รู้เท่าทัน‘มีม’ เมื่อเรื่องตลกออนไลน์อาจเกินเลยไปสู่ความเข้าใจผิดและปั่นกระแสเกลียดชังs

By : บัญชา จันทร์สมบูรณ์

ภาพที่ 1 : ตัวอย่างภาพถ่าย , ฉากในภาพยนตร์ , การ์ตูน ฯลฯ ที่พบเห็นการนำไปใส่ข้อความเป็นมีม

เชื่อว่าหลายคนที่ท่องโลกอินเทอร์เน็ตน่าจะต้องผ่านตากันมาบ้างกับภาพวาดหรือภาพถ่าย ไปจนถึงฉากในภาพยนตร์ ซีรีส์ การ์ตูนแอนิเมชั่น ฯลฯ มาใส่ข้อความที่เอาจริงๆ แล้วก็ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผู้สร้างสรรค์ภาพต้นฉบับตั้งใจทำขึ้นแต่เดิม แต่หลายครั้งกลับกลายเป็นกระแสถูกแชร์กันอย่างแพร่หลายด้วยความรู้สึกว่า มันตลกดี จากผู้พบเห็น กลายเป็นเรื่องสนุกสนานขำขันกันไป 

การทำแบบนี้มีคำเรียกว่า มีม (Meme)” แต่หากจะให้เข้านิยามจริงๆ ควรเจาะจงว่า อินเอร์เน็ตมีม (Internet Meme)” น่าจะตรงกว่า โดยพจนานุกรมฉบับเคมบริดจ์ (Cambridge Dictionary) อธิบายว่า มีม ในความหมายของ อินเตอร์เน็ตและโทรคมนาคม (Internet & Telecoms) หมายถึง ไอเดีย มุกตลก รูปภาพ วิดีโอ ฯลฯ ที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วบนอินเตอร์เน็ต เช่นเดียวกับพจนานุกรมเมอร์เรียม-เวบสเตอร์ (Merriam-Webster) อธิบายว่า หมายถึงสิ่งที่น่าขบขันหรือน่าสนใจ (เช่น รูปภาพหรือวิดีโอพร้อมคำบรรยาย) หรือประเภทของสิ่งที่แพร่กระจายอย่างกว้างขวางทางออนไลน์โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media)

ส่วนในประเทศไทย สำนักงานราชบัณฑิตสภา (หรือราชบัณฑิตสถาน) อธิบายว่า มีม หมายถึง ความคิด ความเชื่อ ภูมิปัญญา และวรรคทองต่าง ๆ ที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตนำมาเลียนแบบ ดัดแปลง สร้างเสริม และแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง อาจเป็นแนวตลกในลักษณะของข้อความ การ์ตูน สัญลักษณ์ คลิปวีดิทัศน์ แอนิเมชั่น (animation) ฯลฯ

ภาพที่ 2 : ริชาร์ด ดอว์กินส์ ผู้ให้กำเนิดคำว่า “มีม” (และภาพของเจ้าตัวก็ยังถูกทำเป็นมีม)

– ที่มาของคำว่า มีม : แม้มีมจะเป็นวัฒนธรรมหรือกระแสยอดนิยมในยุคอินเตอร์เน็ต แต่ต้นกำเนิดของมันมีมาก่อนหน้านั้น ตามข้อมูลของสารานุกรมบริแทนนิกา (Encyclopedia Britannica) ระบุว่า มีม (Meme) มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกคำว่า มิเมมา (Mimema)” แปลว่า เลียนแบบ โดย ริชาร์ด ดอว์กินส์ (Richard Dawkins) นักชีววิทยาชาวอังกฤษ อธิบายเกี่ยวกับมีมไว้ในหนังสือ “The Selfish Gene” อันเป็นผลงานที่ตีพิมพ์ในปี 2519 ว่า มีมเป็นเสมือนคู่ขนานทางวัฒนธรรมกับยีน (Gene) ทางชีววิทยา และมองว่ามีมนั้น คล้ายกับยีนเห็นแก่ตัว คือควบคุมการสืบพันธุ์ของตนเองและสนองความต้องการของตนเอง 

