ทำนาย 8 ข่าวลวง-ความเข้าใจผิด ในการเลือก สว.2567

“ระบบที่ซับซ้อน” “ระเบียบที่ไม่ชัดเจนและเข้าใจยาก” และ “ความทรงจำที่ทับซ้อนกับการเลือกตั้ง สส.” เป็นปัจจัยที่ทำให้ รัชพงษ์ แจ่มจิรไชยกุล เจ้าหน้าที่โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) วิเคราะห์ว่าการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในช่วง 2 เดือน นี้ (11 พฤษภาคม – 2 กรกฎาคม 2567) จะมีข้อมูลที่สร้างความเข้าใจผิดและข่าวลวงเกิดขึ้นไม่น้อย

“ผมคิดว่าข่าวลวงที่เกิดขึ้นในการเลือก สว. อาจจะไม่ได้เกิดจากการตั้งใจปล่อย แต่เกิดจากความเข้าใจผิด ซึ่งเป็นผลพวงจากระบบที่ซับซ้อน เข้าใจยาก…ยิ่งเข้าใจยาก ความเข้าใจผิดก็ยิ่งเกิดขึ้นได้ง่าย” รัชพงษ์ให้สัมภาษณ์กองบรรณาธิการโคแฟคเมื่อ 15 พฤษภาคม 2567 โดยวิเคราะห์จากการศึกษากฎหมายและระเบียบว่าด้วยการเลือก สว. 2567 อย่างละเอียดและจากการติดตามความเคลื่อนไหวทางการเมืองในหลายมิติ

ในการตรวจสอบข้อเท็จจริง (fact check) มีการแบ่งข้อมูลข่าวสารเป็น 3 ประเภทตามเจตนาการผลิตและเผยแพร่ ได้แก่ misinformation คือ ข้อมูลผิด ที่ผู้สร้างหรือเผยแพร่เชื่อว่าเป็นความจริงโดยบริสุทธิ์ใจไม่มีจุดประสงค์ร้าย disinformation คือ ข้อมูลเท็จ ที่ผลิตและเผยแพร่โดยเจตนาร้าย เพื่อสร้างความเสียหาย ถ้าเป็นไปเพื่อการโจมตีทางการเมืองเรียกว่า political disinformation และ malinformation คือ ข้อมูลจริงที่เผยแพร่โดยมีเจตนาสร้างความเสียหาย เช่น การปล่อยข้อมูลส่วนบุคคล ภาพหลุด คลิปหลุด ข้อความสนทนาส่วนตัว

รัชพงษ์ แจ่มจิรไชยกุล จากไอลอว์ วิเคราะห์ว่าในการเลือก สว. เราจะเจอกับข้อมูลเท็จที่เกิดจากความเข้าใจผิดมากกว่าข่าวลวงที่จงใจปล่อยโดยเจตนา

หากเป็นไปตามที่รัชพงษ์วิเคราะห์ สิ่งที่เราจะเจอมากที่สุดในการเลือก สว. ครั้งนี้คือข้อมูลที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากความเข้าใจผิดของผู้คน หรือ misinformation แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะมีการจงใจเผยแพร่ political disinformation เพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองบางอย่าง

ต่อไปนี้คือข่าวลวงและข้อมูลที่สร้างความเข้าใจผิด 8 ประเด็น ที่รัชพงษ์ทำนายว่าจะเกิดขึ้นในช่วง 2 เดือนของกระบวนการได้มาซึ่ง สว. ชุดใหม่ 200 คน  

ข่าวลวง #1: ห้ามผู้สมัคร สว. แนะนำตัวว่าเป็นผู้สมัคร

กฎหมายบอกว่า: ผู้สมัครแนะนำตัวเองได้ แต่ต้องเป็นไปตามระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2 ซึ่งระบุว่าผู้สมัครสามารถบอก ชี้แจง หรือแจกเอกสารแนะนำตัวเพื่อให้ผู้สมัครอื่นรู้จักได้ โดยเอกสารแนะนำตัวต้องมีความยาวไม่เกิน 2 หน้ากระดาษ A4 ระบุข้อมูลส่วนตัว รูปถ่าย กลุ่มที่ลงสมัคร หมายเลขผู้สมัคร ประวัติการศึกษา ประวัติและประสบการณ์ในการทำงาน แต่ในการเผยแพร่เอกสานมีข้อห้าม เช่น

  • ห้ามแจกเอกสารแนะนำตัวด้วยการวาง โปรย หรือติดประกาศในที่สาธารณะ และห้ามแจกในสถานที่เลือก สว.
  • ห้ามแนะนำตัวทางวิทยุโทรทัศน์ วิทยุกระจายเสียง เคเบิลทีวี สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อโฆษณาทางดิจิทัล
  • ห้ามแนะนำตัวโดยการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน

ข่าวลวง #2: ห้ามผู้สมัคร สว. แนะนำตัวในโซเชียลมีเดีย

กฎหมายบอกว่า: เดิมที กกต. ห้ามผู้สมัครแนะนำตัวในโซเชียลมีเดียจริง โดยระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 ฉบับที่ 1 ลงวันที่ 25 เมษายน 2567 ระบุว่าผู้สมัครแนะนำตัวโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ “โดยให้ใช้ข้อความตามเอกสารแนะนำตัว” และ “เผยแพร่แก่ผู้สมัครอื่นในการเลือกเท่านั้น” ซึ่งหมายความว่าการแนะนำตัวว่าตัวเองเป็นผู้สมัคร สว. ในช่องทางสาธารณะ โซเชียลมีเดีย หรือการแนะนำตัวในที่สาธารณะนั้นทำไม่ได้

แต่ต่อมา กกต. ได้ออกระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 ฉบับที่ 2 ลงวันที่ 14 พฤษภาคม 2567 แก้ไขข้อห้ามดังกล่าว โดยระบุว่า “ผู้สมัครสามารถแนะนำตัวโดยวิธีการอิเล็กทรอนิกส์ โดยให้ใช้ข้อความตามเอกสารแนะนำตัว ซึ่งประชาชนอาจเข้าถึงข้อมูลนั้นด้วยก็ได้”

นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ยังได้ชี้แจงสื่อมวลชนเรื่องการแก้ไขระเบียบแนะนำตัวผู้สมัครเมื่อ 14 พฤษภาคม ว่า

“กกต. ได้เพิ่มช่องทางให้ประชาชนได้มีส่วนรับรู้และเข้าถึงข้อมูลของผู้สมัคร คือ ผู้สมัครหรือผู้ช่วยเหลือผู้สมัครแนะนำตัวในช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ ไม่ว่าแพลตฟอร์มใด ๆ เช่น ติ๊กต็อก ยูทูป อินสตาแกรม เฟซบุ๊ก ท่านสามารถแนะนำตัวได้ ประชาชนก็จะสามารถเห็นท่านได้ เข้าถึงข้อมูลท่านได้จากช่องทางอิเล็กทรอนิกส์…นั่นหมายความว่าประชาชนสามารถรับรู้ เข้าถึงและติดตามตรวจสอบผู้สมัครได้สองช่องทาง คือ เว็บไซต์และแอปพลิเคชัน Smart Vote ของ กกต. ซึ่งจะเปิดเผยรายชื่อและประวัติของผู้สมัครทุกคน อีกช่องทางหนึ่งคือ รับรู้ข้อมูลเหล่านี้จากผู้สมัครทางช่องทางอิเล็กทรอนิกส์”

ภาพประชาสัมพันธ์การเลือก สว. 2567 จากเฟซบุ๊ก กกต.

ข่าวลวง #3: สมาชิกพรรคการเมือง ต้องลาออกอย่างน้อย 5 ปี ถึงสมัคร สว. ได้

กฎหมายบอกว่า: พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 14 ระบุลักษณะต้องห้ามของผู้สมัคร สว. ไว้หลายข้อ ซึ่งอาจทำให้เกิดความสับสนและความเข้าใจผิดที่อาจส่งผลต่อการตัดสินใจลงสมัครหรือไม่สมัคร สว.

ในส่วนที่เกี่ยวกับลักษณะต้องห้ามทางการเมือง มาตรา 14 (21) ระบุว่าผู้สมัคร สว. ต้องไม่เป็นสมาชิกพรรคการเมือง แต่ไม่ได้กำหนดว่าต้องลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคอย่างน้อย 5 ปี นั่นหมายความว่า ทันทีที่การลาออกจากสมาชิกพรรคการเมืองมีผล บุคคลผู้นั้นก็ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามข้อนี้ สามารถสมัครรับเลือก สว. ได้

สำหรับผู้ที่เป็นหรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ พ.ร.ป. ฉบับนี้กำหนดให้ต้อง “เว้นวรรค” ไม่น้อยกว่า 5 ปี ถึงจะมีคุณสมบัติสมัคร สว. ได้แก่ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รัฐมนตรี สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น  และผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมือง (หัวหน้าพรรค, เลขาธิการ, เหรัญญิก, นายทะเบียน, กรรมการบริหารอื่น, หัวหน้าและกรรมการสาขา, ตัวแทนประจำจังหวัด ตำแหน่งอื่น ๆ ในของบังคับของแต่ละพรรค) 

*ตรวจสอบสถานะการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองได้จากเว็บไซต์ กกต.ได้ ที่นี่

ข่าวลวง #4: ย้ายทะเบียนบ้านไม่ถึง 2 ปี ขาดคุณสมบัติ สมัคร สว. ไม่ได้ 

กฎหมายบอกว่า: พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 13 (4) ระบุว่า “ผู้สมัครต้องมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง” ดังต่อไปนี้

  • เป็นบุคคลซึ่งเกิดในอำเภอที่รับเลือก
  • มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในอำเภอที่สมัครรับเลือกติดต่อกันมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปี นับถึงวันที่สมัคร
  • ทำงานอยู่ในอำเภอที่สมัครรับเลือกติดต่อกันมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปี นับถึงวันที่สมัคร
  • เคยทำงานหรือเคยมีชื่อในทะเบียนบ้านในอำเภอที่สมัครรับเลือกเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 2 ปี
  • เคยศึกษาในสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในอำเภอที่สมัครรับเลือกติดต่อกันไม่น้อยกว่า 2 ปีการศึกษา

รัชพงษ์อธิบายว่า เมื่อกฎหมายกำหนดให้ผู้สมัครมีลักษณะ “อย่างใดอย่างหนึ่ง” จึงหมายความว่า ผู้ที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านไม่ถึง 2 ปี ไม่สามารถลงสมัครในอำเภอที่ทะเบียนบ้านนั้นอยู่ได้ก็จริง แต่ยังสามารถลงสมัครในอำเภอที่เกิด หรืออำเภอที่ทำงานอยู่/อำเภอที่เคยทำงาน/อำเภอที่เคยมีชื่อในทะเบียนบ้าน/อำเภอที่เคยศึกษาอยู่ ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 2 ปี ได้

ข่าวลวง #5: เคยไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ขาดคุณสมบัติ สมัคร สว. ไม่ได้

กฎหมายบอกว่า: ผู้ที่ไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งโดยไม่ได้แจ้งเหตุในระยะเวลา 2 ปี ก่อนถึงวันรับสมัคร สว. กล่าวคือการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม 2565-พฤษภาคม 2567 เท่านั้น จึงไม่มีสิทธิสมัคร สว. การเลือกตั้งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไม่มีผลให้ถูกจำกัดสิทธิลงสมัคร สว.

ไอลอว์อธิบายว่า ระยะเวลา 2 ปี นี้มีที่มาจาก ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 ข้อ 47 ที่ระบุว่า ผู้มีสิทธิสมัคร สว. “ต้องไม่เป็นบุคคลผู้ถูกจำกัดสิทธิตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมือง” ซึ่งกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คือ พ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 และ พ.ร.บ. การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 ระบุว่า คนที่ไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งและมิได้แจ้งเหตุที่ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง รวมถึงการเลือกตั้งซ่อมจะถูกจำกัดสิทธิลงสมัคร สว. เป็นระยะเวลา 2 ปี นับตั้งแต่วันเลือกตั้งที่ไม่ได้ไปใช้สิทธินั้น

*ตรวจสอบรายละเอียดผู้ไม่ไปใช้สิทธิและผู้แจ้งเหตุจำเป็นไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งจากเว็บไซต์ของกระทรวงมหาดไทยได้ ที่นี่

ข่าวลวง #6: ห้ามนำเครื่องมือสื่อสารเข้าสถานที่เลือก สว. ในทุกกรณี

กฎหมายบอกว่า: ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 ห้ามผู้สมัครนำเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่อาจใช้เพื่อติดต่อสื่อสารหรือบันทึกภาพหรือเสียงเข้าไปในสถานที่เลือก สว. โดยจะต้องส่งมอบให้เจ้าหน้าที่ก่อนเข้าไปลงคะแนน แต่อนุญาตให้ผู้สมัครที่เป็นคนพิการหรือทุพพลภาพ ผู้สูงอายุ หรือผู้ประสบปัญหาในการใช้สิทธิเลือกที่มีความจำเป็นต้องใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์เพื่อช่วยในการรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกหรือลงคะแนน สามารถนำเครื่องมือหรืออุปกรณ์ดังกล่าวเข้าไปในสถานที่เลือกได้

ข่าวลวง #7: บัตรลงคะแนนจะเป็นบัตรเสีย ถ้าใส่หมายเลขไม่ครบทุกช่อง

กฎหมายบอกว่า: ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 กำหนดให้การเลือก สว. มี 3 ระดับ คือ ระดับอำเภอ ระดับจังหวัด และระดับประเทศ แต่ละระดับจะมีการเลือก 2 ขั้น ขั้นแรกคือเลือกบุคคลในกลุ่มเดียวกัน หรือ “เลือกกันเอง” ขั้นสองคือเลือกผู้สมัครในกลุ่มอื่นที่อยู่ในสายเดียวกัน หรือ “เลือกไขว้” ผู้มีสิทธิเลือกจะต้องเขียนหมายเลขประจำตัวผู้ที่ต้องการเลือกเป็นเลขอารบิกลงในบัตรลงคะแนนเลือก สว. ช่องละ 1 หมายเลข

การเลือกกันเองในระดับอำเภอและระดับจังหวัด ให้ผู้มีสิทธิลงคะแนนเลือกผู้สมัครในกลุ่มเดียวกันไม่เกิน 2 คน ส่วนในระดับประเทศ เลือกได้ไม่เกิน 10 คน โดยโหวตให้ตัวเองได้ แต่โหวตให้คนใดคนหนึ่งเกิน 1 คะแนนไม่ได้

การเลือกไขว้ในระดับอำเภอและระดับจังหวัดจังหวัด แต่ละสายจะมี 3-5 กลุ่ม ให้ผู้มีสิทธิลงคะแนนเลือกผู้สมัครในกลุ่มอื่นที่อยู่ที่ในสายเดียวกันกลุ่มละไม่เกิน 1 คน ส่วนในระดับประเทศให้เลือกได้กลุ่มละไม่เกิน 5 คน โดยผู้ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันจะโหวตให้กันหรือโหวตให้ตัวเองไม่ได้

