สรุปข้อมูลใน Cofact.org 06 พ.ค. 63

สรุปข้อมูลใน Cofact.org 06 พ.ค. 63

วันเสรีภาพสื่อมวลชนโลกยุคโควิด วารสารศาสตร์แห่งความจริงยิ่งสำคัญ

ทุกวันที่ 3 พฤษภาคม ของทุกปีถือเป็นวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลกหรือ #WorldPressFreedomDay  ที่กำหนดโดยองค์การยูเนสโก (UNESCO) แต่ละปีจะมีการกำหนดวาระที่จะรณรงค์ โดยแต่ละประเทศหมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพในการจัดสัมมนาใหญ่ ปีนี้แน่นอนต้องงดกิจกรรมรวมตัวแต่ก็มีการรณรงค์ออนไลน์ทั่วโลกนำโดยองค์การสหประชาชาติ องค์การยูเนสโก และ องค์กรสื่อมวลชนทั่วโลก

ปีนี้ทางองค์การยูเนสโก กำหนดธีมวันเสรีภาพสื่อในยุคโรคระบาดโควิด19ว่า   

วารสารศาสตร์ที่ปราศจากความกลัวและความลำเอียง” (Journalism without Fear or Favor)

หมายถึงการเน้นในเรื่องของการรายงานข้อเท็จจริงรวมถึงการสืบค้นหาความจริง

องค์การสหประชาชาติหรือยูเอ็นออกมากล่าวในทวิตเตอร์ว่า 

“พยาบาล หมอ และ ข้อเท็จจริง คือผู้ช่วยชีวิต”

ในสถานการณ์โรคระบาดโควิด โดยสนับสนุนแนวคิดของยูเนสโกที่ว่า ในยุคนี้เราต้องการข้อเท็จจริงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เช่นเดียวกับเสรีภาพในการทำงานของสื่อในการแสวงหาความจริง

รณรงค์เรื่องการสื่อสารในยุควิกฤตโควิดว่าเราต้องใช้แนวคิดในการตั้งคำถาม

*อย่าปล่อยข่าวลือ * ร่วมค้นหาความจริงด้วยการตรวจสอบข้อมูลข่าวสารเป็นช่วงเวลาที่ต้องการความจริงเป็นห้วงเวลาของเสรีภาพสื่อในการค้นหาความจริงยิ่งกว่าเดิม

เอกสารเผยแพร่ขององค์การยูเนสโกสรุปประเด็นสำคัญในเรื่องเสรีภาพการแสดงออกและพัฒนาการของสื่อในยุคโควิดไว้ดังนี้1

  1. ข้อมูลลวงด้านโรคระบาดที่อันตรายเกิดขึ้นมาซ้ำเติมปัญหาโรคระบาดให้หนักหน่วงขึ้น
  2. มีองค์กรสื่ออิสระเกิดขึ้นเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบข่าวสารลวงที่ท้าทายและจำเป็นมากยิ่งขึ้น
  3. บรรษัทแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียลุกขึ้นมาช่วยแก้ปัญหา แต่สังคมก็เรียกร้องความโปร่งใสในปฏิบัติการมากขึ้น
  4. กฎกติกาของรัฐนำไปสู่มาตการที่กระทบสิทธิมนุษยชนมากยิ่งขึ้น
  5. การทำงานของนักข่าวที่ต้องการเปิดเผยข้อเท็จจริงให้คนรับรู้ ทำให้มีความเสี่ยงต่อชีวิต
  6.  ผลกระทบจากโรคระบาดโควิดในทางเศรษฐกิจอาจส่งผลต่อความอยู่รอดขององค์กรสื่อ
  7. ท่ามกลางวิกฤติโรคระบาดที่เกิดขึ้น ยังมีโอกาสในการยืนหยัดของหลักการด้านวารสารศาสตร์

ทีมงานโคแฟค ( Cofact.org ) ขอสรุปความบางส่วนจากเอกสารขององค์การยูเนสโกว่าด้วยด้วยปัญหาข่าวลวงในยุคโรคระบาด และ บทบาทของแพลตฟอร์มในการแก้ปัญหา ดังนี้