ในแง่นี้ มีมสามารถถ่ายทอดข้อมูล ทำซ้ำ และถ่ายทอดจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้ และพวกมันมีความสามารถในการวิวัฒนาการ กลายพันธุ์แบบสุ่ม และผ่านกระบวนการคัดเลือกตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะมีผลกระทบต่อสมรรถภาพของมนุษย์ (การสืบพันธุ์และการอยู่รอด) หรือไม่ก็ตาม ถึงกระนั้นแนวคิดของมีมส่วนใหญ่ยังคงเป็นเพียงทฤษฎี แนวคิดนี้ยังเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันเนื่องจากแนวคิดเรื่องความเห็นแก่ตัวและการนำแนวคิดไปประยุกต์ใช้กับวิวัฒนาการของวัฒนธรรม ซึ่งเป็นรากฐานของการศึกษาเกี่ยวกับมีม (Memetics)

ภายในวัฒนธรรมหนึ่ง มีมสามารถมีรูปแบบได้หลากหลาย เช่น ความคิด ทักษะ พฤติกรรม วลี หรือแฟชั่นเฉพาะอย่างหนึ่ง การทำซ้ำและการถ่ายทอดมีมเกิดขึ้นเมื่อบุคคลหนึ่งคัดลอกข้อมูลทางวัฒนธรรมที่ประกอบเป็นมีมจากบุคคลอื่น กระบวนการถ่ายทอดส่วนใหญ่ดำเนินการผ่านการสื่อสารด้วยวาจา ภาพ หรืออิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่หนังสือและบทสนทนา ไปจนถึงโทรทัศน์ อีเมล หรืออินอร์เน็ต มีมที่ประสบความสำเร็จในการถูกคัดลอกและส่งต่อมากที่สุดจะกลายเป็นมีมที่แพร่หลายมากที่สุดในวัฒนธรรมนั้น

ส่วนอินเทอร์เน็ตมีมที่เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นของศตวรรษที่ 21 (ปี 2543 – 2642) แพร่กระจายจากคนสู่คนผ่านการเลียนแบบ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมักเกิดขึ้นผ่านอีเมล สื่อสังคมออนไลน์ และเว็บไซต์ประเภทต่างๆ มักอยู่ในรูปแบบรูปภาพ วิดีโอ หรือสื่ออื่นๆ ที่มีข้อมูลทางวัฒนธรรม แต่แทนที่จะกลายพันธุ์แบบสุ่มกลับถูกเปลี่ยนแปลงโดยบุคคลอื่นโดยเจตนา ซึ่งขัดกับแนวคิดดั้งเดิมของดอว์กินส์เกี่ยวกับมีม ทำให้แม้จะมีความคล้ายคลึงกันโดยพื้นฐานกับมีมประเภทอื่นๆ แต่ดอว์กินส์และนักวิชาการบางคนมองว่าอินเตอร์เน็ตมีมเป็นการนำเสนอแนวคิดที่แตกต่างออกไป

ภาพที่ 3 ตัวอย่างมีมเสียดสีการเมือง (หรือมีมตลกที่ใช้ภาพนักการเมืองประกอบ)

– มีมกับการเมือง :: นักการเมืองหรือนโยบายจากฝ่ายการเมือง เป็นอีกส่วนที่มักถูกนำมาทำมีมอยู่เสมอ ทั้งที่เป็นการเสียดสีประชดประชัน (Satire) นักการเมืองหรือนโยบายอย่างตรงไปตรงมา หรือบ้างก็เป็นมีมตลกที่ไม่เกี่ยวกับการเมืองแต่ใช้ภาพอิริยาบถของนักการเมืองมาประกอบคำพูด (แคปชั่น) ที่นักการเมืองนั้นอาจไม่ได้พูด ดังที่เห็นในภาพประกอบนี้ อย่างในประเทศไทย มีการนำภาพของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ไปทำให้คล้ายกับภาพของผู้พันฮาร์แลนด์ แซนเดอร์ ผู้คิดค้นสูตรไก่ทอดเคนตักกี้ (KFC) และทำให้แบรนด์ไก่ทอดนี้โด่งดังจากสหรัฐอเมริกาออกไปมีสาขาทั่วโลก 

