เป็นเกย์ = เสี่ยงเอชไอวี?

จริงหรือที่ LGBTIQ+ เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีมากกว่าเพศอื่น?

หลายคนอาจจะมองว่าเอชไอวีนั้นมีแค่กลุ่ม LGBTIQ+ เท่านั้นที่มีโอกาสติดเชื้อได้ ทำให้หลายคนเลือกที่จะไม่ไปตรวจและเข้าสู่กระบวนการรักษาให้ทันท่วงที และนั่นทำให้โอกาสในการค้นพบว่าตัวเองติดเชื้อเอชไอวียิ่งน้อยลงตามไปด้วย ซึ่งแน่นอนว่าทำให้ประเทศไทยสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจตามไปด้วยเช่นกัน แต่คำถามที่ตามมาคือแล้วเพศไหนกันที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อมากที่สุดล่ะ?

จากข้อมูลของ ศ.พญ. ศศิโสภิณ เกียรติบูรณกุล แพทย์จากสาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ให้ข้อมูลไว้น่าสนใจว่า คู่นอนที่นิยมมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักนั้นนอกจากคู่ชาย-ชายแล้ว ยังมีคู่ชาย-หญิงที่ปัจจุบันก็นิยมมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักอีกด้วย ฉะนั้น ตัวเลขของฝ่ายรับไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง หากมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักก็มีความเสี่ยงในการได้รับเชื้อเอชไอวีมากถึง 138:10,000 ครั้ง ส่วนฝ่ายรุกที่เป็นเพศชายมีความเสี่ยงเพียง 11:10,000 ครั้ง เท่านั้น

สอดคล้องกับผลงานวิจัยของคุณกิตติ กรุงไกรเพชร จากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ที่ได้ศึกษากรณีพฤติกรรมการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ของนิสิตระดับปริญญาตรี กลุ่มคณะวิทยาศาสตร์สุขภาพ ชั้นปีที่ 3 ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคตะวันออก ประเทศไทย เมื่อปี 2554 พบว่า ในกลุ่มนิสิตชายที่มีเพศสัมพันธ์กับหญิง มีประมาณ 3% ที่เคยมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักกับเพศตรงข้าม อย่างไรก็ดี ข้อมูลสถิติที่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับอัตราการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักระหว่างชายและหญิงในประเทศไทยยังมีจำกัดอยู่ในขณะนี้

แน่นอนว่าไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง หากมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักและเป็นฝ่ายรับ ย่อมส่งผลทำให้ติดเชื้อเอชไอวีมากกว่า เพราะนั่นเกิดจากทวารหนักเป็นบริเวณที่บอบบาง มีเส้นเลือดอยู่จำนวนมาก และสามารถเกิดแผลได้ง่าย ทำให้เชื้อเอชไอวีสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านบาดแผลเหล่านี้ได้

จากข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ ทำให้สามารถชี้ชัดได้ว่าไม่ว่าจะเป็นเพศไหนก็มีความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวีได้ทั้งนั้น หากคุณเริ่มมีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเพศไหนก็ควรใส่ใจ และสามารถฟันธงได้ว่า LGBTIQ+ ไม่ใช่กลุ่มเดียวที่มีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีอย่างแน่นอน ซึ่งการใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอสามารถลดความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวีได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การใช้ยาเพร็พ (PrEP) ซึ่งเป็นยาป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ก็เป็นวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงได้เช่นกัน รวมถึงการไปตรวจเอชไอวีอย่าสม่ำเสมอก็สามารถป้องกันได้เช่นกัน


แหล่งอ้างอิง

  • มูลนิธิเพื่อรัก
  • คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
  • คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

กินข้าวร่วมกัน ติดเอชไอวี?

ไขมายาคติที่เข้าใจผิดเกี่ยวกับการติดเชื้อเอชไอวี และการอยู่ร่วมกับเอชไอวี

ถ้าหากพูดถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่าง “เอชไอวี” แล้ว ภาพจำในอดีตของใครหลายคนคงมองไปในแง่ลบ เพราะสมัยก่อนสื่อมวลชน รัฐบาล และหน่วยงานต่างๆ มักจะมุ่งเน้นการนำเสนอภาพจำที่น่ากลัวและทำให้คนหวาดกลัว เช่น การนำเสนอภาพแผลพุพองในกลุ่มผู้ที่เกิดภาวะโรคแทรกซ้อน หรือที่เรียกกันว่า “ภาวะเอดส์” จนส่งผลทำให้ผู้ที่อยู่ร่วมกับเอชไอวีในช่วงหลังๆ นั้นไม่สามารถใช้ชีวิตเฉกเช่นคนอื่นๆ ได้ เพราะสังคมมีความเข้าใจที่ผิดเกี่ยวกับเอชไอวีว่าจะติดทางการอยู่ร่วมกัน ใช้สิ่งของเดียวกัน หรือแม้กระทั่งทำงานร่วมกันไม่ได้

อันที่จริงแล้ว เอชไอวี คือเชื้อไวรัสที่จะติดต่อผ่านทางเลือดและสารคัดหลั่ง เช่น น้ำอสุจิ น้ำหล่อลื่น ซึ่งการติดต่อเอชไอวีในปัจจุบันจะติดต่อผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกัน การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน ทั้งจากการใช้สารเสพติดและการทำหัตถการทางการแพทย์ที่ไม่ปลอดภัย มีการวนใช้เข็มฉีดยาเก่า และจากช่องทางแม่สู่ลูก

โดยปกติแล้วเอชไอวีไม่ได้ติดจากการสัมผัสภายนอก เช่น การใช้สิ่งของร่วมกัน หรือการใช้ส้วมสาธารณะร่วมกัน เป็นต้น  เนื่องจากเอชไอวีนั้นใช้ลักษณะการติดต่อที่ปราศจากอากาศ โดยจำเป็นต้องมีช่องทางเข้าของเชื้อ เช่น การเกิดบาดแผลที่อวัยวะเพศ ช่องคลอด หรือบริเวณทวารหนัก และมีสารคัดหลั่งที่ออกมาขณะมีเพศสัมพันธ์ รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ทำให้ติดเชื้อในที่สุด

อย่างไรก็ดี เอชไอวีจะไม่เจริญเติบโตทางอากาศ เนื่องจากตัวเชื้อเอชไอวีเมื่อสัมผัสกับอากาศแล้วจะทำให้ตัวเชื้อนั้นตายลง จึงไม่มีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีจากการสัมผัสภายนอกแต่อย่างใด ฉะนั้นการรับประทานอาหารร่วมกัน การกอด หรือแม้กระทั่งการทำงานร่วมกัน ไม่ได้ส่งผลให้มีการติดเชื้อเอชไอวีแต่อย่างใด กลับกันหากคุณมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ได้ป้องกัน คุณย่อมเสี่ยงที่จะติดเชื้อเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ได้เช่นกัน

ฉะนั้น ทางเลือกที่ดีที่สุด คือการป้องกันเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ให้ถูกต้องและปลอดภัย รวมถึงคำนึงถึงความเหมาะสมต่อการใช้ชีวิตของตนเอง เช่น การรับประทาน PrEP หรือยาป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อเอชไอวี การใส่ถุงยางอนามัย และการตรวจหาเชื้อเอชไอวีปีละ 2 ครั้ง ซึ่งรัฐจัดให้มีการตรวจฟรี ณ โรงพยาบาลและสถานบริการใกล้บ้านของท่านนั่นเอง


แหล่งอ้างอิง

  • มูลนิธิเพื่อรัก
  • ศูนย์วิจัยโรคเอดส์และโรคติดเชื้อ สภากาชาดไทย (คลินิกนิรนาม)
  • สมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย

เพิ่มภูมิ – เอชไอวีสงบ : อาหารเสริม-เสริมอาหาร แล้วเสริม CD4 ได้ด้วยจริงเหรอ?

หลายครั้งที่เรามักจะพบเห็นการโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีสรรพคุณในการ “สร้างภูมิคุ้มกัน เพิ่ม CD4 ทำให้เอชไอวีสงบลง” อยู่บ่อยครั้ง ทั้งบนหน้าจอโทรทัศน์ ตามสื่อออนไลน์ หรือแม้กระทั่งในระบบวิทยุก็ตามที ทำให้ใครหลายคนหลงเชื่อและซื้อสินค้าเหล่านั้นไปรับประทานกันเป็นจำนวนมาก เพื่อหวังว่าจะสามารถทำให้เอชไอวีสงบ และไม่ต้องทานยาต้านไปตลอดชีวิต ซ้ำร้ายกว่านั้นบางคนถึงขนาดเลิกการรักษาแบบปกติ แล้วไปพึ่งพาการรักษาด้วยอาหารเสริมเหล่านี้แทนอีกด้วย

สำนักงานราชบัณฑิตยสภา ได้ให้ความหมายของคำว่า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ว่าหมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่ใช้รับประทานนอกเหนือจากการรับประทานอาหารตามปกติ ซึ่งมีสารอาหารหรือสารอื่นเป็นองค์ประกอบ รวมทั้งสารสังเคราะห์ที่เลียนแบบ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไม่ใช่อาหารโดยตรง แต่ใช้บริโภคเพื่อเสริมสร้างสุขภาพหรือเสริมความงาม เป็นต้น ส่วนคำว่า อาหารเสริม นั้น หมายถึง อาหารเสริมสำหรับทารกและเด็กเล็ก คนไข้ คนชรา ที่รับประทานอาหารไม่ได้ เป็นอาหารที่ทำจากธัญพืช จากเนื้อสัตว์ จากผัก เป็นหลัก

อย่างไรก็ดี เนื่องจากปัจจุบันผู้ผลิตสินค้าประเภทอาหารเสริม ได้มีการโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง ซึ่งส่งผลเสียทั้งในเชิงความรู้ความเข้าใจ และส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวม ซึ่งผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีหลายรายที่หลงเชื่อทานอาหารเสริมเข้าไปเป็นระยะเวลายาวนาน ทำให้ส่งผลกระทบต่อตับและไต จนต้องมีการรักษากันเลยทีเดียว และยังส่งผลเสียต่อเนื่องในกลุ่มผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีที่ทำการลดปริมาณหรือไม่รับประทานยาต้านนั้น ก็ยังส่งผลทำให้เกิดการดื้อยาอีกด้วย

ศูนย์วิจัยโรคเอดส์และโรคติดเชื้อ สภากาชาดไทย ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาเอชไอวีว่าในปัจจุบันการรักษาด้วยการทานยาต้านทุกวันอย่างสม่ำเสมอ ประกอบกับการดูแลสุขภาพกายและใจ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม รวมถึงการพบแพทย์ตามนัดอย่างต่อเนื่อง เพียงแค่นี้ก็เพียงพอที่จะยับยั้งปริมาณไวรัสในร่างกายได้แล้ว และเมื่อปริมาณไวรัสมีจำนวนน้อยจนไม่สามารถทำอันตรายต่อร่างกายได้ CD4 (เม็ดเลือดขาว) ก็จะมีปริมาณกลับสู่ภาวะปกติ และจะส่งผลให้ผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีมีสุขภาพที่แข็งแรงเฉกเช่นผู้ที่ไม่มีเชื้อเอชไอวีนั่นเอง

นอกเหนือจากนั้น หากรักษาจนไม่สามารถตรวจพบปริมาณไวรัสในเลือดแล้ว ก็จะสามารถเข้าสู่สถานะ ไม่พบเชื้อ = ไม่แพร่เชื้อ หรือ Undetectable = Untransmittable (U=U) นั่นเอง ซึ่งการทานยาต้านเชื้ออย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องก็เพีงพอแล้ว ในขณะเดียวกันผลิตภัณฑ์อาหารเสริม หรือเสริมอาหารที่มีการอวดอ้างนั้น ในปัจจุบันยังไม่มีงานวิจัยใดให้การรับรองผลใดๆ ทั้งสิ้น รวมไปถึงยังไม่ผ่านงานวิจัยทางการแพทย์ที่ได้รับการยอมรับตามมาตรฐานสากลอีกด้วย จึงควรระมัดระวังและไม่หลงเชื่อเป็นอันเด็ดขาด


แหล่งอ้างอิง

  • รายการ “รู้ รัก ภาษาไทย” โดย สำนักงานราชบัณฑิตยสภา (ออกอากาศเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2551 ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย)
  • ศูนย์วิจัยโรคเอดส์และโรคติดเชื้อ สภากาชาดไทย (คลินิกนิรนาม)
  • สมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 7 ธันวาคม 2567

ห้ามกินลูกพลับต่อด้วยนมเปรี้ยวและกล้วยหอม จะทำให้เป็นพิษต่อร่างกาย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2l6i1ldo1st9h


อาการง่วงนอน ท้องอืดทุกครั้งหลังกินข้าวมักพบในผู้ที่เลือดไม่สมบูรณ์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3jpk4mayoq1ya


ลมพิษเกิดจากการบูดเน่าของอาหารในลำไส้ ในช่วงเวลาอากาศเปลี่ยน ทำให้ร่างกายเกิดความแปรปรวน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2zo4hko2eyimt


ใบหน้าบวม ปลายจมูกแดง เป็นสัญญาณเตือนว่าหัวใจกำลังทำงานหนักขึ้น…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/i07175uugldy


 ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2025

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/14zyhu0y3b3m8


 ครม.ไฟเขียวพ.ร.บ.ตั๋วร่วมฯ เริ่ม ก.ย.68 ใช้รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/30fbtvomfpukq


 วางถังแก๊สหุงต้ม LPG นอนกับพื้น เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1pc9hntjpo62o


 สปส. เล็งปรับเงินประกันสังคมจ่ายเพิ่มสูงสุด 1,150 บาทต่อเดือน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2sxq5xhhz4wge


 ประกาศแล้ว กฎหมายสมรสเท่าเทียม มีผลใช้บังคับ 22 ม.ค. 68

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/14t34eg5tbbga


 ฉีดวัคซีนเอชพีวี 9 สายพันธุ์ ให้เด็กหญิง ป.5 ฟรี เริ่มเดือน ธ.ค. 67

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3fnuo3g1imrv2


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567

รับสมัครคนงานไปทำงานประเทศออสเตรเลีย ผ่านเพจ Job Peachy…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3pl94ud6zgtc9


แจกเงินดิจิทัล 10,000 รอบที่ 2 ในวันที่ 21 พ.ย67 นี้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/20sg58htk4b8g


น้ำมะนาวช่วยรักษา 3 โรคร้ายได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/236zssw2u7ts6


กฟภ. ส่ง SMS ให้ตรวจสอบสิทธิ์การรับเงินประกันมิเตอร์ไฟฟ้าคืน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1yaaz2rzm1o4u


 บริการสายด่วนรถรักษาอัมพาตเคลื่อนที่ศิริราช 1669 ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/mjxax85jv3wo


 ผู้ป่วยโรคไตห้ามรับประทานผักโขม เนื่องจากมีกรดออกซาลิกในปริมาณสูง

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/2jcny6eh2lire


 หอมแดงมีส่วนช่วยลดอาการหวัด

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/uflf3ddlesgd


ใบน้อยหน่าสามารถช่วยกำจัดเหาได้

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/19qjxknmkl6vvy


กรุงโซลกำลังเผชิญกับหิมะที่ตกหนักที่สุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ117 ปี

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1nwud0r09kh0en


 กินยาคลายกล้ามเนื้อบ่อยอันตราย

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/n5ttvnvt2sz8


 ดมยาดมบ่อยเสี่ยงเป็นโพรงจมูกอักเสบ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/ajy9ti2paxoc


 นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ อาจนำไปสู่ผลของการทำงานของสมองผิดไป…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2s76wnd24fe4dh


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 23 พฤศจิกายน 2567

ผงชูรสสามารถเพิ่มประสิทธิภาพทางเพศได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/3u6b9nsk7ohacn


ไปทำงานต่างประเทศอย่างถูกกฎหมาย ผ่านเพจ จัดส่งแรงงานไปต่างประเทศ ทั่วไทย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/wwme2l3w7zh6


ลักษณะของเมฆควันสีขาวเป็นเมฆเตือนภัย จะมีการเกิดเหตุคลังแก๊ส คลังน้ำมันระเบิดครั้งใหญ่…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1xluyc7hhtqs5


หากเห็นรูปภาพเป็นแม่น้ำลำคลอง แสดงว่าสายตาไม่ดี สายตาเสีย สายตาพร่ามัว…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1tkdkmm3he6y7#_=_


ประกันสังคมให้สิทธิประโยชน์ผู้ประกันตนป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย สามารถล้างไตทางช่องท้องด้วยเครื่องล้างไตอัตโนมัติ (APD)

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3d27ejwfwz1xs


รฟม. เปิดให้บริการลานจอดรถรายเดือนที่สถานีพระราม 9 และอีก 4 แห่ง

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1qgapdf4d468t#_=_


บทบาทของสื่อ ความรุนแรงออนไลน์  ต่อนักการเมืองหญิง…ชวนสำรวจ

บทบาทของสื่อ ความรุนแรงออนไลน์  ต่อนักการเมืองหญิง…ชวนสำรวจ

  • สถานการณ์ความรุนแรงต่อผู้หญิงผู้นำทางการเมืองในพื้นที่ออนไลน์ในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านกัน…
  • ความรุนแรงในพื้นที่ออนไลน์และพื้นที่สื่อ : ผลกระทบต่อนักการเมืองหญิง และการมีส่วนร่วมทางการเมืองของผู้หญิ
  • บทบาทของสื่อในการร่วมสร้างความเท่าเทียมและส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมือง

รายงานพิเศษ (ตอนที่ 1) ‘เกาะกูด’เป็นของใคร? ‘MOU44’ยกดินแดนไทยให้กัมพูชาจริงไหม? Special Report 50/67(1/3)

By : Zhang Taehun

เกาะกูดเป็นของใคร?

