‘สมรภูมิข้อมูลข่าวสาร’เรื่องใหญ่ยุคดิจิทัล ‘เอไอ-โซเชียล’ปั่นกระแส หวั่นรุนแรงออนไลน์ลามสู่โลกจริง
3 ธ.ค. /2568 สถานเอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย ร่วมกับ ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) อีสานโคแฟค สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)Digital4Peace เทศบาลนครยะลา พิพิธภัณฑ์เมืองยะลา และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยตณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน จัดงานเสวนานักคิดดิจิทัล Digital Thinkers Forum #32 “สมรภูมิข้อมูลข่าวสาร สื่อ สันติภาพ และความมั่นคงสมัยใหม่ (THE INFORMATION BATTLEFIELD)”ณ พิพิธภัณฑ์เมืองยะลา อ.เมือง จ.ยะลา

ในช่วงเช้า มะรูฟ เจะบือราเฮง ประธานมูลนิธิดิจิทัลเพื่อสันติภาพ (Digital4Peace) ชวนย้อนคิดถึงภาพน้ำท่วม จ.ปัตตานี ที่เคยเป็นกระแสในพื้นที่สื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) เมื่อหลายปีก่อน โดยเป็นภาพน้ำสีฟ้าสวยงาม ภาพนี้ถูกแชร์เป็นหมื่นครั้งพร้อมกับมีความเห็นจากคนพื้นที่อื่นๆว่าอยากมาเที่ยว จ.ปัตตานี เพราะขนาดน้ำท่วมยังมีสีเหมือนสระน้ำ แต่ท้ายที่สุดเมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นภาพที่ถูกตกแต่งด้วยแอปพลิเคชั่น
มาจนถึงล่าสุดเมื่อเร็วๆ นี้ ที่ภาพสุนัขคาบแมวหนีน้ำท่วมไปส่งเรือกู้ภัยถูกแชร์อย่างกว้างขวาง ถูกจับสังเกตได้ว่าเป็นภาพที่สร้างโดยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ – AI) ขณะที่ในต่างประเทศ พบกรณีการแข่งขันทางการเมืองและมีการใช้ AI สร้างรูปปลอมขึ้นมา หัวข้องานในครั้งนี้จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัว เราอาจรู้สึกรักหรือเกลียดใครบางคนได้เพียงเพราะรับสื่อที่ถูกสร้างโดย AI
“สิ่งที่อยากบอกคือสื่อทุกสื่อที่มาหาเราและเราเจอ บางทีมันถูกตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อให้เรามีความรู้สึกอะไรบางอย่าง แล้วมันมีคำว่า Information Battlefield (สมรภูมิข้อมูลข่าวสาร) บางทีเราอาจไม่รู้ตัวว่า TikTok ที่เราใช้มันไม่ใช่แค่พื้นที่ของความบันเทิง แต่เป็นพื้นที่ของการรบกันของใครบางคน และเราเป็นหนึ่งในคนที่อาจเป็นเหยื่อหรือเป็นคนหนึ่งที่ถูกทำให้เชื่อ ถูกทำให้โกรธ ถูกทำให้หลง” มะรูฟ กล่าว

วิศาล จิรภาพงพันธ์ รองนายกเทศมนตรีนครยะลา กล่าวว่า วันนี้หลายๆ แพลตฟอร์มที่เรารับข้อมูลนั้นแยกไม่ออก หากไม่ใช้วิจารณญาณก็จะทำให้เราตกเป็นเหยื่อของการเสพข้อมูลข่าวสาร ขณะที่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือความต่างระหว่างช่วงวัย (Generation) กล่าวคือ คนยุคเบบี้บูมเมอร์หรือเจนเอ็กซ์จะใช้เฟซบุ๊ก ขณะที่เจนวายหรือเจนแซดจะใช้อินสตาแกรมหรือ X ส่วนเจนอัลฟ่าจะใช้ TikTok อะไรที่รวดเร็ว อ่านไม่เกิน 10 วินาที เป็นต้น การจัดเวทีครั้งนี้เป็นประโยชน์และน่าจะมีคุณค่าในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