รัชพงษ์มองว่าความซับซ้อนของระบบการเลือกและระเบียบที่เข้าใจยากนี้อาจทำให้ผู้สมัคร สว. ที่มีสิทธิลงคะแนน เข้าใจผิดว่าจะต้องเลือกผู้สมัครให้ครบเต็มจำนวนหรือพูดง่าย ๆ ว่าต้องใส่หมายเลขให้ครบทุกช่องในบัตรลงคะแนน แต่ในความเป็นจริง ระเบียบ กกต. ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องลงคะแนนให้ครบทุกช่อง นั่นหมายความว่า ในการเลือกกันเอง ผู้สมัครอาจโหวตให้ตัวเองคนเดียว โดยไม่โหวตให้คนอื่นก็ได้ หรือในการเลือกไขว้ อาจโหวตให้ผู้สมัครไม่ครบทุกกลุ่มหรือไม่ครบทั้ง 5 คนในการเลือกระดับประเทศก็ได้

“สมมติว่าผมเป็นผู้สมัครในกลุ่มการศึกษา ในขั้นเลือกไขว้ ผมต้องเลือกผู้สมัครในกลุ่มศิลปินที่เข้ารอบมาซึ่งผมไม่เคยรู้จักมาก่อนเพราะทำงานคนละวงการ ถ้าผมไม่อยากสุ่มลงคะแนนให้คนที่ผมไม่รู้จัก ก็ไม่จำเป็นต้องเลือก ปล่อยว่างไว้ได้ ไม่เป็นบัตรเสีย ให้ลงคะแนนโหวตคนที่เราต้องการเลือกจริง ๆ” รัชพงษ์อธิบาย 

ระเบียบ กกต. ข้อ 104 และ 105 กำหนดลักษณะการลงคะแนนที่ไม่ให้นับเป็นคะแนนและบัตรเสียไว้ดังนี้

ข้อ 104 ลักษณะการลงคะแนนที่ไม่ให้นับเป็นคะแนนสำหรับช่องหมายเลขนั้น (ซึ่งไอลอว์เรียกว่า “บัตรดีบางส่วน” คือให้นับคะแนนในส่วนที่ลงคะแนนถูกตามที่กำหนด)

  • เขียนหมายเลขประจำตัวผู้สมัครที่ไม่มีสิทธิรับเลือก
  • ไม่ได้เขียนหมายเลขประจำตัวผู้สมัครเป็นเลขอารบิก
  • ลงคะแนนมากกว่า 1 หมายเลขใน 1 ช่อง
  • ไม่ได้เขียนหมายเลขลงใน “ช่องเขียนหมายเลขประจำตัวผู้สมัคร” แต่หมายเลขใดที่เขียนในช่องที่กำหนดไว้ ให้นับเป็นคะแนนได้

ข้อ 105 ลักษณะของบัตรลงคะแนนที่นับเป็นบัตรเสียทั้งใบ

  • บัตรปลอม
  • บัตรที่ไม่ได้รับจากกรรมการประจำสถานที่เลือก
  • บัตรที่ทำเครื่องหมายเพื่อเป็นที่สังเกตหรือเขียนข้อความอื่นนอกจากหมายเลขผู้สมัคร
  • บัตรที่ไม่ได้ลงคะแนน
  • บัตรที่มิอาจทราบได้ว่าลงคะแนนให้ผู้สมัครหมายเลขใด
  • บัตรที่ลงคะแนนให้ผู้ไม่มีสิทธิได้รับเลือก
  • บัตรที่เขียนหมายเลขประจำตัวผู้สมัครเกินจำนวนที่กำหนด
  • บัตรที่ลงคะแนนให้บุคคลใดเกิน 1 คะแนน
  • บัตรที่ไม่นับเป็นคะแนนเพราะมีลักษณะตามข้อ 104 และในบัตรนั้นเลือกผู้สมัครเพียงคนเดียว

ข่าวลวง #8: รณรงค์ให้คนลงสมัคร สว. เป็นเรื่องผิดกฎหมาย

กฎหมายบอกว่า: พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 77 ระบุว่าการจูงใจให้ผู้อื่นลงสมัคร สว. หรือจูงใจให้ผู้สมัครลงคะแนนหรือไม่ลงคะแนนให้ผู้ใด เป็นความผิดตามกฎหมายหากเป็นการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้

  • ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด
  • แนะนำตัวด้วยการจัดมหรสพหรือการรื่นเริง
  • เลี้ยงหรือรับจะจัดเลี้ยงผู้ใด
  • หลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญ ใช้อิทธิพลคุกคาม ใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดในคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถหรือชี่อเสียงของผู้ใด

รัชพงษ์กล่าวว่า ตามกฎหมายนี้ แคมเปญ “สมัครเพื่อโหวต/สมัครเพื่อเปลี่ยน” ของไอลอว์ที่เชิญชวนให้คนมาลงสมัคร สว. จึงไม่ผิดกฎหมาย เพราะไม่มีการกระทำใด ๆ ข้างต้นเพื่อจูงใจให้คนไปสมัคร

นายแสวง เลขาธิการ กกต. ยังได้ตอบคำถามสื่อมวลชนในเรื่องนี้อย่างชัดเจนเมื่อ 14 พฤษภาคม ว่า “การรณรงค์ก็เหมือนการเชิญชวน ไม่ได้ผิดอะไรครับ รณรงค์ไม่ได้บอกว่าใครมีอาชีพอะไร ทำได้ทั้งนั้น แต่อย่าไปช่วยเหลือหรือช่วยแนะนำตัว ซึ่งผิดระเบียบการแนะนำตัว”

ปล่อยข่าวลวงทำลายชื่อเสียงผู้สมัครคู่แข่ง?

นอกจาก 8 ข่าวลวงและความเข้าใจผิดที่คิดว่าจะเกิดขึ้นแล้ว โคแฟคชวนรัชพงษ์วิเคราะห์ต่อไปว่า การปล่อยข่าวลวงเพื่อทำลายชื่อเสียงของผู้สมัครคนอื่น เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นในการเลือกตั้ง สส. จะเกิดขึ้นหรือไม่ ซึ่งเขาให้ความเห็นว่า ไม่น่ามีมากนักเพราะการทำลายชื่อเสียง/ภาพลักษณ์/ความน่าเชื่อถือของผู้สมัครคนอื่น หรือ “character assassination” ต่อสาธารณะนั้น อาจไม่มีผลในการเลือก สว. ซึ่งเป็นการเลือกกันเองแบบปิดของผู้สมัคร

“การปล่อย fake news เพื่อทำลายชื่อเสียงหรือความน่าเชื่อถือของผู้สมัคร ไม่ได้ส่งผลมากเหมือนการเลือกตั้ง สส. เพราะในการเลือกตั้ง สส. ประชาชนคือคนที่ไปลงคะแนนเลือกผู้สมัคร การรับรู้ของสาธารณชนจึงมีผลต่อการลงคะแนน แต่การเลือก สว. เป็นการเลือกของผู้สมัครด้วยกันเอง ดังนั้นเขาคงไม่เสียเวลาในการไปปล่อยข่าวว่าคนนั้นไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าผู้สมัครต้องการได้คะแนนด้วยวิธีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เขาคงเลือกที่จะยกหูโทรศัพท์แล้วซื้อเสียงหรือเสนอผลตอบแทนให้ผู้สมัครคนอื่น ไม่จำเป็นต้องไปปล่อยข่าวลวง ทำลายกันในทางสาธารณะ”

แม้คาดว่าจะเกิดขึ้นน้อย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เกิดขึ้นเลย

“ถ้าจะมีการปล่อยข่าวลวงทำลายชื่อเสียงกัน ก็น่าจะเกิดขึ้นหลังจากวันปิดรับสมัคร (24 พ.ค.) และ กกต. ประกาศรายชื่อผู้สมัคร สว.ทั้งหมดแล้ว ถึงตอนนั้น เราจะรู้ว่าผู้สมัครมีใครบ้าง แล้วก็อาจจะมีการถกเถียงถึงคุณสมบัติของแต่ละคน ว่าใครเหมาะสม-ไม่เหมาะสมอย่างไร” รัชพงษ์ให้ความเห็น

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค: รายงาน

อ่านเพิ่มเติม

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 18 พฤษภาคม 2567

ผลิตภัณฑ์ Matti Mum ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำนมได้ภายในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง และช่วยให้เด็กมีน้ำหนักที่ดีเพิ่มขึ้น…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3isurnvc1jcnv


แผ่นแปะช่วยการนอนหลับได้ผลทันทีหลังใช้งาน โดยสถาบันประสาทวิทยา…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/rdiedrjdubtp


ฝนตกลงมาเป็นปลาที่อิหร่าน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/xcpjpbcvj9yr#_=_


  ผู้ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ต่ำกว่า Version 9 จะไม่สามารถใช้แอปฯ Krungthai NEXT เป๋าตัง และถุงเงินได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3rhkngk9wshuw


   อสม.ทั่วไทย รับจุกๆ เงินเข้าบัญชี 8000 บาท ค่าตอบแทนเป็น 2 พันบาท

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1f9ktsn6gqdew


  ไทม์ไลน์ เลือกตั้ง สว.

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3pk1mh5zpr0d7


อินเดียอ่วม ฝนตกฟ้าคะนองรุนแรงผิดปกติ ฟ้าผ่าชาวบ้านดับอย่างน้อย 24 ศพ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3rmx7mhhutubq


 AI สามารถสร้างเพลงให้ได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3kzl5cfawtb0o#_=_


ภาพเอไอดาราดังฮอลลีวูด-ผู้นำโลกเล่นสงกรานต์ไทย : อวย..ป่วน..เอามัน หรือใครกันได้ประโยชน์

กุลชาดา ชัยพิพัฒน์ ที่ปรึกษาโคแฟค รายงาน

ในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ชาวเน็ตได้นำภาพชุดเล่นสาดน้ำสงกรานต์ที่สร้างขึ้นด้วยปัญญาประดิษฐ์หรือ เอไอ (Artificial Intelligence- Ai) ของเหล่าดาราดังฮอลลีวูด อย่าง ทอม ครูซ, เดอะ ร็อค, โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์, ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ และ คิอานู รีฟส์และผู้นำโลกที่เป็นข่าวทั้งในสื่อไทยและต่างประเทศอยู่บ่อยๆ​ อาทิ ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ประธานาธิบดี คิม จอง อึน ของเกาหลีเหนือ และประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส รวมถึงมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งและซีอีโอเมตา และอีลอน มัสก์ ซีอีโอเทสลาและสเปซ เอ็กซ์ มาแชร์กันอย่างแพร่หลายในสื่อสังคมออนไลน์ทั้งทางห้องสนทนาเปิดและแชทกลุ่มปิดต่างๆ เช่น ในไลน์ เป็นต้น

ดูเผินๆ ภาพเหล่านี้ถูกส่งต่อกันมา เพื่อความบันเทิงและดูสนุก โดยต้นทางมีเจตนาที่จะอวดผลงานกันระหว่างนักสร้างสรรค์ภาพโดยเอไอว่าใครสร้างได้สมจริงหรือสวยงามสร้างสรรค์กว่ากัน เหมือนเช่นภาพเอไอคนเล่นสงกรานต์อื่นๆที่ไวรัลอยู่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา และอาจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อของคนรับสารอย่างมีนัยสำคัญ  เพราะบัญชีผู้ใช้งานในโลกโซเชียลส่วนใหญ่ที่แชร์ภาพชุดนี้ จะระบุไว้อย่างชัดเจนว่าเป็นภาพเอไอและให้เครดิตเจ้าของภาพ

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ผู้รับสารทุกคนจะเข้าใจได้ว่า การที่บุคคลที่มีชื่อเสียงระดับโลกเหล่านี้จะเดินทางมาประเทศไทยโดยไม่เป็นข่าว หรือจะไปเที่ยวเล่นสงกรานต์ตามที่สาธารณะอย่างเปิดเผยตัวตนโดยไม่คำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก หรือหากเดินทางมาจริง ก็คงหลีกเลี่ยงการเปิดเผยตัวตนในคนหมู่มาก นอกจากจะมีช่างภาพปาปารัสซี่มือดีแอบถ่ายภาพในอิริยาบถส่วนตัวไว้ได้

หากเราดูในบริบทของปฏิบัติการณ์ข้อมูลข่าวสารบนโลกออนไลน์ เราอาจตั้งข้อสังเกตได้ว่า ใครได้ประโยชน์ทางใดทางหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมืองหรือการตลาด จากการที่ภาพเหล่านี้ถูกแพร่กระจายไปในโลกออนไลน์  และใครบ้างคือกลุ่มเป้าหมายของการเผยแพร่ภาพเหล่านี้

เส้นทางการเผยแพร่ของภาพชุดนี้เป็นอย่างไร

โคแฟคได้ตรวจเช็คแหล่งที่มาของภาพชุดนี้เมื่อวันที่ 21 เม.ย. 2567 ใน Google search พบภาพชุดดังกล่าวมาจากห้องสนทนากลุ่มเปิดในเฟซบุ๊กชื่อ AI CREATIVES THAILAND โดยผู้ใช้งานชื่อ Jithsarana Opt ซึ่งถูกระบุว่าเป็นเจ้าของภาพ ได้โพสต์ภาพชุดผู้นำโลกเล่นสงกรานต์ ไว้ในกลุ่มเมื่อวันที่ 15 เม.ย. 2567 พร้อมคำอธิบายว่า ต้องการเห็นผู้นำประเทศเหล่านี้ในอิริยาบทที่สนุกสนาน ดูไม่เครียดเหมือนในข่าว โพสต์ดังกล่าวมีผู้เข้ามากดชอบกว่า 3,400คน แสดงความเห็น 169 ข้อความ และแชร์ 636ครั้ง ส่วนภาพเอไอชุดดาราฮอลลีวูด ก็มีคนเข้ามาปฏิสัมพันธ์ไม่แพ้กัน โดยมากดชอบประมาณ 1,000 คน แสดงความเห็น 75 ข้อความและแชร์ 289 ครั้ง

ภาพชุดดังกล่าวได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางเพราะนอกจากจะดูสวยงามแล้ว ยังมีมุมมองที่น่าสนใจ จึงเป็นที่กล่าวขวัญถึงและพากันแชร์ภาพชุดนี้ในโลกโซเชียล โดยผู้ใช้งานเฟซบุ๊กบางรายได้เข้ามาซักถามเจ้าของภาพว่าใช้โปรแกรมเอไออะไรสร้างภาพออกมาได้สวยงามและเหมือนจริง หรือเป็นภาพลิขสิทธิ์หรือไม่ บางรายก็ขอภาพไปใช้ฟรี หรือนำโพสต์ต่อ โดยให้คำบรรยายภาพแตกต่างกันไป มีอิงการเมืองบ้าง เช่น ผู้ใช้งานฟซบุ๊กชื่อ Tui July ได้บรรยายภาพว่า หยุดสงคราม.. เล่นสงกรานต์…  หรือบัญชีผู้ใช้งานติ๊กต่อกnong_1688 ได้พาดหัวคลุมเครือประหนึ่งว่าบุคคลเหล่านั้นมาเล่นสงกรานต์เมืองไทยจริง

