จาก‘14ตุลา16’ถึง‘พิพาทไทย-กัมพูชา68’สังคมไทยยังติดหล่มความคิด‘เห็นต่างคือศัตรู’

14 ต.ค. 2568 รายการ “โคแฟคสนทนา : รวมพลคนเช็กข่าว” ร่วมจัดโดยภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) และ Ubon Connect  EP21 ชวนพูดคุยในหัวข้อ “บทเรียนการตรวจสอบข้อมูล 14 ตุลา 16 ถึง 68 จุดเหมือน : จุดต่าง” โดย นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และอดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) กล่าวว่า ปัจจุบันตนอายุ 74 ย่าง 75 ปีแล้ว ได้รับรู้ความจริงบางอย่าง ตนยังรู้สึกสนุกกับสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ที่มีความเปลี่ยนแปลง เพียงแต่เลือกตามในสิ่งที่ตามได้ อะไรที่ตามไม่ได้ก็อาศัยลูกช่วย ซึ่งสรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้ 

1.กระแสของสื่อสังคมออนไลน์ขณะนี้การรับรู้ความจริงคงไม่พอ เพราะในความจริงบางครั้งก็มีปัญหาความเกลียดชัง (Hate Speech) ปัญหาของสื่อที่ไม่ตรงกับความจริง (Fake News) อิทธิพลของคนดังบนโลกออนไลน์ (Influencer) ดังนั้นแล้ว นอกจากรับรู้ความจริงยังต้องรู้เท่าทันด้วย รับรู้สื่อในกระแสต่างๆ ที่มีความหลากหลาย นักวิชาการบุคคลมีชื่อเสียงที่ออกมาพูดมีหลากหลาย แม้กระทั่งข่าวที่เจาะสภาพความเป็นจริงในพื้นที่ ก็ต้องใช้กระบวนการคิดว่าอะไรจริง – ไม่จริง ถูก – ไม่ถูก เป็นเรื่องท้าทายกระบวนการคิดและจิตสำนึกของเราพอสมควร การเสพสื่อในปัจจุบัน ประการแรกจึงต้องรู้เท่าทัน มีข้อมูลองค์ความรู้ที่ชัดเจน 

2.สังคมไทยติดกับดักหรือหลุมพราง โดยเฉพาะในช่วง 20 ปีล่าสุด อย่างช่วงที่ทำงานเรื่องปฏิรูปสื่อ มีการตั้งความหวังไว้มากเรื่องวิทยุชุมชน นำไปสู่กระแสของการเกิดสื่อชุมชนขึ้นจำนวนมากและปัจจุบันก็ยังมีอยู่ แต่องค์กรที่เข้ามาจัดการ เช่น กสทช. หรือ ThaiPBS ก็ยังไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องการ เพราะปัญหาในสังคมไทย อย่างตนเคยเป็น สว. ช่วงปี 2543 – 2549 ในช่วงที่เกิดรัฐประหาร (ปี 2549) เป็นช่วงที่สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลง คืออยู่ในวังวนของสังคมที่เกิดความคิดเห็นแตกต่างและมีความขัดแย้งกันมาก 

ทั้งนี้ ความแตกต่างหรือความขัดแย้งมิได้เป็นปัญหาในตัวของมันเอง เพราะเราอยู่ในยุคแห่งความหลากหลาย แต่วิธีการเข้าถึงความคิดเห็นที่แตกต่าง สังคมไทยติดกับดักของคู่ตรงข้าม..คือมองคนเห็นางเป็นศัตรู ต้องกำจัดหรือขับไล่ออกไป เกิดลัทธิคลั่งชาติและชังชาติ หรือแม้แต่นำไปสู่การทารุณกรรม อย่างที่เคยเกิดขึ้นในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ตนจึงเห็นว่าสังคมไทยยังไม่เปลี่ยนผ่านและเป็นจุดที่อันตรายมาก ยิ่งในปัจจุบันที่มีความขัดแย้งหลากหลายเกิดขึ้น 

โดยสรุปแล้วประการที่ 2 คือไทยหนีไม่พ้นกระแสชาตินิยม ซึ่งก็ไม่ต่างจากในกัมพูชา หรือในประเทศในกลุ่มประชาคมภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ทั้งที่ไทยไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตกแต่รับลัทธิอาณานิคมเข้ามาโดยไม่รู้ตัว คือความเป็นชาตินิยมที่ไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เป็นเรื่องของรัฐประชาชาติ การเอาประชาชนเป็นตัวตั้ง ในขณะที่เรายึดถือชาตินิยมแบบยึดวัตถุที่เราเห็นว่าถูกต้อง เช่น ประวัติศาสตร์ที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง มองเป็นสรณะในการต่อสู้ช่วงชิง ซึ่งไม่เชิงเป็นความผิดของเรา แต่สังคมไทยยังก้าวไม่พ้น

