบข่าวให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น 

ผศ.ดร.เอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์ ที่ปรึกษาโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า โคแฟคเป็นแพลตฟอร์มภาคประชาสังคม ก่อตั้งขึ้นในปี 2562 โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากโคแฟคไต้หวัน ด้วยเชื่อว่าโลกออนไลน์นั้นมีข้อมูลข่าวสารแพร่กระจายหลากหลายไหลเวียน แต่ข้อมูลข่าวสารเหล่านั้นมีทั้งข้อเท็จจริง ความคิดเห็น ความผิดพลาดอย่างไม่ตั้งใจ ไปจนถึงการตั้งใจเพื่อให้เกิดผลจากข้อมูล ดังนั้นการตรวจสอบข้อมูลข่าวสารจึงเป็นหน้าที่ของประชาชนผู้ตื่นรู้

“ในรอบปี 2563 โคแฟคได้ไปตระเวนในภูมิภาคต่างๆ ทั้งภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไปพบปะพูดคุยกับภาคีต่างๆ แล้วทางการทำงาน โคแฟคก็ได้ประสานเชื่อมโยงในกิจกรรมต่างๆ ทางออนไลน์บ่อยครั้งมาก วันนี้เป็นโอกาสอันดีที่โคแฟคจะเปิดตัวเครือข่ายซึ่งจะทำงานร่วมกันตรวจสอบความจริง” ผศ.ดร.เอื้อจิต กล่าว

นางญาณี รัชต์บริรักษ์ รักษาการผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมระบบสื่อและสุขภาวะทางปัญญา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า ย้อนไปในครั้งที่โคแฟคประเทศไทยก่อตั้งขึ้น วันนั้นมีภาคีเครือข่ายร่วมกันเพียง 8 องค์กร แต่ปัจจุบันมีมากกว่า 39 องค์กรที่ร่วมประกาศเจตนารมณ์ทำงานร่วมกัน ด้วยเหตุที่มองเห็นปัญหาข้อมูลข่าวสารไหลบ่าโดยเฉพาะในช่วงวิกฤติโควิด-19 และ สสส. ก็ยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนงานของโคแฟค

โดยเป้าหมายของโคแฟคคือการพัฒนาให้ทุกคนมีทักษะในการตรวจสอบข้อมูลข่าวสาร (Fact Checker) ตอบโจทย์ความเป็นพลเมืองดิจิทัล ซึ่งที่ผ่านมาโคแฟคได้เสนอแนะแนวทางการพัฒนาไว้ 5 ระดับ 1.ระดับบุคคล ต้องมีทักษะการรู้เท่าทันสื่อและตรวจสอบข้อมูลข่าวสาร 2.ระดับสังคม-วัฒนธรรม ลดอคติความเชื่อ และสร้างวัฒนธรรมการสื่อสารความจริงร่วมกัน 3.ระดับโครงสร้าง ขับเคลื่อนงานในทุกภาคส่วนตั้งแต่ภาครัฐ สื่อมวลชน การศึกษา และภาคประชาชน เพื่อให้เอื้อต่อการสร้างกลไกตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างมีส่วนร่วมทุกภาคส่วน 4.ระดับประเทศ สร้างฐานข้อมูลกลางที่น่าเชื่อถือและเข้าถึงได้โดยสร้างความร่วมมืออกับทุกเครือข่าย และ 5.ระดับชุมชน ธรรมชาติของข้อมูลบิดเบือนหรือข่าวลวงนั้นเกิดขึ้นได้ทั้งระดับสังคมและชุมชนหรือท้องถิ่น โดยที่แต่ละชุมชนจะมีข้อมูลข่าวสารแตกต่างกันไปตามบริบทของในพื้นที่นั้นๆ เช่น ภัยพิบัติ ก็จะเห็นข่าวลวงที่วนเวียนอยู่ในพื้นที่ การเกิดกลไกตรวจสอบข่าวลวงในระดับภูมิภาคและเชื่อมโยงกัน จะช่วยให้เกิดประสิทธิภาพในการตรวจสอบข้อมูลข่าวลวงและข้อเท็จจริงในบริบทของพื้นที่ และช่วยคลี่คลายปัญหาการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารได้อย่างมาก

“ความโดดเด่นของงานโคแฟคซึ่งเป็นเอกลักษณ์จริงๆ จะมีอยู่ 3 ด้าน ซึ่งก็สอดคล้องกับการทำงานขับเคลื่อนของ สสส. และภาคีเครือข่าย คือการก่อเกิดนวัตกรรมใหม่ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงภาคประชาสังคม-ภาคประชาชน โดยการพัฒนาทักษะพลเมืองในยุคดิจิทัล ใช้ Big Data และเทคโนโลยีภาคพลเมืองบนฐานของปัญญาร่วม หรือ Wisdom of the Crowd มาช่วยด้านการสานพลังเครือข่าย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนงานที่โดดเด่นของการทำงานเครือข่ายโคแฟค เนื่องจากทุกคนเป็นเจ้าของร่วมหรือในพื้นที่หรือชุมชนสาธารณะนี้ แล้วมีการสานต่อ ขยายผลการทำงานให้กว้างขวางขึ้นเรื่อยๆ” นางญาณี กล่าว 

นายสุชัย เจริญมุขยนันท ผู้ก่อตั้ง Ubon Connect จังหวัดอุบลราชธานี กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของเครือข่ายใน จ.อุบลราชธานี มาจากการรวมตัวของคนที่สนใจเรื่องภัยพิบัติผ่านแพลตฟอร์ม Open Chat ในปี 2562 ซึ่งปีนั้น จ.อุบลราชธานี เผชิญสถานการณ์น้ำท่วมอย่างรุนแรง จากนั้นในปี 2563 เมื่อเกิดสถานการณ์โควิด-19 ได้ก่อตั้ง Open Chat ในประเด็นโควิด-19 ในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี โดยเฉพาะ และเมื่อโคแฟคเข้ามาสนับสนุน ก็ต้องเพิ่มเติมการตรวจสอบข่าวลวงขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่งอย่างต่อเนื่อง