ในขณะเดียวกัน ทางเว็บไซต์ตรวจสอบข้อเท็จจริง Fact Crescendo Thai ซึ่วอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร Fact Crescendo ประเทศอินเดีย ที่ได้รับการรับรองจาก International Fact Checking Network (IFCN) ได้ติดตามตรวจสอบที่มาของภาพชุดนี้เช่นกัน โดยสรุปไว้ในรายงานเมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2567 ว่าเป็นภาพเอไอที่มาจากเฟซบุ๊กกลุ่มดังกล่าว ไม่ใช่ภาพที่ถ่ายจากเหตุการณ์จริง และยังเชื่อมโยงให้เห็นถึงภาพเอไอเกี่ยวกับการเล่นสงกรานต์อื่นๆ ว่าเป็นภาพที่มีมาจากสมาชิกของเฟซบุ๊กกลุ่มนี้อีกด้วย นอกจากนี้ผู้ตรวจสอบข้อมูลของเว็บฯ ยังได้แคปจอโพสต์ของบัญชีผู้ใช้งานเฟซบุ๊กชื่อ ประเทศกูมี อินฟลูเอนเซอร์การเมืองที่มีผู้ติดตามกว่า 3 แสนคน (326k) ที่แสดงความเห็นไปในทำนองแปลกใจว่ามีคนเชื่อว่าภาพชุดนี้เป็นภาพเหตุการณ์จริงด้วยหรือ

AI CREATIVES THAILAND เป็นกลุ่มห้องสนทนาเปิด ที่ก่อตั้งได้ประมาณหนึ่งปี ปัจจุบันมีสมาชิกกลุ่มกว่า 500,000 คน (508k) เทียบเท่ากับเป็นอินฟลูเอนเซอร์ระดับmacro โดยมีวัตถุประสงค์ให้สมาชิกนำภาพเอไอมาแชร์เพื่อประชันความสร้างสรรค์และสวยงามกัน หรือเปิดโอกาสให้อวดผลงานกันเต็มเผื่อมีลูกค้าสนใจจ้างงาน

ภาพในคลังภาพของกลุ่มมีทั้งภาพพุทธศิลป์ ภาพแฟนตาซีในวรรณคดี การ์ตูนอานิเมะ ภาพผู้หญิงออกแนวเซ็กซี่ และมีภาพล้อเลียนการเมือง เสียดสีสังคม ปะปนอยู่บ้าง ล่าสุดสมาชิกกลุ่มคนหนึ่งได้นำภาพเอไอที่เป็นภาพแกะสลักหน้าคล้ายประธานาธิบดีปูติน และมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก บนกำแพงปราสาทหินแบบขอมของกัมพูชา มาโพสต์ โดยพูดทีเล่นทีจริงว่า ชาติก่อนทั้งสองคนน่าจะเป็นคนเขมร ซึ่งเป็นการล้อเลียนกระแสวิพากษ์วิจารณ์ร้อนแรงบนโลกออนไลน์ระหว่างชาวไทยและชาวกัมพูชานับตั้งแต่กัมพูชาอ้างว่ามวยไทยมีต้นกำเนิดมาจากศิลปะการต่อสู้ของชาวกัมพูชามาแต่โบราณ

เมื่อปลายปี 2566 กลุ่มคลังภาพเอไอกลุ่มนี้ได้ถูกพูดถึงเพิ่มมากขึ้นหลังจากที่สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้แจ้งตำรวจไซเบอร์ให้ตรวจสอบกลุ่มนี้เพราะมีพฤติกรรมหมิ่นพุทธศาสนา โดยภาพเอไอที่เป็นปัญหาคือภาพชุดพระซิ่งรถจักรยานยนต์ และ พระเล่นกีตาร์ที่สมาชิกของกลุ่มได้นำมาโพสต์ไว้ กรณีดังกล่าวก่อให้เกิดการถกเถียงในวงกว้างทั้งในสื่อสังคมออนไลน์และในสื่อมวลชน มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย รวมถึงตั้งคำถามในแง่กฎหมายว่าจะเอาผิดได้หรือไม่เนื่องจากเป็นรูปที่สร้างขึ้นโดยเอไอ แต่ส่วนใหญ่จะมองว่าภาพดังกล่าวว่าเป็นเรื่องของสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและความคิดสร้างสรรค์มากกว่าจะทำให้ศาสนาเสื่อมเสีย  เพราะความเสื่อมของศาสนามีอยู่ก่อนนานแล้ว โดยมีสาเหตุมาจากคนในศาสนาเองซึ่งเป็นข่าวอยู่บ่อยๆ แต่เข้าทำนองว่าจัดการอะไรไม่ได้

อย่างไรก็ตามมีผู้ใช้งานในกระทู้พันทิปรายหนึ่งได้ออกมาเปิดเผยในเมื่อวันที่ 18 มี.ค. ที่ผ่านมาว่าเขาถูกขับออกจากกลุ่มเพราะวิพากษ์วิจารณ์งานในกลุ่มมากเกินไป โดยโปรยว่า แอดมินกลุ่ม (ซึ่งมีสามคน) ปล่อยปละละเลยทำให้ห้องสนทนาที่สร้างกันมาจนมีสมาชิกว่าสี่แสนคน กลายเป็นห้องสนทนาที่ toxic และหากรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ก็ให้เลิกกลุ่มหรือทำเป็นกลุ่มปิดไปเลย

จากการเข้าไปสำรวจดูห้องสนทนาดังกล่าวเมื่อวันที่ 2 พ.ค. 2567 ไม่พบภาพชุดที่ถูกแจ้งว่าหมิ่นศาสนา ซึ่งอาจถูกลบออกไปแล้ว  และจากการสำรวจเงื่อนไขความเป็นสมาชิกกลุ่มพบว่า เป็นเงื่อนไขที่ค่อนข้างยืดหยุ่น เช่น ผู้เป็นสมาชิกใหม่จะต้องเป็นบัญชีผู้ใช้งานมาไม่ต่ำกว่าสามเดือน เมื่อเข้ามาแล้วไม่สามารถโพสต์ข้อความหรือคอมเมนต์ได้จนกว่าจะครบสามวัน อย่างไรก็ตาม โพสต์สแปม รูปโป๊ เปลือย อนาจาร คลิปโป๊ คลิปการพนัน หรือที่ถูก รีพอร์ต จะถูกแอดมินลบทันที และภาพหรือข้อความที่เข้าข่ายหรือไม่แน่ใจว่าผิดกฎหมาย ถือเป็นความรับผิดชอบของคนโพสต์และให้พิจารณาลบออกเองได้

นอกจากนี้ ในรอบหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ห้องสนทนาดังกล่าว มีการโพสต์ภาพกว่า 8,000ภาพ และในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา มีสมาชิกเพิ่มขึ้นกว่า 6,000 คน 

เจตนา…..ใครได้ประโยชน์

แน่นอนว่าการแชร์ภาพชุดนี้ไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายทั้งในโลกออนไลน์หรือโลกที่เป็นจริง และเจ้าของภาพอาจไม่ได้มีเจตนาอะไรมากไปกว่าการได้โปรโมตผลงานของตนเองซึ่งก็ถือว่าประสบความสำเร็จ 

แต่หากเราใช้เลนซ์การเมืองเข้ามาจับเรื่องนี้ ฝ่ายที่ได้รับประโยชน์ อาจเป็นทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ในด้านหนึ่งการที่มีข่าวดาราดังออลลีวูดและผู้นำระดับโลกมาเที่ยวเมืองไทยย่อมเป็นการส่งเสริมภาพพจน์ของประเทศตามนโยบายการท่องเที่ยวและซอฟต์พาวเวอร์ที่รัฐบาลทซึ่งมีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำอยู่ กำลังเร่งเครื่องดันอย่างเต็มที่ โดยมุ่งโกยแต้มจากสถิติตัวเลขชาวต่างชาติที่เดินทางมาเที่ยวประเทศไทยช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่พุ่งสูงขึ้นกว่าปีก่อนๆ แต่อีกด้านหนึ่ง รัฐบาลอาจถูกโจมตีได้เช่นกันว่าปล่อยข่าวลวงสร้างภาพ หรือถูกมองไปในในเชิงทฤษฎีสมคบคิดว่าด้วยความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับมหาอำนาจฝ่ายอำนาจนิยม

สมมติฐานดังกล่าวไม่ได้เป็นสิ่งที่เกินเลยจากความเป็นจริงในสมรภูมิทางการเมืองในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2566 คู่ขัดแย้งทางการเมืองและผู้สนับสนุน ต่างฉวยใช้ข่าวลวงทุกรูปแบบเพื่อสร้างภาพให้ฝ่ายตนเองและทำลายความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงข้าม โดยประชาชนที่ไม่รู้เท่าทันข่าวลวง อาจตกเป็นเป้าหมายและถูกชักจูงได้ง่าย และในยุคที่เทคโนโลยีเอไอมีการพัฒนาการไปไกลมากจนจับได้ยาก(Deepfake) ยิ่งทำให้คนทั่วไปไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอันไหนเป็นภาพเหตุการณ์หรือข้อมูลจริง และอันไหนเป็นภาพเอไอ

ข้อสรุปของโคแฟค

1. โคแฟคส่งเสริมสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกตามรัฐธรรมนูญไทยปี 2560 และหลักการสิทธิเสรีภาพสากล ตามข้อที่ 19 ของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนปี2491 แต่การแชร์ภาพที่สร้างขึ้นโดยเอไอ เจ้าของภาพต้องระบุให้ชัดว่าเป็นภาพเอไอและสร้างขึ้นเพื่อจุดประสงค์อะไร เพื่อให้ผู้ที่นำไปแชร์ต่อได้เข้าใจเจตนาและบริบทของภาพเหล่านั้นเสียก่อน

2. การเฝ้าระวังและการตั้งข้อสังเกตกับการเผยแพร่ภาพเอไอมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้สังคมเกิดการเรียนรู้ขอบเขตของการใช้ภาพเอไอและการใช้อย่างสร้างสรรค์ รวมทั้งรู้เท่าทันผลกระทบหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้จากภาพเหล่านั้นก่อนจะแชร์ต่อไป ในขณะที่สังคมไทย โดยเฉพาะในแวดวงเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมทั้งแพลตฟอร์มและวงการสื่อสารมวลชน ยังไม่มีข้อยุติในเรื่องจริยธรรมหรือขอบเขตที่เหมาะสมของการใช้เอไอเพื่อสร้างพื้นที่ปลอดภัยและความน่าเชื่อถือในการสื่อสารบนโลกออนไลน์ 


5 ปี โคแฟค สู่แรงบันดาลใจที่ไต้หวัน “พันธมิตรชานม” รวมพลังต้านข่าวลวง

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค: รายงาน

กรุงไทเป, ไต้หวัน –โคแฟค ประเทศไทย ฉลองครบ 5 ปี ของการก่อตั้ง ด้วยการเดินทางไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับองค์กรภาคประชาสังคมด้านการตรวจสอบข้อเท็จจริงของไต้หวัน โดยคุณ ออเดรย์ ถัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลของไต้หวัน (Ministry of Digital Affairs-MODA) ผู้เป็นแรงบันดาลใจในการก่อตั้งโคแฟค ได้ร่วมแสดงความยินดีและให้กำลังใจในการทำงาน พร้อมกับย้ำว่า “ความร่วมมือกันของคนต่างวัย คือหัวใจของการต่อสู้ข่าวลวง

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนมิถุนายน 2562 องค์กรภาคประชาสังคมในประเทศไทยได้จัดสัมมนาเรื่องการแก้ปัญหาข่าวลวงโดยเชิญคุณออเดรย์มาเล่าประสบการณ์ของไต้หวัน ซึ่งเป็นต้นแบบการสร้างเครือข่ายภาคพลเมืองในการตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อมูลข่าวสารนำโดยองค์กรอย่าง Cofacts และ Taiwan FactCheck Center ซึ่งได้จุดประกายและแรงบันดาลใจสู่การก่อตั้งโคแฟค ประเทศไทยขึ้นหลังจากนั้น โดยโคแฟคมีที่มาจากคำว่า “collaborative fact checking” หรือการแสวงหาความจริงร่วมกัน

คุณออเดรย์ อัจฉริยะด้านคอมพิวเตอร์วัย 43 ปี ที่สร้างประวัติศาสตร์ในการเมืองไต้หวันด้วยการเป็นรัฐมนตรีคนแรกของกระทรวงดิจิทัล โดยเป็นรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุด (อายุ 35 ปี เมื่อเข้ารับตำแหน่งครั้งแรกในปี 2559) และเป็นรัฐมนตรีหญิงข้ามเพศคนแรกของไต้หวัน บอกว่ารู้สึกดีใจมากที่ได้ทราบว่า 5 ปีที่ผ่านมา โคแฟค ประเทศไทย ทำงานอย่างแข็งขันในการตรวจสอบข้อเท็จจริง ต่อสู้กับข่าวลวง และเสริมสร้างความรู้เท่าทันสื่อของประชาชน

ออเดรย์ ถัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลของไต้หวัน เดินทางมาประเทศไทยเมื่อเดือนมิถุนายน 2562 เพื่อร่วมงานเสวนาว่าด้วยการแก้ปัญหาข่าวลวง จัดโดยองค์กรภาคประชาสังคมไทย

“เราเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า การทำงานร่วมกันบนพื้นฐานความหลากหลายคือวิถีสู่การสร้างสังคมประชาธิปไตยที่เข้มแข็งและอนาคตอันเสรีร่วมกัน” คุณออเดรย์ให้สัมภาษณ์กองบรรณาธิการโคแฟคและสื่อมวลชนที่ร่วมโครงการศึกษาบทเรียนการต่อต้านข่าวลวงของไต้หวันในและการใช้เทคโนโลยีภาคพลเมือง (civil tech) ในการแก้ปัญหาสังคม ระหว่างวันที่ 2-5 พฤษภาคม 2567 ณ กรุงไทเป โดยได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิฟรีดิช เนามันเพื่อเสรีภาพ (FNF)

FNF เป็นหนึ่งในองค์กรภาคีที่ร่วมก่อตั้งโคแฟค ประเทศไทย องค์กรอื่นๆ ได้แก่ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ChangeFusion และ Opendream เป็นต้น

ในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลแห่งไต้หวัน คุณออเดรย์กล่าวว่ารัฐบาลไต้หวันให้ความสำคัญและสนับสนุนองค์กรภาคประชาสังคม ภาคพลเมือง ตลอดจนองค์กรไม่แสวงหากำไรในการตรวจสอบข้อเท็จจริงและหักล้างข่าวลวง และยินดีที่องค์กรภาคประชาชนอย่าง Taiwan FactCheck Center และ MyGoPen ของไต้หวันได้รับการรับรองมาตรฐานการทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงจากเครือข่ายองค์การตรวจสอบข่าวสากล (International Fact Checking Network)

เมื่อถามถึงทิศทางการทำงานในระยะต่อไปของเครือข่ายการตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งของไต้หวันและไทย คุณออเดรย์เสนอว่า “การผนึกกำลังของคนต่างวัย” (inter-generational solidarity) คือหัวใจของการต่อต้านข่าวลวง

คุณออเดรย์สนทนากับคณะโคแฟค ประเทศไทย ที่งาน Gov Zero (g0v) Summit 2024 ณ กรุงไทเป ไต้หวัน เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2567

“เราต้องเปิดโอกาสให้คนสูงวัยกับเด็กรุ่นใหม่ได้มาพบปะกัน แลกเปลี่ยนเรียนรู้วิธีการแยกแยะว่าอะไรเป็นข่าวลวง อะไรเป็นข้อมูลเท็จ และจะจัดการกับมันอย่างไร เพราะว่าคนแต่ละรุ่นต่างก็มีภูมิปัญญาและความถนัดที่แตกต่างกัน เราจึงควรส่งเสริมให้คนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน” คุณออเดรย์กล่าว  

