‘อีโบลา’โรคนี้น่ากังวลเพียงใด? หลังไทยเตรียมพร้อมเฝ้าระวัง COFACT Special Report #37

 บทความโดย : Zhang Taehun

หมายเหตุ : บทความนี้เขียนเมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2565 ดังนั้นข้อเท็จจริงอาจเปลี่ยนแปลงได้หากมีข้อมูลใหม่ๆ ที่ค้นพบเพิ่มเติมในภายหลัง จึงขอให้ผู้อ่านติดตามข้อมูลข่าวสารจากแหล่งที่น่าเชื่อถืออย่างต่อเนื่อง

เป็นอีกโรคที่ต้องจับตามองสำหรับ “อีโบลา (Ebola)” ที่เกิดการกระบาดระลอกล่าสุดในประเทศยูกันดา ในภูมิภาคแอฟริกาตะวันออก ตั้งแต่เมื่อเดือน ก.ย. 2565 ที่ผ่านมาและยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ โดยสำหรับประเทศไทย แม้ยังไม่มีรายงานพบผู้ติดเชื้อ แต่ด้วยความที่ปัจจุบันสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 คลี่คลายลงจนสามารถกลับมาเปิดประเทศต้อนรับชาวต่างชาติอย่างเต็มรูปแบบได้อีกครั้ง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องติดตามสถานการณ์และเฝ้าระวังการเดินทางเข้าประเทศอย่างใกล้ชิด

โดยเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 24 ต.ค. 2565 Hfocus สำนักข่าวออนไลน์ที่เน้นนำเสนอเนื้อหาด้านสุขภาพ รายงานว่า กรมควบคุมโรค(คร.) เข้มมาตรการด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศที่ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ เพื่อคัดกรองผู้ที่เดินทางมาจากประเทศเสี่ยง หลังองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้โรคอีโบลา เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ในเวลา 23.56 น. ของวันเดียวกัน มีรายงานเพิ่มเติมว่า กรมควบคุมโรค ได้ขอแก้ไขเพื่อความถูกต้องของข้อมูล เนื่องจากองค์การอนามัยโลก ยังไม่ได้ประกาศให้อีโบลา เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินระหว่างประเทศ

ในรายงานข่าวดังกล่าว ยังอ้างถึง นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ซึ่งระบุว่า องค์การอนามัยโลก ยังไม่แนะนำให้จำกัดการเดินทางหรือการค้าระหว่างประเทศสำหรับผู้ที่จะเดินทางไปยังประเทศที่มีการระบาดของโรค ซึ่งได้ประเมินว่านักเดินทางระหว่างประเทศยังมีความเสี่ยงในระดับที่ต่ำมาก เนื่องจากผู้ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่มีการติดเชื้อโดยตรงจากการสัมผัสกับของเหลวในร่างกาย หรือสารคัดหลั่งของผู้ป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรงพยาบาล จากการใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ (เข็มและหลอดฉีดยา) ที่ปนเปื้อนเชื้อ รวมถึงไม่มีการป้องกันเมื่อมีการสัมผัสกับสารคัดหลั่งที่ติดเชื้อ พร้อมกับให้คำแนะนำในการป้องกันการติดเชื้อ ดังนี้

1.หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ป่า ทั้งที่ป่วยหรือไม่ป่วย 

2.หลีกเลี่ยงการรับประทานสัตว์ป่าที่ป่วยตายโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยเฉพาะสัตว์จำพวกลิง หรือค้างคาว หรืออาหารเมนูพิสดารที่ใช้สัตว์ป่าหรือสัตว์แปลกๆ มาประกอบอาหาร

3.หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารคัดหลั่ง เช่น เลือดจากผู้ป่วย สิ่งของเครื่องใช้ของผู้ป่วยที่อาจปนเปื้อนกับสารคัดหลั่งของผู้ป่วย หรือศพ 

4.หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับผู้ป่วย หากมีความจำเป็นให้สวมอุปกรณ์ป้องกันร่างกายและล้างมือบ่อยๆ

5.หากมีอาการเริ่มป่วย เช่น มีไข้สูง อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ เจ็บคอ อาเจียน ท้องเสีย ภายหลังกลับจากประเทศที่มีการระบาด ให้รีบพบแพทย์ทันที หากประชาชนมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422

รวมถึง นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ รักษาราชการอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขประเทศยูกันดาและองค์การอนามัยโลก ณ วันที่ 24 ตุลาคม 2565 มีรายงานพบผู้ป่วยติดเชื้อในประเทศยูกันดาหลายเมือง จำนวน 90 ราย และมีผู้ป่วยเสียชีวิต 44 ราย อัตราป่วยตาย ร้อยละ 49 ในจำนวนนี้มีเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์และสาธารณสุขติดเชื้อ 11 ราย และเสียชีวิต 5 ราย ซึ่งการระบาดครั้งนี้เป็นการระบาดของไวรัสอีโบลาสายพันธุ์ซูดาน (Sudan-อัตราป่วยตายเฉลี่ยร้อยละ 53) ซึ่งมีความรุนแรงเป็นอันดับสอง รองมาจากสายพันธุ์ซาอีร์ (Zaire-อัตราป่วยตายเฉลี่ยร้อยละ 68) 

สำหรับการระบาดในครั้งนี้ ถึงแม้จำนวนผู้ป่วยยังไม่มากแต่เป็นที่จับตาอย่างใกล้ชิดโดยมีการยกระดับมาตรการป้องกันควบคุมการระบาดในประเทศยูกันดาอย่างเข้มข้น จากการตรวจสอบข่าวพบว่าองค์การอนามัยโลก ยังไม่ได้ประกาศ ให้การระบาดครั้งนี้ เป็นภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ (Public Health Emergency of International Concern: PHEIC) แต่ปกติจะมีการประเมินสถานการณ์ระบาดเป็นระยะ  

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เดือนกันยายน 2565 กรมควบคุมโรคได้ยกระดับมาตรการป้องกันที่ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ เนื่องจากโรคอีโบลาเป็นโรคติดต่ออันตราย ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 โดยดำเนินการตรวจคัดกรองผู้เดินทางมาจากประเทศยูกันดา ทุกรายจะต้องได้รับการคัดกรองสุขภาพ และลงทะเบียน ณ ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศก่อนเข้าประเทศไทย ทั้งนี้หากประชาชนมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422

ต่อมาในช่วงเช้าของวันที่ 25 ต.ค. 2565 ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้รับรายงานจากกรมควบคุมโรค ถึงการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา (Ebola virus) ในประเทศโซนทวีปแอฟริกาซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือน ก.ย. 2565 ที่ผ่านมา ล่าสุดพบผู้ติดเชื้อในประเทศยูกันดาหลายเมือง จำนวน 90 ราย และมีผู้ป่วยเสียชีวิต 44 ราย

ซึ่งแม้จำนวนผู้ป่วยยังไม่มาก และองค์การอนามัยโลก (WHO) ยังไม่ได้ประกาศให้การระบาดครั้งนี้เป็นภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ แต่กระทรวงสาธารณสุขไทยไม่ประมาท ได้ติดตามสถานการณ์โรคอย่างใกล้ชิด และตั้งแต่เดือน ก.ย. เป็นต้นมาได้ยกระดับมาตรการป้องกันที่ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ เนื่องจากโรคอีโบลาเป็นโรคติดต่ออันตราย ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 โดยตรวจคัดกรองผู้เดินทางมาจากประเทศยูกันดาทุกคน โดยต้องลงทะเบียน ณ ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศก่อนเข้าประเทศไทย

ด้าน นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยเมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2565 ว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้มอบหมายให้สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติการ (แล็บ) อ้างอิงของประเทศด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุข มีหน้าที่ยืนยันสาเหตุและสถานการณ์ของโรคที่เป็นปัญหาด้านสาธารณสุข และเตรียมความพร้อมการตรวจวิเคราะห์เชื้ออีโบลาทางห้องปฏิบัติการ ด้วยเทคนิคทางอณูชีววิทยา ที่มีความไวและความจำเพาะสูง สามารถทราบผลภายใน 8 ชั่วโมง 

มีห้องปฏิบัติการชีวนิรภัย ระดับ 3 สำหรับการปฏิบัติงานกับเชื้อ ที่ก่อให้เกิดโรคที่มีอันตรายถึงแก่ชีวิต ที่ออกแบบพิเศษ ทำให้ความดันภายในห้องปฏิบัติการน้อยกว่าความดันภายนอก กรองอากาศเข้า-ออก เน้นการป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อไม่ให้หลุดออกมาสู่สิ่งแวดล้อมภายนอก บุคลากรมีความพร้อมรับสถานการณ์การระบาดตลอด 24 ชั่วโมง ผู้ปฏิบัติงานในห้องปฏิบัติการชีวนิรภัย ระดับ 3 ผ่านการฝึกอบรม ความปลอดภัยทางห้องปฏิบัติการ และมีความชำนาญในการตรวจวิเคราะห์เป็นอย่างดี 

รวมถึงบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ในการขนส่งตัวอย่างตรวจได้ผ่านการฝึกอบรมเรื่องความปลอดภัย มีการสวมอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อ และสามารถทำลายเชื้อหากเกิดการปนเปื้อนระหว่างการขนส่ง นอกจากนั้นยังได้จัดทำคู่มือการตรวจวิเคราะห์และจัดการสิ่งส่งตรวจจากผู้ป่วยสงสัยโรคติดเชื้ออีโบลา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ห้องปฏิบัติการของโรงพยาบาล และห้องปฏิบัติการอ้างอิงใช้เป็นคู่มือในการเตรียมความพร้อมทางห้องปฏิบัติการ เนื้อหามีทั้งวิธีการตรวจวิเคราะห์และรายการทดสอบของงานประจำห้องปฏิบัติการโรงพยาบาล วิธีการเก็บ วิธีการนำส่งตัวอย่าง และการวิเคราะห์เชื้ออีโบลาสำหรับห้องปฏิบัติการอ้างอิง

ก่อนหน้าการยกระดับมาตรการของไทย สหรัฐอเมริกา ได้เตรียมพร้อมรับมือไปแล้วตั้งแต่เมื่อช่วงต้นเดือน ต.ค. 2565 โดยสถานีโทรทัศน์ CNBC วันที่ 12 ต.ค. 2565 ระบุว่า ทางการสหรัฐฯ กำหนดให้เที่ยวบินที่เดินทางมาจากยูกันดา ต้องลงจอดในสนามบิน 5 แห่ง ประกอบด้วย New York’s JFK , Newark , Atlanta , Chicago O’Hare และ Washington Dulles ซึ่งถูกจัดตั้งเป็นจุดคัดกรอง อีกทั้งยังมีการติดตามตรวจสอบเป็นเวลา 21 วัน นับตั้งแต่บุคคลนั้นเดินทางถึงสหรัฐฯ โดย)ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ (CDC) ได้รับข้อมูลรายชื่อผู้เดินทางมาจากยูกันดาจากผู้ให้บริการสายการบิน ข้อมูลดังกล่าวจะถูกเชื่อมโยงกับหน่วยงานสาธารณสุขทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น เพื่อให้สามารถติดตามตรวจสอบได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้น CDC ยังออกประกาศเตือนหน่วยงานสาธารณสุขทั่วประเทศเพื่อสังเกตอาการที่น่าสงสัยว่าอาจเป็นผู้ติดเชื้ออีโบลา และหากพบควรสอบถามประวัติการเดินทางโดยละเอียด

– รู้จัก “โรคอีโบลา”

“Ebola virus disease” บทความที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ขององค์การอนามัยโลก (เลือกหมวด Health Topics ตามด้วย Fact sheets อยู่ในหมวดอักษร E วันที่ปรับปรุงล่าสุดคือ 25 ก.พ. 2564) อีโบลาเป็นไวรัสที่ถูกพบครั้งแรกในปี 2519 โดยมีการระบาดใน 2 พื้นที่ คือเมือง Nzara (ปัจจุบันอยู่ในประเทศซูดานใต้) และที่เมือง Yambuku (ปัจจุบันอยู่ในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก) ในหมู่บ้านที่อยู่ใกล้กับแม่น้ำอีโบลา จึงมีการนำชื่อของแม่น้ำสายนี้มาตั้งเป็นชื่อไวรัส โดยไวรัสอีโบลามี 6 สายพันธุ์ที่ค้นพบ คือ Zaire, Bundibugyo, Sudan, Taï Forest, Reston และ Bombali 

– ช่องทางการติดต่อ (หรือแพร่เชื้อ)

เชื่อกันว่าไวรัสอีโบลามีอยู่ในค้างคาวผลไม้ในตระกูล Pteropodidae ซึ่งเป็นพาหะของเชื้อตามธรรมชาติ โดยการติดเชื้อระหว่างสัตว์สู่คนเกิดขึ้นเมื่อมนุษย์สัมผัสกับเลือด สารคัดคลั่ง อวัยวะภายใน หรือของเหลวอื่นๆ ในร่างกายของสัตว์ที่ติดเชื้อ เช่น ค้างคาวผลไม้ ลิง (ซึ่งรวมถึงชิมแปนซีและกอริลลา) ละมั่งป่า หรือเม่นที่ป่วยหรือตาย หรือในพื้นที่ป่าฝน (Rainforest) จากนั้นจึงนำไปสู่การติดต่อจากคนสู่คน โดยทางการสัมผัสโดยตรง (ผ่านผิวหนังที่มีรอยแตกหรือเป็นเยื่อเมือก) กับเลือดหรือของเหลวของผู้ติดเชื้อหรือผู้เสียชีวิตจากเชื้อ หรือสัมผัสกับวัตถุที่ปนเปื้อนของเหลวของผู้ติดเชื้อหรือผู้เสียชีวิตจากเชื้อ (เช่น เลือด , อุจจาระ , อาเจียน)

– พฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อ (หลีกเลี่ยงหากสามารถเลี่ยงได้ หรือหากหลีกเลี่ยงไม่ได้ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ)

1.การปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรสาธารณสุข มีรายงานพบบุคลากรสาธารณสุขติดเชื้ออีโบลาเนื่องจากต้องดูแลผู้ป่วยติดเชื้อดังกล่าว ซึ่งเกิดจากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อโดยไม่ปฏิบัติตามแนวทางป้องกันการติดเชื้ออย่างเคร่งครัด 2.การประกอบพิธีศพ ในขั้นตอนการฝังศพอาจติดเชื้อได้หากสัมผัสโดยตรงกับศพของผู้เสียชีวิตจากไวรัสอีโบลา 3.การสัมผัสกับเลือด การแพร่เชื้อยังเกิดขึ้นได้เรื่อยๆ ตราบเท่าที่ในผู้ติดเชื้อยังมีไวรัสอีโบลาอยู่ 

4.การติดเชื้อจากแม่สู่ลูกในกรณีหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร สตรีที่ติดเชื้ออีโบลาระหว่างตั้งครรภ์ แม้ภายหลังจะได้รับการรักษาจนหายแล้วยังมีความเสี่ยงในการแพร่เชื้อสู่ทารกและคนอื่นๆ เนื่องจากอาจยังมีไวรัสหลงเหลืออยู่ในน้ำนมแม่ ของเหลวหรือเนื้อเยื่อที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม สตรีที่หายป่วยจากอีโบลาแล้วและมาตั้งครรภ์ในภายหลังจะไม่มีความเสี่ยงในการเป็นพาหะนำโรค ทั้งนี้ การให้นมบุตรในกรณีแม่ที่เพิ่งหายป่วยจากอีโบลา ต้องผ่านการตรวจสอบก่อนว่าปลอดเชื้อหรือไม่

– อาการของผู้ติดเชื้ออีโบลา

ไวรัสอีโบลามีระยะฟักตัวตั้งแต่ติดเชื้อจนถึงแสดงอาการได้ตั้งแต่ 2-21 วัน ผู้ติดเชื้อจะยังไม่แพร่เชื้อจนกว่าจะเริ่มแสดงอาการ โดยผู้ติดเชื้อจะมีอาการเริ่มต้น เช่น มีไข้ อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ เจ็บคอ ตามด้วยอาเจียน ท้องเสีย มีผื่นขึ้นตามร่างกาย การทำงานของตับและไตบกพร่อง ผู้ป่วยบางรายยังพบเลือดออกทั้งภายในและนอกร่างกาย (เช่น เลือดออกทางเหงือกหรือมีเลือดออกปนกับอุจจาระ) เมื่อตรวจในปฏิบัติการ จะพบจำนวนเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดต่ำ และมีระดับเอ็นไซม์ตับสูง

– การรักษา ยาและวัคซีน

ในเบื้องต้นเป็นการรักษาแบบประคับประคองตามอาการ อย่างไรก็ตาม ในปี 2561-2563 เกิดการระบาดของไวรัสอีโบลาที่ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก มีการทดลองยาหลายชนิดแบบสุ่มเป็นครั้งแรกเพื่อประเมินประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการรักษาผู้ป่วย ตามกรอบจริยธรรมที่ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้การหารือร่วมกันระหว่างทางการสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกกับผู้เชี่ยวชาญ 

จนกระทั่ง ในปี 2563 องค์การอาหารและยาแห่งชาติสหรัฐฯ (FDA) อนุมัติให้ใช้ยาโมโนโคลนอล แอนติบอดี (monoclonal antibody) 2 ชนิด คือ อินมาเซ็บ (Inmazeb) และ อีบังกา (Ebanga) สำหรับการรักษาโรคอีโบลา ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัสอีโบลาสายพันธุ์ซาอีร์ (Zaire) โดยสามารถใช้ได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ส่วนวัคซีนนั้น ในปี 2563 เช่นเดียวกัน FDA ได้รับรองวัคซีน เออร์เวโบ (Ervebo) สำหรับใช้ในประชากรอายุ 18 ปีขึ้นไป (ยกเว้นสตรีมีครรภ์และสตรีที่ต้องให้นมบุตร) เนื่องจากได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถช่วยปกป้องชีวิตผู้คนจากไวรัสอีโบลาสายพันธุ์ซาอีร์ได้ 

โดยอีเวอร์โบเป็นวัคซีนที่แจกจ่ายให้กับประชาชน 3.5 แสนคนในประเทศกินีและในสถานการณ์ไวรัสอีโบลาระบาดในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ช่วงปี 2561-2563 และเริ่มจำหน่ายทั่วโลกอย่างเป็นทางการตั้งแต่เดือน ม.ค. 2564 ขณะที่ยังมีวัคซีน 2 องค์ประกอบ (2-component vaccine) ซึ่งเรียกว่า ซับดีโน-และ-เอ็มวาบี (Zabdeno-and-Mvabea) ได้รับการรับรองจาก องค์การยาแห่งสหภาพยุโรป (EMA) ในปี 2563 ให้ใช้กับประชากรได้ตั้งแต่อายุ 1 ปีขึ้นไป โดยฉีดซับดีโนเป็นเข็มแรกก่อน แล้วเว้นระยะ 8 สัปดาห์จึงตามด้วยเอ็มวาบีเป็นเข็มที่ 2 แต่ข้อเสียของวัคซีนสูตรนี้คือไม่เหมาะสมกับการตอบโต้สถานการณ์โรคระบาดที่เกิดขึ้นในทันที

– การป้องกันการติดเชื้อและการควบคุมการระบาดของไวรัสอีโบลา

1.ระมัดระวังการสัมผัสกับสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์ป่า เช่น ค้างคาวผลไม้ ลิง (ซึ่งรวมถึงชิมแปนซีและกอริลลา) ละมั่งป่า เม่น ต้องไม่บริโภคเนื้อดิบของสัตว์เกลุ่มนี้ ขณะที่การบริโภคเนื้อสัตว์และเลือดสัตว์ต้องปรุงให้สุกทุกครั้งก่อนบริโภคเสมอ การสัมผัสกับสัตว์ควรใช้ถุงมือหรือชุดป้องกันอื่นๆ ที่เหมาะสม 

2.ระมัดระวังการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ โดยเฉพาะการสัมผัสกับสารคัดหลั่ง การดูแลผู้ติดเชื้อควรใช้ถุงมือหรือชุดป้องกันอื่นๆ ที่เหมาะสม และต้องล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังจากดูแลหรือเยี่ยมผู้ติดเชื้อแล้ว สำหรับบุคลากรสาธารณสุขที่ต้องดูแลผู้ติดเชื้อหรือกลุ่มเสี่ยงสงสัยว่าอาจติดเชื้อ หากต้องเข้าใกล้ผู้ติดเชื้อต้องสวมอุปกรณ์ป้องกัน เช่น เฟซชิลด์ หน้ากากอนามัยสำหรับใช้ทางการแพทย์ แว่นตา ชุดคลุมและถุงมือที่สะอาด ป้องกันการสัมผัสกับกับเลือดหรือของเหลวจากร่างกายผู้ติดเชื้อ และการพื้นผิวหรือวัตถุที่ปนเปื้อน อาทิ เสื้อผ้าหรือเครื่องนอน

ควรมีการให้ความรู้ในแนวปฏิบัติกับบุคลากรที่ต้องดูแลผู้ติดเชื้อ บุคลากรที่ต้องทำงานกับของเหลวที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ รวมถึงการตรวจหาเชื้อจากตัวอย่างทั้งจากคนและสัตว์ ควรทำโดยบุคลากรที่ผ่านการฝึกอบรมและดำเนินการในห้องปฏิบัติการที่มีอุปกรณ์ครบถ้วน อนึ่ง มีรายงานการพบเชื้อตกค้างในผู้ติดเชื้อที่หายจากอาการป่วยแล้ว ซึ่งเชื้อสามารถอยู่ในของเหลวในร่างกาย เช่น น้ำอสุจิ น้ำคร่ำและเยื่อบุต่าง ๆ รวมถึงน้ำนมแม่ มีการพบเชื้อหลบซ่อนอยู่ในบางจุดของร่างกาย อาทิ บริเวณลูกอัณฑะ ด้านในของดวงตา ระบบประสาทส่วนกลาง 

สำหรับสตรีมีครรภ์แล้วติดเชื้อ ไวรัสสามารถอยู่ในรก น่ำคร่ำ ในตัวทารก การกลับมามีอาการป่วยซ้ำหลังได้รับการรักษาจากหายแล้วเนื่องจากไวรัสแม้จะเกิดขึ้นได้ยากแต่ก็พบการรายงาน การค้นพบนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดและต้องศึกษากันต่อไป และในการตรวจหาเชื้ออีโบลาด้วยวิธี RT-PCR จากผู้หายป่วย ในจำนวนนี้มีไม่กี่เปอร์เซ็นต์ที่ยังตรวจพบเชื้อแม้เวลาจะผ่านไปนานแล้วถึง 9 เดือน 

3.ลดความเสี่ยงในการระบาด มาตรการความปอลดภัยในการประกอบพิธีศพ การระบุตัวบุคคลที่เป็นกลุ่มเสี่ยงเนื่องจากสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อรายก่อนหน้าเพื่อติดตามตรวจสอบอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 21 วัน ควรให้ความสำคัญกับการแยกผู้ติดเชื้ออกจากคนปกติทั่วไปเพื่อป้องกันไม่ให้โรคระบาดกระจายตัวออกไป และการส่งเสริมสุขอนามัยที่ดีตลอดจนสภาพแวดล้อมที่สะอาด

4.ลดความเสี่ยงการติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ จากการวิเคราะห์เพิ่มเติมของการวิจัยและการพิจารณาอย่างต่อเนื่องโดยคณะที่ปรึกษาขององค์การอนามัยโลก ในกรณีของเพศชาย หากติดเชื้ออีโบลาและได้รับการรักษาจนหายป่วยแล้ว แนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปสู่การมีเพศสัมพันธ์และการดูแลสุขอนามัยในแนวทางที่่ปลอดภัยยิ่งขึ้นเป็นเวลา 12 เดือน นับตั้งแต่เริ่มมีอาการจนถึงการตรวจคัดกรองหาเชื้ออีโบลาในน้ำอสุจิได้ผลเป็นลบ (ไม่พบเชื้อ) จำนวนรวม 2 ครั้ง ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสของเหลวจากร่างกาย และแนะนำให้ล้างด้วยสบู่และน้ำทันทีหลังสัมผัสกับน้ำอสุจิ ซึ่งรวมถึงการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองด้วย 

การมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้งต้องใช้ถุงยางอนามัยอย่างเคร่งครัด (หรืองดเว้นการมีเพศสัมพันธ์หากสามารถทำได้) จนกว่าผู้ติดเชื้อซึ่งเป็นเพศชายจะมีผลตรวจหาเชื้ออีโบลาในน้ำอสุจิเป็นลบจำนวน 2 ครั้ง การตรวจคัดกรองหาเชื้ออีโบลาในน้ำอสุจิควรดำเนินการเมื่อเวลาผ่านไป 3 เดือนนับจากวันที่เริ่มมีอาการป่วย ในกรณีที่พบว่าน้ำอสุจิยังมีผลเป็นบวก (พบเชื้อ) ให้ตรวจอย่างต่อเนื่องทุกเดือน จนกว่าจะมีผลเป็นลบ 2 ครั้ง การตรวจให้ใช้วิธี RT-PCR 

5.ลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อจากของเหลวและเนื้อเยื้อที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ สตรีที่รอดชีวิตจากการติดเชื้ออีโบลา ควรได้รับการสนับสนุนจากชุมชนเพื่อเข้าถึงบริการตรวจและฝากครรภ์ (ANC) บ่อยครั้ง เพื่อจัดการกับภาวะแทรกซ้อนของการตั้งครรภ์และการดูแลสุขภาวะทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์ รวมถึงการส่งตัวเพื่อรักษาต่ออย่างปลอดภัย ควรมีการวางแผนร่วมกันระหว่างสูตินรีแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านอีโบลา สตรีมีครรภ์ควรได้รับความเคารพต่อการตัดสินใจเรื่องสุขภาวะทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์เสมอ

– การระบาดของไวรัสอีโบลาจากอดีตถึงปัจจุบัน

นับตั้งแต่ไวรัสอีโบลาถูกค้นพบในปี 2519 การระบาดส่วนใหญ่เกิดขึ้นในทวีปแอฟริกา แต่มีบ้างที่พบผู้ติดเชื้อในทวีปอื่นๆ เช่น ในปี 2557 พบผู้ติดเชื้อในทวีปอเมริกา โดยพบใน สหรัฐอเมริกา 4 คน (เสียชีวิต 1 ราย) รวมถึงในทวีปยุโรป เช่น ในปี 2557 พบในอังกฤษ 1 คน สเปน 1 คน และในปี 2558 พบในอิตาลี 1 คน (ทั้ง 3 ประเทศไม่มีผู้ติดเชื้อเสียชีวิต) สายพันธุ์ที่พบการระบาดบ่อยครั้งคือสายพันธุ์ซาอีร์ (Zaire) มีบางปีที่พบการระบาดของสายพันธุ์ซูดาน (Sudan) ส่วนสายพันธุ์อื่นๆ ที่เหลือ พบได้น้อยมาก อย่างไรก็ตาม อัตราการเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อค่อนข้างสูง จากสถิติการระบาดตั้งแต่ปี 2519-2563 ที่องค์การอนามัยโลกบันทึกไว้ พบอัตราการเสียชีวิตตั้งแต่ประมาณร้อยละ 25-80