หรืออย่างอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ที่มักจะถูกฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองกล่าวโทษว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องร้ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยอยู่เสมอก็มีชาวเน็ตนำภาพของทักษิณมาใส่คำพูดประชดประชัน บอกว่ามีอะไรแย่ๆ เกิดขึ้นให้โทษมาที่ตัวเอง (หมายถึงทักษิณ) ได้เลย แน่นอนว่าไม่มีข้อยืนยันว่าอดีตนายกฯ ทักษิณพูดประโยคตามที่ปรากฏในภาพ แต่ภาพนี้ก็ถูกแชร์อย่างแพร่หลายไม่เฉพาะแต่ในวงสนทนาการเมือง หากยังรวมไปถึงเรื่องทั่วๆ ไปในชีวิตประจำวันที่คนคนหนึ่งอาจใช้มีมนี้แทนการประชดเรื่องที่ตนเองมักจะถูกกล่าวโทษว่าเป็นตัวปัญหาอยู่เสมอ 

หรือในระดับโลกก็มักปรากฏภาพมีมล้อบรรดาชาติมหาอำนาจ อย่างสหรัฐอเมริกา มีมหนึ่งที่พบบ่อยๆ จะเป็นภาพเครื่องบินทิ้งระเบิดบ้าง ภาพทหารบุกจู่โจมอาคารบ้านเรือนบ้างแล้วใส่ข้อความทำนอง ประชาธิปไตยส่งตรงถึงคุณ เสียดสีนโยบายการต่างประเทศของสหรัฐฯ ที่มักทำตัวเป็น ตำรวจโลก บุกเข้าไปในประเทศอื่นๆ อ้างว่าเพื่อจัดระเบียบการปกครองให้เป็นไปตามวิถีประชาธิปไตยของสหรัฐฯ หรืออย่าง สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีน มักจะเห็นภาพมีมที่เทียบกับตัวการ์ตูนอย่าง หมพูห์ (Winnie the Pooh)ขณะที่ภาพซึ่งยกมาเป็นตัวอย่าง มีการพูดถึง Flu หรือไข้หวัด ซึ่งพาดพิงกับการที่ไวรัสโควิด-19 เริ่มระบาดจากประเทศจีน เป็นต้น 

งานวิจัย Psychological Perspectives on Participatory Culture: Core Motives for the Use of Political Internet Memes โดย แอนน์ เลเซอร์ (Anne Leiser) บัณฑิตวิทยาลัยสังคมศาสตร์นานาชาติเบรเมน มหาวิทยาลัยจาคอบส์ เมืองเบรเมน ประเทศเยอรมนี ซึ่งเผยแพร่ในปี 2565 ทำการศึกษาแรงจูงใจของผู้ผลิตและใช้มีมทางการเมือง พบว่า การใช้มีมทางอินเทอร์เน็ตมีแรงจูงใจจากการแสดงออก ความบันเทิง และอัตลักษณ์ทางสังคม รวมถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน 

การศึกษานี้วางตำแหน่งการใช้มีมทางการเมืองในฐานะกิจกรรมทางการเมือง แต่เตือนถึงบทบาทและผลกระทบของมีมต่อระบบประชาธิปไตย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกไม่กล่าวถึงข้อมูลบางส่วน(Exclusionary Practices) การตีความหมายที่ง่ายเกินไปจนอาจทำให้เข้าใจผิด (Oversimplification)และข้อมูลคลาดเคลื่อน (Misinformation)” 

อย่างไรก็ตาม คำถามเกี่ยวกับมีมทางการเมือง การใช้งาน และผู้ใช้งานยังไม่ได้รับคำตอบทั้งหมด การทำความเข้าใจว่าบุคคลมีมุมมองต่อเนื้อหาทางการเมืองอย่างไรเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำความเข้าใจภูมิทัศน์ดิจิทัลร่วมสมัย การวิจัยเพิ่มเติมจำเป็นต้องอธิบายประเด็นเหล่านี้จากมุมมองทางวิชาการและสาขาวิชาที่แตกต่างกัน เพื่อเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับพื้นที่สื่อสารสาธารณะที่ถูกกำกับด้วยเทคโนโลยี (mediated public spaces) วาทกรรมที่ผ่านกระบวนการสื่อสารทางสังคมและการกำหนดความหมายร่วมกัน ( Collectively negotiated discourse) และรูปแบบความเป็นพลเมืองที่ไม่ถูกกำหนดด้วยกรอบเดิมๆ(Unconventional) ทั้งนี้การรวมผู้ใช้เข้ามามีส่วนร่วมในความพยายามนี้ ทั้งจากมุมมองเชิงปฏิบัติและเชิงวิชาการ จะช่วยเสริมสร้างการศึกษาเกี่ยวกับสื่อที่แพร่กระจายได้ (spreadable  media) พลเมือง และวัฒนธรรมแบบมีส่วนร่วม

