ถ้วยกระดาษ’ ใส่เครื่องดื่มร้อน! มีความเสี่ยงเพียงใด?

By : Zhang Taehun

ภาพ 01 : คลิปวิดีโออ้างถ้วยกระดาษที่ใช้ใส่เครื่องดื่มร้อน ผลิตจากขยะรีไซเคิล

ที่มา : https://cofact.org/article/2x9wik3iwe2mg

This is one of the craziest scams in the United States! (นี่คือหนึ่งในเรื่องหลอกลวงที่บ้าคลั่งที่สุดในสหรัฐอเมริกา) เป็นคำบรรยายพาดหัวคลิปวิดีโอหนึ่งที่แชร์กันในสื่อสังคมออนไลน์ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา (บทความนี้เขียนเมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2568) ทั้งที่เป็นภาษาไทยและต่างประเทศ โดยคลิปดังกล่าวได้บรรยายเป็นภาษาอังกฤษว่า หลายคนเชื่อว่าถ้วยกระดาษที่นำมาเป็นภาชนะใส่เครื่องดื่มร้อน (เช่น กาแฟ) ทำจากเยื่อกระดาษบริสุทธิ์ (Clean Pulp) แต่จริงๆ แล้ววัสดุที่ใช้มาจากขยะรีไซเคิล 

เช่น พลาสติก กระดาษ กระดาษแข็งเก่าที่ใช้ในกิจการร้านอาหาร ลังกระดาษในภาคขนส่งสินค้า (Delivery Box) แม้กระทั่งในพื้นที่ฝังกลบขยะ(Landfill) วัสดุเหล่านี้จะถูกรวบรวม ซึ่งจะถูกปกคลุมด้วยละอองน้ำมันและสิ่งสกปรก (Oli Dust and Dirt) โดยคนงานจะคัดแยกขยะแบบลวกๆ แล้วเทรวมลงไปในเครื่องผสมขนาดยักษ์ (Giant Mixer) ซึ่งความร้อนสูงและสารเคมี จะแปรสภาพขยะให้เป็นเยื่อกระดาษสีน้ำตาลเข้ม (Dark Brown Pulp)จากนั้นใช้สารเคมีย้อมให้เป็นสีขาวดูสะอาด แล้วนำไปทำให้เป็นแผ่นกระดาษแล้วเข้ารูปด้วยฟิล์มพลาสติกกันน้ำ

กระบวนการผลิตถ้วยกระดาษจากวัสดุรีไซเคิลมีราคาถูก แต่ผู้บริโภคอาจได้รับอันตราย กล่าวคือ เมื่อใช้ถ้วยชนิดนี้ใส่เครื่องดื่มร้อน ความร้อนจะละลายสารเคมีที่เป็นพิษออกมาปนเปื้อนกับเครื่องดื่มในถ้วย ดังนั้นในขณะที่ดื่มเครื่องดื่มก็จะได้รับสารเคมีและพลาสติกเข้าไปในร่างกายด้วย ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อผู้บริโภคดื่มเครื่องดื่มจากถ้วยชนิดนี้จนหมดแล้วทิ้งแก้วกระดาษเป็นขยะ ก็จะก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมไปอีก 

– ความเสี่ยงจากถ้วยกระดาษ บทความกระดาษบรรจุภัณฑ์สหรับอาหารที่ไม่ได้มาตรฐานอันตรายมากกว่าที่คิด ในวารสารกรมวิทยาศาสตร์บริการ ระบุว่า การปนเปื้อนของสารอันตรายในกระดาษบรรจุภัณฑ์อาหารเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น จากการตกค้างของสารเคมีที่ใช้ในกระบวนผลิตกระดาษ จากกระบวนการพิมพ์บนบรรจุภัณฑ์หรือการใช้หมึกพิมพ์ที่อาจมีโลหะหนักจากสี หรือส่วนผสมอื่นๆ ของหมึกพิมพ์ตกค้างอยู่

รวมถึงบรรจุภัณฑ์ที่หากทำจากกระดาษที่นำกลับมาใช้ใหม่โดยผ่านกระบวนการรีไซเคิลก็ยิ่งมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีสารตกค้างอันตรายปนเปื้อนมากกว่าบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากเยื่อกระดาษใหม่เพราะในกระบวนการผลิตกระดาษไม่สามารถกำจัดสารอันตรายต่างๆ ออกจากกระดาษที่ผ่านการใช้แล้วได้อย่างสมบูรณ์

สารอันตรายที่อาจตกค้างในกระดาษสัมผัสอาหาร หรือกระดาษบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารสามารถแบ่งประเภทเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มสารอนินทรีย์อันตราย ได้แก่ โลหะเป็นพิษที่ออกฤทธิ์เรื้อรังต่อร่างกายหรือหากได้รับในปริมาณสูงอาจส่งผลให้เสียชีวิตอย่างฉับพลัน เช่น ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม และกลุ่มสารอินทรีย์อันตรายที่มีฤทธิ์ก่อมะเร็ง เช่น บิสฟีนอล A พอลีไซคลิก แอโรแมติกไฮโดรคาร์บอน (PAHs) สารกลุ่มพทาเลต สีเอโซ และเบนโซฟีโนน

– มีการกำกับดูแลการผลิตถ้วยกระดาษหรือไม่? :หลายประเทศมีกลไกกำกับดูแล เช่น สหรัฐอเมริกา มีการกำหนดมาตรฐานและกระบวนการทดสอบวัสดุสัมผัสอาหาร (Food Contact) โดยอยู่ในประมวลกฎหมายของรัฐบาลกลาง หมวดที่ 21 ว่าด้วยอาหารและยา (Code of Federal Regulations, Title 21, Food and Drugs,) เช่น มาตรา 176 สารเติมแต่งอาหารทางอ้อม: ส่วนประกอบของกระดาษและกระดาษแข็ง (INDIRECT FOOD ADDITIVES: PAPER AND PAPERBOARD COMPONENTS) มาตรา 177 สารเติมแต่งอาหารทางอ้อม: โพลิเมอร์ (INDIRECT FOOD ADDITIVES: POLYMERS)เป็นต้น , 

สหภาพยุโรป มีกรอบระเบียบข้อบังคับ (EC) เลขที่ 1935/2004 (Framework Regulation (EC) No 1935/2004) ซึ่งมีหลักการสำคัญคือ วัสดุต่างๆ ต้องไม่ 1.ปล่อยองค์ประกอบของวัสดุลงในอาหารในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์2.เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบ รสชาติ และกลิ่นของอาหารในระดับที่ยอมรับไม่ได้ , 

อินเดีย สำนักงานมาตรฐานและความปลอดภัยด้านอาหารแห่งอินเดีย (FSSAI) ออกข้อบังคับว่าด้วยความปลอดภัยและมาตรฐานอาหาร (บรรจุภัณฑ์) 2018 (Food Safety and Standards (Packaging) Regulations, 2018) กล่าวถึงวัสดุต่างๆ เช่น กระดาษแข็ง กระดาษ แก้ว โลหะ พลาสติก วัสดุบรรจุภัณฑ์หลายชั้นที่ใช้สำหรับบรรจุภัณฑ์ผลิตภัณฑ์อาหาร ซึ่งวัสดุใดๆ ที่สัมผัสโดยตรงกับอาหารหรือมีแนวโน้มที่จะสัมผัสอาหารซึ่งใช้ในการบรรจุ ปรุง ปรุง จัดเก็บ ห่อ ขนส่ง และจำหน่ายหรือให้บริการอาหาร จะต้องเป็นวัสดุคุณภาพเกรดอาหาร (Food Grade) , 

ไทย สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ออกมาตรฐาน มอก. 2948 –2562 (กระดาษสัมผัสอาหาร) ระบุว่า กระดาษสัมผัสอาหาร หมายถึงกระดาษ กระดาษแข็ง และภาชนะกระดาษ (จาน ชาม หลอด ถาด ถ้วย กล่อง ถุง) ที่ที่ไม่ใส่สีในเนื้อกระดาษ สำหรับใช้ห่อหุ้มบรรจุ รองรับอาหารทั่วไป และอาหารบรรจุขณะร้อน ทั้งที่สัมผัสและไม่สัมผัสอาหาร โดยตรง ไม่ครอบคลุมกระดาษ กระดาษแข็ง และภาชนะกระดาษที่ใช้กรองของเหลวร้อน (ถุงชา กระดาษกรองกาแฟ) ใช้อุ่นหรือปรุงสุกอาหารในเตาอบหรือไมโครเวฟ แบ่งประเภทกระดาษเป็น 2 ประเภท คือ 1.เยื้อบริสุทธิ์ 100% และ 2.เยื่อเวียนทำใหม่ 

ซี่งในกรณีของเยื่อเวียนทำใหม่ จะต้องไม่ได้ทำจากหรือมีส่วนผสมของกระดาษดังต่อไปนี้ (1) กระดาษซึ่งมีแหล่งที่มาจากสถานพยาบาล เช่น โรงพยาบาล คลินิก (2) กระดาษที่ผสมกับขยะมูลฝอยหรือแยกมาจากขยะมูลฝอย (3) กระดาษกระสอบหรือกระดาษถุงที่ปนเปื้อนสารเคมีหรืออาหาร เช่น ถุงปูนซีเมนต์ (4) กระดาษที่ใช้คลุมหรือหุ้มวัสดุอื่น เช่น กระดาษที่ใช้คลุมเฟอร์นิเจอร์ในระหว่างการซ่อมแซม พ่นสี หรืองานก่อสร้าง (5) กระดาษคาร์บอน กระดาษสำเนาไร้คาร์บอน และกระดาษสำเนาแบบใช้ความร้อน (6) กระดาษอนามัยที่ใช้แล้ว เช่น กระดาษเช็ดหน้า กระดาษเช็ดมือ กระดาษชำระ กระดาษเอนกประสงค์ (7) กระดาษเก่า เช่น จากห้องสมุด จากโรงเรียน จากโรงพิมพ์