“นอกจากใน Open Chat หรือในเพจแล้วยังทำเป็นรายการ เรื่องจริงมันเป็นอย่างไร อย่างโรงเรียนอนุบาลอุบลฯ ติดโควิด ผู้ร่วมกฐินหลวงติดโควิด เราไล่มาเลย เพจนี้ว่าอย่างนี้ ชาวบ้านว่าอย่างนี้ แล้วเรื่องจริงมันเป็นอย่างไร ก็บอกเรื่องจริงที่เราตรวจสอบ หรือกรณีโรงพยาบาลสรรพสิทธิ์ประสงค์จะมีโครงการขึ้นมา เราตรวจสอบกับโรงพยาบาลแล้วว่าไม่จริง ก็เป็นเพจในอุบลฯ เหมือนกัน หรือกรณีสามเณรแต่งหญิง ภาพเก่าเอามาแชร์กันในช่วงนี้ จริงๆ มันเป็นภาพเก่าไม่ใช่ตอนที่เขาเป็นสามเณร” นายสุชัย กล่าว

ผศ.ดร. ณภัทร เรืองนภากุล อาจารย์คณะสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ช่วงปี 2563-2564 การทำงานร่วมกับโคแฟคเน้นสร้างเครือข่ายนักเรียน-นักศึกษา เช่น จัดกิจกรรมให้ความรู้ด้านทักษะตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact Checker) การส่งทีมเข้าแข่งขัน FACTkathon พัฒนานวัตกรรมทางสังคมเพื่อพลเมืองฐานราก เป็นต้น ส่วนเป้าหมายในปีต่อไป มีเป้าหมายร่วมกับโคแฟค 3 ประการคือ 

1.พัฒนาศูนย์ข้อมูลตรวจสอบข่าวลวงในภูมิภาค โดยเชื่อมโยงเยาวชนกับกลุ่มคนต่างวัย 2.ขยายฐานข้อมูลโคแฟคโดยเพิ่มเติมข่าวลวงที่พบในระดับภูมิภาคมากขึ้น และ 3.พัฒนาทักษะการตรวจสอบข้อมูลให้กับเครือข่ายพลเมือง ทั้งในแง่คุณภาพและปริมาณ ทั้งนี้ กลุ่มหลักที่ทำงานด้วยยังคงเป็นนักศึกษาซึ่งเป็นจุดแข็งเพราะเป็นคนรุ่นใหม่ โดยอบรมเพิ่มเติมเรื่องการตรวจสอบข้อมูลบิดเบือน โดยร่วมกับสื่อมวลชนระดับท้องถิ่น ก่อนลงพื้นที่ไปทำงานกับอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน (อสม.) ในพื้นที่ จ.อุตรดิตถ์ และประชาชนฐานรากในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ 

“รูปแบบการทำงานเราจะมีการถ่ายทอดติดตั้งองค์ความรู้เรื่องการตรวจสอบข้อมูล การใช้แพลตฟอร์มโคแฟค การสร้างเนื้อหาร่วมกัน โดยจะมีการวัดผลทั้งก่อนและหลัง ทั้งกลุ่มของนักศึกษาและกลุ่มของประชาชนที่เข้าร่วมกิจกรรม นอกจากนี้ข้อมูลที่ได้จากท้องถิ่น เราก็จะใส่เพิ่มเข้าไปในฐานข้อมูลข่าวลวงหรือข้อมูลบิดเบือนจากภาคเหนือเข้าไปอยู่ในระบบโคแฟคไม่ต่ำกว่า 20 ชิ้น รวมถึงผลิตเนื้อหาจากข่าวลวงและข้อมูลบิดเบือนเพื่อสร้างการรู้เท่าทัน” ผศ.ดร.ณภัทร กล่าว

นายชัยวัฒน์ จันธิมา บรรณาธิการพะเยาทีวี ทีวีชุมชน จังหวัดพะเยา กล่าวว่า พะเยาทีวีเป็นสื่อท้องถิ่นครอบคลุมพื้นที่ จ.พะเยา และ จ.เชียงราย ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 มีประชาชนส่งข้อความมาสอบถามเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง เช่น การเดินทางข้ามจังหวัด การพบผู้ติดเชื้อ ซึ่งด้วยความที่อยู่ในชุมชนก็ทำให้ได้เห็นปัญหาข่าวลวง เช่น ไปบอกว่าบุคคลนั้นหรือร้านนี้พบการติดเชื้อ ซึ่งแม้ต่อมาพบว่าไม่เป็นความจริงแต่ความเสียหายก็เกิดขึ้นแล้ว 

ทั้งนี้ สิ่งที่พะเยาทีวีต้องการทำงานร่วมกับโคแฟค มี 3 ประเด็นซึ่งพบสถานการณ์ในพื้นที่ คือ 1.ศาสนาและความเชื่อ เช่น ความแตกต่างระหว่างคณะสงฆ์ฝั่งประเทศเมียนมา คณะสงฆ์ที่กรุงเทพฯ และคณะสงฆ์ใน จ.พะเยา หรือกลุ่มชาติพันธุ์ วัฒนธรรมประเพณีต่างๆ ในชุมชน เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง 2.กฎหมายและเทคโนโลยี เช่น การซื้อ-ขายสินค้าทางออนไลน์แล้วถูกหลอก หรือประเด็นด้านสุขภาพ และ 3.ข่าวสถานการณ์ต่างๆ ทีเกิดขึ้นในพื้นที่ เช่น ภาพหรือข่าวเก่าที่ถูกนำมาแชร์วนใหม่ ไปจนถึงประกาศเชิญชวนต่างๆ ที่พบในชุมชน

