ถอดรหัส AI Disruption:ใช้มัน…อย่าให้มันใช้เรา

โดย ระวี ตะวันธรงค์

ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีในวงการสื่อสารมวลชน ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงมานับครั้งไม่ถ้วน ตั้งแต่การร่วมก่อตั้งสถานีโทรทัศน์ไปจนถึงวันที่ต้องปิดตัวลง การปรับเปลี่ยนองค์กรสิ่งพิมพ์และโทรทัศน์สู่ยุค “ออนไลน์เฟิร์ส” (Online first) ล้วนเป็นบทเรียนที่สอนเราว่า การหยุดนิ่งคือการถอยหลัง แต่การเปลี่ยนแปลงที่เรากำลังเผชิญอยู่ในวันนี้ รุนแรงและรวดเร็วกว่าครั้งไหน ๆ เรากำลังก้าวข้ามจากยุค Digital Disruption ไปสู่ AI Disruption อย่างเต็มตัว

รายการ “Media Code” ถือกำเนิดขึ้นจากความตั้งใจที่จะสร้างความเข้าใจในเทคโนโลยี โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งไม่ได้เป็นเพียง “เครื่องมือ” (Tool) อีกต่อไป แต่ได้กลายเป็น “พลังแห่งการเปลี่ยนรูป” (Transformative Force) ที่กำลังจะพลิกโฉมทุกวงการ หลักการสำคัญที่เราต้องยึดไว้ให้มั่นคือ “เราต้องเป็นผู้ใช้ AI อย่าปล่อยให้ AI ใช้เรา” เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน ควบคุมมัน และไม่ตกเป็นทาสของข้อมูลที่มันป้อนให้โดยไม่รู้ตัว

คลื่นสึนามิ AI: ภัยคุกคามต่อตำแหน่งงานที่ไม่อาจมองข้าม

ข้อมูลล่าสุดชี้ให้เห็นภาพอนาคตที่น่ากังวล ภายในปี 2030 คาดการณ์ว่าบริษัททั่วโลกจะลดการจ้างงานพนักงานลงถึง 41% เพื่อนำ AI เข้ามาทดแทน แม้แต่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง McKinsey ที่มีพนักงานเกือบหมื่นคนทั่วโลก ยังคาดการณ์ว่าจะลดพนักงานลงเกือบ 30% ภายในปี 2025 เหตุผลนั้นชัดเจน เพราะงานที่เคยต้องอาศัยทักษะมนุษย์ในการให้คำปรึกษา ค้นคว้าข้อมูลเชิงลึก และทำวิจัย กำลังจะถูก AI เข้ามาทำหน้าที่แทนได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำกว่า พนักงานที่เหลือรอดจึงต้องยกระดับประสิทธิภาพการทำงาน (Productivity) และที่สำคัญที่สุดคือ ต้องสามารถ “ควบคุม AI” ได้

หลายอาชีพกำลังตกอยู่ในความเสี่ยงสูงที่จะถูกทดแทน:

● ฝ่ายบริการลูกค้า (Customer Service): แชทบอทอัจฉริยะสามารถตอบคำถามที่ซับซ้อนและหลากหลายได้อย่างน่าทึ่ง

● นักบัญชีและนักกรอกข้อมูล (Data Entry): AI สามารถรวบรวม แปล และสรุปข้อมูลจากทั่วโลกได้ในเวลาไม่กี่นาที

● นักพิสูจน์อักษร: ความผิดพลาดจากสายตามนุษย์จะลดน้อยลง เมื่อ AI เข้ามาทำหน้าที่ตรวจสอบ

● ทหาร: เทคโนโลยีการทหารก้าวล้ำไปมาก โดรนและ AI ถูกใช้ในการตรวจจับและจำลองสถานการณ์รบ ทำให้บริษัทอย่าง Palantir ซึ่งพัฒนา AI ให้กับกองทัพสหรัฐฯ กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามหาศาล

● สายงานอาหาร: แม้แต่การทำอาหารก็ไม่เว้น ร้านก๋วยเตี๋ยวบางแห่งเริ่มใช้แขนกลหุ่นยนต์ที่ป้อนสูตรด้วย AI เพื่อควบคุมรสชาติและคุณภาพให้คงที่

AI ในห้องข่าว: ระหว่างโอกาสและความท้าทาย

ในวงการสื่อสารมวลชน AI ไม่ใช่เรื่องใหม่อีกต่อไป องค์กรสื่อทั่วโลกกว่า 79% ได้นำ AI มาปรับใช้ในห้องข่าว (Newsroom) แล้ว แต่ปัญหาใหญ่ที่ตามมาคือ การขาดนโยบายกำกับดูแลที่ชัดเจนซึ่งสร้างความเสี่ยงทั้งในแง่ข้อมูลรั่วไหลและปรากฏการณ์ “Hallucination” ที่ AI สร้างข้อมูลเท็จขึ้นมาเอง

