‘เสวนานักคิดดิจิทัล’เยือนอีสาน  ปลุกรู้เท่าทัน‘ข่าวลวงปั่นเกลียดชัง’หวังสร้างสันติในสังคมออนไลน์

25 พ.ย. 2568 สถานเอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย ร่วมกับ ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) อีสานโคแฟค สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) Ubon Connect และมูลนิธิสื่อสร้างสุข จัดงานเสวนานักคิดดิจิทัล ครั้งที่ 31 “บทบาทของสื่อและอินฟลูฯ สู่สังคมออนไลน์สันติประชาธรรม (Role of Media & Influencers to debunk disinformation, promote Peace & Democracy)” ณ ห้องปทุมวัน ชั้น 5 โรงแรมสุนีย์แกรนด์ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี

กมล หอมกลิ่น หัวหน้าโครงการอีสานโคแฟคกล่าวว่า งานเสวนานักคิดดิจิทัล หรือ Digital Thinkers Forum ครั้งนี้   อีสานโคแฟคเป็นเจ้าภาพร่วมกับภาคีทั้งส่วนกลางและในพื้นที่ โดยมีการออกแบบให้เกิดการถกเถียงแลกเปลี่ยนประเด็นเชิงนโยบายสาธารณะเพื่อให้ทุกคนที่เข้าร่วมงานได้แสดงความคิดเห็น ระดมสมอง นำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่มีมาพูดคุยกัน ในหัวข้อ “บทบาทของสื่อและอินฟลูฯ สู่สังคมออนไลน์สันติประชาธรรม” (Role of Media & Influencers to debunk disinformation, promote Peace & Democracy)เกี่ยวข้องกับบทบาทของสื่อ ต่อมาในสื่อโซเชียลมีเดียเกิด “อินฟลูเอนเซอร์” จำนวนมากที่เข้ามามีบทบาทต่อการนำสังคม

บทบาทของสื่อและอินฟลูฯ จะนำไปสู่การสร้างข้อมูลจริง – ข้อมูลลวงหรือไม่ สำคัญอย่างไร เราจึงตั้งหัวข้อนี้ขึ้นมา ประกอบกับในเวลาอันใกล้นี้จะมีการเลือกตั้งท้องถิ่น ทั้งเทศบาล อบต. และการเลือกตั้งใหญ่ของปรทศไทย  การรณรงค์หาเสียง  สุ่มเสี่ยงกับการเกิดถ้อยคำที่นำไปสู่การสร้างความเกลียดชัง(Hate Speechในเวทีนี้น่าจะทำให้ได้ทิศทางการทำงานการตรวจสอบข้อมูลและบทบาทหน้าที่ของสื่อที่ควรจะเป็น หัวหน้าโครงการอีสานโคแฟค กล่าว

สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวถึงการเข้ามาของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ทำให้เปลี่ยนจากยุคข้อมูลลวงเข้าสู่ยุคข้อมูลหลอน หมายถึงเราอาจไม่รู้ว่าอะไรจริง – ไม่จริง เนื่องจาก AI สามารถผลิตเนื้อหาทั้งบทความ ภาพและคลิปวิดีโอได้เสมือนจริง ทำให้เป็นเรื่องยากในการแยกแยะ เนื่องจากสิ่งที่ AI สร้างขึ้นนำมาจากข้อมูลที่มีเค้าโครงข้อเท็จจริง ลำพังการรับมือข้อมูลว่าอะไรจริง – เท็จมีความยากอยู่แล้ว แต่ข้อมูลหลอนมีทั้งจริงบ้าง – ไม่จริงบ้าง เป็นความซับซ้อนของข้อมูลข่าวสารที่มีคำถามว่าจะรู้เท่าทันได้อย่างไร 

ในประเด็นนี้ มาเรีย เรสซา (Maria Ressa) ผู้สื่อข่าวชาวฟิลิปปินส์ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ประจำปี 2021 (พ.ศ.2564) ได้กล่าวในการประชุมสหประชาชาติเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ถึง “มหาสงครามข้อมูล (Information Armageddon)”โดยคำว่า Armageddon ให้ความรู้สึกถึงวันสิ้นโลก แต่ในที่นี้หมายถึงการสิ้นสุดของข้อเท็จจริงหรือความจริง ซี่งอาจเกิดขึ้นได้ในอนาคตหากเราไม่ทำอะไร ดังนั้นทุกฝ่ายต้องลุกขึ้นมารับมือ 

โดยเฉพาะบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีที่ให้บริการแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งมุมหนึ่งได้ประโยชน์จากการได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งาน แต่อีกมุมก็ปล่อยให้คนที่ทำไม่ถูกต้องหรือมิจฉาชีพเข้ามาใช้ประโยชน์ ทั้งนี้ จ.อุบลราชธานี เพิ่งผ่านภาวะสงครามข้อมูลข่าวสาร (Information Warfare) ด้วยความที่เป็นจังหวัดชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน มีปัญหาความขัดแย้งและการสู้รบ ในโลกออนไลน์ก็มีการสู้รบทางข้อมูลข่าวสารอย่างหนักหน่วงจากทั้ง 2 ฝ่าย 