ตั้งแต่การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ไปเกือบทุกประเทศทั่วโลก การเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จก็แพร่เร็วไม่แพ้เชื้อไวรัสเช่นกัน  ข้อมูลลวงเหล่านั้นมีผลต่อเส้นทางการติดเชื้อ ทำให้เกิดความสับสนในการรับมือโรคระบาดระดับโลกของแต่ละสังคมด้วย

ด้วยตระหนักถึงอันตรายนี้ ทางนายอังตอนียู กูแตรึช เลขาธิการสหประชาชาติ จึงได้ออกมาเตือนว่าการแพร่กระจายของข้อมูลลวงถือเป็นศัตรูใหญ่ในการรับมือกับโรคระบาด เช่นเดียวกับทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ให้คำนิยามโรคระบาดข้อมูลข่าวสารว่าเป็นโรคอันดับสองรองจากโรคระบาดโควิด19 การระบาดของข้อมูลข่าวสารหรือ “Infodemic” (อินโฟเดอมิก)  คือสภาวะความท่วมท้นของข้อมูลที่แพร่กระจายรวดเร็วทั้งจริงบ้างลวงบ้าง ส่งผลให้ผู้คนไม่สามารถหาแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือและไว้ใจได้เมื่อถึงเวลาจำเป็นต้องใช้  ดังนั้นหลักการทางวารสารศาสตร์จึงเป็นหัวใจสำคัญในการทำให้มีแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ในยุคโรคระบาดข้อมูลข่าวสารนี้ เพื่อจะต่อสู้กับมายาคติ ข่าวลือทั้งหลาย ป้องกันไม่ให้ข้อมูลลลวงแพร่กระจายต่อไปวงกว้าง

การระบาดของข้อมูลลวง เป็นไปทั้งแบบที่จงใจทำให้เกิดความเข้าใจผิดทั้งกระบวนการผลิตเนื้อหาแล้วเผยแพร่ด้วยเจตนาไม่ดี หรือ การส่งต่อไปด้วยความไม่รู้ของผู้คนที่หลงเชื่อและเข้าใจผิด  อย่างไรก็ตามในบริบทของโรคระบาดโควิดนี้ การเผยแพร่ข้อมูลลวงทั้งโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจล้วนส่งผลอันตรายอย่างร้ายแรงเช่นกัน  ด้วยปริมาณที่มากและความเร็วของข้อมูลยิ่งตอกย้ำปัญหาของ “disinfodemic” หรือการบิดเบือนโรคระบาดข่าวสารทั้งแบบจงใจหรือไม่ได้เจตนา 

โดยหลักการแล้วข่าวสารช่วยสร้างความเข้มแข็งให้ผู้รับสารมีข้อมูล แต่การบิดเบือนข้อมูลในยุคโรคระบาดกลับทำให้เกิดความอ่อนแอลงได้เช่นกัน ส่งผลต่ออันตรายของชีวิต และ ความสับสนอลหม่านของผู้คนได้

เนื่องจากการเก็บสถิติและย้อนค้นข้อมูลการแพร่ของข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือนช่วงโรคระบาดยังมีข้อจำกัด แต่ตัวเลขการสำรวจที่มีพบว่าข้อมูลลวงแพร่กระจายไปมากมายทีเดียว   จากการวิเคราะห์ข้อมูลผ่านระบบคอมพิวเตอร์ โดยนักวิจัยจากมูลนิธิ Bruno Kessler พบว่ามีถึงร้อยละ 40 ของข้อความที่เกี่ยวข้องกับโรคระบาดโควิดแล้วมีการเผยแพร่ผ่านสื่อสังคมออนไลน์กว่า 112 ล้านโพสต์ 64 ภาษา แต่ไม่มีแหล่งอ้างอิงของข้อมูลที่เชื่อถือได้ เช่นเดียวกับอีกกรณีศึกษาของมูลนิธิที่เกี่ยวข้องกับโรคระบาดโควิดพบกว่า กว่าร้อยละ 42 ของ 178 ล้านทวีตที่เกี่ยวข้องกับโรคระบาดนั้นมีการเผยแพร่โดย “บอท” หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์อัตโนมัติและร้อยละ 40 พบว่าข้อมูลนั้นไม่น่าเชื่อถือเลย