ภาพที่ 1 : ตัวอย่างภาพที่แชร์กันในสื่อสังคมออนไลน์ แสดงความกังวลรัฐบาลไทยจะนำเรื่องเกาะกูดไปเจรจากับกัมพูชา

นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 เป็นต้นมา หนึ่งในประเด็นการเมืองที่ร้อนแรงและส่งผลสะเทือนอย่างมากต่อรัฐบาลชุดปัจจุบันภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย คือเรื่อง การเจรจาระหว่างไทยกับกัมพูชาเพื่อแบ่งปันผลประโยชน์ทางพลังงาน” โดยรายงานข่าว “Thailand eyes $300bn gas field frozen by Cambodia dispute” ของ นสพ. Bangkok Post วันที่ 10 ต.ค. 2567 ระบุว่า แนวคิดดังกล่าวเริ่มต้นมาตั้งแต่ต้นปี 2567 สมัยอดีตนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ทั้ง 2 ชาติ ได้พูดคุยกันว่า จะหารือกันอย่างไรถึงวิธีการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ทางทะเล 26,000 ตารางกิโลเมตรอย่างยุติธรรม 

ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวคาดว่าจะมีก๊าซธรรมชาติประมาณ 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุตและน้ำมันดิบ 300 ล้านบาร์เรล แต่การเจรจานั้นไม่ง่ายและหยุดชะงักไปตั้งแต่ปี 2544 เนื่องจากทั้งไทยและกัมพูชามีความขัดแย้งกันเรื่องการกำหนดเส้นเขตแดน (หรือเส้นไหล่ทวีป) ทางทะเล และในปีนั้น ทั้ง 2 ชาติได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจร่วมกันหรือMemorandum of Understanding (MOU) ว่าจะต้องหารือเรื่องสิทธิเหนือดินแดนพร้อม ๆ กับการพัฒนาทรัพยากรร่วมกัน กระทั่ง เศรษฐา ทวีสิน ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ ไปด้วยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อเดือนสิงหาคม 2567 และ แพทองธาร ชินวัตร เข้ามารับตำแหน่งแทน จึงเริ่มมีกระแสข่าวว่ารัฐบาลจะเริ่มเจรจาอย่างจริงจัง เนื่องจากไทยมีแรงกดดันด้านความต้องการแหล่งพลังงานมาใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม ในสังคมไทย ความขัดแย้งทางการเมืองแบบสุดโต่งที่ยาวนานมาร่วมสองทศวรรษ ยังไม่ได้รับการแก้ไขตามวิถีทางประชาธิปไตย ภายหลังการเลือกตั้งปี 2566 ทำให้กระแสกดดันการยกเลิก MOU44 ถูกกระพือขึ้นมาอีก โดยฝ่ายมีความเห็นต่างจากรัฐบาลปัจจุบัน ตั้งข้อสังเกตว่า การที่รัฐบาลไทยในปี 2544 ซึ่งมีพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทยซึ่งเป็นพรรคดั้งเดิมของพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน  เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ไปรับรองบันทึกความเข้าใจร่วม (MOU) กับรัฐบาลกัมพูชา ทั้งที่ยังมีความขัดแย้งกันเรื่องเส้นอาณาเขตทางทะเล เท่ากับฝ่ายไทยไปยอมรับการลากเส้นของกัมพูชาหรือไม่? จึงมีข้อเสนอให้ยกเลิก MOU ปี 2544 เพื่อไม่ให้ไทยเสียเปรียบกัมพูชาหากในอนาคตเรื่องนี้กลายเป็นข้อพิพาทที่ต้องนำขึ้นสู่การพิจารณาของศาลโลกหรือบ้างก็แชร์ข้อมูลกันตามเพจการเมือง ความมั่นคง ในสื่อสังคมออนไลน์และการตีข่าวของสื่อมวลชนว่า ด้วย MOU ปี 2544 ไทยอาจต้องเสียเกาะกูด จ.ตราด ไปให้กัมพูชา ทั้งนี้ในรายงานข่าวของ Bangkok Post ข้างต้น ได้อ้างความเห็นของ สมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.)ซึ่งแต่งตั้งโดยรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันโอชา ที่ว่า การประนีประนอมใด ๆ เกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยของไทย อาจกลายเป็นชนวนเหตุที่ประชาชนจะออกมาต่อต้านรัฐบาลได้

ภาพที่ 2 : เกาะกูด จ.ตราด (ขอบคุณภาพจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย-ททท.)
เกาะกูดเป็นของไทยตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 และแผนที่แนบเรื่องปักปันเขตแดน  

บทความ ชมทะเลสวยที่ เกาะกูด” เกาะสุดท้ายแห่งน่านน้ำตะวันออกของไทย จังหวัดตราด โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุว่า เกาะกูด สถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิต จุดพักผ่อนหย่อนใจของเกาะขนาดใหญ่อันดับสองในจังหวัดตราด ภายในเกาะประกอบไปด้วยธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบ มีหาดทรายสีขาวที่เนียนละเอียด น้ำทะเลใสสีมรกต จนได้รับการขนานนามว่า อันดามันแห่งทะเลตะวันออก  

ในประเด็นประเทศใดถืออำนาจอธิปไตยเหนือเกาะกูด ฝ่ายไทยค่อนข้างจะตรงกันทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายที่เห็นต่างว่า เกาะกูดเป็นของไทยแน่นอนอาทิ ในวันที่ 30 ต.ค. 2567 ซึ่งพรรคพลังประชารัฐ ที่ปัจจุบันอยู่ในซีกฝ่ายค้าน เปิดแถลงข่าวเรียกร้องให้รัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย ยกเลิก MOU ปี 2544 โดย ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ประธานด้านวิชาการของพรรคพลังประชารัฐ อธิบายว่า ข้อความในเอกสาร MOU44 ประกอบแผนที่แนบ แสดงว่า 2 ประเทศได้ยอมรับว่ามีพื้นที่พัฒนาร่วม เพื่อให้ทำการเจรจาแบ่งผลประโยชน์ปิโตรเลียม 

แต่ขอบพื้นที่ดังกล่าวด้านทิศตะวันตก ใช้เส้นเขตแดนในทะเลที่ประกาศ โดยกัมพูชาในปี 2515โดยมีจุดตั้งต้นในเส้นที่พาดผ่านเกาะกูด ได้ตรวจสอบหลักฐานแล้ว พบว่าขัดกับสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1907 ดังนั้น จึงมีความเห็นว่าพื้นที่พัฒนาร่วมตามที่ระบุใน MOU44 ซึ่งขัดกับสนธิสัญญาฯ ย่อมทำให้เอกสาร MOU44 ทั้งฉบับผิดกฎหมาย

หากกัมพูชายอมรับว่าไทยมีเอกสิทธิ์ในเกาะกูดอย่างสมบูรณ์แต่ผู้เดียวจริง กัมพูชาจะต้องยอมรับไทยลากเส้นห่างจากชายฝั่งของเกาะกูด 200 ไมล์ทะเลตามกติกาสากล ไม่ใช่ลากเส้นพาดผ่านเกาะกูด ซึ่งการที่ใน MOU44 ไทยยอมรับเส้นพาดผ่านเกาะกูดนั้น ย่อมหมายความได้ว่าไทยยอมให้กัมพูชามีสิทธิ์ในเกาะกูดครึ่งหนึ่ง เป็นการทำให้ไทยเสียดินแดนชัดเจน” ธีระชัย กล่าว

โดยก่อนหน้านั้น ในวันที่ 28 ต.ค. 2567 ธีระชัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ตั้งข้อสังเกตการลากเส้นของฝ่ายกัมพูชา พร้อมแนบภาพประกอบไว้ 4 ภาพ ดังนี้ 1.เป็นเอกสารที่แสดงเส้นแบ่งเขตในทะเลประกาศโดยกัมพูชาในปี 2515 ที่ปลายลูกศรสีแดง กัมพูชาขีดเส้นนี้ผ่านกลางเกาะกูด ซึ่งอยู่ในสี่เหลี่ยมสีแดง 2.เป็นส่วนขยาย โดยเกาะกูดอยู่ในวงกลม เส้นของกัมพูชาผ่านกลางอย่างชัดเจน 3.เป็นแผนที่แนบท้าย MOU44 ตำแหน่งเกาะกูดอยู่ในสี่เหลี่ยมสีแดง และ 4.ปรากฏว่า ในแผนที่นี้ เส้นเขตแดนที่ประกาศโดยกัมพูชา ไม่ได้แสดงเป็นเส้นต่อเนื่อง แต่กลับเว้นช่องเอาไว้ ตรงตำแหน่งเกาะกูด

ซึ่ง ธีระชัย ระบุว่า วิธีการนี้ ย่อมทำให้ประชาชนที่ดูแผนที่แนบท้าย MOU44 มีข้อสงสัย กระทรวงต่างประเทศควรชี้แจง ทำแผนที่เว้นช่องตรงตำแหน่งเกาะกูด ด้วยเหตุผลใด? เป็นการเว้นช่อง เพื่อจะทำให้เข้าใจไขว้เขวว่า กัมพูชาไม่ได้ประสงค์จะขอแบ่งพื้นที่บนเกาะกูด เพียงแต่ประสงค์จะขอสิทธิในทะเล ใช่หรือไม่? จึงตั้งข้อสังเกตว่า หากจะทำแผนที่โดยกัมพูชายอมรับเด็ดขาดว่าเกาะกูดเป็นของไทย กรณีเช่นนี้ เส้นแบ่งเขตในทะเลของกัมพูชา ก็ต้องอ้อมเกาะกูด ไม่ใช่เพียงไม่กี่ไมล์ทะเล กรณีเช่นนี้ จะต้องอ้อมเกาะกูด เป็นรัศมี 200 ไมล์ทะเลนับจากชายฝั่งทิศใต้ของเกาะกูด ส่วนการที่ MOU44 แสดงแนวเส้นแบ่งเขตของกัมพูชา ผ่ากลางเกาะกูด นั้น ย่อมหมายความว่า ทั้งสองประเทศยอมรับว่า มีกรรมสิทธิ์ในเกาะกูดกันคนละครึ่ง ถ้าอย่างนี้ ไม่เรียกว่าเสียดินแดน จะเรียกว่าอะไร?

ภาพที่ 3 และ 4 : แผนที่ชายแดนทางทะเลไทย-กัมพูชา ตามคำกล่าวอ้างของ ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ประธานด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ

รายงานข่าว กต.ยัน “เกาะกูด” เป็นของไทย ไม่จำเป็นต้องยกเลิก MOU 44” โดยสถานีโทรทัศน์ ThaiPBS วันที่ 4 พ.ย. 2567 สุพรรณวษา โชติกญาณ อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเท ชี้แจงว่า ไทยได้ประกาศเขตไหล่ทวีปในปี 2516 เนื่องจากเห็นว่าการประเทศของกัมพูชาในปี 2515 เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ เพราะเส้นผ่านเข้าไปในเกาะกูด จึงประกาศเขตไหล่ทวีปของไทย เป็นพระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีป เมื่อวันที่ 18 พ.ค. 2516 ระบุว่า สิทธิอธิปไตยซึ่งต่อเนื่องกับทะเลอาณาเขตของประเทศใกล้เคียงอันจะถือเป็นจุดเริ่มของเส้นแบ่งเขตไหล่ทวีปนั้น จะเป็นไปตามที่ได้ตกลงกัน ดังนั้นในการประกาศของกัมพูชาและไทย มีพื้นที่ทับซ้อนกัน 26,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งค่อนข้างมีขนาดใหญ่ หรือกว่า 4 เท่าเมื่อเทียบกับกรณีพื้นที่ทับซ้อนของไทยกับมาเลเซีย โดยเป็นเส้นที่ครอบคลุมทะเลอาณาเขต EEZ และไหล่ทวีป

อย่างไรก็ตาม ไทย-กัมพูชา เริ่มเจรจาเรื่องพื้นที่ดังกล่าวตั้งแต่ปี 2513 แต่เกิดปัญหาว่ากัมพูชาต้องการคุยเพียงการพัฒนาร่วมในเรื่องของทรัพยากร ขณะที่ไทยเห็นว่าเขตทางทะเลมีความสำคัญ รวมถึงความมั่นคง และความเป็นอยู่ของประชาชน โดยยืนยันว่าต้องคุยประเด็นเหล่านี้ด้วย ซึ่งไทยได้ประกาศเส้นด้านใต้ลงมาระหว่างเกาะกูดกับเกาะกง แสดงออกว่าไทยไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่กัมพูชาประกาศ

โดยตามหลักสากลแล้ว เมื่อเกิดพื้นที่ทับซ้อนต้องเจรจากันทั้งสองฝ่ายเพื่อให้ใช้ประโยชน์ได้ สำหรับ MOU 2544 แบ่งเป็นพื้นที่เหนือเส้นละติจูด 11 องศาเหนือ เป็นการเจรจาแบ่งเขตทางทะเล และพื้นที่อยู่ใต้เส้นละติจูด 11 องศาเหนือ เป็นการเจรจาพัฒนาพื้นที่ร่วมกัน สิ่งที่ดำเนินการประชาชนทั้งสองฝ่ายต้องยอมรับในข้อตกลง และผลการเจรจาต้องผ่านความเห็นชอบโดยรัฐสภา และสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

