14 มิ.ย. 2566 สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ร่วมกับ มูลนิธิฟรีดริชเนามัน (ประเทศไทย) จัดกิจกรรมรับฟังความคิดเห็น เพื่อสร้างความเป็นธรรมในสังคม (PLACE OF JUSTICE) และเสวนาหัวข้อ “ อาชญากรรมไซเบอร์กับบทบาทผู้ตรวจการแผ่นดินในยุคดิจิทัล ” ภายใต้โครงการส่งเสริมธรรมาภิบาลและการมีส่วนร่วมของภาครัฐและภาคประชาสังคม ณ ห้อง 901-902 สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ศูนย์ราชการฯ ถ.แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ และถ่ายทอดสดผ่านเฟจเฟซบุ๊ก สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน
คมขวัญ กาญจนกุญชร รองเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมครั้งนี้ว่า มุ่งหวังให้ความรู้เกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพของประชาชนต่อการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐ การดำเนินงานตามอำนาจหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดิน อันเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและสังคม ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการดำเนินงานของผู้ตรวจการแผ่นดิน การเสนอความคิดเห็นและแนวทางแก้ปัญหาที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมให้แก่ประชาชน
“ การดำเนินกิจกรรมในครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินและมูลนิธิฟรีดริชเนามัน (ประเทศไทย) รวมถึงเครือข่ายหน่วยงานจากภาคส่วนต่างๆ โดยได้หยิบยกปัญหาความเดือดร้อนที่มีผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้างที่ได้รับจากอาชญากรรมไซเบอร์ เช่น การดูดเงินจากบัญชีเงินฝากธนาคาร ข่าวปลอม การหลอกลวงผ่านรูปแบบต่างๆ ทางออนไลน์ ” รองเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าว
จากนั้นจึงเป็นช่วงเสวนาในหัวข้อ “ อาชญากรรมไซเบอร์กับบทบาทผู้ตรวจการแผ่นดินในยุคดิจิทัล ” โดย รศ.อิสสรีย์ หรรษาจรูญโรจน์ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ยกตัวอย่างอาชญากรรมไซเบอร์หลากหลายประเภท เช่น “Spoofing” การเข้าสู่เครื่องที่อยู่ระยะไกลโดยการปลอมแปลงที่อยู่อินเตอร์เน็ตของเหยื่อที่เข้าถึงได้ง่าย “Sniffer” การดักจับข้อมูลที่ผ่านระบบเครือข่ายทำให้ทราบรหัสผ่านของบุคคลอื่น “Modification” การเปลี่ยนแปลงข้อมูลโดยดักข้อมูลจากผู้ส่งแล้วแก้ไขก่อนส่งต่อให้ผู้รับ ทำให้ผู้รับได้ข้อมูลผิดพลาด “Denial of Service” การส่งข้อมูลขยะจำนวนมากไปหาเป้าหมายเพื่อให้ระบบล่ม “Delay” การหน่วงเวลา ทำให้ Server ทำงานได้ช้าลง “Remote Control” แฝงตัวเข้ามาในระบบแล้วยึดครองเพื่อควบคุมจากระยะไกล “Identity Theft” การนำข้อมูลของเหยื่อไปสวมรอย เช่น นำไปเปิดบัญชีธนาคาร “Phishing” การสร้างเว็บไซต์ปลอมหลอกเหยื่อให้กรอกข้อมูลส่วนบุคคล ไปจนถึง “Dark Web” หรือเครือข่ายอินเตอร์เน็ตใต้ดินที่เป็นแหล่งรวมสิ่งผิดกฎหมาย “Ransomware” มัลแวร์ยึดระบบเพื่อเรียกค่าไถ่ หากไม่จ่ายเงินให้คนร้ายก็ไม่สามารถใช้งานระบบได้ เป็นต้น