สารเคมีในกระบวนการผลิตต้องเป็นชั้นคุณภาพสัมผัสอาหาร (Food Contact Grade) หากมีการใช้วัสดุเคลือบ กรณีเป็นกระดาษสัมผัสอาหารที่มีการเคลือบด้วยพลาสติก พลาสติกที่ใช้ต้องเป็นไปตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่เกี่ยวข้อง หรือกรณีเป็นกระดาษสัมผัสอาหารที่มีการเคลือบด้วยวัสดุอื่นที่ไม่ใช้พลาสติก วัสดุเคลือบที่ใช้ต้องเป็นชั้นคุณภาพสัมผัสอาหาร เช่นเดียวกับหมึกพิมพ์ หากมีการใช้ต้องเป็นระดับชั้นคุณภาพสัมผัสอาหาร และหมึกพิมพ์ต้องไม่สัมผัสกับอาหารโดยตรง 

กระบวนการผลิตต้องได้มาตรฐาน GMP ฉลากต้องระบุชื่อผลิตภัณฑ์ ประเภท แบบ ขนาด ปริมาณบรรจุ มีข้อความ อุณหภูมิสูงสุด ระบุประเภทอาหารที่ใช้หรือห้ามใช้กับกระดาษสัมผัสอาหารนี้ ในการใช้งาน มีข้อความ “ใช้สัมผัสอาหารได้” “ใช้ครั้งเดียว” “ห้ามใช้ซ้ำ” “ห้ามวางใกล้เปลวไฟ” “ห้ามใช้อุ่นหรือปรุงสุกอาหาร” เดือน ปี รหัสรุ่นที่ทำ ชื่อผู้ทำ และประเทศผู้ผลิต เป็นต้น

ภาพที่ 2 : อินโฟกราฟิกโดย สมอ. แนะนำวิธีเลือกซื้อผลิตภัณฑ์กระดาษสัมผัสอาหาร 
ที่มา : https://pr.tisi.go.th/มอก-2948-2562-กระดาษสัมผัสอาหาร/

– ใมโครพลาสติกกับถ้วยกระดาษ : มีงานวิจัยนกล่าวถึงการพบไมโครพลาสติกในถ้วยกระดาษ เช่น หัวข้อ Unveiling the hidden threat of microplastic in paper cups and tea bags: a critical review of their exacerbation and alarming concern in India เผยแพร่ในเว็บไซต์ link.springer.com ฐานข้อมูลงานวิจัย Springer Nature Link เมื่อวันที่ 23 พ.ค. 2568 ทำการศึกษาไมโครพลาสติกในถุงชาและถ้วยกระดาษ ระบุว่า หากบุคคลหนึ่งดื่มชาหรือกาแฟ 3 ถ้วยในถ้วยกระดาษทุกวัน อาจได้รับอนุภาคไมโครพลาสติกมากถึง 75,000 อนุภาค

ทั้งนี้ ไมโครพลาสติกอาจเพิ่มความเสี่ยงทางสุขภาพ เช่น ระบบย่อยอาหาร ระบบไหลเวียนโลหิตระบบประสาท ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบสืบพันธุ์ ระบบทางเดินหายใจ รวมถึงอาจเป็นปัจจัยก่อโรคมะเร็ง อย่างไรก็ตาม คณะผู้วิจัยยอมรับว่าพฤติกรรมด้านสิ่งแวดล้อม ผลกระทบต่อระบบนิเวศ และสุขภาพของอนุภาคไมโครพลาสติกที่ปล่อยออกมาจากถุงชาและถ้วยกระดาษยังคงไม่เป็นที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ จึงคาดหวังให้ดำเนินการตรวจสอบเพิ่มเติมซึ่งความก้าวหน้าทางวิธีการวิเคราะห์และการรายงานผลที่แม่นยำยิ่งขึ้นจะช่วยในการประเมินอันตรายต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมาก

อนึ่ง ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2568 โคแฟคเคยนำเสนอเรื่องราวของงานวิจัยในสหรัฐอเมริกา ว่าด้วยการเคี้ยวหมากฝรั่งเพียง 8 นาที อาจได้รับไมโครพลาสติกหลายพันชิ้น (บทความ ‘เคี้ยวหมากฝรั่ง8นาที.เท่ากับกลืนไมโครพลาสติกหลายพันชิ้น’มีงานวิจัยจริงไหม? และได้บอกอะไรกับเรา?) อย่างไรก็ตาม คณะผู้วิจัยย้ำว่าไม่ต้องการทำให้เกิดความตื่นตระหนก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบว่าไมโครพลาสติกเป็นอันตรายต่อมนุษย์หรือไม่ แต่ต้องการสร้างความตระหนักถึงผลกระทบของไมโครพลาสติกต่อสิ่งแวดล้อม จากการทิ้งหมากฝรั่งที่เคี้ยวแล้วอย่างไม่ถูกวิธี

โดยสรุปแล้ว หากเป็นถ้วยกระดาษที่ผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน ข้อมูล ณ ขณะนี้ยังสามารถใช้บริโภคเครื่องดื่มร้อนได้ ส่วนประเด็นไมโครพลาสติกยังเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาผลกระทบต่อสุขภาพให้ชัดเจนกันต่อไป!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

http://lib3.dss.go.th/fulltext/dss_j/2562_68_211_P26-27.pdf (กระดาษบรรจุภัณฑ์สําหรับอาหารที่ไม่ได้มาตรฐานอันตรายมากกว่าที่คิด : วารสารกรมวิทยาศาสตร์บริการ)

https://www.ecfr.gov/current/title-21/chapter-I/subchapter-B (ฐานข้อมูลประมวลกฎหมายของรัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกา)

https://food.ec.europa.eu/food-safety/chemical-safety/food-contact-materials/legislation_en(Regulation (EC) No 1935/2004 provides a harmonised legal EU framework. : ฐานข้อมูลรัฐสภายุโรป ว่าด้วยความปลอดภัยอาหาร)

https://www.fssai.gov.in/upload/uploadfiles/files/Compendium_Packaging_Labelling_Regulations_28_01_2022.pdf (Food Safety and Standards (Packaging) Regulations, 2018 : FSSAI)

https://hongthaipackaging.com/wp-content/uploads/2023/02/2948_2562.pdf?srsltid=AfmBOorQQ5AzgSjM8mPYgeiSLSfzgsYffg8hwgwtzZVT-4hd2y3kznMa (มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม THAI INDUSTRIAL STANDARD มอก. 2948-2562)

https://link.springer.com/article/10.1007/s42452-025-07121-y (Unveiling the hidden threat of microplastic in paper cups and tea bags: a critical review of their exacerbation and alarming concern in India : Springer Nature Link 23 พ.ค. 2568)

https://blog.cofact.org/report65-68/ (‘เคี้ยวหมากฝรั่ง8นาที.เท่ากับกลืนไมโครพลาสติกหลายพันชิ้น’มีงานวิจัยจริงไหม? และได้บอกอะไรกับเรา?)


คลิปเก่าที่เคยเผยแพร่ตั้งแต่ต้นปี 67 ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นภาพกองทัพกัมพูชาขนอาวุธประชิดชายแดนไทย

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปทหารกัมพูชาขนอาวุธประชิดชายแดนไทย 

❌ ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ เป็นคลิปเก่าที่เคยมีการเผยแพร่ตั้งแต่ต้นปี 67** 

📝 เนื้อหาโดยสรุป: ช่วงวันที่ 26-27 ก.ย. 68 ผู้ใช้โซเชียลมีเดียแชร์คลิปวิดีโออ้างกองทัพกัมพูชาลำเลียงอาวุธประชิดชายแดนไทย เช่น บัญชีเฟซบุ๊ก “ฉันรักเมืองไทย มาลาวรวัฒน์” โพสต์คลิป Reel ขบวนรถทหารลักษณะคล้ายรถฐานยิงจรวด ฝังข้อความ “ล่าสุดทหารเขมรเคลื่อนไหวขนอาวุธประชิดชายแดน จำนวนมาก ไทย-กัมพูชา” ขณะที่ช่องยูทูบ “อัพเดทข่าวดัง123” โพสต์คลิปเดียวกันโดยระบุว่า “เขมรขนPHL-03ประชิดชายแดนไทย”

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: คลิปดังกล่าวเคยถูกโพสต์เมื่อวันที่ 19 ม.ค. 2567 โดยบัญชีผู้ใช้ X ชื่อ “Jesus Roman” ระบุว่าเป็นคลิปที่นำมาจากบัญชีผู้ใช้ Weibo และบรรยายภาพเป็นภาษาอังกฤษว่า “ปืนใหญ่ AR-2 ขนาด 300 มม. จำนวน 4 กระบอก (รหัสส่งออก 🇨🇳PHL-03) MLRS จากกองทัพบกกัมพูชา (ลำดับที่ 905, 903, 904 และ 906) น่าจะเป็นของกองร้อย การจัดกำลังของกองร้อยนี้บ่งชี้ว่ากัมพูชาได้รับปืนใหญ่มากกว่า 6 กระบอกในปี 2022 แม้ว่าจะไม่เห็นรถบรรจุกระสุนเลยก็ตาม”

โคแฟคยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าคลิปนี้เป็นยุทโธปกรณ์ของกองทัพบกกัมพูชาตามที่บัญชีผู้ใช้ X ระบุหรือไม่ แต่สรุปได้ว่าคลิปนี้ไม่ใช่ภาพกองทัพกัมพูชาขนอาวุธประชิดชายแดนไทยในช่วงปลายเดือน ก.ย. 68 ตามที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กและยูทูบในไทยกล่าวอ้าง เนื่องจากเป็นคลิปเก่าที่ถูกเผยแพร่ตั้งแต่เดือน ม.ค. 67

คลิปทดสอบระบบยิงจรวด HIMARS ในไต้หวัน ถูกนำมาอ้างเท็จว่าเป็นเหตุการณ์สู้รบไทย-กัมพูชา

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปยิงจรวดในเหตุสู้รบไทย-กัมพูชา 

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ เป็นคลิปทดสอบระบบยิงจรวดในไต้หวัน** 

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 26 ก.ย. 68 บัญชีเฟซบุ๊ก “สิทธิ์ อภิสิทธิ์” โพสต์คลิปวิดีโอความยาว 9 วินาที เป็นภาพการยิงจรวด ฝังข้อความว่า “ฐานปล่อย BM21” และอิโมจิรูปธงชาติกัมพูชา

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 28 ก.ค. 68 บัญชีติ๊กตอก “rt.news.tv” ได้โพสต์คลิปนี้เช่นกัน โดยบรรยายข้อความเป็นภาษาเขมร อ้างเป็นภาพกระสุนปืนใหญ่ที่กองทัพไทยยิงโจมตีกัมพูชา  

ภาพจากบัญชีผู้ใช้ติ๊กตอก “rt.news.tv” ที่อ้างว่าเป็นภาพการยิงโจมตีกัมพูชาของกองทัพไทย

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: เมื่อค้นหาภาพด้วย Google lens พบว่าคลิปนี้เคยถูกเผยแพร่เมื่อวันที่ 12 พ.ค. 68 ทางช่องยูทูบ @missionairforce-tw มีข้อความประกอบเป็นภาษาจีนสั้น ๆ ว่าการซ้อมยิงจรวดในปี 2025 ช่องยูทูบนี้ระบุว่านำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับเครื่องบินรบของกองทัพอากาศไต้หวันและของประเทศอื่น ๆ เพื่อให้ชาวไต้หวันได้รับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมของกองทัพ

โคแฟคสืบค้นเพิ่มเติมพบว่าในวันเดียวกัน เว็บไซต์ tcpttw.com สื่อไต้หวันได้รายงานข่าวเรื่องการทดสอบจรวด HIMARS ที่ฐานทัพจิ่วเผิง โดยภาพประกอบข่าวเป็นภาพจากเหตุการณ์และพื้นที่เดียวกับในคลิปที่เผยแพร่ในช่องยูทูป @missionairforce-tw เนื้อข่าวซึ่งนำเสนอเป็นภาษาจีนแปลสรุปใจความได้ว่าเมื่อวันที่ 12 พ.ค. 68 กองทัพไต้หวันได้ทดสอบการยิงจรวด HIMARS ที่สั่งซื้อจากสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรก ณ ฐานทัพอากาศจิ่วเผิง เมืองผิงตง  

สื่อหลายสำนักของไต้หวันรายงานการทดสอบระบบยิงจรวด HIMARS ครั้งนี้ เช่น สำนักข่าว TaiwanPlus News รายงานเมื่อวันที่ 12 พ.ค. 68 ว่านับเป็นครั้งแรกที่กองทัพไต้หวันทำการทดสอบระบบยิงจรวด HIMARS (High Mobility Artillery Rocket System) ที่ผลิตโดยสหรัฐฯ และเป็นหนึ่งในยุทโธปกรณ์ที่มีความแม่นยำที่สุดในโลก 

📌 สรุปได้ว่าภาพในคลิปที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กชาวไทยอ้างว่าเป็นคลิปฐานยิงจรวด BM21 ของกัมพูชา และผู้ใช้ติ๊กตอกในกัมพูชาอ้างว่าเป็นการยิงปืนใหญ่จากฝั่งไทยนั้น แท้จริงแล้วเป็นภาพกองทัพไต้หวันทดลองระบบยิงจรวด HIMARS ที่ฐานทัพในเมืองผิงตงเมื่อวันที่ 12 พ.ค. 68 ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับการสู้รบที่ชายแดนไทย-กัมพูชาระหว่างวันที่ 24-28 ก.ค. 68 ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะตกลงหยุดยิงตั้งแต่วันที่ 29 ก.ค. 2568 เป็นต้นมา

พาราเซตามอลทำทารกออทิสติก” จริงหรือ? ผู้เชี่ยวชาญชี้แจงข้อเท็จจริงในโคแฟคสนทนา

เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568 รายการโคแฟคสนทนา: รวมพลคนเช็กข่าว EP.19 ออกอากาศเวลา 19:00–19:30 น. เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคำกล่าวอ้างที่ว่า “พาราเซตามอล” ซึ่งเป็นยาสามัญประจำบ้านอาจทำให้ทารกที่เกิดจากมารดาที่ใช้ยานี้ขณะตั้งครรภ์มีภาวะออทิสติกหรือพัฒนาการทางระบบประสาทล่าช้า หลังจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ทรัมป์ ออกมาเตือนเมื่อวันที่ 22 กันยายนที่ผ่านมาสร้างความตื่นตระหนกในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์และวงการเภสัชกรรม การสนทนาครั้งนี้นำโดย สุชัย เจริญมุขยนันท ดำเนินรายการ พร้อมด้วย สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง COFACT, รศ.ดร.ภญ.มยุรี ตั้งเกียรติกำจาย จากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว. องครักษ์) และ เต ฐานันดร จากอีสานโคแฟค เครือข่ายตรวจสอบข่าวลวงภาคอีสาน

สุภิญญา กล่าวว่า ข่าวลือนี้สร้างความกังวลอย่างมากเนื่องจากพาราเซตามอลเป็นยาที่อยู่คู่ครัวเรือนทั่วโลกมานาน และมักใช้เป็นยาลดไข้และบรรเทาอาการปวดในหลายสถานการณ์ เธอตั้งข้อสังเกตว่า คำกล่าวอ้างดังกล่าวอาจมีแรงจูงใจทางการเมือง ซึ่งต้องตรวจสอบเจตนาเชิงลึกต่อไป แต่เน้นว่าการสนทนาครั้งนี้จะยึดข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์เป็นหลัก

รศ.ดร.ภญ.มยุรี อธิบายว่า ปัจจุบันไม่มีงานวิจัยใดยืนยันว่าพาราเซตามอลเป็นสาเหตุโดยตรงของภาวะออทิสติกหรือสมาธิสั้นในทารก งานวิจัยที่เกี่ยวข้องเช่น การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติเมื่อ 3 ปีก่อน ซึ่งติดตามผลในกลุ่มตัวอย่างกว่า 2 ล้านคนในสวีเดนเป็นเวลา 10 ปี พบความสัมพันธ์บางอย่างระหว่างการใช้พาราเซตามอลในหญิงตั้งครรภ์กับความผิดปกติในเด็ก แต่เมื่อควบคุมปัจจัยทางพันธุกรรมโดยเปรียบเทียบระหว่างพี่น้อง ความสัมพันธ์นี้หายไป ผลวิจัยระบุว่าปัจจัยทางพันธุกรรมมีผลมากกว่าพาราเซตามอล นอกจากนี้ งานวิจัยในนอร์เวย์ที่ควบคุมปัจจัยพันธุกรรมก็ให้ผลสอดคล้องกันว่า พาราเซตามอลไม่มีความสัมพันธ์กับภาวะดังกล่าว

อาจารย์มยุรี ย้ำว่า หน่วยงานสาธารณสุขทั่วโลก รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของสหรัฐฯ และยุโรป ยังคงยืนยันว่าพาราเซตามอลเป็นยาตัวแรกที่ปลอดภัยสำหรับหญิงตั้งครรภ์ในการลดไข้และบรรเทาอาการปวดศีรษะหรือกล้ามเนื้อ โดยแนะนำให้ใช้ในปริมาณน้อยที่สุดและในระยะเวลาสั้นที่สุด เพื่อความปลอดภัยสูงสุด สำหรับขนาดยาที่เหมาะสมในผู้ใหญ่ ควรคำนวณตามน้ำหนักตัวที่ 10-15 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อครั้ง ทุก 4-6 ชั่วโมง โดยพิจารณาอาการเป็นหลัก และไม่ควรเกิน 3 กรัมต่อวันสำหรับผู้ใหญ่ทั่วไป หรือ 4 กรัมในกรณีที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อตับ ส่วนเด็กต้องคำนวณตามน้ำหนักตัว โดยขนาดสูงสุดไม่เกิน 75 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน

เต ฐานันดร ถามถึงกรณีหญิงตั้งครรภ์ที่กังวลเกี่ยวกับการใช้ยา อาจารย์มยุรี ตอบว่า หากอาการปวดหรือไข้ไม่รุนแรง หญิงตั้งครรภ์ควรพักผ่อนและหลีกเลี่ยงการใช้ยา แต่หากจำเป็น พาราเซตามอลยังเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยกว่ายาทางเลือกอื่น เช่น สมุนไพรอย่างฟ้าทะลายโจร ซึ่งห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร เนื่องจากอาจส่งผลต่อทารกผ่านน้ำนม และสมุนไพรที่มีรสขม เช่น บอระเพ็ด หรือยาขมของจีน ก็ไม่แนะนำสำหรับกลุ่มนี้