“ยืนยันว่า MOU 44 ไม่ได้ทำให้ไทยเสียเกาะกูด เพราะสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส ค.ศ.1907 ระบุชัดเจน เกาะกูดเป็นของไทย เป็นการยืนยันกรรมสิทธิ์เหนือตัวเกาะ และยังใช้อำนาจอธิปไตยเกาะกูด 100%” อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายกล่าว

ทั้งนี้ สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1907 มีชื่อเต็มว่า หนังสือสัญญระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ลงวันที่ 23 มีนาคม ร.ศ.125 (ค.ศ.1907)” สาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทพื้นที่ทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา จะอยู่ใน ข้อ 1 ที่ระบุว่า รัฐบาลสยามยอมยกดินแดนเมืองพระตะบอง เมียงเสียมราฐกับเมืองศรีโสภณให้แก่กรุงฝรั่งเศสตามกนดเขตแดน ดังว่าได้ในข้อ 1 ของสัญญาว่าด้วยปักปันเขตแดนซึ่งติดท้ายสัญญานี้ และใน ข้อ 2 ที่ระบุว่า รัฐบาลฝรั่งเศสยอมยกดินแดนเมืองด่านซ้าย และเมืองตราดกับทั้งเกาะหลายซึ่งอยู่ภายใต้แหลมสิงห์ลงไปถึงเกาะกูดนั้นให้แก่กรุงสยาม ตามกำหนดเขตแดนดังว่าไว้ในข้อ 2 ของสัญญาว่าด้วยปักปันเขตแดนดังกล่าวมาแล้ว ดังนั้นจึงเป็นที่ชัดเจนว่าเกาะกูดเป็นของไทย

ภาพที่ 5 : หนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ลงวันที่ 23 มีนาคม ร.ศ.125 (ค.ศ.1907) 
หมายเหตุ : คำว่า “เขต” สมัยนั้นเขียนว่า “เขตร์”ส่วนคำว่า “และ” สมัยนั้นเขียนว่า “แล”

ยังมีรายงานข่าว เปิดเบื้องลึก MOU ไทย-กัมพูชา เรื่องเกาะกูด จากปากอดีต รมว.ต่างประเทศ ของ นสพ.ฐานเศรษฐกิจ วันที่ 5 พ.ย. 2567 อ้างความเห็นของ สุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งในขณะที่ดำรงตำแหน่งดังกล่าว ได้เป็นผู้ลงนาม MOU ปี 2544 โดย สุรเกียรติ์ เคยเขียนบทความในจุลสารความมั่นคงศึกษา ของสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ฉบับที่ 92 เมื่อเดือนพฤษภาคม 2554 เรื่อง พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา ปัญหาและพัฒนาการ

โดยข้อเขียนของ สุรเกียรติ์ ระบุว่า ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชาในอ่าวไทย ครอบคลุมพื้นที่กว่า 26,000 ตารางกิโลเมตร เริ่มมีการเจรจาครั้งแรกเมื่อปี 2513 ที่กรุงพนมเปญ แต่ไม่มีความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรม จนกระทั่งปี 2533 ในสมัยรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ประสบความสำเร็จในการผลักดันการพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทย-มาเลเซีย จึงพยายามใช้โมเดลนี้กับกัมพูชา แต่ก็ไม่สำเร็จเนื่องจากกัมพูชายังมีปัญหาความขัดแย้งภายในประเทศ กระทั่งจุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2544 เมื่อ สุรเกียรติ์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ผลักดันให้มีการเจรจาอย่างจริงจัง จนนำไปสู่การลงนามในบันทึกความเข้าใจเมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2544(หรือก็คือ MOU44 เกิดขึ้นในช่วงนี้)

หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ สุรเกียรติ์ เน้นย้ำคือเรื่องเกาะกูด ก่อนหน้านี้กัมพูชาเคยอ้างสิทธิเหนือเกาะกูดกึ่งหนึ่ง แต่ในการเจรจาครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกัมพูชาได้ยืนยันว่าจะยกเลิกข้อเรียกร้องดังกล่าว และยอมรับว่าเกาะกูดเป็นของไทย โดยแผนผังที่แนบท้ายบันทึกความเข้าใจได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเกาะกูดอยู่ภายใต้อธิปไตยของไทย การที่กัมพูชายอมรับอธิปไตยของไทยเหนือเกาะกูดอย่างเป็นทางการเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกนี้ ถือเป็นความสำเร็จที่สำคัญ ในการเจรจา ฝ่ายไทยยังพยายามผลักดันให้เส้นเขตแดนทางทะเลเป็นเส้นตรงไม่ผ่านเกาะกูด เพื่อให้อธิปไตยของไทยเหนือเกาะกูดมีความชัดเจนยิ่งขึ้น รายงานข่าวของฐานเศรษฐกิจ ระบุ


(อ่านต่อ) รายงานพิเศษ (ตอนที่ 2) ‘เกาะกูด’เป็นของใคร? ‘MOU44’ยกดินแดนไทยให้กัมพูชาจริงไหม? Special Report 50/67 (2/3) | Cofact
https://blog.cofact.org/special-report-2-3/

(อ่านต่อ) รายงานพิเศษ (ตอนที่ 3) ‘เกาะกูด’เป็นของใคร? ‘MOU44’ยกดินแดนไทยให้กัมพูชาจริงไหม? Special Report 50/67(3/3) | Cofact
https://blog.cofact.org/special-report-50673-3/

มองสังคมไทย “ผู้หญิง” ยังเผชิญความรุนแรงไม่เว้นแวดวงการเมือง “คุกคามออนไลน์” น่าห่วงเพราะคุมยาก

องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน บรรณาธิการข่าว นักการเมือง นักวิชาการและองค์กรภาคประชาสังคม เห็นร่วมกันถึงปัญหาความรุนแรงต่อผู้หญิงในการเมืองไทยโดยเฉพาะในโลกออนไลน์ที่เต็มไปด้วยการข่มขู่คุกคาม ถ้อยคำที่สร้างความเกลียดชังรวมทั้งข่าวลวง/ข้อมูลเท็จเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือและชื่อเสียงของผู้หญิงที่มีบทบาทในทางการเมือง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อบุคคลที่ตกเป็นเป้าของการโจมตีเท่านั้น แต่ยังอาจสกัดกั้นการเข้ามามีบทบาทของผู้หญิงในการเมืองไทย

วันที่ 18 พ.ย. 2567 มูลนิธิ Westminster Foundation for Democracy ร่วมกับโคแฟค ประเทศไทย, สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย, สถาบันนิติวัชร์, และ Decode.plus ไทยพีบีเอส ได้ร่วมกันจัดเวทีเสวนาในหัวข้อ “สื่อกับผู้หญิงในโลกการเมือง” ที่โรงแรม สยาม แอท สยาม ดีไซน์ โฮเทล กรุงเทพฯ โดยมีการถ่ายทอดสดผ่านเพจเฟซบุ๊ก “Decode.plus” และ “Cofact โคแฟค”

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟคประเทศไทย กล่าวว่า gender-based violence หรือความรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับฐานคิดเรื่องเพศสภาพหรือเพศวิถีมักเริ่มต้นจากการสื่อสาร โดยเฉพาะในยุคสื่อสังคมออนไลน์ที่การสื่อสารทำได้ง่าย โดยมีทั้งเนื้อหาที่เผยแพร่ตามธรรมชาติและที่เกิดจากการจัดตั้ง ผู้หญิงที่เข้ามาทำงานทางการเมืองหรือนโยบายสาธารณะหลายคนพบกับความรุนแรงในรูปแบบนี้ รวมทั้งตัวเธอเองด้วยที่ทำงานเคลื่อนไหวทางทางสังคมและเคยดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องในเรื่องส่วนตัว เช่น ทำไมไม่แต่งงานมีลูกหรือถูกมองว่าเป็นคนก้าวร้าว ซึ่งสะท้อนความคาดหวังว่าผู้หญิงต้องมีบทบาทเป็นภรรยาและเป็นแม่ แม้ว่าค่านิยมหรือมายาคติเหล่านี้จะลดลงในปัจจุบัน แต่ผู้หญิงที่ทำงานการเมืองหรือมีบทบาทในด้านอื่นๆ ก็ยังต้องเผชิญกับอคติทางเพศอยู่ไม่น้อย

มุมหนึ่งเราต้องธำรงหลักการตรวจสอบวิพากษ์วิจารณ์นักการเมืองไม่ว่าจะเพศสภาพไหน เราต้องมีเสรีภาพขั้นพื้นฐานในการตรวจสอบบุคคลสาธารณะ นักการเมืองไม่ว่าหญิงหรือชายก็ต้องอดทนอดกลั้นที่จะถูกตรวจสอบวิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่การวิพากษ์วิจารณ์ควรอยู่บนหลักเหตุและผลและข้อเท็จจริง เช่น ความคิด การกระทำหรือผลงาน ไม่ใช่ไปเน้นอคติโดยเฉพาะในเรื่องของเพศสภาพสุภิญญากล่าว

เกศชฎา พรหมจรรย์ ผู้อำนวยการ Westminster Foundation for Democracy (WFD) กล่าวว่าวงเสวนานี้สอดคล้องกับการรณรงค์ “16 วันเพื่อยุติความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศ” ระหว่างวันที่ 25 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม ของทุกปีที่หลายประเทศทั่วโลกจะร่วมกันสร้างความตระหนักถึงความรุนแรงทางเพศในทุกรูปแบบ จึงนับเป็นโอกาสอันดีที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะสื่อมวลชนซึ่งมีอิทธิพลต่อการรับรู้และทัศนคติของคนในสังคม จะได้ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองต่อข้อท้าทายและหาแนวทางเพื่อทำให้การเมืองไทยเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับผู้หญิง

Screenshot

เน็นเด็น เซการ์ อารัม (Nenden Sekar Arum) จาก SAFEnet ประเทศอินโดนีเซี ฉายภาพสถานการณ์ความรุนแรงต่อนักการเมืองที่เป็นผู้หญิงในอินโดนีเซีย โดยระบุว่านักการเมืองหญิงยังคงถูกข่มขู่คุกคามบนโลกออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งเธอมองว่าสื่อสังคมออนไลน์เป็นทั้งโอกาสและความท้าทาย

การข่มขู่คุกคามเหล่านี้มีผลทั้งต่อจิตใจและสุขภาวะของผู้หญิง และยังอาจส่งผลต่อการแข่งขันทางการเมือง ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันทางเพศในเวทีการเมือง…อินโดนีเซียยังขาดกลไกในการรับแจ้งเมื่อมีความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศเกิดขึ้น ขาดการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ และพรรคการเมืองจำนวนหนึ่งอาจไมได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้” เน็นเด็นระบุ

กุลธิดา สามะพุทธิ Fact checker กองบรรณาธิการโคแฟค กล่าวว่าข้อมูลเท็จถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือโจมตีทางการเมือง โดยนักการเมืองหญิงจะถูกโจมตีด้วยข้อมูลเท็จในเชิงเหยียดเพศ (gendered disinformation) มากกว่าผู้ชาย โดยเนื้อหาส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเชิงชู้สาว การตัดต่อภาพวาบหวิว การล้อเลียนเสียดสีเรื่องความสามารถทางภาษา พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม รวมทั้งการปลอมแปลงตัวตน เช่น บัญชีโซเชียลมีเดียปลอมเพื่อสร้างความเสียหายต่อนักการเมืองหญิง

กุลธิดากล่าวว่า gendered disinformationเป็นรูปแบบหนึ่งของการใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิง โดยอ้างกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐฯ ที่ให้นิยามข้อมูลเท็จเชิงเหยียดเพศว่าเป็น “การคุกคามและการใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิง ด้วยการเอาประเด็นทางเพศมาสร้างข้อมูลเท็จหรือเนื้อหาที่สร้างความเข้าใจผิด ซึ่งมักจะทำกันเป็นเครือข่าย มีเป้าหมายเพื่อสกัดกั้นผู้หญิงไม่ให้มีบทบาทในสังคม”

ขณะที่บทความวิชาการในวารสาร Media Asia Journal ระบุว่า gendered disinformation ที่ถูกนำมาใช้ในการโจมตีนักการเมืองหญิงนั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อบุคคลที่ตกเป็นเป้าเท่านั้น หากแต่ยังส่งผลต่อทัศนคติของคนในสังคมต่อผู้หญิง บ่อนเซาะความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย และทำให้เกิดการตีตรานักการเมืองหญิงอีกด้วย

ตัวอย่าง gendered disinformation ต่อนักการเมืองหญิงในไทยเช่น กรณียิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ากพรรคเพื่อไทย ถูกกล่าวหาในประเด็นชู้สาวกับวาทกรรม “ว.5 โรงแรมโฟร์ซีซันส์”และมีการแชร์ข้อมูลว่าเธอพูดผิด เช่น อ่านคำว่าคอนกรีตว่า “คอ-นก-รีต” หรืออ่านชื่ออำเภอขนอมว่า “ขน-อม” เป็นต้น โดยที่ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่พิสูจน์ได้ว่าอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ เคยพูดหรืออ่านคำเหล่านี้ผิดเมื่อใด

รักชนก ศรีนอก สส.ทม. พรรคประชาชน ถูกระบุเท็จว่าเป็นผู้หญิงที่สวมชุดบิกินีสีส้ม และมีการเผยแพร่ข้อมูลที่ทำให้เชื่อว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ยืนสูบบุหรี่ไฟฟ้าในที่ห้ามสูบบุหรี่ของอาคารรัฐสภา

จิตภัสร์ กฤดากร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ถูกอ้างเท็จว่าเป็นบุคคลในภาพที่ถีบป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมทถึงปารีณา ไกรคุปต์ อดีต สส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ถูกอ้างเท็จว่าเป็นผู้หญิงในภาพวาบหวิวและการถูกสวมรอยสร้างบัญชีเฟซบุ๊กไปทำโพลเปรียบเทียบความสวยระหว่าง“ปารีณา ไกรคุปต์” กับ “พรรณิการ์ วานิช” ซึ่งขณะนั้นพรรณิการ์เป็น สส. พรรคอนาคตใหม่ 

กุลธิดายังได้หยิบยกเนื้อหาบางส่วนจากการสัมภาษณ์นักการเมืองหญิงสองคน คือ ปารีณาและรักชนก 

ปารีณาตั้งข้อสังเกตว่า การโจมตีด้วยข้อมูลเท็จหรือข่าวปลอมเกิดขึ้นได้กับนักการเมืองทุกเพศ ขึ้นอยู่กับว่านักการเมืองคนใดมีความโดดเด่นหรือสังคมกำลังจับตามอง ส่วนในกรณีที่ตนเองเคยเจอมาก็มองว่าชินแล้ว เล่นการเมืองมานานจะให้ไปแก้ข่าวเท็จทุกเรื่องก็คงไม่เป็นอันทำอะไร ขณะที่รักชนกยอมรับว่า การถูกโจมตีในลักษณะนี้ส่งผลกระทบกับตนเองอย่างมาก เช่น เรื่องสูบบุหรี่ไฟฟ้าในอาคารรัฐสภา แม้จะชี้แจงไปแล้วว่าคนในภาพนั้นไม่ใช่ตน แต่เมื่อไปลงพื้นที่ก็ยังถูกตั้งคำถามเสมอ