ขณะที่งานวิจัยเรื่อง “Memeing Politics: Understanding Political Meme Creators, Audiences, and Consequences on Social Media” โดย 2 ผู้วิจัย คือ ออเดรย์ ฮัลเวอร์เซน (Audrey Halversen) จากมหาวิทยาลัยบริคแฮม ยัง (Brigham Young University) และ ไบรอัน อี วีคส์ (Brian E Weeks) จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน (University of Michigan) สหรัฐอเมริกา เผยแพร่ในปี 2566 ศึกษาพฤติกรรมของชาวอเมริกันวัยผู้ใหญ่ที่ออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2563 กับการผลิต (โพสต์) ส่งต่อ (แชร์) และรับมีมผ่านแพลตฟอร์มเฟซบุ๊ก

ซึ่งให้ข้อสรุปว่า ในสภาพแวดล้อมสื่อที่กระจัดกระจายมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าเนื้อหาทางการเมืองรูปแบบใหม่ๆ ที่ถูกปลูกฝังและสร้างขึ้นเพื่อยุคดิจิทัล ส่งผลต่อการรับข้อมูลทางการเมืองของผู้ชมอย่างไร มีมทางการเมืองถือเป็นหนึ่งในเนื้อหาทางการเมืองรูปแบบใหม่เหล่านี้ งานวิจัยฉบับนี้ชี้ให้เห็นว่ามีมถูกใช้โดยผู้ใช้ที่มีระดับความสนใจทางการเมืองที่แตกต่างกันไป ควบคู่ไปกับกิจกรรมทางการเมืองอื่นๆ เพื่อล้อเลียนนักการเมือง และในบางกรณี เพื่อแจ้งข้อมูลและโน้มน้าวผู้อื่น  

นอกจากนี้ ผลวิจัยยังชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างการสัมผัสกับมีมทางการเมืองเกี่ยวข้องกับการแสดงออกทางการเมือง กิจกรรมทางการเมือง และความโกรธแค้นที่มีต่อฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งชี้ให้เห็นว่างานวิจัยในอนาคตควรศึกษาผลกระทบของมีมทางการเมืองเพิ่มเติมอย่างไรก็ตาม คณะผู้วิจัยเสนอให้มีการศึกษาเพิ่มเติมเรื่องมีมทางการเมืองในแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์อื่นๆ นอกเหนือจากเฟซบุ๊ก หรือศึกษาเจาะลึกไปยังมีมแต่ละประเภท (ข้อความล้วน , ข้อความผสมวิดีโอ , วิดีโอล้วน) อีกทั้งย้ำว่างานวิจัยชิ้นนี้ทำการศึกษาเฉพาะในสหรัฐอเมริกา  ซึ่งประเทศอื่นๆ อาจมีบริบทที่แตกต่างกันออกไป

ภาพที่ 4 : (ซ้าย) มีมเปรียบเทียบชาวยิว (ใช้สัญลักษณ์ดาวหกแฉก) ในยุคสมัยที่ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กับผู้ที่เลือกไม่ฉีดวัคซีน , (ขวา) มีมอ้างไวรัสโควิด-19 ถูกสร้างในสหรัฐอเมริกาเพื่อใช้เป็นอาวุธต่อสู้กับจีน และการทาน้ำมันรัสเซีย (ใช้ภาพของ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย) สามารถช่วยป้องกันเชื้อได้ 
ที่มา : Gavi , ASP