นอกจากตัวอย่างข้างต้นของอาชญากรรมไซเบอร์ที่กระทำต่อวัตถุแล้ว ยังมีอาชญากรรมไซเบอร์ที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจและลุกลามสู่สังคม เช่น “Information Operation (IO)” สร้างเนื้อหาแย่งชิงความเชื่อมวลชน ครอบงำความจริงให้คนในสังคมเข้าใจตามทิศทางที่ต้องการ “Hoax” การสร้างข่าวหลอกลวงเพื่อสร้างยอดผู้ชม “Psychological on cyber warfare” การทำสงครามปฏิบัติการทางจิตวิทยาบนสื่ออินเตอร์เน็ตเพื่อปลุกระดมทางการเมืองหรือสร้างอาชญากรรมแห่งความเกลียดชัง
“ อาชญากรรมไซเบอร์สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนในวงกว้าง กระทบในหลายมิติทั้งเศรษฐกิจและสังคม เรื่องของความมั่นคงและความปลอดภัยในชีวิต ทรัพย์สิน เอาง่ายๆ เลย อยากให้ไปตรวจสอบในเรื่องของการถูกดูดเงินจากบัญชีธนาคาร เรื่องของข่าวปลอมที่เกิดขึ้นว่าเราจะมีวิธีดำเนินการอย่างไรเพื่อแก้ไข เรื่องการหลอกลวงออนไลน์ผ่านคอลเซ็นเตอร์ เรื่องเว็บสินค้าออนไลน์ หาคู่ออนไลน์ สื่อลามกออนไลน์ พนันออนไลน์ ทั้งหมดนี้คือความเสี่ยง และเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงเป็นอย่างยิ่ง ” รศ.อิสสรีย์ กล่าว
พ.ต.อ.เจษฎา บุรินทร์สุชาติ ผู้กำกับการกลุ่มงานรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ที่มีระบบแจ้งความออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.com ข้อมูลวันที่ 1 มี.ค. 2565 – 31 พ.ค. 2566 พบการร้องทุกข์หรือแจ้งเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดทางออนไลน์ 270,306 เรื่องจากทั้งหมด 296,243 เรื่อง
ประเภทอาชญากรรมออนไลน์ตามลักษณะที่พบในประเทศไทยแบ่งเป็น 14 ประเภท “ เรื่องที่มีการร้องทุกข์เข้ามาส่วนใหญ่คือการฉ้อโกงหรือหลอกลวง ” ไล่ตั้งแต่ “ อันดับ 1 หลอกซื้อ-ขายสินค้าออนไลน์ ” อาทิ ถูกหลอกโอนเงินไปยังบัญชีที่ไม่ใช่เป็นผู้ขายสินค้า ซื้อของแล้วไม่ได้ของ ซึ่งสร้างความเสียหายประมาณ 1 พันล้านบาทต่อปี “ อันดับ 2 หลอกชวนทำงาน ” วิธีการของมิจฉาชีพคือหลอกให้เหยื่อโอนเงินไปให้โดยอ้างว่าเป็นค่าสมัคร ค่าตรวจสอบประวัติ ฯลฯ เหยื่อมักเป็นคนหาเช้ากินค่ำที่ต้องการอาชีพเสริม “ อันดับ 3 หลอกกู้เงิน ” หลายคนต้องการเงินกู้เมื่อเจอโฆษณาทางออนไลน์จึงหลงเชื่อ ซึ่งนอกจากจะไม่ได้เงินกู้แล้วยังต้องเสียเงินที่มีอยู่ไปอีก โดยมิจฉาชีพจะใช้อุบายให้โอนเงินอ้างเป็นค่าดำเนินการต่างๆ นานา เช่นเดียวกับการหลอกชวนทำงาน “ อันดับ 4 หลอกลงทุน ” ข้อสังเกตคือเหยื่อมิจฉาชีพประเภทนี้มักเป็นคนมีการศึกษาสูงและมีหน้าที่การงานดี โดยมิจฉาชีพใช้อุบายสร้างรูปแบบการลงทุนที่ดูซับซ้อนแต่ฉลาดหลักแหลมน่าเชื่อถือ เมื่อเหยื่อหลงเชื่อวางเงินลงทุนไปจนท้ายที่สุดพบว่าถอนเงินไม่ได้ และ “ อันดับ 5 ข่มขู่ทางโทรศัพท์ ” ก็คือแก๊งคอลเซ็นเตอร์