ประเด็นที่คุณปารีณาและคุณรักชนกพูดตรงกัน คือไม่ได้คาดหวังกับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มว่าจะช่วยอะไรพวกเธอได้ในการถูกโจมตีด้วยข้อมูลเท็จหรือมีบุคคลปลอมแปลงเฟซบุ๊ก ก็คิดว่าออกมาชี้แจงด้วยตัวเองก็คงจะทำได้เท่านี้ กุลธิดากล่าว

Screenshot

ขวัญข้าว คงเดชา นักวิจัย สถาบันพระปกเกล้ากล่าวว่า เทคโนโลยีนั้นขึ้นอยู่กับการใช้งานว่าจะสื่อสารเนื้อหาอย่างไร แต่ก็เห็นว่าเทคโนโลยีออนไลน์เหมือนเป็นการเพิ่มพื้นที่ความรุนแรงให้มากขึ้นและเกิดขึ้นกับทุกคน เพียงแต่เมื่อเกิดกับผู้หญิงมักผูกโยงกับปัจจัยเรื่องเพศมากกว่าผู้ชายที่จะไม่ค่อยถูกใช้ความรุนแรงจากเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม มีข้อค้นพบจากการทำวิจัยกับเครือข่าย สส. หญิงในประเทศไทยเมื่อช่วงต้นปี 2567 ซึ่งแม้จะมีกลุ่มตัวอย่างให้ข้อมูลค่อนข้างน้อย คือประมาณ 20 คน แต่ก็มีความน่าสนใจ

กล่าวคือ เมื่อถามว่าเคยประสบความรุนแรงทางเพศขณะที่เป็นนักการเมืองหรือไม่ กลุ่มตัวอย่างครึ่งหนึ่งบอกว่าเคยแต่อีกครึ่งบอกว่าไม่เคย โดยในกลุ่มที่บอกว่าเคย มี 4 คน บอกว่าเคยเจอเฉพาะความรุนแรงทางจิตใจ และอีก 6 คน ให้ข้อมูลว่าเจอทั้งความรุนแรงทางกายภาพและทางจิตใจ ขณะที่เมื่อถามว่าความเป็นเพศสภาพมีผลต่อเส้นทางชีวิตของการเป็นนักการเมืองหรือไม่ กลุ่มตัวอย่าง 11 คน ตอบว่าไม่เกี่ยวข้อง ส่วนอีก 9 คนตอบว่าเกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ ในกลุ่มที่ตอบว่าไม่เกี่ยวข้อง จากการสัมภาษณ์เชิงลึก ได้รับคำอธิบายว่า เมื่อได้มาเป็น สส. หรือเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว การบ่งบอกตัวตน ณ เวลานั้น คือการเป็นตัวแทนของประชาชน และมองว่าการเลือกตั้งขึ้นอยู่กับตัวบุคคลมากกว่าเพศสภาพ นอกจากนั้นความเป็นผู้หญิงยังสามารถใช้เป็นข้อได้เปรียบในการทำกิจกรรมทางการเมืองเมื่อเทียบกับผู้ชาย เช่น การหาเสียงเลือกตั้งหรือการลงพื้นที่พบปะกับประชาชน ซึ่งผู้หญิงสามารถใช้บทบาทความเป็นแม่ ลูกสาว พี่หรือน้องสาว ซึ่งมีความละเอียดอ่อนในการเข้าถึงประชาชนได้มากกว่า

ไม่ได้จะบอกว่านักการเมืองหรือ สส. หญิงจะไม่สนใจเรื่องนี้ เขามีความสนใจ ทุกคนมีความตื่นตัว หลายคนอาจจะบอกว่า ignorance (เมินเฉย) หรือเปล่า? จริงๆ ไม่ใช่ ทุกคนมี perception (การรับรู้) หรือ gender lens (มุมมองเรื่องเพศ) ที่ต่างกัน ไม่ว่าจะด้วยสถานะทางสังคม การเลี้ยงดู การได้รับการศึกษาที่แตกต่างกัน ฉะนั้นหากเราสามารถสร้าง gender sensibility (ความละเอียดอ่อนในประเด็นเรื่องเพศ) ที่ไม่ถึงกับต้องเป็น universal (สากล)ก็ได้ แต่เป็นที่ยอมรับในสังคมในบริบทของไทย และให้เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร จะสามารถเพิ่มการตระหนักรู้ได้ทั้งผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ ว่าสิ่งที่เจอไม่ใช่แค่เกมการเมืองแต่เป็นความรุนแรงรูปแบบหนึ่ง ขวัญข้าวกล่าว

ชลธิชา แจ้งเร็ว สส.ปทุมธานี พรรคประชาชนเล่าว่าเธอถูกโจมตีด้วยข้อมูลเท็จและการคุกคามบนโลกออนไลน์มาตั้งแต่เป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองหลังรัฐประหารปี 2557 จนกระทั่งมาเป็น สส. ซึ่งมีทั้งการถูกอ้างเท็จว่าเป็นบุคคลที่สวมเสื้อสีส้มไปถวายความอาลัยในหลวงรัชกาลที่ 9 หรือการตัดต่อบทสนทนาในแอปพลิเคชันไลน์แล้วนำไปอ้างเท็จว่าเธอมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับนักการทูตอเมริกันที่ประจำสถานทูตสหรัฐฯ ในประเทศไทย

เธอเชื่อว่าการเผยแพร่ข่าวปลอมในลักษณะนี้ไม่ใช่เพียงการแชร์กันไปด้วยความเข้าใจคลาดเคลื่อนหรือเข้าใจผิด แต่เป็นการเผยแพร่โดยเจตนาและทำงานกันอย่างเป็นระบบ โดยสื่อมวลชนส่วนหนึ่งกับผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์อีกส่วนหนึ่งพยายามปั้นเรื่องขึ้นมา

การคุกคามทางออนไลน์เหล่านี้ ส่งผลกระทบต่อเธออย่างรุนแรงโดยเฉพาะในทางจิตใจ ทำให้เธอกังวลถึงความปลอดภัยต่อชีวิตด้วย เพราะมีการเขียนข้อความข่มขู่ว่าจะข่มขืน มีการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ลงเบอร์โทรศัพท์ไว้และมีคนโทรเข้ามาข่มขู่คุกคาม หรือเมื่อออกไปเดินบนท้องถนนก็มีคนพยายามจะเข้ามาทำร้ายร่างกาย ทำให้เข้าใจความสำคัญของปัญหาการคุกคามทางออนไลน์ 

ชลธิชายอมรับว่าก่อนหน้านั้นไม่เคยตระหนักถึงผลกระทบของความรุนแรงต่อผู้หญิงในโลกออนไลน์มาก่อนจนกระทั่งได้เจอกับตนเอง ถึงขั้นต้องเดินทางไปอยู่ต่างประเทศ 4-5 เดือนเพื่อความปลอดภัยและฟื้นฟูสภาพจิตใจ และได้พบจิตแพทย์ จึงได้เข้าใจว่าการปล่อยให้เกิดการคุกคามบนโลกออนไลน์ โดยเฉพาะการใช้ข่าวปลอมทำลายกันนั้นส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตใจระยะยาว

มันมากกว่าที่เราคิด ไม่ใช่แค่ discredit (ทำลายความน่าเชื่อถือ) เราทางการเมืองเท่านั้น แต่มีผลทางกายภาพและเรื่องของสุขภาพจิต เคยอยู่ในภาวะที่ป่วยเป็น PTSD (โรคเครียดภายหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ) อยู่ช่วงหนึ่ง เพราะรับข้อความหรือเจอการคุกคามทางกายภาพเป็นประจำ จนมีภาวะป่วยด้วยเรื่องสุขภาพจิต เชื่อไหมว่าความน่าเศร้าเกิดขึ้นเมื่อเราพบว่าในช่วงนั้นขบวนการเคลื่อนไหวหรือแม้แต่พื้นที่ของการทำงานทางการเมือง ไม่ได้มีใครตระหนักถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากเรื่องนี้ ชลธิชากล่าว

ศรีโสภา โกฏคำลือ สส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทยเล่าว่า การที่ตนเป็นผู้หญิง มีอายุน้อย และเป็นทายาทนักการเมือง ทำให้มีคนที่มองว่าชีวิตสุขสบาย ถูกตั้งคำถามว่าเคยลำบากหรือไม่ ซึ่งตนก็ไม่ได้มองว่าคนเหล่านั้นคิดผิดและมองว่าเป็นเรื่องปกติที่เขาจะสงสัย แต่ใครที่ได้เห็นตนทำงานก็จะรับรู้ว่าการที่มาอยู่ตรงนี้ได้ไม่ใช่เป็นเพียงเพราะมีพ่อเป็นนักการเมือง แต่ยังเป็นเพราะสิ่งที่ตัวราเป็นพยายามผลักดันให้เราทำงานได้ดีขึ้นเรื่อยๆ

ส่วนประสบการณ์เรื่องความรุนแรง ตนเคยมีประสบการณ์ในช่วงก่อนจะเข้ามาทำงานการเมือง โดยเวลานั้นมีโอกาสได้ไปเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลเชียงใหม่ยูไนเต็ด โดยในการแข่งขันต้องเผชิญแรงกดดันจากกองเชียร์ทีมคู่แข่ง ซึ่งตนยอมรับว่าเป็นเรื่องขัดกับธรรมชาติหากไม่ตอบโต้ สุดท้ายจึงแสดงออกไปด้วยการชูนิ้วกลางใส่ฝูงชน แม้จะเป็นการแสดงออกที่สังคมไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยยอมรับ แต่ในฐานะหัวหน้าก็ต้องแสดงให้ลูกทีมเห็นว่าตนไม่กลัว ดังนั้นทุกคนอย่าเสียกำลังใจ ให้แข่งขันต่อไปและออกจากสนามนี้อย่างปลอดภัย

สิ่งที่เราได้รับคือสำนักข่าวอื่นเขาก็ตีความปกติไปว่ามีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น แต่สิ่งที่แปลกใจมากๆ คือู้สื่อข่าวหญิงคนหนึ่งวิจารณ์การกระทำของเรา เข้าใจว่าเขาไม่เคยดูฟุตบอลเลยวิจารณ์ไปตามประสาว่าเป็นผู้หญิงที่ก้าวร้าว แต่ทุกคนที่อยู่ในวงการฟุตบอลจะรู้ มันไม่มีผู้หญิงสติดีที่ไหนหรอกที่อยากจะหาเรื่องคนเป็นร้อย สิ่งที่เราได้รับคือเหมือนเขาให้ความเห็นแบบผู้หญิงมากๆ ทั้งๆ ที่ผู้หญิงด้วยกันควรจะเข้าใจว่าเราได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง ศรีโสภากล่าว

ญดา โภคาชัยพัฒน์ อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานเลขาธิการสถาบันนิติวัชร์ กล่าวว่า การที่ผู้เสียหายจากเหตุความรุนแรงทางเพศจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ก็จะคิดว่าทำแล้วคุ้มหรือไม่ เพราะหนึ่ง-การกระทำเกิดขึ้นทางออนไลน์ซึ่งหาตัวผู้กระทำได้ยาก เนื่องจากทุกคนมีโทรศัพท์มือถือหรือเครื่องคอมพิวเตอร์ เสมือนมีปากกาพร้อมจะเขียนบนโลกออนไลน์ได้เสมอ ส่วนคนจะกรองข้อความหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งสอง-กระบวนการที่ต้องเล่าซ้ำๆ ในสิ่งที่ถูกกระทำตั้งแต่ชั้นตำรวจ อัยการและศาล ซึ่งในมุมของเจ้าหน้าที่มองว่าเป็นขั้นตอนที่ทำเพื่อต้องการทราบข้อเท็จจริงโดยละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้นและได้รับความเสียหายอย่างไรบ้าง แต่ในมุมของผู้ถูกกระทำก็อาจคิดไปได้ว่าเจ้าหน้าที่มองว่าผู้ถูกกระทำนั้นได้ทำอะไรผิดหรือไม่ สาม-ไม่มีกระบวนการเยียวยาหรือคุ้มครองผู้ถูกกระทำระหว่างอยู่ในขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม เช่น เมื่อถูกเผยแพร่คลิปวีดีโอ ภาพหรือข้อความ และถูกแชร์ต่อกันอย่างสนุกสนาน ผู้เสียหายไม่สามารถยื่นคำร้องต่อศาลให้นำเนื้อหานั้นออกจากระบบได้

เขาจะต้องวิ่งไปทางตำรวจ แล้วกว่าคำพิพากษาจะออกมากินเวลานานมาก อาจเป็นปีหรืออาจจะฝังอยู่ ถ้าเกิดค้นหาชื่อคนคนนี้ขึ้นมา ข่าวทุกข่าวเหมือนย้อนประวัติศาสตร์เป็นบันทึกข้อความว่าเขาผ่านอะไรมา อัยการญดากล่าว

ณฐรัจน์ นิ่มรัตนสิงห์ Brand Manager จาก Mirror Thailand กล่าวว่า Mirror Thailand เป็นสื่อที่มีฐานผู้ติดตามเป็นกลุ่มคนที่สนใจประเด็นความเท่าเทียมทางเพศและการส่งเสริมศักยภาพของผู้หญิง เพราะมองว่าประเทศไทยยังไม่ก้าวหน้าขนาดนั้น และการทำงานด้านนี้ยังต้องทำงานทางความคิดกันอย่างต่อเนื่องยาวนาน เช่น เมื่อผู้หญิงมาทำงานการเมือง สื่อมวลชนไทยยังคงใช้คำว่านักการเมืองหญิง ในขณะที่ผู้ชายจะใช้เพียงคำว่านักการเมือง 

หรือการตั้งประเด็นคำถามในการสัมภาษณ์นักการเมือง หากเป็นผู้ชายจะมุ่งถามในเรื่องการทำงาน ในขณะที่ผู้หญิงจะมีคำถามเรื่องชีวิตส่วนตัว (lifestyle) ขึ้นมาเพื่อให้ดูผ่อนคลาย ทั้งนี้ แม้ปัจจุบันสัดส่วนนักการเมืองหญิงในสภาไทยจะสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา แต่ก็ต้องดูกันต่อไป ไม่ใช่ว่ามาถึงจุดนี้จะดีใจกันแล้ว เท่าเทียมแล้ว หรือกฎหมายสมรสเท่าเทียมผ่านแล้วคือจบแล้ว แต่ยังต้องทำงานกันอีกมาก

ส่วนหนึ่งที่เป็นปัญหาที่ทาง Mirror จะพยายามไม่ทำ นั่นคือการพยายามพาดหัวให้สั้นลง การพยายามย่อยทุกอย่าง เพราะเรารู้ว่าในยุคที่ social media มีผลกระทบมากๆ ในโลกออนไลน์ สื่ออยู่ได้ด้วยยอดแชร์ต่างๆ นานา ทำให้จริยธรรมในการทำงานของสื่อน้อยลง ถ้าเป็นประเด็นที่ค่อนข้างล่อแหลมหรือมีความสุ่มเสี่ยงอ่อนไหวมากๆ เราจะไม่ค่อยตัดทอนอะไรออกไป เราจะพยายามให้มันครบถ้วน เพราะเราไม่เชื่อว่าการพาดหัวที่สั้นมันสื่อสารมีประสิทธิภาพที่สุด มันอาจมีประสิทธิภาพที่สุดกับ social media แต่ไม่ใช่กับผู้รับสาร ณฐรัจน์กล่าว

จีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง เลขาธิการสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และอุปนายกมาตรฐานวิชาชีพ สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ กล่าวว่า สมาคมนักข่าวฯ ร่วมกับคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ(Unesco) จัดทำคู่มือแนวปฏิบัติเรื่องการป้องกันการล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งจะกระจายคู่มือนี้ไปยังสื่อต่างๆ ที่เป็นสมาชิกสมาคม รวมถึงประชาชนทั่วไป เพื่อให้สามารถนำไปใช้ในระบบงานทรัพยากรบุคคลภายในองค์กรของตนเองได้