– มีมกับปัญหาข้อมูลบิดเบือน : แม้มีมโดยมากจะสื่อสารในเชิงตลกขบขัน แต่หลายครั้งก็เป็นการส่งต่อข้อมูลคลาดเคลื่อน (Misinformation) หรือแม้แต่ข้อมูลบิดเบือน (Disinformation) ทำให้ผู้รับสารหลงเชื่อได้ อาทิ บทความ “How memes became health disinformation super-spreaders”โดย GAVI องค์กรร่วมระหว่างรัฐกับเอกชนในการจัดหาวัคซีนสนับสนุนประเทศยากจน ฉายภาพของมีมที่ทำให้เกิดความเชื่อผิดๆ ด้านสุขภาพ หนึ่งในนั้นคือการเชื่อใน ลัทธิต่อต้านวัคซีน (Anti – Vaccine) โดยระบุว่า ในสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 บรรดา อินฟลูเอนเซอร์ หรือผู้มีบทบาทชี้นำบนโลกออนไลน์ที่เชื่อในลัทธิดังกล่าว ใช้มีมในการเผยแพร่ความเชื่อของตน ดังนี้ 

1.โจมตีรัฐและสถาบันทางสังคม เช่น อ้างว่ารัฐบาลปกครองอย่างกดขี่ มีปัญหาทุจริต ใช้วัคซีนเป็นเครื่องมือควบคุมประชาชนและแสวงหากำไร 2.ให้ภาพ เหยื่อ กับผู้ที่ปฏิเสธการฉีดวัคซีน อาทิ เปรียบเทียบว่าคนที่เลือกไม่ฉีดวัคซีนก็มีชะตากรรมเหมือนกับชาวยิวที่ถูกส่งเข้าค่ายกักกันและฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในช่วงที่พรรคนาซีปกครองประเทศเยอรมนี 3.ให้ภาพ ผู้เข้มแข็งและตื่นรู้ กับผู้ที่ปฏิเสธการฉีดวัคซีน โดยชี้นำว่าผู้ที่เลือกไม่ฉีดวัคซีนมีความแข็งแกร่ง มีเสน่ห์และมีสติปัญญาสูงกว่าผู้ที่เลือกฉีดวัคซีน 

มีมเป็นเครื่องมือเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนที่ทรงพลัง เพราะเปิดโอกาสให้อินฟลูเอนเซอร์สามารถอ้างสิทธิ์ปฏิเสธได้อย่างน่าเชื่อถือ ภายใต้หน้ากากของอารมณ์ขันและการเสียดสี มีมสามารถหลบเลี่ยงการตรวจสอบข้อเท็จจริงและผู้ดูแลเนื้อหาได้ ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการต่อต้านวัคซีนและการรักษาที่ไม่ได้รับอนุญาต

อินฟลูเอนเซอร์ที่ส่งเสริมความลังเลต่อวัคซีนใช้มีมเพื่อสร้างฐานผู้ติดตามออนไลน์ สร้างความไม่ไว้วางใจต่อหน่วยงานสาธารณสุข และแสวงหาผลประโยชน์จากการส่งเสริมยาที่ไม่ได้รับอนุมัติ ซึ่งช่วยให้พวกเขาหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบต่อผลกระทบด้านลบใดๆ ที่เกิดจากข้อความของพวกเขา มีมอาจดูไม่คุกคาม แต่นั่นคือเหตุผลที่พวกมันเป็นผู้เผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนด้านสุขภาพที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง

เช่นเดียวกับบทความ Protecting Yourself from Disinformation in 2020 โดย American Security Project (ASP) องค์กรไม่แสวงหากำไรในสหรัฐฯ ที่ศึกษาประเด็นด้านความมั่นคงของชาติระบุว่า มีมเป็นหนึ่งในวิธีเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนทางออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดย มีมคือรูปภาพหรือภาพถ่ายที่ออกแบบมาเพื่อให้สะดุดตาและก่อให้เกิดปฏิกิริยาทางอารมณ์ ซึ่งโดยปกติจะมีข้อความสั้นๆ ใช้เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้กดถูกใจ (Like) หรือส่งต่อ (Share) เพื่อให้เกิดการแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว 