หนทางที่จะรับมือกับมหาสงครามข้อมูล ต้องสร้างสิ่งที่เรียกว่า Information Integrity ที่ต้องทำให้ข้อมูลนั้นมีความน่าเชื่อถือ ศักดิ์ศรีของข้อมูล ความถูกต้อง ความสร้างสรรค์ ถ้าเปรียบเทียบกับคน คือต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต มีความรับผิดชอบในหน้าที่การงาน ไม่เป็นอันตรายกับคนอื่น เรียกว่าธรรมาภิบาลหรือคุณธรรมก็ได้ คุณธรรมของข้อมูลคืออะไร? แน่นอนที่สุดต้องถูกต้องเชื่อถือได้ แต่ต้องอยู่บนระบบโครงสร้างที่เอื้อด้วย สุภิญญา กล่าว 

ด้าน นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ประธานมูลนิธิพิทักษ์ธรรมชาติเพื่อชีวิต และอดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวปาฐกถาหัวข้อ การรับมือข้อมูลเท็จเพื่อสร้างสันติภาพและความปลอดภัย เล่าย้อนไปในยุคเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 มีการใช้คำพูด ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป และคนพูดเป็นพระ ซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลทางความคิด หรืออินฟลูเอนเซอร์ คือ บุคคลที่พูดออกไปแล้วมีพลัง 

ทั้งนี้ สื่อสามารถทำให้คนรู้สึกรักหรือเกลียดชังได้หรือหากคนพูดมีอิทธิพล เช่น ผมเป็นแพทย์ด้านโรคไต หากบอกว่ากินยาตัวหนึ่งแล้วรักษาโรคไตได้ ขายยาจนร่ำรวย แต่นี่เป็นการหลอกลวงประชาชน เพราะหากมียารักษาโรคไตได้จริงคงไม่ต้องเปิดศูนย์ไตเทียมหรือผ่าตัดเปลี่ยนไต นี่คือตัวอย่างของการรับสื่อแล้วมีอารมณ์ร่วม และยุคนี้เป็นยุคของข้อมูลข่าวสารปริมาณมาก (Big Data) เรื่องข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญที่เราไม่ปฏิเสธ แต่จะทำอย่างไรให้คนสามารถแยกแยะข้อมูลเหล่านั้น และสื่อจะทำอย่างไรที่ไม่ใช่เพียงการบอกข้อมูล แต่ต้องทำให้ประชาชนรู้เท่าทันด้วย

สำหรับเรื่องการเมืองนั้นเกี่ยวข้องกับเราทุกคนเช่น ข้าวของชาวนาจะขายได้ราคาหรือไม่ แต่สังคมไทยเกลียดนักการเมืองเพราะคิดว่านักการเมืองโกง แต่ถามว่าประเทศอื่นๆ มีนักการเมืองโกงหรือไม่ คำตอบคือมี ดังนั้นอย่ายึดตัวบุคคล นักการเมืองเลวจริงแต่ก็มีโอกาสจะดีได้หากประชาชนรู้เท่าทัน แต่การเมืองเป็นสิ่งที่จำเป็นและประชาชนต้องเรียนรู้ สังคมไทยถูกสอนกันว่าอย่าไปยุ่งกับการเมือง คิดแต่ว่านักการเมืองชั่ว แต่สิ่งที่ชั่วก็คือคน และคนก็มีความหลากหลาย 

หรืออย่างคำว่า “ชาตินิยม” เป็นคำที่ดี แต่สิ่งที่ผิดคือ การกลายเป็นชาตินิยมแบบสุดโต่ง เช่น มองว่าประเทศไทยมีเพียงเชื้อชาติเดียว แต่ในความเป็นจริงคนไทยมีหลายเชื้อชาติ อย่างภาคอีสานมี 20 – 30 ชาติพันธุ์ และการที่สังคมมีความหลากหลายก็ต้องยอมรับการพูดคุยที่มีความหลากหลาย ยอมรับการพูดคุยกับคนที่เห็นต่าง อย่าให้ทะเลาะกัน และหาข้อสรุปที่ทำให้เกิดการยอมรับซึ่งกันและกันให้ได้

ประเด็นที่จะต้องคุยกัน ในฐานะเป็นผู้ผลิต ผู้ทำสื่อ ผู้บริโภคสื่อ บทบาทเราคืออะไร อย่าให้เป็นผู้ถูกกระทำ แต่ต้องลุกขึ้นมาเป็นคนที่เปลี่ยนแปลง 1.คุณต้องการพัฒนาในทฤษฎี คือมีการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย – กฎหมาย 2.เปลี่ยนความเชื่อ และ3.สื่อสารใหม่ นพ.นิรันดร์ กล่าว 

สำหรับกิจกรรมในช่วงเช้า เป็นการจัดประชุมโต๊ะกลม เพื่อระดมสมองประเด็น ความกังวลและการรับมือข่าวลวงเลือกตั้ง / รู้ทัน ‘Hate Speech’ ถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง คู่มือฉบับประชาชน โดยมีทีมอีสานโคแฟค รับหน้าที่วิทยากรกระบวนการ