สำรวจ 5 ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “ต่างด้าว” ในรอบปี 2568

ประเทศไทยมีคนต่างด้าวหลากหน้าหลายตา หลายคนมาจากประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งลาว เขมร เวียดนาม และมากที่สุดคือคนจากประเทศเพื่อนบ้าน “เมียนมา” 

ปัญหาสงครามและความขัดแย้งยืดเยื้อ ทำให้คนเมียนมาจำนวนมากโยกย้ายมาอยู่ไทยช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ทั้งคนที่ข้ามฝั่งแม่น้ำ อพยพหนีการทิ้งระเบิดบริเวณชายแดนเป็นเวลาสั้น ๆ ก่อนกลับบ้านไป คนที่ย้ายมาอยู่ยาวเพื่อหางานทำหรือเรียนต่อ ทำให้สังคมไทยเริ่มมองเห็นคนกลุ่มนี้ชัดเจนยิ่งขึ้น หลายคนกังวลว่าพวกเขาอาจจะมาแย่งงานและบริการพื้นฐานของคนไทย 

จริงอยู่ว่า ระบบกฎหมายของไทยนั้นซับซ้อน ไม่สมบูรณ์และเปิดช่องให้เกิดการทุจริตในขั้นตอนต่าง ๆ แต่ในเวลาเดียวกัน การคุยกันเรื่องสิทธิของคนต่างด้าวก็อาจเต็มไปด้วยอคติหรือความเข้าใจผิด ทำให้เกิดภาพจำเหมารวมว่า พวกเขาเรียกร้องเกินกว่าเหตุไปเสียหมด หรือเกิดการโจมตีพรรคการเมืองบางพรรคว่าปกป้องแรงงานต่างด้าวมากกว่าผลประโยชน์ของคนไทย ทั้งที่จริงแล้วหลายอย่างเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่พวกเขาพึงได้รับ

ในโอกาสวันโยกย้ายถิ่นสากล (International Migrants Day) ซึ่งตรงกับวันที่ 18 ธ.ค. ของทุกปี ผู้เขียนชวนสำรวจและแก้ไขความเข้าใจผิดเกี่ยวกับผู้อพยพที่เกิดขึ้นปี 2568 ซึ่งอาจทำให้คนไทยมีความรับรู้แบบผิด ๆ กับคนต่างด้าวในระยะยาว

วันผู้อพยพย้ายถิ่นฐานสากล (International Migrants Day)

องค์การสหประชาชาติได้จัดทำอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติและครอบครัว ค.ศ. 1990 และประกาศให้ทุกวันที่ 18 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันผู้อพยพย้ายถิ่นฐานสากล (International Migrants Day) เพื่อให้ประชาคมโลกตระหนักถึงสถานการณ์และปัญหาเกี่ยวกับผู้อพยพที่เพิ่มขึ้นทุกปี และรณรงค์ให้ แรงงานข้ามชาติในประเทศต่าง ๆ ได้รับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและสิทธิแรงงาน

องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (International Organization for Migration: IOM) ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งภายใต้องค์การสหประชาชาติ ให้คำจำกัดความว่า ผู้ย้ายถิ่นฐานหมายถึงบุคคลที่ย้ายออกจากสถานที่ที่ตัวเองใช้ชีวิตอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นการย้ายในประเทศหรือออกนอกประเทศ การย้ายชั่วคราวหรือถาวรก็ตาม ซึ่งผู้ย้ายถิ่นฐานนับรวมทั้งกลุ่มที่ย้ายแบบถูกกฎหมาย กลุ่มที่ลักลอบเข้าประเทศแบบผิดกฎหมาย และกลุ่มที่กฎหมายไม่ระบุสถานะของการย้ายไว้ว่าถูกหรือผิด เช่น นักศึกษาที่กำลังเรียนอยู่ที่ต่างประเทศ

ที่มา: สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

1. แรงงานพม่าเรียกร้องค่าแรง 700 บาท/วัน?