ทั้งนี้ “ อาชญากรรมไซเบอร์ไม่โดนกับตัวก็ไม่รู้ ” หรือบางคนคิดว่ารู้แล้วแต่จริงๆ คือไม่รู้ในสิ่งที่กำลังจะถูกหลอก หากมีเวลาก็อยากให้ศึกษาหาความรู้ไว้ และฝากแนวทางระมัดระวัง “ ดูจากใจคนเอง ไม่โลภ ไม่กลัว ไม่หลง มีสติ ” เจออะไรที่ไม่รู้จักหรือที่แปลกๆ อย่าเพิ่งปักใจเชื่อ เพราะคนร้ายจะหลอกทุกวิธีการ อะไรที่คิดว่าไม่น่าจะหลอกได้ก็หลอก และ “ ถ้าพลาดท่าเสียเงินไปแล้วก็อย่าไปทำให้เสียเพิ่มอีก ” หลายคนเสียดายเงินที่เสียไปครั้งแรก ถึงขั้นไปเอาเงินทั้งหมดที่มีหรือไปกู้หนี้ยืมสินมา สุดท้ายแทนที่จะเสียน้อยกลายเป็นเสียมาก
อนึ่ง สิ่งที่ตนเป็นห่วงคือ “ ช่องว่างระหว่างวัย ” คนรุ่นใหม่ใช้เทคโนโลยีกันคล่องแคล่วในขณะที่ผู้สูงอายุตามไม่ทัน และเมื่อใช้ไม่เป็นก็ไม่ค่อยอยากถามลูกหลาน หรือบางทีลูกหลานก็ไม่อยากตอบ สิ่งที่อยากเสนอแนะคือ “ คุยเรื่องเทคโนโลยีให้มากขึ้น ” สร้างความตื่นตัว เช่น รู้จักแพลตฟอร์ม อวตาร (การใช้สื่อสังคมออนไลน์แบบปกปิดตัวตน) รอยเท้าดิจิทัล (ทำอะไรไว้บนโลกออนไลน์ย่อมมีร่องรอยทิ้งไว้เสมอไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าใดก็ตาม) หรือข่าวตำรวจจับมิจฉาชีพออนไลน์ ลงทุนอย่างไรไม่เสี่ยงถูกหลอก ฯลฯ เรื่องเหล่านี้สามารถคุยกันได้ หรือแม้แต่การส่งต่อข้อมูลก็ต้องระวัง เพราะคนรับข้อมูลหากมองว่าส่งจากบุคคลที่น่าเชื่อถือก็อาจหลงเชื่อ
“ สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะเตือนซึ่งเห็นจากการมาแจ้งของประชาชน หากท่านคิดว่าถูกหลอก เสียไปน้อยก็ยอมเสียไป อย่าไปคิดว่าต้องหลงเชื่อเขา โอนเพิ่มไปอีก ถ้าตัดตรงนี้ได้ ตัดใจตัวเองได้ คิดว่าตัวเองพลาดไปแล้วก็หยุดโอน แล้วก็ไปหาข้อมูลว่ามันคืออะไร แล้วเอาข้อมูลมาแจ้งความ ตรงนี้ก็จะช่วยป้องกันตัวท่านได้ แล้วเอาเรื่องนั้นเป็นประสบการณ์มาเล่าให้คนรอบข้างท่านฟัง ก็จะช่วยกันสร้างภูมิคุ้มกันให้คนทั้งประเทศ อาชญากรรมทางเทคโนโลยีก็จะน้อยลง ” พ.ต.อ.เจษฎา กล่าว
สัจจะ โชคบุญส่งสวัสดิ์ ผู้อำนวยการกองป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดทางเทคโนโลยีสารสนเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ยกตัวอย่างมิจฉาชีพออนไลน์ คือการทำเพจเฟซบุ๊กปลอมแอบอ้างเป็นบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ ทั้งที่เลิกกิจการไปแล้วหรือยังประกอบกิจการอยู่ ลงโฆษณาขายสินค้าบ้าง รับสมัครพนักงานบ้าง หลอกร่วมลงทุนบ้าง วิธีสังเกตง่ายๆ คือหากเป็นเพจจริงของบริษัทนั้นๆ จะมีเครื่องหมายถูก หรือดูที่ระยะเวลาการเปิดเพจ เพราะหากเป็นเพจปลอมมักเพิ่งเปิดได้ไม่นาน รวมถึงมียอดผู้ติดตามและจำนวนความคิดเห็นจากประชาชนน้อยผิดวิสัยแบรนด์ดัง
ทั้งนี้ รัฐบาลให้ความสำคัญกับปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์ โดยเมื่อช่วงปลายปี 2565 มีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้กระทรวงดิจิทัลฯ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ร่วมกันแก้ไข จนออกมาเป็น พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 เนื่องจากแต่ละหน่วยงานมีกฎหมายของตนเอง แต่ก็ยังมีช่องว่างอยู่ เช่น ปกติแล้วผู้เสียหายในคดีอาชญากรรมต้องไปแจ้งความ ณ สถานีตำรวจที่รับผิดชอบท้องที่เกิดเหตุ ซึ่งเมื่อเป็นคดีทางออนไลน์ก็เป็นความยากลำบากของประชาชน