อย่างเคยมีกรณีนักข่าวผู้หญิง เกิดเรื่องแล้วไปร้องเรียนทั้งบรรณาธิการและบรรณาธิการบริหารซึ่งเป็นผู้ชายแล้วไม่สามารถช่วยเหลือได้เพราะไม่เข้าใจ ดังนั้นทำอย่างไรที่องค์กรสื่อหรือทุกๆ องค์กร จะมีระบบดูแลพนักงานที่เผชิญปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ในระบบ HR และในกรณีที่เป็นนักการเมือง ก็ต้องถามไปถึงสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ว่ามีกระบวนการรับเรื่องร้องเรียนกรณีนักการเมืองหญิงถูกล่วงละเมิดหรือไม่ สส. ก็ต้องไปย้อนถามในสภาทำเนียบรัฐบาล กระทรวงต่างๆ มีหรือไม่ 

ผมก็มีโต๊ะข่าวที่เป็นโต๊ะสุขภาพ ก็มีคนที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าหรืออะไรพวกนี้เยอะ ผมไปพบว่าบริษัทใหญ่ๆ เขามีหน่วยเฉพาะที่ให้คำปรึกษาเมื่อคุณเจอผลกระทบทางจิตใจ อย่างเจอล่วงละเมิดทางเพศ หรือเรื่องอะไรก็แล้วแต่ ผมว่าถ้ามีหน่วยพวกนี้ทุกองค์กร ผมว่าจะมีความเข้าใจเรื่องพวกนี้มากขึ้น จีรพงษ์กล่าว

ปกรณ์ พึ่งเนตร บรรณาธิการบริหาร เนชั่น TVยกตัวอย่างการตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ชุดต่างๆ ในสภา ปัจจุบันจะเป็นการกำหนดโควตาโดยอิงจำนวน สส. ของแต่ละพรรคการเมือง ซึ่งพรรคจะส่งใครมาก็ไม่สามารถไปขัดแย้งได้ แต่ กมธ. บางชุดที่เกี่ยวข้องกับประเด็นอ่อนไหวสามารถกำหนดบุคคลที่จะมาเป็นได้โดยอิงกับผู้ได้รับผลกระทบโดยไม่ต้องยึดติดกับโควตาทางการเมือง เช่น ยาเสพติด ความรุนแรงในครอบครัว หรือการอนุญาตให้ประเทศไทยมีกาสิโนถูกกฎหมาย ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้หญิงได้รับผลกระทบมาก

ปกรณ์ยกตัวอย่างประเทศเกาหลีใต้ที่มีสถาบันวิจัยกฎหมาย และมีตัวอย่างเรื่องกฎหมายการสร้างห้องน้ำสาธารณะ ซึ่งนักการเมืองมักเข้าใจว่าความเท่าเทียมหมายถึงการสร้างห้องน้ำชายและหญิงในจำนานเท่าๆ กัน แต่ผลการศึกษาชี้ว่าในความเป็นจริงผู้หญิงใช้เวลาเข้าห้องน้ำนานกว่าผู้ชาย ดังนั้นการสร้างห้องน้ำชายและหญิงเท่ากันส่งผลให้ผู้หญิงต้องรอนานกว่ากรณีมีผู้ใช้ห้องน้ำจำนวนมาก นำมาสู่การออกกฎหมายใหม่ที่กำหนดให้สร้างห้องน้ำหญิงมากกว่าชาย 

ขณะที่การทำงานของสื่อ ต้องยอมรับว่าในอดีตมีการแบ่งแยกกันระหว่างสื่อหลักที่มีกรอบจรรยาบรรณและมีสมาคมวิชาชีพกับสื่อออนไลน์หรือสื่อทางเลือก แต่ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจและความอยู่รอดของสื่อหลักซึ่งมีต้นทุนสูงมาก ทำให้ทั้งสื่อหลักและสื่อทางเลือกเคลื่อนมาอยู่ใกล้กัน คือยิ่งไม่มีจรรยาบรรณมากเท่าไรก็จะยิ่งมีเรตติ้งมากเท่านั้น  เป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายของสื่อ การควบคุมไม่ให้ละเมิดทำได้ยากเพราะละเมิดแล้วได้เรตติ้ง เพราะเรื่องเหล่านี้สามารถหาดูได้ในสื่อออนไลน์ หากสื่อหลักไม่แข่งด้วยก็ไม่มีใครมาดู ดังนั้นหากจะแก้ไขก็ต้องทำพร้อมกัน

ตอนนี้สื่อออนไลน์ไม่ถูกควบคุมโดย กสทช. คือไม่มีกฎหมายหรือหน่วยงานใดไปควบคุมได้ ในขณะที่สื่อกระแสหลักอย่างโทรทัศน์ถูกควบคุม แต่บางคนเขาพร้อมยอมจ่าย ปรับที่ละ 5 หมื่นก็ปรับได้เพราะเรตติ้งเขาได้เยอะกว่า ปกรณ์กล่าว

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

รายงานพิเศษ (ตอนที่ 2) ‘เกาะกูด’เป็นของใคร? ‘MOU44’ยกดินแดนไทยให้กัมพูชาจริงไหม? Special Report 50/67 (2/3)

By : Zhang Taehun

MOU44 คือการที่ไทยยอมรับการลากเส้นเขตแดนทางทะเลของกัมพูชาจริงหรือ?

นอกจากเรื่องเสียเกาะกูดให้กัมพูชาแล้ว ข้อกังวลอีกประการหนึ่งคือ อาณาเขตและผลประโยชน์ทางทะเล ซึ่งเป็นเหตุผลของฝ่ายออกมาเรียกร้องให้ยกเลิก MOU44 อาทิ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊กวันที่ 4 พ.ย. 2567 ก่อนหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศจะแถลงข่าวเพียงไม่กี่ชั่วโมง โดยอ้างว่า ได้ฟังคำชี้แจงจากบุคคลท่านหนึ่งที่เป็นคณะทำงาน MOU 44 แล้วบอกได้อย่างเต็มปากว่าเคลียร์ทุกเรื่อง เว้นแต่การกำหนดเส้นไหล่ทวีปเป็นการอ้างสิทธิของกัมพูชา ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ เฉพาะเส้นนี้ที่แปลกใจ ฝ่ายไทยไปยอมรับได้อย่างไร ซึ่งไทยไม่เคยยอมรับตั้งแต่ปี 2515 จนมาบันทึกใน MOU 44

นพ.วรงค์ ตั้งข้อสังเกตว่า สิ่งที่ต้องถามคือการอ้างสิทธิในเส้นไหล่ทวีปต้องมีเหตุผล แม้จะอ้างข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ที่กฎหมายระหว่างประเทศยอมรับ เส้นไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ลากผ่านเกาะกูดก็ไม่สมเหตุผล เพราะประวัติศาสตร์ระบุไว้ชัดเจนว่าเกาะกูดเป็นของไทย เส้นที่เล็งจากจุดสูงสุดของเกาะกูด ก็เพื่อกำหนดหลักหมุดที่ 73 ซึ่งเป็นเขตแดนทางบกไม่ใช่ทางทะเล

ปัญหาที่นำไปสู่พื้นที่ทับซ้อนที่มีขนาดใหญ่เท่ากับจังหวัดสงขลา พัทลุง ตรัง ยะลา นราธิวาสและปัตตานี รวมกัน 26,000 ตร.กม. ก็เกิดจากการที่ฝ่ายเราไปยอมรับว่าเขาอ้างสิทธิ ซึ่งเป็นการอ้างสิทธิที่ตามใจชอบ ยังไม่นับรวมเงื่อนไขใน MOU 44 ที่บ่งบอกว่าไทยเสียเปรียบเรื่องดินแดนในอนาคต นี่คือจุดที่ต้องทบทวน MOU 44 เพราะจะนำไปสู่ปัญหาทุกอย่าง รวมทั้งดินแดนทางทะเล ส่วนของทะเล ผืนทราย และทรัพยากรโดยรอบเกาะกูดด้านประชิดกัมพูชา เกาะกูดเราจะเหลือแค่เกาะ แต่รอบเกาะด้านประชิดกัมพูชากลายเป็นพื้นที่ทับซ้อนนพ.วรงค์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในบทความ “พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา ปัญหาและพัฒนาการ” ฉบับเต็ม ในหน้า 6-12 สุรเกียรติ์ บรรยายไว้ว่า กัมพูชาได้ประกาศเขตไหล่ทวีปแต่ฝ่ายเดียวครั้งแรกเมื่อวันที่6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) แต่เส้นเขตไหล่ทวีปที่กัมพูชาประกาศนั้นไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายระหว่างประเทศ ประเทศไทยจึงไม่ยอมรับ ต่อมารัฐบาลกัมพูชาประกาศกฤษฎีกากำหนดเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาในอ่าวไทย ลงนามโดย ลอนนอล ประธานาธิบดีของกัมพูชาในขณะนั้น เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) 

โดยการประกาศเขตไหล่ทวีปในครั้งนี้มีพื้นที่ประมาณ 16,200 ตารางไมล์ เขตไหล่ทวีปของกัมพูชานั้นเริ่มต้นจากจุด A ซึ่งอ้างว่าเป็นหลักเขตแดนไทย-กัมพูชาที่ 73 จากนั้นเส้นเขตไหล่ทวีปลากไปทางทิศตะวันตกเฉียงลงใต้เล็กน้อย ผ่านกึ่งกลางเกาะกูดเลยออกไปในอ่าวไทย ถึงประมาณกลางอ่าว แล้วหักลงทางใต้ไปเกือบสุดอ่าวไทย จึงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ โอบล้อมเกาะฟูกว๊อกของเวียดนาม แล้ววกขึ้นทางเหนือเข้าบรรจบฝั่งที่จุด B ซึ่งอ้างว่าเป็นจุดเขตแดนของเวียดนาม-กัมพูชาที่ริมฝั่งทะเล ดัง รูป 1

รูป 1 และรูป2

กัมพูชาไม่เคยอ้างอธิปไตยเหนือเกาะกูด

ประเด็นที่น่าพิจารณาเกี่ยวกับแผนที่แนบท้ายกฤษฎีกากำหนดเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาในอ่าวไทยนั้น เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ลากผ่านกึ่งกลางเกาะกูดนั้นเป็นการอ้างสิทธิอธิปไตยเหนือเกาะกูดหรือไม่ แผนที่แนบท้ายกฤษฎีกาในครั้งนั้นเป็นเพียงแผนที่โดยสังเขปที่กระทรวงต่างประเทศกัมพูชา ใช้ในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) แต่หากพิจารณากฤษฎีกาที่ 439/72/PRK ที่แผนที่ผนวกเป็นแผนที่เดินเรือขนาดมาตรฐานของกรมอุทกศาสตร์ฝรั่งเศส แสดงเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาทั้งหมด ลงนามโดยประธานาธิบดีลอนนอล ลงวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) จะเห็นว่าเส้นเขตไหล่ทวีปไม่ได้ลากผ่านกึ่งกลางเกาะกูด ดัง รูป 2

จากรูปที่ 2 เห็นได้ว่าเส้นเขตไหล่ทวีปที่กัมพูชาลากจากจุด A บริเวณชายฝั่งมายังเกาะกูดนั้น เส้นได้มาหยุดอยู่บริเวณขอบของเกาะกูดด้านตะวันออก และเริ่มต้นใหม่ทางขอบเกาะกูดด้านทิศตะวันตกออกไปกลางอ่าวไทยไม่มีการลากเส้นผ่านเกาะกูดแต่อย่างใด นอกจากนั้นหากสังเกตบริเวณเส้นทางทิศตะวันตกจะเห็นอักษรภาษาอังกฤษกำกับว่า “Koh Kut (Siam)” ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่าเกาะกูดเป็นของประเทศไทย

หลังจากนั้นประเทศกัมพูชาได้ประกาศกฤษฎีกากำหนดทะเลอาณาเขตของกัมพูชา หมายเลข 518/72/PRK ในวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2515 โดยประกาศกฤษฎีกาดังกล่าวมีแผนที่แนบท้ายและลงนามโดยประธานาธิบดีลอนนอล โดยประกาศกฤษฎีกาดังกล่าวจะแสดงให้เห็นชัดเจนถึงเส้นเขตไหล่ทวีปที่กัมพูชาอ้างว่าได้ลากผ่านกึ่งกลางเกาะกูดหรือไม่ ตาม รูปที่ 3

รูป 3 และ รูป4

เมื่อพิจารณาแผนที่แนบท้ายประกาศทะเลอาณาเขต มีการลากเส้นจากจุด A มายังจุด E1 โดยการลากเส้นดังกล่าวเป็นเส้นเดียวกับเส้นกำหนดเขตไหล่ทวีป ตรงจุด E1 จะมีเครื่องหมายบวก (++++) ทอดชิดกับขอบเกาะกูดด้านตะวันออกลงมาทางใต้จนถึงจุด E2 ที่ปลายเกาะกูดด้านใต้เครื่องหมายบวกตามเครื่องหมายในแผนที่หมายความถึง เขตแดนระหว่างประเทศ จะเห็นได้ว่า การลากเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชานั้นเป็นการลากเส้นจากจุด ยังเกาะกูด โดยหยุดอยู่บริเวณขอบของเกาะกูดด้านตะวันออก และเริ่มต้นใหม่ทางขอบเกาะกูดด้านทิศตะวันตกออกไปกลางอ่าวไทย ไม่ได้ลากผ่านกึ่งกลางเกาะกูดอย่างที่เข้าใจกัน

ดังนั้น กัมพูชาก็ไม่เคยอ้างอธิปไตยเหนือเกาะกูด ประเทศไทยต่างหากที่มีอธิปไตยเหนือเกาะกูดตามสนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 ข้อ 2 ซึ่งระบุว่า “รัฐบาลฝรั่งเศสยอมยกดินแดนเมืองด่านซ้าย และเมืองตราดกับเกาะทั้งหลายซึ่งอยู่ภายใต้แหลมสิงห์ลงไปจนถึงเกาะกูดนั้นให้แก่กรุงสยาม” กรณีการลากเส้นของกัมพูชาที่ลากเส้นจากจุด A ไปยังเกาะกูดนั้น เส้นดังกล่าวกัมพูชาได้อ้างสนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 หนังสือสัญญาไทยฝรั่งเศส ลงวันที่ 23 มีนาคม ร.ศ. 125 (พ.ศ. 2450 หรือ ค.ศ. 1907) ซึ่งมีสัญญาต่อท้ายว่าด้วยการปักปันเขตแดนทางบกระหว่างไทยกับดินแดนกัมพูชาของฝรั่งเศส 

ซึ่งข้อ 1 ของสัญญาต่อท้ายนี้ได้ระบุว่า “เขตแดนในระหว่างกรุงสยามกับอินโดจีนของฝรั่งเศสนั้น ตั้งแต่ชายฝั่งทะเลที่ตรงข้ามจากยอดเขาสูงที่สุดของเกาะกูดเป็นหลักแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไปทางตะวันออกเฉียงเหนือถึงสันเขาพนมกระวานแล” ว่าเป็นข้อความที่กำหนดเส้นแบ่งเขตทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา โดยวิธีการลากเส้นจากยอดเขาสูงที่สุดของเกาะกูดตรงไปยังเส้นเขาพนมกระวานแล และถือว่าเส้นที่ลากดังกล่าวเป็นเส้นแบ่งเขตทะเลซึ่งมีผลผูกมัดไทย

