บิดเบือนถ้อยคำ-สร้างโควทคำพูดปลอม: เนื้อหาเท็จแบบดั้งเดิมที่ยังแพร่หลายในยุค AI

กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการโคแฟค

แม้หลายคนจะกังวลกับการแพร่ระบาดของเนื้อหาเท็จที่สร้างด้วย AI โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศเผชิญสถานการณ์พิเศษอย่างการสู้รบไทย-กัมพูชา ภัยพิบัติทางธรรมชาติและการเลือกตั้ง แต่เนื้อหาเท็จรูปแบบเดิม ๆ อย่างการบิดเบือนถ้อยคำหรือสร้างคำพูดปลอมยังคงถูกนำมาใช้ด้วยเจตนาที่หลากหลายตั้งแต่ปลุกปั่นอารมณ์ เพิ่มยอดเอ็นเกจเมนต์ สร้างความเข้าใจผิด ไปจนถึงการทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง

โควทปลอมช่วงการสู้รบไทย-กัมพูชารอบแรก

ในช่วงที่มีการสู้รบระหว่างกองทัพไทยและกัมพูชารอบแรกเมื่อ 24-28 ก.ค. 2568 โคแฟคพบเนื้อหาเท็จที่เป็นการปลอมคำพูดของบุคคลสาธารณะอย่างน้อย 2 กรณี ดังนี้

วันที่ 30 ก.ค. เพจเฟซบุ๊ก “HotNews – ข่าวประเทศไทย” โพสต์ภาพ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมในขณะนั้น พร้อมกับคำบรรยายว่า “รมช.กลาโหม ฟิวขาด หลังนักข่าวจี้คำถามแทงใจ ซัดกลับ เขมรมันไม่ใช่ญาติผม ถ้ามันจะตายก็ตาย ๆ ไปซะ อย่าได้หวังว่าผมจะช่วย” พร้อมกับฝังข้อความในภาพทำให้เข้าใจว่าเป็นคำพูดของ พล.อ.ณัฐพล โพสต์นี้ถูกแชร์ไปมากกว่า 2.4 พันครั้ง ณ วันที่ตรวจสอบ และถูกนำไปเผยแพร่ต่อทั้งในอินสตาแกรมและติ๊กตอกอย่างกว้างขวาง

โคแฟคค้นหาคลิปและรายงานข่าวการให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ณัฐพล หลังการประชุมสภากลาโหม เมื่อวันที่ 30 ก.ค. ที่สื่อมวลชนรายงาน ไม่พบว่ามีคำพูดดังกล่าว มีเพียงการตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ว่า “ไทยกับกัมพูชาจะกลับไปเป็นเพื่อนบ้านที่ดีกันได้หรือไม่” ซึ่ง พล.อ.ณัฐพลตอบว่า “ได้ๆ แต่ตอนนี้ชะลอการช่วยเหลือทางการทหารไปก่อน” จนกว่าสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างทั้งสองประเทศจะดีขึ้น

วันต่อมา (31 ก.ค.) สำนักโฆษกกระทรวงกลาโหมชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กว่าโพสต์ดังกล่าวเป็นเนื้อหาเท็จ โดยระบุว่า “รมช.กห. ไม่เคยให้สัมภาษณ์อย่างที่ถูกกล่าวอ้างในโลกออนไลน์”

อีกกรณีหนึ่งคือการกุข้อความขึ้นมาแล้วอ้างว่าเป็นคำพูดของนายเฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ จิตรกรชื่อดังกล่าวหานายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น และ พล.อ.ณัฐพลว่าเป็นผู้เสนอให้เปิดด่านไทย-กัมพูชาและต่อว่าทั้งสองคนด้วยถ้อยคำรุนแรง 

วันที่ 14-15 ก.ย. ผู้ใช้โซเชียลมีเดียแชร์ภาพนายเฉลิมชัย ฝังข้อความวิจารณ์เรื่องการเปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา โดยโจมตีผู้ที่เสนอให้มีการเปิดด่านว่า “ไอ้พวกขายชาติ” ที่ไม่เห็นแก่ประโยชน์ของคนไทยและไม่ตระหนักถึงความพยายามของทหารที่ไปรบเพื่อให้ได้แผ่นดินมา โดยมีภาพนายอนุทินและ พล.อ.ณัฐพลประกอบ ด้านล่างมีข้อความว่า “เห็นด้วยกับ อ.เฉลิมชัย” ทำให้เข้าใจว่าข้อความดังกล่าวเป็นคำพูดของนายเฉลิมชัยที่วิจารณ์นายอนุทินและ พล.อ.ณัฐพล ด้วยถ้อยคำรุนแรง

ต่อมา นายเฉลิมชัยได้ปฏิเสธอย่างหนักแน่นผ่านคลิปวิดีโอว่าตนไม่ได้พูดเรื่องการเปิด-ปิดด่านอย่างที่ปรากฏในโพสต์นั้น นายเฉลิมชัยกล่าวด้วยว่าที่ผ่านมา เขาถูกนำไปอ้างเท็จว่าพูดวิจารณ์การเมืองหลายครั้งทั้งที่ย้ำมาตลอดว่าเขาไม่ยุ่งเรื่องการเมือง

