จาก 2566-2569 ออนไลน์มาแรงในการเมืองหวั่น‘AI’ปั่นข่าวลวงตอกย้ำ‘อารมณ์-อคติ’กระทบตัดสินใจลงคะแนน

19 ธ.ค. 2568 สถานเอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย ร่วมกับ ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยแม่โจ้ โดยคณะสารสนเทศและการสื่อสาร และ ThaiPBS จัดเวทีเสวนานักคิดดิจิทัล – Digital Thinkers Forum ครั้งที่ 33 ในหัวข้อ “รับมือข้อมูลหลอนด้วยปัญญารวมหมู่เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันในยุค AI (AI Hallucinations VS. Digital Resilience)”  โรงแรมวินทรี  จ.เชียงใหม่ 

Harry Kofi Quakyi Cultural Affairs and Press Officer สถานเอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย กล่าวว่า ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารถูกสร้างขึ้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นเครื่องมือที่ถูกใช้ ซึ่งก็มีทั้งข้อดีในเรื่องความสะดวกสบายและความรวดเร็ว แต่อีกด้านก็มีความท้าทาย เช่น ข้อมูลบิดเบือน (Disinformation) ข้อมูลหลอน (Hallucination) ที่ถูกส่งต่อและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว 

อย่างในประเทศเยอรมนี ช่วงที่มีการเลือกตั้งมีการผลิตเนื้อหาโดยใช้ AI เช่น การรณรงค์หาเสียง และบางครั้งข้อมูลเพียง 1 ชิ้นสามารถแพร่กระจายไปยังกลุ่มเป้าหมายหลายกลุ่ม  ปัญหาการใช้ AI สร้างเนื้อหาแล้วผลที่ได้คือข้อมูลบิดเบือนหรือข้อมูลหลอน และยังเป็นเรื่องยากในการตรวจสอบว่าอะไรคือข้อเท็จจริง ดังนั้นกระบวนการของมนุษย์ในการทำให้ข้อมูลโปร่งใสจึงยังจำเป็น 

ความท้าทายของการรับมือข้อมูลบิดเบือนในช่วงของการเลือกตั้งในยุคของ AI ต้องการมากกว่าความชำนาญในเรื่องเทคนิคหรือกระบวนการตรวจสอบโดยทั่วไปแต่สิ่งที่ต้องการคือต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและทำงานร่วมกันโดยไม่มีขอบเขต  โดยเรียนรู้จากประสบการณ์ของกันและกันในการรับมือกับ AI” Harry กล่าว 

   ดร.จิรพร วิทยศักดิ์พันธุ์ รองประธานคณะกรรมการบริหารแผนคณะที่ 8 สสส. กล่าวถึง 3 คำสำคัญ คือ 1.ปัญญารวมหมู่ ยุคสมัยที่เปลี่ยนไปจากการมีวีรชนหรือผู้นำที่เก่งคนเดียวแล้วผู้อื่นต้องเดินตาม สู่การร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมเดินไปข้างหน้า หรือเปลี่ยนจากวัฒนธรรมแบบแนวดิ่งสู่วัฒนธรรมแบบแนวระนาบ ที่เป็นความสำคัญของคนที่คิดต่างจากเรา แต่จะทำแบบนี้ได้ต้องอาศัยการฟังด้วยใจ (Deep Listening) ไม่ใช่เพียงการทนฟัง ขยายใจให้กว้างแล้วฟังว่าเขาต้องการอะไร 

2.พลเมืองตื่นรู้ ความเป็นพลเมืองไม่ใช่หมายความเพียงการเป็นบุคคลที่ได้สัญชาติของประเทศที่ตนเองอาศัยอยู่เท่านั้น แต่หมายถึงความเป็นมนุษย์ที่มาพร้อมกับความรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่น อย่างในเยอรมนีให้นิยามความเป็นพลเมืองไว้ว่าต้องมีส่วนร่วมทางการเมือง (Political Participation) ไม่ใช่ให้ผู้อื่นนำแต่ต้องมาร่วมนำ หมายถึงมีสิทธิ์มีเสียงที่จะบอกว่าคนเป็นผู้นำควรจะนำเราอย่างไร แม้บางประเทศจะไม่มีบริบทให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองมากนัก แต่อย่างน้อยต้องไม่ดูดายปล่อยให้ใครชี้นำสังคมโดยไม่ฟังเสียงผู้อื่น