และ 3.รูปแบบความรุนแรงที่เปลี่ยนไปในทางแย่ลง อย่างสิ่งที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เป็นความรุนแรงแบบดิบเถื่อน เป็นการฆ่าและทำร้ายร่างกายกัน ขณะที่ปัจจุบันเป็นความรุนแรงเชิงโครงสร้าง มีระบบโครงสร้างหลายอย่างที่ทำให้เกิดความรุนแรง เช่น รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 อำนาจตุลาการที่ทำให้เกิดตุลาการภิวัฒน์ หรือแม้แต่สิ่งที่เป็นความรุนแรงเชิงวัฒนธรรม ที่ซุกซ่อนอยู่ในกระแสของสังคมไทย เช่น ความเป็นคนดีมีศีลธรรม แล้วมองคนอื่นว่าเป็นคนเลวที่ต้องจัดการให้หมดไป 

ดังที่ เจมส์ ไวส์ (James Wise) อดีตอดีตเอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทยเขียนเล่าไว้ในหนังสือ Thailand : History, Politics and the Rule of Law (ประวัติศาสตร์ การเมือง และหลักนิติธรรมแบบไทยๆ) ว่า สังคมไทยยังยึดติดกับเรื่องของตัวบุคคล..ทั้งที่โลกเปลี่ยนแปลงไปเป็นเรื่องปัญหาเชิงระบบโครงสร้าง มุมนี้น่าสนใจ ซึ่งจากทั้ง 3 ประเด็นดังกล่าว เป็นการสรุปของทั้ง 49 ปี 6 ตุลา 2519 หรือ 52 ปี 14 ตุลา 2516 หรือแม้กระทั่ง 93 ปี หากนับจากปี 2475 ที่ประเทศไทยเปลี่ยนการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตย 

ทางออกจึงต้องเข้าใจว่าคนหนุ่ม – สาวยุคปัจจุบันคิดไม่เหมือนคนรุ่นก่อนหน้า และทำความเข้าใจว่าสังคมที่มีความหลากหลายไม่ใช่สังคมที่ผิดปกติ แต่ความหลากหลายคือการยอมรับฟังความคิดเห็น ต้องทำให้คนหนุ่ม – สาวได้ยอมรับว่าในความเห็นต่างจะอยู่ที่วิธีการมาพูดคุยถกเถียงกันแล้วพยายามหาข้อสรุป ในทางกลับกันก็ต้องทำให้คนที่อายุมากแล้วยอมรับว่าสังคมไทยและสังคมโลกได้เปลี่ยนไปแล้ว การทำให้เกิดการรักชาติหรือคลั่งชาติจนเกินเลยเป็นสิ่งที่ทำร้ายสังคม เป็นการตัดตอนการพัฒนาของประเทศที่ต้องการความหลากหลาย

หรืออย่างกรณีล่าสุดที่เกิดขึ้นกับคนที่ออกมาเตือนเรื่องการเปิดเครื่องเสียง ส่งเสียงผีหลอกในบริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา สะท้อนว่าสังคมไทยยังหมกมุ่นอยู่กับการสร้างความเกลียดชัง แต่การหลงเชื่อไปใช้วิธีการที่ไม่สอดคล้องกับหลักมนุษยธรรม ไม่ว่าการใช้เสียงหรือใช้ความรุนแรงนั้นไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง แต่ต้องจัดการบนพื้นฐานของหลักกฎหมายทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ จะทำให้การเจรจาดำเนินการต่อไปได้

การจะจัดการตรงนี้ได้ในทางการเมืองก็ต้องเข้ามามีส่วนช่วยในการค้ำยัน แต่การเมืองไม่ควรจะเป็นเรื่องของการที่มาทำตามกระแส ไม่ว่าจะเป็นการปลุกกระแสในเรื่องของการต้องทำให้เกิดการรับฟังความเห็นประชามติเรื่องของ MOU ซึ่งเป็นการมาโยนความรับผิดชอบให้ประชาชน หรือกระแสในการที่ต้องมีจุดยืนในการเมืองที่ชัดเจนว่าเราต้องการสันติสุข การเจรจา การพูดคุยที่เป็นทวิภาคี แล้วตรงนี้จะเป็นจุดที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราเป็นลูกพี่ที่โตกว่าัมพูชา ที่เราก็รู้ว่าเขาพยายามใช้ทุกวิถีทางจัดการ นพ.นิรันดร์ กล่าว