นอกจากจะได้พบคุณออเดรย์ผู้เป็นแรงบันดาลใจคนสำคัญแล้ว โคแฟคและคณะสื่อมวลชนยังได้เดินทางไปพบปะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และอัพเดทสถานการณ์ด้านการรับมือข่าวลวงจากองค์กรภาคประชาชนในกรุงไทเปอีกหลายแห่ง นอกจากจะได้ความรู้แล้วยังเป็นการกระชับความสัมพันธ์ของ “พันธมิตรชานม” ในมิติของการสร้างสังคมปลอดข่าวลวงอีกด้วย

บทเรียนจาก Taiwan FactCheck Center:

การหักล้างข่าวลวงคือการปกป้องประชาธิปไตย

สำนักงานของศูนย์ตรวจสอบข้อเท็จจริงไต้หวัน (Taiwan FactCheck Center-TFC) เป็นห้องเล็ก ๆ บนชั้น 6 ของอาคารพาณิชย์เก่าแก่ในกรุงไทเป แม้ออฟฟิศจะเล็ก มีทีมงานประจำอยู่ไม่กี่คน แต่การทำงานในลักษณะเครือข่ายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ พื้นที่จึงไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำงาน

อีฟ เฉียว (Eve Chiu) ผู้อำนวยการและบรรณาธิการบริหาร TFC เล่าที่มาขององค์กรว่าก่อตั้งเมื่อปี 2561 โดยได้เงินทุนจากเฟซบุ๊ก (ปัจจุบันคือ Meta) ซึ่งมีนโยบายให้สนับสนุนการตรวจสอบข้อเท็จจริงและต่อต้านข่าวลวงซึ่งแพร่หลายอย่างมากในโซเชียลมีเดียช่วงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2559 จนถึงขั้นบั่นทอนกระบวนการทางประชาธิปไตย Meta ยังเป็นแหล่งทุนหลักของ TFC จนถึงปัจจุบัน ซึ่งขณะนี้มีภาคีสมาชิก 16 องค์กร ที่ช่วยกันสอดส่อง-ตรวจสอบ-หักล้างข่าวลวง แม้ว่าแต่ละองค์กรจะมีนักตรวจสอบข้อเท็จจริง (fact checker) ไม่มากนัก แต่เมื่อทำงานกันเป็นเครือข่ายทั่วไต้หวัน ก็สามารถตรวจสอบข่าวลวงได้ไม่น้อย เครือข่ายนักตรวจสอบข้อเท็จจริงเหล่านี้จะช่วยกันแชร์ผลการตรวจสอบเนื้อหาของกันและกัน ทำให้ข้อมูลที่ถูกต้องเข้าถึงประชาชนในวงกว้าง

อีฟ เฉียว (Eve Chiu) ผู้อำนวยการและบรรณาธิการบริหาร Taiwan FactCheck Center

“เราทำงานร่วมกันเป็นเครือข่าย เราส่งต่อข่าวลวงที่พบให้องค์กรสมาชิกช่วยกันตรวจสอบ เมื่อใครตรวจสอบจนได้ข้อเท็จจริงแล้ว เราก็จะช่วยกันแชร์รายงานนั้นออกไปตามช่องทางการสื่อสารของแต่ละองค์กร การทำงานร่วมกันเป็นเครือข่ายเช่นนี้ทำให้เกิด ‘ระบบนิเวศของการตรวจสอบข้อเท็จจริง’ ในไต้หวัน ที่ทำให้รายงานการหักล้างข่าวลวงของเราเข้าถึงคนในวงกว้างมากกว่าต่างคนต่างทำ” คุณอีฟกล่าว และให้ข้อมูลว่า TFC หักล้างข่าวลวงไม่ต่ำกว่า 60-70 ชิ้นต่อเดือนหรืออาจมากกว่านั้นในช่วงที่มีเหตุการณ์สำคัญอย่างเช่นการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อเดือนมกราคม 2567

กองบรรณาธิการ TFC มีแนวทางในการเลือกเนื้อหาที่นำมาตรวจสอบข้อเท็จจริงอยู่ 3 ข้อ คือ ส่งผลกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ เป็นเนื้อหาที่ถูกเผยแพร่ในวงกว้าง และมีเจตนาร้ายมุ่งสร้างเสียหายต่อบุคคล กลุ่มบุคคลและสังคมโดยรวม

การหักล้างข่าวลวงของ TFC มีทั้งข่าวลวงที่ “ดูออกง่าย” อย่างภาพล็อบสเตอร์ยักษ์หรือวิดีโอตึกระฟ้า Taipei 101 โยกเอนไปมาขณะเกิดแผ่นดินไหว ไปจนถึงข่าวลวงที่ส่งผลกระทบทางการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เช่น การใช้ Generative AI สร้างวิดีโอที่มีภาพและเสียงของนายร็อบ วิตต์แมน ส.ส.สหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์ว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีนโยบายเพิ่มการขายอาวุธสงครามให้ไต้หวัน ส่งกำลังทหารเข้าไปในไต้หวันเพื่อช่วยปกป้องดินแดน รวมทั้งเชิญทหารไต้หวันมาฝึกรบที่สหรัฐฯ ซึ่งเป็นวิดีโอเท็จที่ถูกปล่อยออกมาในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวันเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2567

เครือข่ายนักตรวจสอบข้อเท็จจริงของ TFC ทำงานกันหนักเป็นพิเศษในช่วงในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งล่าสุด ทั้งหักล้างข่าวลวงและตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ผู้สมัครชิงตำแหน่งหรือพรรคการเมืองแต่ละพรรคพูดระหว่างหาเสียงหรือการดีเบตที่ออกอากาศสด

คุณอีฟให้ข้อมูลว่า ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งที่ผ่านมา พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (Democratic Progress Party – DPP) ตกเป็นเป้าโจมตีมากที่สุด ฝ่ายตรงข้ามเผยแพร่ข่าวเท็จที่ทำให้ประชาชนหวาดกลัวว่าจะเกิดสงครามกับจีนหากผู้สมัครจากพรรค DPP ชนะการเลือกตั้ง ที่น่าสนใจคือหลังการเลือกตั้ง มีการปล่อยข่าวลวงว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มีการทุจริต มีการใส่ ‘บัตรผี’ ลงในหีบเลือกตั้งโดยมีซีไอเออยู่เบื้องหลัง

“เราหักล้างข่าวลวงจำนวนมากในช่วงเลือกตั้ง เพราะเมื่อใดที่ประชาชนไม่เชื่อว่าการเลือกตั้งโปร่งใสและเป็นธรรม ไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง เมื่อนั้นประชาธิปไตยย่อมตกอยู่ในอันตราย”

คุณอีฟสรุปว่า การหักล้างข่าวลวงและตรวจสอบข้อเท็จจริงทางการเมืองในช่วงเลือกตั้งเป็นส่วนหนึ่งของ “การปกป้องประชาธิปไตย”

เธอยอมรับว่าปริมาณข่าวลวงที่ถูกหักล้างโดยเครือข่ายนักตรวจสอบข้อเท็จจริงของ TFC นั้น ยังมีปริมาณน้อยมากเมื่อเทียบกับข่าวลวงทั้งหมดที่ถูกผลิตและเผยแพร่ออกมา เพราะข่าวลวงนั้นทำง่ายเผยแพร่ได้เร็ว แต่การพิสูจน์หาความจริงนั้นยาก ใช้เวลา และต้องลงทุนลงแรงกว่ามาก

“แต่เราจะยืนหยัดทำหน้าที่ของเราต่อไป” คุณอีฟกล่าว “เราเชื่อว่าเกราะป้องกันข่าวลวงที่ดีที่สุดคือ การที่ประชาชนรู้เท่าทันข่าวลวง หยุดเชื่อและหยุดเผยแพร่ข้อมูลต้องสงสัยโดยอัตโนมัติ เหมือนกับเวลาทึ่คนขับรถเห็นไฟแดงแล้วจะเหยียบเบรกทันที เราอยากเห็นประชาชนรับข้อมูลข่าวสารอย่างระมัดระวัง หมั่นตั้งคำถาม และรู้เท่าทันว่า เนื้อหาใดที่กระตุ้นให้เราหวาดกลัว โกรธ หรือตื่นเต้นที่ได้รับโชค มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นข้อมูลเท็จเพื่อการหลอกลวง”

บทเรียนจาก Reporters Without Borders:

ถึงเวลาที่รัฐบาลต้องคิดเรื่องกำกับดูแลการใช้ AI   

องค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน (RSF) ในไต้หวันทำงานด้านการปกป้องเสรีภาพสื่อมวลชนและช่วยเหลือผู้สื่อข่าวที่ถูกคุกคามจากการทำหน้าที่สื่อใน 33 ประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ทีมงานโคแฟคและคณะสื่อมวลชนไทยไปเยือนสำนักงาน RSF ในวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก 3 พฤษภาคม พอดี ซึ่งทุกปี RSF จะเผยแพร่รายงานสถานการณ์การคุกคามสื่อและดัชนีเสรีภาพสื่อใน 180 ประเทศและดินแดน

รายงานประจำปี 2567 ระบุว่าประเทศที่มีเสรีภาพสื่อสูงสุด 5 อันดับแรกอยู่ในสแกนดิเนเวียทั้งหมด คือ นอร์เวย์ เดนมารก์ สวีเดน เนเธอร์แลนด์ ฟินแลนด์ ขณะที่ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 87 สูงขึ้นจากอันดับ 106 ในการจัดอันดับครั้งก่อนหน้า เป็นเพราะพัฒนาการด้านการเมือง สังคม เศรษฐกิจและความปลอดภัยของสื่อมวลชนที่มีมากขึ้น แต่ก็ยังคงมีข้อจำกัดจากกฎหมายหมิ่นประมาท กฎหมายความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่อาจนำไปสู่การดำเนินคดีผู้สื่อข่าว การห้ามนำเสนอข่าวและการเซ็นเซอร์ตัวเองของสื่อไทย นอกจากนี้ผู้สื่อข่าวในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังต้องปฏิบัติหน้าที่ในภาวะเสี่ยงอันตราย

ชาตาอักชิ เวอร์มา ผู้จัดการโครงการ องค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน (RSF) ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (กลาง) พูดคุยกับทีมงานโคแฟคและสื่อมวลชนไทย ที่สำนักงาน RSF ใจกลางกรุงไทเป เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2567

ชาตาอักชิ เวอร์มา (Shataakshi Verma) ผู้จัดการโครงการ RSF ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่าสถานการณ์เสรีภาพสื่อโดยรวมในภูมิภาคจัดว่าน่าเป็นห่วง แม้แต่ประเทศที่นับว่าเป็นต้นแบบด้านเสรีภาพสื่อที่ติดท็อป 15 ทุกปี ก็ตกอันดับหมด อย่างเช่น นิวซีแลนด์ (อันดับ 19) ติมอร์เลสเต (อันดับ 20) และไต้หวัน (อันดับ 27)

“การเผยแพร่ข่าวลวงและข้อมูลเท็จที่เกิดขึ้นทั่วโลก เป็นปัญหาที่น่ากังวลมากและส่งผลกระทบทางลบต่อการทำงานของสื่อ เรากำลังจับตาดูเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด” คุณชาตาอักชิกล่าวและยกตัวอย่างการเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวันเมื่อเดือนมกราคม 2567 ที่พบว่ามีการใช้ข่าวลวงและข้อมูลเท็จโจมตีกันทางการเมือง

“ปี 2023 ยังเป็นปีที่มีการใช้ AI มากขึ้นอย่างก้าวกระโดด RSF และองค์กรพันธมิตรจึงได้ออกคู่มือว่าด้วยจริยธรรมการใช้ AI ในงานสื่อสารมวลชน (Paris Charter on AI and Journalism) ซึ่งเรากำลังพยายามผลักดันให้รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ นำข้อเสนอของเราไปเป็นแนวทางในการร่างนโยบายกำกับดูแลการใช้ AI ให้เป็นไปในทางที่ก่อประโยชน์ และไม่ถูกใช้เพื่อสร้างข่าวลวงข้อมูลเท็จ”

“จริงอยู่ว่ามีหลายองค์กรที่ทำงานด้านการตรวจสอบข้อเท็จจริงและต่อต้านข่าวลวง แต่ในยุคที่มีการนำ AI มาใช้ในการผลิตและเผยแพร่ข่าวลวงอย่างกว้างขวางเช่นนี้ RSF เห็นว่าภาครัฐควรจะต้องเข้ามากำกับดูแลด้วย โดยเฉพาะการใช้ AI ในด้านข้อมูลข่าวสาร จะปล่อยให้ภาคพลเมืองรับมือเพียงลำพังคงไม่ไหว” ผู้จัดการ RSF ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกล่าว  

ชมย้อนหลัง RSF X Cofact ไลฟ์สดจากกรุงไทเป เนื่องในวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก 3 พฤษภาคม 2567 ได้ ที่นี่

บทเรียนจาก Cofacts Taiwan:

ทุกคนมีศักยภาพในการหาข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อหักล้างข่าวลวง

เกือบ 8 ปี แล้วที่บิลเลียน ลี (Billion Lee) เป็นผู้อำนวยการ Cofacts ที่เธอร่วมก่อตั้งในปี 2559 คุณบิลเลียนยังคงเปี่ยมไปด้วยพลังในการทำงานและยึดมั่นในแนวคิดตั้งต้นของ Cofacts นั่นคือ สร้างแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เปิดให้คนทั่วไปส่งเนื้อหาที่สงสัยว่าเป็นข่าวลวง/ข้อมูลเท็จเข้ามาให้ตรวจสอบ และมีส่วนร่วมในการตรวจสอบข้อเท็จจริง รวมทั้งเผยแพร่ข้อมูลที่แต่ละคนมีต่อสาธารณะเพื่อตรวจทานซึ่งกันและกัน

Cofacts สนับสนุนให้มีข้อมูลที่หลากหลายและเชื่อว่าการตรวจสอบความถูกต้องไม่ได้เป็นหน้าที่ของนักข่าวหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเท่านั้น แต่พลเมืองทุกคนมีศักยภาพที่จะค้นคว้าหาข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อมาหักล้างข่าวลวง

จากแนวคิดตั้งต้นนี้ ทีมโปรแกรมเมอร์อาสาได้พัฒนาระบบฐานข้อมูลและแชตบอตจนได้แพลตฟอร์มตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ทุกคนเข้าถึงและใช้งานง่ายไม่ซับซ้อน ผู้ใช้งานส่งเนื้อหาต้องสงสัยเข้าไลน์แชตบอทหรือเว็บไซต์ Cofacts ระบบจะค้นหารายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นเดียวกันหรือใกล้เคียงกันมาตอบ ขณะเดียวกันเนื้อหาต้องสงสัยที่ผู้ใช้ส่งเข้ามานั้นก็จะถูกเผยแพร่ในทุกแพลตฟอร์มของโคแฟคเพื่อให้อาสาสมัครนักตรวจสอบข้อเท็จจริงเข้ามาช่วยตรวจสอบ โดยจะต้องอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูลที่ตรวจสอบด้วยและทุกคนใน “ชุมชน Cofacts” สามารถโต้แย้ง ให้ข้อมูลเพิ่มเติม ให้ความเห็น หรือ “ตรวจสอบการตรวจสอบ” ได้อย่างเต็มที่