อาจารย์มยุรี ยังเตือนถึงความเสี่ยงจากการใช้ยาหรือสมุนไพรเกินขนาด โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงเช่น ผู้ที่มีไขมันพอกตับ ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ ผู้ดื่มแอลกอฮอล์หนัก หรือผู้ใช้สมุนไพรที่มีรสขมเป็นประจำการใช้พาราเซตามอลเกิน 4 กรัมต่อวัน ติดต่อกันเกิน7 วัน หรือใช้ร่วมกับยาอื่นที่มีส่วนผสมของพาราเซตามอลโดยไม่รู้ตัว อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อตับได้ เธอแนะนำให้อ่านฉลากยาให้ชัดเจน และปรึกษาเภสัชกรเพื่อใช้ยาในขนาดที่เหมาะสม

สำหรับฟ้าทะลายโจร ผู้ชมถามว่าสามารถใช้เป็นประจำได้หรือไม่ อาจารย์มยุรี อธิบายว่า ไม่ควรกินติดต่อกันทุกวันเกิน 1 เดือน เนื่องจากอาจเสี่ยงต่อตับโดยเฉพาะในกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น ผู้ใช้ยาลดไขมันร่วมด้วย ฟ้าทะลายโจรเหมาะสำหรับบรรเทาอาการเจ็บคอหรือร้อนในจากไวรัส แต่ฤทธิ์ลดไข้สู้พาราเซตามอลไม่ได้ และต้องใช้ตั้งแต่เริ่มมีอาการเพื่อให้ได้ผลดี

สุภิญญา สรุปว่า คำกล่าวอ้างของทรัมป์ขาดหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ และประชาชนไม่ควรกังวลเกินเหตุพาราเซตามอลยังเป็นยาสามัญที่ปลอดภัยหากใช้อย่างถูกวิธี แต่ไม่ควรใช้พร่ำเพร่อหรืออดทนจนเกินไปโดยไม่ใช้ยาเมื่อจำเป็น เธอแนะนำให้ปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์หากมีข้อสงสัย เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและหลีกเลี่ยงข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือจากโซเชียลมีเดีย


ขอบคุณที่มา ubonconnect

สิ้นสุดยุคแห่งข้อเท็จจริง? การพูดคุยของ Cofact Live Talk เกี่ยวกับ”Information Armageddon”

วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน 2568 — เนื่องในวันข่าวโลก (World News Day) Cofact Live Talk ได้ตั้งวงคุยหัวข้อ “Information Integrity vs. Information Armageddon” เพื่อสะท้อนมุมมองจากสุนทรพจน์ของ Maria Ressa ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ โดยมีแขกรับเชิญพิเศษคือ Shataakshi Verma ผู้จัดการโครงการและพัฒนาจาก Reporters Without Borders (RSF) สำนักงานภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

ในวง Live Talk มี สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Cofact และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. เจษฎา ศาลาทอง จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมดำเนินรายการพูดคุย โดยได้เริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงสุนทรพจน์ของ Maria Ressa ในการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ซึ่งเธอได้ให้คำจำกัดความของสถานการณ์ปัจจุบันว่าเป็น “Armageddon” หรือการทำลายล้างครั้งใหญ่ของข้อมูล ในยุคนี้ ข่าวปลอมแพร่กระจายเร็วกว่าข้อเท็จจริงถึง 6 เท่าบนโซเชียลมีเดีย และอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มต่าง ๆ ได้ให้รางวัลกับความเกลียดชังมากกว่าความเห็นอกเห็นใจ ส่งผลให้เกิดความกลัว ความโกรธ และความเกลียดชัง สุภิญญาเน้นย้ำว่า Maria มองว่า “Information integrity” หรือความน่าเชื่อถือของข้อมูล คือการต่อสู้ที่สำคัญที่สุด เพราะความรุนแรงบนโลกออนไลน์ได้นำไปสู่ความรุนแรงในโลกแห่งความเป็นจริงซ้ำแล้วซ้ำเล่า และการขาดความน่าเชื่อถือของข้อมูลอาจนำไปสู่การล่มสลายของสถาบันและความเชื่อใจในสังคม

นิยามของ “Information Armageddon” และภัยคุกคาม

Shataakshi Verma จาก RSF อธิบายว่าการใช้คำว่า “Armageddon” ของ Maria Ressa ไม่ได้หมายถึงจุดจบ แต่เป็นคำเตือนว่าเรายังพอมีเวลา เธอมองว่า “Information Armageddon” คือการที่สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลที่เป็นจริงของผู้คนทั่วโลกกำลังถูกคุกคาม และขาดความจริงในข้อมูลที่ถูกเผยแพร่ออกไป เธอยังชี้ให้เห็นถึงภัยคุกคามหลายด้านที่เชื่อมโยงกับปัญหานี้ ได้แก่:

การบิดเบือนข้อมูล: มีการนำเสนอข้อมูลที่ผิดพลาดอย่างแพร่หลาย

การผูกขาดข้อมูล: แพลตฟอร์มต่าง ๆ กำลังผูกขาดข้อมูลและเนื้อหาที่นำเสนอ

สภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการทำงานของสื่อ: ผู้สื่อข่าวไม่ได้รับอนุญาตให้ทำงานในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ซึ่งส่งผลให้บทบาทของสื่ออิสระลดลง

อำนาจนิยม: ระบบอำนาจนิยมในหลายภูมิภาคทั่วโลกใช้การควบคุมข้อมูลเป็นเครื่องมือในการทำงาน

เศรษฐกิจ: รูปแบบทางเศรษฐกิจของสื่ออิสระกำลังเสื่อมถอยลงอย่างมาก ทำให้ไม่มีเงินทุนสนับสนุนสื่ออิสระอีกต่อไป และในบางประเทศเช่น จีนและเวียดนาม สื่อส่วนใหญ่เป็นสื่อที่ควบคุมโดยรัฐทำให้ไม่มีช่องทางในการตรวจสอบข้อมูล

ความปลอดภัยของนักข่าวและผลกระทบต่อวิชาชีพ

Shataakshi กล่าวว่า นักข่าวคือศูนย์กลางของภัยคุกคามนี้ มีความรุนแรงทางออนไลน์ที่มุ่งเป้าไปที่นักข่าว ซึ่งทำให้เกิดแรงกดดันทางจิตใจและนำไปสู่การเซ็นเซอร์ตัวเอง เธอยกตัวอย่างที่เกิดขึ้นกับนักข่าวในไต้หวันที่ทำงานเกี่ยวกับจีน ซึ่งถูกคุกคามทางออนไลน์อย่างต่อเนื่องจนต้องปิดบัญชีส่วนตัว เธอยังเล่าถึงประสบการณ์ในฐานะอาจารย์สอนวิชารู้เท่าทันสื่อ (media literacy) ที่ไต้หวันว่า นักศึกษาส่วนใหญ่ไม่อยากเป็นนักข่าวอีกต่อไป ด้วยเหตุผลว่าการเป็นนักข่าวเป็นอาชีพที่ยากลำบาก ไม่สร้างรายได้ และมีความเสี่ยงต่อความปลอดภัยและสวัสดิภาพ ทั้ง สุภิญญาและอาจารย์เจษฎาต่างก็พบเห็นแนวโน้มเดียวกันนี้ในนักศึกษาของตน

ความสำคัญของ “Information Integrity” และความรับผิดชอบร่วมกัน

Shataakshi ให้คำจำกัดความของ “Information Integrity” ว่าหมายถึงการผลิตข้อมูลที่ยึดหลักจริยธรรมเป็นแกนหลัก ซึ่งรวมถึงความรับผิดชอบต่อข้อมูลที่ผลิตขึ้นมา และยังเน้นถึงบทบาทของ AI ที่จะส่งผลกระทบอย่างมากหากไม่มีการควบคุม เธอจึงเสนอว่าควรมีการควบคุม AI ในระดับรัฐบาลและระดับโลก RSF เองก็มีโครงการที่ชื่อว่า Journalism Trust Initiative (JTI) ซึ่งพยายามตรวจสอบและนำเสนอระเบียบการสำหรับแพลตฟอร์มต่าง ๆ เกี่ยวกับข้อมูลที่เผยแพร่ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง

นอกจากบทบาทขององค์กรและรัฐบาลแล้ว อาจารย์เจษฎาและShataakshi เน้นย้ำว่าผู้บริโภคข้อมูลก็มีส่วนสำคัญในการต่อสู้กับ”Information Armageddon” นี้ อาจารย์เจษฎาเปรียบเทียบการบริโภคข่าวสารเหมือนกับการบริโภคอาหาร และกล่าวว่าเราต้องเป็นผู้บริโภคที่ฉลาดและมีวิจารณญาณ เพื่อให้สุขภาพทางดิจิทัลของเราแข็งแรงและยั่งยืน

โครงการเพื่อนักข่าวหญิงในประเทศไทย

Shataakshi ยังได้กล่าวถึงโครงการที่ RSF จะร่วมมือกับ Cofact ในประเทศไทยเพื่อจัดการอบรมสำหรับนักข่าวหญิง โดยโครงการนี้มีเป้าหมายที่จะสอนเรื่องความปลอดภัยทางดิจิทัล การตรวจสอบข้อมูล (fact-checking) และการใช้เครื่องมือทางดิจิทัลต่าง ๆ พร้อมกับดูแลสุขภาพจิตของนักข่าวด้วย โดยเฉพาะนักข่าวหญิงในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากความรุนแรงทางออนไลน์ที่เพิ่มขึ้น 