อย่าทำ (เชื่อ แชร์เว้นแต่คุณจะสามารถยืนยันได้จริงๆ ว่าข้อมูลนั้นถูกต้อง อย่าเชื่อมีมที่มีคำพูดอ้างอิงข้างใบหน้าของบุคคลที่มีชื่อเสียง คำพูดเหล่านี้มักจะไม่ถูกต้องทั้งในแง่ของบริบท การระบุแหล่งที่มา หรือแม้แต่เนื้อหาทั้งหมด ควรศึกษาค้นคว้าเพื่อยืนยันแหล่งที่มาของคำพูดนั้น อนึ่ง เว็บไซต์ที่เป็นแหล่งรวมคำพูดอ้างอิงของบุคคลที่มีชื่อเสียงก็มักให้ข้อมูลและระบุแหล่งที่มาที่ไม่ถูกต้อง ลองค้นหาคำพูดที่คุณพบโดยอ้างอิงจากเว็บไซต์ตรวจสอบข้อเท็จจริง” 

ส่วนมุมมองจากนักวิชาการในไทย ดร.สังกมา สารวัตร อาจารย์คณะเทคโนโลยีสารสนเทศเเละการสื่อสาร มหาวิทยาลัยศิลปากร อธิบายประสิทธิภาพของการสื่อสารผ่านมีมไว้ดังนี้ 1.มีมมีบทบาทสำคัญต่อการเผยแพร่ข้อมูลในลักษณะที่รวดเร็วและมีความเป็นไวรัล (virality) สูง เนื่องจากสามารถถูกส่งต่อหรือแชร์ได้อย่างง่ายดายคุณลักษณะดังกล่าวทำให้มีมกลายเป็นเครื่องมือสื่อสารที่ทรงอิทธิพล อันเนื่องจากถ้อยคำที่กระชับ ผลิตผ่านการสร้างอารมณ์ขัน และการใช้ภาพที่ไม่เคร่งเครียด  สามารถดึงดูดความสนใจของผู้รับสาร  

เช่น การนำเสนอประเด็นสาธารณะหรือนโยบายสาธารณะมาล้อเลียนหรือขบขัน แต่กลับทำให้ผู้รับสารเข้าใจประเด็นได้ง่ายยิ่งขึ้น เช่น เราจะเห็นภาพที่มหาเศรษฐีบิล เกตส์ ถ่ายรูปสายไฟฟ้ายุ่งเหยิงกองเป็นชั้นๆบนเสาไฟฟ้าริมถนนของประเทศไทย เราจะเข้าใจประเด็นที่มีมต้องการจะสื่อทันทีว่ามันสะท้อนความยุ่งวุ่นวาย และไร้ระเบียบ ไร้การจัดการ แต่เมื่อผ่านการนำเสนอของมีม มันทำให้ผู้คนเข้าถึงประเด็นเชิงปัญหาระบบสำธารณูปโภคได้ชัดเจนและสนุกมากขึ้น  

2.สร้าง “ความคิดเห็นสาธารณะ (Public opinion)” ในสังคมขึ้นมาได้  โดยมีมสามารถสร้างกรอบการรับรู้  โหมกระพือเรื่องราวให้น่าสนใจกว่าอหาที่ปรากฏในข่าวรูปแบบทางการ ซึ่งอาจเป็นความคิดเห็นสาธารณะที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม เช่น การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา “การสื่อสารในรูปแบบมีมยังเป็นการเปิดพื้นที่ในเชิงบวก คือ การใช้ความขบขันเข้าเสียดสีเพื่อให้เกิดการรับรู้เนื้อหาสารทางการเมือง (Political Message)” การแสดงความคิด ความเห็นได้อย่างไม่ต้องกังวลผลกระทบทางการเมืองที่จริงจัง   ไม่ว่าจะเป็นการวิจารณ์การเมืองที่ฉ้อฉล ความประพฤติของฝ่ายผู้มีอำนาจที่ใช้อำนาจในทางที่ผิด สถาบันการเมืองที่ไม่อาจวิจารณ์ได้

3.ผู้คนเปิดใจยอมรับเนือหา เนื่องจากมีมสร้างผลกระทบเชิงอารมณ์ความรู้สึก มีมมักถูกสร้างให้เกินจริง สร้างอารมณ์ให้ขึ้นสู่ระดับเหนือจริงเพื่อให้เกิดอารมณ์ขันและน่าติดตาม ผลกระทบในทางบวกจะ หากเนื้อหาในมีมสร้างความเป็นพวกเดียวกันในมิติทางสังคม พฤติกรรม หรือความชื่นชอบในปรากฏการณ์เดียวกันใน “วัฒนธรรมมีม Meme Culture) การสื่อสารจะยกระดับสู่การเป็น “วัฒนธรรมร่วม” ผ่าน Social Media จนเกิดปรากฎไวรัล เช่น หมูเด้ง มีมในรูปแบบวิดีโอสั้น ภาพมีมของหมูเด้งเป็นการสร้างการเชื่อมต่อและเชื่อมโยงอารมณ์ความรู้สึกของผู้คน 

