ข้อเท็จจริง โควิดโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 น่ากังวลจริงหรือ? COFACT Special Report #29
ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาเราจะพบข่าวการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน สายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 มากขึ้น ทั้งสองสายพันธุ์ย่อยกำลังเริ่มแพร่ระบาดมากในยุโรป และสหรัฐฯ และผู้ที่ติดเชื้อสายพันธุ์นี้ส่วนหนึ่งเป็นผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด-19 มาก่อน รวมทั้งมีข้อมูลระบุว่าสองสายพันธุ์ย่อยนี้สามารถแพร่กระจายได้เร็วกว่าเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ก่อนหน้า ทำให้หลายคนเริ่มรู้สึกกลับมาวิตกกังวลอีกครั้งว่าจะเกิดการแพร่ระบาดหนักอีกหรือไม่
English Summary
Two new fast-spreading subvariants of Omicron (BA.4 and BA.5) are causing new surges of Covid cases across the world, especially Europe and the US. These two subvariants were first identified in South Africa and may soon be the next dominant variants across the globe. According to the World Health Organization and infected disease experts agree that these two variants can spread faster and can escape the immunity from previous infection or vaccination. However, many studies suggest that the current vaccines we have still prevent people from hospitalization and deaths. In this article, we answer some of the questions people may concern about these new subvariants, and why we are in the better situation now compared to the last two years.
จากข้อมูลของบทความทางวิทยาศาสตร์หลายบทความระบุว่า โอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 มีลักษณะทางโครงสร้างที่คล้ายกับโอมิครอนก่อนหน้า แต่จะมีบางส่วนที่แตกต่าง ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้ทั้งสองสายพันธุ์ย่อยมีคุณสมบัติหลบภูมิคุ้มกันจากวัคซีน หรือจากการติดเชื้อก่อนหน้า ดังนั้นโอกาสที่ผู้ที่เคยติดเชื้อมาก่อน หรือผู้ที่เคยฉีดวัคซีนอาจจะติดเชื้อสองสายพันธุ์ย่อยนี้
BA.4 และ BA.5 กำลังจะกลายเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดในยุโรปและสหรัฐฯ
สำนักข่าว CNN รายงานว่า โควิดสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 กำลังเป็นสายพันธุ์ที่แพร่กระจายเพิ่มขึ้นในยุโรป และสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ สำหรับสหรัฐฯ ยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่สายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 คิดเป็น 35% ของผู้ติดเชื้อโควิดทั้งหมดในประเทศเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และในไทยเองก็พบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์นี้แล้ว จากการสุ่มตรวจของกรมควบคุมโรคพบว่าผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ แต่ก็มีชาวไทยจำนวนหนึ่งที่ได้รับเชื้อนี้แล้ว
BA.4 และ BA.5 อันตรายแค่ไหน? ลงปอดได้ง่ายกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้าจริงหรือ?
ผลการศึกษาเบื้องต้นที่ตีพิมพ์บน New England Medical Journal of Medicine และผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียของสหรัฐฯ ระบุตรงกันว่า โควิดสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 มีคุณสมบัติในการหลบหลีกภูมิคุ้มกันจากวัคซีนที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน และภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อสายพันธุ์ก่อนหน้ามาก ทำให้ผู้ที่เคยติดเชื้อมาก่อน หรือแม้จะเคยได้รับการฉีดวัคซีนมาแล้วมีโอกาสติดเชื้อซ้ำได้ ส่วนผลการวิจัยในห้องปฏิบัติการที่กรุงโตเกียวทดลองการแพร่กระจายเชื้อของโควิดสองสายพันธุ์ย่อยกับสัตว์ พบว่าเชื้อสามารถแพร่กระจายได้ดีในปอด แต่นั่นเป็นผลการศึกษาที่ทำในห้องปฏิบัติการเท่านั้น ยังไม่มีข้อมูลจากการแพร่เชื้อในคนจริงว่าความรุนแรงของเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่ ถึงแม้จะมีรายงานในยุโรปหลายประเทศว่ามีจำนวนผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลเนื่องจากติดเชื้อโควิดมากขึ้น แต่ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากยังไม่สามารถฟันธงได้ว่าเป็นเพราะความรุนแรงจากการติดเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องนำมาพิจารณา ไม่ว่าจะเป็นอายุของผู้ติดเชื้อ โรคประจำตัว และจำนวนวัคซีนที่ฉีด ดังนั้นเราจึงยังสรุปในเวลานี้ไม่ได้ว่า BA.4 และ BA.5 จะส่งผลให้เกิดการแพร่ระบาดหนักจนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ผลการศึกษาใน New England Medical Journal of Medicine ยังย้ำว่า การฉีดวัคซีน และการฉีดเข็มกระตุ้นที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันยังคงช่วยลดอาการป่วยหนักและเสียชีวิตจากการติดเชื้อจากสองสายพันธุ์ย่อยนี้ได้อยู่
แอฟริกาใต้พบผู้ป่วยหนักและเสียชีวิตจาก BA.4 และ BA.5 ไม่มากอย่างที่คิด
เว็บไซต์วารสารทางการแพทย์ Nature รายงานโดยอ้างอิงจากกรมควบคุมโรคของแอฟริกาใต้ ระบุว่า ทวีปแอฟริกาเป็นพื้นที่แรกๆ ของโลกที่พบการแพร่ระบาดของโควิดโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 พบว่ายอดผู้เสียชีวิตจากสองสายพันธุ์ย่อยนี้ยังน้อยกว่าสายพันธุ์โอมิครอนดั้งเดิม และอาการของโรคก็ยังน้อยกว่า และคาดว่าแอฟริกาใต้ได้ผ่านพ้นการระบาดของสองสายพันธุ์ย่อยนี้ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โปรตุเกสยอดผู้ป่วยหนักจาก BA.4 และ BA.5 สูง เพราะมีผู้สูงอายุเยอะกว่า
แต่หากดูจากประเทศอื่นอย่างโปรตุเกส ที่ตอนนี้กำลังเป็นพื้นที่เฝ้าระวังการแพร่ระบาดของสองสายพันธุ์ย่อยนี้ พบว่ายอดผู้ป่วยหนักที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมีจำนวนมากขึ้น แต่ก็ยังคงอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงที่โอมิครอนระบาดในช่วงแรกๆ ผู้เชี่ยวชาญผู้ให้ข้อมูลกับวารสาร Nature ระบุว่า สาเหตุหลักที่อาจจะทำให้ยอดผู้ติดเชื้อที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่โปรตุเกสมีมากขึ้น เนื่องจากโปรตุเกสเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้สูงอายุมากกว่าแอฟริกาใต้ และผู้สูงอายุมักมีโรคประจำตัวต่างๆ จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นยอดผู้ติดเชื้อและป่วยหนักจากสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 ในโปรตุเกสมากกว่าในหลายๆ ประเทศ
ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญจึงมองว่า เรายังไม่สามารถสรุปได้ว่าแต่ละประเทศจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของสองสายพันธุ์ย่อยนี้มากน้อยเท่าไร เพราะแต่ละประเทศมีปัจจัยที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่พอจะสรุปได้ก็คือ ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยลดความรุนแรงของการแพร่ระบาดระลอกใหม่คือการฉีดวัคซีน โดยเฉพาะการฉีดเข็มกระตุ้น รวมทั้งจำนวนของประชากรกลุ่มเสี่ยง เช่นกลุ่ม 608 และกลุ่มที่มีโรคประจำตัวนั้นมีมากน้อยเพียงใด ระบบสาธารณสุขรองรับประชาชนกลุ่มนี้ได้หรือไม่
วัคซีนยังคงเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกที่จะป้องกันความรุนแรงจาก BA.4 และ BA.5