บิลเลียน ลี แนะนำ Cofacts ในงาน g0v Summit 2024 เมื่อวันที่ 4 พ.ค. 2567 โดยขึ้นเวทีร่วมกับสุภิญญา กลางณรงค์ และชิเฮา ยู จาก IORG ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยด้านปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร

“หลายคนเข้าใจว่าจุดเริ่มต้นของเราเกิดจากการประเด็นไต้หวัน-จีน แต่เปล่าเลย จุดเริ่มต้นของเรามาจากความพยายามหักล้างข่าวลวงและข้อมูลเท็จที่เป็นไปเพื่อสร้างความเกลียดชังโฮโมเซ็กชวลและกลุ่มเพศหลากหลาย ซึ่งเป็นคนกลุ่มน้อยในสังคมไต้หวัน ทุกวันนี้กลุ่มเพศหลากหลายก็ยังตกเป็นเหยื่อของการสร้างความเกลียดชังด้วยข้อมูลเท็จอยู่ แม้แต่ในการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งล่าสุด ก็ยังคงมีพรรคการเมืองที่ใช้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับเพศวิถีมาโจมตีคู่แข่ง” คุณบิลเลียนกล่าว

ในฐานะหนึ่งในผู้ก่อตั้ง เธอภูมิใจมากที่เครือข่ายอาสาสมัครนักตรวจสอบข้อเท็จจริงของ Cofacts เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันมีอยู่มากกว่า 2,400 คนทั่วไต้หวัน แต่นั่นยังไม่พอ

“เรายังเดินหน้าต่อไปในการทำให้ทุกคนเป็นนักตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะการต่อสู้กับข่าวลวง การตรวจสอบข้อเท็จจริง และการเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องไม่ใช่หน้าที่ของนักข่าวหรือผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เราเชื่อว่าทุกคนทำอะไรบางอย่างได้เพื่อช่วยกันให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่สังคม”  

บทเรียนจาก Double Think Lab:

การตรวจสอบข้อเท็จจริงคือรากฐานของการต่อสู้กับไอโอ

วู มิน ซวน (Wu Min Hsuan) นักกิจกรรมเพื่อสังคม และ พูมา เชน (Puma Shen) นักวิชาการด้านกฎหมายและอาชญวิทยาร่วมก่อตั้ง Doublethink Lab (DL) ขึ้นเมื่อปี 2562 เพื่อศึกษาวิเคราะห์และเปิดโปงปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (Information Operation – IO) ของทางการจีน

DL ได้รับการสนับสนุนจากแหล่งทุนต่างประเทศในยุโรปเป็นหลัก รัฐบาลพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) ให้เงินสนับสนุนในบางกิจกรรม แต่หลังจากที่คุณพูมาได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติ สังกัดพรรค DPP ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2567 DL เขาได้ลาออกจากตำแหน่งประธานบริหาร และ DL ก็มีมติไม่รับการสนับสนุนด้านงบประมาณจากภาครัฐอีก เพื่อความโปร่งใสและเป็นอิสระต่อกัน ปัจจุบันคุณวู ดำรงตำแหน่งเป็นซีอีโอของ DL  

“องค์กรของเราเกิดขึ้นจากความอยากรู้ให้แน่ชัดว่าจีนใช้ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร การโฆษณาชวนเชื่อ และการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ-ข่าวลวง เพื่อมีอิทธิพลเหนือคนไต้หวันอย่างไร” คุณวูหรือที่รู้จักในแวดวงนักกิจกรรมว่า “ทีทีแคท” (Ttcat) เล่าที่มาขององค์กร

วู มิน ซวน (Wu Min Hsuan) ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอ Doublethink Lab อธิบายความหมายของคำว่า “doublethink” ซึ่งมาจากหนังสือเรื่อง 1984 ของจอร์จ ออร์เวลล์ หมายถึงระบบคิดที่ทำให้คนเรายอมรับความเชื่อที่ขัดแย้งกันสองประการว่าเป็นความจริงพร้อม ๆ กัน แม้จะตรงข้ามกันก็ตาม

“เราไม่ได้ทำงานด้านการตรวจสอบข้อเท็จจริง แต่เราทำงานร่วมกับองค์กรด้านการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างใกล้ชิด ในขณะที่องค์กรพันธมิตรของเราช่วยกันหักล้างข่าวลวงรายวัน DL มุ่งเน้นการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ทำให้เราสามารถกวาดเนื้อหาที่สื่อสารเป็นภาษาจีนจำนวนมหาศาลเข้ามาไว้ในฐานข้อมูลของเรา แล้วให้โปรแกรมวิเคราะห์ว่าใครบ้างที่ผลิต เผยแพร่และทำให้ข่าวลวงนั้นแพร่หลาย ใครบ้างที่ทำให้เนื้อหาเท็จเหล่านั้นกลายเป็นไวรัล เราวิเคราะห์ได้แม้กระทั่งว่าสื่อไต้หวันเจ้าไหนที่รายงานข่าวหรือใช้ถ้อยคำที่เป็นไปในทิศทางเดียวกับสื่อของทางการจีน”

งานวิจัยสำคัญชิ้นหนึ่งของ DL คือการเปิดโปง “ธุรกิจไอโอ” ที่เผยให้เห็นว่ามีผู้ที่ทำเงินจากการทำงานให้ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารแบบครบวงจร ทั้งคนที่ขโมยรูปถ่ายและโปรไฟล์โซเชียลมีเดียของผู้คนมาขายลูกค้าเพื่อสร้างตัวตนและบัญชีปลอม (fake persona/fake account) ที่ใช้ในการเผยแพร่ข่าวลวง, โปรแกรมเมอร์ที่พัฒนาและขายซอฟต์แวร์สำหรับบริหารจัดการบัญชีปลอมพร้อมกันในคราวเดียว ราวกับมีโทรศัพท์มือถือ 200 เครื่องอยู่ในมือสำหรับจัดการแต่ละบัญชี ซึ่งบัญชีปลอมที่คอยกดไลก์กดแชร์ข่าวลวงเหล่านี้สามารถ “หลอก” อัลกอริทึมของเฟซบุ๊กให้ดันเนื้อหานั้นให้กลายเป็นไวรัล นอกจากนี้ยังมีบริษัทการตลาด บริษัทสื่อ บริษัทประชาสัมพันธ์ที่ทำงานให้ไอโอ โดยเป็นผู้ว่าจ้างอินฟลูเอนเซอร์ในโซเชียลมีเดียและ TikTok ให้พูดตามบทที่ต้องการ

“คำถามคือใครเป็นคนจ่ายเงินให้บุคคลและบริษัทเหล่านี้ผลิตและกระจายข่าวลวง” คุณวูกล่าว “เรากำลังพยายามผลักดันให้รัฐบาลจัดการธุรกิจนี้ การหากินกับการเผยแพร่ข่าวลวง ข้อมูลเท็จนับว่าเป็นอาชญากรรม บุคคลและบริษัทเหล่านี้ควรถูกปิดและถูกดำเนินคดี”

แม้ DL จะมุ่งเน้นที่การเปิดโปงปฏิบัติการไอไอ แต่คุณวูย้ำว่า ฐานรากสำคัญของการรู้เท่าทันปฏิบัติการไอโอคือการตรวจสอบข้อเท็จจริง

“การตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นงานที่สำคัญมาก ปัญหาคือรายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงมักถูกเผยแพร่ในวงแคบ ๆ เราจะทำยังไงให้ผู้คนสนใจและช่วยกันแชร์รายงานการหักล้างข่าวลวง ทำยังไงให้ผู้บริการแพลตฟอร์มช่วยดันเนื้อหาของเราให้แพร่หลายกว่านี้”

“อีกปัญหาหนึ่งที่ผมเห็นก็คือ ผู้คนยังรู้สึกไม่ดีเมื่อถูกเตือนว่ากำลังแชร์ข่าวลวง ถ้าเราไปบอกใครว่าเนื้อหาที่คุณโพสต์นั้นมันเป็นข่าวลวงนะ เขาอาจจะรู้เสียหน้า ไม่พอใจเพราะคิดว่าโดนดูถูกเขาว่าโง่ ไม่มีความรู้ สุดท้ายก็จบลงที่การทะเลาะกัน โกรธกัน คนจำนวนมากจึงเลือกที่จะนิ่งเฉยเมื่อพบเห็นการแชร์ข่าวลวงหรือข้อมูลเท็จ” คุณวูตั้งข้อสังเกต

“เราจึงต้องช่วยกันสร้างบรรทัดฐานทางสังคมในเรื่องนี้ขึ้นใหม่ เราต้องช่วยกันสร้างสังคมที่การเตือนกันเรื่องแชร์ข่าวลวงไม่ใช่การดูถูกหรือหักหน้า ทำให้มันเป็นเรื่องธรรมดาเหมือนเวลาที่ใครมาเตือนเราว่าเชือกรองเท้าหลุด เราจะไม่โกรธ แถมยังนึกขอบคุณด้วยซ้ำที่ทำให้เราไม่สะดุดเชือกรองเท้าหกล้ม”

FNF Global Innovation Hub:

พลังหนุนประชาธิปไตยและเสรีภาพ

นอกจากสนับสนุนการเดินทางและช่วยประสานงานกับองค์กรต่าง ๆ ในการศึกษาดูงานครั้งนี้ มูลนิธิฟรีดิช เนามันเพื่อเสรีภาพ (FNF) ยังได้เปิดสำนักงานกรุงไทเปต้อนรับคณะโคแฟคและสื่อมวลชน ความพิเศษของสำนักงาน FNF ที่นี่คือเป็นที่ตั้งของ Global Innovation Hub ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อปี 2564

เซลีน นอยเออร์ (Céline Nauer) ที่ปรึกษา Global Innovation Hub นำทีมงานคนรุ่นใหม่มาเล่าถึงงานของ FNF ในไต้หวันว่า ทำงานร่วมกับองค์กรภาคประชาสังคมในไต้หวันที่ขับเคลื่อนด้านสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยหลายองค์กร เช่น Open Culture Foundation และ g0v (Gov-Zero) ซึ่งเป็นชุมชนนักพัฒนาเทคโนโลยีภาคพลเมือง   

“FNF Global Innovation Hub เป็นคลังสมองและคลังเครื่องมือสนับสนุนการทำงานในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีดิจิทัล” คุณเซลีนกล่าว “เราสนใจเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่ว่าจะส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างไร”

ในส่วนของการรับมือกับ AI และข่าวลวงนั้น ปีที่แล้ว FNF Global Innovation Hub ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญจากองค์กร Full Fact ของอังกฤษมาบรรยายในหัวข้อการใช้ AI เพื่อต่อต้านข่าวลวง เพื่อช่วยให้นักตรวจสอบข้อเท็จจริงและสื่อมวลชนไต้หวันใช้ AI หักล้างข้อมูลและตรวจสอบข้อมูลได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นโดยใช้ AI เป็นเครื่องมือ  

……………………………….

หลังจากเยี่ยมเยือนและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับองค์กรภาคพลเมืองที่ทำงานด้านข้อมูลข่าวสารแล้ว ทีมโคแฟค ประเทศไทยและสื่อมวลชนได้ร่วมงาน g0v (Gov-Zero Summit) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-5 พฤษภาคม 2567 ที่ Academia Sinica ชานกรุงไทเป งานนี้เป็นการรวมตัวของนักเทคโนโลยีพลเมือง ทั้งโปรแกรมเมอร์ วิศวกรคอมพิวเตอร์ นักพัฒนาซอฟต์แวร์ และนักกิจกรรมเพื่อสังคมที่เน้นการนำเทคโนโลยีภาคพลเมือง Open Data และ Open Source มาใช้ในการแก้ปัญหาสังคม

การเดินทางสู่ไต้หวันในวาระครบรอบ 5 ปี การก่อตั้งโคแฟค ประเทศไทย ครั้งนี้ จึงไม่เพียงได้กลับไปหาที่มาของแรงบันดาลใจ ได้พบปะองค์กรพันธมิตรและเพื่อนร่วมทาง แต่ยังได้อัพเดทข้อมูล สถานการณ์ข่าวลวง และแนวคิดที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานก้าวต่อไปของโคแฟคและภาคีเครือข่ายในการปกป้องระบบนิเวศข้อมูลข่าวสารของเราจากข่าวลวง

อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 11 พฤษภาคม 2567

ตำรวจเตือน มีแก๊งค้าอวัยวะระบาดในประเทศไทย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1ukasqpjcyktj


กรมที่ดินออกหนังสือราชการ แจ้งข้อมูลที่ดินและสิ่งปลูกสร้างประจำปี 2567…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3tnoxwihviuor


วิดีโอเจ้าของบริษัทของ tiktok พิการท่อนล่าง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/9w0w4m86njr8


   เตือนผู้ปครอง-ครู รู้เท่าทันหน้าตา-กลิ่นของบุหรี่ไฟฟ้า รูปแบบใหม่ สีสันสดใส

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/dz8dkzm52wi1


   แจกเงินอุดหนุนรายหัวนักเรียน ปี 67 ตั้งแต่อนุบาล-ปวช. เพิ่มขึ้น 8% ทุกระดับ

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1ak7wdkr05i99


เหตุใดคนมุสลิมจึงตกเป็น ‘แพะรับบาป’ ในเหตุฆ่าหมู่ออสเตรเลีย

ประชาชนวางดอกไม้อาลัยผู้เสียชีวิตในเหตุไล่แทงผู้คนที่ย่าน Bondi Junction ใกล้นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย (ภาพโดย AFP)

โดย ธีรนัย จารุวัสตร์ สมาชิก Cofact

กรณีผู้ก่อเหตุใช้มีดแทงผู้คนกลางเมืองในประเทศออสเตรเลีย จนมีผู้เสียชีวิต 6 ราย ถูกนักการเมืองและสื่อมวลชนบางกลุ่มบิดเบือนว่าเป็นฝีมือการก่อการร้ายโดยชาวมุสลิมหัวรุนแรง ซึ่งตำรวจออสเตรเลียยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ด้านผู้เชี่ยวชาญเตือนว่านี่คืออีกหนึ่งตัวอย่างของ “กระแสเกลียดกลัวอิสลาม” หรือ “อิสลามโมโฟเบีย” ในโลกโซเชียลมีเดีย

ย้อนกลับไปเมื่อวันเสาร์ที่ 13 เมษายน ขณะที่ย่าน Bondi Junction ใกล้นครซิดนีย์ พลุกพล่านด้วยผู้คนที่ออกมาจับจ่ายซื้อของและพบปะมิตรสหายในช่วงวันหยุด 

แต่ทว่าวันดังกล่าวได้กลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ของออสเตรเลีย เมื่อจู่ๆ ชายคนหนึ่งใช้อาวุธมีดไล่ฟันแทงผู้คนตามห้างสรรพสินค้าและร้านค้าในย่านแห่งนั้น ตำรวจออสเตรเลียต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการปิดล้อมพื้นที่และตามล่าคนร้ายให้จนมุม จนกระทั่งผู้ก่อเหตุถูกวิสามัญฯหลังไม่ยอมวางอาวุธ

เมื่อเหตุสงบลงในที่สุด ตำรวจสรุปรายงานว่าคนร้ายได้คร่าชีวิตผู้คนรวม 6 ราย สร้างความโศกเศร้าใจและสะเทือนขวัญชาวออสเตรเลียโดยทั่วไป 