ช่วงต้นปี หลังจากไทยประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาท/วัน ได้ไม่นาน มีการเผยแพร่ข้อมูลว่าแรงงานพม่าเรียกร้องค่าแรง 700 บาท/วัน ซึ่งสร้างความโมโหเดือดดาลในชาวโซเชียลที่พากันด่าทอแรงงานพม่าว่าได้คืบเอาศอก 

นี่เป็นเรื่องบิดเบือน องค์กรที่ทำงานด้านการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่าง Cofact และ AFP Fact Check พบว่าเป็นการนำคลิปเก่าของผู้นำแรงงานพม่าในไทยที่ให้สัมภาษณ์สื่อเมื่อ 4 ปีก่อนตอนที่ไทยยังไม่ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมาเผยแพร่ซ้ำทั้งในเฟซบุ๊กและติ๊กตอกโดยขาดบริบท แถมยังนำไปโยงกับภาพการรวมตัวของชาวพม่าในไทยครั้งอื่น ๆ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องค่าแรง ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและปลุกปั่นความเกลียดชังว่าแรงงานพม่าเรียกร้องมาก

นอกจากจะนำคลิปเก่ามาเผยแพร่ผิดบริบทเพื่อสร้างความรู้สึกไม่ดีต่อแรงงานพม่าแล้ว ยังมีการตัดต่อโลโกของพรรคประชาชนฝังลงไปในคลิปเพื่อสร้างความเข้าใจผิดว่าพรรคประชาชนหนุนหลังข้อเรียกร้องนี้ 

วันนี้ แรงงานไทยและต่างชาติได้รับค่าแรงขั้นต่ำเท่ากันตามหลักกฎหมายไทย ข้อมูลที่ระบุว่าแรงงานพม่ารวมตัวประท้วงในไทยเพื่อเรียกร้องให้ขึ้นค่าแรงเป็น 700 บาท/วัน จึงเป็นความเข้าใจผิด

2. ‘พ.ร.บ.ชาติพันธุ์’ เปิดช่องแจกที่ดินให้คนต่างด้าว 20 ไร่?

เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตชาติพันธุ์ พ.ศ.2568 หรือ “พ.ร.บ.ชาติพันธุ์” ได้ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา นับเป็นกฎหมายฉบับแรกที่ส่งเสริมสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ในไทยซึ่งมีอยู่มากกว่า 80 กลุ่ม เช่น ชาวกะเหรี่ยง ชาวเลทางใต้ ชาวกูยในอีสาน แต่กลับมีการเผยแพร่เนื้อหาบิดเบือนว่ากฎหมายฉบับนี้เปิดทางให้มีการ “แจกที่ดินให้แรงงานต่างด้าว” 

พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ไม่มีข้อความใดเลยที่ระบุเรื่องการมอบที่ดิน 20 ไร่ แต่มีความเป็นไปได้ว่าเป็นการเชื่อมโยงแบบผิด ๆ–ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม–กับพระราชกฤษฎีกาโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ ตามมาตรา 64 แห่ง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “พ.ร.ฎ. อนุรักษ์ฯ” ที่ระบุถึงการจัดสรรที่ดินให้ “ผู้มีสัญชาติไทย” ที่พิสูจน์ได้ว่าทำกินอยู่บนที่ดินนี้มาอย่างต่อเนื่องครอบครัวละไม่เกิน 20 ไร่ 

พ.ร.ฎ. อนุรักษ์ฯ ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2567 มีจุดมุ่งหมายเพื่อแก้ปัญหาที่ดินทำกินของชาวบ้านที่ซ้อนทับกับพื้นที่อุทยานและป่าอนุรักษ์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นที่ดินทำกินของกลุ่มชาติพันธุ์ โดยกฎหมายกำหนดให้กระบวนการจัดสรรที่ดินเป็นไปอย่างรัดกุม ไม่เปิดช่องว่างให้สวมสิทธิได้ง่ายๆ 

ประเทศไทยมีคนเชื้อชาติหลากหลาย โดยกลุ่มชาติพันธุ์หลายคนเกิดในไทยและมีสิทธิในสัญชาติไทย บางคนมีบัตรประชาชนแล้ว บางคนยังไม่มี เนื่องจากอาศัยอยู่พื้นที่ห่างไกลบนดอย ทำให้ตกหล่นจากการสำรวจและกำลังรอกระบวนการราชการเพื่อทำทะเบียน คนกลุ่มนี้ ไม่เหมือนกับแรงงานต่างด้าวจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นคนโยกย้ายมาไทยเพื่อทำงานในยุคสมัยใหม่ และกฎหมายไทยมอบสิทธิคนละชุด จึงต้องระวังการเหมารวมว่าเป็นคนกลุ่มเดียวกัน

3. แรงงานต่างด้าวไม่มีสิทธิชุมนุม?