กัมพูชาได้ตีความหนังสือสัญญาในลักษณะตีความตามตัวอักษร โดยอ้างว่าข้อความดังกล่าวเป็นการแบ่งเขตทางทะเล แต่ถ้าหากพิจารณาเจตนารมณ์ของหนังสือสัญญาและสัญญาต่อท้ายว่าด้วยการปักปันเขตแล้ว จะเห็นได้ว่าหนังสือดังกล่าวเป็นหนังสือที่รัฐบาลฝรั่งเศสทำขึ้นเพื่อคืนดินแดนทางบกที่เคยยึดไปจากประเทศไทย โดยไม่มีข้อความใดที่เกี่ยวกับการกำหนดเขตแดนทางทะเล การที่สัญญาแนบท้ายระบุเส้นเขตแดนเริ่มจากทะเลนั้นไม่ได้หมายความว่า ภาคีมีเจตนาแบ่งเขตทางทะเล แต่เพียงแสดงว่าแนวเขตหันทิศจากทะเลไปสู่ผืนแผ่นดินมิใช่จากผืนแผ่นดินมายังทะเล 

การที่สัญญาแนบท้ายระบุให้ใช้จุดยอดเขาสูงสุดของเกาะกูดเป็นหลักในการกำหนดเขตแดน ก็เพื่อใช้เล็งกับสันเขาพนมกระวาน เนื่องจากในการปักปันเขตแดนจำต้องอาศัยจุดเด่นในทางภูมิศาสตร์ที่มั่นคงเป็นหลัก ดังนั้น เส้นตรงที่เล็งระหว่างยอดเขาสูงที่สุดของเกาะกูดกับสันเขาพนมกระวานจะต้องถือว่าเป็นเส้นสมมติ (Imaginary Line) ที่ใช้สำหรับกำหนดที่ตั้งของจุดเริ่มต้นของแนวเขตแดนทางบก การถือว่าเป็นเส้นแบ่งเขตทางทะเลจึงไม่ถูกต้องนัก 

ในขณะที่ประเทศไทยได้มีประกาศพระบรมราชโองการกำหนดเขตไหล่ทวีปด้านอ่าวไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 โดยยึดหลักเขตแดนที่ 73 เป็นจุดเริ่มต้นในการลากเส้นเขตทางทะเลออกไปในอ่าวไทยเช่นเดียวกับประเทศกัมพูชา แต่เป็นการลากเส้นลงไปจากจุด 1 ที่ละติจูดเหนือ11°39´.0 ลองติจูดตะวันออกที่ 102°55´.0 ไปยังจุด 2ที่ละติจูดเหนือ 09°48´.5 ลองติจูดตะวันออก 101°46´.515

ซึ่งจะเห็นว่าเส้นเขตไหล่ทวีปของไทยลากลงระหว่างเกาะกูดกับเกาะกง (Koh Kong) ของกัมพูชาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประกาศพระบรมราชโองการกำหนดเขตไหล่ทวีปของไทยดังกล่าวถือเป็นการสงวนสิทธิของประเทศไทยตามบทบัญญัติแห่งอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยไหล่ทวีป ค.ศ. 1958 (และได้รับการรับรองโดยอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982) เหนือเขตพื้นที่ไหล่ทวีปตามที่ได้ประกาศไว้ดัง รูป 4”

ภาพที่ 1 และ 2 : แผนที่กัมพูชาลากเส้นเขตแดนทางทะเลซึ่งมีข้อขัดแย้งกับไทย

เมื่อไปดูสาระสำคัญคือ MOU เมื่อปี 2544 หรือ MOU44 ซึ่งมีชื่อเต็มว่า บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน” ลงนามเมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2544 ที่กรุงพนมเปญของกัมพูชา โดยผู้แทนฝ่ายไทยคือ สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (ในขณะนั้น) ส่วนผู้แทนฝ่ายกัมพูชาคือ สก อัน  (บางแหล่งเขียนว่า ซก อาน) รัฐมนตรีอาวุโส ประธานการปิโตรเลียมแห่งชาติกัมพูชา

หนังสือ ประมวลสนธิสัญญา : อนุสัญญา ความตกลง บันทึกความเข้าใจและแผนที่ ระหว่างสยามประเทศไทยกับประเทศอาเซียนเพื่อนบ้าน : กัมพูชา-ลาว-พม่า-มาเลเซีย โดย ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุเนื้อหาของ MOU ดังกล่าว ไว้ในหน้า 240-241 ดังนี้ 

1.ภาคีผู้ทำสัญญาพิจารณาว่าเป็นที่พึงปรารถนาที่จะทำข้อตกลงชั่วคราว ซึ่งมีลักษณะที่สามารถปฏิบัติได้ในเรื่องพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน

2.เป็นเจตนารมณ์ของภาคีผู้ทำสัญญา โดยการเร่งรัดการเจรจาที่จะดำเนินการดังต่อไปนี้ไปพร้อมกัน

(ก)จัดทำความตกลงสำหรับการพัฒนาร่วมทรัพยากรปิโตรเลียมซึ่งอยู่ในพื้นที่พัฒนาร่วมดังปรากฏตามเอกสารแนบท้าย (สนธิสัญญาการพัฒนาร่วม) และ

(ข) ตกลงแบ่งเขตซึ่งสามารถยอมรับได้ร่วมกันสำหรับทะเลอาณาเขต ไหล่ทวีปและเขตเศรษฐกิจจำเพาะในพื้นที่ที่ต้องแบ่งเขต ดังปรากฏตามเอกสารแนบท้าย

เป็นเจตนารมณ์ที่แน่นอนของภาคีผู้ทำสัญญาที่จะถือปฏิบัติบทบัญญัติของข้อ (ก) และ (ข) ข้างต้นในลักษณะที่ไม่อาจแบ่งแยกได้

3.เพื่อวัตถุประสงค์ตามข้อ 2 จะมีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ของประเทศไทยและประเทศกัมพูชา ซึ่งได้รับการเสนอชื่อจากแต่ละประเทศแยกต่างหากกัน

คณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคมีหน้าที่รับผิดชอบ สำหรับการกำหนด

(ก) เงื่อนไขที่ตกลงร่วมกันของสนธิสัญญาการพัฒนาร่วม รวมถึงพื้นฐานซึ่งยอมรับกันในการแบ่งปันค่าใช้จ่ายและผลประโยชน์ของการแสวงประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่พัฒนาร่วม และ

(ข) การแบ่งเขตทะเลอาณาเขต ไหล่ทวีปและเขตเศรษฐกิจจำเพาะ ระหว่างเขตที่แต่ละฝ่ายอ้างสิทธิอยู่ในพื้นที่ที่ต้องแบ่งเขตตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศซึ่งใช้บังคับ

4.คณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคจะประชุมกันโดยสม่ำเสมอเพื่อให้การดำเนินการในเรื่องนี้เสร็จสิ้นโดยเร็ว คณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคอาจจัดตั้งคณะอนุกรรมการตามที่เห็นว่าเหมาะสม

5.ภายใต้เงื่อนไขการมีผลบังคับใช้ของการแบ่งเขตสำหรับการอ้างสิทธิทางทะเลของภาคีผู้ทำสัญญาในพื้นที่ที่ต้องมีการแบ่งเขต บันทึกความเข้าใจนี้และการดำเนินการทั้งหลายตามบันทึกความเข้าใจนี้จะไม่มีผลกระทบต่อการอ้างสิทธิทางทะเลของแต่ละภาคีผู้ทำสัญญา

อดีตรมต.ตปท.ยืนยัน กรอบMOU44รักษาผลประโยชน์สูงสุด ไม่ใช่การยอมรับเส้นเขตแดนทางทะเลตามกัมพูชาอ้าง

บทความ “พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา: ปัญหาและพัฒนาการ” ในหน้า 27-40 สุรเกียรติ์เสถียรไทย อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ อธิบายประโยชน์ที่ฝ่ายไทยได้รับจาก MOU44 ดังนี้ 

1.การจัดตั้งคณะกรรมการร่วมทางด้านเทคนิคขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่เจรจา ถือว่ายังไม่เป็นการผูกพันประเทศไทยว่าจะต้องมีการแบ่งปันผลประโยชน์ในทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลเหนือพื้นที่ทับซ้อน หรือต้องกำหนดเส้นเขตทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชาแต่อย่างใด เพราะเป็นการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อเจรจาหลักการทั้งสองเรื่องว่าแต่ละฝ่ายมีความเห็นและจุดยืนอย่างไร เพื่อจะให้บรรลุถึงข้อตกลง ซึ่งหากมีจุดยืนที่สอดคล้องที่จะนำ ไปสู่ข้อตกลงกันได้แล้วแต่ละฝ่ายก็ต้องดำ เนินการตามขั้นตอนของกฎหมายภายในของแต่ละประเทศ เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งต่างหากในอนาคต

การมีคณะกรรมการร่วมทางด้านเทคนิคขึ้นมาทำหน้าที่เจรจา จะทำให้ฝ่ายไทยสามารถรับทราบถึงจุดยืนต่าง ๆ ของฝ่ายกัมพูชาได้อย่างชัดเจน ทั้งในด้านกฎหมายและด้านการแบ่งผลประโยชน์เหนือน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ เพื่อที่จะได้ให้ผู้เชี่ยวชาญและหน่วยงานของไทยที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงานได้ร่วมกันวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งถึงแนวทางของความร่วมมือระหว่างกันอย่างเหมาะสม เพื่อประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ ซึ่งจะต้องมีการพิเคราะห์ถึงผลดีผลเสียในแต่ละทางเลือกของไทย ตลอดจนการกำหนดยุทธศาสตร์ในการเจรจา 

ซึ่งแตกต่างจากการเจรจาที่เกิดขึ้นในอดีตที่ผ่านมาก่อนการจัดทำบันทึกความเข้าใจนี้ ที่ไม่มีการเสนอท่าทีของฝ่ายตนในเรื่องวิธีการและหลักการการกำหนดสัดส่วนการแบ่งปันผลประโยชน์ที่ชัดเจนและเป็นทางการ ซึ่งทำ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของฝ่ายไทยไม่สามารถกำหนดท่าทีและจุดยืนทั้งทางกฎหมายและทางเศรษฐศาสตร์ร่วมกันอย่างจริงจัง

2.บันทึกความเข้าใจนี้ทำให้ปัญหาข้อขัดแย้งที่เกิดจากการอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกันระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ (ก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน) อีกทั้งยังสุ่มเสี่ยงต่อการเผชิญหน้าอันอาจนำ ไปสู่ข้อขัดแย้งที่รุนแรงจนกลายเป็นปัญหาทางการเมืองที่กระทบต่อความสัมพันธ์ในภาพรวมระหว่างทั้งสองประเทศระหว่างกัน สามารถแก้ไขร่วมกันได้ด้วยการเจรจาแบบสันติวิธี และแยกเป็นเอกเทศจากปัญหาความสัมพันธ์ด้านอื่นๆ โดยให้นำความเห็นหรือท่าทีที่แตกต่างกันในเรื่องการลากเส้นเขตทางทะเลและการแบ่งปันผลประโยชน์ในพื้นที่ทับซ้อนนั้น มาสู่เวทีของการเจรจาทางด้านเทคนิค หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นการแปรข้อขัดแย้งมาเป็นความร่วมมือ (turn conflict into cooperation) ซึ่งก็เป็นวิธีการในการแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศในเรื่องทับซ้อนทางทะเลที่ประเทศจำนวนมากในโลกปัจจุบันใช้กัน

3.บันทึกความเข้าใจนี้ได้ผูกประเด็นเรื่องการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (Overlapping Area) หรือที่บันทึกความเข้าใจนี้เรียกว่า พื้นที่พัฒนาร่วม (Joint Development Area) กับการเจรจาเส้นแบ่งเขตทางทะเล (Maritime Boundary Delimitation) เอาไว้ด้วยกัน โดยได้ระบุไว้ในบันทึกความเข้าใจอย่างชัดเจนว่าการเจรจาทั้งสองเรื่องนี้จะแยกต่างหากจากกันมิได้ (Indivisible Package) กล่าวคือจะต้องเจรจาพร้อมกันไป ซึ่งฝ่ายไทยแม้จะเห็นว่าการสำรวจและขุดเจาะน้ำ มันและก๊าซธรรมชาติก็เป็นความประสงค์ของฝ่ายไทยที่ต้องการสร้างความมั่นคงทางด้านอุปทาน (Security of Supply) และต้องการกระจายการใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ (Diversity of Sources of Supply) ในอ่าวไทยและทะเลอันดามันก็ตาม 

แต่ผลประโยชน์ที่สำคัญของไทยที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันก็คือ ความชัดเจนในจุดเริ่มของการลากเส้นเขตทางทะเล ดังนั้น ในแง่มุมของการเจรจาแล้ว ฝ่ายไทยจึงได้อาศัยความต้องการของฝ่ายกัมพูชาที่ต้องการเร่งรัดการเจรจาพื้นที่พัฒนาร่วม เป็นปัจจัยในการผลักดันให้การเจรจาเส้นเขตทางทะเลมีความคืบหน้าและเป็นที่ตกลงกันได้ของทั้งสองฝ่ายโดยเร็วเช่นกัน

ประเด็นสำคัญอีกประเด็นหนึ่ง คือ หากไม่มีการผูกประเด็นเรื่องการเจรจาพื้นที่พัฒนาร่วมกับการเจรจาพื้นที่ที่ต้องการแบ่งเส้นเขตทางทะเลเอาไว้ให้ต้องดำเนินการเจรจาควบคู่กันไปแล้ว ก็มีข้อห่วงกังวลว่ากลุ่มเศรษฐกิจการเมืองอาจเข้ามามีบทบาทและผลักดันจนทำให้การตกลงในเรื่องการพัฒนาร่วมเกิดขึ้นได้โดยง่าย โดยอาจทำให้ฝ่ายไทยต้องสูญเสียอำนาจต่อรองในการเจรจาเรื่องเส้นเขตแดนกับกัมพูชา

สุรเกียรติ์ อ้างถึงบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญไทย (ฉบับ 2540 ในขณะที่ดำรงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ และฉบับ 2550 ในขณะที่เขียนบทความนี้) โดยอธิบายว่า.. 