“วันนี้สงครามข่าวสาร การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การเรียนรู้ที่จะอยู่กับข่าวสารที่เป็นข่าวจริง ต้องแยกแยะจริงๆ เพราะวันนี้ต้องบอก AI เข้ามามีบทบาทสำคัญในการดำรงชีวิต แล้วก็ต้องบอกว่า Fake News (ข่าวปลอม) เข้ามามีบทบาท สงครามข่าวสารวันนี้เป็นเรื่องที่เราต้องใช้วิจารณญาณอย่างถี่ถ้วน” รองนายกเทศมนตรีนครยะลา กล่าว

Sweta Madhuri Kannan, First Secretary, Cultural Affairs and Press สถานเอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย กล่าวว่า ในประเทศเยอรมนี มีตัวอย่างข้อมูลบิดเบือนที่ทำลายความไว้วางใจต่อสถาบันต่างๆ ตลอดจนความเชื่อมั่นในการเลือกตั้ง ขณะที่ประเทศไทยก็เผชิญกับความขัดแย้งและภัยคุกคาม ทำให้เราเหมือนกับอยู่ในห้องเสียงสะท้อน (Echo Chamber) ในข้อมูลข่าวสารของตนเอง
ทั้งนี้ จากการผ่านบทเรียนสงครามโลกถึง 2 ครั้ง ชาวเยอรมันจึงเห็นความสำคัญของการปกป้องประชาธิปไตย มีการลงทุนอย่างมากในการให้การศึกษาภาคพลเมือง (Civic Education) ให้ความสำคัญต่อเสรีภาพสื่อ และจัดวางสมดุลไม่ให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งขึ้นมามีอำนาจเหนือกลุ่มอื่นๆ อนึ่ง การที่สังคมจะเปิดกว้างได้นั้นประชาชนต้องรู้จักคิดเชิงวิเคราะห์ และสังคมประชาธิปไตยจะขึ้นอยู่กับความไว้เนื้อเชื่อใจ หากเราขาดความเชื่อมั่นใจสถาบันประชาธิปไตยหรือองค์ประกอบต่างๆ ของประชาธิปไตย ประชาชนก็จะมีความเปราะบางจากการเข้าถึงข้อมูล
และในสถานการณ์ที่สังคมแบ่งขั้ว ลำพังการตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อมูลก็ยังไม่เพียงพอ อย่างในเยอรมนี เมื่อปี 2560 มีการออกกฎหมายกำหนดให้นำเนื้อหาสร้างความเกลียดชังออกจากพื้นที่ของข้อมูลข่าวสาร ซึ่งแม้ว่าจะไม่ใช่กฎหมายที่ดีที่สุดแต่ก็เป็นมาตรการหนึ่งที่ถูกนำมาใช้ ยังมีโครงการที่ทำร่วมกับนักศึกษาและครอบครัว สร้างความเข้าใจการทำงานของอัลกอริทึม รู้เท่าทันโลกดิจิทัล และจะตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูลต่างๆ ได้อย่างไร
“จากประสบการณ์ที่มีความร่วมมือกับหลายๆ ประเทศ สิ่งหนึ่งก็คือเราไม่ควรควบคุม แต่ว่าเป็นการป้องกันไม่ให้ข้อมูลมาทำร้ายสังคมได้ คือการเปิดกว้างดีกว่าการปิดกั้น รัฐบาลไม่สามารถต่อสู้ในสมรภูมิที่เปลี่ยนแปลงแบบนี้ได้เพียงลำพัง แต่ตัวแพลตฟอร์มจะต้องมีส่วนช่วยในเรื่องนี้ด้วย เครื่องมือทาง AI ต่าง สื่อเองก็น่าจะต้องมีบทบาทที่จะต้องขับเคลื่อนเรื่องนี้” Sweta กล่าว

ผศ.ดร.กุสุมา ภูใหญ่ สถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวถึงคำว่า “Spilternet” ที่มาจาก 2 คำ คือ Spilt (การแบ่งแยก) กับ Internet (อินเตอร์เน็ต) ที่หมายถึงก่อนหน้านี้เราเคยเชื่อว่าเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตจะทำให้โลกกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ทุกคนเชื่อมต่อกันได้ทั้งหมด แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับกลายเป็นว่าผู้คนไม่อยากเป็นพลเมืองโลก (Global Citizen) แต่อยากแยกตัวออกไปอยู่กันเอง