บางทีเกิดข้ามจังหวัดก็มี จึงแก้ไขให้สามารถแจ้งความได้ทุกท้องที่หรือผ่านระบบแจ้งความออนไลน์ มีบทลงโทษ “ บัญชีม้า-ซิมม้า ” ผู้รับจ้างเปิดบัญชีธนาคาร รับจ้างเปิดใช้งานซิมโทรศัพท์มือถือ หากบัญชีหรือซิมนั้นถูกนำไปใช้ทำสิ่งผิดกฎหมาย ตลอดจนการให้อำนาจธนาคารยับยั้งธุรกรรมทางการเงินบัญชีต้องสงสัยกรณีมีผู้เสียหายร้องทุกข์ว่าตกเป็นเหยื่อถูกหลอก หรือธนาคารตรวจพบธุรกรรมที่ดูน่าสงสัย เพื่อสกัดกั้นการโอนย้ายเงินโดยมิจฉาชีพ
“จะมีส่วนที่ทำได้และส่วนที่ต้องรอพัฒนา ส่วนที่ทำได้เลยก็ตามมาตรา 7 มาตรา 6 ซึ่งยังคุยกันอยู่ว่าเหตุอันต้องสงสัยเราจะเอาอะไรเป็นเหตุ เพราะต้องเข้าใจเจ้าหน้าที่ หากไปยับยั้งโดยที่มันไม่ใช่ เจ้าหน้าที่ธนาคารบางท่านอาจจะขาดประสบการณ์ เพราะโทรไปคอลเซ็นเตอร์ก็ยังไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ ก็มีการอบรมสร้างมาตรฐาน จนสุดท้ายก็จะเป็นเบอร์เดียวให้ประชาชน เพราะตอนนี้เขาแยกตามธนาคาร ตรงนี้ก็จะให้ความมั่นใจและความรวดเร็วที่จะดูแลประชาชน” ผอ.กองป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดทางเทคโนโลยีสารสนเทศ กระทรวงดิจิทัลฯ กล่าว
สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง โคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า ย้อนไป 20 ปีก่อน คนมองอินเตอร์เน็ตเหมือนดินแดนในอุดมคติซึ่งผู้คนจะได้มีเสรีภาพและโอกาสใหม่ๆ แต่เมื่อมีคนเข้ามาอยู่ในพื้นที่นี้มากขึ้นก็เป็นธรรมดาที่จะมีอาชญากรเข้ามาด้วย จึงต้องมีการสร้างภูมิคุ้มกันควบคู่ไปกับการบังคับใช้กฎหมาย ทั้งนี้ มีคำว่า Information Disorder หรือความผิดปกติของข้อมูลข่าวสาร หลายคนอาจเรียกว่า Fake News หรือข่าวลวง ซึ่งเป็นคำที่แคบเกินไปและทำให้เข้าใจผิด เพราะคำว่า News หรือข่าว ตามหลักวารสารศาสตร์ต้องประกอบสร้างด้วยข้อเท็จจริง เพราะหากเป็น Fake หรือเรื่องหลอกลวง ก็ไม่มีคุณค่าเป็นข่าวตั้งแต่แรก แต่เป็น Information หรือข้อมูล
ซึ่งหาก Information ผิดเพี้ยนไป ก็จะกลายเป็นคำว่า Disinformation หมายถึงข้อมูลบิดเบือนที่มีเจตนาและเป็นเจตนาที่ไม่ดี แต่หากเป็นข้อมูลที่ทำให้เข้าใจผิดแต่ไม่ได้เกิดขึ้นโดยเจตนา จะเรียกว่า Misinformation และหากนำข้อมูลจริงมาใช้หลอกลวงผู้อื่น เช่น นำรูปภาพและข้อมูลของบุคคลอื่นมาบิดเบือน เรียกว่า Malinformation หมายถึงการนำข้อมูลไปใช้ในทางที่ผิด ทั้งนี้ ในสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 มีคำว่า Infodemic เป็นการรวมกันระหว่างคำว่า Information กับ Pandemic (หรือ Epidemic) หมายถึงข้อมูลข่าวสารที่แพร่กระจายเหมือนโรคระบาด และในจำนวนนี้ก็มีข้อมูลเท็จหรือข้อมูลบิดเบือนด้วย ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจของคน
สำหรับการป้องกันการตกเป็นเหยื่อข้อมูลลวง ต้องมีทักษะในการตรวจสอบ เช่น คนรุ่นใหม่อาจต้องแนะนำผู้ใหญ่ในบ้านถึงการใช้เครื่องมือ อาทิ ใช้แพลตฟอร์มโคแฟคที่มีฐานข้อมูลข่าวลวง หรือสอนวิธีดูความน่าเชื่อถือของเพจเฟซบุ๊ก ทักษะเหล่านี้ต้องเร่งเสริมสร้างอย่างเร่งด่วน หรือหากเป็นเด็กและเยาวชนก็ต้องมีหลักสูตรในระบบการศึกษา อย่างที่ประเทศฟินแลนด์ หลักสูตรไปไกลกว่า Digital Literacy หรือการรู้เท่าทันเทคโนโลยีดิจิทัล โดยเป็น Digital Intelligence หรือความฉลาดทางดิจิทัล ซึ่งเป็นขั้นสูงในการรับมือ เนื่องจากมีทั้งเทคโนโลยี Deepfake สามารถปลอมแปลงภาพและเสียง AI หรือปัญญาประดิษฐ์ จนเรื่องจริง-ลวงแทบจะแยกได้ยากขึ้นเรื่อยๆ
“ ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับช็อปออนไลน์ ส่วนตัวนอกจากจะใช้หลักของถูก-ของดี-ของฟรีไม่มีในโลกแล้ว ถ้ามัน Too good to be true ( ดูดีเกินกว่าจะเป็นจริงได้) มันก็ไม่น่าจะใช่ ต้องเตือนตัวเองอย่างนี้ อะไรที่มันดูราคาถูกเกินไป มันดูโอ้โห ! ที่พักผ่อนหรูหราไฮโซเลย แต่หลับคืนละพัน คืนละพันสอง หรือห้าร้อย มันก็มีแนวโน้มจะ Too good to be true แนวโน้มจะถูกหลอกแน่นอน อาจจะต้องใช้หลักวิธีการยับยั้งชั่งใจตรงนี้ ” สุภิญญา กล่าว
ในช่วงท้ายยังมีการบรรยายเรื่อง “ รู้ทันการถูกละเมิดสิทธิส่วนบุคคลทางไซเบอร์ ” โดย กุลธิดา สามะพุทธิ บรรณาธิการ โคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวถึงข้อมูลเท็จ 7 ประเภท 1. Satire & Parody หรือการเสียดสีล้อเลียน แม้ไม่ตั้งใจก่ออันตรายแต่ก็อาจมีผู้หลงเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง 2. False Connection พาดหัวกับเนื้อหาไปกันคนละทาง 3. Misleading Content ข้อมูลเท็จที่มีเจตนาชี้นำให้เข้าใจผิด 4. False Context ข้อมูลจริงแต่ผิดบริบท 5. Imposter Content สวมรอยเป็นบุคคลอื่น 6.Manipulated Content ตกแต่งภาพ-ตัดต่อคลิปวีดีโอเพื่อสร้างเรื่องเท็จ และ 7. Fabricated Content กุเรื่องใหม่ทั้งหมดเพื่อหลอกลวง
อย่างไรก็ตาม มีความท้าทายในการตรวจสอบ 1.ปริมาณข้อมูลมหาศาลมาก ไม่สามารถหักล้างหรือป้องกันเรื่องเท็จได้ทั้งหมด 2.เรื่องนั้นเป็นมากกว่าข่าวลวง หมายถึงเป็นความจริงที่ถูกดัดแปลงปรุงแต่งให้เกิดความเข้าใจผิด แต่ก็ไม่สามารถฟันธงได้ว่าจริงหรือเท็จ 3.ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร ขึ้นชื่อว่าปฏิบัติการย่อมมีเครื่องมือและการทำงานอย่างเป็นระบบ จึงไม่ง่ายที่จะรับมือ และ 4.คนไม่สนใจความจริง เพราะต่างก็เลือกเชื่อแต่ในสิ่งที่อยากเชื่อ บางเรื่องรู้ว่าเป็นเท็จแต่ก็ยังเผยแพร่ต่อเพราะสามารถใช้โจมตีบุคคลที่เราไม่ชอบได้
“ ขอฝากข้อเสนอแนะ 3 ข้อต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ก็คือ 1. เรื่องการรับมือ มันไม่ใช่แค่เรื่องการตั้งศูนย์ต้านข่าวปลอมประจำหน่วยงานหรือชี้แจงข้อเท็จจริงเป็นเรื่องๆ เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับหน่วยงานของเราอีกต่อไป มันเป็นภารกิจร่วมกันของทั้งภาคประชาชน ภาครัฐทุกหน่วยงาน เราต้องสร้างระบบนิเวศออนไลน์ที่ไม่เอื้อต่อการผลิตและกระจายข่าวเท็จ ต้องช่วยกันสร้างภูมิคุ้มกันและความรู้เท่าทันของประชาชนต่อข่าวลวง 2.