สุภิญญาได้กล่าวเสริมถึงกรณีของนักข่าวหญิงไทยชื่อดังอย่างคุณฐปณีย์ เอียดศรีไชย ที่นอกจากผลงานจะถูกขโมยแล้ว ยังถูกโจมตีทางออนไลน์เมื่อทำข่าวที่มีประเด็นอ่อนไหว ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วภูมิภาค

สรุปความโดย Gemini


ขอบคุณที่มา ubonconnect

คลิปสร้างกำแพงกันดินที่ปากช่อง จ.นครราชสีมา ถูกนำมาอ้างเท็จว่าสร้างรั้วที่ชายแดนไทย-กัมพูชา

กองบรรณาธิการโคแฟค

เนื้อหาที่ตรวจสอบ: คลิปก่อสร้างรั้วชายแดนไทย-กัมพูชา 

ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง: **เนื้อหาเท็จ เป็นคลิปการก่อสร้างในพื้นที่อื่น** 

📝 เนื้อหาโดยสรุป: วันที่ 26 ก.ย. 68 บัญชีเฟซบุ๊ก “Ornrapim PNi Kongcharond” โพสต์คลิปวิดีโอการวางกำแพงคอนกรีต ฝังข้อความในคลิปว่า “เริ่มสร้างรั้วชายแดนไทยกัมพูชา ของจริง กำลังสร้างรั้ว” และเขียนบรรยายในโพสต์ว่ารถแบ็คโฮกำลังวางรั้วสำเร็จกั้นชายแดนไทยกัมพูชา

โพสต์นี้มียอดการชมถึง 2.1 ล้านครั้งและถูกแชร์มากกว่า 1,600 ครั้ง (ณ วันที่ 30 ก.ย. 68) 

🔎 โคแฟคตรวจสอบ: เมื่อใช้เครื่องมือ Google Lens ค้นหาภาพพบว่าคลิปนี้เคยถูกโพสต์ที่เพจเฟซบุ๊ก “เซฟ คมพิศิษฐ์ พี.เอส.ที. เอ็นจิเนียริ่ง” เมื่อวันที่ 22 ก.ย. 68 ระบุข้อความในคลิปว่า “ติดตั้งกำแพงกันดินสูง 2.50 เมตร” ในโพสต์ใส่แฮชแท็กเกี่ยวกับการรับงานติดตั้งกำแพงกันดินสำเร็จรูป

โคแฟคสอบถามเพิ่มเติมไปยังบัญชีเฟซบุ๊กดังกล่าวได้ข้อมูลว่าเป็นคลิปงานติดตั้งกำแพงกันดินให้ลูกค้าที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา

‘พาราเซตามอล’ทำทารก‘ออทิสติก’จริงหรือ? เมื่อ ‘ทรัมป์’ออกมาเตือนไม่อยากให้หญิงมีครรภ์ใช้

By : Zhang Taehun

ผมอยากจะพูดตรงๆ ว่า อย่ากินไทลินอล อย่ากินมัน (I want to say it like it is, don’t take Tylenol. Don’t take it)” 

คำกล่าวของ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ในการแถลงข่าวที่ทำเนียบขาวเมื่อวันที่ 22 ก.ย. 2568 เตือนประชาชน “อย่าให้หญิงมีครรภ์ใช้ยาไทลินอล (Tylenol) เพราะจะส่งผลให้เด็กเกิดมาเป็นออทิสติก(Autism)” และเสนอให้ใช้ ลิวโคโวริน (Leucovorin) กลายเป็นข่าวใหญ่ที่สื่อทั่วโลกให้ความสนใจ ท่ามกลางคำถามว่า “จริงหรือไม่?”ผู้นำสหรัฐฯ อ้างอิงจากหลักฐานอะไร?

อาทิ สำนักข่าวรอยเตอร์ ในวันเดียวกัน ได้รายงานเสียงโต้แย้งจากกลุ่มสนับสนุนทางการแพทย์ การวิจัย และออทิสซึมหลายสิบกลุ่ม รวมถึงสถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกา (American Academy of Pediatrics) และวิทยาลัยสูตินรีแพทย์และนรีเวชวิทยาแห่งอเมริกา (American College of Obstetricians and Gynecologists) ที่ระบุว่า ข้อมูลที่อ้างถึงไม่ได้สนับสนุนข้อกล่าวอ้างที่ว่าไทลีนอลเป็นสาเหตุของออทิสติกและลิวโคโวรินสามารถใช้เป็นยารักษาได้ 

– ไทลินอลคืออะไร? : ไทลินอล เป็นหนึ่งในชื่อทางการค้าของตัวยา พาราเซตามอล (Paracetamol)หรือ อะเซตามิโนเฟน (Acetaminophen) เป็นยาที่มีฤทธิ์แก้ปวดลดไข้ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย สามารถใช้ได้ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยา โดยทั่วไปเป็นยาที่ค่อนข้างปลอดภัยเว้นแต่ว่ารับประทานยาเกินขนาดหรือใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน ซึ่งเกิดอันตรายต่อตับและไตได้

Drugs.com เว็บไซต์ฐานข้อมูลสารานุกรมเภสัชกรรมออนไลน์ที่ให้ข้อมูลยาแก่ผู้บริโภคและบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งมีสำนักงานในสหรัฐอเมริกาและนิวซีแลนด์ ระบุว่า อะเซตามิโนเฟน เป็นชื่อสามัญของตัวยา ในขณะที่ ไทลินอล เป็นชื่อทางการค้าของยาซึ่งผลิตโดย McNeil Consumer บริษัทในเครือ Kenvue ยักษ์ใหญ่ด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพในสหรัฐฯ โดยอะเซตามิโนเฟนเป็นยาบรรเทาปวดสำหรับอาการปวดเล็กน้อยถึงปานกลาง เช่น อาการปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลัง ปวดฟัน และมีไข้

– ไทลินอลอันตรายต่อทารกในครรภ์ เสี่ยงต่อการทำให้เกิดออทิสติกจริงหรือ? : รายงานของรอยเตอร์ Explainer: Is Tylenol safe to take during pregnancy? วันที่ 22 ก.ย. 2568 อ้างถึงงานวิจัยหลายชิ้น เช่น Acetaminophen Use During Pregnancy and Children’s Risk of Autism, ADHD, and Intellectual Disability ซึ่งเผยแพร่ในวารสารการแพทย์ขงอสหรัฐฯ อย่าง JAMA เมื่อวันที่ 9 เม.ย. 2567 ศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างเด็กเกือบ 2.5 ล้านคนในสวีเดน ไม่พบความเชื่อมโยงเชิงสาเหตุระหว่างการได้รับอะเซตามิโนเฟนในครรภ์กับความผิดปกติทางพัฒนาการทางระบบประสาท เช่น ออทิสติก สมาธิสั้น (ADHD)

งานวิจัยหัวข้อ Evaluation of the evidence on acetaminophen use and neurodevelopmental disorders using the Navigation Guide methodology เผยแพร่ทางวารสารวิชาการของอังกฤษอย่าง BioMed Central เผยแพร่เมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2568 ซึ่งศึกษางานวิจัยก่อนหน้านี้ 46 ชิ้น ชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างการได้รับอะเซตามิโนเฟนก่อนคลอดกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะเหล่านี้ แต่นักวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ไอคาห์น มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และคณะอื่นๆ กล่าวว่า การศึกษานี้ไม่ได้พิสูจน์ว่ายาเป็นสาเหตุของผลลัพธ์ดังกล่าว โดยแนะนำว่าสตรีมีครรภ์ควรใช้อะเซตามิโนเฟนต่อไปตามความจำเป็น ในขนาดยาที่ต่ำที่สุด และในระยะเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

แม้ว่าแนวโน้มอัตราความผิดปกติทางพัฒนาการของระบบประสาท (NDD) ในระดับประชากรจะเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเป็นผลมาจากปัจจัยหลายประการ รวมถึงการวินิจฉัยที่ดีขึ้นและการสัมผัสจากภายนอก แต่จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อยืนยันความสัมพันธ์เหล่านี้และพิจารณาสาเหตุและกลไก ความสัมพันธ์เชิงสาเหตุมีความเป็นไปได้เนื่องจากความสอดคล้องของผลการศึกษาและการควบคุมอคติที่เหมาะสมในการศึกษาทางระบาดวิทยาส่วนใหญ่ รวมถึงผลกระทบทางชีวภาพของอะเซตามิโนเฟนต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์ในการศึกษาเชิงทดลอง

(While population-level trends in NDD rates have risen, potentially due to several factors including improved diagnostics and external exposures, further research is needed to confirm these associations and determine causality and mechanisms. A causal relationship is plausible because of the consistency of the results and appropriate control for bias in the large majority of the epidemiological studies, as well as acetaminophen’s biological effects on the developing fetus in experimental studies.)” งานวิจัยดังกล่าวให้ข้อสรุป 

ในวันเดียวกัน องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (FDA) เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ FDA Responds to Evidence of Possible Association Between Autism and Acetaminophen Use During Pregnancy ระบุว่า FDA ได้ริเริ่มการเปลี่ยนแปลงฉลากยาอะเซตามิโนเฟน (ไทลีนอลและผลิตภัณฑ์ที่คล้ายกัน) เพื่อสะท้อนหลักฐานที่บ่งชี้ว่าการใช้ยาอะเซตามิโนเฟนในหญิงตั้งครรภ์อาจเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคทางระบบประสาท เช่น ออทิสติกและสมาธิสั้นในเด็ก นอกจากนี้ หน่วยงานยังได้ออกจดหมายแจ้งเตือนแพทย์ทั่วประเทศที่เกี่ยวข้องด้วย