การศึกษาของสถาบันรอยเตอร์ (Reuter Institute) ที่สำรวจในจำนวนหกประเทศพบว่าประมาณหนึ่งในสามของผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์รายงานว่าได้พบเห็นข้อมูลเท็จ หรือ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับไวรัสโคโรนา ส่วนงานวิจัยของสถาบันพิว (PEW) ในสหรัฐอเมริกาบอกว่าคนที่ได้รับข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์เป็นหลักมีแนวโน้มจะได้รับข้อมูลลวง 

เดือนมีนาคมที่ผ่านมามีข้อมูลพบว่าประมาณ 40 ล้านโพสต์ในเฟซบุ๊คที่เกี่ยวข้องกับโรคระบาดโควิดเป็นปัญหาจริงซึ่งทางเฟซบุ๊กแจ้งว่าได้ลบหลายแสนข้อความที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตออกไปแล้ว

ประมาณ 19 ล้านจากเกือบ 50 ล้านทวีต (ราว 38%) ที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด ที่วิเคราะห์โดย Blackbird.AI ด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์  พบว่าเป็น “เนื้อหาที่มีการจัดการ” (manipulated content)  

องค์กร Newsguard ระบุว่าจำนวน 191 เว็บไซต์ในยุโรปและอเมริกาเหนือที่เผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับไวรัส

กลุ่มพันธมิตรตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องไวรัสโคโรน่าหรือ  CoronaVirusFacts Alliance ค้นพบและได้พิสูจน์หักล้างเนื้อหาที่มีข้อมูลเท็จหรือทำให้เข้าใจผิดถึงมากกว่า 3,500 เรื่อง ในจำนวนกว่า 70 ประเทศที่เผยแพร่มากกว่า 40 ภาษา

ข้อมูลลวงยุคโรคระบาดนี้ยังมาในนามของความกลัวทั้งในแง่การเหยียดเชื้อชาติและความเกลียดชัง  ปัญหาคือไม่ใช่แค่เรื่องปริมาณของข้อมูลเท็จ แต่มาครบทั้งในแง่อารมณ์ความรู้สึกปนเปกับเนื้อหาและข้อเท็จจริงที่เผยแพร่ผ่านบุคคลที่มีอิทธิพลชี้นำความคิดได้ด้วย

บรรษัทแพลทฟอร์มทั้งด้านสื่อสังคมออนไลน์ แอพการพูดคุย หรือ การค้นหาข้อมูล มีส่วนช่วยให้ผู้คนนับพันล้านทั่วโลกค้นพบและแบ่งปันข้อมูลกัน แต่แพลตฟอร์มเหล่านี้ก็กลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อการระบาดของข้อมูลข่าวสารเช่นกัน เพราะรูปแบบธุรกิจของพวกเขาออกแบบมาเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ใช้และรวบรวมข้อมูลสำหรับการโฆษณาให้ถึงกลุ่มเป้าหมาย จึงทำให้เกิดข้อกังขาถึงการแก้ปัญหาการระบาดข้อข้อมูลข่าวสารโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับโฆษณาในแพลตฟอร์ม

อย่างไรก็ตามบรรษัทใหญ่ทั้งหลายด้านการสื่อสารต่างออกมาดำเนินการแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วและจริงจังกว่าหลายปรากฎการณ์ข่าวลวงก่อนหน้านี้   เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2020 ตัวแทน Facebook, Google, LinkedIn, Microsoft, Reddit, Twitter และ YouTube ได้ออกแถลงการณ์ร่วมเกี่ยวกับความมุ่งมั่นของพวกเขาในการต่อสู้กับข้อมูลที่ไม่ถูกต้องในยุคโรคระบาดข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับไวรัสโคโรนา ด้วยมาตรการให้แพลตฟอร์มเข้ามาจัดการดูแลเนื้อหามากขึ้น เช่น การลบ การลดการเข้าถึง หรือ การติดป้ายว่าเป็นข้อมูลลวง ผ่านระบบอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนโดยปัญญาประดิษฐ์ ระบบนี้เดิมมีอยู่แล้ว แต่ตอนนี้มีการนำไปใช้อย่างกว้างขวางมากขึ้น แต่บางครั้งก็มีความผิดพลาดในการลบหรือกระทบเนื้อหาที่ถูกต้องหายไปด้วย