“พะเยาทีวีมีเครือข่ายความร่วมมือทั้งคณะสงฆ์ ปราชญ์ ด้านกฎหมายตอนนี้เราก็ทำงานร่วมกับคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา รวมถึงคณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพราะมีเรื่องเทคนิคที่ชาวบ้านต้องการความรู้ ส่วนอื่นๆ ที่เราทำร่วมอยู่แล้วคือเครือข่ายแหล่งข่าว และคณะสื่อสารสื่อใหม่ของมหาวิทยาลัยพะเยา และมหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย” นายชัยวัฒน์ กล่าว

นายจักรกฤชณ์ แววคล้ายหงษ์ นายกสมาคมสื่อสารมวลชน จังหวัดตราด กล่าวว่า ด้วยบทบาทการทำงานสื่อมา 30 ปี จึงต้องกลายเป็นที่พึ่งของประชาชนเมื่อมีข้อสงสัยในประเด็นต่างๆ ว่าเรื่องไหนจริงเรื่องไหนเท็จไปโดยปริยาย อาทิ เรื่องหนึ่งที่เป็นข่าวมาแล้วไม่ต่ำกว่า 10 ปี คือเรื่องหาดทรายดำใน จ.ตราด มีความเชื่อกันว่าใครไปนอนให้ร่างกายหมกทรายจะสามารถรักษาโรคได้ แต่เรื่องนี้ก็เป็นเพียงความเชื่อไม่ใช่ความจริง หรือมีชุมชนแห่งหนึ่ง เชื่อกันว่าชายหนุ่มไปอยู่กินกับหญิงสาวได้ก่อนหากไม่พอใจค่อยเลิกทีหลัง นี่ก็เป็นความเชื่อ เป็นต้น

“เราจะมีเวทีตรวจสอบความจริง 3 เวที เวทีกับสมาคมสื่อ เวทีกับสภาเด็กและเยาวชน และเครือข่ายประชาชนและสมาคมผู้ปกครองจังหวัดตราด อันนี้คือสิ่งที่ศูนย์ตรวจสอบความจริงของจังหวัดตราด จะมีการดำเนินการในต่อไป” นายกสมาคมสื่อสารมวลชน จังหวัดตราด กล่าว

รศ.ดร.สุชาดา พงศ์กิตติวิบูลย์ อาจารย์หลักสูตรนิเทศศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยบูรพา จังหวัดชลบุรี กล่าวว่า ในปี 2563 โคแฟคเคยจัดเวทีสัญจรภาคตะวันออก ซึ่งได้เชิญมหาวิทยาลัยในภาคตะวันออกมาเข้าร่วม ส่วนการตรวจสอบข่าวลวงเป็นการบูรณาการร่วมกับการเรียนการสอนวิชาการรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) โดยคัดเลือกนิสิต 40 คน มาเป็นคณะทำงานซึ่งมีคณาจารย์ 4 ท่านเป็นพี่เลี้ยง 

โดยหัวข้อที่สนใจ คือโครงการพัฒนาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ เช่น ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) การขยายตัวของอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยว หรือประเด็นสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะมีการปะทะกันของข้อมูลข่าวสารจากฝ่ายต่างๆ โดยจุดเด่นที่สำคัญคือความเข้มแข็งของเครือข่าย ตั้งแต่นักวิชาการในมหาวิทยาลัย หน่วยงานภาครัฐ เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประชาสัมพันธ์จังหวัด ไปจนถึงภาคประชาชนในพื้นที่ เข้ามามีส่วนร่วม

“นอกจากการตรวจสอบแล้ว เรายังมีพื้นที่ในการผยแพร่ข่าวที่ตรวจสอบมาแล้วว่าความจริงมันคืออะไร เราจะมีเว็บไซต์ภาควิชานิเทศศาสตร์ของเราในการเป็นช่องทางเผยแพร่หลัก อีกอันหนึ่งเราจะจัดเวทีหลังจากการทำงานแล้ว เป็นเวทีขยายการทำงานเพิ่มมากขึ้น จาก 30-40 คนที่คัดเลือกมา ไปสู่นิสิตทั้ง ม.บูรพา และในเครือข่ายจากมหาวิทยาลัยราชภัฎรำไพรรรณี และมหาวิทยาลัยศรีปทุม อีกประเด็นคือจะมีการพัฒนาทีมทำงานของเราด้วย ให้เขามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการตรวจสอบข่าวลวงที่มากขึ้นและเข้มข้นขึ้น” รศ.ดร.สุชาดา กล่าว 

ภญ.ชโลม เกตุจินดา กรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครอง ผู้บริโภคภาคใต้ จังหวัดสงขลา กล่าวว่า ทำงานร่วมกับเครือข่ายทั้งสภาองค์กรชุมชน เครือข่ายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และผู้บริโภคทั่วไป มีการอบรมการใช้เครื่องมือดิจิทัลให้กับอาสาสมัครแกนนำชุมชน เช่น อสม. ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ สอนกันตั้งแต่การเก็บหลักฐานภาพหน้าจอ การจัดเก็บข้อมูลในกลุ่มไลน์ การค้นข้อมูลเก่า ซึ่งพบว่าสมาชิกเครือข่ายจำนวนมากเป็นผู้สูงวัย อายุเฉลี่ย 50 ปีขึ้นไป ขาดการวิเคราะห์ข้อมูลเพราะเชื่อว่ามีคนคัดกรองมาให้แล้วก่อนแชร์มาถึงตนเอง