น่าประหลาดใจที่ผลสำรวจจาก Reuters Institute ในปี 2024 พบว่า ประเทศไทยเป็นอันดับ 2 ของโลก (39%) ที่ผู้คนรู้สึกสบายใจและเชื่อถือข่าวสารที่มาจาก AI ซึ่งเป็นสัญญาณที่น่ากังวลและตอกย้ำถึงความจำเป็นในการสร้างความรู้เท่าทันสื่อยุคใหม่

สำนักข่าวระดับโลกต่างนำ AI ไปประยุกต์ใช้ในรูปแบบที่แตกต่างกัน:

● Reuters: ใช้ Gemini ในการตรวจสอบและคัดแยกรูปภาพข่าวนับหมื่นภาพต่อวัน เพื่อจำแนกภาพจริงออกจากภาพที่สร้างโดย AI

● Times.com และ Bloomberg: ใช้ AI ในการสร้าง Personalized News เพื่อนำเสนอข่าวสารที่ตรงกับความสนใจของสมาชิกแต่ละรายโดยเฉพาะ

● Associated Press (AP): ใช้ Chat GPT พัฒนาระบบค้นหาคลังข่าวในอดีต (Archive) ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจคือ ปัจจุบันทราฟฟิกบนเว็บไซต์สื่อกว่า 63% ไม่ได้มาจากมนุษย์ แต่มาจาก AI ที่เข้ามาเก็บข้อมูล (Information Scraping) นี่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้การสร้างคอนเทนต์ต้องเปลี่ยนจากการทำเพื่อ SEO (Search Engine Optimization) ให้คนค้นหา มาเป็นการทำเพื่อให้ AI อ่านและเรียนรู้

ทางรอดของมนุษย์: ยึดมั่นในหลักการ “Human in the Loop”

เมื่อ AI สามารถเข้ามาแทรกแซงกระบวนการผลิตคอนเทนต์ได้ตั้งแต่การคิดคอนเซ็ปต์ ร่างสคริปต์ ไปจนถึงการสร้าง “อวตาร” (Avatar) ขึ้นมาพูดแทนเราได้อย่างแนบเนียน คำถามสำคัญคือบทบาทของมนุษย์อยู่ตรงไหน?

แม้แต่งานที่เคยต้องการทักษะสูงและมีรายได้มหาศาลอย่าง Data Engineer หรือ Data Scientist ก็กำลังถูกเปลี่ยนบทบาท จากเดิมที่ต้องออกแบบโครงสร้างข้อมูลที่ซับซ้อน ปัจจุบันหน้าที่หลักของมนุษย์กลับกลายเป็นการ “ป้อนข้อมูลและควบคุม AI” ให้ทำงานตามที่ต้องการ

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงนี้ ทางรอดเดียวของมนุษย์คือการยึดมั่นในหลักการ “Human in the Loop” (HITL) ซึ่งหมายความว่ามนุษย์จะต้องเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทำงานของ AI เสมอ โดยมีหัวใจสำคัญ 3 ประการ:

1. การป้อนข้อมูล (Input): มนุษย์ต้องเป็นผู้คัดเลือกและป้อนข้อมูลที่มีคุณภาพให้ AI เรียนรู้ ไม่ใช่ปล่อยให้ AI ไปหาข้อมูลมาเองอย่างไร้การควบคุม

2. การตรวจทาน (Review): ก่อนนำผลลัพธ์ที่ได้จาก AI ไปใช้งาน มนุษย์ต้องทำหน้าที่ตรวจทานความถูกต้องและความเหมาะสมเสมอ

3. การตัดสินใจขั้นสุดท้าย (Final Decision): มนุษย์ต้องเป็นผู้ตัดสินใจ “คนสุดท้าย” ก่อนที่จะกดปุ่ม Enter เพื่อเผยแพร่ข้อมูลนั้นออกไปสู่สาธารณะ

ท้ายที่สุดแล้ว AI ได้เรียนรู้พฤติกรรมของเราและสร้าง “ห้องเสียงสะท้อน” (Echo Chamber) ที่คอยกล่อมเกลาให้เราเชื่อในสิ่งที่มันป้อนให้ซ้ำ ๆ สิ่งสำคัญที่สุดจึงไม่ใช่แค่การใช้ AI ให้เป็น แต่คือการ “รู้เท่าทัน” ทั้งสื่อและ AI เพื่อให้เราสามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งที่เรากำลังเสพอยู่นั้นเป็นความจริงหรือสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น เพราะในยุคที่เส้นแบ่งระหว่างความจริงกับสิ่งสังเคราะห์เลือนลางลงทุกขณะ การมี Critical Thinking คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุดที่จะทำให้เราเป็นนายของเทคโนโลยี ไม่ใช่ทาสของมัน