แนวทางของ FDA อ้างถึงงานวิจัยที่ได้รับการเผยแพร่ในฐานข้อมูลหอสมุดแพทย์แห่งชาติอเมริกันในกำกับดูแลของสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ (NLM-NIH) เช่น Use of Negative Control Exposure Analysis to Evaluate Confounding: An Example of Acetaminophen Exposure and Attention-Deficit/Hyperactivity Disorder in Nurses’ Health Study II (เผยแพร่ 1 เม.ย. 2562) , 

Association of Cord Plasma Biomarkers of In Utero Acetaminophen Exposure With Risk of Attention-Deficit/Hyperactivity Disorder and Autism Spectrum Disorder in Childhood (เผยแพร่ 1 ก.พ. 2563) เป็นต้น อย่างไรก็ตาม รายงานของ FDA ทิ้งท้ายว่า สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือ แม้ว่าจะมีการศึกษาหลายชิ้นที่อธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างอะเซตามิโนเฟนและภาวะทางระบบประสาท แต่ก็ยังไม่พบความสัมพันธ์เชิงสาเหตุที่ชัดเจน และมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ขัดแย้งกัน 

อะเซตามิโนเฟนเป็นยาที่หาซื้อได้ทั่วไปเพียงชนิดเดียวที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้รักษาไข้ระหว่างตั้งครรภ์ และไข้สูงในหญิงตั้งครรภ์อาจเป็นอันตรายต่อลูกได้ นอกจากนี้ แอสไพรินและไอบูโพรเฟนยังมีรายงานผลข้างเคียงต่อทารกในครรภ์อย่างชัดเจนรายงานของ FDA ระบุ 

มารืตี้ มาคารี (Marty Makary) กรรมการ FDA กล่าวว่า FDA กำลังดำเนินการเพื่อให้ผู้ปกครองและแพทย์ตระหนักถึงหลักฐานจำนวนมากเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาอะเซตามิโนเฟน แต่ถึงกระนั้น การตัดสินใจก็ยังคงเป็นของผู้ปกครอง หลักการป้องกันไว้ก่อนอาจทำให้หลายคนหลีกเลี่ยงการใช้อะเซตามิโนเฟนในระหว่างตั้งครรภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไข้ต่ำส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา อย่างไรก็ตาม สตรีมีครรภ์ยังคงมีความเหมาะสมที่จะใช้อะเซตามิโนเฟนในบางสถานการณ์

วันที่ 23 ก.ย. 2568 สื่อหลายสำนัก เช่น สถานีโทรทัศน์ France24 ของฝรั่งเศส อ้างรายงานข่าว WHO sees no autism links to Tylenol, vaccinesระบุว่า ทาริค ยาซาเรวิค (Tarik Jasarevic) โฆษกองค์การอนามัยโลก (WHO) ชี้แจงกับสื่อโดยยอมรับว่า งานวิจัยเชิงสังเกตบางชิ้น ซึ่งอาศัยการสังเกตเพียงอย่างเดียวและไม่ได้รวมกลุ่มควบคุมหรือกลุ่มที่ได้รับการรักษา ชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของความสัมพันธ์ระหว่างการได้รับอะเซตามิโนเฟนหรือพาราเซตามอลก่อนคลอดกับโรคออทิสติก อย่างไรก็ตาม หลักฐานยังคงไม่สอดคล้องกับงานวิจัยอื่นๆ ที่ไม่พบความสัมพันธ์ดังกล่าว จึงไม่ควรสรุปอย่างผิวเผินเกี่ยวกับบทบาทของอะเซตามิโนเฟนกับโรคออทิสติก 

อลิสัน เคฟ (Alison Cave) หัวหน้าส่วนงานด้านความปลอดภัย องค์การกำกับดูแลยาและผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพของอังกฤษ (MHRA) กล่าวว่า ไม่มีหลักฐานใดที่บ่งชี้ว่าการกินยาพาราเซตามอลระหว่างตั้งครรภ์ทำให้เกิดภาวะออทิสติกในเด็กเช่นเดียวกับ สเตฟเฟน เธิร์สทรัป (Steffen Thirstrup) หัวหน้าเจ้าหน้าที่การแพทย์ขององค์การยาแห่งสหภาพยุโรป (EMA) ที่กล่าวว่า คำแนะนำของเรามีพื้นฐานมาจากการประเมินอย่างเข้มงวดจากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ และไม่พบหลักฐานใดๆ ที่บ่งชี้ว่าการกินยาพาราเซตามอลในระหว่างตั้งครรภ์จะทำให้เด็กเป็นออทิสติก

ในวันเดียวกัน สำนักงานบริหารสินค้าเพื่อการบำบัดรักษา (TGA) หน่วยงานภายใต้กระทรวงสุขภาพ ผู้พิการและผู้สูงอายุของออสเตรเลีย เผยแพร่จดหมายข่าวประชาสัมพันธ์ Paracetamol use in pregnancy ระบุว่า หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่หนักแน่นแสดงให้เห็นว่าไม่มีความเชื่อมโยงเชิงสาเหตุระหว่างการใช้ยาพาราเซตามอลในระหว่างตั้งครรภ์กับภาวะออทิสติกหรือโรคสมาธิสั้น โดยมีงานวิจัยขนาดใหญ่และเชื่อถือได้หลายชิ้นที่ขัดแย้งกับข้อกล่าวอ้างเหล่านี้โดยตรง

แม้ว่าจะมีบทความตีพิมพ์ที่ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างการใช้ยาพาราเซตามอลในมารดากับภาวะออทิสติกในวัยเด็ก แต่บทความเหล่านั้นก็มีข้อจำกัดเชิงวิธีการ งานวิจัยล่าสุดและน่าเชื่อถือกว่าได้หักล้างข้อกล่าวอ้างเหล่านี้ โดยสนับสนุนน้ำหนักของหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อื่นๆ ที่ไม่สนับสนุนความเชื่อมโยงเชิงสาเหตุระหว่างยาพาราเซตามอลกับภาวะออทิสติกหรือโรคสมาธิสั้นรายงานของ TGA ระบุ 

รายงานของ TGA ยังกล่าวด้วยว่า ในออสเตรเลีย พาราเซตามอลยังคงอยู่ในกลุ่มยาสำหรับหญิงตั้งครรภ์ประเภท A ในออสเตรเลีย ซึ่งหมายความว่ายานี้ถือว่าปลอดภัยสำหรับการใช้ในระหว่างตั้งครรภ์เมื่อใช้ตามคำแนะนำในเอกสารข้อมูลผลิตภัณฑ์ (PI) และเอกสารข้อมูลยาสำหรับผู้บริโภค (CMI) ที่ได้รับการรับรองจาก TGA กล่าวคือ ยานี้ถูกใช้โดยสตรีมีครรภ์และสตรีวัยเจริญพันธุ์จำนวนมาก โดยไม่พบหลักฐานว่าพบความผิดปกติทางร่างกายหรือผลกระทบที่เป็นอันตรายอื่นๆ ต่อทารกในครรภ์เพิ่มขึ้น ถึงกระนั้นก็เช่นเดียวกับการใช้ยาอื่นๆ ในระหว่างตั้งครรภ์ ที่สตรีมีครรภ์ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางที่เหมาะสมกับสถานการณ์เฉพาะของตนก่อนใช้ยาพาราเซตามอล

ในวันที่ 24 ก.ย. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “World Health Organization (WHO)” ขององค์การอนามัยโลก เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ “WHO statement on autism-related issues” โดยย้ำว่า ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่แน่ชัดที่ยืนยันถึงความเชื่อมโยงที่เป็นไปได้ระหว่างออทิสติกและการใช้ยาอะเซตามิโนเฟน (หรือที่เรียกว่าพาราเซตามอล) ในระหว่างตั้งครรภ์ โดยทั่วโลกมีผู้ป่วยกลุ่มโรคออทิสติก (Autism Spectrum Disorder) เกือบ 62 ล้านคน (หรืออัตราส่วน 1 ใน 127 คน) ซึ่งเป็นกลุ่มอาการที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการของสมอง 

ซึ่งแม้ว่าความตระหนักรู้และการวินิจฉัยโรคจะดีขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดของโรคออทิสซึมได้ และเป็นที่เข้าใจกันว่ามีหลายปัจจัยที่อาจเกี่ยวข้อง ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มีการวิจัยอย่างกว้างขวาง ซึ่งรวมถึงการศึกษาขนาดใหญ่ที่ศึกษาความเชื่อมโยงระหว่างการใช้ยาอะเซตามิโนเฟนในระหว่างตั้งครรภ์และโรคออทิสติก แต่ ณ ขณะนี้ ยังไม่มีความเชื่อมโยงที่ชัดเจน

องค์การอนามัยโลกแนะนำให้สตรีทุกคนปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสามารถช่วยประเมินสถานการณ์เฉพาะบุคคลและแนะนำยาที่จำเป็นได้ควรใช้ยาใดๆ อย่างระมัดระวังในระหว่างตั้งครรภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 3 เดือนแรก และควรปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพรายงานขององค์การอนามัยโลก ระบุ 

ท่าทีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศไทยว่าอย่างไร?