และ 3.ข้อมูลที่ขับเคลื่อนสังคม ข้อมูลที่ปรากฏอยู่จำนวนมากสามารถถูกหยิบฉวยข้อมูลบิดเบือนให้เอื้อประโยชน์ต่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเพียงเท่านั้น  ตั้งแต่ข้อมูลในโฆษณาที่ไม่จริง 100%  แต่พูดไม่หมด พูดเฉพาะที่ทำให้เรารู้สึกอยากได้สินค้านั้น จนถึงข้อมูลที่ทำให้บุคคลเสื่อมเสียชื่อเสียงและถูกเกลียดชัง หรือแม้แต่ข้อมูลที่ทำให้สูญเสียทรัพย์สิน ข้อมูลเหล่านี้กระจายไปทั่วและไม่มีใครสะสางว่าอะไรถูก ผิด จึงกลายเป็นสังคมที่ถูกกลบด้วยข้อมูลขยะส่งกลิ่นเหม็น แล้วจะบอกว่าเราอยู่ในสังคมที่สะอาดได้อย่างไร

สสส. เชื่อมั่นว่าข้อมูลที่ดีต้องเป็นข้อมูลที่ถูกต้องอาจไม่ใช่เป็นสัจธรรมแต่ข้อมูลที่ถูกต้องในขณะนั้นที่พิสูจน์ได้ว่าถูกต้องไม่มีเจตนาปรับแต่งให้บิดเบือนเพื่อประโยชน์ของคนใดคนหนึ่งแล้วข้อมูลที่ถูกต้องนั้นนำไปสู่การตัดสินใจที่ถูกต้องของพลเมืองพลเมืองที่แวดล้อมไปด้วยข้อมูลเท็จก็เหมือนกับอยู่ในมลพิษมีแต่จะนำไปสู่การป่วยตายแน่นอน รองประธานคณะกรรมการบริหารแผนคณะที่ 8 สสส. กล่าว 

รศ.ดร.ไพลิน ภู่จีนาพันธุ์ คณบดีคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปาฐกถาหัวข้อ “AI กับสงครามข้อมูล : ใครจะได้เปรียบในสนามใหม่ของการเลือกตั้ง” กล่าวถึงสถานการณ์ในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา อินโดนีเซีย มีการใช้เครื่องมือ AI ซึ่งรวมถึงภาพปลอมจำนวนมาก ท่ามกลางสับสนนี้จะบอกได้ว่าใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบในการเลือกตั้ง ซึ่งการทำให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งสับสนอาจเป็นกลไกที่จะนำมาใช้ในการเลือกตั้งในประเทศไทยในเร็วๆ นี้ 

ในทางรัฐศาสตร์มีคำว่าโฆษณาชวนเชี่อ (Propaganda) ซึ่งต้องใช้ทรัพยากรมาก แต่ปัจจุบันมี ช่องผี (Anonymous Channel)” ที่ทำได้ด้วยคนเก่งเทคโนโลยีเพียงคนเดียว ดังนั้นแม้ AI ไม่ได้ลงสมัครรับเลือกตั้ง   แต่มีผลต่อการเลือกตั้ง และที่สำคัญคือ “AI ไม่ได้เป็นกลางทางการเมืองAI มีอำนาจในโลกออนไลน์และกำลังจะมีอำนาจในโลกจริง เพราะ AI เล่นกับข้อมูล เนื่องจากมนุษย์มีข้อจำกัดไม่อาจเก็บข้อมูลได้ตลอด 24 ชั่วโมง แต่ AI สามารถทำได้ AI จึงมีข้อมูลที่มากกว่าสมองมนุษย์ แต่ความสามารถในการคาดการณ์ (Predict) ของ AI นั้นถูกต้องเพียงใด 

กล่าวคือ อัลกอริทึมของ AI ไม่เคยเป็นกลาง ทุกการคัดกรองของ AI ใช้อำนาจของ AI มากกว่าการตัดสินใจของมนุษย์บนฐานของศีลธรรม (Morality)  ดังนั้นการหยั่งรู้หรือตระหนักรู้ถึงข้อเท็จจริงของมนุษย์จึงสำคัญมากในการถ่วงดุลการทำหน้าที่ของ AI ในทางการเมือง นอกจากนั้น “AI ไมได้สื่อสารกับผู้คนแต่สื่อสารกับอารมณ์ความกลัวสถานการณ์และอคติของผู้คน ขึ้นอยู่กับการใช้คำสั่งในแต่ละครั้ง AI จะทำงานด้วยการกระตุ้นความรู้สึกของผู้คน คำถามคือเราได้สร้างเครื่องมือให้ประชาชนแยกแยะข้อเท็จจริงมาก – น้อยเพียงใด 