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เหตุการณ์ยังไม่ทันสงบ ปรากฎว่าผู้คนจำนวนมากในโซเชียลมีเดียกลับปล่อยข่าวบิดเบือนไปเรียบร้อยแล้วว่าผู้ก่อเหตุเป็น “ผู้ก่อการร้ายมุสลิม” ทั้งที่ไม่มีหลักฐานใดๆ จนสร้างความเสียหายต่อชุมชนชาวมุสลิมในประเทศออสเตรเลีย และยิ่งเสี่ยงให้ความขัดแย้งด้านเชื้อชาติและศาสนาบานปลายยิ่งกว่าเดิมอีกด้วย 

สื่อ-กลุ่มขวาจัดกระพือข่าว

กระแสข่าวบิดเบือนดังกล่าวเริ่มไวรัลขึ้นมา หลัง Julia Hartley-Brewer นักจัดรายการวิทยุชาวอังกฤษของสำนักข่าว Talk Radio ระบุว่าเหตุฆ่าหมู่ในออสเตรเลียเป็น “การก่อการร้ายของพวกผู้ก่อการร้ายอิสลามมิสต์อีกแล้ว”

ด้าน Rachel Riley ผู้สื่อข่าวและพิธีกรรายการชื่อดังของสำนักข่าว Channel 4 โยงเหตุสังหารหมู่ครั้งนี้ว่า เป็นผลมาจากกระแสการประท้วงของผู้สนับสนุนชาวปาเลสไตน์ ตั้งแต่อิสราเอลเริ่มถล่มฉนวนกาซ่าในเดือนตุลาคม 2566 “สิ่งที่คนพวกนี้เรียกร้องมาตลอดอย่างภาคภูมิใจ คือการก่อเหตุแบบใน [ออสเตรเลีย] แต่ยิ่งทวีคูณหลายเท่าตัวเข้าไปอีก” Riley กล่าวในทวิตเตอร์ ซึ่งเธอลบทิ้งในเวลาต่อมา 

ต่อมาไม่นาน นักการเมืองฝ่ายขวาจัดในโลกตะวันตกก็ร่วมผสมโรงและเผยแพร่ข่าวบิดเบือนนี้ด้วย เช่น ผู้ก่อตั้งพรรคอนุรักษ์นิยมสุดโต่ง Britain First และ Tommy Robinson นักเคลื่อนไหวต่อต้านอิสลามคนสำคัญ ที่กล่าวว่าเหตุไล่แทงผู้คนที่ Bondi Junction เป็น “จีฮัด” ของผู้ก่อการร้ายมุสลิม 

แน่นอนว่าแต่ละบุคคลที่กล่าวมาข้างต้น มีผู้ติดตามในโซเชียลมีเดียรวมกันนับล้านคน ดังนั้น การกล่าวอ้างที่โทษชาวมุสลิมเช่นนี้จึงแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วในอินเทอร์เน็ต ก่อนจะเริ่มมีการ “ใส่สีตีไข่” ไปกันใหญ่ด้วย บางโพสต์เพิ่มข้อมูล(ลวง)ว่าผู้ก่อเหตุเป็นผู้ลี้ภัย หรือเป็นผู้อพยพ และกล่าวโจมตีนโยบายด้านผู้ลี้ภัยของรัฐบาลออสเตรเลีย

ในเวลาต่อมา ตำรวจออสเตรเลียแถลงว่าผู้ก่อเหตุครั้งนี้ เป็นชาวออสเตรเลียโดยกำเนิด และไม่พบหลักฐานที่เชื่อมโยงกับกลุ่มหรืออุดมการณ์ทางศาสนาใดๆ โดยตำรวจตั้งข้อสันนิษฐานไว้ว่า คนร้ายมีอาการทางจิต พร้อมสรุปว่าการก่อเหตุดังกล่าวมิได้เกี่ยวเนื่องการกับก่อการร้ายแต่อย่างใด กระแสข่าวบิดเบือนจึงเริ่มค่อยๆ ซาลงไป หลังก่อความเสียหายไว้เรียบร้อยแล้ว 

ทั้งนี้ รายงานระบุว่าหนึ่งใน 6 ผู้เสียชีวิต เป็นชายมุสลิมอายุ 30 ปีนามว่า Faraz Tahir มีอาชีพเป็นยามรักษาความปลอดภัยของห้างสรรพสินค้าใน Bondi Junction และยังมีสถานะเป็นผู้ลี้ภัยจากประเทศปากีสถานด้วย

เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุและช่วยเหลือผู้บาดเจ็บที่ Bondi Junction ใกล้นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2567 (ภาพโดย AFP)

พยานที่เห็นเหตุการณ์ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า Faraz เข้าช่วยเหลือประชาชนในห้างสรรพสินค้าให้หลบหนีจากที่เกิดเหตุและพยายามหยุดยั้งผู้ก่อเหตุด้วย จนตนเองถูกแทงเสียชีวิต ด้านผู้แทนคณะทูตปากีสถานในออสเตรเลียได้กล่าวไว้อาลัยนาย Faraz ว่าเป็นผู้ที่มีความกล้าหาญอย่างยิ่ง

กระแสข่าวบิดเบือนทำให้องค์กรและเครือข่าวชาวมุสลิมต่างแสดงความผิดหวังและวิตกกังวลกับเรื่องนี้ เพราะก่อนหน้านี้ก็มีกรณีการเหยียดหยาชาวมุสลิม หรือนำเสนอภาพชาวมุสลิมว่าเป็น “พวกหัวรุนแรง” เกิดบ่อยครั้งขึ้น โดยเฉพาะในสื่อมวลชนตะวันตกกระแสหลัก ดังที่เรียกว่า “อิสลามโมโฟเบีย” (Islamophobia) 

ก่อนหน้านี้ ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากก็ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ปรากฎการณ์อิสลามโมโฟเบียพุ่งสูงขึ้น หลังการสู้รบรอบล่าสุดระหว่างอิสราเอลกับฮามาสปะทะขึ้นเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566 ซึ่งนำไปสู่การทิ้งระเบิดถล่มฉนวนกาซาครั้งมโหฬารโดยกองทัพอิสราเอล และปลุกกระแสประท้วงในหลายประเทศเพื่อเรียกร้องการหยุดยิง

คนยิวก็โดนป้ายสีด้วย  

ขณะที่ชาวมุสลิมกลายเป็นแพะรับบาปในโซเชียลมีเดีย ก็มีกลุ่มฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาจัดบางส่วน กระพือข่าวลือด้วยว่า ผู้ก่อเหตุไม่ใช่ชาวมุสลิมแต่เป็นคนยิวต่างหาก ถึงขนาดมีการส่งต่อกันในทวิตเตอร์ว่า คนร้ายมีชื่อว่า “Benjamin Cohen” 

และก็ตกเป็นโชคร้ายของชายชาวยิวในออสเตรเลียคนหนึ่ง ที่มีชื่อว่า Benjamin Cohen พอดี เมื่อ “นักสืบอินเทอร์เน็ต” เอาชื่อและภาพของเขาไปแชร์กันว่า เขาเป็นผู้ก่อการร้ายชาวยิวที่ก่อเหตุไล่แทงประชาชนที่ Bondi Junction

เคราะห์กรรมของ Benjamin Cohen (ตัวจริง) ยังไม่จบสิ้น เมื่อสำนักข่าว Seven News ในออสเตรเลีย เอาข่าวลือนี้ไปรายงานต่อในช่วงข่าวด่วนถึงสองครั้ง พร้อมด้วยรูปของนาย Cohen ทำให้เขาและครอบครัวถึงกับช็อก ทำให้เขาต้องตัดสินใจดำเนินคดีกับสำนักข่าว

ต่อมา สำนักข่าว Seven News ได้ออกแถลงการณ์ขอโทษอย่างเป็นทางการ และได้มอบเงินชดเชยให้แก่นาย Cohen เพื่อเป็นการไกล่เกลี่ยแลกกับการยุติเรื่องคดี ซึ่งนาย Cohen ได้ระบุว่าขอให้กรณีของตนเป็นอุทาหรณ์ว่าด้วยการแชร์ข่าวบิดเบือนโดยไม่ตรวจสอบ จนสร้างผลกระทบต่อประชาชนธรรมดาๆอย่างตัวเขาเอง

“ผมรู้สึกผิดหวังอย่างมากที่เห็นผู้คนนับหมื่นๆคน แห่ข้อมูลเท็จส่งต่อกันแบบไม่ฉุกคิดแม้แต่นิดเดียวที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน หรือคำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมาในชีวิตบ้าง” Cohen กล่าวให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ทั้งนี้ รายงานระบุว่าแม้เหตุการณ์ที่ Bondi Junction จะสงบลงแล้วก็ตาม โพสต์ที่กล่าวว่าหา Cohen ว่าเป็นผู้ก่อเหตุยังปรากฎอยู่ตามโพสต์ในทวิตเตอร์ถึง 70,000 ครั้ง 

ด้านองค์กรสภาชาวยิวแห่งออสเตรเลียกล่าวว่า การป้ายสีนาย Cohen มีลักษณะหวังผลสร้างความเกลียดกลัวชาวยิว หรือที่เรียกว่า “antisemitism” ซึ่งมีแนวโน้มเกิดขึ้นบ่อยครั้งเช่นกัน ตั้งแต่ศึกระหว่างอิสราเอลกับฮามาสรอบล่าสุดเปิดฉากเมื่อเดือนตุลาคม 

“พวกเราขอประณามความพยายามใดๆ ที่ยุยงให้เกิดความกลัว ความเกลียดชัง หรือการเลือกปฏิบัติต่อผู้อพยพ ชาวมุสลิม หรือชาวยิว จากเหตุการณ์สะเทือนขวัญครั้งนี้” แถลงการณ์ระบุ 

‘ก่อการร้าย’ หรือ ‘ไอ้คลั่ง’ ใครตัดสิน? 

อีกประเด็นหนึ่งที่ผู้เชี่ยวชาญและนักวิจารณ์ด้านสื่อมวลชนตั้งข้อสังเกตคือ การรายงานข่าวของสื่อมวลชนและการสรุปเหตุการณ์โดยเจ้าหน้าที่ทางการเวลาเกิดเหตุสังหารหมู่ในโลกตะวันตก ดูเหมือนจะแตกต่างกันไปตามเชื้อชาติและศาสนาของผู้ก่อเหตุ ซึ่งกรณี Bondi Junction นี้ก็อาจจะเป็นตัวอย่างหนึ่งได้ด้วย

กล่าวคือ เมื่อเกิดเหตุสังหารหมู่ (ไม่ว่าจะเป็นกราดยิง ไล่แทงผู้คน ฯลฯ) และผู้ก่อเหตุดูเหมือนจะเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลาม หรือมาจากประเทศแถบตะวันออกกลางหรือเอเชีย สื่อมวลชนและทางการมักจะตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนว่าเป็นการก่อการร้าย โดยที่ความรุนแรงนั้นๆ อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นเชื้อชาติหรือศาสนาเลยก็ได้

ในทางกลับกัน เมื่อผู้ก่อเหตุเป็นคนผิวขาว หรือไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลาม สื่อมวลชนและทางการมักจะสรุปโดยรวบรัดเกือบทุกครั้งว่า เป็น “ไอ้คลั่ง” ที่ก่อเหตุเพราะ “อาการทางจิต” แต่กลับละเลยที่จะพิจารณาแรงจูงใจ ของผู้ก่อเหตุคนนั้นๆ ซึ่งอาจมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มการเมืองหรืออุดมการณ์สุดโต่งด้วย

ภาพมุขตลกในอินเทอร์เน็ตล้อเลียนการนำเสนอข่าวของสื่อกระแสหลักในตะวันตก ที่มักจะสรุปว่าผู้ก่อเหตุเป็น “ผู้ก่อการร้าย” หากเป็นคนผิวสี แต่ถ้าหากเป็นคนผิวขาวจะสรุปว่าเป็น “ผู้ป่วยทางจิต”

กรณี Bondi Junction ก็เหมือนกัน นักวิเคราะห์ตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ก่อเหตุดูจงใจพยายามพุ่งเป้าไล่แทงเฉพาะเหยื่อที่เป็นสุภาพสตรีอย่างเดียว (กรณีนาย Faraz Tahir ที่ถูกแทงเสียชีวิต เป็นเพราะผู้ตายพยายามเข้าระงับเหตุและปกป้องผู้หญิงคนอื่นๆ) ซึ่งอาจจะบ่งบอกว่า ผู้ก่อเหตุอาจมีอุดมการณ์หรือความเกลียดชังต่อผู้หญิงเป็นพิเศษขณะก่อเหตุหรือไม่ ดังเช่นในสหรัฐอเมริกา ซึ่งกลุ่มหัวรุนแรงในชุมชนขวาจัดจำนวนมาก มักมีความเชื่อมโยงกับกระแสความเกลียดชังต่อสตรีนิยมด้วย 

เป็นที่มาของเสียงวิจารณ์จากผู้เชี่ยวชาญในวงการสื่อมวลชนว่า การนำเสนอข่าวที่เอนเอียงของสื่อกระแสหลัก สุ่มเสี่ยงที่จะทำให้ “ความสุดโต่ง” หรือความรุนแรงทางอุดมการณ์เป็นเรื่องของคนศาสนาใดคนศาสนาหนึ่ง แต่พอผู้ก่อเหตุเป็นคนอีกกลุ่มหนึ่ง มักถูกนำเสนอให้กลายเป็นเพียงเรื่องของ “อาการทางจิต” เท่านั้น 

เรื่องนี้จึงเป็นอีกปมว่าด้วย “ความรู้เท่าทันสื่อ” (media literacy) ที่ทั้งคนทำงานสื่อมวลชน และประชาชนผู้เสพข้อมูลข่าวสาร ควรตระหนักไว้ด้วยนั่นเอง 

อ่านเพิ่มเติม

Bondi attack triggers false claims 

False claims started spreading about the Bondi Junction stabbing attack as soon as it happened

Sydney stabbing incidents stoke Islamophobia, antisemitism as social tensions in Australia unravel

เฝ้าระวัง ‘Islamophobia’ กระแสความหวาดกลัวทางศาสนาที่ผลิตซ้ำจากข้อมูลลวงออนไลน์


องค์กรนักข่าวไร้พรมแดน รายงานการจัดอันดับเสรีภาพสื่อมวลชนทั่วโลก ไทยเลื่อนอันดับจาก 106 เป็น 87 #ข่าวสามมิติ

ข่าว3มิติ : วันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก

รับขมคลิก

https://www.facebook.com/share/v/JYLuSHYHUqKtSyNc/?mibextid=WC7FNe

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 4 พฤษภาคม 2567

CDS ผสมกับน้ำเกลือ 50cc ใช้หยอดตา ช่วยทำให้ฝ้าขาวในตาหาย มองเห็นได้ชัดขึ้น…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/35k8grork5moh


“พัดลมคล้องคอ” แบรนด์ดัง เสี่ยงมะเร็ง – โรคร้ายอันตราย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2epg3rvpl62te


วิกฤตโลก อากาศสุดขั้ว ไทยร้อนต่อถึง เดือนกันยายน

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/1ocr92z7986ov


   เปลวแดด แผดเผาเอเชีย อากาศร้อนจัดที่สุดในโลก

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2hb9kf71plbd1


   อนุมัติฟรีวีซ่าคาซัคสถาน อยู่ไทยได้เพิ่มอีก 6 เดือนไม่ต้องขอวีซ่า

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1kjlu43nnmp09


ผลข้างเคียงวัคซีนโควิดที่แอสตร้าเซนเนก้า…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/64uxxpn2n18n


Happy World Press Freedom Day! 🫶

ภาคีโคแฟคร่วมฉลองวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลกจากไทเปในธีม Freedom Fights Fake!