แต่ละหน่วยงานควรวิเคราะห์ผลกระทบของ Disinformation ในมิติที่ตรงกับภารกิจของตัวเอง อย่างกรณีของผู้ตรวจการแผ่นดิน คงต้องมาวิเคราะห์ว่า Disinformation เป็นอุปสรรคต่อการอำนวยความสะดวกและการให้ความเป็นธรรมประชาชนอย่างไร ถ้าเรารู้ผลกระทบในมิติที่เกี่ยวกับงานของเราแล้ว เราก็จะวางการรับมือได้ตรงจุด และ 3.ข้อสุดท้ายใส่เครื่องหมายคำถามไว้ เพราะไม่แน่ใจว่าท่านจะทำได้หรือเปล่า คือตรวจสอบปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานรัฐ เพราะที่ผ่านมามีประชาชนหรือการอภิปรายในสภาก็มีการพูดถึงปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารที่หน่วยงานรัฐเป็นผู้กระทำ คือตั้งข้อสังเกตว่ามันมีจริงหรือเปล่า ” กุลธิดา กล่าว
พริม มณีโชติ ทีมบรรณาธิการ โคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวถึงปรากฏการณ์ Echo Chamber หรือห้องเสียงสะท้อน ที่หมายถึงเรื่องราวเดียวกันแต่บุคคลแต่ละคนจะมีมุมมองต่างกันขึ้นอยู่กับการเลือกแหล่งรับข้อมูลข่าวสาร เช่น เคยมีการสำรวจประเด็นไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีนหรือไม่กับชาวมาเลเซีย พบว่า หากเป็นกลุ่มชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน จะเชื่อเรื่องจีนเดียวหรือไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีนมากที่สุด ตรงข้ามกับชาวมาเลเซียเชื้อสายอินเดียที่จะเชื่อเรื่องดังกล่าวน้อยที่สุด เป็นต้น
เช่นเดียวกับนโยบายควบคุมชาวอุยกูร์ในมณฑลซินเจียงของจีน ที่พบว่า ชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนเป็นกลุ่มที่มองว่าเป็นเพียงการปรับทัศนคติหรือให้การศึกษาใหม่ มากกว่าการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และละเมิดสิทธิมนุษยชนมากที่สุด ซึ่งที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากการเลือกช่องทางการรับข้อมูลของคนแต่ละเชื้อชาติแตกต่างกัน ตั้งแต่เรื่องบันเทิงไปจนถึงข่าวสาร นอกจากนั้น ยิ่งระยะเวลาผ่านไปนานเท่าใดก็มีโอกาสเกิดความจริงชุดใหม่ในกลุ่มของตนเองมากขึ้น อาทิ เคยมีการสอบถามว่าเหตุการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ฝ่ายใดสมควรถูกกล่าวโทษมากที่สุด แล้วพบว่า เมื่อเวลาผ่านไป ชาวญี่ปุ่นมองไปที่รัสเซีย แต่ชาวจีนกลับมองไปที่สหรัฐอเมริกา
“ สิ่งที่เราเห็นจากการนำเสนอในวันนี้ เราได้เห็นว่า Misinformation เพียงแค่เรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เป็นหลัก อาจส่งผลต่อมุมมองการตัดสินใจ ความเชื่อและความคิดในเรื่องอื่นๆ ยิ่งเมื่อทิ้งระยะเวลานานไป ไม่สามารถเคลียร์ข้อสงสัยได้ครบถ้วน เพราะหลายครั้ง Misinformation มีบางส่วนเป็นเรื่องจริง เกิดขึ้นจริงๆ ทิ้งข้อสงสัยไว้นานวันเข้า แล้วเราอยู่ใน Echo Chamber เดิมๆ เราจะพบว่าเราได้เกิดความจริงขึ้นมาใหม่ในกลุ่ม Echo Chamber ของเรา ในกลุ่มไลน์ครอบครัว กลุ่มไลน์คอนโดของเรา ดังนั้นการตรวจสอบข้อมูล ข้อเท็จจริง จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ยิ่งทำเร็วยิ่งกระทบน้อย ยิ่งตัดตอนได้เร็ว ” พริม กล่าว
-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-