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า หากนับจนถึงปัจจุบัน ณ ปี 2568 เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ก็ผ่านมาแล้ว 52 ปี เทียบกับอายุขัยของมนุษย์ถือว่ากำลังเข้าสู่การเป็นผู้สูงวัย เป็นบุคคลที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ขณะที่สังคมไทยของเราที่มีทั้งความเห็นว่าวนอยู่ที่เดิม ดีกว่าเดิม หรือแม้แต่หนักกว่าเดิม ซึ่งการพูดคุยในครั้งนี้เป็นการย้อนดูว่าในช่วง 50 ปีผ่านมาเได้เห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างมากทั้งในเรื่องเทคโนโลยี การเมืองการปกครองและอื่นๆ แต่ในภาพรวมปัญหาบางอย่างก็ยังคงดำรงอยู่ 

ทั้งนี้ หากมองไปที่เรื่องข้อมูลข่าวสาร เมื่อ 50 ปีก่อนโจทย์คือการต่อสู้กับอำนาจเผด็จการ การถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพ สื่อโทรทัศน์ถูกเซ็นซอร์ สื่อหนังสือพิมพ์ถูกล่ามโซ่ คำถามคือผ่านมา 50 ปี มีความเปลี่ยนแปลงเพียงใด จึงอยากทบทวนความหลังเพื่อหันมามองปัจจุบัน ที่นอกจากจะขัดแย้งกันเองแล้วยังมีความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเด็นไทย- กัมพูชา หรือแม้แต่มองไปในระดับโลก สงครามข่าวสารเกิดขึ้นร้อนแรงไม่แพ้สงครามที่สู้รบกันจริงๆ จนหลายคนเบื่อหน่ายไม่อยากรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ถึงขนาดที่ซึมเศร้าไปก็มี 

อินเตอร์เน็ตที่หลายคนเคยคิดว่าเป็นพื้นที่แห่งอิสรเสรีภาพ กลับกลายเป็นพื้นที่ของด้านมืดมากขึ้นเรื่อยๆ หัวข้อการพุดคุยในครั้งนี้จึงเป็นการมองการตรวจสอบข้อมูลจากยุคอดีตจนถึงปัจจุบัน ตลอดจนการรับมือกับสงครามข้อมูลที่รวมทั้งข้อเท็จจริง ความคิดเห็นและความรู้สึก เรื่องที่พูดกันอาจไม่ใช่ความเท็จ (Fake) ทั้งหมด แต่เป็นเรื่องเล่า (Narrative) หรือวาทกรรม เป็นตำอธิบายที่ผสมเรื่องจริงกับความคิดเห็น กลายเป็นชุดความคิดที่ครอบงำและนำไปสู่การต่อสู้กัน ซึ่งในจุดนี้การนำข้อเท็จจริงบางอย่างไปแย้งก็เป็นเรื่องยาก คือเป็นวิธีคิดเชิงวัฒนธรรม

สำหรับบทเรียนของโคแฟคคือเป็นเรื่องที่แก้ยากมาก แต่ก็ต้องแก้กันต่อไปเพราะรู้ว่าบางทีข้อเท็จจริงอย่างเดียวไม่สามารถเปลี่ยนใจคนได้ แต่ก็กำลังหาอยู่ว่าแล้วอะไรจะเปลี่ยนใจ หมายถึงให้คนกลับมาอยู่กับความเป็นจริง ข้อเท็จจริงไม่ว่าทางไหน ตอนนี้ก็สู้กันอยู่ระหว่างชาตินิยมสุดโต่ง แล้วอีกฝ่ายหากไม่ถูกจัดเป็นกัมพูชาก็ถุกมองเป็นพวกโลกสวย ซึ่งจริงๆ น่าจะมี่จุดร่วมที่จะมาหาทางร่วมกันได้หรือไม่ เช่น ควรพุ่งเป้าไปที่การสืบค้นความเชื่อมโยงของกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอรื ซึ่งประชาชนจะได้ประโยชน์ คือพุ่งเป้าที่ผู้มีอำนาจในกัมพูชา ไม่ใช่ต่อคนเล็กคนน้อย 

ประชาชนก็คือประชาชน ท้ายที่สุดแล้วก็ลำบากทั้งคู่ไม่ว่าประชาชนไทยหรือกัมพูชาที่ได้รับผลกระทบ แต่ถ้าเราพุ่งตรวจสอบไปที่ผู้มีอำนาจอย่างน้อยมันก็สะเทือนเขา แต่ตอนนี้เหมือนกระแสชาตินิยมเหมือนทำให้เราเกลียดคนที่เป็นประชาชนตาดำๆ ชาวกัมพูชา ซึ่งก็ไม่รู้จะเกลียดทำไมเพราะว่าเขาก็ลำบากแลอยู่ในประเทศที่มีลักษณะแบบนี้ เขาก็น่าจะลำบากกว่าเรา สุภิญญา กล่าว