วันที่ 25 ก.ย. 2568 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ออกจดหมายข่าวประชาสัมพันธ์ เรื่อง “อย. แจง พาราเซตามอลยังปลอดภัยในหญิงตั้งครรภ์ แนะใช้เท่าที่จำเป็น” ระบุว่า จากการตรวจสอบข้อมูลและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ล่าสุด รวมถึงท่าทีของหน่วยงานกำกับดูแลด้านยาทั่วโลก ยืนยันว่ายังไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ชัดเจนว่ายาพาราเซตามอลเป็นสาเหตุของโรคออทิสติก และปัจจุบันยังคงเป็นยาทางเลือกแรกที่ปลอดภัยสำหรับหญิงตั้งครรภ์ในการรักษาอาการปวดและลดไข้

นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ เลขาธิการ อย. ชี้แจงว่า “แม้บางประเทศจะมีการพิจารณาปรับปรุงฉลากยาเพื่อสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่อาจมี แต่ทุกหน่วยงานยังย้ำว่า ยังไม่ได้พิสูจน์ว่าเป็นสาเหตุและมีการศึกษาที่ขัดแย้งกัน” อย. จึงขอแนะนำให้สตรีมีครรภ์และประชาชนทั่วไปที่จำเป็นต้องใช้ยาพาราเซตามอลเพื่อลดไข้หรือบรรเทาอาการปวด สามารถใช้ยาได้ตามปกติ

“แต่ควรยึดหลักสำคัญคือ ใช้ยาในขนาดต่ำที่สุดที่ให้ผลการรักษา และใช้ในระยะเวลาที่สั้นที่สุด หากอาการไม่ดีขึ้นหรือมีความกังวล ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ” เลขาธิการ อย. กล่าว

โดยสรุปแล้ว แม้จะมีงานวิจัยบางชิ้นที่บ่งชี้ความเป็นไปได้ที่อาจมีความเชื่อมโยงกันระหว่างโรคออทิสติกในเด็กกับการใช้ยาแก้ปวด – ลดไข้ไทลินอล (อะเซตามิโนเฟนหรือพาราเซตามอล) ของหญิงตั้งครรภ์ แต่เป็นข้อค้นพบที่ยังไม่ชัดเจนและต้องศึกษาเพิ่มเติม นอกจากนั้นยังขัดแย้งกับงานวิจัยอื่นๆ ที่ไม่พบความเชื่อมโยงดังกล่าว ทำให้ในภาพรวมของหน่วยงานสาธารณสุขนานาชาติ ยังคงอนุมัติให้ยาดังกล่าวยังคงใช้ในหญิงตั้งครรภ์ได้ เมื่อเทียบกับยาแก้ปวด – ลดไข้บางชนิดที่มีรายงานผลข้างเคียงต่อทารกในครรภ์ชัดเจนกว่า

ทั้งนี้ ในกรณีขงหญิงตั้งครรภ์ มีคำแนะนำว่า ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยาใดๆ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาแนวทางดูแลสุขภาพที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล!!!

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

https://www.reuters.com/business/healthcare-pharmaceuticals/trump-expected-link-autism-with-tylenol-experts-say-more-research-needed-2025-09-22/ (Trump links autism to Tylenol and vaccines, claims not backed by science : รอยเตอร์ 22 ก.ย. 2568)

https://www.naewna.com/inter/916086 (ช็อกทั้งโลก! ‘ทรัมป์’เตือนหญิงตั้งครรภ์เลี่ยงกินยาไทลินอล พบเสี่ยงทำลูกเป็นออทิสติก : แนวหน้า 23 ก.ย 2568)

https://www.rama.mahidol.ac.th/poisoncenter/th/knowledge_general_population/paracetamol (การใช้และปัญหาจากยาใกล้ตัว : ทำความรู้จักยาพาราเซตามอล (paracetamol) : คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล)

https://pharmacy.mahidol.ac.th/dic/qa_full.php?id=8410 (Acetaminophen ใช้รักษาอาการปวดในผู้ป่วยข้ออักเสบ(ข้อเข่า ข้อสะโพก) ถ้าใช้เป็นเวลานานจะมีความปลอดภัยหรือไม่ และต้องใช้ตามคำสั่งแพทย์หรือว่าสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป : คลังข้อมูลยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล)

https://www.drugs.com/medical-answers/acetaminophen-tylenol-3002135/ (Is acetaminophen the same as Tylenol? : Drugs.com 16 ต.ค. 2567)

https://www.sec.gov/Archives/edgar/data/1944048/000162828023012570/exhibit211-sx1a4.htm (Subsidiaries of Kenvue Inc. : สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา (SEC) 4 ม.ค. 2566)

https://www.reuters.com/business/healthcare-pharmaceuticals/is-tylenol-safe-take-during-pregnancy-2025-09-22/ (Explainer: Is Tylenol safe to take during pregnancy? : รอยเตอร์ 22 ก.ย. 2568)

https://jamanetwork.com/journals/jama/fullarticle/2817406 (Acetaminophen Use During Pregnancy and Children’s Risk of Autism, ADHD, and Intellectual Disability : JAMA 9 เม.ย. 2567)

https://ehjournal.biomedcentral.com/articles/10.1186/s12940-025-01208-0 (Evaluation of the evidence on acetaminophen use and neurodevelopmental disorders using the Navigation Guide methodology : BioMed Central 14 ส.ค. 2568)

https://www.fda.gov/news-events/press-announcements/fda-responds-evidence-possible-association-between-autism-and-acetaminophen-use-during-pregnancy (FDA Responds to Evidence of Possible Association Between Autism and Acetaminophen Use During Pregnancy : FDA 22 ก.ย. 2568)

https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/30923825/ (Use of Negative Control Exposure Analysis to Evaluate Confounding: An Example of Acetaminophen Exposure and Attention-Deficit/Hyperactivity Disorder in Nurses’ Health Study II :NLM-NIH 1 เม.ย. 2562)

https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/31664451/ (Association of Cord Plasma Biomarkers of In Utero Acetaminophen Exposure With Risk of Attention-Deficit/Hyperactivity Disorder and Autism Spectrum Disorder in Childhood : NLM – NIH 1 ก.พ. 2563)

https://www.france24.com/en/live-news/20250923-who-sees-no-autism-links-to-tylenol-vaccines (WHO sees no autism links to Tylenol, vaccines : France24 23 ก.ย. 2568)

https://www.tga.gov.au/news/media-releases/paracetamol-use-pregnancy (Paracetamol use in pregnancy : TGA Australia 23 ก.ย. 2568)

https://web.facebook.com/100064481988528/posts/1236350181857703/?rdid=WYv9ogHF7ZoUrCBn# (WHO statement on autism-related issues : เพจ World Health Organization (WHO) 24 ก.ย. 2568)

https://oryor.com/media/newsUpdate/media_news/3306 (อย. แจง พาราเซตามอลยังปลอดภัยในหญิงตั้งครรภ์ แนะใช้เท่าที่จำเป็น : อย. 25 ก.ย. 2568)


การเรียกร้องระดับโลกเพื่อความจริงและความรับผิดชอบ ต่อการสังหารนักข่าวในความขัดแย้งกาซา

กรุงเทพฯ — กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อและผู้สนับสนุนเสรีภาพสื่อได้ร่วมอภิปรายถึงสถานการณ์อันเลวร้ายที่นักข่าวกำลังเผชิญอยู่ในเขตสงครามกาซา ซึ่งนับเป็นความขัดแย้งที่คร่าชีวิตผู้สื่อข่าวมากที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญของ “ความจริง” เนื่องในวันสันติภาพสากล เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2568

Cofact Live Talk ซึ่งจัดโดยโคแฟคประเทศไทย โดยมีนักข่าวจาก ThaiPBS World กิติพัฒน์ ชื่นสุขจิต และแขกรับเชิญพิเศษ Arthur Rochereau

ผู้สื่อข่าวจากองค์กร นักข่าวไร้พรมแดน (RSF) (สำนักงานประเทศไต้หวัน) ได้ร่วมอภิปรายถึงต้นทุนชีวิตของการรายงานข่าวในเขตสงคราม บทบาทที่เป็นอันตรายของข้อมูลบิดเบือน และความสำคัญเชิงชีวิตของการบอกเล่าความจริง ซึ่งเป็นหัวข้อหลักของการเสวนา “Dying for Truth in Gaza” ได้สะท้อนความจริงอันโหดร้ายว่า นักข่าวไม่ได้เพียงทำหน้าที่รายงานความขัดแย้ง—แต่กำลังกลายเป็นเหยื่อของมันด้วย

การเสวนามี คุณสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟคประเทศไทย เป็นผู้ดำเนินรายการ เริ่มต้นด้วยบรรยากาศที่ทั้งขมขื่นและเต็มไปด้วยความหวัง แม้จะเป็นการเฉลิมฉลองจิตวิญญาณแห่งสันติภาพ แต่ผู้ร่วมเสวนาก็ยอมรับถึงความจริงอันโหดร้ายของความขัดแย้ง โดยเฉพาะในกาซา ซึ่งการแสวงหาความจริงได้กลายเป็นภารกิจที่แลกด้วยชีวิต

  • นับตั้งแต่ความขัดแย้งปะทุเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566 RSF ได้บันทึกการเสียชีวิตของนักข่าวอย่างน้อย 220 คน ในกาซา ทำให้ที่นั่นเป็นสถานที่อันตรายที่สุดบนโลกสำหรับผู้ทำงานสื่อ “สถานการณ์ตอนนี้สำหรับนักข่าวในกาซาไม่ต่างอะไรจากหายนะโดยสิ้นเชิง” Arthur กล่าว พร้อมอธิบายว่านักข่าวถูกโจมตีด้วยการทิ้งระเบิด การยิงสไนเปอร์ และการยิงปืนใหญ่ แม้จะแสดงตัวชัดเจนด้วยเสื้อกั๊กที่มีสัญลักษณ์ PRESS