หรือมีตัวอย่างจากชาติมหาอำนาจอย่างประเทศจีนซึ่งสร้างกำแพงเมืองจีนทางออนไลน์ (The Great Firewall) มีประตูเปิด – ปิด (Gateway) เพื่อควบคุมการเข้า – ออกของข้อมูลข่าวสารจากโลกภายนอก และใครที่เข้าไปในจีนต้องใช้ระบบออนไลน์ที่ถูกสร้างขึ้นไว้ใช้งานภายในของจีนเป็นภาพสะท้อนการแตกออกของภูมิทัศน์ (Landscape) ในส่วนต่างๆ ของโลกตามแรงจูงใจทางการเมืองหรือเศรษฐกิจ
สถานการณ์แบบเดียวกันยังเกิดขึ้นในภูมิภาคยุโรปตะวันออก โดยเฉพาะช่วงที่เกิดสงครามรัสเซีย – ยูเครน ซึ่งก็มีการทำสงครามไซเบอร์ (Cyber Warfare) ดังนั้นสงครามทางกายภาพกับสงครามข้อมูลข่าวสารจึงดำเนินไปด้วยกัน ขณะที่เมื่อย้อนกลับมาดูสังคมไทย ประเทศที่ผู้คนมีความสุขกับความเร็วอินเตอร์เน็ตที่สูงกว่าอีกหลายประเทศในโลก เราไม่มีระบบป้องกันใดๆ ถึงกระนั้นตนก็ไม่เห็นด้วยกับการสร้างประตูเข้า – ออก ซึ่งจะมีโอกาสนำไปสู่การปิดกั้นข้อมูลข่าวสารและเสรีภาพในการสื่อสาร
นอกจากนั้นยังมีข้อสังเกตว่าภูมิทัศน์ของข้อมูลข่าวสารในประเทศไทยอาจเรียกได้ว่าอ่อนแอ โดยมีคำถามว่าเหตุใดการกำหนดวาระข่าวสารจึงไปอยู่ที่ผู้มีอิทธิพลทางความคิดบนโลกออนไลน์ (อินฟลูเอนเซอร์) หรือในช่วง 2 – 3 ปีล่าสุด เกิดปรากฏการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองบนพื้นที่ออนไลน์ หมายถึงผู้คนแปลงตนเองเป็นพลเมืองดิจิทัลเข้าไปวิจารณ์การเมืองในสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งมุมหนึ่งก็มีคำถามกลับมาว่าแล้วความเป็นพลเมืองในโลกจริงอ่อนแอลงหรือไม่ เช่น ปรากฏการณ์ทัวร์ลง การด่าทอในโลกออนไลน์เกิดขึ้นได้ง่ายกว่าการรวมตัวเพื่อช่วยเหลือกัน
“สื่อเองก็อ่อนแอ การทำงานของสื่อมวลชนที่เป็นประแสหลักหรือสื่อมวลชนที่มีการตรวจสอบข้อมูลข่าวสาร หลายสำนักก็ต้องพยายามปรับตัว เราก็จะเห็นทีวีก็ต้องรักษาเรตติ้ง ดังนั้นในแง่ของข้อมูลข่าวสารที่เป็นข้อมูลข้อเท็จจริงมันสู้ไม่ทันกับข้อมูลข่าวสารที่เป็นข่าวลวง (Disinformation) หรือข่าวสารที่สร้างความเกลียดชัง” ผศ.ดร.กุสุมา กล่าว

รศ.เอกรินทร์ ต่วนศิริ คณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า ข้อมูลที่มากทำให้เราแตกแยก มีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น แม้กระทั่งตัวเราเองความคิดก็ยังไม่นิ่ง บางวันเป็นเสรีประชาธิปไตยแต่บางวันก็เป็นเผด็จการ หรือบางเรื่องตอบสนองแบบหัวก้าวหน้าแต่บางเรื่องก็ตอบสนองแบบดูโหดร้ายเหลือเกิน หลักคิดจึงเป็นหัวใจสำคัญ เรายอมรับความหลากหลายได้หรือไม่ว่าคนอื่นคิดไม่เหมือนเรา และการยอมรับก็ต้องไม่ใช้ความรุนแรงต่อกัน ไม่ระดมทัวร์จนนำไปสู่การอาฆาตมาดร้ายและเกิดการใช้ถ้อยคำที่สนับสนุนให้ทำร้ายกัน