วาระครบ 5 ปีโคแฟคประเทศไทยที่ได้แรงบันดาลใจจาก Cofacts Taiwan ขอบคุณทุกภาคีที่ร่วมขับเคลื่อนแนวคิด Everyone is a fact-checker!

ส่องข้อกังวล เมื่อสารคดี Netflix ใช้ AI จำลอง ‘ภาพจากอดีต’ 

ธีรนัย จารุวัสตร์ สมาชิก CoFact

อุตสาหกรรมบันเทิงตะวันตกหันมาใช้เทคโนโลยี AI มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดข้อถกเถียงว่าอะไรคือขอบเขตที่เหมาะสมของการใช้ AI ในสื่อบันเทิง หลังเริ่มมีกรณีรายการสารคดีนำเอา “หลักฐานในอดีต” ที่ AI ทำขึ้นเอง มาเสนอราวกับว่าเป็นเรื่องจริง 

ตลอดช่วงปี 2566 อุตสาหกรรมบันเทิงในสหรัฐอเมริกาต้องสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ เมื่อสหภาพคนทำงานสื่อบันเทิง นักเขียนบท และนักแสดง รวมตัวกันหยุดงานประท้วง ติดต่อกันหลายเดือน เพื่อเรียกร้องค่าตอบแทนและสวัสดิการที่เป็นธรรมจากบรรดากลุ่มทุนเจ้าของค่ายหนังและสื่อบันเทิงต่างๆ 

ที่น่าสนใจคือ หนึ่งในประเด็นปัญหาที่นำไปสู่การนัดหยุดงานประท้วงครั้งนี้ คือการที่ผู้บริหารสื่อบันเทิงใช้ ปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence (AI) สร้างผลงานแทนคนทำงานบ่อยครั้งขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังเริ่มมีกรณีบังคับให้นักแสดงรุ่นใหม่ๆ ยินยอมให้ค่ายหนังเก็บภาพและเสียงของตน เพื่อนำไปใช้เป็น AI ในสื่อต่างๆ โดยถือสิทธิ์ขาดแต่เพียงผู้เดียว เป็นต้น

การประท้วงดำเนินต่อเนื่องตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ก่อนจะสิ้นสุดลงในเดือนพฤศจิกายน หลังการเจรจาต่อรองระหว่างสหภาพกับตัวแทนผู้บริหารเป็นผลสำเร็จ แต่ในขณะนั้น ผู้เชี่ยวชาญหลายคนตั้งข้อสังเกตว่าประเด็นการใช้ AI ในอุตสาหกรรมบันเทิง มิได้มีข้อยุติอย่างสมบูรณ์เช่นเดียวกับข้อเรียกร้องอื่นๆ พร้อมเตือนไว้ว่าเรื่องนี้จะกลับมาเป็นปมปัญหาในอนาคตอีกอย่างแน่นอน 

ตัดภาพมาที่ปี 2567 คำเตือนเหล่านั้นดูเหมือนจะกลายเป็นจริง เพราะ AI ยังปรากฎตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในสื่อบันเทิง จนเสมือนว่ากลายเป็นเรื่อง “ปกติ” ไปแล้วก็ว่าได้

สร้างสรรค์หรือขี้เกียจ?

ตัวอย่างหนึ่งของการใช้ AI เมื่อไม่นานมานี้ คือโปสเตอร์โปรโมทภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ “Civil War – วิบัติสมรภูมิเมืองเดือด” ซึ่งได้นำเสนอภาพจินตนาการสภาพบ้านเมืองในสหรัฐอเมริกา หลังเกิดเหตุการณ์สงครามกลางเมืองระหว่างฝ่ายต่างๆ 

แต่เมื่อชาวเน็ตสายตาดีลองเพ่งดู กลับพบว่าโปสเตอร์ดังกล่าวมีรายละเอียดพิลึกๆ เช่น ทหารไม่มีขา, รถยนต์มี 3 ประตู, รูปแบบสถาปัตยกรรมที่ผิดรูปร่าง, หงส์มีสัดส่วนผิดปกติ ฯลฯ จนกระทั่งแหล่งข่าวของค่ายหนังยอมรับกับสื่อมวลชนว่า โปสเตอร์เหล่านี้เป็นผลงานของ AI ตามที่หลายคนสงสัย

ยิ่งทำให้ชาวเน็ตหลายคนเกาหัวกันแกรกๆ เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้งบประมาณในการตลาดและโฆษณาหลายล้านเหรียญสหรัฐ แต่ทำไมค่ายหนังกลับอุตริประหยัดเงิน ด้วยการใช้ AI สังเคราะห์ภาพที่บิดเบี้ยวขึ้นมา แทนที่จะให้ศิลปินทำโปสเตอร์แบบหนังเรื่องอื่นๆ

เหตุการณ์คล้ายๆกัน เกิดขึ้นเมื่อต้นปีนี้ เมื่อแฟนคลับซีรีส์ชื่อดัง “True Detective” ของ HBO สังเกตว่าสิ่งของประกอบฉาก ของฉากหนึ่งในซีรีส์ ดูผิดเพี้ยนแบบแปลกๆ

Props ดังกล่าวคือโปสเตอร์ของวง IVE และวง Metallica แต่กลับเป็นโปสเตอร์ที่ AI สร้างขึ้นมา และผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ ไม่ได้มีความใกล้เคียงกับโปสเตอร์ของจริงแต่อย่างใด เช่น สะกดผิด และภาพก็บิดเบี้ยวด้วย แถมหน้าตาสมาชิกวง Metallica กลับกลายเป็นหน้าของวง KISS อีกต่างหาก 

ด้านคอมเมนต์จากชาวเน็ตจำนวนหนึ่งก็ตั้งคำถามว่า ทำไมผู้ผลิตรายการถึงต้องใช้ AI ทำภาพขึ้นมา แทนที่จะใช้ภาพของจริง (ซึ่งหาได้ทั่วไปในอินเทอร์เน็ต)

“อันนี้ดูขี้เกียจโคตรๆ” ผู้ใช้ Reddit คนหนึ่งแสดงความเห็น

สารคดีกับความจริง(ที่ทำขึ้น)

การใช้ AI ในสื่อบันเทิงยังดูเหมือนจะยิ่ง “ข้ามเส้น” ไปอีกขั้น พร้อมกับสารคดีของ Netflix เรื่อง What Jennifer Did

สารคดีดังกล่าวนำเสนอชีวประวัติของ Jennifer Pan หญิงชาวแคนาดาที่กลายเป็นผู้ต้องหาในคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญ หลังจากที่เธอและแฟนหนุ่มจ้างมือปืนให้สังหารบิดาและมารดาของตนเอง เพราะความโลภอยากได้เงินมรดกจำนวนมหาศาล เหตุเกิดเมื่อปี 2553

อย่างไรก็ตาม มีชาวเน็ตตาดี (อีกแล้ว) สังเกตว่าสารคดีดังกล่าว เอาภาพที่ AI ทำขึ้น มาใช้ประกอบในฉากที่อ้างว่าเป็นภาพในอดีตของ Jennifer Pan

ดังนั้น เหตุการณ์นี้จึงถือว่า “ข้ามเส้น” ไปยิ่งกว่าหลายกรณีอื่นๆ เพราะ (1) กรณีอย่าง Civil War และ True Detective เป็นผลงานบันเทิง ซึ่งผู้ชมทราบดีว่าไม่ได้เกิดขึ้นจริง แต่กรณีของ What Jennifer Did เป็นสารคดี ซึ่งผู้ชมคาดหวังว่าข้อมูลต่างๆ ต้องเป็นเรื่องจริง และมีความถูกต้อง

(2) ในขณะที่กรณี Civil War และ True Detective ที่นำเอา AI มาใช้ผลิตผลงานด้านการตลาด หรือผลิตของประกอบฉาก แต่ในกรณีของ What Jennifer Did ถือได้ว่าเป็นการใช้ AI สร้างข้อมูลหลักฐานในอดีตขึ้นมาใหม่ทั้งหมดเลยทีเดียว นับเป็นมาตรฐาน “ใหม่” ของวงการสารคดีก็ว่าได้ 

เทียบเท่าได้กับว่า สมมติมีสารคดีเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ แต่ผู้ทำสารคดีกลับใช้ AI สร้างภาพหรือคลิปเก่าๆ แล้วนำเสนอว่าเป็นเหตุการณ์จริงในอดีต แทนที่จะค้นคว้าหาภาพหรือคลิปจากประวัติศาสตร์จริงๆ

นอกจากนี้ หลายคนยังวิจารณ์ว่านอกจาก Netflix จะทำผิดกระทงแรกด้วยการเอา AI มาใช้ในสารคดีแล้ว ยังทำผิดกระทงที่สองด้วย นั่นคือไม่ได้เปิดเผยว่าภาพที่นำมาใช้ประกอบในสารคดี ไม่ได้เป็นภาพจริงๆ ต่างจากการทำสารคดีทั่วๆไป ซึ่งถ้าหากมีการจำลองเหตุการณ์ หรือทำภาพและคลิปเหตุการณ์ขึ้นมาใหม่ จะขึ้นคำเตือนให้ผู้ชมได้รับทราบ 

กรณีดังกล่าวไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้ผลิตสารคดีทดลองการใช้คอนเทนต์จาก AI โดยก่อนหน้านี้เมื่อปี 2564 สารคดีเรื่อง “Roadrunner: A Film About Anthony Bourdain” เกี่ยวกับเชฟชื่อดัง Anthony Bourdain ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักมาแล้ว เพราะใช้เทคโนโลยี “deepfake” สร้างเสียงพูดของ Bourdain ขึ้นมาเอง เพื่อใช้ประกอบสารคดี และไม่ได้แจ้งให้ผู้ชมได้รับทราบว่าเป็นการใช้เทคโนโลยี ไม่ใช่เสียงของเชฟ Bourdain จริงๆ

ในครั้งนั้น ผู้กำกับสารคดีอ้างว่าได้ปรึกษากับครอบครัวของ Bourdain แล้ว รวมถึงอดีตภรรยาของเชฟคนดังกล่าวด้วย และทุกคนยินยอมให้สารคดีทำเสียงจำลองขึ้นมา แต่ปรากฎว่าอดีตภรรยาของ Bourdain เองยืนยันว่า ตนเองไม่เคยให้คำยินยอมตามที่ผู้กำกับกล่าวอ้าง

AI ความบันเทิง และความโปร่งใส

ด้วยกระแส AI ที่กำลังมาแรงตอนนี้ กรณีการใช้ AI ในธุรกิจบันเทิง คงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงยาก และที่น่ากังวลคือในขณะนี้ยังไม่มีมาตรฐานหรือจริยธรรมที่ผู้ผลิตสื่อบันเทิงตกลงร่วมกัน ว่าด้วยขอบเขตของการใช้ AI อย่างเหมาะสม

ทั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคโนโลยี AI มีศักยภาพอย่างมากในการช่วยให้คนทำงานสื่อบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์หรือสารคดี สามารถทำงานได้ง่ายและประหยัดเวลามากขึ้น 

แต่ผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่งก็ได้เริ่มเตือนเช่นกันว่า ถ้าหาก AI นำเอามาใช้ผิดวิธี หรือประหยัดงบประมาณ หรือใช้แทนคนทำงาน ก็จะกลายเป็นผลร้ายต่อวงการสื่อบันเทิงเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพงานที่ต่ำลง การเลิกจ้างงานหรือกดราคาคนทำงานโดยไม่เป็นธรรม หรือแม้กระทั่งกระทบต่อความน่าเชื่อถือของผลงานนั้นๆเอง

“ตอนนี้พวกเราก็ถูกกดันในเรื่องงบประมาณกันอยู่แล้ว” Dawn Porter ผู้กำกับภาพยนตร์ ให้สัมภาษณ์กับ Variety “พวกบริษัททีวีกับสตรีมเมอร์ชอบมาหาเราแล้วก็ถามว่า ‘คุณทำงานโดยใช้งบประมาณน้อยลงได้มั้ย?’ แต่วิธีเดียวที่จะทำให้งานนั้นใช้งบประมาณนั้นน้อยลงได้ ก็คือต้องตัดคนออก เพราะส่วนที่ใช้เงินมากที่สุดในการทำภาพยนตร์คือ ค่าจ้างงาน

“เพราะฉะนั้น ถ้าผมเอาเครื่องจักรมาใช้ทำงานแทนคนเขียนบท หรือผู้ช่วยโปรดิวเซอร์ แน่นอนว่าผมจะสามารถประหยัดงบประมาณได้อยู่แล้ว แต่ก็หมายความว่าสิ่งที่เสียไปก็คือคนทำงาน ซึ่งเป็นเรื่องไม่ดีสำหรับอุตสาหกรรมของเรา และหมายความว่าคุณภาพงานก็จะลดต่ำลงด้วย”

ด้านผู้กำกับอีกคนหนึ่ง Andrew Rossi ระบุว่าตนเคยใช้ AI ในผลงานมาแล้วในสารคดีเกี่ยวกับศิลปิน Andy Warhol โดยใช้ AI สร้างเสียงของ Warhol ขึ้นมาเช่นกัน แต่ขณะเดียวกัน ตนก็เปิดเผยให้ผู้ชมได้รับทราบเกี่ยวกับการใช้ AI และได้รับความยินยอมอย่างเป็นทางการจากทายาทของศิลปินคนดังกล่าวแล้วด้วย 

ดังนั้น Rossi จึงมองว่าอุตสาหกรรมบันเทิงสามารถใช้ AI ได้ในโอกาสที่เหมาะสม แต่สิ่งที่ละเลยไม่ได้เลยคือ “ความโปร่งใส” 

“ทางที่ดีที่สุดคือต้องทำอย่างจริงจัง ต้องแสวงหาคำปรึกษา และ – อันนี้สำคัญที่สุด – คุณต้องเปิดเผยอย่างชัดเจนกับผู้ชมของคุณ” Rossi กล่าวสรุป ซึ่ง Porter ก็เห็นด้วยในประเด็นนี้ 

“ผมเคยทำงานที่สำนักข่าว ABC News และเจ้านายผมย้ำอยู่ตลอดว่า ถ้าสาธารณชนไม่ไว้ใจเราอีกต่อไป เราก็จบเห่” Porter กล่าว “ผมคิดว่าสารคดีก็อยู่ในจุดนี้เหมือนกัน ผมคิดว่าตอนนี้เราควรมาตั้งหลักแล้วคิดกันใหม่จริงๆจังๆว่า อะไรคือสารคดีกันแน่?” 