ข่าวการชุมนุมของพนักงานบริษัทไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) ที่ จ.ชลบุรี ช่วงต้นเดือน ธ.ค. ทำให้เห็นว่าสิทธิในการรวมตัวของแรงงานมีความสำคัญในการต่อรองกับนายจ้าง ซึ่งท้ายที่สุด สหภาพแรงงานกับโรงงานก็บรรลุข้อตกลงตามข้อเรียกร้องของพนักงาน  

ประชาชนไทยมี “สิทธิในการชุมนุมโดยสงบ” ตามหลักสิทธิมนุษยชนสากลและกฎหมายไทย โดยไม่มีกฎหมายใดที่สั่งห้ามโดยตรง แต่เมื่อแรงงานข้ามชาติชุมนุมในไทยมักจะถูกมองว่าเหิมเกริม เรียกร้องมากไป หรือหากเป็นการชุมนุมทางการเมือ เช่น การชุมนุมต่อต้านรัฐบาลเผด็จการของชาวพม่าในไทยก็มักถูกมองว่าจะเป็นชนวนเหตุที่ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน คนไทยบางกลุ่มถึงกับเผยแพร่ข้อความที่สร้างความเข้าใจผิดว่า “ต่างด้าวไม่มีสิทธิชุมนุม” 

ตัวอย่างเช่นเมื่อวันที่ 6 พ.ย. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “ต่างด้าวทำอะไร” ได้โพสต์ข้อความกล่าวหาผู้นำแรงงานพม่าในไทยว่า “โกหกแรงงานพม่าว่ามีสิทธิ์ที่จะชุมนุมทางการเมืองได้ ทั้งที่กระทรวงแรงงานยังไม่ได้เซ็นอนุสัญญาอนุญาตในเรื่องนี้”

เมื่อสำรวจกฎหมายเกี่ยวข้องกับการชุมนุม พบว่ากฎหมาย 3 ฉบับ ได้แก่ รัฐธรรมนูญ  พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะและ พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ รับรองเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ โดยไม่จำกัดเฉพาะพลเมืองไทย

ขณะที่พระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวก็ไม่มีบทบัญญัติเรื่องห้ามชุมนุมโดยตรง แต่หากการชุมนุมนั้นนำไปสู่การหยุดงาน อาจถูกตีความว่าละเมิดใบอนุญาตทำงานหรือสัญญาจ้าง ซึ่งมีโทษปรับหรือส่งกลับประเทศ

แม้ไทยจะไม่มีกฎหมายห้ามการชุมนุมโดยตรง แต่ก็มีข้อจำกัดเกี่ยวกับการรวมตัวของแรงงานซึ่งอาจถูกมองว่าเป็นการละเมิดเงื่อนไขการทำงานหรือกฎหมายอื่น ดังนั้น การผลักดันของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและนักวิชาการด้านแรงงานในไทยเพื่อให้ไทยรองรับอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการรวมตัว และฉบับที่ 98 ว่าด้วยสิทธิต่อรองร่วมกัน จึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ของแรงงานทุกสัญชาติ รวมถึงแรงงานไทย ไม่ใช่เพียงเพื่อแรงงานต่างด้าวอย่างที่มีผู้พยายามสร้างความเข้าใจผิด

ปัจจุบัน กฎหมายแรงงานกำหนดให้ทั้งแรงงานไทยและต่างด้าวได้รับการปฏิบัติและสวัสดิการเท่าเทียมกันในมิติของแรงงาน เช่น ต้องได้รับค่าจ้างเท่ากันและไม่ถูกเลือกปฏิบัติรังแกในที่ทำงาน แต่ในความเป็นจริง พบว่าแรงงานต่างด้าวจำนวนมากยังคงถูกเลือกปฏิบัติ เช่น ได้ค่าแรงน้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำ ดังนั้นการที่แรงงานต่างด้าวสามารถชุมนุมได้จึงเป็นหลักประกันสิทธิพื้นฐานว่าเมื่อถูกละเมิด แรงงานสามารถรวมตัวกันเพื่อปกป้องสิทธิของตัวเองได้

4. คนไทยแบกค่ารักษาพยาบาลของประชากรข้ามชาติ?