โควทปลอมการเมือง

ล่าสุด โคแฟคตรวจสอบพบบัญชีเฟซบุ๊กชื่อ “พ่อจัสมิน หากินทั่วไป” ผู้ติดตามกว่า 9 หมื่นบัญชีโพสต์ภาพและข้อความที่อ้างว่าเป็นคำพูดของณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) จำนวนหลายโพสต์ เช่น เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. มีการโพสต์ภาพณัฐพงษ์และฝังข้อความว่า “เท้งปลุกพลังด้อมส้ม ชี้หากชนะเลือกตั้งแล้วถูกขัดขวาง ถึงเวลาต้องสู้ พร้อมบุกสภา” (ลิงก์บันทึก)

ในวันเดียวกัน ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายนี้ เผยแพร่ภาพและข้อความที่ทำให้เข้าใจว่าเป็นคำพูดของณัฐพงษ์อีกโพสต์หนึ่งว่า “เราจะไม่มีคำว่าแพ้ พร้อมสู้ ถ้าชนะเลือกตั้งแล้วถูกขวาง จูงมือประชาชนบุกสภา ใครจะไปด้วยเตรียมตัว” (ลิงก์บันทึก)

ทั้งนี้ โพสต์ที่อ้างว่าณัฐพงษ์เตรียมบุกสภาหากชนะการเลือกตั้งแล้วไม่ได้เป็นรัฐบาลใช้ภาพประกอบจากกิจกรรม “พรรคประชาชนพบประชาชน ขอโทษจากใจ ขอไปต่อด้วยกัน” ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (ประสานมิตร) เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. ซึ่งมีการถ่ายทอดสดทางเฟซบุ๊กทางการของ ปชน. 

โคแฟคตรวจสอบคำพูดของณัฐพงษ์ในกิจกรรมนี้พบว่า ช่วงหนึ่งณัฐพงษ์ได้ตอบคำถามผู้ร่วมงานที่ว่า หาก ปชน. ชนะการเลือกตั้งปี 2569 และได้ สส. เกินครึ่งหนึ่งของที่นั่งในสภาแล้วยังไม่ได้เป็นรัฐบาลจะทำอย่างไร

หัวหน้า ปชน. กล่าวว่า “ถ้าการเลือกตั้งครั้งหน้าเราสามารถได้เสียงคนส่วนใหญ่ เราสามารถได้จำนวน สส. เกินครึ่งหนึ่งในสภา ผมก็ยังมองไม่เห็นว่าด้วยสถานการณ์ในปัจจุบัน จะมีอะไรที่จะมาฉุดรั้งไม่ให้พรรคประชาชนเข้าไปสร้างความเปลี่ยนแปลงได้จริง ๆ มีคำถามจากเพื่อนบางคนว่าถ้าสมมติได้ [สส.] เกินครึ่งจริง ๆ แล้ว เรายังไม่ได้เป็นรัฐบาล มีอุปสรรคอะไรมาเตะพวกเราให้หกล้มอีก พวกผมเคยพูดกันและเอาจริงกันภายในพรรค ถึงสถานการณ์นั้นจริง ๆ เกี่ยวแขนกันแล้วไปอยู่หน้าสภา…ถ้าจะไปถึงขนาดนั้น มันไม่มีทางอื่น ถึงจุดนั้นจริง ๆ เราก็ต้องสู้”

เมื่อนำคำพูดของณัฐพงษ์มาเทียบกับข้อความทั้งสองโพสต์จากเพจเฟซบุ๊ก “พ่อจัสมิน หากินทั่วไป” พบว่าณัฐพงษ์พูดถึงฉากทัศน์ที่ ปชน. ไม่ได้เป็นรัฐบาลแม้จะได้เสียงส่วนใหญ่ในสภาจากการเลือกตั้ง 2569 จริง ซึ่งหากสถานการณ์ไปถึงจุดนั้น หัวหน้า ปชน. ระบุว่าเขามีความคิดที่จะเคลื่อนไหวหน้ารัฐสภา

อย่างไรก็ตาม ข้อความที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายนี้นำมาเผยแพร่ไม่ตรงกับคำพูดของณัฐพงษ์ กล่าวคือมีการเปลี่ยนถ้อยคำให้ดูรุนแรงขึ้น เช่น “บุกสภา” และมีการเติมข้อความ เช่น “เราจะไม่มีคำว่าแพ้” “จูงมือประชาชนบุกสภา” “ใครจะไปด้วยเตรียมตัว”   

นอกจากนี้ โคแฟคยังพบว่าระหว่างวันที่ 11-15 ธ.ค. บัญชีเฟซบุ๊กนี้ยังนำภาพของณัฐพงษ์มาประกอบข้อความในลักษณะที่ทำให้เข้าใจว่าเป็นคำพูดของหัวหน้า ปชน. อีกหลายโพสต์ เช่น