แต่การสร้างเครือข่ายที่สามารถแทรกซึมไปตามกลุ่มไลน์ ซึ่งอาสาสมัครแต่ละคนจะอยู่ในหลายกลุ่มเพราะต้องทำงานร่วมกับหลายฝ่าย ก็ช่วยให้จัดการกับข่าวลือต่างๆ ทั้งเรื่องโควิด-19 และความขัดแย้งในพื้นที่ได้ตั้งแต่หน้างาน ทั้งนี้ ยังมีทีมผู้ประสานงานคอยนำข้อมูลจากกลุ่มไลน์มาแปลงเพื่อเก็บในโปรแกรมเอ็กเซล และจะถูกส่งไปให้อาจารย์ที่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ช่วยวิเคราะห์ให้ตามหลักวิชาการ โดยคาดหวังว่าคนกลุ่มนี้จะต้องเป็นพลเมืองดิจิทัล มีทักษะรู้เท่าทันเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Literacy) ควบคู่ไปกับการรู้เท่าทันประเด็นสุขภาพ (Health Literacy) 

“ช่วงหนึ่งจะมีข่าวสารเกี่ยวกับการใช้สมุนไพรต่างๆ กระชายขาวปั่นแล้วกินได้เลย ก็มีข้อควรระวังซึ่งเราจะต้องควบคู่ไปกับการรักษาทางเลือกของทางโควิดด้วย ซึ่งสมุนไพรก็มีส่วนอยู่เยอะ ดังนั้นเราจะรักษาสมดุลในเรื่องของข้อมูล ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น กับสิ่งที่ชาวบ้านจะต้องแสวงหาเพื่อดูแลสุขภาพตัวเอง ส่วนนี้ก็จะกลายเป็นเนื้อเรื่องหลักในการที่เราจะทำคู่กันไป” ภญ.ชโลม กล่าว

นายเจริญ ถิ่นเกาะแก้ว ผู้ประสานงานเครือข่ายอันดามันโคแฟค , เครือข่ายสื่อมวลชนท้องถิ่น จังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า เครือข่ายอันดามันโคแฟค เคยได้รับการอบรมในเวทีโคแฟคสัญจรภาคใต้ มีจังหวัดภูเก็ต พังงาและกระบี่ เข้าร่วม และทำงานร่วมกันระหว่างเครือข่ายสื่อมวลชนของ 3 จังหวัด ร่วมด้วยเครือข่าย อสม. และเครือข่ายผู้สูงอายุ อาทิ ที่ จ.กระบี่ มีหลักสูตรการรู้เท่าทันสื่อสำหรับผู้สูงอายุ จะตรวจสอบอย่างไรให้รู้ความจริงอย่างชัดเจน ส่วนที่ จ.พังงา และ จ.ภูเก็ต มีการรวมตัวกันผ่านกลุ่มไลน์ เพื่อตรวจสอบข่าวและกระจายข้อมูลที่ถูกต้องในฐานะที่เป็นสื่อมวลชน 

อนึ่ง การทำงานของเครือข่าย จ.ภูเก็ต ให้ความสำคัญกับประเด็นผู้สูงอายุถูกมิจฉาชีพหลอกลงทุน จึงร่วมมือกับ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จัดวิทยากรมาร่วมพูดคุยในรายการ “สุขสันต์วันเสาร์” ให้ความรู้กับประชาชนเกี่ยวกับการถูกชักชวนให้ร่วมลงทุนต่างๆ ว่าต้องตรวจสอบก่อนตัดสินใจลงทุน เช่น การลงทุนนั้น ก.ล.ต. รับรองหรือไม่ หรือเป็นแชร์ลูกโซ่ 

 “สิ่งที่เราจะตรวจสอบนั้นมีอยู่ 3 ด้าน ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น เอาภาพเก่ามาเวียนซ้ำ อันนี้เยอะมาก หรือด้านสุขภาพซึ่งก็สอดคล้องกับที่สมาคมคุ้มครองผู้บริโภคเขาทำอยู่ เรื่องยา เรื่องสมุนไพร เรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับสุขภาพทั้งหลาย แล้วก็ด้านเศรษฐกิจ อันนี้สำคัญมากโดยเฉพาะผู้สูงอายุจะตกเป็นเป้าหมาย เช่น เชิญชวนให้ลงทุน ลงหุ้นโน่นนี่ ซึ่งมีอยู่มาก นายเจริญ กล่าว

ในช่วงท้ายของการแถลงข่าว ยังมี 2 วิทยากรซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบข่าวลวงมาร่วมให้มุมมอง โดย นายพีรพล อนุตรโสตถิ์ ผู้จัดการ ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ บมจ. อสมท. กล่าวว่า แนวคิดที่เคยพูดคุยกันเมื่อ 2-3 ปีก่อน วันนี้ถูกนำไปขยายผลอย่างมากในการสร้างนื้อหาที่เป็นประโยชน์กับประชาชนในพื้นที่ ทำให้ไม่ต้องรอส่วนกลาง อีกทั้งนำจุดแข็งของตนเองมาผสมผสาน วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ โดยหวังให้คนในพื้นที่ไม่ตกเป็นเหยื่อข่าวปลอม ข้อมูลเท็จและภัยไซเบอร์

“สิ่งที่แต่ละท่านทำก็ได้ทำจากความถนัดของตัวเอง ทำจากเครือข่ายที่มี ทำจากเป้าหมายที่มีอยู่แล้วและนำมาขยายผลต่อ ผมคิดว่าน่าจะเป็นวิธีที่เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงมากในการแก้ปัฐหาข่าวปลอม-ข้อมูลเท็จในพื้นที่ แล้วก็สามารถช่วยป้องกันภัยเฉพาะหน้าได้ทันที” นายพีรพล กล่าว 