นอกจากนั้นบรรษัทด้านไอทีเหล่านี้บอกว่าได้สนับสนุนงบประมาณให้กับสื่อและองค์กรที่ทำงานด้านตรวจสอบข้อมูลข่าวสารและชี้นำผู้ใช้บริการของแพลตฟอร์มไปสู่ข้อมูลด้านสุขภาพอย่างเป็นทางการโดยเฉพาะที่มีการร่วมมือกับหน่วยงานด้านสาธารณสุขของประเทศและองค์การอนามัยโลก (WHO) รวมถึงการแนะนำผู้ใช้ให้เข้าถึงศูนย์ข้อมูลทางการผ่านระบบฟีดข่าวหรือเวลาใช้คำค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต เป็นต้น  

ด้านนโยบายการโฆษณา บริษัทแพลตฟอร์มด้านการสื่อสารได้ห้ามโฆษณาที่มีการบิดเบือนข้อมูลเกี่ยวกับโรคโควิด แต่ยังคงมีผู้คนจำนวนไม่น้อยใช้ระบบการสื่อสารผ่านแพลตฟอร์มกระจายความเท็จเพื่อหาประโยชน์

บริษัทด้านโทรคมนาคมทั่วโลกใช้กว่า 190 มาตรการเพื่อขยายการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตรวมถึงการระงับการจำกัดเพดานการใช้ช้อมูลผ่านเน็ต (data caps) ให้แบนด์วิดธ์เพิ่มเติม การเข้าถึงข้อมูลสาธารณะด้านสุขภาพได้โดยคิดอัตราเรตศูนย์ และ สนับสนุนการใช้ไวไฟให้กับบุคคลากรทางการแพทย์อีกด้วย

อย่างไรก็ตามในเอกสารเผยแพร่ขององค์การยูเนสโกตั้งคำถามว่าสิ่งที่แพลทฟอร์มทำนั้นเพียงพอหรือไม่ เนื่องจากเราไม่มีสถิติที่ครอบคลุมมากพอจากภาคเอกชน จึงยากที่จะประเมินนัยยะสำคัญจากตัวเลขที่บริษัทไอทีชี้แจงออกมาดังนี้คือ

  1. สัดส่วนของข้อมูลลวงกับเนื้อหาและโฆษณาทั้งหมดยังไม่ชัดเจนมากพอ
  2. ขอบเขตของการหมุนเวียนของข้อมูลข่าวสารก่อนที่จะถูกระบุว่าเป็นเท็จและบทบาทของ “ผู้แพร่กระจายโรคระบาดข้อมูลข่าวสารขั้นรุนแรง” หรือ ‘Super Spreader’ ในห่วงโซ่ของระบบนั้นผู้ให้บริการแพลทฟอร์มยังไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะ
  3. Avaaz เครือข่ายรณรงค์ออนไลน์ พบว่า 41% ของข้อมูลเท็จที่ได้รับความสนใจและตรวจสอบโดยเฟซบุ๊ก ยังคงอยู่ในระบบโดยไม่มีป้ายเตือนอย่างที่เฟซบุ๊กแถลงว่าจะดำเนินการ  ซึ่งใน 65% ของข้อมูลลวงเหล่านี้คือได้รับการตรวจสอบจากองค์กรที่ทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงและเป็นพันธมิตรของเฟซบุ๊กด้วยนั่นเอง
  4. สถาบันรอยเตอร์สุ่มตัวอย่างจำนวน 225 ข้อความเท็จในทวิตเตอร์ และพบว่าราว 59% ที่ได้รับการตรวจสอบแล้วว่าเป็นเท็จโดยกลุ่มองค์กรที่ทำงานตรวจสอบข่าวจริง (fact checkers)  แต่เนื้อหาเหล่านั้นยังคงปรากฎและเผยแพร่อยู่ในแพลตฟอร์ม  ส่วนใน YouTube คิดเป็น 27% และใน Facebook 24% ของเนื้อหาที่ได้รับการตรวจสอบแล้วว่าเป็นข้อมูลลวงแต่ยังคงเผยแพร่อยู่และไม่มีการขึ้นข้อความเตือนแต่อย่างใด
  5. ส่วนการสนับสนุนงบประมาณจากบรรษัทแพลตฟอร์มระดับโลกไปยังองค์กรสื่อมวลชนและหน่วยงานตรวจสอบข่าวลวงในแต่ละประเทศถือเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ แต่ถ้าเทียบสัดส่วนของรายได้ของบรรษัทแพลตฟอร์มทั้งหลายแล้วถือว่ายังน้อยมาก อีกทั้งบริษัทดังกล่าวไม่ได้ชดเชยการสูญเสียรายได้โฆษณาขององค์กรสื่อในแต่ละประเทศซึ่งลดลงมาตั้งแต่ก่อนหน้าวิกฤติโควิด (เนื่องเพราะรายได้โฆษณาถูกจ่ายตรงไปที่ผู้ให้บริการแพลทฟอร์มระดับโลกนั่นเอง)