 4.สร้างวัฒนธรรมการมีส่วนร่วม(Participatory Culture) โดยมีมกระตุ้นให้ผู้คนเกิดความรู้สึกสนุกสนาน จนนำไปสู่การมีส่วนร่วมในระดับต่างๆเช่น การแสดงความคิดเห็น การส่งต่อ โดยเฉพาะในยุคที่ทุกคนต่างเป็นผู้ผลิตสื่อได้เอง (User generated content) พวกเขาเข้ามาร่วมสร้างเนื้อหา บางครั้งสามารถสร้างให้เกิดการกระตุ้นขยายสู่ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม เช่น การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม 

แต่อีกด้านหนึ่งก็มี ผลกระทบเชิงลบของมีมที่ต้องระวัง” นั่นคือ อาจก่อให้เกิดการบิดข้อเท็จจริงได้ เช่น ทำให้ประเด็นใหญ่เกินความเป็นจริง มีการสร้างข้อมูลปลอม การกลั่นแกล้งทางออนไลน์(Cyber Bullying) การสร้าง มีมที่เป็นพิษต่อผู้รับสารหรือผู้พบเห็น (Toxic Meme) ปรากฏการณ์ห้องเสียงสะท้อน(Echo Chambers) และการขาดความหลากหลายเชิงประเด็น

“เคยมีการทำงานวิจัยของ Zannettou นักวิชาการเมื่อปี คศ. 2018  (พ.ศ.2561) วิเคราะห์มีม 160ล้านภาพ ทั้งในทวิตเตอร์ (ปัจจุบันคือแพลตฟอร์ม X)  เว็บ Reddit (เว็บบอร์ดสนทนาออนไลน์ คล้ายกับ Pantip ของไทย) เพื่อแยกแยะเนื้อหาของมีม พบว่าส่วนใหญ่เป็นมีมที่มีเนื้อหาทางการเมือง การเหยียดเชื้อชาติ  และยังเป็นแหล่งกระจายมีมที่เป็นพิษออกไปยังสื่อโซเชียลต่างๆ อีกด้วย ในงานวิจัยหลายชิ้นพบการใช้มีมที่สร้างความเกลียดชัง (Hate Meme) โดยกลุ่มการเมืองสุดโต่ง   การสร้างข่าวที่ขาดการตรวจสอบ  การเสียดสีดูหมิ่น การแยกขั้วแบ่งข้าง ( Polarization) เป็นต้น”ดร.สังกมา ยกตัวอย่าง    

นักวิชาการท่านนี้ ฝากคำแนะนำในการรับมือกับวัฒนธรรมมีมไว้ว่า 1.สนับสนุนวัฒนธรรมมีมที่มีคุณภาพและสร้างสรรค์ สนับสนุนให้เกิดการวิเคราะห์เชิงสร้างสรรค์ ลึกซึ้ง โดยหากนำกรอบของ Soren  Kierkegaard นักปรัชญาชาวเดนมาร์กในศตวรรษที่ 19 มาประยุกต์อธิบาย เหมือนเขามองเห็นอนาคตของสื่อออนไลน์ในปัจจุบัน ที่มองว่ามนุษย์มักหลีกเลี่ยงการแสวงหาความหมายที่ลึกซึ้งแต่กลับไปสนใจเพียงความฉาบฉวยที่อยู่ตรงหน้า(immediacy)