ขณะที่ นายธนภณ เรามานะชัย Trainer, Google News Initiative (GNI) กล่าวว่า จากที่รับฟังผู้ตรวจสอบข้อมูลทุกภูมิภาค พบว่าต้องการเทคโนโลยีตรวจสอบภาพว่าเป็นเหตุการณ์ในอดีตแต่ถูกแชร์วนซ้ำ หรือเป็นภาพตัดต่อหรือไม่ ดังนั้นหากในอนาคตมีการจัดอบรมกันอีกในระดับภูมิภาคก็น่าจะเน้นประเด็นนี้มากขึ้นเพราะเป็นสิ่งที่พบได้บ่อย รวมถึงเพิ่มเติมในส่วนกระบวนการทำงานตรวจสอบที่เข้าใจง่ายและเข้าใจตรงกันทั้งเครือข่าย

ซึ่งหากเป็นคนทำงานด้านสื่อหลายคนจะเข้าใจกระบวนการตรวจสอบ อีกทั้งรู้จักบุคคลที่เป็นแหล่งข่าวสามารถติดต่อขอให้ช่วยอธิบายข้อมูลต่างๆ ได้ แต่หลายคนที่ไม่ได้อยู่ในสายงานนี้ แม้เห็นข้อมูล ดูแล้วมั่นใจว่าไม่ใช่เรื่องจริงแต่ไม่รู้จะไปหาอะไรมายืนยันแล้วจะทำอย่างไร เช่น ทักษะการติดต่อสอบถามผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบว่าคนคนนั้นมีตัวตนจริง อยู่ในเหตุการณ์จริง ตลอดจนการแยกแยะระหว่างข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงกับความคิดเห็น จะใช้วิจารณญาณอย่างไร

บางอย่างที่เป็นข้อมูลความคิดเห็น เช่น ความคิดเห็นด้านการเมือง หรือข้อมูลความคิดเห็นที่มาจากบุคคลคนหนึ่งซึ่งอาจจะไม่ได้มีประสบการณ์หรือคุณวุฒิที่เหมาะสมในสถานการณ์นั้น เช่น เป็นแพทย์แต่ไม่ใช่แพทย์ด้านโรคติดต่อ แต่มาให้ข้อมูลด้านโควิด บางอย่างมันเป็น Process ที่จะต้องมาวิเคราะห์ว่าอะไรคือ Dis หรือ Misinformation (ข้อมูลคลาดเคลื่อนหรือข้อมูลบิดเบือน) ต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งผมคิดว่า Process เหล่านี้น่าจะมีประโยชน์กับเครือข่าย นายธนภณ กล่าว 

ปิดท้ายด้วย น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง (โคแฟค ประเทศไทย) (COFACT Thailand) และอดีตกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า นอกจาก 7 เครือข่ายที่มาร่วมแถลงข่าวในครั้งนี้ ยังมีเครือข่ายอีสานโคแฟคที่ทำงานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ Deep South Cofact ที่ทำงานใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่จุดเริ่มต้นในครั้งนี้ก็เป็นโอกาสอันดีที่จะนำไปสู่การขยายเครือข่ายเพิ่มเติม และต้องขอบคุณ สสส. ที่เห็นความสำคัญของการสร้างความเข็มแข็งของสุขภาพพลเมืองในการตร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริง

“สิ่งที่เราจะทำกันในปีหน้าก็น่าจะเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น นอกจากทุกท่านจะได้นำเสนอผลงานและลงลึกในการร่วมกับพี่น้องประชาชนในการรับมือกับปัญหา ซึ่งอาจจะมีการระบาดของโรคระบาดรอบใหม่หรือเปล่าก็ยังไม่แน่ใจ รวมทั้งเราอาจจะมีความเข้มข้นทางการเมืองท้องถิ่นมากขึ้น แล้วก็อาจจะมีปัญหาใหม่ๆ ตามมา โดยเฉพาะตอนนี้หน้าหนาว ฝุ่น PM อะไรต่อมิอะไรซึ่งเป็นเรื่องของสภาพแวดล้อม ซึ่งก็เป็นประเด็นใหญ่ระดับโลกที่ควรให้ความสนใจ แล้วก็น่าจะเป็น Theme ที่คาบเกี่ยวกันในแต่ละพื้นที่ที่นำเสนอ” น.ส.สุภิญญา กล่าว

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

เที่ยวต่างประเทศช่วงนี้ ต้องเตรียมอะไรบ้าง Cofact Special Report #9

Cofact Special Report #9

Fact-Check เที่ยวต่างประเทศช่วงนี้ ต้องเตรียมอะไรบ้าง

English Summary

Holiday season is here, and some Thais are eager to travel abroad again. With the current COVID-19 situation and many countries put their border restriction back, we look at the latest travel and health measures in Singapore, UAE, the US, and the UK. These countries are among dozens of countries that allow Thais who live in Thailand within the past 14 days to travel without quarantine. However, getting all the travel documents ready, including all the COVID tests are not as simple as it once was before COVID. 

ปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกที่ประชาชนฉีดวัคซีนได้เป็นจำนวนมากเริ่มปรับมาตรการให้ประชาชนใช้ชีวิตกับโควิด-19 ให้ได้ และเริ่มเปิดประเทศรับนักเดินทางต่างชาติอีกครั้ง อย่างไรก็ตามแทบทุกประเทศยังคงใช้มาตรการควบคุมการแพร่เชื้อ โดยเฉพาะการตรวจหาเชื้อนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศ บางประเทศยังคงใช้มาตรการกักตัวผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ถึงแม้ไทยเราจะเปิดประเทศและอนุญาตให้คนไทยเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศได้แล้ว แต่การจะเดินทางต่างประเทศแต่ละครั้งจะต้องเตรียมเอกสารการเดินทางมากกว่าช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโควิด ทำให้การเดินทางไปต่างประเทศไม่ได้สะดวกสบายเหมือนแต่ก่อน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเดินทางไม่ได้ หากเราต้องการเดินทางท่องเที่ยวช่วงนี้ เราต้องเตรียมความพร้อมอะไรบ้าง