อ่านเพิ่มเติม

Doc Filmmakers Debate Growing Use of AI in Non-Fiction Projects: ‘We Are Supposed to Be the Truth’

Netflix doc accused of using AI to manipulate true crime story 


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 27 เมษายน 2567

นอนตะแคงเล่นมือถือ ทำให้สายตาเอียง…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2fdzunb1q2ehe


ผลิตภัณฑ์ Firmax-3 เป็นครีมมหัศจรรย์ รักษาสารพัดโรค …จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2c4awgj030o0e


2 นาที คลายร้อนให้รถ เมื่อจอดรถตากแดดนานๆ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2bhumf2u8gw1e


กระดาษทิชชู ทำให้ไฟไหม้ในรถได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/kn69ligctjlj


   สั่งดำเนินการให้เครื่องครัว stainless เป็นสินค้าควบคุม 7 รายการ หวั่นโลหะหนักปนเปื้อน

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/lshr6ml7wfel


  กรุงไทยช่วยข้าราชการกลุ่มเปราะบาง ปล่อยสินเชื่อรวมหนี้ข้าราชการ ยั่งยืน

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3vshmzyflkrfe


  เตรียมคืนเงินที่เหลือในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นเงินสดผ่านบัญชีพร้อมเพย์

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3udj8nlxjegma


เตือน ขับรถร้อน ๆ ระวังโดนสาดน้ำเย็น ทำกระจกรถแตกได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/paz3x3881nlx


“มะเร็งลำไส้” มะเร็งอันดับ 3 ของไทย …จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2fi5dascc1tvv


กสทช. ย้ำ เครื่องหมาย + นำหน้าเบอร์โทร รู้ไว้…ให้ระวัง เป็นเบอร์ที่โทรจากต่างประเทศ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/33f63eqzrf8op


จากศาสนาถึงวิทยาศาสตร์! ‘มีสติ-ตั้งคำถาม-ตรวจสอบข้อมูล’ หลักคิดป้องกันภัย ‘ข่าวลวง’

เมื่อเร็วๆ นี้ ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) และองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เปิดวงเสวนา “การรับมือกับข้อมูลลวงทั้งมวล ด้วยมิติทางจิตวิญญาณ” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานสัมมนาระดับชาติเนื่องในวันตรวจสอบข่าวลวงโลก 2567 (International Fact-Checking Day 2024)ภายใต้ธีมงาน “Cheapfakes สู่ Deepfakes: เตรียมรับมืออย่างไรให้เท่าทัน” ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร พร้อมถ่ายทอดสดผ่านเพจเฟซบุ๊ก “Cofact โคแฟค” และช่องยูทูบ “Thai PBS”

พระมหานภันต์ สนฺติภทฺโท ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร และประธานกรรมการ มูลนิธิสถาบันการจัดการวิถีพุทธเพื่อสุขและสันติ (สกพ.) กล่าวว่า การรับมือข่าวลวง จะมีทั้งคนที่รู้และไม่รู้ ซึ่งคนที่ไม่รู้จะถูกกระทบ ดังนั้นต้องมี Mindfulness (การมีสติ) ซึ่งไม่ควรเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล แต่ควรเป็นเรื่องทั้งสังคม ดังนั้นจึงอนุโมทนากับโคแฟคที่สร้างชุมชนที่ทุกคนสามารถเป็นผู้ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลได้

ทั้งนี้ ชีวิตของคนเรา คือ เสียงสะท้อนของสิ่งที่เราคิด พูด และทำ และเราล้วนอยู่ในห้องเสียงสะท้อน (Echo Chamber) ที่เรียกว่า สังคม ซึ่งมีวัฒนธรรม ศาสนา ความเชื่อ หลายอย่างที่ทำให้เราคิด-เราพูด แล้วก็สะท้อนกลับมาที่ตัวเรา สิ่งที่ควรทำ คือ การทำลายห้องเสียงสะท้อนที่ทำให้เราคิดและเชื่อไปทางเดียวกันโดยไม่ได้ฟังความต่างเพราะสภาวะดังกล่าวจะทำให้ข่าวลวงหรือข้อมูลที่ไม่เป็นจริงได้ผล และสุดท้ายก็จะทำลายเรา

“บางทีข่าวลวงไม่ได้ทำลายเฉพาะปัจเจกบุคคลที่เชื่อว่า มะนาวโซดาช่วยแก้มะเร็งได้ แต่บางครั้งมันไปถึงการทำให้คนเชื้อชาตินี้ ศาสนานั้น คนภาคนั้นภาคนี้เกลียดกัน แล้วสุดท้ายก็ห้ำหั่นบีฑากัน ทั้งหมดนี้เกิดจากภาวะที่ทั้งตัวคนและตัวสังคมไม่มีกลไกในการรับรู้ต่อสู้กับข่าวลวง ฉะนั้นมุมของอาตมาที่อยากจะฝาก คือ พระพุทธเจ้าตรัสว่า สติ เตสัง นิวารณัง สติเป็นเครื่องมือที่จะปิดกั้นกระแสของกิเลส ความเชื่อความเข้าใจผิด ๆ ทิฐิที่ไม่ถูกต้อง ตลอดจนการประพฤติผิดทั้งทางการพูด การคิด การลงมือทำ ดังนั้นจึงใช้สติในการช่วยรับข้อมูลข่าวสาร ด้วยพุทโธ-รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ตื่น-ทำในสิ่งที่ตัวเองรู้ และรับส่งข้อมูลด้วยความเบิกบาน” พระมหานภันต์ กล่าว

บาทหลวงอนุชา ไชยเดช ผู้อนวยการสื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย กล่าวว่า ในศาสนาคริสต์มีคำสอนว่า เมื่อเราอยู่กับผู้คน เราต้องฟังด้วยหัวใจ” หมายถึง ไม่ใช่เพียงการฟังด้วยหู แต่ต้องแปลสารที่ได้รับฟังนั้นด้วยหัวใจของเรา ดังนั้นการอยู่ในสังคมที่มีทั้งข่าวจริงและข่าวลวง สิ่งแรกคือการเริ่มที่ตัวเรา ด้วยการฟังที่หัวใจและสัมผัสให้ได้ แล้วเวลาสื่อสารอย่าพยายามเป็นอีกคนหนึ่งที่เผยแพร่ข่าวลวงหรือข่าวที่ทำให้ไม่เกิดสันติสุข

“เราจะต้องมีโคแฟคอีกกี่หน่วยงานที่ลุกขึ้นมาต่อต้านความลวงโลก แต่ถ้าเรามีตัวตนของเราที่มี Wisdom (ปรีชาญาณ) ฟังด้วยหัวใจ เราอาจจะไม่นับถือใคร แต่อย่างน้อยนับถือตัวเองที่จะต้องสื่อสารที่ดี ศาสนาคริสต์จึงสอนให้รักเพื่อน-พี่น้อง เพราะฉะนั้นเราจึงปฏิบัติต่อพี่น้องด้วยสิ่งที่เราอยากให้เขาปฏิบัติต่อเรา” บาทหลวงอนุชา กล่าว 

อันธิกา เสมสรร ผู้แทนเครือข่ายสื่อมุสลิมเชียงใหม่ กล่าวว่า ในหลักคิดของศาสนาอิสลามมีโองการขององค์อัลเลาะห์ที่กล่าวไว้ว่า พระองค์ได้สร้างมนุษย์ด้วยรูปลักษณ์ที่สวยงามพร้อมกับให้สติปัญญาที่ดีสำหรับการไตร่ตรอง และเราเชื่อว่า ทุกการกระทำ คำพูด หรือแม้แต่ความคิดจะถูกบันทึกเสมอ ทั้งความดีและความชั่ว นอกจากนั้น ท่านศาสดายังมีคำสอนที่ว่า หากเราไม่สามารถพูดในสิ่งที่ดีได้ก็จงนิ่งเสีย นี่คือสิ่งที่มุสลิมทุกคนพึงตระหนัก

“สิ่งที่เราจะสื่อสารออกไป ในมุมของคนที่จะสร้างข่าวลวงหรือส่งต่อสิ่งที่เกิดความเสียหายกับคนอื่น ถ้าเราเชื่อในคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้ากับคำสอนของท่านศาสดา มันก็จะช่วยให้เรายับยั้งตัวเราในการที่จะส่งต่อสิ่งที่ไม่ดี กับอีกอันหนึ่งที่เป็นโองการจากพระอัลเลาะห์ คือ ถ้ามีคนชั่วคนใดคนหนึ่งบอกกล่าวข่าวสารที่ไม่ดี แล้วเราไม่สอบสวน แล้วส่งต่อข่าวสารที่ไม่ดีนั้น จนเกิดความเสียหายกับคนอื่น นั่นคือ เราต้องรับผิดชอบเท่ากับคนที่ส่งต่อมาให้เรา เพราะพระองค์ให้สติปัญญามาแล้วหมายความว่า เมื่อเราได้รับข่าวสารมา เราจะต้องทำการตรวจสอบข้อมูลก่อน จึงจะส่งต่อข้อมูลนั้นไปให้ผู้อื่นได้” อันธิกา กล่าว

ธนิสรา เรืองเดช CEO และผู้ร่วมก่อตั้ง PUNCH UP กล่าวว่า งานที่ตนทำเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Science) ซึ่งเมื่อมองข้อมูลข่าวสาร อย่างแรกที่มองคือ Pool of Resource หมายถึง ของที่มีอยู่ทั้งหมด ส่วนจะดี-ไม่ดี หรือจริง-ไม่จริงอย่างไรค่อยจำแนก ซึ่งเปรียบเทียบได้กับการเดินเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ต การมีสินค้าให้เลือกจำนวนมากนั้นย่อมดีกว่าไม่มีอะไรให้เลือกเลย

ส่วนการนิยามคำว่า ความจริง-ความลวงเป็นสิ่งที่เราต้องถกเถียงกัน อย่างในมุมของวิทยาศาสตร์ก็ถกเถียงว่า ความจริงนั้นมีเพียงหนึ่งเดียวจริงหรือไม่? หรือเป็นเพียงความจริงเฉพาะ ณ เวลานั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป การมีเทคโนโลยีหรือวิธีวิจัยที่ดีขึ้น ก็อาจมีความจริงอีกชุดหนึ่งเกิดขึ้นได้ ในทางกลับกัน หลายครั้งความลวงก็ไม่ได้เกิดขึ้นโดยตั้งใจ แต่มาจากความไม่รู้หรือความเชื่อว่าเป็นแบบนั้น จึงสรุปออกมาเป็นหลักสำคัญ 4 ประการ คือ

1. มีสติในการรับรู้ (Mindfulness) หมายถึง เมื่อรับรู้หรือได้ข้อมูลอะไรมา อย่าเพิ่งจบเพียงตรงนั้นหรืออย่าเพิ่งเชื่อในทันที ควรใส่เครื่องหมายคำถามให้ตั้งคำถามกับข้อมูลนั้น เช่น มันเป็นแบบนั้นหรือไม่? มีทางอื่นอีกหรือเปล่า? หรือก็คือการคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) 2. หาคำตอบ (Prove)อย่างในมุมของวิทยาศาสตร์ข้อมูล ก็ต้องไปเรียนรู้ว่ามีเครื่องมืออะไรบ้าง อย่างโคแฟคก็เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งในการหาความรู้ของคนมารวมกัน ซึ่งไม่ได้หมายความว่า เสียงข้างมากคือความจริง แต่เป็นการหาความเป็นไปได้ รวมถึงทำให้เห็นว่าคนที่เชื่อในความจริงชุดอื่น ๆ เขามีเหตุผลเบื้องหลังอย่างไร 

3. สร้างการรู้เท่าทัน (Literacy) การแบ่งปันความรู้และการทำความเข้าใจกับกลไกการทำงานของสิ่งนั้นหรือกลลวงที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร เช่น เคยมีคนใกล้ตัวตกเป็นเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สิ่งที่เขาทำได้คือ แชร์ประสบการณ์กับคนรอบข้างว่าไปทำอย่างไรถึงถูกหลอก ซึ่งการทำงานเรื่องความจริงความลวงก็เช่นเดียวกัน คือ การนิยามว่าอะไรคือความจริง-ความลวง หรือมีจุดประสงค์ที่ใช้เป็นอย่างไร 

และ 4.รู้เท่าทันอารมณ์ตนเอง (Emotional Awareness) สังเกตความรู้สึกของตนเอง

อย่าง “บางทีเรารู้ว่ามันอาจจะไม่ได้จริง 100% แต่เราอยากเชื่อ ทำไมเราถึงไปหาหมอดูคนเดิมทั้งๆ ที่เราไม่รู้ว่าแม่นหรือเปล่า แต่เราบอกเขาแม่นเพราะว่าเขาพูดในสิ่งที่เราอยากได้ยิน คิดว่าข้อมูลข่าวสารคล้าย ๆ กัน บางทีเราจมอยู่กับสิ่งที่เราอยากได้ยินมากกว่าสิ่งที่มาตั้งคำถามกับสิ่งที่เชื่อของเรา” ธนิสรา กล่าว

ธนกฤต ศรีวิลาศ เจ้าของช่อง The Principiaกล่าวว่า ในทางวิทยาศาสตร์มีการแบ่งชั้นข้อมูลเป็น 2 ระดับ คือ ข้อมูลปฐมภูมิ เป็นข้อมูลที่นักวิจัยลงพื้นที่ไปเก็บข้อมูลและศึกษาด้วยตนเอง เป็นข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือสูง กับ ข้อมูลทุติยภูมิเป็นการนำข้อมูลปฐมภูมิที่นักวิจัยทำไว้แล้วมาบอกเล่าต่อ ความน่าเชื่อถือก็อาจเชื่อไม่ค่อยได้ หรืออาจเชื่อถือได้หากมีหลักฐานอื่น ๆ มาสนับสนุน เช่น เปรียบเทียบจากผลการศึกษาหลายๆ ชิ้น

ดังนั้นเมื่อไปดูข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์ หลายครั้งเป็นข้อมูลที่ถูกส่งต่อกันมาหลายทอด ความน่าเชื่อถือก็อาจลดทอนลง อย่างไรก็ตาม แม้กระทั่งข้อมูลปฐมภูมิก็ใช่ว่าจะน่าเชื่อถือไปเสียทั้งหมดเช่น เคยมีนักวิจัยชาวญี่ปุ่นเคยเผยแพร่งานวิจัยที่อ้างว่าสามารถเปลี่ยนเซลล์ของหนูให้กลายเป็นสเต็มเซลล์ได้ แต่เมื่อนักวิจัยคนอื่น ๆ ลองนำวิธีการนั้นไปใช้กลับพบว่าไม่สามารถทำได้ จนเมื่อไปตรวจสอบย้อนหลังก็พบว่า งานวิจัยถูกตีพิมพ์ไปทั้งที่ไม่ใช่เรื่องจริง

จริง ๆ แล้ววิทยาศาสตร์หลักการของมันเลยคือเราจะต้อง Falsification ได้ หมายถึง เราจะต้องตรวจว่ามันผิดได้ ไม่ใช่ตรวจว่ามันถูก หมายถึง ถ้าเราดูข้อมูลแล้วเราพยายามจับผิดมันเพื่อหาข้อมูลว่ามันมีตรงไหนที่ผิดหรือเปล่า? หรือมันมีหลักฐานสนับสนุนครบถ้วนทุกส่วนเลย เพราะอย่างนี้มันถึงได้มีการต่อยอดงานวิจัยได้เรื่อย ๆ ว่าถ้าเกิดเจอช่องโหว่ของงานวิจัยก่อนหน้า เราก็จะทำการวิจัยต่อยอดจากงานวิจัยเดิม ๆ ได้ ในขณะเดียวกันการตรวจสอบข้อมูลจากหลาย ๆ แหล่งที่ตรงกันก็อาจนำไปสู่คำตอบที่น่าเชื่อถือได้ ธนกฤต กล่าว

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-