ขณะที่เมื่อมองดูบทบาทของผู้กำกับดูแลก็พบว่าไม่สามารถทำได้เต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งมีคำว่า “ทุนนิยมเหนือรัฐ” หรือคำว่า “ทุนนิยมยึดรัฐ”องค์กรกำกับดูแลไม่ดำเนินการให้เกิดการแข่งขันอย่างเสมอภาค หรือที่มีหลักจริยธรรมว่าผู้พิพากษาเมื่อออกจากอาชีพดังกล่าวไปแล้วห้ามไปเป็นที่ปรึกษาให้บริษัทเอกชน แต่ก็พบว่ามีการไปอยู่กับบริษัทยักษ์ใหญ่ ส่งผลกระทบตั้งแต่ค่าใช้จ่ายสินค้าอุปโภค – บริโภคที่เพิ่มสูงขึ้น การไหลเวียนของสินค้าและข้อมูลข่าวสารถูกทำให้เป็นหน้าเดียวกันหมด ความหลากหลายหรือการแข่งขันแบบการค้าเสรีก็ไม่เกิดขึ้นจริง
“ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในสภาวะที่ผมคิดว่ามันเป็นรัฐที่ถูกกำกับดูแลด้วยแค่คนกลุ่มหนึ่งเท่านั้นโดยผ่านกฎหมาย และสิ่งที่มันเกิดขึ้น ใครที่จะเติบโตภายใต้ระบบโครงสร้างแบบนี้คือคุณต้องเข้ารีตสวามิภักดิ์ ‘ได้ครับนาย – สบายครับท่าน’ฉะนั้นคนที่ดิ้นหลุดจากโครงสร้างออกมาทำแบบใหม่ก็ไม่มีกำลังจะต่อสู้ภายใต้โครงสร้างที่มันไม่เกิดการแข่งขันที่เปิดโอกาสให้แก่คนรุ่นใหม่”รศ.เอกรินทร์ กล่าว

ผศ.ดร.ยาสมิน ซัตตาร์ คณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ไล่เรียงประวัติศาสตร์ว่า หากย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 19 (ปี 2343 –2442) เป็นยุคที่ภูมิรัฐศาสตร์ให้ความสำคัญกับแผนที่และการลากเส้นเขตแดน แต่เมื่อโลกเข้าสู่ยุคสงครามเย็น (Cold War) ที่ชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตมีมุมมองต่อภูมิรัฐศาสตร์ว่าไม่ใช่เพียงเรื่องดินแดนแต่รวมถึงอุดมการณ์ด้วย ยุคนี้จะเริ่มพบการใช้โฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) จากทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อทำให้รัฐชาติอื่นๆ เชื่อว่าข้อมูลของฝ่ายตนนั้นถูกและมองข้อมูลของอีกฝ่ายว่าผิด
คำว่าภูมิรัฐศาสตร์ได้หายไปจากการรับรู้อยู่ช่วงหนึ่งเมื่อสิ้นสุดยุคสงครามเย็น ก่อนจะกลับมาในช่วงไม่กี่ปีล่าสุด เนื่องจากโลกได้เกิดขั้วอำนาจขึ้นมาแข่งขันกันหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ จีน รัสเซีย ยุโรป แม้กระทั่งโลกมุสลิม ขณะที่สงครามที่แม้จะยังมีการสู้รบด้วยอาวุธหรือกำลังทหารจริงๆ แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือการสู้รบด้วยข้อมูลข่าวสารและการโจมตีทางไซเบอร์ ปรากฏการณ์เหล่านี้แบ่งแยกคนออกจากกันมากขึ้นยิ่งกว่าในอดีต เพราะข้อมูลโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ สามารถเข้าถึงคนได้ง่ายขึ้น
กล่าวคือ ในอดีตหากคนไม่ได้เข้าถึงสื่อโทรทัศน์หรือหนังสือพิมพ์ก็อาจไม่รับรู้ข้อมูลข่าวสาร หรือสื่ออย่างหนังสือพิมพ์ก็อาจถูกควบคุมโดยรัฐและประชาชนก็จะไม่รับรู้ข้อมูลข่าวสารส่วนอื่นๆ นอกเหนือจากนั้น แต่ปัจจุบันทุกคนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ทางออนไลน์ แน่นอนว่ามีเรื่องของอัลกอริทึมที่จะจดจำพฤติกรรมของผู้ใช้งานแต่ละคน เช่น การค้นหาหรือมีส่วนร่วมกับข้อมูลข่าวสาร ทำบ่อยๆ เข้าเราก็จะเชื่อว่าข้อมูลชุดนั้นถูกต้องที่สุด แต่หากเลือกรับหรือค้นหาข้อมูลชุดอื่นๆ บ้าง ก็อาจทำให้เรามีข้อมูลมาตั้งคำถามกับสิ่งที่เชื่อได้ รวมถึงไม่ส่งต่อข้อมูลที่ผิด