รัฐไทยใช้ภาษีคนไทยรักษาพยาบาลแรงงานต่างด้าวในไทย เป็นอีกหนึ่งความเข้าใจผิดที่ถูกเผยแพร่เป็นวงกว้างในปี 2568 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเหตุการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา  

สำนักข่าว Today สัมภาษณ์สุรสักย์ ธไนศวรรยางกูร ที่ปรึกษาแผนงานสุขภาพประชากรข้ามชาติ ภายใต้ยุทธศาสตร์ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับองค์การอนามัยโลก พบว่าในปี 2567 แรงงานต่างด้าวเข้ารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลรัฐไทยและชำระเงินเอง 70% ส่วนที่เหลือเป็นการใช้สิทธิอื่น ๆ เช่น ประกันสังคมและประกันสุขภาพเอกชน​

ข้อมูลจากแผนงานสุขภาพประชากรข้ามชาติพบว่ามีแรงงานต่างด้าวที่ชำระเงินได้เพียงบางส่วน 1,111 ครั้ง (0.09%) และไม่สามารถชำระเงินได้ 4,351 ครั้ง (0.38%) ตัวเลขนี้อาจสอดคล้องกับข้อมูลจากบุคลากรสาธารณสุขที่แบ่งปันประสบการณ์ในโซเชียลมีเดียว่าเจอกรณีที่แรงงานต่างด้าวไม่สบายมาหาหมอแต่ไม่สามารถจ่ายเงินได้ ซึ่งแพทย์ก็ได้ให้การรักษาตามจรรยาบรรณแพทย์

จริงอยู่ว่า ในทางปฏิบัติหน้างานอาจมีช่องว่างและมีประชากรข้ามชาติที่ไม่สามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้ แต่อาจเป็นส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนแรงงานต่างด้าวทั้งหมด สอดคล้องกับที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ออกมาแก้ไขตัวเลขในรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสี่และภาพรวมปี 2567 ของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติว่า ค่าใช้จ่ายที่ สธ. เรียกเก็บจากประชากรต่างด้าวไม่ได้นั้นเฉลี่ยอยู่ที่ 2,500 ล้านบาทต่อปีใน 31 จังหวัด ไม่ใช่ 9.2 หมื่นล้านบาทตามที่ปรากฏในรายงานของสภาพัฒน์

ทางการไทยมีระบบประกันสุขภาพของประชากรต่างด้าว พวกเขาจึงมีสิทธิรักษาพยาบาลตามประกันสุขภาพที่มีอยู่หรือเลือกจ่ายค่ารักษาพยาบาลเอง การหยิบปัญหาของแรงงานต่างด้าวกลุ่มหนึ่งที่ไม่สามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองได้มาบิดเบือนหรือเหมารวม ทำให้เกิดความเข้าใจผิดทั้งต่อแรงงานต่างด้าวและการบริหารจัดการของหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง 

5. รัฐบาลไทยกำลังเปิดช่องให้ต่างด้าวได้สัญชาติไทย?

ช่วงที่ผ่านมา นโยบายของรัฐที่ส่งเสริมสิทธิคนไม่มีสัญชาติไทยและเด็กผู้ลี้ภัยถูกคนบางกลุ่มวิจารณ์ว่าเป็นนโยบายสอดไส้ของนักการเมืองเพื่อเอื้อกลุ่มต่างด้าวสีเทา และสร้างความเข้าใจผิดเกี่ยวกับมาตรการหรือนโยบายของรัฐ เช่น มาตรการเหล่านี้จะนำไปสู่การมอบสัญชาติไทยให้คนต่างประเทศที่เข้ามาใหม่

นโยบายที่มักถูกนำมาบิดเบือนและสร้างสับสน คือ

1) มติคณะรัฐมนตรีเร่งรัดการแก้ไขปัญหาสัญชาติ (มติ ครม. 29 ต.ค. 2567)