– อะไรคือความกังวลในการระบาดระลอกล่าสุด

ความกังวลได้เกิดขึ้นกับการระบาดระลอกล่าสุดในปี 2565 ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่วันที่ 20 ก.ย. 2565 เนื่องจาก “ครั้งนี้เป็นการระบาดของเชื้ออีโบลาสายพันธุ์ซูดาน ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนสำหรับใช้กับสายพันธุ์นี้โดยตรง” ทำให้การควบคุมโรคทำได้ยาก โดยเมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2565 สำนักข่าว BBC รายงานว่า ประธานาธิบดียูกันดา โยเวรี มูเซเวนี (Yoweri Museveni) ประกาศเมื่อวันที่ 15 ต.ค. 2565 ใช้มาตรการล็อกดาวน์ใน 2 เมือง คือ คาสซานดา (Kassanda) กับ มูเบนเด (Mubende) เป็นเวลา 3 สัปดาห์ หรือ 21 วัน ห้ามบุคคลและยานพาหนะเข้า-ออกพื้นที่ (ยกเว้นรถบรรทุกสินค้า) ปิดสถานบันเทิง ศาสนสถาน และจำกัดเวลาออกนอกเคหสถาน (เคอร์ฟิว)

21 ต.ค. 2565 The Observer นสพ.ท้องถิ่นในยูกันดา พบผู้ติดเชื้อรายแรกในเมือง มิทยานา (Mityana) ทำให้ตอนนี้ ยูกันดามี 6 เมืองแล้วที่พบผู้ติดเชื้อ ก่อนหน้านี้ 5 เมืองคือ คากาดี (Kagadi) , มูเบนเด (Mubende) , ไควา (Kyegegwa) , คาสซานดา (Kassanda) และ บันยันกาบู (Bunyangabu) จากนั้น 23 ต.ค. 2565 สำนักข่าวรอยเตอร์ อ้างการเปิดเผยของ เจน รูธ อาเซ็ง (Jane Ruth Aceng) รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขยูกันดา ว่า เมื่อวันที่ 22 ต.ค. 2565 โรงพยาบาลมูลาโก ในกรุงคัมปาลา เมืองหลวงของยูกันดา ซึ่งเป็นสถานที่กักตัวกลุ่มที่ต้องสงสัยว่าอาจติดเชื้อ พบผู้ติดเชื้ออีโบลายืนยันแล้ว 5 ราย ทั้งหมดติดเชื้อจากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อรายก่อนหน้าจากเมืองคาสซานดา 

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานเมื่อวันที่ 27 ต.ค. 2565 อ้างการเปิดเผยของ อาเซ็ง ในวันที่ 26 ต.ค. 2565 ว่า รัฐบาลยูกันดาเตรียมทดสอบวัคซีนสำหรับไวรัสอีโบสา จากผู้พัฒนา 3 ราย เป็นวัคซีนสัญชาติอังกฤษ 1 รายจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และวัคซีนสัญชาติสหรัฐอเมริกา 2 ราย จากสถาบันวิจัยซาบิน และบริษัทเมิร์ค โดยคาดว่าภายใน 2 สัปดาห์ จะเริ่มฉีดให้กับกลุ่มตัวอย่างประมาณ 3,000 คน 

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://www.hfocus.org/content/2022/10/26248 (กรมควบคุมโรค ปรับข้อมูลใหม่กรณี WHO ให้ “อีโบลา” เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินระหว่างประเทศ ล่าสุดยังไม่ประกาศแต่อย่างใด : Hfocus 24 ต.ค. 2565)

https://www.thairath.co.th/news/politic/2535428 (“อนุทิน” ยันไทยไม่ประมาท “โรคอีโบลา” คัดกรองเข้มทุกคนที่มาจากยูกันดา : 25 ต.ค. 2565)

https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/ebola-virus-disease (Ebola virus disease : องค์การอนามัยโลก 25 ก.พ. 2564)

https://www.bbc.com/news/world-africa-63273603 (Ebola in Uganda: Three-week lockdown announced for two districts : BBC 16 ต.ค. 2565)

https://www.observer.ug/news/headlines/75585-mityana-district-confirms-first-ebola-case (Mityana district confirms first Ebola case : The Observer 21 ต.ค. 2565)

https://www.reuters.com/world/africa/uganda-says-two-more-ebola-cases-confirmed-kampala-hospital-2022-10-23/ (Uganda says two new Ebola cases confirmed in Kampala hospital : รอยเตอร์ 23 ต.ค. 2565)

https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-10-26/uganda-to-start-ebola-vaccine-trials-in-two-weeks-as-cases-rise (Uganda to Start Ebola Vaccine Trials in Two Weeks as Cases Rise : บลูมเบิร์ก 27 ต.ค. 2565)

https://www.cnbc.com/2022/10/12/who-calls-for-more-international-aid-to-prevent-ebola-from-spreading-beyond-uganda.html (WHO calls for more international aid to prevent Ebola from spreading beyond Uganda : CNBC 12 ต.ค. 2565)

https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_3649142 (กรมวิทยาศาสตร์ฯ ห่วงอีโบลาเข้าไทย เตรียมพร้อมห้องแล็บตรวจหาเชื้อรู้ผลใน 8 ชม. : มติชน 1 พ.ย. 2565)


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 20 พฤศจิกายน 2565

เครื่องบินของการบินไทยเกิดอุบัติเหตุไฟลุกไหม้ landing ลงน้ำ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/26qy24e0aelfo


จีนเตรียมปูพรมตรวจโควิด-19 ในกว่างโจวหลังผู้ติดเชื้อใหม่พุ่ง

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2zo0dmkondtmv


ออสเตรเลีย เตือนการระบาดโควิดระลอกใหม่เร็ว ๆ นี้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/38ocw1glk9ij3


 “ฮ่องกง”เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว ตามเงื่อนไขกำหนด

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3901c0drkd6yb


มนุษย์ไม่ควรกิน ‘ค้างคาว’ เป็นอาหาร เสี่ยงติดเชื้อ และแพร่เชื่อโรคร้ายแรงได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1kfkitc37ep23


NT ร่วมกับ #กสทช  เตือนภัยเครื่องหมาย + ก่อนรับโทรศัพท์ สายพึงระวังภัยจากมิจฉาชีพ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1ezzu55jk6lea


 LandsMaps ค้นหารูปแปลงที่ดินทั่วไทย ทุกที่ทุกเวลา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1q6988he7ofqf


4 ข่าวลวงวนซ้ำ‘มาตรการเยียวยาประชาชนโดยรัฐ’ในสถานการณ์โควิด-19 : COFACT Special Report #36

บทความโดย : Zhang Taehun

ย้อนไปเมื่อเดือน ม.ค. 2564 โคแฟคเคยนำเสนอประเด็น “5 ข่าวลวงแชร์วนซ้ำเกี่ยวกับโควิด-19” ซึ่งในเวลานั้นเนื่องจากโควิด-19 เป็นโรคอุบัติใหม่จากไวรัสที่เพิ่งค้นพบครั้งแรก จึงนำไปสู่ความกังวลและพยายามหาวิธีป้องกันและรักษา ซึ่งหลายวิธีก็ได้รับการตรวจสอบแล้วว่าใช้ไม่ได้จริง หรือการอ้างแหล่งข่าวคนมีชื่อเสียง บุคคลที่ถูกอ้างถึงก็ยืนยันว่าไม่ได้พูดเรื่องนั้น แต่ในเวลาต่อมา ข่าวลวงเหล่านี้ก็ยังถูกแชร์วนซ้ำอยู่เป็นระยะๆ ในสื่อสังคมออนไลน์ อย่างไรก็ตาม นอกจากข่าวลวงด้านสุขภาพแล้ว “เศรษฐกิจ” ก็เป็นอีกประเด็นที่มีการแชร์ข่าวลวงแบบวนซ้ำในหลายเรื่อง โดยเฉพาะมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลออกมาช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์โควิด-19 ดังนี้

1.กู้ยืมเงินผ่านแอปฯ เป๋าตัง : ปัจจุบันคนไทยคงคุ้นเคยกับแอปพลิเคชั่น “เป๋าตัง” ที่ดำเนินการโดย ธนาคารกรุงไทย เนื่องจากในสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา มาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพอย่าง “คนละครึ่ง” นั้นใช้งานผ่านแอปฯ ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 24 ต.ค. 2565 ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ออกมาเตือนประชาชน อย่าหลงเชื่อข่าวที่แชร์กันว่า “แอปพลิเคชันเป๋าตัง ให้ยืม 10,000 บาท ผ่อนเดือนละ 217 บาทต่อเดือน” เพราะเป็นข่าวที่ไม่เป็นความจริง

“จากกรณีที่มีผู้โพสต์ในเฟซบุ๊กระบุว่าแอปพลิเคชันเป๋าตัง ให้ยืม 10,000 บาท ผ่อนเดือนละ 217 บาทต่อเดือน ทางธนาคารกรุงไทย ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลเท็จ ธนาคารไม่มีบริการให้สินเชื่อผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง ซึ่งเป็นการแอบอ้างนำโลโก้ของธนาคารไปใช้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเกิดความสับสน และแนบลิงก์สำหรับเพิ่มเพื่อนในไลน์ เพื่อเชิญชวนให้บริการกู้เงิน โดยธนาคารไม่มีส่วนเกี่ยวข้องตามที่แอบอ้างแต่อย่างใด” (คำชี้แจงเมื่อวันที่ 24 ต.ค. 2565)

เชื่อหรือไม่ว่าข่าวทำนองนี้มีมาแล้วหลายครั้ง ไล่ตั้งแต่วันที่ 6 พ.ค. 2564 ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ กล่าวถึงการแชร์ข้อมูล “แอปพลิเคชันเป๋าตัง สามารถยืมเงินสดได้ 5,000 บาท ใช้ระยะเวลาอนุมัติเพียง 3 นาที” ว่าไม่เป็นความจริง เนื่องจากทางธนาคารกรุงไทย กระทรวงการคลัง ได้ชี้แจงว่าธนาคารไม่มีนโยบายให้สินเชื่อ หรือยืมเงินสดผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังแต่อย่างใด 

วันที่ 12 พ.ค. 2564 มาอีกแล้วกับ “แอปพลิเคชันเป๋าตังเปิดช่องทางไลน์ และเพจเฟซบุ๊ก ให้กู้เงินได้ทุกอาชีพ” ซึ่งทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ ก็ได้สอบถามไปยัง ธ.กรุงไทย ได้รับคำตอบว่าไม่เป็นความจริงเช่นเคย เนื่องจากธนาคารไม่มีนโยบายให้สินเชื่อผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง และไม่ได้เปิดเพจเฟซบุ๊ก หรือกลุ่ม และ Line Official เพื่อโฆษณาชี้ชวนการขอสินเชื่อผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังแต่อย่างใด วันที่ 9 ส.ค. 2565 หายไปปีกว่าๆ ก็กลับมาอีกแล้วกับข่าวลวงเรื่องกู้เงินผ่านแอปฯ เป๋าตัง คราวนี้แชร์กันว่า “แอปพลิเคชันเป๋าตัง ให้ยืม 100,000 บาท สามารถถอนเงินจาก ATM ได้ตลอด 24 ชั่วโมง” แน่นอนว่าไม่เป็นความจริงอีกแล้ว และวันที่ 16 ส.ค. 2565 คราวนี้อ้างไปถึง ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (TTB) อีกต่างหาก โดยระบุว่า “แอปเป๋าตัง ร่วมมือกับ TTB ให้ยืม 10,000 บาท ถอนได้เลยที่ ATM” ซึ่งทางธนาคารกรุงไทย ในฐานะผู้รับผิดชอบแอปฯ ก็ยังยืนยันเหมือนเดิมว่าไม่เป็นความจริงและไม่มีนโยบายให้กู้ยืมเงินผ่านแอปฯ เป๋าตังแต่อย่างใด

2.กู้ยืมเงินกับธนาคารออมสินผ่านช่องทางออนไลน์ : แม้จะไม่ได้ดูแลแอปฯ กลางสารพัดประโยชน์แบบเป๋าตัง แต่ด้วยความที่ธนาคารออมสินนั้นเป็นสถาบันการเงินของรัฐเช่นเดียวกับธนาคารกรุงไทย จึงเป็นอีกธนาคารที่เจอข่าวลวงประเภทให้ประชาชนกู้ยืมเงินได้และต้องชี้แจงหลายต่อหลายครั้งว่าไม่เป็นความจริง เช่น ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 ส.ค. 2565 มีการแชร์ข้อความว่า “ธ. ออมสินปล่อยกู้ 5,000 – 300,000 บาท ผ่านไลน์” ผ่านเพจเฟซบุ๊กแห่งหนึ่ง ซึ่งทางกระทรวงการคลังได้ชี้แจงดังนี้..