ด้วยเหตุนี้ ปัญญาแห่งมวลชน (Wisdom  of Crowds) จะเกิดขึ้นได้ยากเพราะมนุษย์อยู่กับเนื้อหาที่ผิวเผิน ( superficial)  ความเป็นตัวตนที่ไม่ลึกซึ้ง สังคมที่อึกทึกครึกโครม ซึ่งเทียบได้กับความเป็นตัวตนของเราถูกลดเหลือเป็นเพียงเนื้อหา (Content)  ชีวิตคือการโพสต์ แชร์ สร้างมีมมีแต่เสียง (Noise) ภายนอกมารบกวน ทั้งนี้ อาจต้องผ่านการเรียนรู้ หรือการศึกษาทั้งในระบบและนอกระบบ โดยเฉพาะด้านการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล (Digital Literacy) 

2.สร้างการเรียนรู้เรื่องความเป็นส่วนตัว(Privacy) และการรับผิดรับชอบ (Accountability) ต่อการกระทำในการท่องโลกออนไลน์ ให้ความรู้ก่อนจะสร้างมีม หรือแชร์เนื้อหาต่อ เข้าใจกลไกการชะลอการโพสต์ การติดระบบเตือนข้อความที่ไม่เหมาะสม

3.ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงภาคประชาสังคม ช่วยกันแจ้งเตือนเมื่อเจอเนื้อหา/มีม อันตราย ด้วยวิธีการ “Flag harmful” คือ ผู้ใช้ช่วยกัน ระบุ แจ้งเตือน /หรือรายงาน เนื้อหาที่อาจเป็นอันตราย (เช่น Toxic Meme) ผ่านกลไกที่แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์เปิดไว้ให้แจ้ง ขณะเดียวกันก็จัดกิจกรรมสร้างความตระหนักรู้ในพื้นที่ออฟไลน์ เช่น โรงเรียนจัดกิจกรรมเพื่อนเตือนเพื่อนเมื่อพบการแขร์เนื้อหาที่ไม่ปลอดภัยออนไลน์  หรืออย่างกิจกรรมที่โคแฟคทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายเพื่อส่งเสริมให้ภาคประชาชนมีทักษะรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล

และ 4.แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ควรมีบทบาทในการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นเครื่อมือคัดกรองเพื่อลด Flag harmful แต่ยังคงมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น (Freedom of expression) เป็นหลักการสำคัญควบคู่กันไป  มีกลไกหรือระบบทั้งด้านการับฟังความคิดเห็นสะท้อนกลับ  และระบบอัลกอริธึมที่สร้างให้เกิดความหลากหลายทางความคิดมากขึ้น รวมทั้งการมีหลักคำแนะนำการใช้เพื่อออกสู่ประชาชนทั่วไปและเยาวชนอย่างเท่าทันเทคโนโลยี และวัฒนธรรมออนไลน์ที่ก้าวหน้าไปอย่างก้าวกระโดด

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-

อ้างอิง 

https://dictionary.cambridge.org/dictionary/english/meme

https://www.merriam-webster.com/dictionary/meme

https://web.facebook.com/photo?fbid=3480081435383260&set=pcb.3480093202048750 (meme : มีม , เพจเฟซบุ๊ก “สำนักงานราชบัณฑิตยสภา” 18 ก.ย. 2563)

https://www.britannica.com/topic/meme (meme , cultural concept : Encyclopedia Britannica)

https://jspp.psychopen.eu/index.php/jspp/article/view/6377/6377.pdf (Psychological Perspectives on Participatory Culture: Core Motives for the Use of Political Internet Memes : JSPP 27 มิ.ย. 2565)

https://journals.sagepub.com/doi/10.1177/20563051231205588 (Memeing Politics: Understanding Political Meme Creators, Audiences, and Consequences on Social Media : Sage Journal 16 ต.ค. 2566)

https://www.gavi.org/vaccineswork/how-memes-transformed-pics-cute-cats-health-disinformation-super-spreaders (How memes became health disinformation super-spreaders : GAVI 13 ก.พ. 2567)

https://www.americansecurityproject.org/protecting-yourself-from-disinformation-in-2020/ (Protecting Yourself from Disinformation in 2020 : ASP 28 ก.พ. 2563)

https://www.researchgate.net/publication/329237247_On_the_Origins_of_Memes_by_Means_of_Fringe_Web_Communitieshttps://www.researchgate.net/publication/329237247_On_the_Origins_of_Memes_by_Means_of_Fringe_Web_Communities (On the Origins of Memes by Means of Fringe Web Communities : Researchgate ตุลาคม 2561)