“ขั้นสุดของพีระมิดแห่งความเกลียดชัง (Pyramid of Hate) คือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แต่กว่าที่มันจะขยับไปสู่เรื่องของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ Baseline (พื้นฐาน) ที่สำคัญที่สุดก็คือ Bias (อคติ) การที่เรามีอคติต่อกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง หลายครั้งยิ่งเราได้รับข้อมูลเพิ่มขึ้น เราถูกสอนเพิ่มขึ้น สุดท้ายมันจะขยับขึ้นมาสู่สิ่งที่เริ่มเป็น Action (การกระทำ) จากแค่วิธีคิดเราเริ่มทำแล้ว เริ่ม Bully (เหยียดหยามรังแก) สุดท้ายขยับขึ้นไปถึงการใช้ความรุนแรง อาจเป็นความรุนแรงที่เอามายิงกันได้ สุดท้ายมันเป็นความรุนแรงระดับที่ใหญ่มาก”ผศ.ดร.ยาสมิน กล่าว

ผศ.ดร.อับดุลรอนิง สือแต คณะศิลปศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยฟาฏอนี ยกตัวอย่างความขัดแย้งอิสราเอล – ปาเลสไตน์ ที่ข่าวมุ่งนำเสนอเหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค. 2566 เมื่อกลุ่มฮามาสบุกเข้าไปจับตัวประกันในอิสราเอลเพื่อใช้แลกเปลี่ยนกับชาวปาเลสไตน์ที่ถูกอิสราเอลควบคุมตัวอยู่ก่อนหน้านั้นเป็นจำนวนมากแต่ไม่ค่อยปรากฏเป็นข่าว แต่ในทางกลับกัน ภาพความรุนแรงที่กระทำต่อชาวปาเลสไตน์จากปฏิบัติการตอบโต้ของอิสราเอลก็ถูกนำเสนอสู่สายตาชาวโลกจากฝ่ายที่ไม่ใช่รัฐแต่เป็นกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับปฏิบัติการนั้น
หรือการพยายายามสร้างภาพลักษณ์ของฮามาสหรือกลุ่มที่ต่อสู้เพื่อปาเลสไตน์ว่าเป็นผู้ก่อการร้าย แต่เมื่อสืบย้อนเรื่องราวกลับไปก็จะพบว่าอิสราเอลหรือยิวไซออนนิสต์เป็นผู้เข้ามายึดครองดินแดนของปาเลสไตน์ แต่ประเด็นเหล่านี้ไม่ถูกพูดถึง นี่คือเรื่องของข้อมูลข่าวสารที่ปัจจุบันเป็นสงครามที่เกิดขึ้นทั้งที่มีฝักฝ่ายและที่เป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยไม่สังกัดฝักฝ่าย ซึ่งรวมถึงเราทุกคนที่ติดตามและเผยแพร่ข่าวสารต่างๆ ด้วย แต่สิ่งที่ต้องระวังคือความเข้าใจว่าเราไม่ได้ถูกกำหนด
“มันเหมือนกับทฤษฎีเรื่องของนกพิราบจิกข้าวจิกถั่วแล้วมันก็แปรขบวนไปตามจุดที่คนวางข้าววางถั่วให้มันเป็นไปตามรูปภาพที่เขากำหนด ตรงนี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่น่าหวาดกลัวในการที่จะต้องใช้ความพินิจพิจารณา วิเคราะห์ในสิ่งต่างๆ ว่ากระบวนการที่เรากำลังรู้สึกเกลียด – รู้สึกชอบ เรากำลังตกอยู่ในวังวนของการสนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือวัตถุประสงค์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งด้วยหรือไม่” ผศ.ดร.อับดุลรอนิง กล่าว