“กระทรวงการคลัง ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่าเพจดังกล่าวไม่ได้เป็นของธนาคาร เนื่องจากธนาคารไม่มีนโยบายให้แอดไลน์ หรือกดลิงก์ที่แนบมากับข้อความเชิญชวนให้กู้เงิน อีกทั้งเพจดังกล่าวยังแอบอ้างใช้สื่อโฆษณาของธนาคาร และตราสัญลักษณ์ของธนาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้หลงเชื่อว่าธนาคารมีส่วนเกี่ยวข้อง ส่งผลต่อชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของธนาคารออมสิน เป็นการทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด อาจตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพได้” (คำชี้แจง 27 ส.ค. 2565)

ก่อนหน้านั้นมีข่าวลวงทำนองเดียวกันกับธนาคารออมสิน อาทิ 7 ก.พ. 2565 มีกรณีแชร์ข้อความ “ออมสิน ส่ง SMS ให้ประชาชนกดรับสิทธิ์ขอสินเชื่อ GSB จำนวน 60,000 บาท” ซึ่งทางธนาคารได้ชี้แจงว่าไม่เป็นนความจริง โดยข้อความที่ปรากฎนั้น ไม่ใช่ข้อความที่ส่งไปจากธนาคารออมสิน และธนาคารยังพบอีกว่ามีข้อความสั้นหรือ SMS ที่แอบอ้างชื่อธนาคารออมสิน หรือ GSB ส่งข้อความลักษณะเชิญชวนให้คลิกลิงก์กลับส่งไปถึงประชาชนจำนวนมาก ซึ่งธนาคารขอยืนยันว่าไม่ใช่ข้อความที่ส่งไปจากธนาคารออมสิน และธนาคารไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งข้อความลักษณะดังกล่าวแต่ประการใด (และข่าวลวงเรื่องออมสินส่ง SMS รับสิทธิ์นี้ก็กลับมาอีกครั้งในวันที่ 28 ต.ค. 2565 แถมคราวนี้เพิ่มจำนวนวงเงินเป็น 1 แสนบาทอีกต่างหาก…แน่นอนว่าก็ไม่เป็นความจริง) , 

นอกจาก SMS แล้ว แอปพลิเคชั่น “MyMo” ของธนาคารออมสิน ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ถูกอ้างว่ามีบริการปล่อยสินเชื่อ เช่น วันที่ 10 พ.ค. 2565 มีการกล่าวถึงข้อความที่แชร์กันว่า “ธ. ออมสินปล่อยสินเชื่ออิ่มใจ ผ่านแอปพลิเคชัน MyMo วงเงินสูงสุด 100,000 บาท” ซึ่งทางธนาคารชี้แจงว่าไม่เป็นความจริง เพราะธนาคารออมสินได้ทำการปิดให้บริการยื่นกู้สินเชื่ออิ่มใจไปตั้งแต่เมื่อปลายปี 2564 เนื่องจากได้ปล่อยกู้ครบตามวงเงินของโครงการแล้ว

ข่าวทำนองเดียวกันได้กลับมาอีกครั้งในวันที่ 25 ต.ค. 2565 กับข้อความว่า “ออมสินให้กู้ยืม วงเงิน 15,000 – 300,000 บาท ดอกเบี้ย 2% ต่อเดือน” โดยเผยแพร่ทางเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า “Mymo by gsb banking” อีกต่างหาก ซึ่งทาง ธ.ออมสิน ชี้แจงว่า นาคารออมสิน ไม่มีเพจเฟซบุ๊กชื่อ Mymo by gsb banking และเพจเฟซบุ๊กดังกล่าวไม่มีความเกี่ยวข้องกับธนาคารแต่อย่างใด ซึ่งการนำตราสัญลักษณ์ของธนาคารออมสินไปใช้ประกอบสื่อโฆษณาโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นสร้างความเข้าใจผิดให้กับลูกค้า

แอปพลิเคชั่นไลน์ ยังเป็นอีกช่องทางที่ปัจจุบันองค์กรต่างๆ ใช้เป็นพื้นที่สื่อสารกับประชาชนหรือลูกค้า ทำให้หลายครั้งมีผู้แอบอ้างสร้างบัญชีปลอมของหน่วยงานขึ้นมา เช่น ในวันที่ 31 ส.ค. 2565 ธนาคารออมสิน ชี้แจงเรื่องบัญชีไลน์ “สินเชื่อออมสิน” ซึ่งลงทะเบียนเป็นบัญชีทางการ (Official) เพิ่มความน่าเชื่อถือ แต่ทางธนาคารยืนยันว่า ไลน์ดังกล่าวไม่ใช่ของธนาคารออมสิน ซึ่งทางธนาคารไม่มีไลน์ปล่อยสินเชื่อ และไม่มีนโยบายปล่อยกู้ผ่านไลน์ โดยไลน์ดังกล่าวได้นำภาพตราสัญลักษณ์ธนาคารออมสิน และภาพโลโก้ mymo GSB ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันทางการเงินของธนาคารไปแอบอ้าง โดยไม่ทราบเจตนาการนำไปใช้ ด้วยหวังสร้างความน่าเชื่อถือ หรือมีวัถุประสงค์เป็นอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับธนาคารออมสินแต่อย่างใด

3.รัฐบาลแจกเงินช่วยเหลือประชาชน: ในสถานการณ์โควิด-19 คนส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง กิจการปิดตัวบ้าง ตกงานบ้าง ในบางครั้งรัฐบาลจึงออกมาตรการช่วยเหลือประชาชน เช่น “เราไม่ทิ้งกัน” จ่ายเงินสดผ่านบัญชีธนาคาร เดือนละ 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน ระหว่างเดือนเมษายน-มิถุนายน 2563 หรือ “โครงการจ่ายเงินเยียวยาให้กับประชากรวัยแรงงาน ผ่านกลไกประกันสังคม ทั้ง ม.33 ม.39 และ ม.40” โดยทยอยจ่ายให้แรงงานอาชีพต่างๆ ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2564-มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งแรงงานที่ลงทะเบียนและผ่านการตรวจสอบสิทธิ์แล้วจะได้เท่ากันเป็นเงินสดคนละ 5,000 บาท 

ถึงกระนั้น ยังคงมีข่าวลวงเรื่องรัฐบาลแจกเงินเยียวยาตามมาอยู่เป็นระยะๆ อาทิ ในวันที่ 12 พ.ค. 2565 ลัดดา แซ่ลี้ รองเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (ในขณะนั้น) ต้องออกมาเตือนประชาชนว่า กรณีการเผยแพร่ทางสื่อออนไลน์ เรื่องผู้ประกันตน มาตรา 33, 39, 40 ยังมีสิทธิรับเงินเยียวยาจากรัฐบาลอีกคนละ 5,000 บาท และสำนักงานประกันสังคม พร้อมโอนเงินเข้าบัญชีภายในสิ้นเดือนพฤษภาคม 2565 ว่า ในเรื่องดังกล่าว สำนักงานประกันสังคม ขอชี้แจงว่า เป็นข้อมูลเท็จ ผู้ประกันตนอย่าหลงเชื่อเด็ดขาดสำนักงานประกันสังคมไม่มีนโยบายแจกเงินเยียวยา 5,000 บาท ให้ผู้ประกันตน มาตรา 33, 39, 40 ดังกล่าวแล้ว

“ที่ผ่านมาสำนักงานประกันสังคมได้เคยมีโครงการเยียวยาอยู่ 3 ประเภท ได้แก่ โครงการเยียวยานายจ้างและผู้ประกันตนมาตรา 33 ในกิจการที่ได้รับผลกระทบ จากมาตรการของรัฐในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด,โครงการเยียวยาผู้ประกันตนมาตรา 39 และมาตรา 40 และโครงการเยียวยาผู้ประกันตนในกิจการสถานบันเทิง และผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ทำงานเกี่ยวข้องกับสถานบันเทิง ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐ ซึ่งทั้ง 3 โครงการนี้ได้สิ้นสุดการดำเนินงานตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565 ที่ผ่านมาไปแล้ว” (คำชี้แจง 12 พ.ค. 2565)

ข่าวลวงเรื่องประกันสังคมกลับมาอีกครั้งในวันที่ 30 ส.ค. 2565 โดยทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ กล่าวถึงเพจเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า สำนักประชาสัมพันธ์เขต 7 โพสต์ข้อความระบุว่า ด่วนมาก รัฐบาลแจกเงินคนละ 15,000 บาท เดือนละ 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน สำหรับผู้มีรายได้น้อยที่เป็นแรงงานนอกระบบประกันสังคม กว่า 3 ล้านคนทั่วประเทศ ซึ่งเมื่อสอบถามไปยังสำนักงานประกันสังคม ได้รับคำยืนยันกลับมาว่าไม่เป็นความจริง เพราะโครงการดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับสำนักงานประกันสังคม อีกทั้งเว็บไซต์ดังกล่าวยังแอบอ้างใช้สื่อโฆษณาของสำนักงานประกันสังคม โดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้หลงเชื่อว่าสำนักงานประกันสังคมมีส่วนเกี่ยวข้อง ส่งผลต่อชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของสำนักงานประกันสังคม เป็นการทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด อาจตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพได้

ในวันที่ 29 ต.ค. 2565 ยังมีข่าวการแชร์ข้อความ ลงทะเบียนรับค่าตอบแทนจากรัฐบาล 50,000 บาท เพื่อช่วยเหลือการว่างงานสำหรับทุกครอบครัว งานนี้ถึงขั้นทางตำรวจต้องออกมาเตือนเอง โดย พ.ต.ท.หญิง ณพวรรณ ปัญญา รองโฆษก ตร. อ้างถึง ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ ที่สอบถามไปยังสำนักงานประกันสังคม และได้รับการยืนยันว่าไม่เป็นความจริง โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่ผลิตข่าวปลอม และผู้ที่เผยแพร่ทุกรายอย่างเด็ดขาดจริงจัง 

ยังมีอีกข่าวลวงที่ได้รับการยืนยันว่าไม่เป็นความจริงในเวลาไล่เลี่ยกัน นั่นคือในวันที่ 1 ก.ย. 2565 ทางกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ได้ออกมาชี้แจงกรณีมีการแชร์ข้อความบนโลกออนไลน์ว่า รัฐบาลแจกเงินคนละ 1,000 – 5,000 บาท สามารถกดเป็นเงินสดใช้ได้ โดยเรื่องดังกล่าวเป็นการแอบอ้างจากผู้ไม่หวังดี ทำให้ประชาชนเข้าใจผิด 

4.ประกันสังคมให้กู้ยืมเงินได้ : นอกจากจะมีข่าวลวงเรื่องแจกเงินเยียวยาโควิด-19 แล้ว ในช่วงเวลาเดียวกัน สำนักงานประกันสังคมยังเจอข่าวลวงเรื่องเป็นแหล่งเงินกู้สำหรับประชาชนด้วย โดยทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ เปิดเผยเมื่อวันที่ 3 พ.ย. 2565 ว่า มีเพจเฟซบุ๊กเพจหนึ่งไปโพสต์ข้อความว่า ประกันสังคมปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำให้ทุกอาชีพ คนละ 60,000 บาท ซึ่งสำนักงานประกันสังคม ยืนยันว่าเป็นการแอบอ้างไม่ใช่เรื่องจริง

ก่อนหน้านั้นในวันที่ 24 พ.ค. 2565 สำนักงานประกันสังคม ชี้แจงกรณีมีเพจเฟซบุ๊กแชร์ข้อมูลว่า ประกันสังคมเปิดโครงการรัฐ ม.40 ปล่อยสินเชื่อผ่อนสบายสูงสุด 36 เดือน ใช้บัตรประชาชนใบเดียวและไม่เช็คเครดิตบูโร ว่าไม่เป็นความจริง สำนักงานประกันสังคมไม่มีโครงการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกันตนมาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 แต่อย่างใด อีกทั้งไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับเพจดังกล่าว โดยมีแต่เพียงสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการเท่านั้น

“สำนักงานประกันสังคม ได้มีมาตรการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจจากโรคโควิด-19 โดยได้ดำเนินการโครงการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงานระยะที่ 2 (พ.ศ. 2563 – 2564) ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา เพื่อให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบในสถานการณ์ดังกล่าว สามารถนำเงินกู้ที่ได้รับจากการขอสินเชื่อไปรักษาการจ้างงานของลูกจ้างในสถานประกอบการ โดยมีเงื่อนไขให้สถานประกอบการรักษาจำนวนผู้ประกันตนให้ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 80 ของจำนวนผู้ประกันตน ณ วันที่ได้รับสินเชื่อตลอดอายุสินเชื่อ” (คำชี้แจง 24 พ.ค. 2565)

ยังมีข่าวเรื่องประกันสังคมปล่อยสินเชื่อแต่เป็นข่าวลวง ถูกเปิดเผยในวันที่ 2 ส.ค. 2565 โดยมีการแชร์ข้อความว่า สำนักงานประกันสังคม ร่วมมือกับเอกชน ให้สินเชื่อเงินก้อน ต้านภัยโควิด ถูกกฎหมาย ให้กู้ 5,000-500,000 บาท อีกทั้งโพสต์ภาพโฆษณาชวนเชื่อด้วยว่า ไม่ต้องไปกู้นอกระบบ ถูกกฎหมายไม่โดนหลอก ซึ่งได้รับคำชี้แจงว่า การลงทะเบียนดังกล่าวไม่ใช่โครงการของสำนักงานประกันสังคม