“มัวแต่สู้กันอยู่อย่างนี้ มีแต่ทำให้ประเทศเสียหาย สมัยหน้าผมได้เป็นรัฐบาลแล้วผมจะหาเงินจากที่ไหน” (ลิงก์บันทึก)

“ผมได้เป็นนายก สิ่งแรกที่จะทำจำคำผมไว้ให้ดี พร้อมพาประเทศไทยเข้าสู่โต๊ะสันติภาพ ไทย-กัมพูชาคือพี่น้องกัน เร่งแก้ค้าขายกับกัมพูชาให้เร็วที่สุด หากทำไมไ่ด้ ผมลงทันที” (ลิงก์บันทึก)

“ไม่ได้ดั่งใจ ผมจะไม่ให้ใครมีอำนาจ” (ลิงก์บันทึก)

จากการตรวจสอบรายงานข่าวจากสำนักข่าวที่เชื่อถือได้ คลิปการอภิปรายในสภาและคำพูดที่เผยแพร่ทางออนไลน์ในช่วงเวลาดังกล่าว โคแฟคไม่พบหลักฐานว่าเป็นคำพูดของณัฐพงษ์ และได้ส่งเนื้อหาเหล่านี้ให้ ปชน. ตรวจสอบซึ่งได้รับคำยืนยันจากณัฐพงษ์ว่า “ผมไม่เคยพูดหรือสื่อสารในลักษณะดังกล่าวแต่อย่างใด” พร้อมกับตั้งคำถามถึงเจตนาของผู้ที่เผยแพร่เนื้อหาเท็จเหล่านี้

ข้อสังเกตโคแฟค

การบิดเบือนคำพูดหรือการสร้างข้อความขึ้นใหม่ทั้งหมดแล้วอ้างว่าเป็นคำพูดของนักการเมืองหรือบุคคลสาธารณะ เป็นหนึ่งในรูปแบบการสร้างเนื้อหาเท็จที่พบบ่อย เพื่อโจมตีฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองหรือดึงดูดความสนใจของผู้ใช้โซเชียลมีเดียเพื่อเพิ่มยอดชม/เอ็นเกจเมนต์ 

โควทคำพูดปลอมมักใช้ถ้อยคำรุนแรง ปลุกเร้าอารมณ์โกรธเกลียดชัง เสนอแนวคิดสุดโต่ง และหากสังเกตให้ดีก็จะเห็นว่าข้อความนั้น “แปลก” เกินกว่าที่จะเป็นคำพูดของบุคคลสาธารณะ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือนักการเมือง 

คำพูดที่แต่งขึ้นหรือถูกปลอมแปลงมักเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์หรือข่าวสารที่คนในสังคมกำลังให้ความสนใจ และมักใช้ภาพจากเหตุการณ์จริงมาประกอบ นอกจากนี้ยังมักนำภาพประกอบและโลโก้ของสำนักข่าวที่น่าเชื่อถือมาใช้เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ เพราะเนื้อหาเท็จที่สร้างจากบริบทจริงหรือภาพจริงมักทำให้คนหลงเชื่อได้ง่ายมากกว่าเนื้อหาเท็จที่มีแต่ความเท็จล้วน ๆ

ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา การใช้ AI สร้างเนื้อหาเป็นไปอย่างแพร่หลายมาก โคแฟคพบว่าเริ่มมีการใช้ AI สร้างภาพและเสียงของบุคคล ซึ่งอาจทำให้การแยกแยะข้อเท็จจริงเป็นไปได้ยากขึ้น

แนวทางการตรวจสอบ “โควทปลอม”

วิธีการตรวจสอบว่าข้อความนั้นเป็นคำพูดของบุคคลดังกล่าวจริงหรือไม่ อาจเริ่มจากการนำข้อความบางส่วนหรือทั้งหมดไปค้นในกูเกิล เพื่อดูว่าข้อความเดียวกันนี้ปรากฏที่ไหนบ้าง หากมีสำนักข่าวที่เชื่อถือได้อย่างน้อย 2 แหล่งรายงานตรงกัน ก็มีความเป็นไปได้ว่าข้อความนั้นเป็นจริง  

หากเนื้อหาต้องสงสัยนั้นระบุวันที่-สถานที่ที่บุคคลนั้นพูด อาจตามไปฟังคลิปบันทึกภาพและเสียงเพื่อตรวจสอบว่าบุคคลนั้นพูดเช่นนั้นจริงหรือไม่

หากบุคคลที่ถูกอ้างเป็นบุคคลสาธารณะที่มีช่องทางสื่อสารโดยตรง เช่น บัญชีโซเชียลมีเดีย ก็สามารถส่งข้อความสอบถามไปโดยตรงได้

อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่มีเวลาตรวจสอบว่าเป็นคำพูดของบุคคลนั้นจริงหรือไม่ ควรงดแชร์เนื้อหาต้องสงสัยนั้นก่อนเพื่อป้องกันการเผยแพร่เนื้อหาเท็จโดยไม่ตั้งใจ

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