ที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่าคือ การใช้ AI ทำลายล้างซึ่งกันและกันแล้วประชาชนก็เชื่อว่าเป็นความจริงซึ่งในหลายประเทศได้เกิดขึ้นแล้ว เช่น การใช้ AI สร้างอวตาร มีการใช้เทคนิค Robocall หมายถึงใช้ AI แปลงเสียงให้เหมือนนักการเมือง ราวกับการกระทำของมิจฉาชีพ ใช้ AI สร้างคลิปวิดีโอที่ภาพและเสียงเหมือนกับบุคคลนั้นกำลังพูดอยู่จริงๆ (Deepfake) ขณะที่อีกด้านหนึ่ง ประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งก็ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลต่างๆเพื่อให้ AI ช่วยตัดสินใจว่าควรเลือกผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด มากกว่าจะใช้ความคิดของตนเอง (Twins Voter)

ดังนั้นเมื่อเราได้รับข้อมูลและกำลังจะตั้งคำถาม สำหรับตนมีข้อแนะนำว่า แทนที่จะเริ่มถามว่าทำไม? ให้ถามว่าใคร? หมายถึงใครเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น และเรื่องนั้นจะไปส่งผลกระทบกับใครบ้าง ในการเลือกตั้ง ผู้มีสิทธิ์ออกเสียง ประชาชนและมนุษย์คือคนคนเดียวกัน มักเน้นไปที่ผลการเลือกตั้ง นักการเมือง พรรคการเมือง หรือใครจะเป็นรัฐบาล แต่ยังไม่มีการตั้งคำถามว่าหาก AI เข้ามามีอิทธิพลต่อการเลือกตั้ง ผู้มีสิทธิ์ออกเสียง  ประชาชนและมนุษย์จะได้รับผลกระทบอย่างไร 

การหาเสียงตอนนี้ไม่ใช่แค่ป้ายรถแห่หาเสียงเคาะตามประตูบ้าน  หรือใบปลิวอีกต่อไปแล้วแต่กลไกของการใช้ AI โลกไปเร็วมากแต่องค์กรและโครงสร้างของรัฐยังย่ำอยู่กับที่และเดินล่าช้าไม่ทันการณ์ต่อการพัฒนาของเทคโนโลยีและดิจิทัล รศ.ดร.ไพลิน กล่าว 

อภิเดชเตปินนักวิจัยจากทีม Neo Momentum นำเสนอข้อมูลเรื่อง บทเรียนสงครามข้อมูลการเลือกตั้ง 2566” ฉายภาพสถานการณ์บนโลกออนไลน์ 3 ช่วง คือ 1.ช่วงคาบเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เมื่อวันที่ 14 .. 2566  เก็บข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. – 14 มิ.ย. 2566ซึ่งแพลตฟอร์มออนไลน์เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นอย่างชัดเจน เนื้อหาทางการเมืองถูกผลิตและขยายผ่านแพลตฟอร์ม และบทสนทนาส่วนใหญ่ขับเคลื่อนด้วยอารมณ์มากกว่าข้อเท็จจริง เช่น โพสต์โจมตี ปลุกความโกรธ ตั้งคำถามถึงความชอบธรรมของพรรคการเมืองคู่แข่งหรือต่อกระบวนการจัดการเลือกตั้ง 

พบการแย่งชิงเรื่องเล่า (Narrative) โดยช่วงก่อนเลือกตั้งจะพบการโจมตีใส่ร้าย สร้างข่าวลือ แต่เมื่อพ้นจากวันออกเสียงเลือกตั้งไปแล้ว เรื่องเล่าจะว่าด้วยความโปร่งใสของกระบวนการจัดการเลือกตั้ง อาทิ การนับคะแนน ทั้งหมดเกิดขึ้นในระบบนิเวศออนไลน์ที่ซับซ้อน มีผู้เล่นมากมายทั้งนักการเมือง ผู้มีอิทธิพลทางความคิดบนโลกออนไลน์ (อินฟลูเอนเซอร์) บัญชีที่เคลื่อนไหวคล้ายปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (IO) รวมถึงผู้ใช้งานทั่วไปที่ติดตามการเมือง ศูนย์กลางข้อมูลจึงไม่ชัดเจนและกระจายจัดจาย กลายเป็นการเปิดพื้นที่ให้ข้อมูลบิดเบือนทำงานได้ง่าย  