แม้สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 จะคลี่คลายลงแล้ว แต่ตราบเท่าที่สภาพเศรษฐกิจยังซบเซาฝืดเคืองอยู่ มาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐทั้งทางตรง (แจกเงินเยียวยา) และทางอ้อม (ให้สินเชื่อเงินกู้) เชื่อว่าคงจะยังเป็นความหวังของใครหลายคนต่อไป และแน่นอนว่าย่อมต้องมีผู้อาศัยประโยชน์จากความทุกข์อย่างแบบนี้สร้างข่าวลวงขึ้นมา ซึ่งผลร้ายอย่างเบาๆ ก็คงเป็นการเสียความรู้สึกเพราะตอนหลังรู้ว่าฝันสลายไม่ใช่เรื่องจริง แต่ที่อันตรายกว่านั้นคืออาจถูกล้วงข้อมูลส่วนบุคคลที่อ่อนไหว (เช่น ข้อมูลที่นำไปสู่การทำธุรกรรมทางการเงิน) หรือถูกหลอกให้โอนเงิน จนสูญเสียทรัพย์สินได้  ดังนั้นแล้ว “โปรดระวัง” มีสติ “เช็คก่อนเชื่อ (หรือแชร์)” ทุกครั้ง!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://blog.cofact.org/presscofact100164/ (โคแฟค เผย 5 ข่าวลวงโควิดวนซ้ำระบาดรอบใหม่ แนะสังคมร่วมสกัดไวรัสข่าวสารด้วยความจริงร่วม : 11 ม.ค. 2564)

https://www.bangkokbiznews.com/news/news-update/1033997 (ข่าวปลอม! แอปพลิเคชันเป๋าตัง ให้ยืม 10,000 บาท ผ่อนเดือนละ 217 บาทต่อเดือน : กรุงเทพธุรกิจ 24 ต.ค. 2565)

https://mgronline.com/factcheck/detail/9640000043541 (ข่าวปลอม! แอปพลิเคชันเป๋าตัง สามารถยืมเงินสดได้ 5,000 บาท ใช้ระยะเวลาอนุมัติเพียง 3 นาที : ผู้จัดการ 6 พ.ค. 2564)

https://www.antifakenewscenter.com/การเงิน-หุ้น/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-แอปพลิเคชันเป๋าตังเปิดช่องทางไลน์-และเพจเฟซบุ๊ก-ให้กู้เงินได้ทุกอาชีพ/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! แอปพลิเคชันเป๋าตังเปิดช่องทางไลน์ และเพจเฟซบุ๊ก ให้กู้เงินได้ทุกอาชีพ : ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ 12 พ.ค. 2564)

https://www.antifakenewscenter.com/การเงิน-หุ้น/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-แอปพลิเคชันเป๋าตัง-ให้ยืม-100000-บาท-สามารถถอนเงินจาก-atm-ได้ตลอด-24-ชั่วโมง/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! แอปพลิเคชันเป๋าตัง ให้ยืม 100,000 บาท สามารถถอนเงินจาก ATM ได้ตลอด 24 ชั่วโมง (ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ 9 ส.ค. 2565)

https://www.springnews.co.th/news/fact-check/828555 (ข่าวปลอม! แอปฯเป๋าตัง ร่วมมือกับ TTB ให้ยืม 10,000 บาท สามารถถอนเงินจาก ATM ได้ : สปริงนิวส์ 16 ส.ค. 2565)

https://www.antifakenewscenter.com/การเงิน-หุ้น/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-ธ-ออมสินปล่อยกู้-5000-300000-บาท-ผ่านไลน์/(ข่าวปลอม อย่าแชร์! ธ. ออมสินปล่อยกู้ 5,000 – 300,000 บาท ผ่านไลน์ : ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ 27 ส.ค. 2565)

https://www.thaipost.net/economy-news/80354/ (อย่าแชร์! ข่าวปลอม ออมสิน ส่ง SMS ให้ประชาชนกดรับสิทธิ์ขอสินเชื่อ GSB จำนวน 60,000 บาท : ไทยโพสต์ 7 ก.พ. 2565)

https://www.antifakenewscenter.com/การเงิน-หุ้น/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-ออมสินส่ง-sms-ให้กดรับสิทธิ์จากลิงก์-เพื่อขอสินเชื่อ-gsb-จำนวน-100000-บาท/(ข่าวปลอม อย่าแชร์! ออมสินส่ง SMS ให้กดรับสิทธิ์จากลิงก์ เพื่อขอสินเชื่อ GSB จำนวน 100,000 บาท : ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ 28 ต.ค. 2565)

https://mgronline.com/factcheck/detail/9650000044234 (ข่าวปลอม! ธ. ออมสินปล่อยสินเชื่ออิ่มใจ ผ่านแอปพลิเคชัน MyMo วงเงินสูงสุด 100,000 บาท : 10 พ.ค. 2564)

https://www.bangkokbiznews.com/news/news-update/1034274 (ข่าวปลอม! “ออมสิน” ให้กู้ยืม วงเงิน 15,000 – 300,000 บาท ดอกเบี้ย 2% ต่อเดือน : กรุงเทพธุรกิจ 25 ต.ค. 2565)

https://www.thansettakij.com/finance/financial-banking/538629 (ข่าวปลอม อย่าแชร์! ไลน์ Official สินเชื่อธนาคารออมสิน : ฐานเศรษฐกิจ 31 ส.ค. 2565)

https://thainews.prd.go.th/th/news/detail/TCATG220512193923920 (เตือนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอม หยุดแชร์ ผู้ประกันตน ม.33,39,40 รับเงินเยียวยาคนละ 5,000 บาท : สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ 12 พ.ค. 2565)

https://www.bangkokbiznews.com/news/news_update/1023803 (ข่าวปลอม อย่าแชร์! รัฐบาลอนุมัติ แจกเงินคนละ 15,000 บาท : กรุงเทพธุรกิจ 30 ส.ค. 2565)

https://siamrath.co.th/n/395004 (ข่าวปลอม! ลงทะเบียนรับค่าตอบแทนจากรัฐบาล 50,000 บาท ช่วยเหลือการว่างงาน : สยามรัฐ 29 ต.ค. 2565)

https://www.antifakenewscenter.com/การเงิน-หุ้น/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-รัฐบาลแจกเงินคนละ-1000-5000-บาท-สามารถกดเป็นเงินสดใช้ได้/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! รัฐบาลแจกเงินคนละ 1,000 – 5,000 บาท สามารถกดเป็นเงินสดใช้ได้ : ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ 1 ก.ย. 2565)

https://www.antifakenewscenter.com/นโยบายรัฐบาล-ข่าวสาร/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-ประกันสังคมปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำให้ทุกอาชีพ/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! ประกันสังคมปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำให้ทุกอาชีพ : ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ 3 พ.ย. 2565)

https://mgronline.com/factcheck/detail/9650000049360 (ข่าวปลอม! ประกันสังคมเปิดโครงการรัฐ ม.40 ปล่อยสินเชื่อผ่อนสบายสูงสุด 36 เดือน : ผู้จัดการ 24 พ.ค. 2565)

https://www.antifakenewscenter.com/การเงิน-หุ้น/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-สำนักงานประกันสังคม-ร่วมมือกับเอกชน-ให้สินเชื่อเงินก้อน-ต้านภัยโควิด-ถูกกฎหมาย-ให้กู้-5000-500000-บาท/ (ข่าวปลอม อย่าแชร์! สำนักงานประกันสังคม ร่วมมือกับเอกชน ให้สินเชื่อเงินก้อน ต้านภัยโควิด ถูกกฎหมาย ให้กู้ 5,000 – 500,000 บาท : ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ 2 ส.ค. 2565


ไขข้อข้องใจ ‘ห้ามนำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไปไต้หวัน’ ข่าวนี้มีที่มาอย่างไร? COFACT Special Report #35

บทความโดย : Zhang Taehun

“ไปไต้หวันอย่าพกมาม่า” เป็นข้อความเขียนบนภาพที่เพจเฟซบุ๊กแห่งหนึ่งเผยแพร่ตั้งแต่เมื่อวันที่ 12 ต.ค. 2565 (เท่าที่สืบค้นได้)  แล้วมีการส่งต่อกันอย่างต่อเนื่องพร้อมกับคำถามว่า “จริงหรือ?” ซึ่งก็ต้องบอกว่าข่าวนี้เป็น “ข่าวจริง” เนื่องจากไต้หวัน หรือจีนไทเปนั้นออกประกาศ “ห้ามนำเนื้อหมูและผลิตภัณฑ์จากหมูของประเทศไทยเข้าไต้หวันโดยเด็ดขาด” เพจดังกล่าวจึงมีการโพสต์เพื่อแจ้งเตือนชาวไทยที่จะเดินทางไปไต้หวันทั้งไปเที่ยวและทำงาน

ที่มาที่ไปของการเตือนนี้ ย้อนไปเมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2565 เว็บไซต์ Focus Taiwan ซึ่งอยู่ในเครือ สำนักข่าวแห่งชาติไต้หวัน (CNA) เป็นองค์กรของรัฐที่มีภารกิจคล้ายกับสำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ (PRD-NBT) ของไทย เสนอข่าวระบุว่า  ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินกลาง (CEOC) เกี่ยวกับโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African swine fever : ASF) ออกประกาศเตือนว่า หากตรวจพบการนำเนื้อหมูหรือผลิตภัณฑ์จากหมูจากประเทศไทยเข้าไต้หวัน จะถือว่ามีความผิดโดยจะถูกลงโทษปรับอย่างน้อย 2 แสนเหรียญไต้หวัน หรือ 7,218 เหรียญสหรัฐ (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 2 แสนบาท) ตามมาตรการสกัดกั้นโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรที่กำลังระบาดอยู่ในไทย

ก่อนหน้านั้นในวันที่ 9 ม.ค. 2565 เว็บไซต์ Taipei Times หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของไต้หวัน รายงานข่าวโดยอ้างคำเตือนของกระทรวงแรงงานไต้หวัน ระบุว่า แรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในไต้หวัน หากถูกจับกุมข้อหานำเข้าผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์จากพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร รวมถึงแรงงานที่ได้รับผลิตภัณฑ์ดังกล่าวแล้วไม่แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง นอกจากจะถูกลงโทษปรับแล้ว ยังต้องถูกเพิกถอนใบอนุญาตทำงานและส่งกลับประเทศด้วย

รายงานข่าวจาก Taipei Times กล่าวต่อไปว่า กุนเชียงหมูที่ส่งมาจากประเทศไทย ถูกพบโดยสำนักงานไปรษณีย์ไถหนานของไต้หวัน ว่าปนเปื้อนไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร หรือ ASF หลังจากส่งตรวจในห้องปฏิบัติการเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 2564 และมีการยืนยันผลตรวจอีกครั้งในวันที่ 22 ธ.ค. 2564  อย่างไรก็ตาม สำหรับความผิดฐานลักลอบนำเข้าผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ ตามกฎหมายไต้หวันมีโทษจำคุกสูงสุด 7 ปี หรือปรับสูงสุด 3 ล้านเหรียญไต้หวัน หรือ 108,342 เหรียญสหรัฐ (หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 3 ล้านบาท)

สำหรับพัสดุที่มีผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ที่ญาติหรือเพื่อนส่งมาให้จากต่างประเทศ ควรส่งไปที่สำนักตรวจสอบและกักกันสุขภาพสัตว์และพืช หรือสำนักงานคุ้มครองสัตว์ในท้องถิ่นเพื่อทำลาย หากฝ่าฝืนจะถูกปรับไม่เกิน 150,000 เหรียญไต้หวัน (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 1.7 แสนบาท) ตามกฎหมายบริการจัดหางาน (the Employment Service Act) อีกทั้งยังกำชับให้นายจ้างไม่ส่งต่อเศษอาหารจากหอพักของแรงงานต่างด้าวไปยังฟาร์มเลี้ยงหมูด้วย ทั้งนี้ ไต้หวันยังมีกฎหมายกำหนดให้ขยะเศษอาหารจากครัว ต้องผ่านการอบไอน้ำที่อุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 90 องศาเซลเซียสเพื่อฆ่าเชื้อ เป็นเวลา 1 ชั่วโมง

ในวันที่ 11 ม.ค. 2565 Taipei Times ยังรายงานข่าวอีกว่า ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินกลาง (CEOC) เกี่ยวกับโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African swine fever : ASF) ออกประกาศห้ามนำผลิตภัณฑ์จากหมูที่มีแหล่งที่มาจากประเทศไทยเข้าไต้หวัน โดยผู้ฝ่าฝืนจะถูกลงโทษปรับ หากเป็นความผิดครั้งแรกค่าปรับจะอยู่ที่ 2 แสนเหรียญไต้หวัน หรือประมาณ 2 แสนบาท และหากกระทำผิดซ้ำโทษปรับจะเพิ่มเป็น 1 ล้านเหรียญไต้หวัน หรือประมาณ 1 ล้านบาท ในกรณีที่ผู้กระทำผิดเป็นชาวต่างชาติ หากไม่สามารถจ่ายค่าปรับได้จะถูกห้ามเข้าไต้หวันและถูกส่งตัวกลับประเทศทันที

ขณะที่ในประเทศไทย เมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2565 (แจ้งซ้ำอีกครั้งวันที่ 11 ก.พ. 2565 )  บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ออกประกาศงดการฝากส่งเนื้อสุกร/ผลิตภัณฑ์เนื้อสุกร ที่อาจปนเปื้อนอหิวาต์แอฟริกาไปยังปลายทางไต้หวัน  ยกเว้นผลิตภัณฑ์เนื้อสุกรที่ผ่านการแปรรูปด้วยอุณหภูมิสูง และอยู่ในบรรจุภัณฑ์ที่ปิดผนึกหนาแน่น เช่น ในรูปแบบอาหารกระป๋องหรือ ถุง/ซองพลาสติกสุญญากาศ (Retort Pouch)