ผู้เชี่ยวชาญในสหรัฐฯ และอังกฤษระบุตรงกันว่า วัคซีนที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันยังสามารถป้องกันการป่วยหนักและเสียชีวิตจากโควิด-19 โอมิครอน สายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 ได้อยู่ ถึงแม้จะยังไม่มีผลการศึกษาว่าระดับของภูมิต้านทานจากการฉีดวัคซีนจะช่วยป้องกันการติดเชื้อและการป่วยหนัก/เสียชีวิตในระดับใด แต่ภูมิคุ้มกันที่ได้อยู่ในระดับเพียงพอที่จะช่วยลดอาการป่วยหนักและเสียชีวิต ดังนั้นการฉีดวัคซีนให้ครบ 2 เข็ม และการฉีดเข็มกระตุ้นยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ณ เวลานี้ในการต่อสู้กับโควิดไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ใดก็ตาม แต่ผู้เชี่ยวชาญยังย้ำอยู่เสมอว่า วัคซีนไม่ได้เป็นเครื่องการันตีว่าผู้ที่รับการฉีดจะไม่มีโอกาสติดเชื้อ เช่นเดียวกับผู้ที่เคยติดเชื้อมาก่อนก็มีโอกาสติดเชื้อซ้ำอีก ทั้งสองกลุ่มนี้ยังควรต้องรับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันในการลดการป่วยหนักและเสียชีวิต
บริษัทผู้ผลิตวัคซีนเตรียมขึ้นทะเบียนวัคซีนสำหรับโอมิครอนและสายพันธุ์ย่อยโดยเฉพาะ
โมเดอร์นา ผู้พัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19 เผยผลการทดลองวัคซีนโควิด-19 รุ่นใหม่มีคุณสมบัติในการต้านเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ย่อยได้ดี ผลการทดสอบในขั้นสุดท้ายพบว่าวัคซีนตัวนี้ยังมีคุณสมบัติป้องกันการติดเชื้อ และอาการป่วยหนัก/เสียชีวิตจากโควิด-19 โอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 ได้ แต่อาจจะน้อยกว่าสายพันธุ์โอมิครอนดั้งเดิมเล็กน้อย แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ นอกจากนี้ตัววัคซีนยังสามารถป้องกันการติดเชื้อ และลดอาการป่วยหนัก/เสียชีวิต จากโควิด-19 สายพันธุ์ก่อนหน้าได้ด้วย วิธีการฉีดจะฉีดเข้ากล้ามเนื้อเพียง 1 โดส โดสละ 50 ไมโครกรัม ขณะนี้โมเดอร์นากำลังอยู่ระหว่างส่งข้อมูลให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ หรือ FDA อนุมัติ และคาดว่าจะได้ใช้งานจริงภายในช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง หรือประมาณเดือนกันยายน-ตุลาคมปี 2022
โควิด-19 จะยังคงกลายพันธุ์ต่อไปไม่หยุด เราต้องอยู่ร่วมกับมันให้ได้
ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดมองว่า โควิด-19 จะยังคงกลายพันธุ์และแพร่ระบาดอีกสักระยะ ไม่มีทางที่เราจะยุติการแพร่ระบาดได้ทันที เราจะยังคงต้องอยู่กับมันต่อไปอีกนาน ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันไม่ให้ป่วยจากเชื้อโควิด-19 ก็คือการฉีดวัคซีน และการดูแลสุขภาพของตัวเองให้แข็งแรง ไม่ควรหมกมุ่นอยู่กับการหวาดระแวงการแพร่ระบาดของเชื้อโรคมากจนเกินไป ควรปรับการใช้ชีวิตให้สมดุลกับการแพร่ระบาดของโรค เพราะเป็นเรื่องยากที่เราจะป้องกันไม่ให้เราติดเชื้อโรคได้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ นักวิจัยผู้เขียนบทความใน New England Medical Journal of Medicine ย้ำด้วยว่า ณ เวลานี้ เราโชคดีที่เรามีเครื่องมือที่ดีที่สุดอย่างวัคซีน และความเข้าใจในเรื่องการรักษาโรคมากขึ้น ต่างจากช่วงที่เกิดการระบาดใหม่ๆ เมื่อสองปีที่แล้ว ดังนั้นอยากให้ประชาชนสบายใจว่าเราคงจะไม่เห็นภาพการป่วยหนักและเสียชีวิตเหมือนกับที่เราเคยเห็นเมื่อช่วงระบาดใหม่ๆ เมื่อปีสองปีก่อนอีก
ที่มา:
https://www.bbc.com/news/health-55659820
https://edition.cnn.com/2022/06/22/health/ba4-ba5-escape-antibodies-covid-vaccine/index.html
https://www.nature.com/articles/d41586-022-01730-y
https://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMc2206576
เกี่ยวกับผู้เขียน
ธนภณ เรามานะชัย (ไมค์) Fact-checker และ คอลัมนิสต์ประจำ Cofact Thailand
ปัจจุบันทำหน้าที่วิทยากรด้านการตรวจสอบข้อมูลข่าวและเครื่องมือดิจิทัลด้านข่าวให้กับ Google News Initiative ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้ประกาศข่าวเทคโนโลยีให้กับสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี (Voice TV) และอดีตกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT) https://www.damikemedia.com