1. สิงคโปร์

สิงคโปร์เป็นหนึ่งในประเทศที่คนไทยนิยมไปเที่ยว เนื่องจากค่าใช้จ่ายไม่สูง สามารถเดินทางไปเที่ยวได้ในระยะเวลาสั้นๆ ล่าสุดรัฐบาลสิงคโปร์ประกาศให้ไทยเป็นหนึ่งในประเทศ VTL หรือ Vaccinated Travel Lane นั่นคือชาวไทยและชาวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนครบโดส และอาศัยอยู่ในไทยไม่ต่ำกว่า 14 วันสามารถเดินทางไปสิงคโปร์ได้โดยไม่ต้องกักตัว ซึ่งผู้ที่จะเดินทางไปสิงคโปร์จะต้องเตรียมเอกสารดังต่อไปนี้:

  • ใบรับรองการฉีดวัคซีนครบตามจำนวนโดสของบริษัทผู้ผลิตยา และต้องเป็นวัคซีนที่ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (วัคซีนที่ใช้ในไทยทุกตัวได้รับการรองรับจากองค์การอนามัยโลก) หากเป็นการฉีดสูตรไขว้ วัคซีนที่ใช้ฉีดทุกตัวจะต้องได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลกเช่นกัน
  • ลงทะเบียนผ่านระบบ Vaccinated Travel Lane ที่เว็บไซต์: https://safetravel.ica.gov.sg/vtl/requirements-and-process#Application 
  • ผู้โดยสารจะต้องเดินทางด้วยเที่ยวบินที่สามารถรับส่งผู้โดยสาร VTL เท่านั้น โดยสังเกตจากตัวอักษร VTL หรือ Vaccinated Travel Lane ขณะทำการจอง หรือสอบถามจากสายการบิน
  • มีเอกสารยืนยันผลตรวจโควิด-19 เป็นลบ ด้วยวิธี RT-PCR จากสถานพยาบาลชั้นนำเป็นภาษาอังกฤษ ไม่เกิน 48 ชั่วโมงก่อนเดินทาง
  • มีประกันการเดินทางครอบคลุมการรักษาโควิด-19 วงเงินไม่ต่ำกว่า 30,000 ดอลลาร์สิงคโปร์
  • มีใบจองโรงแรมสำหรับพักรอผลตรวจ RT-PCR เมื่อเดินทางถึงสิงคโปร์ อย่างน้อย 1 คืน โดยโรงแรมที่เข้าพักจะต้องผ่านมาตรฐาน SHA ดูรายชื่อโรงแรมได้ที่: https://sha.org.sg/hotel-accommodation 

เมื่อผู้โดยสารเดินทางถึงสิงคโปร์แล้ว จะต้องปฏิบัติตัวดังนี้:

  • เข้ารับการตรวจ RT-PCR ที่สนามบินชางงี สิงคโปร์ ผู้โดยสารสามารถเข้ารับการตรวจแบบ Walk-In หรือจองคิวก่อนเพื่อความสะดวกได้ที่เว็บไซต์: https://safetravel.changiairport.com/ ค่าบริการ 125 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อคน
  • เมื่อตรวจ RT-PCR เสร็จ จะต้องเดินทางไปยังโรงแรมทันทีด้วยรถแท็กซี่ หรือ Grab ห้ามโดยสารรถโดยสารสาธารณะ และไม่แวะระหว่างทาง
  • เมื่อถึงโรงแรมแล้วจะต้องเข้าพักในห้องพัก และอยู่ในห้องจนกว่าจะได้รับผลตรวจ RT-PCR เป็นลบทาง SMS หรืออีเมล จึงจะสามารถออกจากห้องพัก และเที่ยวตามปกติได้
  • ประกาศจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมา กำหนดให้ผู้ที่เดินทางเข้ามายังสิงคโปร์ทุกคนจะต้องตรวจหาเชื้อโควิด-19 แบบ ATK (หรือ RT-PCR) วันที่ 3 และ 7 หลังจากที่เดินทางมาถึง สามารถตรวจด้วยตนเองที่บ้าน และส่งผลการตรวจผ่านแอปพลิเคชั่น Trace Together หากอยู่ไม่ถึง 7 วัน สามารถส่งผลการตรวจ ATK เฉพาะวันที่ 3 และ/หรือก่อนเดินทางกลับไม่เกิน 72 ชั่วโมง

2. สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี)

ยูเออีเปิดให้ชาวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนครบโดสเดินทางเข้าประเทศตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อเข้าชมงานนิทรรศการระดับโลก Dubai Expo 2020 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2021 ไปจนถึง 31 มีนาคม 2022 ผู้โดยสารชาวไทยสามารถเดินทางเข้ายูเออีด้วยวีซ่านักท่องเที่ยว (e-Visa) แบบสมัครทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ของสายการบินเอมิเรตส์ และเอธิฮัต เมื่อจองตั๋วเครื่องบินและได้รับวีซ่าเรียบร้อยแล้ว จะต้องเตรียมเอกสารต่างๆ ดังต่อไปนี้

  • ผลการตรวจ RT-PCR ก่อนเดินทางไม่เกิน 72 ชั่วโมง โดยเอกสารแสดงผลการตรวจจะต้องเป็นภาษาอังกฤษ ออกโดยสถานพยาบาลชั้นนำ
  • นำผลการตรวจ RT-PCR ไปแสดงที่เคาท์เตอร์สายการบินเพื่อเช็คอิน

เมื่อผู้โดยสารเดินทางถึงสนามบินดูไบ หรืออาบูดาบี สามารถเดินทางออกจากสนามบินไปยังที่พัก หรือเดินทางท่องเที่ยวในรัฐต่างๆ ของยูเออีได้ทันที อย่างไรก็ตามผู้ที่จะเข้าชมงาน Dubai Expo 2020 จะต้องแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบโดส (วัคซีนชนิดใดก็ได้) แสดงให้กับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้าชมงาน นักท่องเที่ยวไทยสามารถใช้ Vaccine Passport (เล่มสีเหลือง) หรือแอปพลิเคชั่นหมอพร้อมแสดงให้กับเจ้าหน้าที่ได้