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 23 ส.ค. 2565 (แจ้งซ้ำอีกครั้งวันที่ 7 ก.ย. 2565) ไปรษณีย์ไทย ออกประกาศงดการฝากส่งเนื้อสุกร/ผลิตภัณฑ์เนื้อสุกรทุกรูปแบบไปยังปลายทางไต้หวัน (จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง) ซึ่งสืบเนื่องจาก ไปรษณีย์ไทย ได้รับแจ้งจากไปรษณีย์ไต้หวัน (Chunghwa Post) ให้งดฝากส่งเนื้อหมูและผลิตภัณฑ์จากหมูดังกล่าว ตามมาตรการป้องกันการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร โดยประกาศฉบับนี้ถือเป็นการ “ยกระดับความเข้มงวด” จากประกาศฉบับก่อนหน้าในเดือน ก.พ. 2565 ที่มีข้อยกเว้นผลิตภัณฑ์เนื้อสุกรที่ผ่านการแปรรูปด้วยอุณหภูมิสูง และอยู่ในบรรจุภัณฑ์ที่ปิดผนึกหนาแน่น เป็นการงดผลิตภัณฑ์เนื้อสุกรทุกรูปแบบ

ประกาศเรื่องงดการฝากส่งเนื้อสุกร/ผลิตภัณฑ์เนื้อสุกรทุกรูปแบบไปยังปลายทางไต้หวัน (จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง) ยังได้รับการกำชับเมื่อช่วงต้นเดือน ก.ย. 2565 จาก ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ว่า จากกรณีที่การไปรษณีย์ไต้หวัน (Chunghwa Post) แจ้งงดการฝากส่งผลิตภัณฑ์เนื้อสุกรทุกรูปแบบไปยังปลายทางไต้หวัน เพื่อป้องกันและควบคุมการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร หรือ African Swine Flu : ASF นั้น 

ในส่วนของไปรษณีย์ไทย จึงขอประกาศงดฝากสิ่งของที่ภายในบรรจุเนื้อสุกร/ผลิตภัณฑ์เนื้อสุกรทุกรูปแบบ อาทิ กุนเชียง แคปหมู หมูกระจก หมูหยอง หมูแผ่น “บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสหมู” “ผงปรุงรสหมู” ไปยังปลายทางไต้หวันตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง หากตรวจพบสิ่งของที่บรรจุเนื้อสุกร/ผลิตภัณฑ์เนื้อสุกรทุกรูปแบบในเส้นทางการขนส่งของไปรษณีย์ระหว่างประเทศ จะถูกส่งคืนไปยังไปรษณีย์ที่ฝากส่ง

หากตรวจพบในขั้นตอนการนำเข้าจะถูกทำลายหรือกักโดยกรมตรวจสอบสุขอนามัย และการกักกันพืชและสัตว์ หรือ Bureau of Animal and Plant Health Inspection and Quarantine : BAPHIQ  ของไต้หวัน ทั้งนี้ ผู้รับที่มีชื่อตามจ่าหน้าสิ่งของที่ฝากส่งจะต้องระวางโทษปรับ ในกรณีตรวจพบครั้งแรก อัตราค่าปรับสูงสุด 2 แสนเหรียญไต้หวัน หรือ ประมาณ 2.4 แสนบาท กรณีตรวจพบครั้งต่อไป อัตราค่าปรับสูงสุด 1 ล้านเหรียญไต้หวัน หรือ ประมาณ 1.2 ล้านบาท

ข้อมูลจากกรมปศุสัตว์ของไทย  ระบุว่า โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African swine fever : ASF)  เป็นโรคไวรัสที่ติดต่อร้ายแรงในสุกรที่แพร่กระจายในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก ถึงแม้ว่าโรคนี้จะไม่ใช่โรคติดต่อระหว่างสัตว์และคนแต่ก็ถือว่าเป็นโรคที่สามารถส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรเป็นอย่างมาก เนื่องจากหากมีการระบาดของโรคนี้ในประเทศแล้วจะกำจัดโรคได้ยาก เพราะในปัจจุบันนี้ยังไม่มีวัคซีนในการป้องกันและควบคุมโรค ในขณะที่เชื้อไวรัสที่ก่อโรคมีความทนทานในผลิตภัณฑ์จากสุกรและสิ่งแวดล้อมสูง สุกรที่หายป่วยแล้วจะเป็นพาหะของโรคได้ตลอดชีวิต และยิ่งกว่านั้นโรคนี้เป็นโรค ที่มีความความรุนแรงทำให้สุกรที่ติดเชื้อมีการตายเฉียบพลันเกือบ 100%

โดยประเทศไทยนั้นเริ่มมีกระแสข่าวว่า พบผลิตภัณฑ์จากเนื้อหมูในไทยปนเปื้อนเชื้อก่อโรค ASF ตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2564  ซึ่งเป็นรายงานจากไต้หวัน พบกุนเชียงเนื้อหมูปนเปื้อนเชื่อดังกล่าว แต่ในเวลานั้น กรมปศุสัตว์ของไทย ชี้แจงว่า เนื้อหมูที่นำมาใช้ผลิตกุนเชียงน่าจะมีการลักลอบนำเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากยังไม่พบผลทางห้องปฏิบัติการจากการเฝ้าระวังภายในประเทศ กระทั่งวันที่ 11 ม.ค. 2565 จึงมีการรายงานยืนยัน พบเชื้อ ASF  เป็นครั้งแรก จากตัวอย่างที่เก็บจากโรงฆ่าสัตว์แห่งหนึ่งในพื้นที่ จ.นครปฐม

สรุปแล้ว “ข่าวนี้เป็นเรื่องจริง” แต่ต้องระบุให้ชัดว่า “ห้ามนำมาม่า” หรือภาษาทางการคือ “ห้ามนำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป” ในกลุ่ม “รสหมู” ทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นหมูสับ หมูต้มยำ หมูน้ำตก ฯลฯ ไปไต้หวันโดยเด็ดขาด!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง

https://focustaiwan.tw/society/202201110028 (Fines to be imposed for bringing Thai pork into Taiwan : Taiwan Focus 11 ม.ค. 2565)

https://www.taipeitimes.com/News/front/archives/2022/01/09/2003771016 (Illegal pork may lead to deportation, ministry warns : Taipei Times 9 ม.ค. 2565)

https://www.taipeitimes.com/News/taiwan/archives/2022/01/13/2003771287 (Illegal Thai pork imports face NT$200,000 fine : Taipei Times 11 ม.ค. 2565)

https://international.thailandpost.com/thp_announcement_taiwan/ (ประกาศงดการฝากส่งเนื้อสุกร/ผลิตภัณฑ์เนื้อสุกร ที่อาจปนเปื้อนอหิวาต์แอฟริกา ไปยังปลายทางไต้หวัน ตั้งแต่บัดนี้ เป็นต้นไป : 4 และ 11 ก.พ. 2565)

https://www.thailandpost.co.th/un/article_detail/product/550/24735 (ประกาศงดการฝากส่งเนื้อสุกร/ผลิตภัณฑ์เนื้อสุกรทุกรูปแบบไปยังปลายทางไต้หวัน จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง : 23 ส.ค. และ 7 ก.ย. 2565)

https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1026228 (ปณท งดส่ง ‘หมู’ ปลายทางไต้หวันทุกผลิตภัณฑ์ : กรุงเทพธุรกิจ 12 ก.ย. 2565)

https://www.prachachat.net/ict/news-1042363 (“ไปรษณีย์ไทย” งดส่งเนื้อสุกร-ผลิตภัณฑ์เนื้อสุกร ไปไต้หวัน : 8 ก.ย. 2565)

https://dld.go.th/th/images/stories/hotissue/asf/ContingencyPlanAndCPG2.pdf (แผนเตรียมความพร้อมเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (Contingency plan) และแนวทางเวชปฏิบัติของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (Clinical Practice Guideline) : กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์)

https://www.bangkokbiznews.com/business/979173 (ปศุสัตว์ ยันหมูไทยปลอด ASF ที่ไต้หวันเจอ คือ ลักลอบ : กรุงเทพธุรกิจ 24 ธ.ค. 2564)

https://www.prachachat.net/prachachat-top-story/news-839139 (อธิบดีปศุสัตว์ยอมรับเป็นทางการครั้งแรก พบโรค ASF ในหมู : 11 ม.ค. 2565)

https://dld.go.th/th/index.php/th/newsflash/341-news-hotissue/25151-hotissue-25650722-2 (“อธิบดีกรมปศุสัตว์แจงอภิปรายฝ่ายค้านชัดทุกประเด็น ชี้ ร่วมทุกภาคส่วนคุม ASF ในหมู อย่างเปิดเผย โปร่งใส มีประสิทธิภาพ” : 22 ก.ค. 2565)

https://www.taiwantourism.org/th/tourism-informations/visa/#menus

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

รู้จักโมเดลโคแฟคชุมชน ค้นหาความจริงร่วม

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 13 พฤศจิกายน 2565

ฉีดวัคซีนโควิดเสี่ยงทำให้เป็นมะเร็ง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2bethlijsxbzi


เม็ดบอลสีส้มวางขายแทนไข่ปลาแซลมอน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/27vvsijgn0n5p


‘แอปพลิเคชันทางรัฐ’ ทางลัด ติดต่อรัฐ ผ่านแอปพลิเคชันเดียว ช่องทางเดียว ด้วยบัญชีเดียว

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2c79n1cyrxo9i


เช็คสิทธิประกันสังคม ม.33 ม.39 ม.40 ด้วยบัตรประชาชนผ่านเว็บไซต์ได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/15p7v4ehel444


“ปัสสาวะ” สามารถบ่งบอกถึง สุขภาพ และการเป็น “โรคไต”…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2b5puav3b64ud


กินกระเทียมป้องกันโรคความดันโลหิตสูงได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/jl5z7lz39q8h


อ่านต่อได้ที่

อ่านต่อได้ที่

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 6 พฤศจิกายน 2565

ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปที่เสียชีวิต ทายาทจะได้รับเงินถึง 30,000 บาท จากกระทรววง พม. …จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/381kx4v966pnp


ปิดถนนแยกอโศก-แยกรัชดา-คลองเตย 14-19 พ.ย.ประชุมเอเปค

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3plid1sq4nwo0#_=_


“บางกอกแอร์เวย์” เตรียมเปิดบินเส้นทาง บริการ “หาดใหญ่-เบตง”

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2y485bz2io2k1#_=_


 “ไทย ไลอ้อน แอร์” ยันไม่มีนโยบายส่งข้อความหรือโทร.แจ้งสิทธิแก่ลูกค้า หลังพบมีมิจฉาชีพแอบอ้าง

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1mqnkmmfcu30k


ดื่มกาแฟดำ ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคตับแข็ง

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1atkqemli2pbq


มะเร็งช่องปาก ติด 1 ใน 10 โรคมะเร็งที่คร่าชีวิตคน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/379sxpu72bfgr


สปสช. ให้ผู้ถือบัตรทอง 30 บาท เปลี่ยนสถานพยาบาลตามสิทธิผ่านไลน์ สปสช….จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1nhaxrx86kcsw#_=_


มองเหตุกราดยิงจากสหรัฐฯถึงไทย สื่อมวลชนจะมีบทบาทป้องกัน-แก้ไขปัญหาความรุนแรงได้อย่างไร

27 ต.ค. 2565 โคแฟค (ประเทศไทย) จัดบรรยายออนไลน์ผ่านเพจเฟซบุ๊ก “Cofact โคแฟค” ในหัวข้อ “Mass shooting in Thailand and the Lesson-learned from the U.S.:  Violence Prevention and Ethics of Fact-based reporting. (บทเรียนโศกนาฎกรรมกราดยิง จากสหรัฐฯ ถึง หนองบัวลำภู บทบาทสื่อที่ควรเป็น และ การป้องกันความรุนแรงในสังคม)” โดยมีวิทยากรคือ แฟรงค์ สมิธ (Frank Smyth) นักข่าวสืบสวนอิสระดีกรีรางวัล ซึ่งมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านสงคราม อาชญากรรมข้ามชาติ การละเมิดสิทธิมนุษยชนในต่างประเทศ รวมถึงการเคลื่อนไหวประเด็นอาวุธปืนในสหรัฐอเมริกา และมี ผศ.ดร.เจษฎา ศาลาทอง อาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับ คุณสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง โคแฟค (ประเทศไทย) เป็นผู้แปลสรุปเป็นภาษาไทย

คุณแฟรงค์ เริ่มต้นด้วยการยอมรับว่าตกใจมากกับเหตุกราดยิงที่เกิดขึ้นในประเทศไทย เนื่องจากมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากอีกทั้งไม่ใช่เหตุอาชญากรรมที่เกิดขึ้นโดยทั่วไปในไทย ขณะที่ในสหรัฐฯ เมื่อทศวรรษที่แล้วที่เคยเกิดขึ้นที่รัฐคอนเนกติคัต หรือเมื่อไม่นานที่รัฐเท็กซัส อย่างไรก็ตาม การค้นหาแรงจูงใจของผู้ก่อเหตุเป็นเรื่องยากในการระบุ แต่เมื่อไม่นานนี้เพิ่งมีการศึกษาแล้วพบว่า แรงจูงใจอาจไม่ได้มาจากปัญหาทางสภาพจิตใจเสมอไป แต่ยังประกอบด้วยปัจจัยอื่นๆ อีกหลายด้าน 