การเจรจาแบ่งปันผลประโยชน์ทางด้านน้ำ มันและก๊าซธรรมชาติ โดยไม่กระทบต่อเรื่องเส้นเขตแดนนั้น อาจไม่จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา แต่ในกรณีการเจรจาเส้นเขตทางทะเลนั้น แม้จะเป็นเพียงการตกลงกันเกี่ยวกับจุดที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการลากเส้นเขตทางทะเล ก็จะถือว่าเป็นหนังสือสัญญาซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ด้วยเหตุนี้ การผูกประเด็นการเจรจาเรื่องการแบ่งปันผลประโยชน์ในทรัพยากรเหนือพื้นที่พัฒนาร่วมเอาไว้กับเรื่องการเจรจาแบ่งเส้นเขตแดนโดยไม่อาจแยกออกจากกันได้ดังที่ระบุไว้ในข้อ 2วรรค 2 ของบันทึกความเข้าใจนั้น จึงมีผลทำให้รัฐบาลไทยไม่สามารถที่จะรวบรัดทำการตกลงที่มีผลเป็นการแบ่งปันผลประโยชน์เหนือทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล

เพราะแม้จะมีการตกลงในรายละเอียดของการแบ่งปันผลประโยชน์จนเสร็จสิ้นแล้วก็ยังไม่สามารถดำเนินการให้เกิดผลใดๆ ในทางปฏิบัติได้ เนื่องจากจะต้องนำความตกลงเกี่ยวกับการแบ่งปันผลประโยชน์เหนือทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่พัฒนาร่วม เสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบควบคู่กับความตกลงเกี่ยวกับการกำหนดเส้นเขตทางทะเล

หมายเหตุ : สำหรับรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ก็กำหนดเงื่อนไขเช่นเดียวกันกับรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 และฉบับ 2550 โดยอยู่ในมาตรา 178 ระบุว่า 

มาตรา 178 (วรรคสอง) หนังสือสัญญาใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือเขตพื้นที่นอกอาณาเขตซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญาหรือตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญา และหนังสือสัญญาอื่นที่อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้าหรือการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวาง ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา ในการนี้ รัฐสภาต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่อง หากรัฐสภาพิจารณาไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ให้ถือว่ารัฐสภาให้ความเห็นชอบ

นอกจากนั้นยังกำหนดเพิ่มเติมในส่วนของการใช้ประโยชน์ด้านทรัพยากร ซึ่งไม่มีในรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 (มาตรา 224) และเป็นการอธิบายความในส่วนนี้ตามรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 (มาตรา 190) ให้ชัดเจนขึ้นด้วยว่า

มาตรา 178 (วรรคสาม) หนังสือสัญญาอื่นที่อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้า หรือการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวางตามวรรคสอง ได้แก่ หนังสือสัญญาเกี่ยวกับการค้าเสรี เขตศุลกากรร่วม หรือการให้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติ หรือทำให้ประเทศต้องสูญเสียสิทธิในทรัพยากรธรรมชาติทั้งหมดหรือบางส่วน หรือหนังสือสัญญาอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ

มาตรา 178 (วรรคสี่) ให้มีกฎหมายกำหนดวิธีการที่ประชาชนจะเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและได้รับการเยียวยาที่จำเป็นอันเกิดจากผลกระทบของการทำหนังสือสัญญาตามวรรคสามด้วย

4.แผนผังกำหนดเขตพื้นที่พัฒนาร่วมและเขตพื้นที่ที่ต้องแบ่งเส้นเขตแดนซึ่งจัดทำแนบท้ายบันทึกความเข้าใจนี้ เป็นสิ่งที่กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ กรมแผนที่ทหาร กระทรวงกลาโหม และผู้เชี่ยวชาญด้านเขตทางทะเลของฝ่ายไทย ได้ให้ความสำคัญในการเจรจามาโดยตลอด กล่าวคือ ฝ่ายไทยต้องการยืนยันจุดยืนที่กำหนดให้เส้นแบ่งเขตทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชาต้องลากออกจากหลักเขตแดนที่ 73 เพื่อให้เขตพื้นที่ทับซ้อน (Overlapping Area) ไม่ครอบคลุมอาณาเขตที่กว้างขวางเกินไป และยืนยันจุดยืนว่าเกาะกูดอยู่ในเขตแดนของไทย ซึ่งเป็นไปตามสนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907

สุรเกียรติ์ ยังอ้างไว้ในบทความด้วยว่า ในการเจรจาก่อนการจัดทำบันทึกความเข้าใจฉบับนี้(MOU44) ฝ่ายกัมพูชาตั้งแต่ระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสจนถึงระดับสูงได้กล่าวถึงเกาะกูดว่าอย่างน้อยกึ่งหนึ่งของเกาะกูดอยู่ในเขตแดนของกัมพูชาอยู่เนืองๆ มีครั้งหนึ่งในช่วงระหว่างการเจรจาบันทึกความเข้าใจนี้ ตนเคยพูดกับผู้กำหนดนโยบายระดับสูงของกัมพูชาว่า “ถ้าเส้นเขตทางทะเลลากจากฝั่งและผ่ากลางเกาะกูดแล้ว ในทางปฏิบัติก็คงจะแปลกดี เพราะคนไทยขึ้นบนเกาะกูดจากฝั่งไทย ถ้าจะลงมาเล่นน้ำ อีกฝั่งของเกาะต้องถือพาสปอร์ต (หนังสือเดินทาง) มาด้วย” 

และครั้งหนึ่งในการหารือข้อราชการกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา นายกรัฐมนตรีกัมพูชาได้กล่าวกับตนว่า “กัมพูชาจะยกเลิกข้อเรียกร้อง (Claims) ที่ถือว่าเกาะกูดเป็นของกัมพูชากึ่งหนึ่ง และถือว่าเกาะกูดเป็นของไทย คือ จะยกอธิปไตยเหนือเกาะกูดให้ไทย แต่อย่าเพิ่งประกาศ เพราะจะเกิดปัญหาทางการเมืองภายในกัมพูชาได้” 

ซึ่งแม้ตนจะเห็นว่าข้อเรียกร้องเหนือเกาะกูดกึ่งหนึ่งนั้นจะไม่มีฐานทางกฎหมายระหว่างประเทศรองรับ แต่ข้อเรียกร้องนั้นก็เป็นสิ่งที่สามารถเรียกร้องกันได้ เพราะในกฎหมายระหว่างประเทศ การเรียกร้องสิทธิกับการมีสิทธินั้นเป็นคนละเรื่องกัน ดังนั้น ในการเจรจาระหว่างประเทศนั้น เมื่อคู่เจรจายอมถอนข้อเรียกร้องก็ย่อมถือเป็นสิ่งที่ดีนอกจากนั้น ยังนำ ไปสู่การที่ฝ่ายกัมพูชายินยอมให้มีแผนผังแนบท้ายบันทึกความเข้าใจที่แสดงให้เห็นว่าเกาะกูดเป็นของไทยอีกด้วย

ถึงแม้ว่าบันทึกความเข้าใจนี้จะไม่ถือว่าเป็นที่สิ้นสุดของการเจรจาที่จะมีผลผูกพันทั้งสองประเทศเกี่ยวกับเส้นเขตทางทะเล แต่อย่างน้อยที่สุด ก็ถือเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงการที่รัฐบาลกัมพูชาในปัจจุบันได้ยอมรับอย่าเป็นลายลักษณ์อักษรว่า ประเทศไทยมีอธิปไตยเหนือเกาะกูด ดังนั้น แผนผังแนบท้ายบันทึกความเข้าใจนี้จึงเป็นสิ่งที่ฝ่ายไทยพอใจ เพราะแสดงถึงความคืบหน้าในการเจรจาจุดเริ่มต้นของการลงเส้นเขตทางทะเลจากหลักเขตแดนทางบกที่ตรงกับจุดยืนของไทย และเส้นที่ลากนั้นได้ยอมรับอธิปไตยของไทยเหนือเกาะกูด และยังยอมรับอธิปไตยของไทยเหนือทะเลอาณาเขตรอบๆเกาะกูดอีกด้วย

5.บันทึกความเข้าใจดังกล่าวได้ลงนามโดยผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจเต็มจากรัฐบาลของทั้งสองประเทศ จึงมีสถานะเป็นสนธิสัญญาตามอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ. 1969และนับเป็นความสำเร็จของรัฐบาลไทยที่สามารถเจรจาเพื่อให้รัฐบาลกัมพูชายอมรับอย่างเป็นทางการและเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นครั้งแรก ถึงการอ้างสิทธิในไหล่ทวีปของไทย ตามประกาศพระบรมราชโองการกำหนดเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 อันก่อให้เกิดเขตทับซ้อนทางทะเลกับกัมพูชาที่ได้ประกาศเขตไหล่ทวีปไปก่อนหน้านี้ 

โดยบันทึกความเข้าใจนี้ได้ระบุว่า ตราบใดที่ยังไม่มีการตกลงในเรื่องสิทธิเรียกร้องทางทะเลในเขตที่จะมีการกำหนดเส้นเขตทางทะเล หรืออีกนัยหนึ่งคือ ในช่วงที่อยู่ระหว่างการเจรจาพื้นที่พัฒนาร่วมและเขตพื้นที่ที่ต้องแบ่งเขตทางทะเลตามข้อ 2 (aหรือ ก) และ (b หรือ ข) นั้น ข้อความต่างๆ ที่ระบุไว้ในบันทึกความเข้าใจนี้ก็ดี และการดำ เนินการทั้งหลายตามบันทึกความเข้าใจนี้ก็ดีจะไม่มีผลกระทบต่อข้อเรียกร้องสิทธิทางทะเลของทั้งสองประเทศ ซึ่งอยู่ในข้อ 5 ของ MOU44

สุรเกียรติ์ ย้ำว่า บทบัญญัติดังกล่าวข้างต้นย่อมเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายไทย เพราะเป็นการที่ฝ่ายกัมพูชายอมรับเป็นลายลักษณ์อักษรว่า ฝ่ายไทยก็มีข้อเรียกร้องสิทธิต่างๆ เกี่ยวกับเส้นเขตทางทะเล และในระหว่างการเจรจาภายใต้บันทึกความเข้าใจนี้ ไม่ว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถบรรลุข้อตกลงใดๆ ได้หรือไม่ก็ตาม สิ่งที่ตกลงกันนี้ และสิ่งที่ไม่อาจตกลงกันได้ก็จะไม่กระทบต่อสิทธิเรียกร้องต่างๆ ที่ฝ่ายไทยมีอยู่มาก่อน 

ดังนั้น ข้อตกลงข้อ 5 ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ฝ่ายไทยได้โน้มน้าวฝ่ายกัมพูชาจนยอมเห็นชอบให้มีบทบัญญัตินี้ในบันทึกความเข้าใจ ย่อมเป็นข้อป้องกันสถานะทางกฎหมายของไทยทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต จนกว่าจะมีการบรรลุข้อตกลงกันทั้งในเรื่องพื้นที่พัฒนาร่วมและเรื่องเส้นแบ่งเขตทางทะเล ซึ่งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ทั้งฉบับ 2540 และ 2550 (รวมถึงฉบับ 2560) ข้อตกลงดังกล่าวจะต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อนจึงจะมีผลใช้บังคับได้

6.บันทึกความเข้าใจนี้ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนในข้อ 3 (b หรือ ขว่า การเจรจาที่จะนำไปสู่การกำหนดเขตทางทะเลนั้น จะต้องกระทำโดยอยู่ภายใต้หลักการของกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นจุดยืนที่ประเทศไทยยึดถือมาโดยตลอด และเป็นการผูกมัดฝ่ายไทยเองด้วย ว่าในการเจรจาตกลงอย่างไรนั้นต้องเป็นไปตามหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศ ส่งผลทำให้ทุกฝ่ายในขณะนั้นและในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใดก็ต้องผูกพันตามแนวทางและหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศที่ได้กำหนดไว้

7.บันทึกความเข้าใจดังกล่าวเป็นการเจรจาเพื่อนำไปสู่การเจรจาแนวทางการพัฒนาร่วมและการแบ่งปันผลประโยชน์ในทรัพยากรปิโตรเลียมเหนือพื้นที่พัฒนาร่วม ซึ่งหากสามารถเจรจาจนได้ข้อยุติโดยเร็วและสามารถนำ เอาทรัพยากรปิโตรเลียมขึ้นมาใช้ประโยชน์ได้แล้ว ฝ่ายไทยย่อมจะได้รับผลประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียมดังกล่าวมากเนื่องจากประเทศไทยมีความต้องการทางด้านพลังงานและปริมาณพลังงานสำรอง อีกทั้งไทยยังมีความพร้อม มีประสบการณ์และมีศักยภาพในการร่วมลงทุนเพื่อสำรวจและขุดเจาะปิโตรเลียมในพื้นที่พัฒนาร่วม และมีบริษัทสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเป็นของตนเองอีกด้วย

ภาพที่ 3 : สุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งดำรงตำแหน่งในช่วงที่ไทย-กัมพูชา ร่วมลงนาม MOU44 และเป็นผู้เขียนบทความ “พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา: ปัญหาและพัฒนาการ” เผยแพร่ในจุลสารความมั่นคงศึกษา ของสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ฉบับที่ 92 ปี 2554 (ขอบคุณภาพจาก นสพ.ฐานเศรษฐกิจ)

ในรายงานข่าว “เปิดเบื้องลึก MOU ไทย-กัมพูชา เรื่องเกาะกูด จากปากอดีต รมว.ต่างประเทศ” ของ นสพ.ฐานเศรษฐกิจ วันที่ 5 พ.ย. 2567 ได้สรุปมุมมองจากบทความของ สุรเกียรติ์ เสถียรไทย ไว้ว่า MOU44 มีกลไกคุ้มครองผลประโยชน์ของไทยหลายประการ 1.การเจรจาต้องเป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ 2.ไม่กระทบต่อสิทธิเรียกร้องของทั้งสองฝ่ายจนกว่าจะมีข้อตกลงสุดท้าย3.ข้อตกลงสุดท้ายต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา และ 4.มีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคเพื่อศึกษาและเจรจารายละเอียด

อย่างไรก็ตาม บทความนี้ซึ่งเขียนขึ้นในปี 2554 สุรเกียรติ์ ชี้ประเด็นท้าทายไว้ด้วยว่า บริษัทน้ำมันข้ามชาติของประเทศมหาอำนาจได้สำรวจพบแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ในพื้นที่ทับซ้อนบริเวณตอนใต้ของกัมพูชา ซึ่งบริษัทน้ำมันข้ามชาติของมหาอำนาจหลายประเทศให้ความสนใจและต้องการเข้ามาแสวงประโยชน์จากแหล่งน้ำ มันและก๊าซในพื้นที่ทับซ้อนผ่านทางรัฐบาลกัมพูชามากขึ้น เพื่อขายให้แก่ประเทศไทยเป็นหลักและกัมพูชาเป็นอันดับรอง 

ซึ่งการพบแหล่งพลังงานและความสนใจของบริษัทข้ามชาติที่มีต่อแหล่งพลังงานในกัมพูชานี้ อาจส่งผลให้ประเทศไทยต้องประสบกับปัญหาความยุ่งยากในการเจรจาแบ่งปันผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชาเพิ่มมากขึ้นในอนาคต จึงเป็นเหตุผลที่รัฐบาลไทยควรเร่งการเจรจาเพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาและแบ่งปันผลประโยชน์จากแหล่งปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อนระหว่างกันให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว พร้อมๆ ไปกับการกำหนดเส้นแบ่งเขตทางทะเลในส่วนพื้นที่ที่ต้องแบ่งเขตซึ่งเป็นส่วนบนของพื้นที่ทับซ้อนตามจุดยืนของประเทศไทย

โดยสรุปแล้ว การจะบอกว่า MOU44 คือการที่ไทยยอมรับการลากเส้นเขตแดน (ทางทะเล) ของกัมพูชา อันอาจทำให้ไทยเสียดินแดนได้ จึงไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เพราะ MOU44 เป็นเพียงบันทึกว่าไทยและกัมพูชา ฝ่ายใดมีมุมมองหรือข้อเรียกร้องอย่างไรบ้าง แต่สิ่งเหล่านั้นจะได้รับการยอมรับหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการที่ทั้ง 2 ชาติต้องเจรจากันจนกระทั่งได้ข้อสรุป และต้องเจรจากันภายใต้กรอบของกฎหมายระหว่างประเทศ อีกทั้งในกรณีของไทย แม้คณะผู้แทน (คณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคจะไปเจรจากันมาแล้ว ก็ยังต้องมาผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมร่วมของรัฐสภา อันประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และสมาชิกวุฒิสภา (สว.)ประกอบกับกลไกรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ยังเพิ่มเติมในส่วนของกผลประโยชน์ทางทรัพยากรธรรมชาติ ต้องมีช่องทางให้ประชาชนได้ร่วมแสดงความคิดเห็น และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบด้วย 