มติ ครม.ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาคนไร้สัญชาติที่รัฐบาลไทยทำมาต่อเนื่องหลายสิบปี มติ ครม.นี้ให้ผู้ที่อพยพเข้ามาในประเทศไทยในช่วงสงครามเย็น สงครามอินโดจีนและความขัดแย้งในพม่าซึ่งมีทั้งหมดราว 340,000 คน ซึ่งมีสิทธิขอถิ่นที่อยู่ถาวรในไทยและหลังจากอยู่ในไทยครบ 5 ปีจะแปลงสัญชาติเป็นไทยได้ และลูกของคนกลุ่มนี้ที่เกิดในไทยซึ่งมีอยู่ราว 140,000 คน ก็มีสิทธิได้สัญชาติไทยตามหลักดินแดนตามกฎหมาย คนกลุ่มนี้ได้กลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งกับสังคมและมีส่วนส่งเสริมเศรษฐกิจในไทยแล้ว 

ที่ผ่านมา มีมติ ครม.รับรองสิทธิในสัญชาติไทยหลายครั้ง แต่ด้วยกระบวนการที่ต้องใช้เวลา ประกอบกับพยานหลักฐานของบุคคลที่เลือนหายไปตามกาลเวลา รัฐบาลจึงได้ออกมติ ครม. นี้ขึ้นมาเพื่อลดเวลาในการดำเนินการ 

ประเด็นสำคัญคือ มติ ครม.นี้ไม่ได้เป็นการให้สัญชาติแก่แรงงานต่างด้าวหรือผู้ลี้ภัยที่เข้ามาอยู่ใหม่  

 2) การถอนข้อสงวนของไทยต่อข้อ 22 ของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก 

วันที่ 30 ส.ค. 2567 นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ยื่นตราสารถอนข้อสงวนของไทยต่อข้อ 22 ของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ต่อหัวหน้าฝ่ายสนธิสัญญา สำนักงานกฎหมายของสหประชาชาติ ซึ่งมีผลทันที

กระทรวงการต่างประเทศอธิบายว่า ไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก เมื่อปี 2535 โดยขณะนั้นได้ตั้งข้อสงวนบางประการ และต่อมาได้ทยอยถอนข้อสงวนเหล่านั้น สำหรับการถอนข้อสงวนข้อ 22 ซึ่งว่าด้วยการคุ้มครองเด็กที่ร้องขอสถานะเป็นผู้ลี้ภัยหรือที่ได้รับการพิจารณาเป็นผู้ลี้ภัยตามกฎหมายหรือกระบวนการภายในหรือระหว่างประเทศที่ใช้บังคับ เป็นการถอนข้อสงวนข้อสุดท้ายของไทยต่ออนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก และเป็นการปฏิบัติตามคำมั่นที่ไทยประกาศไว้ในการประชุมผู้ลี้ภัยโลก ครั้งที่ 2 เมื่อเดือน ธ.ค. 2566 ณ นครเจนีวา

ขณะที่กรมกิจการเด็กและเยาวชนชี้แจงว่า การยื่นถอนข้อสงวนของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กข้อ 22 จะทำให้เด็ก 2 กลุ่ม คือ เด็กผู้หนีภัยจากการสู้รบจากประเทศเมียนมากว่า 30,000 คน และเด็กที่ได้รับการคัดกรองตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการคัดกรองคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรและไม่สามารถเดินทางกลับประเทศภูมิลำเนาได้จำนวน 1,800 คน ได้รับการคุ้มครองจากการถูกละเมิด การแสวงหาประโยชน์รูปแบบต่าง ๆ และอำนวยความสะดวกให้เด็กได้รับการจดทะเบียนเกิด เพื่อให้มีเอกสารรองรับตัวตนและเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน ซึ่งไม่ได้เป็นการให้สัญชาติไทย  

หลายคนอาจกังวลว่า ระบบราชการไทยนั้นมีช่องว่างคอร์รัปชัน เอื้อให้คนต่างประเทศเข้ามาใช้นโยบายเหล่านี้ยื่นขอสัญชาติไทย ในจุดนี้ กระทรวงมหาดไทยยืนยันว่ามีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาที่รัดกุมรอบคอบ การอาศัยช่องว่างจึงทำได้ยาก นอกจากนี้ การป้องกันไม่ให้เกิดทุจริตนั้นเป็นสิ่งที่ไทยต้องทำเพิ่มผ่านการตรวจสอบและออกมาตราการป้องกัน เพื่อไม่ให้ความกังวลเรื่องการคอร์รัปชันปิดกั้นการมีนโยบายที่ดีขึ้น

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