อย่างเช่นวิกฤติปัญหาชีวิต เหตุการณ์อย่างเช่นถูกเลิกจ้างงาน คู่ครองเลิกรา มีคนเสียชีวิต ปัญหาวิกฤติชีวิตที่สิ่งที่มันทำให้ผู้ก่อเหตุรู้สึกท่วมท้น/อัดอั้นตันใจ แล้วผู้ก่อเหตุ อย่างที่เคยเกิดขึ้นที่สหรัฐฯ และตอนนี้ก็เกิดขึ้นที่ไทย ก็ตัดสินใจที่จะไปก่อเหตุที่ธนาคาร ออกจากบ้านไปข้างนอก แสดงการกระทำให้คนอื่นในสังคมเห็นถึงความขัดข้องใจ/ขุ่นเคือง สิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจของเขา ไปยิงธนาคาร ไปยิงคนบริสุทธิ์ แล้วก็ยิงตัวตาย เหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นที่สหรัฐที่เดียว เกิดขึ้นทั่วโลกแล้ว” 

เมื่อถามต่อไปถึงปัจจัยของความรุนแรง ตุณแฟรงค์ค่อนข้างให้น้ำหนักไปที่ การเข้าถึงอาวุธปืนได้ง่าย แต่ประเด็นนี้จะแตกต่างกัน ในขณะที่หลายรัฐของสหรัฐฯ ใครก็ตามที่มีใบขับขี่หรือเอกสารยืนยันตัวตนที่การออกให้ เดินไปที่ร้านแล้วก็ซื้อปืนได้ ภายในเวลา 30 นาที แม้ปัจจุบันจะมีการกำหนดให้มีการตรวจสอบประวัติผู้ซื้ออาวุธปืน แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก เพียงมีอายุมากกว่า 18 ปี ตรวจประวัติเพียงเล็กน้อย แล้วก็เดินออกจากร้านพร้อมกับอาวุธได้เลยตั้งแต่ปืนสั้นไปจนถึงปืนอัตโนมัติอย่าง AR15 ซึ่งเป็นปืนไรเฟิลกำลังสูง

ส่วนประเทศไทย สำหรับคนทั่วไปค่อนข้างเข้าถึงอาวุธปืนได้ยากเมื่อเทียบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ-ทหาร ที่แม้ภายหลังจะไม่ได้ทำงานในอาชีพดังกล่าวแล้วก็ยังครอบครองอาวุธปืนได้ เรื่องนี้ตนไม่ได้ตำหนิใคร แต่เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ปืนที่อยู่ในความครอบครองของผู้ก่อเหตุในไทยเป็นอาวุธที่ขายให้โดยเจ้าหน้าที่ที่ทุจริต หรืออดีตเจ้าหน้าที่ที่เข้าถึงปืน นำมาครอบครองส่วนตัวแล้วขายต่อในภายหลัง ดังนั้นหากจะแก้ปัญหานี้ก็ต้องยุติพฤติกรรมการทุจริตของเจ้าหน้าที่ ที่ปล่อยให้มีการนำอาวุธปืนของทางการมาขายต่อในตลาดมืด อย่างไรก็คาม แม้ไทยจะมีอัตราความรุนแรงจากอาวุธปืนค่อนข้างสูงเกือบเท่าสหรัฐฯ แต่ก็ยังน้อยกว่าประเทศแถบลาตินอเมริกา (อเมริกากลางและใต้)

“ลาตินอเมริกามีช่องว่างความเหลื่อมล้ำสูงมาก ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนสูงมาก มันส่งผล โครงสร้างทางสังคมมีส่วนทำให้อาชญากรรมมีอัตราที่สูงและความรุนแรงจากอาวุธปืนที่สูงด้วย ที่ไทยก็กำลังเผชิญกับปัญหานี้เช่นกัน ผมมองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน่าจะสัญญาณเตือนให้รัฐบาลไทยมองเห็นปัญหานี้ ปัญหาคือการเข้าถึงอาวุธปืน ปัญหาคือการมีเจ้าหน้าที่ที่คอร์รัปชั่น ที่เอาปืนไปขายในตลาดมืด”

ประเด็นต่อมา จากเหตุกราดยิงที่เกิดขึ้นใน จ.หนองบัวลำภู ประเทศไทย มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็น “การทำหน้าที่ของสื่อมวลชน” ซึ่งคุณแฟรงค์ยกตัวอย่างกรณีผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าว CNN เข้าไปในสถานที่เกิดเหตุซึ่งถูกกั้นไว้เป็นเขตหวงห้ามตามกฎหมาย ว่า เป็นการกระทำที่ไม่ฉลาด ไม่ควรทำ และในฐานะที่เคยทำข่าวเชิงสืบสวนสอบสวนมาก่อน ต้องย้ำว่า สื่อมวลชนไม่ได้มีสถานะพิเศษกว่าคนอื่นในการฝ่าฝืนกฎหมาย ไม่ว่าจะอยู่ที่ประเทศใดก็ตาม เพราะกฎหมายต้องใช้ปฏิบัติกับทุกคน

แต่ในเรื่องของข้อมูล ไม่มีใครมีสิทธิมาบอกผู้สื่อข่าวหรือนักข่าวว่าอะไรเป็นข้อเท็จจริงอะไรไม่ใช้ นั่นเป็นเรื่องของผู้รับสารที่จะเป็นคนกำหนดว่าการรายงานข่าวนั้นมีความยุติธรรรม ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริง หรือจริงแท้แม่นยำแค่ไหน เพราะว่าทันทีที่บอกว่าเป็นการรายงานข้อเท็จจริงมากกว่าสิ่งอื่นใด แต่สิ่งที่กำลังพยายามทำอยู่จริงๆ คือการมีอิทธิพลหรือส่งผลต่อรูปแบบ-วิธีการการนำเสนอข้อมูล แล้วเสรีภาพของสื่อไม่อยากให้รัฐเข้ามาแทรกแซง

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวควรปฏิบัติหน้าที่อย่างมีจริยธรรมและมีความรับผิดชอบ ต้องยึดมั่นเรื่องนี้อยู่ทุกห้วงขณะ แต่ผู้สื่อข่าวก็มีสิทธิที่จะรายงานข่าวตามที่ตนเองเห็นสมควรเหมาะสม หลายกรณีข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นคือสิ่งที่คนไม่รู้อย่างถ่องแท้ ดังนั้นหน้าที่ของสื่อคือการรายงานให้ทราบข้อเท็จจริงที่ตัวผู้สื่อข่าวรู้ บอกเรื่องราวที่ผู้รับสารไม่รู้ให้ได้รับรู้ แล้วก็ให้พวกเขาเป็นคนตัดสินใจว่าอะไรที่พวกเขาคิดเป็นเรื่องจริง ถูกต้องแม่นยำ หรืออะไรที่พวกเขาคิดว่าไม่ได้เป็นเรื่องจริง นอกจากนั้น สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าวารสารศาสตร์หรือการรายงานข่าวเป็นกระบวนการที่ไม่ได้สมบูรณ์เสมอไป แต่เป็นเรื่องกระบวนการที่จะค้นพบข้อมูลใหม่อยู่ตลอดเวลา 

“ผมเชื่อว่าผู้สื่อข่าวควรมีเสรีภาพในการนำเสนอข่าว ไม่ควรมีใครมาบอกผู้สื่อข่าวอะไรเป็นข้อเท็จจริง อะไรไม่ใช่ ถ้ามีใครอยากคัดค้านข้อมูลเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็คัดค้านสิ่งที่รายงานออกมาได้ แต่แนวความคิดที่ว่ามีใครมาทำหน้าที่เป็นเหมือนตำรวจคอยกำกับว่าอะไรตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง อะไรที่ถูกต้องแม่นยำ อะไรเป็นข้อเท็จจริง อันนี้เป็นปัญหา เพราะว่าเราทุกคนในสังคมมีหน้าที่รับผิดชอบในการกำหนดเองว่าอะไรเป็นข้อเท็จจริง ไม่ใช่มีแค่คนที่มีอำนาจที่ออกมาบอกว่าผู้สื่อข่าวรายงานข่าวบิดเบือน เพราะนั่นเป็นการบ่อนทำลายเสรีภาพของสื่อ” 

อนึ่ง มีข้อถกเถียงว่า ในเหตุความรุนแรงสื่อควรสัมภาษณ์ญาติของผู้สูญเสียหรือไม่ เนื่องจากมีมุมมองว่าการที่สื่อไปสัมภาษณ์ก็เท่ากับเป็นการทำให้พวกเขาโศกเศร้าพราะต้องเล่าเรื่องราวนั้นซ้ำๆ คุณแฟรงค์ ให้มุมมองว่า เมื่อผู้สื่อข่าวรายงานเกี่ยวกับเหตุการณ์แบบนี้ต้องพยายามไม่สร้างบาดแผลหรือความบอบช้ำนั้นอีก ซึ่งมีเทคนิคในการระมัดระวัง หนึ่งในวิธีนั้นคือ การให้ครอบครัวได้มีโอกาส หมายถึงไม่ใช่การยื่นไมค์ใส่ปากแล้วถามใส่ไม่ยั้ง แต่ควรบอกว่า เสียใจกับความสูญเสียที่เกิดขึ้น แล้วถามว่าอยากบอกอะไรหรือไม่ หากไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร 

โดยตนไม่คิดว่าเป็นเรื่องผิดหรือถูกในการสัมภาษณ์คนหลังเกิดเหตุ แต่จะเป็นเรื่องผิดหากยื่นไมค์จ่อปากแล้วก็ต้อนพวกเขาจนมุมในลักษณะที่พวกเขาไม่ได้คาดหวัง บางทีพวกเขาอาจกำลังแสดงอารมณ์ความรู้สึกส่วนตัวที่ไม่อยากให้มีการเผยแพร่ออกไปก็ได้ ดังนั้นการถามขออนุญาตก่อนสัมภารณ์เป็นเรื่องที่เหมาะสมควรทำ บางคนอาจจะตอบตกลง บางคนอาจปฏิเสธ เพราะว่าเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีความสำคัญ ความน่าสยดสยองของเหตุการณ์ก็สำคัญ และไม่ควรนำภาพร่างของผู้เสียชีวิตมานำเสนอ แม้กระทั่งภาพกราฟฟิกที่ทำขึ้น

คุณต้องมีความละเอียดอ่อนในการหาทางจะเล่า/นำเสนอเรื่องราวที่เกิดชึ้นยังไง ผู้สื่อข่าวที่มีประสบการณ์รายงานข่าวเหตุกราดยิงมาก่อน พวกเขาเรียนรู้วิธีการที่จะนำเสนอข่าวยังไงโดยไม่ต้องเข้าไปใกล้ยังที่เกิดเหตุได้ คุณรายงานข่าวจากข้างนอกได้ ภาพบรรยากาศของญาติของเด็กที่เสียชีวิตที่พากันร้องไห้เสียใจหน้าโรงเรียนด้วยกันได้ บอกเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเด็กที่เสียชีวืตในโรงเรียนได้ โดยไม่ต้องเดินเข้าไปภายในพื้นที่ของโรงเรียนก็ได้ 

ผมคิดว่าเราก็ต้องรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ผู้สื่อข่าวก็ต้องใช้ความละเอียดอ่อนต่อวิธีการที่รายงานหรือบอกเล่าเรื่องราว ไม่ว่าเมื่อใดก็ตามที่ต้องมีการรายงานเกี่ยวกับญาติหรือบุคคลอันเป็นที่รักของผู้เสียชีวิตหรือผู้รอดชีวิต รวมถึงผู้ที่ก่อเหตุด้วย เพราะผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ก่อเหตุก็มีครอบครัวเหมือนกัน อาจเป็นลูกหรือน้องชายหรือสามีของใครสักคน ดังนั้น เราก็ต้องมีความเคารพหรือเห็นใจทุกครั้งที่เราสัมภาษณ์บุคคลอันเป็นที่รักหรือญาติของผู้เสียชีวิต เรื่องราวความรุนแรงคือสิ่งที่เราต้องรายงาน ใครที่ต้องออกมารับผิดชอบเรื่องนี้

คุณแฟรงค์ ยังกล่าวถึงประเด็นเหตุดการดยิงที่ จ.หนองบัวลำภู อีกว่า การลงไปพื้นที่ก่อเหตุไปถามญาติผู้เสียชีวิตว่ารู้สึกอย่างไรไม่ใช่การรายงานข่าวที่ดี และการนำเสนอภาพปฏิกิริยาของญาติผู้เสียชีวิตมันเป็นการรายงานที่คุณภาพต่ำ (Cheap Way) ทางที่ดีคือการสร้างความไว้วางใจจากครอบครัว แล้วก็ให้เขาพาไปที่บ้าน พาไปดูเตียงนอน หนังสือเรียน ของเล่นของเด็กที่เสียชีวิต กระเป๋า สัตว์เลี้ยง เพื่อสื่อให้ผู้ฟังหรือผู้ชมเข้าใจถึงความสูญเสีญอันใหญ่หลวงที่เกิดขึ้นจะดีกว่า 