RSF ยังบันทึกกรณีที่นักข่าวถูกกองทัพอิสราเอลโจมตีโดยเจตนาอย่างน้อย 56 ครั้ง ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งArthur อธิบายว่าเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ที่มุ่งทำลายความน่าเชื่อถือและหยุดยั้งการรายงานข่าวจากภาคสนาม เขายกกรณีของผู้สื่อข่าวอัลจาซีรา อนัส อัล-ชาริฟ ที่ถูกสังหารในการโจมตีใกล้โรงพยาบาล หลังจากกองทัพอิสราเอลกล่าวหาอย่างไร้มูลความจริงว่าเขาเป็นผู้ก่อการร้าย

Arthur ยังเปิดเผยข้อเท็จจริงที่น่ากังวลว่า อิสราเอลได้สั่งห้ามนักข่าวต่างชาติเดินทางเข้าสู่กาซาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 เป็นต้นมา ทำให้เกิด “การปิดกั้นสื่อโดยสิ้นเชิง” ทิ้งภาระการรายงานทั้งหมดไว้กับนักข่าวชาวปาเลสไตน์เพียงกลุ่มเดียว ซึ่งไม่เพียงต้องเผชิญความเสี่ยงต่อชีวิตอยู่ตลอดเวลา แต่ยังต้องทำงานภายใต้เงื่อนไขที่เลวร้ายที่สุด ทั้งการพลัดถิ่น การขาดแคลนไฟฟ้าและการสื่อสาร รวมถึงขาดปัจจัยพื้นฐานอย่างอาหารและน้ำสะอาด สื่อมากกว่า 50 แห่งถูกทำลายเสียหายทั้งหมดหรือบางส่วน และนักข่าวปาเลสไตน์อีกจำนวนมากถูกคุมขัง บางรายมีรายงานว่าถูกทรมาน

ในประเด็นเรื่องความสำคัญของความจริงในเขตความขัดแย้ง กิติพัฒน์ย้ำว่า “การรายงานภาคสนามไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือย แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจสอบความรับผิดชอบ และเป็นองค์ประกอบหลักของความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม” Arthur เห็นด้วย โดยกล่าวว่านักข่าวคือ “ดวงตาและหูของโลก” ในยุคที่ข้อมูลบิดเบือนท่วมท้นบนโซเชียลมีเดีย การรายงานข่าวอย่างอิสระจึงเป็นกลไกสำคัญในการตรวจสอบและถ่วงดุลโฆษณาชวนเชื่อและข้อมูลที่บิดเบือนจากทุกฝ่ายในสงคราม หากปราศจากนักข่าว ต้นทุนที่แท้จริงของสงคราม—ความทุกข์ยากของพลเรือน การทำลายล้างโครงสร้างพื้นฐาน และการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ—ก็จะไม่มีใครมองเห็น

Arthur ยังเล่าถึงการสืบสวนของ RSF ที่พบว่ากองทัพอิสราเอลมีการทำ “แคมเปญ” มุ่งทำลายชื่อเสียงนักข่าวปาเลสไตน์ โดยใช้ภาพตัดต่อที่มีเป้ากำกับบนใบหน้านักข่าว พร้อมกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้ายโดยไร้หลักฐาน นี่ไม่ใช่เพียงการบิดเบือนข้อมูล แต่เป็นการยุยงให้เกิดความรุนแรงโดยตรง “ข้อมูลบิดเบือน ไม่ได้แค่ทำให้เข้าใจผิด แต่ยังฆ่านักข่าวโดยตรงด้วย” เขากล่าว พร้อมอธิบายว่าเป็นความพยายามทำให้การโจมตีนักข่าวถูกมองว่าเป็นเรื่องที่ชอบธรรม ลดแรงกดดันจากสังคมโลก และบั่นทอนความเห็นใจจากสาธารณชน

ผู้ร่วมเสวนายอมรับว่าการแสวงหาความยุติธรรมในภูมิรัฐศาสตร์ที่ซับซ้อนเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะเมื่อนักข่าวต่างชาติถูกห้ามไม่ให้เข้าไป แต่ RSF กำลังดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งได้สรุปข้อเรียกร้องที่ชัดเจนขององค์กร ได้แก่ การคุ้มครองนักข่าวปาเลสไตน์ การเปิดโอกาสให้นักข่าวต่างชาติเข้าพื้นที่ได้อย่างอิสระ และการจัดทางเลือกให้กับนักข่าวที่ติดอยู่ในพื้นที่สามารถอพยพออกมาได้ นอกจากนี้ RSF ยังเดินหน้ารณรงค์สร้างการรับรู้ในระดับโลก เช่น แคมเปญที่ให้สื่อ 280 แห่งใน 50 ประเทศ ร่วมกันพิมพ์หน้ากระดาษสีดำ เพื่อสะท้อนถึงความเสี่ยงที่จะไม่มีใครเหลืออยู่เพื่อรายงานข่าวจากกาซาอีกต่อไป

ในเชิงสถาบัน RSF ยังได้ดำเนินการทางกฎหมาย โดยตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 ได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ที่กรุงเฮกแล้ว 4 ครั้ง เกี่ยวกับการสังหารและการบาดเจ็บของนักข่าว โดยเรียกร้องให้มีการสอบสวนในฐานะอาชญากรรมสงครามที่กองทัพอิสราเอลก่อขึ้นต่อผู้สื่อข่าว อัยการของ ICC ยืนยันว่ากรณีดังกล่าวอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาล ถือเป็นแสงแห่งความหวังว่าผู้กระทำผิดอาจต้องรับผิดชอบในอนาคต

การสนทนายังกล่าวถึงบทบาทของสาธารณชนและบริษัทเทคโนโลยี โดยผู้ร่วมเสวนาเห็นพ้องว่า แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียส่วนใหญ่ซึ่งมีฐานอยู่ในสหรัฐฯ ต้องถือว่ามีความรับผิดชอบต่อการแพร่กระจายของข้อมูลบิดเบือน เขาเรียกร้องให้มีกรอบกฎหมายใหม่ที่ยอมรับความรับผิดชอบของแพลตฟอร์มต่อเนื้อหาที่พวกเขาเผยแพร่

สำหรับสาธารณชน ข้อความคือการกระทำและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว เขาเน้นย้ำว่าการโจมตีนักข่าวคือการโจมตีสิทธิของประชาชนในการรับรู้ข้อมูลโดยตรง ประชาชนสามารถสนับสนุนเสรีภาพสื่อได้ด้วยการติดตามและขยายผลงานของนักข่าวอิสระ การสมัครสมาชิกสำนักข่าว และการแสดงออกคัดค้านการโจมตีเสรีภาพสื่อ กิติพัฒน์ชี้ว่าบทบาทของประชาชนมีสองด้าน คือ การแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับผู้ที่เสี่ยงชีวิต และการลงมือป้องกันความเสียหายเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นการเรียกร้องความโปร่งใส การยืนกรานให้มีการคุ้มครอง และที่สำคัญที่สุดคือ “การไม่ยอมจำนนต่อความเงียบ”

การเสวนาปิดท้ายด้วยคำเรียกร้องอันทรงพลังและเป็นเอกภาพว่า “อย่าสังหารผู้ส่งสาร” เพราะสันติภาพไม่อาจเกิดขึ้นได้หากปราศจากความจริง นักข่าวคือผู้ที่บันทึกอาชญากรรมสงครามและเปิดโปงการละเมิด ทำให้ต้นทุนชีวิตของความขัดแย้งปรากฏชัด การปกป้องนักข่าวและสิทธิในการรายงานข่าวจึงไม่ใช่เพียงการปกป้องพวกเขาเท่านั้น แต่คือการปกป้องสิทธิร่วมกันของมนุษยชาติที่จะได้รับรู้ และคือการวางรากฐานของความยุติธรรมและสันติภาพที่ยั่งยืน


สรุปข่าวจริง ลวงประจำวันที่ 27 กันยายน 2568

ยืนฉี่ตอนอาบน้ำ ทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน อ่อนแอ…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3toy7u4iploey


สเต็มเซลล์ที่รากฟันคุดสามารถนำมาใช้รักษาโรคได้…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1jz66gtsch5pr


ห้ามกินคอไก่ มีสารพิษอันตราย…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/yi66zvqe3f61


คอร์สออนไลน์ “Reiki Therapist” ช่วยให้เป็นนักบำบัดพลังงาน…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2r1zvsp7nwn9v


น้ำมันสกัดเย็น 11 ชนิด ขับสารพิษจากไต ไม่ต้องฟอกไต…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2ear5nz2ymxqf


 เลี่ยงรถติดด่วน ปิดสะพานข้ามแยกลำสาลี เริ่มวันนี้ ปิดยาว 4 เดือน

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2mea08u0ui48g


ฉีดวัคซีนป้องกัน ‘โรคหนองในเทียม’ ให้ ‘โคอาลา’ ช่วยชีวิตได้กว่า 65%

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2y1hb4q97wdoa


เจาะลึกหลุมยุบ วสท. ชี้ ‘ไม่ใช่ภัยธรรมชาติ’ ท่อประปาแตกแค่ ‘ปัจจัยเร่ง’

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/1c9i8d6a0ghp


เพิกถอนทะเบียน “จิ่วเจิ้งปู่เซินเจียวหนัง”

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/15fiz1mvs7wn3


ประกาศเขตโรคระบาด 1 เดือน โรคพิษสุนัขบ้าแพร่ ปทุมธานี – สายไหม กทม.

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/2pr44kb5m9dz2


กสทช. เร่งฟื้นฟูสัญญาณสื่อสาร เหตุถนนทรุด พร้อมมาตรการเยียวยา

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/3h8orkhpmsxoy


ยาพาราเซตามอล  อาจทำให้เกิดโรคออทิซึม…จริงหรือ?

อ่านต่อได้ที่ https://cofact.org/article/wr8vbsziuu2d