นายอังตอนียู กูแตรึช เลขาธิการสหประชาชาติได้เรียกร้องให้ บริษัทแพลตฟอร์มด้านโซเชียลมีเดียต้องทำมากขึ้นกว่านี้เพื่อลดทอนความเกลียดชังและกำกับเนื้อหาที่เป็นอันตรายต่อชีวิตผู้คนอันเกี่ยวเนื่องกับโรคระบาดโควิด19  ทั้งนี้ยังคงต้องอยู่ภายใต้บริบทและแนวทางขององค์การสหประชาชาติที่ระบุไว้ในด้านด้านธุรกิจและสิทธิมนุษยชน  บริษัทด้านสื่ออินเทอร์เน็ตทั้งหลายควรปรับแนวทางปฏิบัติของพวกเขาให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลด้านสิทธิมนุษยชนโดยต้องธำรงเสรีภาพในการแสดงออกเป็นพื้นฐาน ส่วนข้อยกเว้นในการจำกัดการสื่อสารนั้นต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่เข้มงวด

นายเดวิด เคย์ ผู้แทนพิเศษของสหประชาชาติในด้านเสรีภาพการแสดงออกและความคิดเห็นกล่าวสรุปว่า 

“แพลทฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ ไม่ควรเป็นเป็นผู้ตัดสินความจริงหนึ่งเดียว แต่พวกเขายังคงสามารถยืนหยัดอย่างชัดเจนในการแก้ปัญหาเพื่อไม่ให้เกิดการเผยแพร่ข้อมูลเท็จที่ได้รับการตรวจสอบแล้วทั้งในรูปแบบของเนื้อหา โฆษณา และ บริการค้นหาข้อมูลต่างๆนั่นเอง”

นายเดวิด เคย์ ผู้แทนพิเศษของสหประชาชาติ

Cofact.org ร่วมแสดงเจตจำนงสนับสนุนแนวทางและข้อเสนอขององค์การสหประชาชาติและยูเนสโกในเรื่องดังกล่าวในวาระวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลกปี ค.ศ.2020 พร้อมทั้งทำงานเปิดพื้นที่ให้ภาคประชาสังคมในเมืองไทยร่วมกันตรวจสอบข้อมูลข่าวสารที่กระทบต่อสุขภาพของประชาชนในภาวะที่โรคระบาดโควิด19ยังคงดำเนินต่อไป  เพราะเราก็เชื่อมั่นในวารสารศาสตร์แห่งความจริง นั่นคือการไม่เชื่ออะไรโดยง่ายแต่ต้องมีการสืบค้นข้อมูลว่าอะไรจริงอะไรเท็จ เพื่อสุขภาวะร่วมของสังคม   เราทุกคนต้องตั้งสติในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ดังคำขวัญรณรงค์ของยูเนสโกที่ว่า “เราต้องไม่ปิดตา(จากความจริง)เพื่อปกป้องตัวเราเองจากไวรัสข้อมูลข่าวสาร”  (แม้ว่าจะต้องใส่หน้ากากเพื่อปิดจมูกและปากเพื่อป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนานั่นเอง)


1 Journalism, Press Freedom and COVID19, UNESCO 

สรุปข้อมูลใน Cofact.org 05 พ.ค. 63

สรุปข้อมูลใน Cofact.org 05 พ.ค. 63

สรุปข้อมูลใน Cofact.org 05 พ.ค. 63

สรุปข้อมูลใน Cofact.org 05 พ.ค. 63

สรุปข้อมูลใน Cofact.org 04 พ.ค. 63

สรุปข้อมูลใน Cofact.org 04 พ.ค. 63