2.ช่วงหลังการเลือกตั้งซึ่งมีการเก็บข้อมูลตลอดทั้งปี 2567 ความตึงเครียดในโลกออนไลน์นอกจากจะไม่คลี่คลายลงแล้วกลับยังเข้มข้นขึ้น แต่การแข่งขันได้ย้ายจากการหาเสียงเชิงนโยบายไปสู่การทำลายความชอบธรรมของตัวแสดงทางการเมือง ไม่ว่านักการเมือง พรรคการเมือง หรือแม้แต่สถาบันทางการเมือง เนื้อหาที่พบมากในช่วงนี้คือข้อมูลลวง ทฤษฎีสมคบคิด การโจมตีตัวบุคคลเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 

ขณะที่แพลตฟอร์มกลั่นกรองเนื้อหาได้ช้าลงเมื่อเทียบกับช่วงที่มีการเลือกตั้ง อีกทั้งยังมีการเกิดขึ้นของระบบการสร้างรายได้จากแพลตฟอร์ม การกำกับดูแลจึงทำได้ไม่ดีเมื่อเทียบกับช่วงที่มีการเลือกตั้ง นอกจากนั้นยังพบการเพิ่มขึ้นของถ้อยคำสร้างความกลียดชัง (Hate Speech) ยกระดับจากการด่าทอไปสู่การลดทอนความเป็นมนุษย์และสนับสนุนให้ใช้ความรุนแรงในโลกจริง รวมถีงพบภาพที่ถูกสร้างด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อใช้ประกอบในเรื่องเล่าบางอย่าง

3.ช่วงปัจจุบันเก็บข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 20 พ.ย. 2568 เนื้อหาบนโลกออนไลน์ขยับจากไปสู่การเมืองเชิงอัตลักษณ์ (Identity Politics) เช่น ประเด็นแรงงานข้ามชาติชาวเมียนมาและกัมพูชา ซึ่งถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียง ผลการศึกษาทั้ง 3 ช่วงพบสิ่งที่เหมือนกันคืออารมณ์เป็นโครงสร้างหลักของข้อมูล ทุกเหตุการณ์ของความมั่นคงหรือความขัดแย้งจะถูกขยายฐานความโกรธ ความกลัว ความรู้สึกกังวลว่ากำลังถูกคุกคามจากอะไรบางอย่าง เละเห็นช่องว่างของความเชื่อมั่นสาธารณะ (Public Trust) ที่กว้างและลึกอย่างต่อเนื่อง 

กล่าวคือ ผู้คนไม่ได้เพียงไม่เชื่อในข้อมูลแต่ยังไม่เชื่อในกระบวนการไม่เชื่อในสถาบันและแม้แต่ไม่เชื่อใจกันเองปรากฏการณ์เหล่านี้คือภูมิทัศน์ (Landscape) ของข้อมูลของการเลือกตั้งครั้งต่อไปที่กำลังจะมาถึงในช่วงต้นปี 2569 และความปั่นป่วนจะเกิดขึ้นได้ง่ายมากโดยไม่จำเป็นต้องมีเหตุการณ์ใหญ่ๆ มาเป็นตัวจุดชนวน และการมาของ AI ที่ยิ่งซับซ้อนขึ้น ก็จะเป็นอีกเงื่อนไขสำคัญ  

ถ้าต้องการจะสลายวงจรข่าวลวงหรือวงจรของความเกลียดชังเรามองว่ามันอาจต้องเริ่มจากการเปลี่ยนสภาวะของอารมณ์ในพื้นที่ดิจิทัลไปพร้อมๆกันไม่ใช่แค่การตรวจสอบข้อเท็จจริงเพียงอย่างเดียวแต่มันจะต้องเข้าใจอารมณ์ความเจ็บปวดความกลัวที่อยู่เบื้องหลังข้อมูลเหล่านั้นที่คนแชร์ต่อกันโจทย์ของการตรวจสอบข้อเท็จจริงอาจไม่ใช่แค่ว่าอะไรจริงไม่จริงแต่คือเราจะออกแบบพื้นที่ที่ให้ทุกข้อมูลอยู่ร่วมกันได้อย่างไรโดยที่ความจริงมันจะไม่แพ้อารมณ์และเรื่องเล่าที่มันบั่นทอนสังคมของผู้รับรู้ อภิเดช กล่าว 

ภายในงานยังมีการประชุมโต๊ะกลม “ความท้าทายในการรับมือข่าวลวงเลือกตั้งในยุค AI” โดยมี สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟคประเทศไทย เป็นประธานการประชุม ซึ่งจะมีการรวบรวมเสียงสะท้อนของผู้เข้าร่วมเป็นข้อเสนอต่อภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย

-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-