          ​ ——

อ้างอิง

https://www.thansettakij.com/business/economy/611121 (เปิดเบื้องลึก MOU ไทย-กัมพูชา เรื่องเกาะกูด จากปากอดีต รมว.ต่างประเทศ : ฐานเศรษฐกิจ 5 พ.ย. 2567)

https://www.thairath.co.th/news/politic/2823643(“หมอวรงค์” ชี้ ยิ่งฟังคำชี้แจง ต้องยิ่งยกเลิก MOU 44 หากยอม ส่อเสียดินแดน : ไทยรัฐ 4 พ.ย. 2567)

http://textbooksproject.org/wp-content/uploads/books/book_1.pdf (ประมวลสนธิสัญญา : อนุสัญญา ความตกลง บันทึกความเข้าใจและแผนที่ ระหว่างสยามประเทศไทยกับประเทศอาเซียนเพื่อนบ้าน : กัมพูชา-ลาว-พม่า-มาเลเซีย : ชาญวิทย์ เกษตรศิริ)

https://medias.thansettakij.com/media/pdf/2024/BjcSxq7eTLxq7Qod0I85.pdf (พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา: ปัญหาและพัฒนาการ : สุรเกียรติ์ เสถียรไทย , จุลสารความมั่นคงศึกษา ของสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ฉบับที่ 92 ปี 2554)


(อ่านต่อ) รายงานพิเศษ (ตอนที่ 1) ‘เกาะกูด’เป็นของใคร? ‘MOU44’ยกดินแดนไทยให้กัมพูชาจริงไหม? Special Report 50/67(1/3) | Cofact
https://blog.cofact.org/special-report50-67-1/

(อ่านต่อ) รายงานพิเศษ (ตอนที่ 3) ‘เกาะกูด’เป็นของใคร? ‘MOU44’ยกดินแดนไทยให้กัมพูชาจริงไหม? Special Report 50/67(3/3) | Cofact
https://blog.cofact.org/special-report-50673-3/


รายงานพิเศษ (ตอนที่ 3) ‘เกาะกูด’เป็นของใคร? ‘MOU44’ยกดินแดนไทยให้กัมพูชาจริงไหม? Special Report 50/67(3/3)

By : Zhang Taehun

ไทยจำเป็นต้องยกเลิก MOU44 หรือไม่?

ในช่วงที่มีการถกเถียงเรื่อง MOU44 ในฝ่ายที่กังวลกับบันทึกความเข้าใจฉบับดังกล่าว บางส่วนอ้างว่า รัฐบาลไทยสมัยนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (2552-2554) ได้ยกเลิกไปแล้ว อาทิ รายงานข่าว ย้อนมติ ครม. ยุคอภิสิทธิ์ เห็นชอบให้ยกเลิก MOU 2544 ไปแล้ว เตือนรัฐบาลอย่าฝืน” ของ นสพ.ไทยโพสต์ วันที่ 1 พ.ย. 2567 อ้างความเห็นของ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ที่ระบุว่า ครม.อภิสิทธิ์ มีมติเมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2552 ให้ยกเลิก MOU44 

“จริงอยู่ที่ว่าการยกเลิก MOU 2544 จนปัจจุบันยังไม่แล้วเสร็จ แต่มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 มีผลผูกพันทางกฎหมายอย่างแน่นอน และยังมีผลจนถึงปัจจุบันหากยังไม่มีมติคณะรัฐมนตรีเป็นอย่างอื่น ดังนั้นการปฏิบัติหน้าที่ของทุกกระทรวงจะดำเนินการไปในหลักการอื่นโดยฝ่าฝืนต่อมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 จะทำต่อไปได้อย่างไร ยกเว้นเสียแต่ว่ามีการขอความเห็นชอบต่อคณะรัฐมนตรีเสียใหม่ จริงหรือไม่?” ปานเทพ กล่าวในโพสต์เฟซบุ๊ก

จากข้อมูลข้างต้น สรุปได้ว่าปัจจุบัน MOU44 ยังมีผลบังคับใช้อยู่ ซึ่งสอดคล้องกับการแถลงข่าวของกระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 4 พ.ย. 2567 ตามรายงานข่าวของ ThaiPBS ที่ระบุว่า ประเด็นยกเลิก MOU 44 เข้าสู่การพิจารณาของ ครม.ในปี 2552 ซึ่งเสนอให้ยกเลิก เพราะขณะนั้นไม่มีความคืบหน้า และ ครม.รับในหลักการ แต่ได้ขอให้มีพิจารณาให้รอบคอบและได้หารือกับที่ปรึกษาทีมต่างชาติ และประชุมคณะกรรมการพิเศษที่เป็นภาคี และหน่วยงานด้านความมั่นคง อาทิ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กระทรวงพลังงาน รวมทั้งคณะกรรมการกฤษฎีกา 

โดยปี 2557 ได้ข้อสรุปว่า MOU 44 ยังมีประโยชน์ที่จะนำไปสู่การเจรจา จึงเสนอ ครม.ให้ทบทวนมติ ครม.ปี 2552 ว่าเรื่องนี้ต้องใช้ MOU 44 ต่อ ทุกครั้งที่มีรัฐบาลใหม่ยังขอให้กรอบ MOU 44  เป็นพื้นฐานในการเจรจาข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา เป็นกลไกที่เหมาะสมที่สุด และรักษาผลประโยชน์สูงสุดของประเทศ ซึ่งทุกรัฐบาลก็ยอมรับและหลักการยังเหมือนเดิม

นอกจากนั้น รายงานข่าว “‘บิ๊กป้อมประชุมลับ! ฟื้นเจรจาพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา’ แบ่งเขตทะเล-พัฒนาปิโตรเลียม” โดยสำนักข่าวอิศรา วันที่ 4 ต.ค. 2564 อันเป็นยุคสมัยของรัฐบาลนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เวลานั้นมีรายงานว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค (JTC) ไทย-กัมพูชา (ฝ่ายไทย) เพื่อพิจารณาร่างกรอบการเจรจากับฝ่ายกัมพูชา ในการพัฒนาพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน (Overlapping Claims Area-OCA) รวมถึงการพิจารณาแต่งตั้งคณะทำงานว่าด้วยการแบ่งเขตทางทะเล และคณะทำงานเกี่ยวกับระบอบพัฒนาร่วม

อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุที่เป็นการประชุมลับ จึงไม่มีการแถลงผลการประชุมกับสื่อ แต่ทางสำนักข่าวอิศรา สรุปร่างกรอบการเจรจากับฝ่ายกัมพูชา ในการพัฒนาพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน (OCA) ที่เสนอให้ที่ประชุม JTC ฝ่ายไทย พิจารณา กำหนดวัตถุประสงค์ของการเจรจาไว้ 3 ประเด็น ได้แก่

1.การแก้ปัญหาพื้นที่ที่ไทยกับกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อน ซึ่งมีขนาดประมาณ 26,000 ตารางกิโลเมตร

2.การดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามบันทึกข้อตกลง (MOU) ระหว่างรัฐบาลไทยและกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยกับกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อน เมื่อปี 2544 (MOU 2544) ซึ่งประกอบด้วย การเจรจาจัดทำข้อตกลงแบ่งเขตทางทะเลในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนกันเหนือเส้นละติจูด 11 องศาเหนือ และการเจรจาจัดทำข้อตกลงสำหรับการพัฒนาร่วมทรัพยากรปิโตรเลียม ซึ่งอยู่ในพื้นที่ทับซ้อนกันใต้เส้นละติจูด 11 องศาเหนือ

3.ในการดำเนินการเจรจาให้ใช้กลไกภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคไทย-กัมพูชา (JTC) ตามที่ตกลงกับฝ่ายกัมพูชาไว้แล้ว

รวมถึงในวันที่ 5 พ.ย. 2567 รายงานข่าว กษิต อัดแรง พวกปลุกเสียเกาะกูด เล่ายิบเหตุรบ.มาร์ค ยกเลิก MOU44 แต่ไม่สำเร็จ-หนุนเจรจาต่อ โดย นสพ.มติชน อ้างคำกล่าวของ กษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ในสมัยรัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์ ที่ระบุว่า เหตุที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ ตัดสินใจยกเลิก MOU 44 มาจากการที่ ฮุนเซน นายกฯ กัมพูชาในขณะนั้น ได้ตั้ง ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ของไทย เป็นที่ปรึกษากัมพูชา 

ซึ่งรัฐบาลในเวลานั้นเห็นว่าการกระทำของนายฮุนเซนนั้น ไม่น่ารัก ไม่เป็นมิตร และแทรกแซงกิจการภายในของไทย รัฐบาลขณะนั้นจึงต้องการแสดงออกว่าไม่พึงพอใจ ด้วยการยกเลิก MOU 44 แล้วก็ต้องการบอกกับอดีตนายกฯ ทักษิณด้วยว่า การกระทำดังกล่าวไม่น่ารักเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น เมื่อมีมติ ครม.ออกมา ก็ต้องมีกระบวนการต่างๆ เพื่อจะนำเรื่องเข้าสู่รัฐสภา ซึ่งเป็นเรื่องที่ข้าราชการประจำ นำโดยกระทรวงการต่างประเทศก็ดำเนินการอยู่ 

“แต่ว่ารัฐบาลในขณะนั้นก็ยุบสภาพ้นจากตำแหน่งไป ก็เท่ากับว่าเรื่องนี้ยังค้างอยู่ โดยผ่านรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน กระทั่งรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร ก็เท่ากับว่า MOU 44 ยังมีชีวิตอยู่ และล่าสุด นายกฯ แพทองธารก็ได้ยืนยันว่า MOU 44 ยังมีชีวิต และยังอยู่ในการเตรียมการที่จะแต่งตั้งหัวหน้าคณะเจรจาฝ่ายไทยต่อไป” กษิต กล่าว

จากข้อมูลที่รวบรวมมาข้างต้น จึงสรุปได้ดังนี้ 1.เกาะกูดเป็นของไทยแน่นอน ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 ที่ระบุไว้ชัดเจน 2.บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน ที่ทำขึ้นในปี 2544 หรือ MOU44 ยังไม่ใช่ข้อตกลงที่ฝ่ายใดจะยอมรับเส้นเขตแดนหรือผลประโยชน์ที่ต่างฝ่ายต่างกล่าวอ้าง ซึ่งจะต้องอาศัยกระบวนการเจรจาผ่านกลไกคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค (JTC) ที่ทั้งไทยและกัมพูชาจะส่งตัวแทนเข้ามา อีกทั้งเมื่อได้ข้อสรุปแล้ว ยังต้องมาผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา และการมีส่วนร่วมของประชาชนตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญของไทย 

และ 3.ปัจจุบัน MOU44 ยังไม่ถูกยกเลิก และรัฐบาลชุดล่าสุดภายใต้การนำของนายกฯ แพทองธาร ก็กล่าวชัดเจนว่าไม่ยกเลิก โดยในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2567 ได้ย้อนถามว่า “ถ้ายกเลิกแล้วได้อะไร” ซึ่งการยกเลิกแล้วได้อะไร ต้องกลับมาที่เหตุและผล ทุกประเทศอาจคิดไม่เหมือนกันได้ เมื่อคิดไม่เหมือนกันก็ต้องมีข้อตกลงเพื่อมาพูดคุยกัน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาระหว่างประเทศซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญ การรักษาความสงบของประเทศเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นใน MOU นี้ เปิดให้ทั้งสองประเทศพูดคุยกัน ซึ่งหากไทยยกเลิกอาจโดนฟ้องร้องจากกัมพูชาอย่างแน่นอน ไม่มีประโยชน์ใดๆ

หลังจากนี้ก็ต้องรอติดตามกันว่า คณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค (JTC) ในฐานะคณะผู้แทนฝ่ายไทยไปเจรจากับฝ่ายกัมพูชานั้นจะมีใครบ้าง? การเจรจาจะเริ่มต้นเมื่อใด? และผลการเจรจาจะเป็นอย่างไร?

———————

อ้างอิง

https://www.thaipost.net/hi-light/683187/ (ย้อนมติครม.ยุคอภิสิทธิ์ เห็นชอบให้ยกเลิก MOU 2544 ไปแล้ว เตือนรัฐบาลอย่าฝืน : ไทยโพสต์ 1 พ.ย. 2567) 

https://isranews.org/article/isranews-news/103045-gov-JTC-thailand-Cambodia-OCA-Dialogue-framework-news.html (‘บิ๊กป้อม’ประชุมลับ! ฟื้นเจรจาพื้นที่ทับซ้อน‘ไทย-กัมพูชา’ แบ่งเขตทะเล-พัฒนาปิโตรเลียม : สำนักข่าวอิศรา 4 ต.ค. 2564)

https://www.matichon.co.th/politics/news_4883301 (กษิต อัดแรง พวกปลุกเสียเกาะกูด เล่ายิบเหตุรบ.มาร์ค ยกเลิก MOU44 แต่ไม่สำเร็จ-หนุนเจรจาต่อ : มติชน 5 พ.ย. 2567)

https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/89854 (นายกรัฐมนตรี ยืนยันเกาะกูดเป็นของประเทศไทย ไม่มีการยกเลิก MOU 44 เตรียมตั้งคณะกรรมการฝ่ายไทย คุย กัมพูชา ยืนยันรัฐบาล รักษาผลประโยชน์ให้คนไทย : Thaigov 4 พ.ย. 2567)


(อ่านต่อ) รายงานพิเศษ (ตอนที่ 1) ‘เกาะกูด’เป็นของใคร? ‘MOU44’ยกดินแดนไทยให้กัมพูชาจริงไหม? Special Report 50/67(1/3) | Cofact
https://blog.cofact.org/special-report50-67-1/

(อ่านต่อ) รายงานพิเศษ (ตอนที่ 2) ‘เกาะกูด’เป็นของใคร? ‘MOU44’ยกดินแดนไทยให้กัมพูชาจริงไหม? Special Report 50/67 (2/3) | Cofact
https://blog.cofact.org/special-report-2-3/

สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 16 พฤศจิกายน 2567

รัฐบาลประกาศให้งดทำนาปรัง เนื่องจากน้ำมีน้อย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1wb5shmib81kn


ท่านอนคว่ำ ทำให้เสี่ยงเสียชีวิตเฉียบพลัน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่  https://cofact.org/article/1qccg6ww53spy#_=_


ผลิตภัณฑ์ ONEO ป้องกันมะเร็งกระเพาะปัสสาวะสำหรับผู้ปัสสาวะบ่อยช่วงกลางคืน ด้วยเทคโนโลยี Go-less ของสวิตเซอร์แลนด์…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่   https://cofact.org/article/23l8eamjhwk1z#_=_


ครม.เคาะวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ 3 วัน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3t0a74kjcv2kk


กรมศุลกากร เตือน ประชาชนอย่ารับหิ้วของข้ามประเทศ เสี่ยงถูกซุกยาเสพติด

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3tmrxnooo5irh


บัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถใช้จ่ายค่าโดยสาร BTS ได้

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3r858z7inj49q


 “มอเตอร์เวย์ฟรี”ยาว 8 วัน ของขวัญปีใหม่ 2568 จาก กระทรวงคมนาคม

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/wv62llv8u4lb


 แจ้งปิดเบี่ยงถนน 4 เส้นทาง ตั้งแต่ 15 พ.ย. 67 ลุยรถไฟฟ้าสายสีส้ม

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/39kj2xoirao3