ส่วนสิ่งที่สื่อมวลชนควรตั้งคำถามคือ แม้ผู้ก่อเหตุจะลงมือจากปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิต แต่เหตุใดผู้ก่อเหตุถึงสามารถเข้าถึงอาวุธปืนได้ทั้งที่ไม่ได้อยู่ในขณะปฏิบัติหน้าที่ นั่นหมายถึงคนที่เป็นเจ้าหน้าที่เข้าถึงอาวุธปืนได้ง่ายใช่หรือไม่ นอกจากนั้น หากมองไปยังคนอื่นๆ ที่ก่อเหตุความรุนแรงด้วยอาวุธปืน ในไทย ซึ่งเป็นทราบกันว่าไทยมีอัตราเหตุฆาตกรรมต่อประชากรที่สูงมากกว่าที่อื่นและเกือบเท่าที่สหรัฐฯ คำถามคืออะไรทำให้สถิติสูง มาจากการที่เจ้าหน้าที่ที่ทุจริตลักลอบนำอาวุธปืนของทางการไปขายข้างนอกหรือไม่ เหตุใดจึงไม่มีการควบคุมเรื่องเหล่านี้

อีกด้านหนึ่ง ในยุคดิจิทัลที่ใครๆ ก็สามารถเผยแพร่และส่งต่อเนื้อหาได้ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ดังนั้นทุกคนในสังคมต้องตระหนักอะไรอย่างไรบ้าง คุณแฟรงค์ มองว่า ตอนนี้ทุกคนมีอุปกรณ์ เข้าถึงอินเทอร์เน็ต เป็นผู้สื่อข่าวพลเมืองกันได้ซึ่งเป็นประโยชน์ แพลตฟอร์มสื่อ (Media Platforms) มีบทบาททั้งดีและไม่ดีต่อสังคม การเผยแพร่ข้อมูลก็เป็นเรื่องสำคัญ แต่พื้นที่สื่อก็ต้องติดตามเฝ้าสังเกตตนเองด้วย ไม่ควรนำเข้าข้อมูลเท็จโดยไม่ได้มีการอธิบายว่าข้อมูลนั้นมาจากแหล่งที่เชื่อถือหรือไม่

อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่า แม้แพลตฟอร์มสื่อออนไลน์ขนาดใหญ่อย่างทวิตเตอร์กับเฟซบุ๊กก็เริ่มมีการดำเนินการแบบนี้แล้ว แต่ว่าเป็นการเริ่มดำเนินการภายใต้การถูกกดดันให้ทำ ไม่ได้สมัครใจแต่แรก แต่นี่เป็นทางเดียวที่จะช่วยให้มีการจำกัดข้อมูลเท็จหรือการโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) ที่เผยแพร่โดยกล่าวอ้างว่าเป็นข้อมูลที่แท้จริงถูกต้อง ไม่ให้มีการเผยแพร่ข้อมูลที่มีลักษณะของการโฆษณาชวนเชื่อโดยไม่มีการบอกให้ทราบด้วยการทำข้ออธิบายกำกับ ตนนั้นไม่อยากให้มีการเซ็นเซอร์ แต่ควรมีการทำคำอธิบายกำกับซึ่งสำคัญมาก 

เรื่องของข้อมูลภาพเหมือนกัน ที่มีความรุนแรง อย่างภาพผู้ถูกยิงที่เป็นเด็กที่โรงเรียน หรือภาพการกระทำความรุนแรงของอาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชัง (Hate rime) ที่คุณไม่อยากให้มีการเผยแพร่ส่งต่อ เพราะว่ามันเป็นการเติมเชื้อไฟให้แก่ความุรนแรงเช่นว่า เพราะมันมีคนที่อยากเห็นคนชนกลุ่มน้อยถูกโจมตีแบบนั้น ดังนั้น คุณก็ไม่อยากเห็นอะไรแบบนี้เผยแพร่บนแพลตฟอร์ม 

คุณไม่อยากให้แพลตฟอร์มเหล่านี้เป็นพื้นที่ของการเผยแพร่ข้อมูลหรือถ้อยคำที่สร้างความเกลียดชัง ข้อมูลเท็จ ข้อมูลลวง รวมทั้งความรุนแรง ผมคิดว่าแพลตฟอร์มบางแพลตฟอร์มทำได้ดีขึ้น แพลตฟอร์มใหญ่ๆ ก็มีการเฝ้าสังเกตตัวเองในเรื่องนี้ด้วย ผมคิดว่ามันเป็นการฝ่าฟันที่ยังเกิดขึ้นอยู่ที่ทุกคนจะต้องมาหาทางแก้ไข มันเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อเราทุกคน ผมคิดว่าเราต้องมาร่วมกันสะท้อนในเรื่องนี้

ในช่วงท้ายของการสนทนา คุณแฟรงค์ ให้ข้อสรุปว่า ประเทศไทยอาจจะเผชิญกับการกราดยิงอีก แต่ก็หวังว่าจะไม่มีเหตุการณ์โหดร้ายแบบที่เกิดขึ้นกับเด็กเล็กๆ เมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งเหตุความรุนแรงจากอาวุธปืนในไทยก็เกิดขึ้นมากอยู่แล้ว ส่วนผู้สื่อข่าวก็ควรรู้ตัวได้แล้วว่าไม่ควรผลิตข่าวคุณภาพต่ำที่เน้นเรื่องราวกระตุ้นอารมณ์ แต่ควรถอยมาก้าวนึง แล้วลงทุนผลิตข่าวสารที่กระตุ้นความสนใจ ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ที่ให้เกียรติผู้เสียชีวิต ผู้รอดชีวิต ญาติผู้เสียชีวิต ซึ่งตนมองว่าสำคัญมาก ในขณะเดียวกันก็ต้องรายงานข่าวที่ผู้สื่อข่าวจะรู้สึกภาคภูมิใจ 

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

https://www.bangkokbiznews.com/news/news-update/1033424 (งามไส้ “ดาบตำรวจ” ขโมย “ปืนหลวง” ไปขาย-จำนำ กว่า 150 กระบอก : กรุงเทพธุรกิจ 20 ต.ค. 2565)

https://www.voathai.com/a/dead-including-gunman-in-cincinnati-bank-shooting/4560563.html (เสียชีวิต 4 ราย! เหตุยิงกราดที่ธนาคารกลางเมืองซินซินเนติ : Voice of America 7 ก.ย. 2561)

https://thainews.prd.go.th/th/news/detail/WNFOR6109070020003 (มีเหตุยิงกันเกิดขึ้นภายในธนาคารย่านใจกลางเมืองซินซินเนติรัฐโอไฮโอของสหรัฐ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 4 คน : สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ 7 ก.ย. 2561

https://www.bbc.com/thai/articles/clm8lx797gyo (เหตุกราดยิงศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จ.หนองบัวลำภู ติดอันดับกราดยิงสังหารในโรงเรียนร้ายแรงสุดในโลก : BBC 8 ต.ค. 2565)

https://thestandard.co/nongbua-lamphu-shooting/ (ผบ.ตร. แถลงอดีตตำรวจกราดยิง คาดเมายา เครียดต้องขึ้นศาล ปืนก่อเหตุซื้อเองถูกกฎหมาย : The Standard 6 ต.ค. 2565)

https://www.thaipbs.or.th/news/content/320242 (ผบ.ตร.เผยผลตรวจ อดีต ตร. “กราดยิงหนองบัวลำภู” ไม่พบสารเสพติด – เตรียมตรวจซ้ำ : ThaiPBS 7 ต.ค. 2565)

https://www.thairath.co.th/news/politic/2028231 (ครบรอบ 1 ปี เหตุสะเทือนขวัญ กราดยิงโคราช : ไทยรัฐ 8 ก.พ. 2564)


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 29 ตุลาคม 2565

ยาฆ่าเชื้อ เช่น ด็อกซีไซคลิน ห้ามใช้กับเด็กอายุต่ำกว่า 8 ขวบ เพราะยากลุ่มนี้อาจมีผลทำให้สีของฟันมีสีเหลืองหรือเทาอย่างถาวร

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1pkhz6kyanhf


ชาวบ้านอ่วม เวนคืน 3.2 พันไร่ สร้างสนามบินบึงกาฬ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1vrpst19krtb0


กรมอุตุฯ คาด 29 ต.ค.นี้ ไทยเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเป็นทางการ อากาศเย็นกว่าปีที่แล้ว…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/20qagak2gdxcn


ค่าเงินบาทอาจอ่อนค่าถึง 40 บาทต่อดอลลาร์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2sdclmytgdwnq


ถ้าโอนเงินผิดบัญชี ไม่ต้องตกใจเพียงแค่ทำตาม 3 ขั้นตอนนี้ก็ได้เงินคืน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2dum8wt2lw5u0


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 22 ตุลาคม 2565

9 Steps บริหารดวงตาด้วยวิธีธรรมชาติ บอกลาสายตาสั้น-ยาวใช้ได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2hihd7vf349l0


เข้าห้องน้ำสาธารณะเสี่ยงติดฝีดาษลิง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/f5bckfd9wcg4


 เด็กเคี้ยวใบกวักมรกต เกิดอาการแสบคอ ตัวสั่น ชัก

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/g7zhaj0i382z


“โรคไข้ดิน” ระบาด! ที่ อ.เทพา จ.สงขลา ป่วย 7 ตายแล้ว 5 ราย

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/14c3rxdg9d9h1


แนะสวมหน้ากากต่อ ป้องกันสายพันธุ์ XBB เหตุแพร่เร็ว – ดื้อต่อภูมิคุ้มกัน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2k9ae5by193xi


ลงโปรแกรมเถื่อน นอกจากผิดกฎหมายแล้ว ยังเพิ่มความเสี่ยงให้เครื่องคอมพิวเตอร์ด้วย

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1jvdzu6xlzfx3


 ระวัง! คนร้ายสุ่มเลขบัตรเครดิต/เดบิต ชำระเงินออนไลน์

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2x34tu4suyzqs


มูลนิธิกระจกเงา และนิ่ม เอ็กเพรส #รับบริจาคเสื้อผ้ามือสอง ตั้งแต่วันนี้ – 29 ธ.ค. 65

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1tzl8foz1a9j1


“กล้วย” ช่วยให้ผมสวยน้ำมะนาวนั้น มีประโยชน์ยิ่งในการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ …จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1sg36t7di4dve


มีงานวิจัยพบว่าเฟซบุ๊กมีส่วนทำให้คนปฏิเสธเรื่องโลกร้อน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3a15yggddinzm


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 16 ตุลาคม 2565

กด *3370# ช่วยเพิ่มแบตเตอรี่โทรศัพท์ 50 เปอร์เซ็นต์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2wltc6kpyyigb


กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศ 1 ต.ค. 65 เป็นต้นไป ยกเลิก “โควิด-19” จากโรคติดต่ออันตรายให้เป็นโรคติดต่อต้องเฝ้าระวัง

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1ifrb1e3g8f69


อย.เรียกคืนบะหมี่ “Mie Sedaap” ในไทยเสี่ยงพบสารเอทิลีนออกไซด์ ที่พบเป็นส่วนประกอบของยาฆ่าแมลง ไม่สามารถใช้สำหรับอาหารได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/4cngpgdtxy7s


เตือนนักท่องเที่ยวเข้าไปในโพรงต้นไม้ใหญ่เสี่ยงติดเชื้อราจากมูลค้างคาว

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/24qqyk8sm29ag#_=_


หมอมนูญ เตือนฟันผุ อย่าปล่อยไว้ อาจส่งผลเกิดหนองในช่องเยื่อหุ้มปอด อาจทำให้ป่วยเป็นโรคฮิสโตพลาสโมซิส (Histoplasmosis)

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/16ptrulcdp3at#_=_


สมุนไพรใส่ขวดสุดอันตราย ยอดยาจีน โสมกลั่น กระดูกเสือ ยาดองสองเพศ ยาแก้ซางตานขโมย และยาธาตุเสริมคุณ เข้าข่ายเป็นยาปลอมที่ไม่ได้รับอนุญาต สรรพคุณทำตับพัง อันตรายถึงชีวิต…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1603jf31d5h34#_=_


โทรสายด่วน เบอร์ 112 ผ่าวิกฤตเหตุฉุกเฉินไทยได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2v09bsqhh1b5l


ขายยาผ่านเน็ตผิดกฎหมาย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2lklxng819w2z


ยาสามัญประจำบ้าน สามารถวางขายในร้านขายของชำได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1s0zlzwf0k0bo


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 9 ตุลาคม 2565

หากขึ้นรถต้องลดกระจกเพื่อระบายสารพิษ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/37o8s76i8dt6e


กระเทียมป้องกัน Covid-19 ได้เหมือนวัคซีน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/30jioi4e524ed


ยื่นภาษีมีปัญหาผ่านเว็บไซต์กรมสรรพกร โดยเว็บไซต์นี้ https://www.afdw7.com…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2vf7zy00lynmk


 ‘ดีอาร์คองโก’ ประกาศการแพร่ระบาดครั้งใหม่ของเชื้ออีโบลา

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3bvi7rai86beu


หวีผมมีส่วนช่วยเสริมการไหลเวียนเลือดบริเวณศีรษะ ลดความเครียดทำให้จิตใจเบิกบาน ป้องกันและรักษาอาการปวดศีรษะ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1386lhnxah671


อันตรายจากสารปยเปื้อนเมื่อใช้กระดาษทิชชูซับน้ำมันของทอด…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/31kzqj70l4qrb


ความดันสูงให้กินข้าวโอ๊ต งดบุหรี่ และความเค็ม…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/31jqy06a53573