3. สหรัฐอเมริกา

สหรัฐอเมริกาเปิดให้นักท่องเที่ยวไทย รวมทั้งผู้ที่ถือวีซ่านักเรียน นักศึกษา วีซ่าทำงาน และผู้ที่มีบัตรพำนักถาวร (กรีนการ์ด) เข้าประเทศได้ โดยผู้ที่จะเดินทางเข้าสหรัฐฯ จะต้องเตรียมเอกสารต่างๆ ดังต่อไปนี้

  • เอกสารแสดงผลการฉีดวัคซีนที่ผ่านการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) แบบครบโดสตามที่บริษัทผู้ผลิตยากำหนด จะเป็นรูปแบบดิจิทัล (หมอพร้อม) หรือ Vaccine Passport (เล่มสีเหลือง) ก็ได้
  • ผลการตรวจ RT-PCR ก่อนเดินทางไม่เกิน 24 ชั่วโมงเป็นภาษาอังกฤษ ออกโดยสถานพยาบาลชั้นนำ สำหรับผู้ที่มีเหตุผลด้านสุขภาพ หรือไม่สามารถตรวจ RT-PCR ได้ ให้แจ้งเหตุผลความจำเป็นต่อสถานทูตสหรัฐฯ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่: https://th.usembassy.gov/th/waiver-process-for-cdc-order-on-pre-flight-testing-th/ 

เมื่อเดินทางถึงสหรัฐฯ ผู้โดยสารไม่จำเป็นต้องกักตัว แต่ให้สังเกตอาการตัวเองและเข้ารับการตรวจหาเชื้อหากมีอาการป่วย ทั้งนี้บางรัฐ และบางเมืองของสหรัฐฯ จะมีแอปพลิเคชั่นสำหรับติดตามตัว และแสดงผลการฉีดวัคซีนโดยเฉพาะ ดังนั้นควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการของเมืองปลายทาง และดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นเหล่านั้นให้พร้อมก่อนเดินทาง 

4. สหราชอาณาจักร (อังกฤษ, เวลส์, สกอตแลนด์, ไอร์แลนด์เหนือ)

สหราชอาณาจักรอนุญาตให้คนไทย ทั้งนักท่องเที่ยว นักเรียน นักศึกษา และผู้พำนักถาวรที่ฉีดวัคซีนครบโดสเดินทางเข้าได้โดยไม่ต้องกักตัว เอกสารที่จะต้องเตรียมได้แก่:

  • หลักฐานการฉีดวัคซีนครบโดสมาไม่ต่ำกว่า 14 วัน โดยจะต้องเป็นวัคซีนที่กระทรวงสาธารณสุขของสหราชอาณาจักรรับรอง ได้แก่:
    • ไฟเซอร์ 2 เข็ม
    • โมเดอร์นา 2 เข็ม
    • แอสตราเซเนกา 2 เข็ม
    • ซิโนแวก หรือ ซิโนฟาร์ม 2 เข็ม
    • จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน 1 เข็ม
    • สูตรไขว้ ระหว่างแอสตราเซเนกา กับ ไฟเซอร์ หรือ โมเดอร์นา
    • สูตรไขว้ ระหว่างซิโนแวก หรือ ซิโนฟาร์ม กับ แอสตราเซเนกา ไฟเซอร์ หรือ โมเดอร์นา
  • กรอกข้อมูลการฉีดวัคซีนก่อนเดินทางที่เว็บไซต์: https://www.gov.uk/provide-journey-contact-details-before-travel-uk
  • หลักฐานการตรวจ RT-PCR ก่อนเดินทางไม่เกิน 48 ชั่วโมง https://www.bbc.com/news/business-59517823 และหลักฐานการจองตรวจ RT-PCR อีกครั้งภายใน 2 วันหลังจากเดินทางถึง https://www.gov.uk/find-travel-test-provider

เมื่อเดินทางถึงสหราชอาณาจักร ผู้โดยสารจะต้องปฏิบัติตัวดังนี้:

  • เข้ารับการตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR ภายใน 2 วัน โดยเดินทางไปตรวจยังสถานพยาบาลที่ทำการจองไว้ จากนั้นให้กักตัวในที่พัก (บ้าน หรือ โรงแรม) จนกว่าจะทราบผล
  • หากผลการตรวจเป็นลบ สามารถออกมาท่องเที่ยวตามปกติได้
  • หากผลตรวจเป็นบวก ให้กักตัวดูอาการในที่พักเป็นเวลา 10 วัน หากอาการไม่ดีขึ้น ให้โทรศัพท์แจ้งสำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติ (NHS) เพื่อเข้ารับการรักษาตัวต่อไป

เตรียมความพร้อมก่อนเดินทางกลับ

สิงคโปร์ ยูเออี สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ล้วนเป็นประเทศที่รัฐบาลไทยจัดอยู่ในกลุ่มสีเขียว ซึ่งชาวไทยและต่างชาติที่มาจากสี่ประเทศดังกล่าว และอีกกว่าหกสิบประเทศสามารถเดินทางเข้าไทยได้โดยไม่ต้องกักตัว ดูรายชื่อประเทศทั้งหมดได้ที่: https://www.mfa.go.th/th/content/updatelist301064-2?page=5f2105b4a014f20ab74ef9c3&menu=5f59b22cc565c81d9874ee62 

อย่างไรก็ตาม คนไทยที่เดินทางกลับมาจากประเทศเหล่านี้จะต้องเตรียมเอกสาร และปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ ดังนี้:

  • ลงทะเบียนเข้าระบบ Thailand Pass และได้รับการอนุมัติให้เข้าประเทศ ลงทะเบียนที่: https://tp.consular.go.th/ 
  • ใบรับรองการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบโดส สำหรับคนไทยสามารถใช้แอปพลิเคชั่นหมอพร้อม หรือใบรับรองแบบกระดาษที่ออกให้โดยกระทรวงสาธารณสุขได้ (ไม่ต้องใช้ Vaccine Passport เล่มเหลือง)
  • มีผลตรวจโควิด-19 แบบ RT-PCR จากสถานพยาบาลชั้นนำไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง
  • เอกสารการจองห้องพักโรงแรม SHA+ พร้อมค่าตรวจ RT-PCR หลังเดินทางกลับ ซึ่งโรงแรมส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมโครงการจะมีแพคเกจ Test & Go สำหรับผู้ที่เดินทางมาไทย สามารถสอบถามรายละเอียดและจองได้จากโรงแรมโดยตรง

เตรียมเอกสารเหล่านี้ให้พร้อม และแสดงต่อเจ้าหน้าที่สายการบินเพื่อทำการเช็คอิน จากนั้นเมื่อถึงไทยจะต้องแสดงเอกสารเหล่านี้อีกครั้งให้กับเจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรคที่สนามบินในไทย เมื่อผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง รับกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว จะต้องนั่งรถที่โรงแรมจัดเตรียมมาให้ไปยังที่พักและเข้ารับการตรวจ RT-PCR ที่สถานพยาบาลเครือข่ายที่ได้จองไว้ จากนั้นจะต้องอยู่ในห้องพักจนกว่าจะได้รับผลการตรวจเชื้อเป็นลบ จึงจะสามารถออกจากห้องพัก และเดินทางต่อ หรือกลับบ้านได้ โดยปกติจะทราบผลการตรวจไม่เกินหนึ่งวัน

อย่างไรก็ตามมาตรการต่างๆ ทั้งฝั่งไทยและต่างประเทศอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในประเทศ ดังนั้นก่อนจะเดินทางเราจะต้องตรวจสอบมาตรการล่าสุดของประเทศปลายทางอีกครั้ง

ติดตามข้อมูลเพิ่มเติม

https://th.usembassy.gov/health-alert-u-s-embassy-bangkok-thailand-3/

เกี่ยวกับผู้เขียน

ธนภณ เรามานะชัย (ไมค์) Fact-checker และ คอลัมนิสต์ประจำ Cofact Thailand 

ปัจจุบันทำหน้าที่วิทยากรด้านการตรวจสอบข้อมูลข่าวและเครื่องมือดิจิทัลด้านข่าวให้กับ Google News Initiative ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้ประกาศข่าวเทคโนโลยีให้กับสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี (Voice TV) และอดีตกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT)  https://www.damikemedia.com

7 ธค. 10โมง รับชมงานแถลงข่าวเปิดตัวเครือข่ายตรวจสอบความจริงระดับภาค ทางเพจ FB Cofact, UbonConnect, พะเยาทีวี

 

แถลงข่าว : เปิดตัวเครือข่ายตรวจสอบความจริงระดับภาค

วันที่ 7 ธันวาคม 2564 เวลา 10.00 – 12.00 น. 

การแถลงข่าวผ่านระบบ zoom 

___________________________________

10.00 – 10.30 น.     กล่าวเปิดการแถลงข่าว

  • คุณญาณี รัชต์บริรักษ์     รักษาการผอ.สำนักสร้างเสริมระบบสื่อและสุขภาวะทาง

ปัญญา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

10.30 – 11.30 น.        ทิศทางตรวจสอบความจริง 7 เครือข่าย

  • คุณสุชัย  เจริญมุขยนันท์        ผู้ก่อตั้ง Ubon Connect จังหวัดอุบลราชธานี
  • คุณจักรกฤชณ์ แววคล้ายหงส์    นายกสมาคมสื่อสารมวลชน จังหวัดตราด
  • คุณเจริญ ถิ่นเกาะแก้ว        ผู้ประสานงานเครือข่ายอันดามันโคแฟค

เครือข่ายสื่อมวลชนท้องถิ่น  จังหวัดภูเก็ต

  • คุณชัยวัฒน์  จันธิมา        พะเยาทีวี  ทีวีชุมชน  จังหวัดพะเยา
  • ผศ.ดร. ณภัทร  เรืองนภากุล        คณะสารสนเทศและการสื่อสาร 

มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่

  • รศ.ดร.สุชาดา พงศ์กิตติวิบูลย์    อาจารย์ประจำหลักสูตรนิเทศศาสตร์บัณฑิต 

มหาวิทยาลัยบูรพา  จังหวัดชลบุรี

  • อาจารย์ชโลม  เกตุจินดา        กรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครอง

ผู้บริโภคภาคใต้   จังหวัดสงขลา

            สะท้อนมุมคิดจาก Fact Checker  มืออาชีพ 

  • คุณพีรพล  อนุตรโสตถิ์     ผู้จัดการ ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ บมจ. อสมท

ความร่วมมือจาก Global สู่ Local 

  •   คุณธนภณ  เรามานะชัย   Trainer, Google News Initiative (GNI)

    ดำเนินการอภิปราย  โดย    

ผศ.ดร.เอื้อจิต  วิโรจน์ไตรรัตน์     ที่ปรึกษาโคแฟค (ประเทศไทย)

11.30 -11.45 น.          สรุปปิดการแถลงข่าว โดย

            คุณสุภิญญา  กลางณรงค์   ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค  

11.45 – 12.30 น.    อบรมเชิงปฏิบัติการการเพิ่มข้อมูลในระบบโคแฟค  

            โดย กองบรรณาธิการโคแฟค

_________________________

ถ่ายทอดสดทางเพจ Cofact . Ubon Connect , พะเยาทีวี